ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    THE Kingdom Guardian (หลากหลายเรื่องราวกับตัวละครทั้ง 14 )

    ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 1 : เส้นทางชีวิตที่พวกเราเลือก

    • อัปเดตล่าสุด 25 เม.ย. 55



















    ตอนที่ 1 : เส้นทางชีวิตที่พวกเราเลือก

     

     

     

    เวลาผ่านมาได้สัก 30 ปีแล้วมั้ง...ที่ประเทศไทย ถูกตัดขาดจากต่างชาติทั่วโลก เนื่องมาจากข่าวที่ว่า...ประเทศไทยกำลังป่วยจากการติดเชื้อไวรัสบางอย่าง...แต่ว่า...ความจริงแล้ว...ไทยไม่ได้ป่วยเพราะติดเชื้อไวรัส...เพียงแค่เศรษฐกิจตกต่ำแล้วก็การเมืองย่ำแย่ก็เท่านั้นเอง...ซ้ำยังแต่ละประเทศเริ่มจะไม่สนใจไทย อย่าว่าแต่ต่างประเทศเลย แม้แต่คนในชาติไทยก็เริ่มจะลืมไทยแล้วเหมือนกัน...ประชาชนชาวไทยจำนวนหนึ่ง ทำให้ไทยเจ็บปวดทรมานเจียนตาย...แต่ก็มีบุรุษผู้หนึ่ง ได้เข้ามาช่วยให้ไทย หมดความทุกข์ทรมานและเริ่มกลับมามีความสุขอีกครั้ง...

     

    .

    .

    .

     

    ...ตัวเขา สกาย สมาย เอกภพ เอกนภา โซโลม่อน...เป็นลูกของจิตวิญญาณระหว่างสองประเทศคือราชอาณาจักรการ์เดียน หรือฐานะที่แท้จริงคือโลกกับราชอาณาจักรไทยหรือประเทศไทย...ตั้งแต่เขาเกิดมา เขาก็ต้องถูกแยกจากแม่เพื่อความปลอดภัยของแม่ ด้วยสาเหตุเพราะพี่ชายของพ่อ จักรวรรดิโอเดีย ดูเหมือนจะต้องการกวาดล้างชาวการ์เดียนทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นใครก็ตามที่รู้ว่าเรามีตัวตนหรือว่าเลือดเนื้อเชื้อไขของพวกท่านพ่อ...จะต้องถูกกำจัด...ทำให้ทั้งแม่และเขาเป็นภัย...เขาที่เป็นหลักฐานและเลือดเนื้อเชื้อไขของทั้งสองประเทศ...เพื่อปกป้องแม่และเพื่อผลประโยชน์ของตัวเขาเอง...เขาจึงถูกพรากจากอกแม่ตั้งแต่ยังแบเบาะเป็นเวลา 80 ปี...หลังจากนั้นตัวเขาก็พบกับเรื่องราวทั้งดีและร้ายแรงมากมายจนตัวเขานั้น...กลายเป็นหนึ่งในบุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดของอาณาจักรและมียศว่า กษัตริย์ แต่หลังจากนั้นได้สักพัก...พอมีความสุขได้สักระยะเวลาหนึ่ง...ก็เกิดสงครามครั้งใหญ่ระหว่างประเทศจักรวรรดิโอเดียกับราชอาณาจักรการ์เดียน...ซึ่งราชอาณาอาจักรการ์เดียนชนะ...ส่วนจักรวรรดิโอเดียนั้นกลายเป็นจักรวรรดิที่ราวกับกำลังหลับใหลอยู่ทางขั้วโลกใต้ และรอเวลาที่จะกลับมาทำร้ายล้างโลก...แต่ก็ยังมีบางส่วนที่ยังคอยสร้างความวุ่นวายอยู่...ตัวเขาและเพื่อนสาวที่เขาแอบชอบ...ขอลาพักแบบไร้กำหนดสักพัก...เพราะทั้งเขาและเธอ ต่างสูญเสียในสิ่งที่ทำให้พวกเขานั้นเจ็บปวด...ที่จริงก็ทุกคนนั้นแหละ...ตัวเขานั้นกลับมาประเทศไทยส่วนเพื่อนสาวของเขานั้นไปอยู่ที่ญี่ปุ่น...ตัวเขากลับมาประเทศไทยพร้อมกับพ่อที่ป่วยหนัก แต่พ่อเพียงแค่มาส่งเขาเท่านั้นก่อนจะหายตัวไปพักผ่อนอยู่ที่ใดที่หนึ่งในโลกใบนี้...พอเขาได้มาที่เมืองไทย เขาก็พบว่าแดนสยามนั้นอยู่ในภาวะวิกฤต ...แม่ของเขาเองก็ล้มป่วยเพราะสถานการณ์เศรษฐกิจตกต่ำรวมไปถึงการเมืองย่ำแย่ ...แถมยัง...ตั้งท้องอีกด้วย...ทำให้เขาจัดตั้งองค์กรหนึ่งขึ้นมาเพื่อช่วยไม่ให้แม่ของเขาต้องทุกข์ทรมาน แล้วก็ได้นายตำรวจที่ชื่อ โรม ฤทธิไกร มาช่วยในงานครั้งนี้...อันที่จริง โรมนั้นเริ่มปฏิบัติงานก่อนที่เขาจะมาที่ประเทศไทยซะอีก...โดยการฆ่าพวกที่ตัดไม้ทำลายป่า พวกที่คอร์รัปชั่น พวกที่ทุจริต และพวกนักการเมืองชั่วๆทั้งหลาย...กวาดล้างคนชั่ว เหล่าคนที่ทำให้ไทยต้องเจ็บปวดออกไปให้หมด...ตัวเขาที่เห็นว่ามันดูโหดร้ายจนเกินไปก็เลยเข้าไปห้ามก่อนที่โรมจะฆ่าคนที่ดูถูกประเทศไทยเสียก่อน...แล้วพอได้มารู้จักกัน  เขาก็พบว่า อุดมการณ์ของโรมนั้น จริงๆแล้วก็ไม่ต่างอะไรจากเขา นั้นก็คือ...การทำให้ประเทศไทยกลับมาเป็นดินแดนอันสงบสุขอีกครั้ง กลับมาเป็นสยามเมืองยิ้มอีกครั้ง แล้วปัดเป่าความทุกข์ทรมานไม่ให้มาก่ำกลายไทยของพวกเขา...ตั้งแต่นั้นมาสกายกับโรมก็ร่วมมือกันทำให้ไทยหมดจากเรื่องทุกข์ทรมาน...

    ...อันที่จริง พอสกายกลับมาหาแม่ของเขานั้น เขาก็ต้องรับหน้าที่เป็นหมอตำแยซะงั้น เพราะพอเขากลับมา แม่ก็เจ็บท้องคลอดซะงั้น...เขาเลยต้องทำคลอดไปโดยปริยาย...

    ...องค์กรของเขาประสบความสำเร็จอยู่เอาการ...ในตอนนี้โรมได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของไทย...ซึ่งมันก็ดีแล้วล่ะ เพราะอย่างน้อย...โรมก็ไม่ได้ทำให้แม่ของเขาต้องเจ็บปวด...แล้วก็ดู...พ่อหลวง หรือที่เขาเรียกว่า ปู่หลวง...ดูท่าจะสบายใจลง กับสภาพบ้านเมือง...และในที่สุดท่านก็ได้พักผ่อนอย่างสงบสุขเสียที...และในตอนนี้ท่านก็ให้พระโอรสของท่านขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 10 แทนท่าน...เขาได้รับความร่วมมือทั้งจากโรมและวิญญาณปู่โสม รวมไปถึงภูมิผี เทวดา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่สิงสถิตอยู่ในประเทศไทย...ช่วยทำให้ประชาชนชาวไทย กลับมาเป็น...ชาวไทยที่รักแม่ของเขาอีกครั้ง...บ้านเมืองกลับมาร่มเย็นเป็นสุขอีกครั้ง...

    ...พอต่างประเทศไม่สนใจใยดี นอกจากชาวไทยด้วยกัน...ทุกอย่างก็กลับไปเป็นเหมือนเดิม...กลับไปเป็นเหมือนดั่งเช่นสมัยอยุธยาหรือในช่วงใดช่วงหนึ่งที่ชาติไทยรุ่งเรืองและร่มเย็นเป็นสุข...พวกโรงงานก็ถูกย้ายไปตั้งอยู่กลางป่าเขา...ทุ่งนากลับมาใช้แรงงานคนและสัตว์เหมือนเดิม...แม่น้ำลำคลองรวมไปถึงทะเล กลับมาสะอาดและอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง...สะอาดจนสามารถลงไปเล่นได้ด้วยซ้ำ ส่วนทะเล ทั้งปะการังและเปลือกหอยก็กลับมาสวยงามเช่นเดิม...ภูเขาเองก็ไม่ใช่ภูเขาหัวล้านอีกแล้ว...แต่กลายเป็นภูเขาที่เต็มไปด้วยป่าไม้แทน...ป่าไม้ประเทศไทยกลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง...แน่นอนว่าในตอนนี้บ้านแม่ของเขารุ่งเรืองแล้ว...แต่เพื่อไม่ให้ต่างชาติเข้ามาทำให้ชาวไทยถูกชักจูงไปในทางที่ทำให้แม่ของเขาต้องเจ็บปวดอีกแล้ว...เขาจึงปิดประเทศเป็นการชั่วคราว...ให้ช่วงเวลานี้หยุดไว้...ช่วงเวลาที่ป่าไม้กลับมามีมากมายดั่งเช่นในสมัยก่อน...ช่วงเวลาที่ในน้ำมีปลาในนามีข้าว...ในช่วงเวลาที่แผนดินอุดมสมบูรณ์และสงบสุข...ช่วงเวลาที่ประเทศมีอากาศบริสุทธิ์...และสงบสุข...เช่นนี้...ถึงแม้อาจเป็นช่วงเวลาสั้นๆ...ถึงจะช่วงเวลาสั้นๆก็ยังดี...เขาอยากเห็นแม่ของเขามีความสุข...ถึงจะในช่วงเวลาสั้น...ก็ยังดี...เขาอาจเห็นแก่ตัวและชั่วร้ายเพียงใดที่สังเวยชีวิตคนเพื่อแม่ของเขา...แต่ว่า...เขาขอแค่...ให้แม่ของเขามีความสุข...แค่นั้น...ก็เพียงพอแล้ว...ให้แม่ของเขามีรอยยิ้มและไม่ทุกข์ทรมานเพราะประชาชนที่แม่ของเขารัก...แต่มีความสุขกับประชาชนและทุกๆคน...อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขและสงบสุขไปสักพัก...ถึงจะในช่วงเวลาสั้นๆ...ก็ยังดี...

     

    .

    .

    .

    .

    .

    .

