คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทนำ (รีบอร์น)
...ความมืด...แสงสว่าง...
...ความมืดที่เกิดจากแสงสว่าง...แสงสว่างที่เกิดจากความมืด...วนเวียนเช่นนี้เลื่อยไป...
...สีขาวกับสีดำ...เมื่อนำมารวมกัน...ก็จะได้สีเทา...และเมื่อเป็นสีเทา...ก็สามารถให้กำเนิดได้ทั้งความมืดและแสงสว่าง...
...ตัวฉันในตอนนี้ ปรารถนาเพียงแค่ความสุขเท่านั้น...ความสงบสุข ที่จะได้อยู่กับครอบครัว...
...ตัวฉันในตอนนี้ เกิดจากบาปของความมืดมิด...ตัวฉันที่ตะเกียดตะกายขึ้นมาจากความมืดมิดในขุมนรก...กลายเป็นสิ่งที่ผู้คนเรียกว่าแสงสว่าง...แต่แท้จริงแล้ว ตัวฉันนั้นคือสีเทา...
...ตัวฉันในตอนนี้ ปรารถนา...ให้ความทุกข์ทรมานนี้จบลง...และได้โปรด...
...ได้โปรด...ได้โปรดเถอะ...อย่าทิ้งฉันไป...อย่าทำผิดอีกเลย...อย่าได้...ทำบาปเพื่อฉันเลยนะ...
.
.
.
...ท้องฟ้ายามค่ำคืน ช่างมืดมิด...สายลมกระโชกแรงเพราะพายุ...หยาดพิรุณกระหน่ำลงมาราวกับม่านลวงตาที่ป้องกันไม่ให้ผู้ใดได้เห็นร่างๆหนึ่ง ...
...ในยามค่ำคืนที่ฝนฟ้าคะนองเพราะพายุนี้ มีร่างเล็กร่างหนึ่ง ภายใต้เสื้อคลุมซึ่งมีผ้าคลุมหน้าที่ปกปิดตั้งแต่ดวงตาลงมา ยกเว้นส่วนจมูกกับส่วนริมฝีปากเท่านั้นหรืออาจเรียกว่าฮู้ทของเสื้อคลุมนั้นก็ว่าได้ จนทำให้มิอาจรู้ได้ว่า หน้าตาจริงๆของร่างเล็กนั้นเป็นอย่างไรหรือทำให้มิอาจรู้ได้ว่า ร่างเล็กนั้นเป็นใคร... ในมือของร่างเล็กนั้น มีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่หน้าจะหนักอยู่เอาการแต่ร่างเล็กกลับถือมันราวกับว่ามันคือกระเป๋าเปล่า... ซึ่งเด็กคนนั้นได้เดินตรงเข้ามายังปราสาทวองโกเล่ที่คนธรรมดาไม่น่าจะเข้ามา อย่างจงใจ...โดยที่พวกยามเฝ้าปราสาทนั้น ไม่ทันได้สังเกตเธอ...ซึ่งนั้นก็เป็นเรื่องน่าประหลาดมาก ที่เป็นเช่นนั้น...ในเมื่อเด็กคนนั้น แทบจะเดินเฉียดยามพวกนั้นหรืออยู่ตรงหน้าเสียด้วยซ้ำ...แต่พวกนั้นกลับทำราวกับว่าเด็กคนนั้นไม่มีตัวตน...
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะประตูดังขึ้น เรียกความสนใจของผู้ที่กำลังจะเดินไปส่งรุ่นที่ 9 ที่ห้องพักเพื่อความปลอดภัยให้หันมามองยังประตูบานใหญ่ด้วยความหวาดระแวง เพราะในช่วงเวลาเช่นนี้ ไม่น่าจะมีใครมาเคาะประตูปราสาทแห่งนี้ในเวลาเช่นนี้ และถ้าเป็นพวกลูกน้องก็จะเข้ามาในทันที ไม่ใช่มาเคาะขออนุญาติเช่นนี้...
