ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    THE Kingdom Guardian (หลากหลายเรื่องราวกับตัวละครทั้ง 14 )

    ลำดับตอนที่ #4 : บทนำ (เฮตาเลีย)

    • อัปเดตล่าสุด 21 เม.ย. 55













    ...พบกันครั้งแรก...

      

     

     

    คริสต์ศตวรรษที่ 20

    หลังจากเร่ล่อนมาได้ราวๆ 500,000 ปีก่อนพุทธกาลและคริสตกาล ...เจฟฟรีย์ เคนดัลล์ เคอร์ การ์เดียน ราชา โซโลม่อน ...ชายหนุ่มร่างสูงสันทัด ผู้มีผมสีนิล หน้าตาหล่อเหลา นัยน์ตาสีทับทิมน่าหลงไหล... หลังจากที่ประเทศของเขาล้มสลายแล้วถูกลบออกไปจากประวัติศาสตร์ว่าไร้ตัวตน เป็นเพียงแค่เรื่องเล่าที่พิสูจน์ไม่ได้ เขาก็เร่ล่อนไปทั่วโลกเพื่อหาที่ๆเขาและผู้คนของเขาจะสามารถอยู่ได้อย่างมีความสุขและปลอดภัย...แต่ก็คงเป็นได้แค่ฝัน...เขายังสงสัยเสียด้วยซ้ำ...ว่าทำไมเขายังมีชีวิตรอดอยู่ ทั้งๆที่เขาน่าจะตายไปแล้ว...ทั้งๆที่เขาน่าจะหายไปจากโลกใบนี้แล้ว...แต่มันก็ดีแล้ว ที่อย่างน้อย เขาก็ยังรู้ว่าประชาชนของเขาส่วนหนึ่งยังมีชีวิตรอดอยู่ ถึงจะกระจัดกระจายกันไปตามที่ต่างๆบนโลกใบนี้ก็ตาม...และสิ่งที่ตัวเขาทำได้ ก็คือ หาที่อยู่ดีๆให้กับประชาชนของเขา เกาะล้างสักแห่งที่ไม่มีเจ้าของ...เกาะที่เอื้ออำนวยพอที่พวกเขาจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความสุขได้ หรือไม่ก็อาจไปขอแบ่งพื้นที่บางส่วนกับชาติมหาอำนาจทั้งหลาย...แต่ก็...ถ้าไม่ถูกไล่ก็ถูกตามล่าลบล้างเผ่าพันธุ์...

    ทั้งเขาและคนของเขาน่ารังเกียจมากขนาดนั้นเชียวรึ?...ถึงต้องทำกันถึงเพียงนี้...พวกเขาไม่เคยไปทำอะไรให้ใคร...ขอเพียงแค่ได้มีชีวิตอยู่อย่างสงบสุขกับประชาชนของเขาก็เพียงพอแล้ว...ไม่ได้ต้องการอะไรมากนัก...แล้วทำไม...ต้องรังเกียจเขาด้วย...รังเกียจเขาก็ไม่เป็นอะไร...แต่อย่าฆ่าประชาชนของเขาได้ไม...