     

     

     

    ประเทศไทย

     

     

    ในสถานการณ์ปัจจุบัน  เหตุการณ์ก่อการร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ยังคงดำเนินต่อไปไม่หยุดยั้ง...ต่อให้สกายหรือโรมร่วมมือกันช่วยกันห้าม เจรจาเช่นไร...พวกเขาก็ยังคงไม่ล้มเลิกเสียที...ยังคงทำให้ไทยต้องทุกข์ทรมานและเสียใจ...ถึงไทยจะรู้สึกสบายใจและเป็นสุขขึ้นเมื่อภูมิภาคอื่นๆที่เคยมีปัญหากลับมาสงบสุขเช่นเดิม...ประเทศไทยกลับมามีสภาพดังเช่นสมัยอยุธยาหรือสมัยใดสมัยหนึ่งที่สงบสุขอีกครั้ง...แต่ก็ยังคงติดปัญหาเรื่อง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่...ทำให้ในตอนนี้ ไทยนั้นเจ็บเท้าเป็นอย่างมากจนไม่สามารถเดินไปไหนมาไหนได้...ถึงในช่วงแรกจะดีขึ้น แต่สุดท้ายก็ยิ่งแย่หนักลงไปอีก...ยิ่งรัฐบาลพยายามแก้ไข ก็ยิ่งแย่ลง แต่ถ้าไม่แก้ไขก็อาจแย่ยิ่งกว่าเก่า...โรมเองก็จนปัญญา ถึงใจจริงอยากจะใช้ระเบิดถล่มพวกสารเลวที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ย่อยยับ...แต่ก็กลัวว่าผู้บริสุทธิ์จะโดนผลกระทบไปด้วย...รวมไปถึงไทยที่อาจเจ็บปวดทรมานกับวิธีแบบนี้...เขาจึงได้พยายามควบคุมสถานการณ์ให้มันไม่รุนแรงขึ้นไปมากกว่านี้อีก...ทางสกายเองก็จนปัญญาไม่แพ้กันกับเรื่องภาคใต้...เขาก็พอจะรู้ว่าแต่ละคนมีความคิดเป็นอิสระและรักวัฒนธรรมของตนเอง แต่แบบนี้มันก็เกินไปเสียด้วยซ้ำ...แต่สิ่งที่เขาทำได้ในตอนนี้ ก็มีแค่เพียงจัดการกับเรื่องเหนือธรรมชาติและเรื่องทางวิทยาศาสตร์ที่พวกนักวิทยาศาสตร์ต่างชาติพากันมาทดลองในประเทศแม่ของเขาเสียจนผู้คนของแม่ของเขาเดือดร้อน...โรมจัดการเรื่องการเมืองการปกครองและเศรษฐกิจ ส่วนตัวเขานั้นจัดการกับเรื่องภายในที่เป็นความลับระดับชาติหรือความลับที่เกินจะบรรยาย...พวกเขาช่วยได้เพียงเท่านี้เท่านั้นเองหรือ...อยากจะช่วยแม่ให้ได้มากกว่านี้แท้ๆ...

    นับตั้งแต่โรมปิดประเทศไม่ให้คนต่างชาติเข้าคนในชาติออก ประเทศไทยก็ดูจะสงบสุขดี แต่ตัวไทยนั้นกลับรู้สึกคิดถึงเพื่อนๆหรืออาจเรียกว่าสามีก็เป็นได้...ไทยในตอนนี้ทำได้เพียงแค่เดินไปมาอยู่ในบ้านของตัวเองเท่านั้น...แต่คงเดินไม่ได้แล้วล่ะ...

    “เท้าแม่เป็นยังไงบ้างครับ?” เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลทอง นัยน์ตาสีเดียวกัน ... วิกเตอร์ ถามพร้อมกับจับข้อเท้าที่มีผ้าพันแผลและเลือดไหลเพียงเล็กน้อยของไทย

    “มะ...ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ” ไทยตอบด้วยสีหน้าที่แสดงอย่างเต็มที่ว่าเจ็บที่เท้ามากๆ ถึงจะยิ้มแต่คนที่พอจะอ่านสีหน้าออกหรือว่าดูแผลที่เท้าแล้วก็น่าจะพอเข้าใจ

    “เดี๋ยวผมไปเอายามาทาให้นะครับ วิกเตอร์ นายน่ะนวดขาให้แม่ไปก่อนนะ” เด็กหนุ่มผมสีเงิน นัยน์ตาสีฟ้าข้างหนึ่งสีเหลืองทองข้างหนึ่ง  ... โรเบิร์ต ไวท์สมิธ ว่าก่อนจะเดินขึ้นบ้านทรงไทยไปปล่อยให้วิกเตอร์ผู้เป็นน้องชายฝาแฝดนั่งนวดขาให้กับผู้เป็นแม่อยู่ที่เชิงบันไดซึ่งวิกเตอร์ก็นวดให้ไทยเป็นอย่างดี แต่ว่า...

    “วิกเตอร์จ๊ะ ช่วยเบาๆมือหน่อยสิจ๊ะ แม่เจ็บนะ” แต่ว่าวิกเตอร์คงจะมือหนักมากๆ จนไทยต้องพูดขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มแห้งๆไปให้ลูกชายหน้านิ่งของเขา

    “ขอโทษครับ” วิกเตอร์พูดก่อนจะผ่อนแรงลง “แรงประมาณนี้พอไมครับ?”

    “จ้ะ”

    “เจอยาแล้วครับ!!!~” โรเบิร์ตตะโกนก่อนจะกระโดดลงมาจากบ้านทรงเรือนไทยแล้วลงสู่พื้นอย่างสวยงาม

    “โรเบิร์ตจ๊ะ แม่บอกกี่ครั้งแล้วจ๊ะ ว่าอย่ากระโดดลงมาจากประตูบ้านแบบนั้น” ไทยพูดเอ็ดเด็กหนุ่มผมสีเงินด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าจะเกิดอันตราย

    “ขอโทษครับแม่...ผมจะพยายามไม่ทำนะครับ แต่ว่า แม่รีบทายาก่อนเถอะนะครับ” โรเบิร์ต พูดพลางเดินเข้ามาใกล้ไทยก่อนจะนั่งลงอยู่ตรงพื้นแล้วเริ่มทายาที่เท้าทั้งสองข้างของไทย

    “พี่...แล้วผ้าพันแผลล่ะ ต้องเปลี่ยนใหม่ด้วยนะ เพราะว่าอันเก่าเปื้อนเลือดหมดแล้ว” วิกเตอร์หันมามองหน้าโรเบิร์ตที่ดูเหมือนจะลืมนึกไปว่าต้องเอาผ้าพันแผลมาเปลี่ยนด้วย

    “เอ้อ...ลืมแหะ”

    ...ว่าแล้ว...

    “รอบนี้ผมไปเอาเอง...พี่ก็นวดเท้าให้แม่ไปก็แล้วกัน ยาตัวนั้นต้องนวดด้วย จะได้หายเร็วๆ” วิกเตอร์ว่าก่อนจะเดินขึ้นไปบนเรือนไทยก่อนจะเดินลงมาพร้อมผ้าพันแผลอย่างรวดเร็วแล้วจัดการพันรอบเท้าให้ไทย

    “อาการขนาดนี้คงเดินไม่ได้แล้วล่ะครับ” โรเบิร์ตว่าพลางมองสภาพเท้าของไทยซึ่งคำพูดนั้นทำให้ไทยรู้สึกเศร้าใจกับเหตุการณ์ภายในประเทศของเขาที่ไม่สามารถสงบสุขได้เสียที และเขาก็ไม่ต้องการจะสูญเสีย 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้แต่ในขณะเดียวกันเขาก็ไม่ต้องการสูญเสียชีวิตผู้คนไปมากกว่านี้อีกด้วย...จะหาว่าเขาหยิ่ง เห็นแก่ตัวหรือโลภมากก็ได้ ตามสบาย...แต่ดินแดนที่เขาได้มาด้วยความสามรถของชาวไทยทุกคน ดินแดนสยามที่ชาวไทยทั้งหลายต่างเสียสละชีวิตเพื่อรักษาไว้...เขาจะยอมให้การเสียสละนั้นสูญเปล่าไม่ได้...แล้วไหนจะคนของเขาที่ยังคงอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้นอีก ในตอนที่สูญเสียดินแดนไปให้กับอังกฤษและฝรั่งเศส คนของเขาต่างก็เสียใจมามากพอแล้ว แล้วคราวนี้ล่ะ คนของเขาจะเสียใจมากขนาดไหน...เพราะฉะนั้นเขาจึงยอมเจ็บ ดีกว่ายอมตัดเท้าแล้วทำให้ผู้คนอีกมากมายต้องร้องไห้...

    วิกเตอร์ที่นั่งมองใบหน้าอันงดงามของแม่ตนเองอยู่นาน ก็พอจะรู้ว่าแม่ของเขานั้นรู้สึกยังไง แต่จะให้เขาปลอบล่ะก็...บอกได้เลยว่า...เขาปลอบไม่เป็น...เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจอุ้มแม่ของตนเองขึ้นในท่าของเจ้าสาวทำให้ทั้งไทยและโรเบิร์ตรู้สึกตกใจก่อนที่ตัวเขาจะพาไทยขึ้นเรือนโดยมีโรเบิร์ตเดินตามมาติดๆ

    วิกเตอร์เดินมาจนถึงห้องรับแขกก่อนจะวางแม่ของตนลงบนโซฟาตัวยาว

    “อีกสักพักทุกๆคนก็คงจะกลับมาแล้วนะครับ...ไว้เดี๋ยวพอกลับมากันครบแล้ว เราไปทานข้าวเย็นกันที่ร้านคาเฟ่โปรตุเกสนะครับ” น้ำเสียงของวิกเตอร์นั้นดูราบเรียบ แต่ในน้ำเสียงนั้นกลับแฝงไปด้วยความอ่อนโยนและความห่วงใยในตัวมารดา

    “ช่วงนี้ให้ปาร์กเกอร์กับ แฟรงคลิน แสดงฝีมือการทำอาหารเถอะครับ ส่วนแม่พักผ่อนเถอะนะครับ เดี๋ยวพวกเราจะดูแลแม่เอง” น้ำเสียงของโรเบิร์ต เองก็ราบเรียบพอๆกับวิกเตอร์ที่แฝงความรู้สึกดีๆที่มีต่อแม่ออกมาซึ่งไทยรู้สึกดีใจกับสิ่งที่ลูกชายของเขาเอ่ยออกมาเป็นอย่างมากจนน้ำตาเกือบไหล

    “จ๊ะ ...พวกลูกนี่ ...พูดอย่างนี้เดี๋ยวแม่ก็ร้องไห้หรอก” ไทยพูดด้วยใบหน้าที่มีน้ำตาปลิ่มอยู่ที่หางตา แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงยิ้มอยู่

    “แม่จ๋า!!!~” ...และแล้ว ก็มีเสียงใครสักคนดังขึ้นมาและตามมาด้วยเสียงย้ำกับพื้นบ้านดังๆเหมือนเสียงวิ่งตรงมาทางทั้ง 3 คนจนพวกเขารู้สึกระแวงในใจว่าพื้นบ้านจะพังไมเนี้ย...