ชายวัยกลางคนได้เดินมาเปิดประตูเพื่อดูว่า ใครกันที่มาเคาะประตูปราสาทแห่งนี้ในเวลาฝนฟ้าคะนองเช่นนี้ และเมื่อเปิดประตู เขาก็ดูจะตกใจกับแขกที่มาไม่น้อย
“ขอโทษนะคะ ที่มารบกวนในเวลาแบบนี้ แต่ว่า...ฝนฟ้าคะนองแบบนี้ หนูเดินทางไม่สะดวกน่ะคะ ขอพักที่นี่สักคืนจะได้ไมคะ?” ร่างเล็กเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสุภาพ ซึ่งดูจากท่าทางและรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว ชายวัยกลางคนคิดว่าเธอคงไม่มีพิษมีภัยอะไร แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมเธอถึงเข้ามาที่นี่ได้ทั้งๆที่มียามเฝ้าตั้งมากมาย แต่พอมาคิดดูอีกทีอาจเป็นเพราะฝนฟ้าคะนองทำให้เธอเดินหลงเข้ามาที่นี่และอาจเป็นเพราะฝนฟ้าคะนองทำให้พวกยามตาพล่ามัวจนไม่ทันสังเกตเห็นเด็กตัวเล็กๆที่เดินหลงเข้ามาก็เป็นได้
“มีอะไรงั้นเหรอ อิเอมิสึ?” ชายชราผู้เป็นเจ้าของปราสาทเดินมาเอ่ยถามกับลูกน้องคนสนิท
“อะ...เอ่อ...คือว่า เด็กคนนี้เขาเดินหลงเข้ามาน่ะครับรุ่นที่เก้า ดูเหมือนจะเหนื่อยจากการเดินทางเลยมาขอพักที่นี่สักคืนน่ะครับ” ชายวัยกลางคนที่ชื่อ อิเอมิสึเอ่ยอธิบายกับชายชราที่เขาเรียกว่ารุ่นที่ 9 ซึ่งรุ่นที่ 9 ก็พอจะเข้าใจอยู่
“สภาพอากาศย่ำแย่แบบนี้ คงลำบากสินะ งั้นก็เข้ามาพักตามสบายเถอะ” ชายชราเอ่ยพร้อมยิ้มให้อย่างอ่อนโยนซึ่งเด็กน้อยก็ยิ้มตอนกลับมาด้วยรอยยิ้มสดใส...ถึงจะไม่เห็นด้วยตาของเธอก็ตาม แต่ก็พอจะเดาออกจากรอยยิ้มว่าเธอคงดีใจแน่นอน...
หลังจากที่ร่างเล็กเข้ามาในปราสาทแล้ว รุ่นที่ 9 ก็ให้อิเอมิสึพาร่างเล็กไปยังห้องพักที่ว่างอยู่ซึ่งเป็นห้องพักที่เรียกได้ว่าหรูอยู่เอาการ เตียงนอนนั้นขนาดใหญ่เอามากๆ คงจะเป็นขนาดคิงไซท์ ตัวห้องนั้นตกแต่งอย่างหรูหราและสวยงามแถมยังมีห้องน้ำในตัวอีก
“มีอะไรก็เรียกได้นะ” อิเอมิสึเอ่ยซึ่งเด็กน้อยก็หันมายิ้มให้ก่อนจะพยักหน้าแล้วเดินเข้าไปก่อนจะสะดุ้งกับเสียงฟ้าร้อง ซึ่งอิเอมิสึก็ขำกับท่าทางนั้นนิดหน่อยด้วยความเอ็นดู
“ขอบคุณนะคะ คุณ...พะ...อะ...อิเอมิสึ” เด็กน้อยเอ่ยด้วยท่าทางอ้ำอึ้งเพียงเล็กน้อยก่อนจะยิ้มให้กับอิเอมิสึซึ่งเขาก็เอะใจกับท่าทางแปลกๆนั้นอยู่เหมือนกันจึงถามออกไป
“มีอะไรรึเปล่าน่ะ...เธอดูแปลกๆนะ?” อิเอมิสึเอ่ยถามโดยที่เขายังยืนอยู่ที่ประตูอยู่
“ปะ...เปล่าคะ...แค่ยังตกใจกับเสียงฟ้าร้องอยู่น่ะคะ แหะๆ” ร่างเล็กเอ่ยตอบพร้อมกับยิ้มแห้งๆ ซึ่งสำหรับเธอมันก็จริงน่ะนะ เพราะว่าตอนที่เข้ามา จู่ๆฟ้าก็ร้อง ทำเอาเกือบหัวใจวายตายหรือเป็นลมงั้นแหละ...แต่ยังมีอีกเหตุผล...ที่เธอคงไม่สามารถพูดได้...
“งั้นก็แล้วไป...ขอไปก่อนนะ...พักผ่อนให้สบายล่ะ” อิเอมิสึเอ่ยก่อนจะปิดประตูแล้วเดินจากไปโดยที่เขาไม่ได้เอะใจเรื่องที่เธอรู้ชื่อของเขาเลยสักนิด เพราะคงคิดว่าที่เด็กคนนั้นเรียกเขาแบบนี้คงเพราะได้ยินที่รุ่นที่ 9 เรียกเขาเลยเรียกตามล่ะมั้ง...แต่มันจะใช้จริงๆหรือ?...
เด็กน้อยนิ่งรอฟังจนเสียงฝีเท้าของชายวัยกลางคนนั้นเงียบลง ก่อนที่เธอจะพึมพำอะไรบางอย่างพร้อมกับน้ำตาที่ไหลลงมาอย่างเงียบๆ
“ขอบคุณนะคะ คุณพ่อ”
หลังจากที่อิเอมิสึเดินจากไปแล้ว เธอก็จัดการเปิดกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ออกมาก่อนจะหยิบเสื้อผ้าตัวใหม่ที่เหมือนกับตัวเก่าออกมา แล้วเดินเข้าห้องน้ำไปเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าให้เรียบร้อยก่อนที่เธอจะเป็นหวัด...