    หลังจากที่เดินด้วยอาการโซซัดโซเซ่จากการโดนยิ่ง โดนระเบิด และวิ่งหนีพวกทหารหัวซุกหัวซุนในประเทศแห่งนี้ซึ่งเขาไม่แน่ใจว่าประเทศอะไร มานานพอสมควร...มันทำให้เขาเริ่มคิดแล้วว่าตัวเขาคงไม่กล้าเสี่ยงที่จะไปขอแบ่งพื้นที่กับใครหรือผูกมิตรกับใครอีกแล้ว...ตอนอังกฤษคนของเขาก็โดนจับเผาทั้งเป็น...ตอนอเมริกาคนของเขาก็โดนชำแหละ...ตอนจีนก็โดนข้าวของปาไล่...ตอนอินเดียนี่ก็โดนหินปาไล่...ตอนที่ไปแอฟริกาก็โดนถีบส่งไปให้อียิปร์จับทำมัมมี่...ตอนไปออสเตรเลียก็โดนเตะตกบึงจระเข้...ตอนฝรั่งยิ่งไม่ต้องพูดถึง...และพอมาเยอรมันกับรัสเซีย...ก็เป็นอย่างที่เห็น...โดนไล่ล่ายังกับสัตว์ตัวหนึ่ง...พอกันที...ถ้าโลกใบนี้มีแต่คนรังเกียจเขา...ก็พอกันทีกับการผูกมิตร...โลกใบนี้มันโหดร้ายที่สุด!!...ไม่ว่าจะเป็นประเทศในทวีปไหนก็ไม่ต่างกัน...โหดร้ายและน่ารังเกียจไปเสียหมด...บอกว่าตัวเองเจริญแล้ว แต่น้ำใจติดลบยิ่งกว่าพวกประเทศล้าหลังเสียอีก ยิ่งพวกประเทศล้าหลังยิ่งไม่ต้องพูดถึง...และประเทศที่เขาไม่ได้ไปก็คงไม่ต่างกัน...โหดร้ายทั้งโลกนั้นแหละ...จะว่าไป...ตัวเองก็เป็นจิตวิญญาณของโลกนี่นะ...ไม่แน่...ที่คนทั้งโลกเป็นแบบนี้...อาจเป็นเพราะเขาก็เป็นได้...

    “ทำไม...ไม่ให้ฉันตายไปสักทีนะ...จะได้พ้นทุกข์พ้นโศกเสียที” ริมฝีปากที่แตกจนเลือดซิบพึมพำ ดวงตาสีแดงที่เคยสดใส หม่นหมองลง จ่องไปยังทางข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย ขายาวๆก้าวเดินไปพร้อมๆกับสายลมที่เต็มไปด้วยควันกับฝุ่นคลุ้งและแรงระเบิดรอบๆข้าง แต่ชายหนุ่มก็ไม่สน ในขณะที่ผู้คนกำลังวิ่งหนีระเบิด เขากลับเดินไปเลื่อยๆอย่างไร้จุดหมาย

    หลังจากที่หนีทหารมาตกในเรือสิ้นค้าแล้วถูกส่งมาที่นี่ เขาก็โดนไล่ล่าอีกตามเคย...และตัวเขาในตอนนี้ ปรารถนาความตาย...ตัวเขาและประชาชนจะได้พ้นทุกข์พ้นโศกจากโลกที่แสนโหดร้ายใบนี้เสียที...

    ภาพความฝัน...ที่เห็นเมื่อในยามเยาว์วัย...เป็นดั่งรอยขีดเขียน...ที่ไม่มีวันเลือนไป...เปิดเผยความในใจ ณ ยามที่จารึกไว้...และเชื่อมโยงไปยังอนาคตที่วาดหวังไกล”

    ในขณะที่เดินไปรอให้ระเบิดมันตกลงมาบนกลางกบาลก็ร้องเพลงไปด้วย พร้อมน้ำตาที่ไหลรินกับความโหดร้ายบนโลกใบนี้ที่เขาเกิดมา...

    “ฮึก...แม่จ้า...แม่อยู่ไหน” ...แต่แล้ว เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น ทำให้ฝีเท้าของต้องเขาหยุดชะงักลง

     

     

     

     

    ตูม!!!!!!

     

     

     

    ในขณะที่ระเบิดยังคงลงต่อไป ผู้คนยังคงวิ่งหนีอย่างเอาเป็นเอาตาย ผู้คนตายเกลือนกลาด ต่างคนต่างวิ่งหนีฝุ่นตลบอบอวน กลับมีเสียงหนึ่งที่ดังขึ้นเข้ามาในโสตประสาทของเขา ถึงจะไม่ดังเท่าเสียงระเบิด แต่มันกลับทำให้โซโลม่อนหันไปสนใจกับเสียงนั้น...ก็ได้พบกับเด็กน้อยคนหนึ่ง เนื้อตัวมอมแมม ในอ้อมอกกอดตุ๊กตาแน่นพร้อมกับเดินร้องไห้ไปด้วย โดยไม่รู้ชะตากรรมของครอบครัวเลยว่ายังรอดอยู่หรือไม่ และไม่รู้เลยว่า ชะตากรรมของตนจะถึงคาดหรือไม่

    ชายหนุ่มยืนมองด้วยแววตาสังเวช...ไม่รู้ว่าทำไม แต่เขาเมตตาใครไม่ลงแล้ว...พลางคิดในใจว่า...