    “แม่จ๋า~ พวกเราได้ยินจากข่าวในห้างสรรพสินค้าเรื่องที่เกินขึ้นใน 3 จังหวัดภาคใต้ น่ะคะ พวกเราเป็นห่วงแม่มากๆเลยนะคะ~” เจ้าของเสียงโผเข้ากอดไทยพร้อมกับปล่อยโฮออกมาซึ่งที่วิ่งตามสาวผมสีน้ำตาลยาวปะบ่า นัยน์ตาสีน้ำตาล ...แอนนา วาลกัส คือหญิงสาวอีก 3 คนที่ในมือถือถุงผ้าขนาดใหญ่คนละ 2-4 ถุง

    “โอ๋ๆ อย่าร้องไห้สิจ๊ะแอนนา แม่ไม่เป็นไรหรอก” ไทยขยับมือขึ้นมาลูบหัวปลอบลูกสาวของเขาอย่างอ่อนโยน

    “โล่งอกไปทีที่แม่ไม่เป็นอะไร เฮ้อ~” เด็กสาวผมสีน้ำตาลอ่อนยาวถึงกลางหลัง นัยน์ตาสีม่วง ...รีเบคก้า ทิวา บรานกิสกี้ ถอนหายใจด้วยความโล่งอก

    “ฉันว่าพวกเรารีบเอาของไปเก็บกันเถอะนะคะ” เด็กสาวผมสีนิลยาวถึงกลางหลัง นัยน์ตาสีน้ำตาล ...ฮอนดะ โมเอะ ราตรี ว่าก่อนจะเดินนำเข้าไปด้านในตัวบ้าน

    “นั้นสิจ้ะ แอนนาจ๋า เธอเลิกกอดแม่สักแปบแล้วรีบเอาของไปเก็บเถอะนะจ้ะ” เด็กสาวผมสีน้ำตาลเข้มยาวถักเปีย นัยน์ตาสีน้ำตาล... อิม จินจู จังมี หันมาพูดกับแอนนาที่ยังกอดแม่อยู่จนรีเบคก้าเริ่มปล่อยรังสีอันเย็นยะเยือกออกมาเสียแล้ว

    “อืม” แอนนาขานรับก่อนที่ 4 สาวจะพากันเอาของไปเก็บด้านในตัวบ้าน

    “กลับมาแล้วครับแม่” ...หลังจากลูกสาวทั้ง 4 คนเพิ่งเดินเอาของเข้าไปเก็บได้ไม่นาน ลูกชายอีก 6 คนก็เดินเข้ามาทักทายทั้ง 3 คนที่ยังคงนั่งอยู่ที่ห้องรับแขกทันที

    “เท้าของแม่เป็นยังไงบ้างครับ” เด็กหนุ่มผมสีทองเข้ม นัยน์ตาสีฟ้า...อดัม เอฟ โจนส์ ถามด้วยความเป็นห่วง

    “ตอนนี้ไม่เป็นไรมากหรอกจ๊ะ...ว่าแต่...ลูกออกมาจากร้านตอนนี้มันจะดีหรอจ๊ะ ซาเลม เดี๋ยวลูกค้าเข้าจะแย่เอานะจ๊ะ” ไทยหันไปถามเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ นัยน์ตาสีมรกต ... ซาเลม เฟลนันเดส คาเรียโดส

    “ทั้งผมและก็พวกพี่โปปิดร้านแล้วล่ะครับ ส่วนพี่โปกับ ฮัมฟรีย์ไปช่วยปาร์กเกอร์กับ แฟรงคลิน ทำกับข้าว น่ะครับ” ซาเลมหันมาตอบข้อสงสัยของไทยพร้อมอธิบายถึงลูกชายอีกสองคนของไทยที่เปิดร้านขายของอยู่ข้างๆบ้านเช่นเดียวกับเขาว่าทั้งสองคนหายไปไหน

    “แล้วทำไมถึงด่วนปิดร้านกันล่ะจ๊ะ นี่ยังไม่ถึงเวลาไม่ใช่หรอ?” ไทยถามอีกครั้ง

    “ก็เพราะพวกเราเป็นห่วงแม่นั้นแหละครับ” ซาเลมตอบอีกครั้งด้วยสีหน้าเป็นห่วงคนตรงหน้าอย่างสุดหัวใจ

    “อันที่จริง...ผมพยายามโทรหาพี่สกายแล้วนะครับ แต่โทรไม่ติด น่ะครับ” เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลทอง นัยน์ตาสีมรกต ... อเล็กซ์ เคิร์กแลนด์ พูดก่อนจะเดินเข้าไปนั่งข้างๆไทย

    “แล้ว ฮารุกับอชิตหายไปไหนล่ะจ๊ะ?” ไทยหันไปถามกับเหล่าลูกๆที่เริ่มเดินเข้ามานั่งข้างๆเขาเช่นเดียวกับพวกลูกสาวที่เดินออกมานั่งร่วมวงกับพวกเขาอย่างรวดเร็ว

    “ฮารุไปประกันตัว อชิต น่ะครับ” เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อน นัยน์ตาสีน้ำตาล ...นาธาน ตอบเสียงเรียบ

    “นาธาน นายไปกับพวก อเล็กซ์ไม่ใช่เหรอ แล้วนายรู้ได้ไงว่า อชิตโดนจับ น่ะ?” เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลทอง นัยน์ตาสีเดียวกัน...เดวิด ถามด้วยความสงสัยเพราะคนที่ไปเที่ยวนั้น มีเพียงเขา ฮารุและ อชิตที่โดนจับเท่านั้น

    “เดวิด นายเป็นคนบอกพวกเราเองนะ” เด็กหนุ่มผมสีนิล นัยน์ตาสีเดียวกัน ...ทิม อิชวา ตอบข้อสงสัยของเดวิดซึ่งเจ้าตัวถึงกับ อ๋อ ขึ้นมาทันที ในขณะที่พี่น้องบางคนถึงกับยกมือขึ้นกุมขมับกับนิสัยของเดวิด

    “แล้วอชิตโดนจับเรื่องอะไรล่ะ?” อดัมถามถึงสิ่งที่ทุกๆคนสงสัย

    “อ้อ...คือว่าพวกเราไปเที่ยวทะเลแล้วอชิตก็ดื่มหนัก เลยไปมีเรื่องทะเลาะกับคนแถวนั้นแล้วโดนจับ น่ะ” เดวิดอธิบายซึ่งมันทำให้ไทยถึงกับถอนหายใจกับนิสัยของลูกชายของเขา

    “แล้วทำไมพวกนายไม่ห้ามอชิตล่ะ?” วิกเตอร์ถามด้วยสีหน้าสงสัยก็ฝีมือของเดวิดน่าจะพอ เบี่ยงเบนความสนใจของอชิตแล้วรีบกลับบ้านได้พอๆกับฮารุ

    “ห้ามแล้วแต่เอาไม่อยู่” เดวิดพูดด้วยสีหน้าเหนื่อยใจทำให้วิกเตอร์พอเข้าใจว่าคงชุลมุนน่าดูเลยอาจโดนลูกหลงหรือเจออะไรเข้าแหง่ๆ

    “จริงสิ แม่ครับ ไหนๆก็อยู่กันตั้งเยอะ มาเล่าเรื่องผีกันเถอะนะครับ บรรยากาศก็ให้ด้วย” อเล็กซ์เสนอพลางยิ้มสดใสแต่กับน้องๆคนอื่นๆนี่...

    “อย่าเลย อเล็กซ์ แค่ดูหนังผีก็พอแล้ว อย่าเล่าเลย อาเฮีย” อดัมพูดด้วยสีหน้าเอือมละอากับนิสัยของพี่ชายคนรองของบ้านหลังนี้

    “หนูว่า เล่าเรื่องของพ่อของพวกเราดีกว่านะคะ ใครเห็นด้วยบ้าง!?” แอนนาพูดพลางกอดแขนไทยซึ่งทั้งหมดยกมือขึ้นแสดงว่าเห็นด้วยหมดแม้กระทั่ง อเล็กซ์กับ อดัม

    “ก็ได้อยู่หรอกนะจ๊ะ แต่ว่า จะให้แม่เล่าเรื่องพ่อของใครดีล่ะจ๊ะ?” ไทยถามขึ้น...ก็นะ...ก็เขามีลูกกับเหล่าจิตวิญญาณของประเทศทั้งหลายตั้ง 19 คนนี่นะ...พ่อก็ไม่ใช่คนเดียว ถ้าจะให้เล่าทั้งหมดก็คงจะยาว

    “วี๊~ ขอพ่ออิตาลีของหนูก็แล้วกันนะคะ”

    “ขอพ่อเยอรมันของผมก่อน”

    “พ่ออังกฤษของผมก่อน”

    “ฮะๆๆๆ พ่ออเมริกาของผมก่อน”

    “ฮะๆๆๆๆ พ่อเดนมาร์กของผมก่อน”

    “โคล่ๆๆๆๆ ต้องพ่อรัสเซียของหนูก่อนนะคะ”

    “ขอพ่อญี่ปุ่นของหนูก่อนนะคะ”

    “ขอพ่อเกาหลีของหนูก่อนนะจ้ะ แม่จ๋า”

    “ผมอยากฟังเรื่องของพ่อนอร์เวย์ครับแม่”

    “พ่อสเปนของผมก่อนเถอะครับ”

    “ของผมยังไงก็ได้ครับแม่”

    “.......”

    “...” พอฟังจากที่พวกลูกๆขอแล้ว ดูเหมือนว่าจะขอฟังแต่เรื่องของพ่อของตัวเองอย่างเดียว ยกเว้น ทิมกับโรเบิร์ต แต่พอหันมามองโรเบิร์ตแล้ว ดูเหมือนเจ้าตัวจะมีสีหน้าที่ดูเศร้าๆจนไทยรู้สึกหวั่นใจ

    “โรเบิร์ตจ๊ะ...เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะลูก ทำไมทำสีหน้าแบบนั้นล่ะจ๊ะ?” ไทยหันไปถามลูกชายของเขาด้วยความเป็นห่วง

    “ทุกๆคนมีพ่อให้พูดถึงกันหมด...แต่ไม่ใช่ผม” โรเบิร์ต ตอบด้วยสีหน้าเศร้าๆซึ่งมันทำให้เหล่าพี่น้องของเขาสะอึกที่พูดถึงเรื่องจี้จุดด้อยของโรเบิร์ต ...ถึงในบ้านหลังนี้จะมีโรเบิร์ตและสกายพี่ใหญ่ของบ้านที่พ่อตายไปแล้ว แต่กับสกายนั้น เขาแทบจะเก็บอารมณ์ได้ดีกว่าโรเบิร์ต ... นั้นอาจเป็นเพราะอายุที่ต่างกันก็เป็นได้...และที่ต่างกันอีกอย่างก็คือ...สกายเคยเห็นหน้าพ่อของตนเองมาก่อนแล้ว แต่โรเบิร์ตไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลยสักครั้ง...และพอมาเรียนประวัติศาสตร์โลกแล้วรู้ว่าที่พ่อ ปรัสเซียของเขาตายก็เพราะสงครามโลกและรัสเซีย พ่อของรีเบคก้า...ถึงจะเป็นน้องสาวของเขาและแม่กับสกายพยายามสอนเขาไม่ให้โกรธแค้นน้องสาวของตนเอง แต่มันก็อดใจไม่ไหว...แต่เขาเองก็พอจะแยกออกว่าเขาจะเลือกอะไรระหว่างสายสัมพันธ์ของครอบครัวหรือว่าความแค้นซึ่งเขาเลือกสายสัมพันธ์ครอบครัว...แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังคงรู้สึกเศร้าใจอยู่ดี...