เวลาผ่านไป 10 นาที เธอเดินออกมาพร้อมกับเสื้อผ้าที่เปียกชุ่มในถุงพลาสติกก่อนที่มันจะถูกไฟเผา แล้วหายวับไปอย่างหน้าประหลาด...
ร่างเล็กเดินมานั่งพักเหนื่อยที่เตียงและก้มลงมองนาฬิกาพกที่หยิบออกมาจากเสื้อคลุม
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
“ขออนุญาตินะขอรับ” เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมการปรากฎตัวของเด็กหนุ่มผมสีดอกเหล้า นัยน์ตาสีฟ้า ที่เดินเข้ามาในห้องพร้อมกับผ้าขนหนู
“คุณท่านให้กระผมนำผ้าขนหนูมาให้น่ะขอรับ” เด็กหนุ่มเอ่ยก่อนจะชะงักไปสักพักเมื่อเห็นว่าตัวของเด็กสาวนั้นแห้งเหมือนไม่ได้เพิ่งตากฝนมา
“ขอบคุณนะคะ...แต่ว่า ฉันอาบน้ำเรียบร้อยแล้วคะ” ร่างเล็กเอ่ยพร้อมร้อยยิ้มซึ่งทำให้เด็กหนุ่มหายสงสัยว่าทำไมตัวเธอถึงแห้งแล้ว
“เอ่อ...งั้น กระผมวางผ้าขนหนูไว้ตรงเก้าอี้นะขอรับ” เด็กหนุ่มเอ่ยก่อนที่สายตาจะไปสะดุดที่กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ซึ่งเด็กตัวเล็กที่นั่งอยู่บนเตียงตรงหน้าเขาไม่น่าจะถือมันมาได้
“นี่คุณ...ถือกระเป๋าหนักๆนั้นคนเดียวหรือขอรับ?” ชายหนุ่มเอ่ยถามซึ่งร่างเล็กทำเพียงเอียงคอมองพร้อมยิ้มซึ่งมันทำให้เด็กหนุ่มจังหวะหัวใจเต้นแปลกๆ
“หนักหรอคะ...ฉันว่า มันเบาออกนะคะ เพราะว่าในกระเป๋าใบนี้น่ะ...มันไม่มีอะไรเลย” เด็กสาวเอ่ยก่อนจะเปิดกระเป๋าแล้วหันไปให้เด็กหนุ่มดูซึ่งมันทำให้เด็กหนุ่มสงสัยไม่น้อย...นี่เธอถือกระเป๋าเปล่าเดินทางไปทั่วงั้นเหรอ?...แล้วเธอเปลี่ยนเสื้อผ้าได้ยังไงกันน่ะ?...
“ก็นะคะ...ฉันไม่ได้ถือกระเป๋าเปล่าๆ ไปไหนมาไหนโดยเปล่าประโยชน์หรอกนะคะ...แต่ที่ถือมานี้ เพราะเตรียมไว้ใส่ของ น่ะคะ” เด็กสาวตอบพร้อมรอยยิ้มแต่น้ำเสียงนั้นฟังเหมือนรู้สึกผิดยังไงชอบกล ซึ่งถึงแม้ว่าเด็กหนุ่มจะสงสัย แต่ก็ไม่รู้สึกเด็กสาวคนนี้มีพิษภัยต่อที่นี่ใดๆเลย ในทางกลับกัน เขากลับรู้สึกแปลกๆกับเด็กคนนี้เสียด้วยซ้ำ แต่เป็นไปในทางที่ดี...
“เอ่อ...คุณจะเดินทางไปไหนหรือขอรับ” เด็กหนุ่มที่อยากอยู่ต่ออีกหน่อยเอ่ยถามกับเด็กสาวเพื่อชวนคุย
“ว่าจะไปพายเรือเล่นที่เวนิส หรือไม่ก็ เวโรน่าแล้วค่อยเดินทางต่อไปอีกที่มิลาน น่ะคะ” เด็กสาวเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มโดยพยายามไม่บอกรายละเอียดมากนัก
“เอ่อ...คุณคิดจะเดินเท้าไปเหรอขอรับ เพราะว่าจากที่คุณพูดมาน่ะ มันไกลมากๆเลยนะขอรับ” เด็กหนุ่มเอ่ยพร้อมกับเหงื่อเม็ดโตที่ผุดขึ้นมาบนใบหน้ากับระยะทางระหว่างเมืองที่ร่างเล็กตรงหน้าบอก ซึ่งทางเขาก็ดูจะเมื่อยๆแล้ว และด้วยเหตุที่อยากจะคุยกับร่างเล็กต่อ เขาจึงถือวิสาสะไปดึงเข้าอี้มานั่งตรงหน้าร่างเล็กที่จัดการปิดกระเป๋าให้เรียบร้อย
