คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : Night and snow (DGM) : รัตติกาลที่ 1 : กำเนิดมังกรรุ่นใหม่
The Guardian 14 : Tale of Dragon and comedian (Night and snow)
Title: The Guardian 14 : Tale of Dragon and comedian (Night and snow)
Author: His death glee
Pairing: Kanda x Allen, Tykki x Allen, All x Allen
Rating: NC-18
Disclaimer:
Author notes: ฟิค เรื่องนี้ไรท์เตอร์มิได้เป็นคนเขียนแต่เป็นญาติของไรท์เตอร์ที่ใช้นามปากกาว่า His death glee ไรท์เตอร์เป็นเพียงเจ้าของบทความที่นำ ฟิคที่ไรท์เตอร์เห็นว่ามันสนุกมาลงเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าคุณญาติสุดที่รักของไรท์เตอร์นั้นอนุญาติ ถ้าเนื้อหาภายในมันเหมือนกับนักเขียนท่านใดก็โปรดรู้ไว้ว่ามันเป็นเพียงแค่เหตุบังเอิญเท่านั้น และเนื้อหาภายใน ฟิค เรื่องนี้นั้นจะเชื่อมโยงกับ ฟิค เรื่อง The Guardian 14 ซึ่งเนื้อหาภายในนั้นเป็นเพียงแค่ภาคอดีตหรือหนึ่งในเนื้อเรื่องใหญ่ของฟิคใหญ่เท่านั้น...ยิ่งอธิบายยิ่งงงแหะ...เอาเป็นว่า นี่เป็นเพียงอีกบทหนึ่งของ
The Guardian 14 เท่านั้นเองแหละเจ้าคะ ฝากฟิค เรื่องนี้ด้วยนะเจ้าคะ~ =w=
**************************************************************************
...ความรักคือสิ่งสวยงามและความสุขที่แสนอบอุ่น...พลังอันสูงทรงของผู้ที่รู้คุณค่าและเข้าใจมันดี...แล้วสำหรับฉันคนนี้...จะมีผู้ใด...มารักฉันและให้ฉันคนนี้รักบ้างนะ?...
...อโพซุลุส...หรือชาวการ์เดียน...
...บุตรหลานผู้สืบเชื้อสายของพระผู้เป็นเจ้า...
...ข้ารับใช้ผู้ซื่อสัตย์และจงรักภัคดีของพระเจ้า...
...สิ่งมีชีวิต ที่วิญญาณเป็นเทพเจ้า สายเลือดเป็นของเทพเทวา ปีศาจและสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ...
...หากแต่ดวงใจของพวกเขานั้น เป็นของมนุษย์...
...เกิดมามีรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์ ... รวมถึงความรู้สึกนึกคิดที่เหมือนมนุษย์...
...ดังนั้นพวกเขาจึงเข้าใจทุกๆสิ่งทุกๆอย่าง...ว่าไม่ว่าเผ่าพันธุ์ใด...ในบางเวลา...มิได้มีความแตกต่างกันเลยสักนิด...
...ทุกข์เผ่าพันธุ์ ล้วนมีความฝัน ความรู้สึก...และ...มีความรัก...
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
รัตติกาลที่ 1 : กำเนิดมังกรรุ่นใหม่
...โครม!!!ตูม!!!!...
“ให้ตายเถอะ นี่พวกนายสู้กันอีกแล้วหรือ?”
เช็คเกอร์เฟสชายหนุ่มผมสีทองที่ดูอายุมากที่สุดพูดอย่างเซ็งๆ โดยที่ในอ้อมกอดมีร่างของเด็กทารกตัวน้อยอยู่
...ก็ใครจะไปกล้าต่อกรกับทั้งสองคนนี้กันเล่า...
...หน้ากลัวยิ่งกว่าเพรชฆาตเสียอีก T^T~ ...
...แต่ท่าทางจะมีอยู่คนนึงแหะ =_=^^...
“คนนะไม่ใช่ปลากัด” เสียงพึมพำเบาๆ...แต่ดังให้คนทั้งบ้านได้ยิน...ดังมาจากเด็กหนุ่มผมสีลวงข้าว สวมแว่นตาทรงเหลี่ยม...บาร์โทโลมิว...เข้ามาผสมลงโลง(?)กับพี่น้องพ้องเพื่อนอีกสองคนและสิ่งที่ทั้งสามคนนั้นได้รับตอบแทนกลับมาก็คือ...
“พวกแกตาย!!!!!!!!”