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ พี่ พ่อของผมก็เหมือนกับพ่อของพี่นั้นแหละครับ” วิกเตอร์ปลอบโรเบิร์ต...เพราะจากที่เรียนๆมาและที่แม่เล่าให้ฟัง...พ่อเยอรมันของเขาเป็นน้องชายของพ่อ ปรัสเซียของโรเบิร์ต...ซึ่งมีความเกี่ยวข้องที่แน่นแฟ้น มากกว่าคนอื่นๆ...มันจึงไม่แปลกที่พวกเขามีหน้าตาคล้ายกันจนเกือบเหมือนฝาแฝด...นั้นก็เพราะว่าพวกเขามีสายเลือดของชาวเยอรมันเหมือนกัน...ถึงตามหลักการแล้ว โรเบิร์ตจะเป็นหลานของเยอรมันก็ตาม...แต่ถ้ามองในด้านของสายสัมพันธ์หรือความรู้สึกแล้ว...เยอรมันก็สามารถเป็นพ่อของโรเบิร์ตได้เช่นกัน...

    “ขอบใจวิกเตอร์” โรเบิร์ต ว่าแต่หน้าก็ยังเศร้าอยู่

    ไทยรู้สึกเศร้าใจตามลูกชาย...เพราะว่าเธอเองก็เสียใจกับการสูญเสียสามีไปคนหนึ่งเช่นกัน...

    ไทยตัดสินใจคว้าตัวลูกชายที่โตเป็นหนุ่มแล้วเข้ามากอดแนบอกพร้อมกับลูบหัวปลอบอย่างอ่อนโยน

    “ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ โรเบิร์ต ลูกยังมีแม่และทุกๆคนนะจ๊ะ” ไทยปลอบซึ่งมันทำให้โรเบิร์ตรู้สึกใจชื่นขึ้นมาบ้างแล้วและเลิกทำหน้าเศร้าได้เสียที

    “กลับมาแล้ว คร้าบบบบบบบบ!!!~” ...ยังไม่ทันที่จะได้พูดอะไรกันต่อก็มีเสียงของสมาชิกอีกกลุ่มในบ้านดังขึ้นและตามมาด้วยเสียงย้ำกับพื้นบ้านดังๆซึ่งมันดังเป็นสองเท่าจากคราวก่อน วิ่งตรงมาทางทุกๆ คนจนพวกเขารู้สึกระแวงในใจว่าพื้นบ้านจะเหลือไมเนี้ย...

    “แม่!!!!” เสียงตะโกนด้วยความตื่นตระหนกพร้อมกับร่างของเด็กหนุ่มผมสีนิลนัยน์ตาสีเดียวกัน ... อชิต โผเข้ากอดไทยจนผู้เป็นแม่ถึงกับหงายหลังแต่ว่าโชคดีที่ อดัมเข้ามารับไว้

    “แม่ไม่เป็นไรนะครับ โล่งอกไปทีที่แม่ไม่เป็นอะไร” อชิตพูดพร้อมกับซุกใบหน้าคมกับอกบางของผู้เป็นแม่

    “เฮ้ย! อชิต นายอย่ามายุ่งกับหนองโพของแม่นะโว้ย!! ที่ตรงนั้นมันสำหรับของฉันคนเดียวนะเฮ้ย!!” เดวิดโวยวายซึ่งตามมาด้วย...

     

     

    ปึง!!!!

     

     

    “บ้านพ่อมึงดิ!ไอ้สันขวาน! ตรงนี้ของฉันคนเดียวต่างหากโว้ย!!”...ตามมาด้วยสหบาทาของอชิตและคำด่าที่แสนจะหยาบคายของอชิต หลังจากนั้นก็...

     

     

    ผัวะ!!!

     

     

    “แม่สอนไม่ให้พูดคำหยาบ!!!” ...หลังจากนั้น อชิตก็เจอลูกตบของ อดัม โรเบิร์ตและวิกเตอร์เข้าไปเต็มๆหัวจนหัวหมุนไปหลายตลบ

    “แหม่ๆ ทุกคนเล่นกันสนุกใหญ่เลย ว่าแต่ ฮารุคุงจะอยู่ตรงนั้นอีกนานไมคะ” รีเบคก้าพูดพร้อมปล่อยรังสีหนาวเย็นยะเยือกออกมาพลางปรายตามอง เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้ม นัยน์ตาสีเดียวกัน ...ฮารุ  ที่ในตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนพื้นแล้วเอาหัวหนุนตักไทยอยู่

    “...” ฮารุไม่ตอบอะไร เพียงแค่ปรายตามองก่อนจะหนุนตักไทยต่อโดยไม่สนใจรังสีหนาวเย็นของรีเบคก้า

    “ฮารุจ๊ะ โตป่านนี้แล้วยังจะอ้อนแม่อีกหรอจ๊ะ?” ไทยแซวลูกชายของเขาที่โตเป็นหนุ่มเป็นสาวกันหมดแล้วแต่ก็ยังคงอ้อนเขาอยู่ โดยที่ในตอนนี้มีนาธานมาหนุนตักของไทยอีกข้างเป็นเพื่อนฮารุไปแล้ว ในขณะที่อชิตกำลังทะเลาะกับพวกอดัมอย่างสนุกสนาน

     

    ...บ้านหลังนี้ยังคงสงบสุขเช่นเดิม...ถึงจะวุ่นวายไปสักหน่อยก็ตาม...แต่ทุกๆคนก็อยู่กันอย่างมีความสุขดี...

     

    .

    .

    .

     

    ...สภาพบ้านที่ไทยอยู่ในตอนนี้นั้นถูกปรับเปลี่ยนไปเยอะ ในบ้านมีสวนและป่าเพิ่มขึ้นเยอะ สัตว์เลี้ยงเองก็เยอะขึ้นเช่นกัน ด้านข้างของตัวบ้านมีร้านมาเปิดอยู่ 4 ร้าน เริ่มจากทางด้านซ้าย 2 ร้านนั้นก็คือร้านขายดอกไม้กับร้านขายชา สมุนไพรและเครื่องเทศ ส่วนทางด้านขวานั้นเป็นร้านขายผักผลไม้ และตรงหน้าบ้านไทยที่เคยเป็นพื้นที่ป่าไม้รกชัก ในตอนนี้มีร้านอาหารมาเปิดแทนที่ซึ่งร้านนั้นก็คือร้านคาเฟ่โปรตุเกส ซึ่งร้านเหล่านี้มีสองอย่างที่เหมือนกันนั้นก็คือ 1. เวลาปิดร้านหรือวันหยุดของร้านจะเหมือนกัน ซึ่งเวลาปิดร้านของทั้งหมดนั้นคือ 1 ทุ่ม ส่วนเวลาหยุดนั้น ทั้ง 4 ร้านจะหยุดโดยไม่มีปี๋มีขลุ่ยหรือปิดแบบกระทันหันจนลูกค้าถึงกับน้ำตาแทบเล็ดที่เดินมาแล้วร้านไม่เปิด และอย่างที่ 2. ก็คือ เจ้าของร้านนั้นเป็นลูกของไทยทั้งนั้น

    พอเข้ามาในรั้วบ้าน เมื่อมองไปทางด้านซ้ายมือก็จะพบกับต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นตะเคียน และต้นไม้อื่นๆอีกมากมายที่ยืนต้นตั้งตระหง่านเป็นป่าแทบจะเป็นป่าดงดิบ และใต้ต้นโพธิ์และต้นไทรที่ยืนต้นติดกันนั้น จะมีศาลพระภูมิขนาดใหญ่ตั้งอยู่และถัดจากศาลพระภูมิไปสัก 4-5 เมตร ก็จะพบกับกระท่อมหลังเล็กๆตั้งอยู่ซึ่งโซนนี้เป็นโซนที่สมาชิกในบ้านไทยไม่ค่อยอยากจะเข้ามาใกล้เพราะสิ่งศักดิสิทธิ์และภูมิผีค่อยข้างเยอะ คนที่จะเข้ามายุ่งที่โซนนี้ก็มีแต่ไทย สกายและ อเล็กซ์ เท่านั้นที่กล้าพอ

    ต่อไปทางด้านขวาของตัวบ้าน จะเป็นป่าเช่นกัน แต่ก็มีสวนด้วย ซึ่งสวนนั้น มีทั้งสวนผักผลไม้ สวนสมุนไพรและสวนดอกไม้ปะปนกันไปอย่างสวยงาม นอกจากนี้ยังมีทุ่งนาขนาด 2 ไร่อีกด้วย แต่ยังไงซะโซนนี้ก็ร่มรื่นพอๆกับโซนซ้ายอยู่เหมือนกันแถมสดใส่กว่าด้วย นอกจากนี้ ยังมีต้นไม้ต่างๆตั้งตระหง่านพอๆกับโซนซ้าย แถมยังมีเปลญวนผูกไว้ระหว่างต้นไม้อยู่ 1 อัน มีม้านั่งและกระท่อมเก็บอุปกรณ์ต่างๆอีกด้วย ซึ่งโซนนี้เป็นโซนที่สมาชิกทุกๆคนในบ้านจะมาเล่นสนุกและผ่อนคลายกัน

    ทางด้านหลังของตัวบ้านนั้นจะมีแม่น้ำไหลผ่านซึ่งเป็นแม่น้ำแยกย่อยที่ไม่มีใครรู้จัก ซึ่งมันเชื่อมต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยาและทะเล นอกจากนี้ยังมีท่าเรือและศาลาเล็กๆริมน้ำให้สมาชิกในครอบครัวได้มาผ่อนคลายกับบรรยากาศอันเย็นสบายอีกด้วย แถมยังเป็นสถานที่ ที่ไทยและพวกลูกสาวชอบมาอาบน้ำ ซึ่งเป็นจุดที่มักจะถูกซุ้มมองจากพวกลูกชายเวลาจะดูแม่อาบน้ำอีกด้วย

    ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของตัวบ้าน ในโซนซ้าย จะมีช่องทางให้เดิน โดยที่ช่องทางนั้นจะปูด้วยหินกรวดและทรายซึ่งทำให้ทางเดินนั้นดูสวยงาม โดยที่ทางนั้น  เมื่อเดินไปจนสุดแล้วจะพบกับหอขนาดใหญ่ซึ่งหอนี้ไม่มีใครอยู่และหอนี้ก็เป็นที่พักของสกายและพวกลูกชายของไทย เพราะถึงบ้านไทยจะใหญ่ แต่ก็ใหญ่ไม่พอสำหรับลูกๆทั้ง 19 คน รวมไปถึงเสียงอึกทึกคึกโครมตามประสาเด็กหนุ่มอาจทำให้บ้านไทยพังเป็นได้ สกายจึงสร้างบ้านแยกย้ายออกมาโดยทำเป็นหอ ซึ่งสามารถเป็นที่พักสำหรับพวกเขาและแขก...ซึ่งแขกนั้น โดยส่วนใหญ่จะเป็นผู้ล่วงลับไปแล้วหรือตายไปแล้วนั้นเอง...พูดง่ายๆก็ผีนั้นแล...ซึ่งงานอย่างนึงของสกายนอกจากเป็นหมอและอาจารย์มหาลัยแล้ว เขายังมีหน้าที่ทำให้วิญญาณไปสู่สุขติอีกด้วย และกำจัดปีศาจร้ายหรือคนเลวไปให้พ้นจากสังคมอีกด้วย...นับว่าสกายนั้นมีงานเยอะเอามากๆ แต่หอพักนี้นอกจากพวกน้องเขาและตัวเขาแล้ว ก็มีพวกวิญญาณ เทพ ผี สัตว์ประหลาด ฯลฯ มาพักอยู่เยอะอยู่เหมือนกัน ทำให้หอนี้ค่อนข้างคึกครื้นเพราะว่าสกายมักจัดงานปาร์ตี้ให้พวกแขกไม่เครียดและมีความสุขและสนุกกับการอยู่ที่นี่ ซึ่งโซนหอนี้ มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีคือ สนุกและเป็นที่พักแสนสบาย และข้อเสียคือ เป็นสถานที่อันน่าขนลุกขนพองเวลาแขกที่หน้าตาน่ากลัวเข้ามาพัก...

     

    .

    .

    .

     

    เวลา 1 ทุ่มครึ่ง

     

    ไทยถูก อดัม อุ้มในท่าเจ้าสาวก่อนที่ทั้งหมดจะพากันมายังร้านคาเฟ่โปรตุเกสที่อยู่ใกล้ๆ เพียงแค่เดินข้ามถนนมาก็ถึงแล้ว

     

     

    กริ๊ง!

     

     

    เสียงกระดิ่งจากประตูหน้าร้านดังขึ้น แสดงว่ามีลูกค้าเข้ามาในร้าน แต่ในเวลาเช่นนี้ ทำให้ชายหนุ่มทั้ง 4 คนที่อยู่ในร้านรับรู้ได้ในทันทีว่าผู้ที่เข้ามาในร้านนั้นไม่ใช่ลูกค้าแน่นอน

    “กำลังรออยู่เลย” เสียงเรียบๆดังขึ้นมาจากชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ นัยน์ตาสีเดียวกัน...หวาง โป หยางหลง ที่เพิ่งเดินออกมาจากครัวก่อนจะวางจานที่เต็มไปด้วยกับข้าวลงบนโต๊ะที่เป็นที่ประจำของทุกคน

    ในขณะที่เด็กหนุ่มผมสีทองอ่อน นัยน์ตาสีมรกต ... ฮัมฟรีย์ กำลังเปิดทีวีอยู่ซึ่งในตอนนี้ช่อง 3 มีซีรี่ย์จีน ช่อง 7 มีข่าวภาคค่ำ ช่อง 5 ข่าว ช่อง 11 ข่าว

     ช่องโมเดิลนาย ข่าว จะมองไปช่องไหนก็มีแต่ข่าว ซึ่งข่าวแต่ละอย่างพาแม่ของพวกเขาเครียดๆและชวนให้คิดถึงพ่อของพวกเขาอีกด้วย ทำให้ทางเลือกที่ดีที่สุดคงจะเป็นช่อง 3 แต่ในอีกไม่ช้าหลังจากหนังจีนจบก็จะตามมาด้วยข่าว...จะให้เปิดช่องเคเบิลดูก็จะเป็นการเสียอรรถรสเพราะโดยส่วนใหญ่จะมีแต่หนัง ฮัมฟรีย์จึงตัดสินใจเปิดช่อง 3 เพราะส่วนใหญ่แล้วทั้งแม่และพี่น้องของเขาต่างก็ชอบดูช่องสามทั้งนั้น แล้วก็ดูจะเป็นทางเลือกที่ดีถ้าจะยื้อเวลาไม่ให้แม่ของเขาไม่เครียดอะไรเรื่องข่าวบ้านเมืองและต่างประเทศ...

    “เท้าของแม่เป็นยังไงบ้างครับ?” โปเดินเข้ามาถามไทยที่ยังคงอยู่ในอ้อมกอดของ อดัม

    “ดีขึ้นนิดหน่อยน่ะจ้ะ” ไทยตอบพร้อมยิ้มให้กับโป ซึ่งโปพอจะรู้ว่าที่แม่ของเขาพูดแบบนั้นเพราะไม่ต้องการให้เขาและทุกคนเป็นห่วง

    “ไปนั่งที่เถอะครับแม่ พวกเราตั้งใจทำอาหารเพื่อสุขภาพเพื่อแม่อย่างสุดฝีมือเลยนะครับ” เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้ม นัยน์ตาสีเดียวกัน ... ปาร์กเกอร์ พูดด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ไทยแล้วทำท่าจะอุ้มไทยไปนั่งที่ประจำของไทยแต่ก็โดน อดัม ยื้อไว้

    “เดี๋ยวฉันพาแม่ไปนั่งเอง" อดัม พูดก่อนจะวิ่งพาไทยไปนั่งอย่างรวดเร็วเพราะตัวเขานั้นรู้ดีว่าต่อให้เขาพูดดีหรือขู่ หรือแม้กระทั่งเป็นคำสั่งของผู้เป็นพี่ ปาร์กเกอร์ก็ไม่สน เพราะมีเพียงคนคนเดียวเท่านั้นที่ปาร์กเกอร์ยอมเชื่อฟัง นั้นก็คือไทย...ซึ่งถ้าเป็นไทยคงยอมให้ปาร์กเกอร์อุ้มแต่โดยดีโดยไม่ได้คิดอะไร...แต่ตราบใดที่ไทยไม่ได้อยู่กับปาร์กเกอร์กันสองต่อสองล่ะก็...ก็อย่าหวังว่าจะได้เข้าใกล้ไทยเลย...

    พอ อดัม พาไทยมานั่งที่โต๊ะนั่งประจำของเขานั้น โดยที่มีไทยนั่งตรงกลางและ อดัมกับ อเล็กซ์เข้าไปนั่งในสุดทางด้านซ้าย ส่วนทางด้านขวามีโปนั่งช้างไทยและทิมนั่งริมสุด

    ส่วนฝั่งตรงข้ามก็มี โรเบิร์ติ วิกเตอร์ แอนนาและโมเอะ ส่วนโต๊ะถัดไปที่อยู่ด้านหลังทั้ง 4 คนก็มี จังมี รีเบคก้า ฮัมฟรีย์ นาธานและเดวิด นั่งอยู่ติดกันโดยที่ตรงข้ามของทั้ง 5 คนนั้น มี ฮารุ  อชิต ซาเลม ปาร์กเกอร์ และที่ตามมาเป็นคนสุดท้ายก็คือ เด็กหนุ่มผมสีทองยาวปะบ่า นัยน์ตาสีฟ้า ... แฟรงคลิน บลอนโชว่า ...

    “วันนี้ผมทำอาหารสุดฝีมือ เพื่อคุณแม่เป็นพิเศษเลยนะครับ” แฟรงคลินชะโงกหน้าหันไปพูดยิ้มๆกับไทยก่อนจะส่งจุ๊บไปให้คุณแม่ผู้แสนน่ารักของเขาหนึ่งจุ๊บ ซึ่งการกระทำนั้นทำให้พวกพี่น้องของเขารู้สึกไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร ทำให้เขาโดน...

     

     

    ผัวะ!!!

     

     

    ...โดนปาร์กเกอร์ที่นั่งข้างๆแอบตบกบาลด้วยความหมั่นไส้ไปหนึ่งดอก

    “ขอบใจนะจ๊ะ แฟรงคลิน แต่ว่า ทุกๆวันลูกก็ตั้งใจทำอยู่แล้วไม่ใช่หรอจ๊ะ?” ไทยพูดด้วยรอยยิ้ม

    “ครั้งนี้ตั้งใจและใส่ใจเพิ่มเป็นสองเท่าเพื่อให้แม่หายไวๆยังไงล่ะครับ” ทาง แฟรงคลินเองก็ตอบด้วยรอยยิ้มเช่นกันแต่ก็ลูบหัวที่โดนตบไปด้วย

    “แหม่~ ปากหวานจังนะจ๊ะ” ไทยว่าด้วยอาการเขินอายนิดๆเมื่อนิสัยของลูกชายคนนี้ของเธอ ช่างมีส่วนคล้ายกับพ่อของเขาเสียจริง รวมไปถึงหน้าตาอันหล่อเหลาของเขาอีกด้วย

     

     

    กริ๊ง!

     

     

    ...ยังไม่ทันที่จะได้คุยอะไรกันต่อ เสียงของกระดิ่งของประตูหน้าร้านก็ดังขึ้นพร้อมการปรากฎตัวของ ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเกือบดำ นัยน์ตาสีน้ำตาลทอง สมาชิกคนสุดท้ายของบ้าน แต่เป็นพี่ใหญ่ของบ้านไทย...สกาย สมาย เอกภพ เอกนภา โซโลม่อน...