“ก็ประมาณนั้นแหละคะ...ถือซะว่าเป็นการออกกำลังกายไปในตัวยังไงล่ะคะ” ร่างเล็กเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม เหมือนไม่ใช่เรื่องหนักหนาอะไร ผิดกับเด็กหนุ่มที่รู้สึกเป็นห่วงและสงสารขึ้นมาแปลกๆ เมื่อมองจากสภาพโดยรวมแล้ว ถ้ากระเป๋าเดินทางใบใหญ่ว่างขนาดนี้ สิ่งที่ต้องขนไปมันต้องไม่ใช่น้อยๆ จะต้องหนักมากๆเลยด้วย แล้วยิ่งเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆเดินถือแล้วเดินทางข้ามเมืองด้วยเท้าเปล่าแบบนี้ต้องลำบากแน่ๆ
“ให้พวกกระผลช่วยพาไปส่งไมขอรับ” เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยความมีน้ำใจ
“ไม่ต้องหรอกคะ...เป็นการรบกวนพวกคุณซะเปล่าๆ” เด็กสาวเอ่ยตอบ ซึ่งมันก็น่าแปลกอยู่ว่าเด็กหนุ่มไม่สงสัยหรืออย่างไรกัน ว่าเธอเอากระเป๋าใหญ่ๆแบบนี้มาขนอะไร แต่ว่ามันก็ดีแล้ว งานของเธอจะได้ไม่ยุ่งยาก
“แล้ว...คุณเดินทางมาจากไหนหรือขอรับ” เด็กหนุ่มยังคงถามต่อไปด้วยความอยากรู้
“นาโปลี อ้อ เนเปิลส์น่ะคะ” เด็กสาวเอ่ยตอบซึ่งมันยิ่งทำให้เขาตกใจเข้าไปอีกเพราะว่าฐานทัพหรือปราสาทวองโกเล่แห่งนี้น่ะ มันอยู่ที่กรุงโรมแล้วเนเปิลส์นั้นก็ห่างไกลจากกรุงโรมเป็นโยชน์ เลยเสียด้วยซ้ำ ไกลเกินกว่าจะเดินเท้าเปล่ามาถึงได้...ถึงจะมีคนที่สามรถเดินเท้าเปล่ามาได้ ก็ต้องเป็นคนที่มีความอึดอดทนมากๆ ซึ่งมันยิ่งทำให้เขารู้สึกประหลาดใจเข้าไปอีกที่เด็กตัวเล็กๆร่างกายบอบบาง แล้วยิ่งเป็นเด็กผู้หญิงแบบนี้ จะสามารถเดินเท้าเปล่าข้ามเมืองขนาดใหญ่และไกลๆมายังที่นี่ได้
“แล้วคุณเตรียมกระเป๋าเปล่าไปไว้ใส่อะไรหรอขอรับ?” เด็กหนุ่มเอ่ยถามในคำถามที่เขาสงสัยมากแต่กะว่าจะไม่ถาม แต่ในเมื่อเจอเรื่องประหลาดใจขนาดนี้ ก็คงจะอดไม่ได้
“เอ่อ...คือว่า มันเป็นของสำคัญสำหรับฉันมากๆเลยน่ะคะ...แต่คงบอกไม่ได้หรอกคะ ขอโทษด้วยนะคะ” เด็กสาวตอบพร้อมมองไปที่กระเป๋า ซึ่งทั้งน้ำเสียงกับสีหน้าของเธอดูจะหม่นหมองลงจนเด็กหนุ่มสะอึกก่อนที่ร่างเล็กตรงหน้าเขาจะยกมือขึ้นมาปิดทางแล้วหาวน้อยๆ ก่อนจะยกมืออีกข้างขึ้นขยี้ตาด้วยท่าทางน่ารักเหมือนเด็กๆซึ่งมันทำให้เขามองภาพนั้นด้วยความดูก่อนจะยกเก้าอี้ไปเก็บ
“งั้นกระผมขอตัวก่อนนะขอรับ...มีอะไรก็เรียกได้นะขอรับ อ้อ จริงสิ เรานั่งคุยกันซะตั้งนานยังไม่รู้จักกันเลย...กระผมชื่อบาจิลนะขอรับ แล้วคุณล่ะขอรับ” เด็กหนุ่มที่ชื่อบาจิลเอ่ยแนะนำตัวก่อนจะเอ่ยถามกลับมา
“เรียกฉันว่า ซือจัง เถอะนะคะ” เด็กสาวเอ่ยพร้อมเอียงคอตอบด้วยรอยยิ้มทำเอาเด็กหนุ่มหน้าขึ้นสีทันที
“งะ...งั้นก็...ซือจัง ราตรีสวัสดิ์นะขอรับ” บาจิลเอ่ยก่อนจะปิดไฟให้แล้วปิดประตูเดินจากไปพร้อมกับใบหน้าที่ขึ้นสีและหัวใจที่เต้นแรงจนเขาแทบคลั่ง
“คิก...ราตรีสวัสดิ์จ้ะ บาจิลคุง” เด็กสาวเอ่ยพร้อมกับยิ้มขำๆกับท่าทางขี้อายของบาจิล
“ทีนี้...ก็เหลือแค่รอเวลา สินะ” เด็กสาวพึมพำพร้อมกับมองดูนาฬิกาพกซึ่งบอกเวลาว่า ตอนนี้ 5 ทุ่มครึ่งแล้ว
... เหลือเวลาอีก 1 ชั่วโมง กับอีก 30 นาที งั้นเวลาที่เหลือก็ขอนอนหลับสักงีบก็แล้วกัน จะได้หลอกพวกเขาไปด้วยว่าเราหลับแล้ว ไม่ได้ทำอะไรมี พิลุดทั้งนั้น...