คันดะกับกาเบลียพูดขึ้นพร้อมกันก่อนการไล่ฆ่าอย่างสนุกสนานของนักดาบหนุ่มทั้งสองที่เกิดความสามัคคีกันขึ้นมาอย่างปาฏิหาริย์(?)จะเริ่มต้นขึ้น ในขณะที่พี่น้องคนอื่นๆต่างพากันนั่งมอง ยืนมองอย่างเซ็งๆ
“เฮ้อ~ ยังสนุกกันเหมือนเดิมเลย เนอะ แคส” เช็คเกอร์เฟสพูดยิ้มๆขณะหยอกล้อกับทารกน้อยในอ้อมแขน
“หนูสนุกไม่ออกคะ” สึนะพูดก่อนจะทรุดตัวนั่งลงกับพื้นหญ้า เช่นเดียวกับพี่น้องคนอื้นๆที่พากันนั่งลงบนพื้นหญ้าเช่นเดียวกับเธอก่อนที่เธอแอบมองเช็คเกอร์เฟสหรือที่คนในครอบครัวเรียกกันสั้นๆว่าแช็คที่กำลังเล่นกับลูกน้อยวัย 1 ปีอย่างมีความสุข
...ถึงแม้พวกเราจะสูญเสียไปมาก...แต่พวกเราก็ไม่มีวันยอมแพ้...ในทางกลับกัน พวกเราจะก้าวเดินต่อไปและสร้างความสุขขึ้นมาใหม่...
ร่างบางนั่งคิดไปพลางนั่งมองพี่ๆวิ่งไล่ฆ่ากันไปพลางโดยที่ตัวเธอหมดแรงที่จะลุกไปห้ามแล้ว...
“ไม่ต้องเครียดหรอกนะสึนะ พวกนั้นก็แค่เล่นๆกันเท่านั้นเอง ถึงมันจะแรงไปหน่อยก็เถอะ” สกาย เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มจนดำ นัยน์ตาสีน้ำตาลทอง พูดขึ้นจากทางด้านหลังของเธอทำให้เธอหันไปมองพลางยิ้มกับรอยยิ้มอันอ่อนโยนและอบอุ่นที่เด็กหนุ่มส่งมาให้
“ป๊ะป๋าสกายอ่านอะไรอยู่หรอคะ?” ร่างเล็กถามพลางคลานเข้าไปหาเด็กหนุ่มที่อายุมากกว่าเธอหลายสิบปีหรืออาจร้อยปีด้วยซ้ำ
“อ้อ ประวัติศาสตร์กับอักษรศาสตร์น่ะ เห็นน้าแคลร์เขาเผลอเขียนรวมกันแล้วกะจะเอาไปทิ้งน่ะ ฉันเลยขอเก็บไว้เพราะเนื้อหาด้านในนั้นเป็นเรื่องจริงและเป็นองค์ความรู้ทั้งนั้น” สกายตอบพร้อมกับรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ของเด็กหนุ่ม
“งั้นหรอคะ งั้นหนูขออ่านด้วยนะคะ” สึนะตาเป็นประกายเมื่อเจอกับหนังสือน่าสนใจ แถมถ้าเธอไม่ค้นคว้าหาความรู้เข้าไปเพิ่ม แล้วแม่เอ็มเบอร์มาทดสอบพวกเธออีกแล้วเธอได้คะแนนไม่น่าพิสมัยล่ะก็...เตรียมตัวโดนลงโทษมหาโหดได้เลย
“ได้สิ” สกายตอบก่อนจะจับเด็กสาวที่ดูจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้วน่าจะอายุ 10 ปี ขึ้นมานั่งบนตักแล้วเปิดหนังสือให้เด็กน้อยอ่านเหมือนคุณพ่อเปิดหนังสือนิทานหรือหนังสือภาพให้ลูกน้อยอ่านดู
...ชีวิตของครอบครัวนี้ช่างสงบสุข...ถึงแม้จะมีกระท่อมหลังย่อมๆเป็นบ้าน...มีสมาชิกในครอบครัวจำนวน 64 คน...ทำงานหาเช้ากินค่ำเหมือนคนปกติทั่วๆไป...มีฟาร์มและไร่เล็กๆเป็นของตนเอง...แต่ต่างกันตรงที่พวกเขาไม่ใช่มนุษย์...บ้านก็หลังนิดเดียว สมาชิกในบ้านก็เยอะ...จนก็จน...แต่อย่างน้อย...
...พวกเขาก็มีครอบครัว...มีบ้าน...มีอาหารให้กินอิ่มทุกมื้อ...อยู่อย่างมีความสุข...และหวังจะให้มันอยู่เช่นนี้ตลอดไป...แต่ว่า...
...ใครๆก็รู้...ว่าถ้ามีสุข...ย่อมมีทุกข์...