    “กลับมาแล้วครับ” ชายหนุ่มเอ่ยพร้อมรอยยิ้มซึ่งรอยยิ้มของเขานั้นช่างอบอุ่นเช่นเดียวกับไทยไม่มีผิด แต่ใบหน้าที่หล่อเหลานั้น เป็นเคร้าโครงที่เขาได้รับมาจากผู้เป็นพ่อ ซึ่งมันทำให้ไทยรู้สึกเหมือนกับชายผู้นั้นผู้เป็นพ่อของสกายอยู่ด้วยกันกับเขาตลอด

    สกายเดินไปนั่งตรงกลางระหว่างวิกเตอร์กับแอนนาด้วยท่าทางสุภาพและรอยยิ้มซึ่งกิริยาท่าทางของเขานั้นเหมือนไทยจนไม่มีใครสงสัยเลยว่าเขาใช่ลูกของไทยหรือไม่

    “ยินดีต้อนรับกลับจ๊ะสกาย” ไทยพูดด้วยรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน

    “เท้าของแม่...ไม่เป็นอะไรมากใช่ไมครับ?”สกายถามด้วยความเป็นห่วงซึ่งทั้งน้ำเสียงและสีหน้าแสดงออกอย่างเห็นได้ชัด

    “ก็...ไม่ค่อยเจ็บแล้วล่ะจ๊ะ แต่ยังรู้สึกปวดอยู่น่ะจ๊ะ”ไทยตอบตามความจริง เพราะถ้าโกหกขึ้นมาล่ะก็...โดนลูกงอนแล้วมันทำให้เขารู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไร

     “งั้นก็ทานข้าวกันเถอะครับ  ทานเสร็จแล้วจะได้ทานยาแล้วพักผ่อน” สกายพูดก่อนจะยืดตัวแล้วเตรียมตัวให้เรียบร้อย ก่อนจะเอ่ยถามกับน้องๆของตน

    “วันนี้สวดมนต์กันก่อนทานข้าวกันไม?”

    “สวดเถอะครับพี่สกาย ผมรู้สึกไม่ค่อยสบายใจยังไงก็ไม่รู้” ทิมพูดขึ้น ถึงเขาจะเป็นคนสุขุมเยือกเย็นและไม่ค่อยสนใจอะไรสักเท่าไร แต่ก็บ่อยครั้งที่เขามักจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจกับเรื่องบางเรื่อง...ตัวจึงอยากสวดมนต์เพื่อให้จิตใจสงบก่อนทานข้าวเย็น

    “แล้วมีใครอยากแสดงความคิดเห็นเรื่องบทสวดมนต์ก่อนทานข้าวแบบไหนไม?”สกายถามอีกครั้ง

    “แบบไทยๆนั้นแหละครับพี่สกาย” โปพูดขึ้นซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะพูดชิงตัดหน้าพี่น้องคนอื่นๆซะด้วย...

    “ดี...เอาแผ่เมตตาด้วยไม?” สกายถามรอบที่ 3

    “ก็ดีครับ” ทิมพูดด้วยสีหน้าที่บ่งบอกได้เลยว่าเขารู้สึกไม่สบายใจสักเท่าไร

    “งั้นเริ่มเลยนะ...” สกายพูดนำก่อนที่ทั้งหมดจะพากันพะนมมือสวดมนต์และแผ่เมตตาให้เรียบร้อยตามที่ตกลงกันไว้ก่อนจะเริ่มทานข้าวเย็นกัน...

     

    ...ตั้งแต่ได้กลับมาอยู่ที่ประเทศไทย ชีวิตของเขาก็ดำเนินอยู่เช่นนี้เป็นเวลา 30 ปี จนเขาอายุครบ 110 ปี...ซึ่งการได้อยู่กับครอบครัวเช่นนี้ ช่างเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขจริงๆ...แต่มันก็ยังไม่สมบูรณ์...เขาจะทำให้แม่และน้องๆมีความสุข...เขาจะพาพ่อของพวกน้องๆมาพบกับน้องๆแล้วก็แม่...ให้หมดทุกคน...ถึงแม้ว่ามันจะผิดกฎ...แต่ก็ไม่เป็นไร...เขายอมทำทุกอย่าง เพื่อให้ครอบครัวมีความสุข...เพราะไม่ว่ายังไงซะ พวกเขาก็ต้องเสียสละตัวเองเพื่อความสุขของผู้อื่นอยู่แล้ว ไม่ว่าด้วยเรื่องใดหรือว่าวิธีใดก็ตาม...

     

    .

    .

    .

    .

     

     

    ณ ห้องประชุมสมัชชาโลก

     

    “...” ภายในห้องประชุม บรรยากาศช่างเงียบเชียบ ทุกๆคนที่อยู่ภายในห้อง ไม่มีใครปริปากพูดอะไรเลยสักคำ ...อัลเฟรด เอฟ โจนส์ หรือ อเมริกา ที่ปกติจะกินแฮมเบอร์เกอร์แล้วเริ่มเปิดหัวข้อประชุมกลับเงียบและไม่แตะแฮมเบอร์เกอร์เลยสักชิ้น ทางด้านอิตาลีหรือเวเนเซียโน่ วาลกัส ที่มักจะชวนคนอื่นคุย นั่งทำธงขาว หรือวาดรูปเล่นก็นั่งเงียบและทำหน้าซึมเศร้าผิดนิสัยปกติของเขาโดยสิ้นเชิง

    ในตอนนี้ประเทศที่มาประชุมนั้นมี 10 ประเทศ แต่ถ้าจะนับเป็นคนก็ 11 คนเพราะประเทศอิตาลีนั้นมาทั้งอิตาลีเหนือและอิตาลีใต้ โดยสมาชิกประเทศที่มาประชุมนั้น มี  สหรัฐอเมริกา  อังกฤษ  จีน  รัสเซีย  ฝรั่งเศส  แคนนาดา  ญี่ปุ่น  เยอรมัน  อิตาลีเหนือ  อิตาลีใต้และสเปน    ซึ่งทั้งแคนนาดาและอิตาลีใต้หรือโรมาโน่นั้นไม่รู้เลยเสียด้วยซ้ำว่าทั้ง 8 คนนั้นซึมเศร้ากันเรื่องอะไร จึงทำได้เพียงแค่นั่งเงียบ แต่ตัวแคนนาดานั้น พูดไปก็ไม่ค่อยจะมีใครสนอยู่แล้ว ส่วนโรมาโน่เองก็ไม่รู้จะพูดอะไรดีเช่นกัน ทำให้ได้แต่เงียบ เงียบ แล้วก็เงียบ จนความเงียบมันเพิ่มขึ้นเป็น 11 เท่าตัว

     

     

    ปัง!!!!!

     

     

    และแล้ว เสียงประตูห้องประชุมก็เปิดขึ้นพร้อมกับการปรากฎตัวของหญิงสาวในชุดอ๋าวหญ่ายกับสาวน้อยอีกคนที่มีผมสีน้ำตาลยาวและมีดอกไม้ทัดหู ... เวียดนามกับไต้หวันนั้นเอง

    “พวกนาย!!!!!~” เวียดนามตะโกนพร้อมกับกระชับไม้พายในมือและเตรียมตัวเดินเข้าไปฟาดหนุ่มๆทั้งหลายที่ยังคงนั่งตกใจกับการมาของเธออยู่โดยมีไต้หวันคอยรั้งตัวห้ามไว้

    “ใจเย็นๆก่อนนะคะคุณเวียดนาม มีอะไรก็ค่อยๆพูดค่อยๆจากันนะคะ” ไต้หวันร้องห้ามก่อนที่ จะมีหญิงสาวอีกสองคนวิ่งเข้ามาช่วยกันรั้งเวียดนามไว้อีกแรงซึ่งหญิงสาวทั้งสองคนก็คือ...ฟิลิปปินส์ กับอินโดนีเซีย

    “เจ๊ๆ ใจเย็นๆนะเจ๊ อย่าเพ่งเอาไม้พายไปฟาดใครสิเจ๊” ฟิลิปปินส์พูดพลางพยายามรั้งตัวเวียดนามไว้ในขณะที่อินโดนีเซียพยายามแย่งไม้พายออกไปจากมือของเวียดนาม

    “เวียดนาม ปล่อยไม้พายเถอะ” อินโดนีเซียพูดพร้อมดึงจนสุดแรงในขณะที่อีกสองสาวพยายามรั้งตัวเวียดนามไม่ให้พุ่งเข้าไปทำร้ายทั้ง 10 หนุ่มที่ยังนั่งงงอยู่ซึ่งอีก 2 หนุ่มนั้นงงจนไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว

    “พวกเธอ!!!ไม่ต้องมาห้ามเลยนะ!!พวกเธอก็เห็นแล้วนี่!!!ว่าเจ้าบ้าพวกนี้มันเลวขนาดไหน!!!” เวียนนามพูดขณะดิ้นไปมาโดยที่อินโดเนเซียนั้นแย่งไม้พายออกไปจากเวียดนามเรียบร้อยแล้ว

    “เรื่องนั้นมันก็...แต่ว่า อย่าเพิ่งไปฆ่าพวกพี่จีนเขาเลยนะคะ” ไต้หวันพูดด้วยอาการลังเลนิดหน่อย เพราะไม่รู้ว่าจะเรียกในสิ่งที่พวกจีนกระทำลงไปนั้นว่าอะไรดี

    “ไม่ต้องไปเข้าข้างพวกนั้นเลยนะไต้หวัน! อินโดเนเซีย ฟิลิปปินส์ พวกเธอก็เห็นด้วยกับฉันไม่ใช่หรือไง!!!แล้วจะมาห้ามฉันทำไม!!เอาไม้พายของฉันคืนมานะ!!!!!ฉันจะฟาดไอ้ผู้ชายเลวๆพวกนี้ให้ตายให้หมดเลย!!!!!!!!!!ปล่อย!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” เวียดนามกรีดร้องด้วยความบ้าคลั่งจนอินโดเนเซียต้องเอาน้ำในแก้วตรงหน้าจีนมาสาดใส่หน้าเวียดนามจนเธอยอมสงบลงแต่มันก็ทำให้ทุกๆคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้รู้สึกงงไม่หายและตกใจกับการกระทำของอินโดเนเซียเช่นกัน

    “เอ่อ...อาเวียดนาม นี่มันเรื่องอะไรกัน?” ชายหนุ่มผมยาว ผู้ที่มีอายุมากที่สุดในนี้และเป็นพี่ใหญ่ในแถบเอเชีย ...จีน หรือหวาง เหยา ถามขึ้นในที่สุด

    “หุบปากไปเลย!!!!” เวียดนามแว้ดใส่ด้วยสายตาที่อาฆาตแค้นสุดๆทำเอาจีนถึงกับสะดุ้ง

    “อ่า...เวียดนามซัง ช่วยบอกให้พวกเรารู้ทีเถอะครับ...ว่าคุณโกรธพวกเราเรื่องอะไรกัน” ชายหนุ่มผมสีนิล นัยน์ตาสีน้ำตาล ... ญี่ปุ่น หรือ ฮอนดะ คิคุ ถามขึ้นต่อจากจีนที่หน้าซีดเผือกซึ่งเจ้าตัวก็นั่งสั่นนิดๆเหมือนกัน โดยทางเวียดนามนั้นกัดฟันกรอดพร้อมกับเชิดหน้าใส่เหล่าชายหนุ่มที่ยังคงนั่งงงๆอยู่ว่าพวกเขาไปทำอะไรมา แม่สาวใหญ่แห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึงโกรธแค้นกันถึงเพียงนี้

    “คุณเวียดนามคะ พวกเขายังไม่รู้กันเลยนะคะ ...ฉันว่า เล่าให้พวกเขาฟังเถอะนะคะ” ไต้หวันพูดขึ้นซึ่งพอเวียดนามได้ฟังแล้วก็ถึงกับถอนหายใจออกมา...เธอคงจะใจร้อนเกินไปสินะ...