ร่างเล็กคิดแล้วฟุบลงกับเตียงสี่เสาขนาดคิงไซส์ที่ตกแต่งอย่างหรูหราในห้องแล้วดวงตาสีน้ำตาลเข้มก็ค่อย ๆ ปิดลงในที่สุด พร้อมกับความคิดสุดท้ายก่อนที่ห้วงนิทราจะพรากสติไปดังก้องอยู่ในหัว
จะได้กลับบ้านพร้อมกับเด็กคนนั้นแล้วสินะ
+++++++++++++++++++++++++++++++
พอเวลาผ่านมาจนกระทั่งตี 1 ดวงตาสีน้ำตาลค่อยๆปรือขึ้นแล้วก็ลืมตาขึ้นมาเต็มที่เมื่อสัมผัสได้ถึงความเงียบกริบยามค่ำคืน และยิ่งแน่ใจว่าทุกๆคนในปราสาทแห่งนี้นั้นหลับไปหมดแล้ว จะเหลือก็แต่พวกที่เป็นยามเฝ้าปราสาทเท่านั้น เด็กสาวค่อยๆลุกขึ้นมานั่งแล้วบิดขี้เกียจเล็กน้อยก่อนจะหยิบนาฬิกาพกขึ้นมาดูเวลาอีกครั้ง ซึ่งบอกเวลาว่าตี 1 แล้วและได้เวลาที่เธอจะทำตามแผนสักที...
...ถึงเวลานั้นแล้วสินะ...
เด็กสาวคิดพลางลุกออกจากเตียงอย่างพยายามให้มันเงียบที่สุดเพื่อไม่ให้เกิดเสียงใดๆก่อนที่เธอจะนำผ้าบางอย่างสีดำๆออกมาจากผ้าคลุมของเธอแล้วล้วงมือเข้าไปในผ้าสีดำผืนนั้นแล้วอุ้มร่างๆหนึ่งขึ้นมาซึ่งร่างนั้นเหมือนเธอไม่มีผิดหลังจากนั้นเธอก็จัดการวางร่างนั้นลงบนเตียงแล้วจัดการให้ร่างนั้นนอนอย่างเรียบร้อย
....หุ่นตัวปลอม ตั้งเวลาการหายไป เวลาที่จะหายไปคือเวลา 05:30 น. และจดหมายที่ปรากฏเวลา 05:40 น. ....
ร่างเล็กคิดก่อนจะกัดที่นิ้วของตัวเองจนเลือดไหลแล้วใช้เลือดนั้นเขียนเวลาไว้ที่อกของของหุ่นตัวปลอมพร้อมกับหยิบซองจกหมายสีดำกรอบส้มออกมาจากเสื้อคุลมหนึ่งฉบับแล้วใช้เลือดที่นิ้วเขียนเวลาที่จดหมายต้องปรากฎลงไปซึ่ง พอเขียนเสร็จแล้วเธอก็วางจดหมายฉบับนั้นลงบนโต๊ะที่หัวนอน ซึ่งพอวางจดหมายฉบับนั้นบนโต๊ะแล้ว จดหมายฉบับนั้นก็หายไปทันที
หลังจากเสร็จจากการทิ้งตัวปลอมไว้หลอกพวกที่มาเดินตรวจแล้ว เธอก็ถือกระเป๋าเดินทางขนาดใหญ่เดินไปทางประตู
หลังจากที่ออกมาจากห้องพักแล้ว ทางเดินที่เธอพบนั้นทำให้เธอเกือบขวัญผวากับสภาพทางเดินที่มีไฟสลัวๆ ไม่ใช่แค่ทางเดินเท่านั้นที่ทำเอาเธอขวัญผวา...ยังรวมไปถึงกับดักต่างๆที่อยู่ตามพื้นห้อง...ถ้าขืนเธอก้าวพลาดล่ะก็...เธอก็คงจะเจ็บหนักจนถึงขั้นตายได้...น่ะนะ...
ร่างเล็กเดินไปเลื่อยๆตามความรู้สึกที่เป็นเครื่องบ่งบอกทางว่าเธอควรจะไปทางใดและควรจะทำเช่นไร
พอเธอเดินเลี้ยวมาขวาตามความรู้สึกของเธอ...เธอกลับพบกับทางตัน...แต่ว่า...ของแค่นี้มิสามารถหลอกคนอย่างเธอได้หรอก...