“นี่ๆ ถ้าพวกนายยังไม่เลิกวิ่งไล่จับกันล่ะก็ ระวังแม่เอ็มเบอร์กับพ่อวิลจะออกมาลงโทษพวกนายนะ”แช็ค พูดยิ้มๆพลางเล่นกับแคส หรือ คัสเทล น้อยในอ้อมกอด
“ใช้ตาส่วนไหนมองมิทราบ ว่าเจ้าพวกนี้มันวิ่งไล่จับกันน่ะ...เห็นเอาดาบไล่ฟันกันแทบตาย...นี่ถ้าฝ่ายที่หนีโดนจับได้ ไม่ตายคามือกับคมดาบของพวกที่วิ่งไล่จับเลยรึ =_=^^” ...เสียงในใจของสมาชิกในบ้านกว่าครึ่งคิดอย่างหน่ายๆกับหนุ่มหัวทองที่ต้องเป็นพ่อม่ายเมื่อสูญเสียภรรยากับลูกสาวสุดที่รักไปอย่างน่าสงสาร...แต่ในตอนนี้กลายเป็นคุณพ่อลูกติดไปแล้ว...ส่วนลูกของเขานั้น...ไม่ได้เกิดมาจากหญิงอื่นใดหรือมาจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้า...แต่ลูกของเขาในตอนนี้...เกิดมาจาก...พิธีชุบชีวิตมนุษย์...
จากคำพูดของแช็ค ทำให้บรรดาเด็กหนุ่มที่กำลังวิ่งเล่นไล่จับ(ฆ่า)กันอยู่นั้น หยุดชะงักด้วยอาการขนลุกตั้งชันเมื่อนึกถึงใบหน้าของสาวใหญ่ผมสีแดงเพลิงผสมเลือดนกกับชายหนุ่มผมสีน้ำตาลทองที่มีผมกระจุกหนึ่งเป็นสีแดง
...สองบุคคลอันตราย...อย่าได้สร้างเรื่อง มิเช่นนั้น...เตรียมตัวทรมานกับ-beeb-...ได้เลย...
ทั้ง 5 คนคิดในใจก่อนจะมองสบตากันซึ่ง 2 ใน 5 นั้นได้ฝากข้อความผ่านทางสายตาไปว่า
...ฝากไว้ก่อนเถอะพวกแก!!...
...ไม่รับฝากว่ะ/เว้ย/เฟ้ย...
ซึ่งสามคนที่เหลือก็สบตากลับพร้อมกับข้อความทิ้งท้ายก่อนที่สองหนุ่มนักดาบจะเชิดหน้าอย่างสง่างาม(?)เดินหนีสามหนุ่มสุดกวนประจำบ้านไป
“เฮ้อ~ ช่วงเวลาอันสงบสุข” แช็คเปรยออกมาด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกว่าเจ้าตัวนั้นสุขีกับชีวิตแบบนี้มากเพียงไรราวกับคนแก่อายุมาก...
“ใช่สุข...สุขมากเลยล่ะ...จะตายวันไหนก็ไม่รู้ สุขมาก =_=^^^^” สมาชิกส่วนหนึ่งในบ้านคิดในขณะที่อีกส่วนนั่งเล่นอย่างสุขกายสบายใจ
“สุขสบายกันเสียจริงนะเด็กๆ” เสียงเย็นๆดังมาจากสาวผมสีแดงเพลิงผสมเลือดนก...เอ็มเบอร์...แม่หญิงที่สมาชิกหลายๆคนในบ้านยำเกรง
“บรึ๋ย~ ลางร้ายมาเยือน~” ทุกๆคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ คิดตรงกันอย่างสามัคคี (?) และพากันหนาวสันหลังเมื่อบังเอิญไปจ้องสายตาเย็นๆของแม่คุณที่ถึงแม้สีตาจะร้อนแรงเพราะเป็นสีแดงอมทองแต่พอมองจากความรู้สึกแล้วมันกลับเย็นเสียยิ่งกว่าน้ำแข็งจากขั้วโลกเหนือยันขั้วโลกใต้เสียอีก
หญิงสาวปรายตามองสมาชิกหนุ่มสาวในครอบครัวด้วยสายตาเย็นเฉียบก่อนจะหยุดสาตาเย็นๆของเธอที่เด็กหนุ่มผมสีนิลยาวมัดเป็นหางม้าและเด็กหนุ่มผู้โชคร้าย(?)คนนั้นก็คือ...คันดะ ยู...นั้นเอง
“ยู” เสียงเย็นๆเรียบๆและทรงอำนาจดังมาจากริมฝีปากเรียวอิ่มสีซากุระของหญิงสาวพาให้หนุ่มสาวทั้งหลายพากันสะดุ้งขนลุกพลางหันไปมองเจ้าของชื่อเป็นตาเดียวกัน ผิดกับเจ้าของชื่อที่ยื่นนิ่งไม่แสดงอาการใดๆ...แต่ในใจนั้นผิดกับภายนอกที่ดูสงบนิ่งปนเย็นชาริบลับ...