    “เฮ้อ~ ก็ได้...ฉันคงจะใจร้อนเกินไปสินะ...แต่ก็นะ เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นกับไทย ฉันที่เป็นพี่สาวก็อดแค้นแทนไม่ได้” เวียดนามพูดขึ้นก่อนจะสะดุ้งพร้อมกับเหงื่อตกเมื่อ...

     

     

    ตึง!!!!!!

     

     

    “หา!!!เกิดอะไรขึ้นกับไทย/อาเอก/ไทยคุง/ไทยซังงั้นเหรอ!!!!!!X8

     

     

    ...เมื่อชายหนุ่มทั้ง 9 คนทุบโต๊ะประชุมและตะโกนขึ้นมาด้วยความตกใจทำเอาเวียดนามมองอย่างเหงื่อตกก่อนจะถอนหายใจอีกรอบ...ไม่รู้จริงๆนะเหรอ...

    “นี่พวกนาย ไม่รู้เรื่องอะไรเลยสินะ” เวียดนามถามซึ่งคำตอบที่ได้มานั้น...

    “อะไร? เรื่องอะไรเหรออาเวียดนาม บอกอั้วมานะ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับอาเอกน่ะ!!” จีนถึงกับวิ่งตรงเข้ามาจับไหล่เวียดนามแล้วเขย่าไปมาจนเธอเริ่มเวียนหัว...พวกมันไม่รู้จริงๆด้วยวุ้ย @w@...

    “อ่า...พี่เหยาหยุดก่อนเถอะคะ เดี๋ยวคุณเวียนนามจะเล่าให้ฟังไม่ได้นะคะ” ไต้หวัดเข้าไปหยุดไม่ให้จีนเขย่าเวียดนามไปมากกว่านี้

    “อาเหม่ยเหมย ลื้อรู้ใช่มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้นกับอาเอกน่ะ บอกอั้วมานะ!!” จีนเปลี่ยนเป้าหมายมาเขย่าตัวไต้หวันแทนทำเอาคุณเธอตาลายไปอีกคน

    “ก็...แค่ไทยท้องแล้วมีลูกเท่านั้นเอง ซึ่งพ่อก็คือพวกนายนั้นแหละ” เวียดนามพูดขึ้นด้วยอาการเวียนหัวโดยมีอินโดเนเซียกับฟิลิปปินส์เข้ามาช่วยพยุง

    “...”

    “.......”

    “............”

    “........................”

    “หา!!!!!!!อะไรนะ!!!!!!!!!X9

     

     

    .

    .

    .

    .

    .

    .

     

     

    ประเทศญี่ปุ่น

     

     

    “แม่”...ชายหนุ่มผมสีนิล นัยน์ตาสีแดง ... แซนซัส เรียกคนที่กำลังนอนหลับอยู่พร้อมเขย่าตัวเบาๆ...

    “...” ...ทางด้านหญิงสาวผมสีน้ำตาลยาวฟูฟ่อง...ซาวาดะ สึนะโยชิ ก็ยังคงหลับต่อไป

    “สึนะ” แซนซัสรองเปลี่ยนสรรพนามเรียกบุคคลตรงหน้าแทนแต่สิ่งที่ได้รับตอบกลับมานั้น...

    “ป๊ะป๋าขา~” ...สิ่งที่ร่างเล็กตรงหน้าละเมอทำเอาคนปลุกคิ้วกระตุกด้วยความไม่พอใจ

    “แม่!!!!!ตื่น!!!!!!ไม่งั้นโดนจับกดทำลูกคนที่ 10 แน่!!!!!!!!!!!!” ชายหนุ่มสูดหายใจก่อนจะตะโกนลั่นห้องนอนทำเอาร่างเล็กสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ

    “แว้กกกกกกกก!!! เกิดอะไรขึ้นอะ~!” ร่างเล็กสะดุ้งตื่นขึ้นมาพูดเสียงอ๋อยพลางคว้าหมอนไปกอดด้วยความตกใจ

    “ไปอาบน้ำแต่งตัวซะ” แซนซัสสั่งแต่พอหันมามองร่างเล็กตรงหน้าแล้ว กลับพบว่า...

    “ฟี๊~ ฟี๊~ ZZZ” ...พบว่าร่างเล็กกำลังนั่งหลับโดยที่เจ้าตัวยังกอดหมอนอยู่ซึ่งเขาก็อดยิ้มกับท่าทางน่ารักนั้นเสียไม่ได้

    “แม่!!!!!!!!!!!”...คราวนี้แซนซัสรองตะโกนเรียกจนบ้านแทบสั่นสะเทือนกับพลังเสียงของเขาและตัวเขาเองก็แทบจะแสบคอกับระดับเสียงที่ดังซะขนาดนี้

    “แว้กกกกกกกกกกกกกกกกกก!! อะไรอะ~?” ...คราวนี้สึนะตื่นขึ้นมามองแซนซัสด้วยสายตาตื่นๆพร้อมกับมีน้ำตาปลิ่มอยู่ที่ขอบตานิดหน่อย

    “ไป-อาบ-น้ำ-แต่ง-ตัว-ซะ หรือจะให้ผมอาบให้” แซนซัสพูดที่ละคำพร้อมกับมองร่างตรงหน้าด้วยสายตาที่บอกได้เลยว่ามันไม่จบแค่อาบน้ำแน่...ไม่แน่ว่าการอาบน้ำนั้นอาจนานกว่า สึนะอาบเองเสียอีก...

    “แว้กกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก!!! ไปแล้วๆๆๆ” สึนะพูดรัวก่อนจะวิ่งไปเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว

    “เฮ้อ~” แซนซัสถึงกับถอนหายใจ...อันที่จริง...ตัวเขานั้นก็ไม่ได้อยากปลุกร่างบางหลังจากเพิ่งทำงานหนักมาเป็นเวลาหลายวันนักหรอกนะ...แต่แม่ของเขาก็น่าจะได้รับการพักผ่อนที่ดีเสียบ้าง...หลังจากเหนื่อยมาตั้งนานแสนนาน...แต่ก็สะดุ้งเมื่อนึกได้ว่าแม่ของเขานั้น ในตอนนี้กำลังอยู่ในอาการง่วงนอนจนเข้าขั้นโคม่า

    “อย่าเผลอหลับในห้องน้ำนะแม่!!!!!!!

    “คะ~

    ...เสียงขานรับ ทำให้เขารู้สึกวางใจขึ้นมาบ้างก่อนจะเดินออกไปจากห้อง...

     

     

    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

     

     

    “อยากนอนต่อจังเลย~” ร่างเล็กยกมือขึ้นขยี้ตาเบาๆพลางเอามือป้องปากหาวน้อยๆ ในขณะที่กำลังเดินไปตามทางเดินของตัวบ้าน แต่พอเดินลงบันไดมาก็ถึงกับต้องเปิดตากว้างพร้อมกับความง่วงที่หายไปอย่างรวดเร็ว

    “เตรียมตัวไปไหนกันน่ะทุกคน!!!” สึนะถึงกับถามด้วยความตกใจกับสภาพของทุกๆคนในบ้านที่แต่งองค์ทรงเครื่องพร้อมกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ในมือ...จะเตรียมตัวไปไหนกันอะ? ...

    “ก็จะไปเที่ยวกันน่ะสิครับท่านแม่” เด็กหนุ่มผมสีเงิน นัยน์ตาสีมรกต ... โกคุเทระ ฮายาโตะ หันมาตอบกับสึนะที่ยังยืนอึ้งไม่รู้เรื่องอยู่ก่อนจะเดินถือกระเป๋าออกไปที่รถลีมูซีน

    “เที่ยวหรอ?...งั้นก็ ขอให้โชคดีนะจ๊ะ~” สึนะพูดด้วยรอยยิ้มก่อนจะทำท่าจะเดินขึ้นไปข้างบนห้องเพื่อไปนอนต่อแต่ก็ชนเข้ากับอะไรแข็งๆ ซึ่งพอเงยหน้าก็พบกับแซนซัสที่ยืนหน้าบึ้งตึง เคร่งขรึม จ้องมองมาทางเธอทำเอาสึนะถึงกับเหงื่อตกปนสั่นนิดหน่อยด้วยความรู้สึกหนาวๆที่กระดูสันหลังแปลกๆ

    “จะไปไหน?” ชายหนุ่มตรงหน้าถามเสียงเรียบแต่ทำเอาคนตอบรู้สึกหนาวๆ

    “ขึ้นไปนอนจ้า~” สึนะตอบกลับด้วยรอยยิ้มแต่ก็ยังสั่นๆอยู่

    “ไม่ได้...เพราะแม่ต้องไปเที่ยวกับพวกเรา” แซนซัสพูดเสียงเรียบราวกับออกคำสั่ง...แต่ก็สั่งจริงๆนั้นแหละ...

    “งะ...ตะ...แต่”

    “มีปัญหางั้นเหรอ” ...ด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบและดูจะดุดันปนเย็นชาหน่อยๆ รวมไปถึงดวงตาคู่คมสีแดงเพลิงที่มองจ้องมาด้วยสายตาดุๆทำเอาสึนะถึงกับปฏิเสธไม่ออก...เพราะถ้าขืนปฏิเสธตัวเธอซวยแน่ๆ...

    “แต่แม่ยังไม่ได้เก็บของเลยนะ” สึนะตอบพร้อมรอยยิ้มแห้งๆ

    “พวกเราเก็บให้แล้วครับแม่” เสียงหนึ่งดังขึ้นจากทางด้านหลังพร้อมกับมือคู่หนึ่งที่มาจับที่บ่าบางจนเจ้าของต้องสะดุ้งก่อนจะหันไปมอง ก็พบกับชายหนุ่มผมสีขาวชี้ฟู นัยน์ตาสีอเมทิส ... เบียคุรัน ที่กำลังส่งรอยยิ้มแปลกมาให้กับเธอ...นี่ร่วมด้วยช่วยกันขู่แม่งั้นเหรอ~!...