ร่างเล็กเดินทะลุกำแพ้นั้นไปราวกับรู้ว่ามันเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาซึ่งพอเดินมาจนถึงทางเดินที่ปูพื้นด้วยแผ่นกระเบื้อง 3 สีซึ่งเป็นสีของธงชาติอิตาลี
“สีแดง สินะ” ร่างเล็กพึมพำก่อนจะเหยียบไปที่แผ่นกระเบื้องสีแดงอย่างไม่ลังเลซึ่ง...ไม่มีอะไรเกิดขึ้น...
ร่างบางเดินไปตามกระเบื้องสีขาวจนสุดทางที่บันไดที่จะพาเธอลงไปที่ด้านล้างสุดของตัวปราสาทแห่งนี้...
ร่างบางก้าวไปตามบันไดหินมืดๆจนกระทั่งสุดทาง ซึ่งสภาพห้องนั้นมืดมิดและไร้แสงสว่างใดๆ
มือเรียวบางยกขึ้นก่อนจะมีเปลวไฟติดที่ฝ่ามือที่ยกขึ้น ซึ่งร่างเล็กใช้เปลวไฟจากฝ่ามือในการส่องนำทางจนกระทั่ง...
เธอได้พบกับกำแพงคอนกรีตที่มีโซ่ล่ามไว้และด้านในนั้นมีน้ำแข็งอยู่...
“เจอแล้วสินะ” ร่างเล็กพึมพำพร้อมรอยยิ้มด้วยความดีใจ
เธอวางกระเป๋าเดินทางลงกับเดินตรงไปที่กำแพงคอนกรีตนั้นแล้วทาบมือทั้งสองข้างลงที่กำแพงก่อนจะเกิดเปลวเพลิงสีส้มลุกท้วมกำแพงก่อนที่มันจะหายไปราวกับว่ามันไม่เคยอยู่ตรงนั้น...แต่เมื่อกำแพงหายไป ก็เผยให้เห็นน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ด้านในน้ำแข็งนั้น...มีชายหนุ่มผมสีนิลถูกแช่งแข็งอยู่...
เมื่อพบกับภาพนั้น รอยยิ้มของเธอยังคงอยู่ แต่ในขณะเดียวกัน ...น้ำตาก็ไหลลงมาอาบแก้มนวลทั้งสองข้าง...แต่เธอก็เช็ดมันออกอย่างลวกๆ ก่อนที่เธอจะวางมือทั้งสองข้างลงบนน้ำแข็งเช่นเดียวกับที่ทำกับกำแพงคอนกรีตนั้น แล้วทำให้เกิดเปลวเพลิงขึ้นที่ฝ่ามือ แล้วค่อยละลายน้ำแข็งไปอย่างช้าๆ เพื่อไม่ให้มันมีผลกระทบอะไรกับชายหนุ่มที่อยู่ด้านใน...จนกระทั่ง...น้ำแข็งนั้นละลายหมด...
ร่างสูงโปร่งที่หลุดพ้นจากน้ำแข็งแล้วทรุดตัวลงกับพื้นทันที แต่ร่างเล็กก็รีบเข้าไปรับในทันที ซึ่งน่าแปลกที่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆจะสามารถรับน้ำหนักของชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่กว่าเธอขนาดนี้ได้ แต่ก็คงทนต่อน้ำหนักของร่างสูงได้ไม่มากนัก ร่างบางจึงทรุดเข่านั่งลงกับพื้นปูนอันเย็นเชียบโดยที่ยังมีชายหนุ่มอยู่ในอ้อมกอด
ร่างเล็กจับให้ชายหนุ่มนอนในอ้อมกอดของเธอได้สบายและสามารถทำให้เธอได้มองเห็นใบหน้าของชายหนุ่มได้ชัดเจน ก่อนที่ดวงตาคู่สวยจะเบิกขึ้นมาด้วยความตกใจก่อนจะยกมือข้างซ้ายที่ไม่ได้ประคองร่างของชายหนุ่มขึ้นปิดปากพร้อมกับน้ำตาที่คลออยู่ตรงเบ้าตาแต่ร่างเล็กก็กลั้นใจไม่ให้มันไหลลงมาก่อนที่จะกลับมายิ้มด้วยรอยยิ้มบางๆเหมือนกับสงสารและเอ็นดูบุรุษในอ้อมกอด มือบางที่ปิดปากเมื่อกี้เปลี่ยนมาเป็นเกลี่ยผมที่ปรกลงมาปิดบังใบหน้าหล่อเหลาที่บัดนี้ มีรอยแผลเป็นที่จะติดตัวชายผู้นี้ไปตลอดชีวิต...
“กลับบ้านกันนะ แซนซัส” เด็กสาวพึมพำด้วยรอยยิ้มก่อนจะก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของชายหนุ่มอย่างเอ็นดูซึ่งการกระทำนี้ดูไม่เหมาะกับเด็กอย่างเธอที่จะทำกับชายหนุ่มที่ดูมีอายุมากกว่าเธอถึงสิบปี...แต่มันจะใช่แค่นั้นจริงๆแน่หรือ?...