    ช่างน่าสังเวชเสียจริง...ยังเด็กอยู่แท้ๆ...แต่ต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้...แต่จะให้ทำยังไงได้...ก็นี่มันช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นี่นะ...อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด...

    ในขณะที่ลมด้านหลังกระโชกแรงเพราะแรงระเบิดและเปลวเพลิงที่ลุกโชกช่วงท่วมหมู่บ้านแห่งนี้ ...จู่ๆ เหมือนกับว่าชายหนุ่มจะเห็นอะไรสักอย่างจะล่วงลงมาตรงที่เด็กน้อยยืนร้องไห้อยู่ซึ่งมันคือ...ระเบิด...

    ...ดีใจด้วย...กำลังจะพ้นทุกข์แล้วนะเจ้าเด็กน้อย...

    มองไปพลางคิดในใจก่อนจะยกยิ้มขึ้นมาเหมือนยินดี...แต่มันจะใช่จริงๆน่ะหรือ?...เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา รอยยิ้มเป็นต้องหุบก่อนที่โซโลม่อนจะพยายามวิ่งไปหาเด็กคนนั้น แต่ร่างกายกับพยายามหยุดอยู่นิ่งๆ พยายามไปช่วย พยายามหยุดยืนดู พยายามไปช่วย พยายามหยุดอยู่ด้วย พยายามไปช่วย พยายามหยุดอยู่ดู....เฮ้ยยยยยยยยยยย!!!!! ต้องไปช่วยสิฟะ!!!นั้นเด็กนะเฟ้ย อนาคตของชาติเชียวนะเฮ้ย เด็กตัวเล็กแบบนั้นจะมาตายตอนนี้ได้ไงกัน มันโหดร้ายเกินไป แถมเด็กคนนั้นก็น่าสงสารอีกด้วย ...

    จนสุดท้ายแล้วโซโลม่อนก็กระโดดไปช่วยเด็กคนนั้นจนได้...และแถมให้แบบพิเศษคือช่วยชาวบ้านทั้งหมดให้พ้นจากพวกทหารและระเบิดก่อนจะพามายังเมืองหลวง...

    ...สุดท้ายแล้ว...เราก็...เลวใส่ใครหรือประเทศไหนๆไม่ลงแหะ...

     

    .

    .

    .

    .

    .

     

    ...สุดท้ายแล้ว...เขาก็ช่วยชาวบ้านทั้งหมดให้พ้นจากระเบิดมหาภัยแล้วพามายังเมืองหลวง...และต่อจากนั้น...ก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น...แต่ไม่รู้ทำไม...ถึงได้รู้สึกสบายใจแบบนี้กันนะ...เราคงจะ...ได้ตายสมใจอยากแล้วสินะ...เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องทนทุกข์อะไรอีกแล้ว...ต่อจากนี้...ความทุกข์ทรมานทั้งหลายและฝันร้ายต่างๆคงจบแล้วสินะ...

    “อ้ะ?...เริ่มรู้สึกตัวแล้ว”...นั้นเสียงใครน่ะ?...

    “ฝันร้ายเหรอจ้ะ?...แย่จังเลย...น้ำตาไหลซะงั้น”...เสียงเดิมเอ่ยพร้อมกับสัมผัสได้ถึงสัมผัสของผ้าที่เช็ดหยาดน้ำที่ไหลออกมาจากหางตา...ใครกันน่ะ?...ใครที่มาสนใจเราในช่วงเวลาแบบนี้...ทั้งๆที่ตลอดเวลา 500,000 ปีที่ผ่านๆมา...ไม่มีใครสนใจเราเลยสักคน...

    เปลือกตาค่อยๆลืมขึ้นและรู้สึกได้ว่า...มีใครบางคนนั่งอยู่ที่ข้างๆเตียงที่เขานอนอยู่...

    “อ่ะ...ลืมตาแล้ว ฝืนแล้วสินะจ้ะ” เสียงนั้นยังคงดังอยู่ข้างๆ  เขาใช้เวลาอยู่สักพักในการปรับสายตาให้รับกับแสงไฟนีออนก่อนจะมองไปรอบๆ...รู้สึกสบายตัวแบบแปลกๆแหะ...