    “งั้นก็ไปกันได้แล้วสินะครับ” เบียคุรันพูดพร้อมกับบีบที่ไหล่ของสึนะเบาๆจนเธอเหงื่อตก

    “ขอนอนต่อสักชั่วโมงได้ไม” สึนะถามยื้อเวลา เพราะเธอในตอนนี้อยากนอนมากกว่าไปเที่ยว

    “ไว้ค่อยไปนอนต่อบนรถก็แล้วกัน” แซนซัสพูดก่อนจะจับให้สึนะหันไปทางประตูบ้านแล้วช่วยกันกับเบียคุรันดันร่างบางออกให้ออกไปที่รถซึ่งในตอนนี้คนอื่นๆไปรอกันที่รถหมดแล้ว

    “ง่า~ แต่นอนบนรถมันไม่สบายเท่านอนบนเตียงในบ้านอะ~” สึนะถึงกับงอแงพร้อมกับพยายามยื้อไม่ออกไปจากตัวบ้านซึ่งพอมาถึงประตูบ้านแล้วสึนะถึงกับเกาะขอบประตูไว้แน่นจนสมาชิกคนอื่นๆในบ้านต้องมาช่วยกันดึงร่างเล็กให้ปล่อยมือจากขอบประตูบ้าน

    “แม่ครับ...แม่ต้องไปพักผ่อนซะบ้างนะครับ” เด็กหนุ่มผมสีนิล นัยน์ตาสีน้ำตาล ... ยามาโมโตะ ทาเคชิ พูดในขณะที่กำลังช่วยพ่อและพี่น้องของเขาดึงแม่ของตัวเองออกจากขอบประตูบ้าน

    “การนอนไงการพักผ่อนน่ะ~” สึนะพูดพร้อมเกาะขอบประตูแน่น

    “การนอนเป็นการพักผ่อนก็จริงนะครับ แต่ก็มีอย่างอื่นที่เป็นการพักผ่อนเหมือนกันนะครับ” โกคุเทระพูดพร้อมกับพยายามช่วยยามาโมตะดึงสึนะที่ยังคงเกาะขอบประตูอยู่

    “ไม่เอาอะ~ เขาอยากนอนอยู่บ้านไม่อยากไปเที่ยว! ~” สึนะงอแงเป็นเด็กๆทั้งที่อายุนั้นไม่ใช่เลยสักนิด

    “อย่าทำตัวเป็นเด็กๆได้ไม!!!!!” ชายหนุ่มผมสีเงินยาวถึงกลางหลัง นัยน์ตาสีฟ้าน้ำทะเล ... สเปลพี สควอโล่ ตะโกนพร้อมกับพยายามดึงร่างเล็กที่ยังเกาะขอบประตูอยู่สุดฤทธิ์ จนในที่สุด สึนะก็ปล่อยมือแล้วก็...

     

     

    ตุบ!!!โครม!!!!!!

     

     

    แล้วก็ล้มทับ สควอโล่แล้ว สควอโล่ก็ล้มลงไปทับยามาโมโตะกับโกคุเทระจนทั้ง 4 คนกลิ้งไปชนกับประตูรถที่เปิดพอดี

    “ฮาฮิ! เกิดอะไรขึ้นงั้นเหรอคะ?” เสียงของผู้ที่เปิดประตูรถดังขึ้นพร้อมกับหญิงสาวผมสีน้ำตาลเข้มมัดรอบเป็นหางม้า นัยน์ตาสีน้ำตาล ... มิอุระ ฮารุ ถามขึ้นเมื่อเปิดประตูมาเจอกับกองสิ่งมีชีวิต (?) ที่นอนกองกันอยู่หน้าประตูรถที่เธอเปิด แถมมีเลือดติดที่ขอบประตูหน่อยๆซึ่งเลือดนั้นมาจากหัวของโกคุเทระ

    “พวกนายเล่นสุดขั้วอะไรกันน่ะ?” เด็กหนุ่มผมสีขาว นัยน์ตาสีเงิน ... ซาซางาวะ เรียวเฮ ถามเมื่อชะโงกหน้าออกมาแล้วเห็นกองสิ่งมีชีวิตกองอยู่ตรงประตู

    “เล่นซะที่ไหนวะ!!!!แล้วใครเปิดประตูวะ!!!!!ไม่ได้ดูตาม้าตาเรือเลย!!!!!!!!!!!!! ใคร!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!” โกคะเทระที่โดนทับอย่างด้านหลังและโดนประตูรถไปเต็มๆหัวตะโกนขึ้นพร้อมกับลุกขึ้นยืนเร็วๆทำให้ยามาโมโตะถึงกับหัวโขกเท้าของเขา...ซวยรอบที่ 3 ของวัน...

    “ก็พวกเราเห็นพวกพี่ยังไม่มากันสักทีเลยว่าจะลองลงมาดูน่ะคะ” เด็กสาวผมสีชาเย็น นัยน์ตาสีเดียวกัน ... ซาซางาวะ เคียวโกะ ตอบในสิ่งที่โกคุเทระสงสัย...แต่ไม่ตรงคำถาม...

    “ฉันถามว่าใครเปิดประตู!!!!!ไม่ได้ถามว่าเปิดประตูรถทำไมโว้ย!!!!!!!!!” โกคุเทระตะโกนด้วยความเหลืออดจนพี่น้องคนอื่นๆพากันคิดตรงกันว่า...

     

    เอ็ง / นาย กลายเป็นสควอโล่/ฉลาม/อา สควอโล่ เบอร์ 2 แล้วเหรอ (คะ)

     

    “ฮารุเปิดเองคะ” ฮารุตอบอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาวด้วยรอยยิ้ม

    “ยัยติ๊งต๊อง!!” โกคุเทระตะโกนว่าทำเอาฮารุฉุนกึก

    “ฮาฮิ! มาว่าฉันทำไมคะ ฮารุไม่ได้ตั้งใจสักหน่อย แล้วใครใช้ให้คุณโกคุเทระมานั่งขวางทางประตูรถล่ะคะ!!” ฮารุว่ายาวเป็นชุด

    “ความจริงแล้วนี่มันการพักผ่อนของครอบครัวนะ! คนนอกอย่างหล่อนไม่น่ามาด้วยเลยด้วยซ้ำ!!” โกคุเทระว่ากลับ

    “พูดแบบนี้ก็ว่ามาถึงฉันด้วยสิคะคุณโกคุเทระ” หญิงสาวผมสีนิลถักเปีย นัยน์ตาสีนิล ... อี้ผิง ลงมาจากรถก่อนจะพูดด้วยความไม่พอใจ

    “ก็เออสิวะ!!

    “อย่าโมโหสิคะ โกคุเทระคุง ฉันเป็นคนชวนพวกเขาเองนะคะ อีกอย่างนึงไปกันเยอะๆก็สนุกดีออกนะคะ” เคียวโกะพูดห้าม

    “นั้นสิโกคุเทระ” ยามาโมโตะที่ลุกขึ้นมายืนพลางลูบหัวพูดยิ้มๆ

    “แกน่ะเงียบไปเลย!!!” โกคุเทระตะโกนด้วยความไม่พอใจอีกครั้ง เพราะเขายังเคืองยามาโมโตะเรื่องที่หัวกระแทกเท้าเขาอยู่ แล้วยิ่งเจอกับแขกไม่ได้รับเชิญถึง 4 คน ซึ่งพี่น้องของเขาเป็นคนชวน ...ตัวมารความรักมาเพิ่ม...ทำให้เขาหงุดหงิดยิ่งกว่าอะไรเสียอีก

    “แกนั้นแหละเงียบ!!!!ฮายาโตะ!!!!!!” สควอโล่ที่เหลืออดกับหลานและลูก (?) ของตนเองถึงกับตะโกน...นี่สิตนเสียงแปดหลอดตัวจริงเสียงจริง...

    “อะระ...” ยังไม่ทันที่โกคุเทระจะได้ถามอะไร สควอโล่ก็เอามือยกขึ้นเป็นเชิงห้ามก่อนจะชี้ที่ร่างเล็กที่นอนหลับอยู่ในอ้อมกอดของเขา

    “อ้าว~ แม่หลับไปตั้งแต่เมื่อไรน่ะ?” ยามาโมโตะพูดยิ้มๆกับแม่ของเขาที่หลับเหมือนลูกแมวน้อยก็มิปาน

    “ช่างเถอะ...รีบๆไปกันได้แล้ว” แซนซัสพูดขึ้นก่อนจะอุ้มร่างเล็กขึ้นมาไว้ในอ้อมกอดแล้วเดินขึ้นรถไปซึ่งพวกที่เหลือก็เดินขึ้นรถตามไปติดๆ

     

    ...พวกเขาแค่อยากมีช่วงเวลาดีๆกับคนรักเท่านั้น...ช่วงเวลาที่ไม่ใช่บนเตียงตามที่ร่างเล็กต้องการ...และอยากมอบความสุขให้กับคนสำคัญคนนี้...

     

    ...ใช่ว่าตัวเธอจะไม่รู้ว่าพวกเขาต้องการอะไร...เธอจึงหลับกลางอากาศซะจะได้จบเรื่อง...อันที่จริงพวกนั้นน่าจะอุ้มเธอไปตั้งแต่หลับอยู่เลยน่าจะจบเรื่อง...เธอจะได้ไม่เสียเวลานอน...แต่บอกก่อนก็ดีแล้ว จะได้รู้...ช่วงเวลาที่มีความสุขงั้นเหรอ?...คิดจะมอบความสุขให้กับเธองั้นเหรอ?...คงไม่รู้เลยสินะ...ว่าเพียงแค่ได้อยู่กับทุกๆคน...ได้อยู่กับครอบครัวเช่นนี้...เธอก็มีความสุขแล้ว...และเธอจะขอปกป้องครอบครัวของเธอ...แม้จะต้องสละชีวิตก็ตาม...เพราะสำหรับ อโพซุลุสอย่างเธอที่ได้แต่มอบความสุขให้ผู้อื่น...รวมไปถึงการเสียสละในบางครั้งเพื่อผู้อื่น...การได้อยู่กับครอบครัวเช่นนี้คือความฝัน...และความฝันนี้ก็กลายเป็นจริง...ซึ่งเธอรู้สึกมีความสุขมาก...เพียงแค่ได้อยู่กับพวกเขา ก็เพียงพอแล้ว...ความสุขแค่นี้ ก็เพียงพอแล้ว...

     

    .

    .

    .

     

    ...ตัวพวกเขานั้นไม่ได้อยากทอดทิ้งราชอาณาจักร...เพียงแค่อยากมีช่วงเวลาที่จะได้มีความสุขตามที่ฝันไว้ก็เท่านั้น...และเมื่อถึงช่วงเวลาหนึ่ง...พวกเขาก็จะกลับไป...กลับไปหาท่านพ่อที่เคารพของพวกเขา...เพราะไม่ว่ายังไง...พวกเขาก็ยังคงเป็นครอบครัวเดียวกันเสมอ...ไม่ว่าจะมาจากเผ่าพันธุ์ใด...หรือเกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างพวกเขาก็ตาม...พวกเขาก็ยังคงเป็นครอบครัวเดียวกันเสมอ...แน่นอน...ตลอดไป...

















    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++



    เริ่มต้นบทแรกด้วยเหล่าอโพซุลุสแห่งสาขาเอเชียก่อนเลยก็แล้วกันนะเจ้าคะ...นำทีมโดย คุณหัวหน้าสกายสุดหล่อ กับ รองหัวหน้าสาวสุดน่ารักสึนะจังสุดโมเอะนั้นเอง...เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นยังไงนั้น ต้องรอติดตามนะเจ้าคะ...
    ช่วยเม้มด้วยนะเจ้าคะ และเจอกันนะเจ้าคะ~


















    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×