ร่างเล็กชัดการจัดท่าชายหนุ่มให้ดีๆก่อนจะประคองชายหนุ่มให้ลุกขึ้นมาแล้วลากร่างที่ไร้สติมายังกระเป๋าเดินทางก่อนจะค่อยๆย่อตัวลงโดยที่เธอยังคงประคองร่างสูงอยู่ซึ่งมันเป็นงานที่ยากและหนักมากๆสำหรับเด็กผู้หญิงอย่างเธอ แต่เธอก็ต้องทำมันด้วยตัวเธอเอง...เพราะคงไม่มีใครสามารถช่วยเธอได้ นอกจากตัวเธอเองแล้วในสถานการณ์เช่นนี้...
เธอเปิดกระเป๋าให้กว้างจนสุดก่อนจะพยายามลากร่างสูงเข้าไปในกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่ขนาดพอดีกับร่างสูงเปะๆ ซึ่ง พอร่างเล็กนำร่างสูงเข้ากระเป๋าเดินทางได้เรียบร้อยแล้วก็ถึงกับหอบก่อนจะถอนหายใจด้วยความเหนื่อย
“อยู่ในนี้ไปก่อนนะแซนซัส” เด็กสาวเอ่ยก่อนจะจัดการปิดกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ลงแล้วยกมันขึ้นมาถือก็ถึงกับต้องพองแก้มด้วยความไม่พอใจเมื่อกระเป๋านั้นหนักขึ้นเธอแทบจะยกขึ้นถือเพียงแค่แขนข้างเดียวก็ยังไม่ได้
“หนักกว่าที่คิดแหะ” ร่างบางบ่นอุบอิบอย่างน่ารักก่อนจะใช้มือทั้งสองข้างออกแรงยกกระเป๋าเดินทางขึ้นมาทั้งน้ำตาเล็ดด้วยความหนักแต่ก็ฝืนกัดฟันพาทั้งร่างของตนเองและกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ที่มีร่างของชายหนุ่มอยู่ข้างในออกไปจากที่นี่ให้ได้ซึ่งก็ทุลักทุเลมากเมื่อขนาดตัวเธอแค่นี้ แล้วขนาดของร่างสูงกับน้ำหนัก มันต่างกันราวฟ้ากับเหว ทำให้มันลำบากสุดๆ...ในตอนแรกคิดว่าคงไม่เป็นอะไรเสียอีก นึกว่าตัวเธอคงไหว แต่พอมาเจอเข้าจริงๆ...ทำเอาเธอแทบอย่างร้องไห้ และคงจะลำบากเป็นสองถึงสามเท่าเมื่อต้องขึ้นบันไดและหลบหลีกกับดัก รวมไปถึงหลบพวกยามแล้วออกไปจากปราสาทแห่งนี้อย่างปลอดภัย ไหนจะเดินไปให้ถึงท่าเรือที่เวนิสอีกแล้วล่องเรือไปจนถึงส่วนที่เป็นแม่น้ำไมราแล้วต่อเข้าไปในทะเลสาบการ์ดา ส่วนเรื่องไปขึ้นสนามบินที่มิลานนั้น เอาไว้หลังจากช่วยทุกคนได้หมดแล้วรักษาพวกเขากับฝึกสอนวิชาสักนิดสักหน่อยก่อนก็แล้วกัน...เพราะถ้าไปเลยทั้งอย่างนี้ ตัวเธอก็คงจะไม่ไหว ยิ่งต้องเดินทางไกลๆแบบนี้มันคงจะไม่ดีกับตัวเธอสักเท่าไร...
“อึก!!” ร่างเล็กถึงกับทรุดลงกับพื้นโดยที่มือยังคงถือกระเป๋าอยู่ ร่างเล็กยกมือข้างหนึ่งขึ้นลูบที่ท้องที่ในตอนนี้ขยับ...ราวกับว่ามีสิ่งมีชีวิตบางอย่างอยู่ข้างในนั้น...
“ไม่เป็นไรนะจ๊ะ เคียวยะคุง...เดี๋ยวแม่จะพาพวกเรากลับบ้านแล้ว กลับไปด้วยกันกับคุณพ่อยังไงล่ะจ๊ะ” ร่างเล็กเอ่ยพร้อมกับลูบท้องเหมือนปลอบสิ่งที่อยู่ข้างในตัวเธออย่างอ่อนโยน ซึ่งเจ้าสิ่งนั้นก็ค่อยๆสงบลงจนกลับสู่ความปกติอีกครั้งซึ่งมันทำให้ร่างเล็กถอนหายใจ
“คงใกล้ถึงขีดจำกัดของเราแล้วสินะ...หวังว่าเราคงทนได้นานพอที่ทุกๆอย่างจะเรียบร้อยนะ” ร่างเล็กพึมพำพร้อมกับภาวนาขอให้สิ่งที่เธอปรารถนามันเป็นจริง
ร่างเล็กค่อยลุกขึ้นมาด้วยอาการมึนหัวเล็กๆน้อยราวกับจะหน้ามืด แต่เธอก็ต้องพาแซนซัสและตัวเธอกับลูกในท้องออกไปจากที่นี่ให้ได้...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ร่างบางเดินด้วยความทุลักทุเลมายังท่าเรือที่เมืองเวนิสซึ่งใช้เวลาทั้งคืน ซึ่งท่าเรือนี้ตั้งอยู่ในป่าเขาซึ่งเป็นท่าเรือลับฉะเพราะพวกของเธอเท่านั้น
ตะวันเริ่มลอยเลื่อนขึ้นมาจากสุดขอบฟ้า...แสงสุริยาเริ่มส่องล่ำไรทำให้ม่านหมองส่องประกายเช่นเดียวกับหยาดน้ำค้างบนยอดหญ้าและยอดไม้ต่างๆนาๆ...ราวกับบรรยากาศของการเริ่มต้นใหม่...