    “เธอเป็นใคร?” เสียงแหบแห้งหันมาเอ่ยถามกับชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำ นัยน์ตาสีน้ำตาลดูสดใสใต้กรอบแว่น นั่งส่งยิ้มมาให้เขาอยู่ข้างๆ

    “ฉันชื่อไทยจ้ะ...หรือจะเรียกว่าเอกราชหรือเอกก็ได้นะจ้ะ...แล้วคุณล่ะ?” เอ่ยพร้อมยกมือไหว้อย่างนอบน้อมซึ่งเขาเดาว่า อาจเป็นการแสดงความเคารพหรือการทักทายของคนประเทศนี้...ไทยงั้นหรือ?...อ๋อ...ที่แท้เขาก็อยู่ที่ประเทศไทยนี่เอง...

    “เรียกฉันว่า...ราชา” เอ่ยออกไปพร้อมความรู้สึกเหมือนคอแห้งเป็นทะเลทราย

    “อ่ะ...คงรู้สึกคอแห้งสินะจ้ะ” ไทยเอ่ยก่อนจะวิ่งไปหยิบแก้วน้ำมาแล้วช่วยพยุงเขาให้ลุกขึ้นมานั่งก่อนช่วยจับพยุงแก้วน้ำให้เขาดื่มจนหมด

    “ดีขึ้นไมจ้ะ?” ไทยเอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มซึ่งเขาก็พยักหน้าตอบ

    “ขอบคุณนะจ้ะ ที่เมื่อสองวันก่อนคุณราชาช่วยคนของฉันน่ะจ้ะ” หลังจากที่พยุงให้เขานอนเช่นเดิมแล้วก็เล่าเรื่องทั้งหมดตอนที่เขาสลบไปให้ฟัง...ว่าเขาช่วยชาวบ้านในหมู่บ้านนั้นหนี และพอพาชาวบ้านหนีมาไกลจากพวกทหารต่างชาติและไกลจากระเบิดแล้ว เขาก็สลบไป

    พวกชาวบ้านได้พาตัวเขามาในตัวเมืองหลวงเพื่อรักษาและเล่าเรื่องของเขาให้กับผู้นำของประเทศนี้ฟังทำให้ผู้นำของประเทศแห่งนี้และไทยมาพบกับเขาเลยทำให้รู้ว่าตัวเขานั้นไม่ใช่มนุษย์แต่เป็นประเทศเช่นเดียวกับไทย ไทยจึงอาสาดูแลเขาจนกว่าจะหายดี

    “แล้วคุณไปทำอะไรมาหรอจ้ะ?...แผลถึงได้เต็มตัวขนาดนี้?” ไทยเอ่ยถามกับสภาพแผล พอมามองดูตัวเองแล้ว เขาในตอนนี้อยู่ในสภาพเปลือยท่อนบนแต่ก็มีผ้าพันแผลพันไว้ทั่ว หรือจะเรียกว่าพันไว้ทั่วทั้งตัวดี แต่ก็นะ แผลของเขามันก็เต็มตัวจริงๆนั้นแหละทั้งแผลเก่าแผลใหม่ แต่คงไม่แย่เท่าแผลใจที่จะทำให้เขาไม่ยอมที่จะไปผูกมิตรหรือทำความรู้จักกับประเทศไหนอีกแน่

    “เรื่องนี้ฉันขอไม่ตอบนะ” ราชาเอ่ยก่อนจะลุกขึ้นยืน

    “อ่ะ...อย่าเพิ่ง...ขยับตัว...สิจ้ะ” ไทยเอ่ยอย่างอึ้งๆเมื่อคิดว่าพอราชาลุกขึ้นมาแล้วจะต้องล้มลงไปแน่เลยทำท่าจะไปช่วยพยุง แต่ก็ผิดคาดเมื่อชายหนุ่มลุกขึ้นมายืนได้หน้าตาเฉย

    “ฉันไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ...ขอบใจนะที่ช่วยทำแผลให้...ขอตัวก่อนล่ะ” ราชาเอ่ยก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อผ้าของตนมาใส่แล้วเตรียมตัวจะเดินออกไปจากห้องพัก