ร่างเล็กหยุดนั่งพักตรงท่าเรือขนาดเล็กซึ่งตรงหน้ามีเรือแจวขนาดปานกลางพอให้เธอสามารถจับร่างสูงข้างในกระเป๋านอนลงบนเรือแล้วพาพายไปยังแม่น้ำไมราแล้วต่อไปยังทะเลสาบการ์ดา เท่านี้ก็ถึงบ้านของเธอที่มีชายหนุ่มอีกคนรออยู่แล้ว...
เมื่อพักจนหายเหนื่อยแล้วร่างเล็กก็จัดการเปิดกระเป๋าเดินทางก่อนจะลากร่างสูงออกมาแล้วจับนั่งพึงกับเสาไม้ตรงท่าเรือ ซึ่งร่างสูงที่อยู่ตรงหน้าเธอยังคงไม่มีทีท่าว่าจะลืมตาตื่นขึ้นมาเลยสักนิด
ในยามนี้ก็ปาเข้าไป ตี 5 ครึ่งกว่าแล้ว พระอาทิตย์เริ่มขึ้นทุกทีๆ และป่านนี้พวกที่ปราสาทอาจรู้แล้วก็ได้ว่าเธอหายตัวไปก็เป็นได้
...เธอไม่ได้ต้องการจะทำอะไรแบบนี้ ...ไม่ได้ต้องการให้เรื่องแบบนี้มันเกิดขึ้นเสียด้วยซ้ำ ...แต่ในเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว มันก็ช่วยไม่ได้...คงมีแต่ต้องยอมรับมันแล้วก้าวต่อไป...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เธอจะไม่ยอมสูญเสียสิ่งใดไป...ไม่อีกแล้ว...
ร่างเล็กจ้องมองใบหน้ายามหลับของบุรุษตรงหน้า
...เขาเหมือนกับคุณเหลือเกิน ริคคาโด้...
ร่างเล็กคิดก่อนจะถอดฮู้ทออกเผยให้เห็นผมสีน้ำตาลฟูฟ้องยาวละต้นคอ ที่พลิ้วไสวไปตามแรงลมอ่อนๆ ดวงตาสีน้ำตาลกลมโตดูสดใสและอ่อนโยนน่าหลงไหลยังคงจ้องมองใบหน้าคมของชายหนุ่มอยู่ก่อนที่ริมฝีปากบางจะคลียิ้มอ่อนโยน มือเรียวบางล่วงลงไปในเสื้อคลุมสักพักและมือเรียวก็ดึงออกมาพร้อมกับแหวนวงหนึ่ง
“แม่คิดว่านี่เป็นของลูกนะ แซนซัส” ร่างเล็กเอ่ยพร้อมรอยยิ้มก่อนจะยกมือข้างขวาของร่างสูงขึ้นมาแล้วสวมแหวนวงนั้นไปที่นิ้วกลางของเขา
“ถึงวาเรียจะล้มสลายไปแล้ว...แต่ถึงกระนั้น แหวนบอสแห่งวาเรีย วงนี้ก็ยังคงเป็นของลูกนะแซนซัส” ร่างเล็กเอ่ยพร้อมกับลูบหัวบุรุษตรงหน้าอย่างเอ็นดู...ถึงเธอจะดูเด็ก...แต่เธอก็ไม่ได้เด็กอย่างที่ใครๆคิด...
ร่างเล็กประคองร่างสูงไปวางในเรือ ในท่านอนราบ ก่อนที่เธอจะทำหน้าที่เป็นคนพายเรือ พาเรือลำนี้หายลับไปหับสายน้ำที่ไหลไปตามทางของมัน...สู่บ้านพักของพวกเธอ...
+++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ถ้าท่านผู้อ่านมีคำถามก็เม้มถามได้นะเจ้าคะ เพราะทั้งๆฟิคมันมีแต่ปริศนา แต่จะช่วยอธิบายเพียงแค่ไขข้อค่องใจนิดหน่อย ส่วนที่เหลือต้องไปรอติดตามเอานะเจ้าคะ...เว้นแต่จะไม่มีใครอ่าน
ช่วยเม้มและช่วยติดตามด้วยนะเจ้าคะ~
ความคิดเห็น