    “ไม่ต้องรีบไปก็ได้จ้ะ...คุณยังไม่หายดีเลย ถึงประเทศอย่างเราแผลจะหายเร็ว แต่ไม่เจ็บแผลบ้างเหรอจ้ะ?” ไทยเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงก่อนจะเดินมาขวางเขาตรงประตูบานคู่

     “เจ็บน่ะ มันก็เจ็บ...แต่ฉันไม่อยากทำให้ประเทศของเธอเดือดร้อน และไม่อยากมีแผลเพิ่ม เพราะฉะนั้นฉันขอไปก่อนจะมีเรื่องดีกว่า” ราชาเอ่ยก่อนจะเดินผ่านไทยไป แต่ก็โดนไทยคว้าแขนเอาไว้จนเจ้าตัวต้องหันมามอง

     “คุณไม่ทำฉันเดือดร้อนหรอกจ้ะ...และฉันขอรับประกันได้เลยจ้ะ ว่าคุณไม่มีแผลเพิ่มหรอกนะ เพราะฉะนั้นพักที่นี่ก่อนเถอะนะจ้ะ อย่างน้อยก็จนกว่าแผลจะหาย” ไทยเอ่ยซึ่งมันทำให้ราชาอึ้ง...ไม่เคยมีใครเป็นห่วงเขาหรือชวนให้เขาอยู่ต่อ...มีแต่ขับไล่ไสส่งให้เขาไปไกลๆ...พอมาเจอแบบนี้แล้ว...มันทำให้เขารู้สึกแปลกๆ...แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือ...เขารู้สึกดีใจ...

    “ฉันอยู่ต่อได้จริงๆเหรอ?” ราชาเอ่ยถามเพื่อความแน่ใจพร้อมกับหัวใจที่พองโต

    “จ้ะ” ฝ่ายตรงข้ามก็เอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม

    “งั้นขอถามอะไรหน่อยได้ไม?”

    “อะไรหรอจ้ะ?”

    “ตาของฉันน่ะ ไม่ได้น่ารังเกียจใช่ไม?” ราชาเอ่ยถามพร้อมกับหลุบตาต่ำ เพราะส่วนใหญ่แล้ว มีแต่คนรังเกียจเขาเพราะสีตาที่แตกต่างกันของเขา มันทำให้เขาแตกต่างจากคนอื่น แต่เขาก็พึงพอใจในสิ่งที่ตัวเองมีในสิ่งที่ตัวเองเป็น เพราะว่าอย่างน้อย เขาก็มองเห็น

    “ไม่นี่จ้ะ...ฉันว่า สวยออก สีสวยเหมือนทับทิมเลยล่ะจ้ะ” ไทยเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มซึ่งนั่นเป็นครั้งแรกที่มีคนชมเขาแบบนั้น...ซึ่งมันทำให้เขายิ้มออกมาได้ซึ่งรอยยิ้มของราชามันทำให้ไทยอึ้งก่อนจะหน้าแดง...เพราะว่าพอราชายิ้มแล้ว ช่างดูหล่อเหลาราวกับเทพบุตรก็มิปาน...

    “ขอบใจสำหรับคำชม...และขอบใจที่ไม่รังเกียจฉัน...งั้นก็ ตกลง ฉันจะอยู่ต่อ แต่ต้องมีข้อแม้นะ”

    “ข้อแม้อะไรหรอจ้ะ?”

    “เธอต้องเรียกฉันว่า พี่ราชา”

     

    ...และนั่นก็เป็นการเจอกันครั้งแรก...ของราชอาณาจักรอันลึกลับ กับ ประเทศเล็กๆในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่แทบจะไร้บทบาทเช่นกัน...สองประเทศที่ถูกลืม...ที่โคจรมาพบกัน...ต่อจากนี้ไปจะเป็นเช่นไรกันนะ...























    ++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

    เริ่มบทนำนี้ด้วยฉากเจอกันครั้งแรกของพ่อแม่ของคุณสกายก่อนเลยก็แล้วกันนะเจ้าคะ
    ช่วยเม้มหน่อยนะเจ้าคะ~





     



















    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×