“ตามฉันมา” เอ็มเบอร์พูดก่อนจะเดินเข้าไปในบ้านปล่อยให้สมาชิกในครอบครัวที่อยู่ในที่นี้สงสัยกับการปรากฎตัวของคุณเธอ
“ยู รีบตามแม่ไปสิ” ราฟาเอล หรือที่สมาชิกคนอื่นๆในบ้านเรียกสั้นๆว่าราฟเร่งคันดะที่ยืนนิ่งอยู่กับที่เพื่อไม่ให้แม่ของเขาต้องเคือง ปะเดี๋ยวเพื่อนของเขาคนนี้จะเจอสายตาของคุณแม่สุดที่รักแผดเผาให้กลายเป็นธุลี(?)
“รู้แล้วน่า!!!” คันดะตอบห้วนๆก่อนจะเดินเข้าไปในบ้าน ตามเอ็มเบอร์ที่นำไปก่อนแล้ว
เมื่อเอ็มเบอร์และคันดะไปพ้นรัศมีแล้ว สมาชิกทุกๆคนในที่นี้จึงมาสุมหัวนั่งคุยกันถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นไป
“ฉันว่ายูมันตายแน่ๆ” บาร์โทโลมิวแสดงความคิดเห็นหน้าตาย
“แต่พี่ยูเขายังไม่ได้ทำอะไรผิดเลยนะคะ แล้วแม่เอ็มเบอร์จะฆ่าพี่เขาทำไมล่ะคะ?” สึนะถามอย่างใสซื่อ
“เฮ้ย โทรจองโลงศพเลยมั้ยวะ?” ฟรานซิสโก้พูดขึ้นพร้อมกับโทรศัพท์มือถือในมือที่เตรียมตัวจะกดโทรออกได้ทุกเมื่อ
“มั่นใจจังเลยนะคะว่าพี่ยูเขาจะต้องตายน่ะ” สึนะพูดอย่างปลงๆในขณะที่พวกบางพวก(?)เมินเฉยต่อสิ่งที่เธอพูด
“เฮ้ย! โทรได้ไงวะ เปลืองเงิน ทำโลงศพเองเลยดีกว่า หรูพอให้ยูนอนหลับอย่างสุขสบายไปทั้งชาติเลยนะเฮ้ย” เฮนรี่ เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลมอง นัยน์ตาสีน้ำตาล พูดอย่างสนุกสนานจนเด็กน้อยของบ้าน(?)เริ่มจะเข้าใจขึ้นมานิดๆแล้ว...
“นี่พวกพี่คิดแบบนั้นจริงๆหรือจงใจแช่งพี่ยูเขาคะ?” สึนะถามขึ้นอย่างใสซื่อ...แต่มันตรงประเด็นจนทั้งสามที่เปิดประเด็นเมื่อครู่หันมามองยิ้มๆ...
“แช่ง”
ทั้งสามตอบพร้อมกันอย่างไม่ต้องคิดอะไรเพราะมันคือความจริง
“เจริญ...เยี่ยมมาก...ขอบใจที่บอกหลังจากพวกนายคุยกันเหมือนเป็นเรื่องใหญ่เสียนาน” ฟาเธอร์ เด็กหนุ่มผมสีทองอ่อน นัยน์ตาสีฟ้าอ่อน พูดอย่างประชดประชันจนสมาชิกบางคนของบ้านหลุดหัวเราะออกมานิดๆ
“อย่าไปสนเรื่องที่มัน 3 ตัวพูดเลยน่า ยูไม่เป็นอะไรหรอก และฉันคิดว่าฉันรู้นะว่าแม่เรียกยูไปทำไม” ราฟพูดขึ้นทำให้ทั้งวงหันมามองเขาเป็นตาเดียว
“ทำไมเหรอราฟ?” อเล็กซานโดร โอกะ เด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้ม นัยน์ตาสีน้ำตาลเป็นประกาย ใบหน้าเรียวสวยดูมีเสน่ห์ ถามขึ้นด้วยความสงสัย
“เรื่องของพวกตระกูลสัตว์ศักดิ์สิทธิ์น่ะ” ราฟ ตอบเสียงสงบนิ่งด้วยรอยยิ้มบางๆพลางจ้องมองท้องฟ้า ราวกับพ่อนกที่ได้เห็นลูกนกกางปีกโผบิน(?)
“ถึงเวลาของเจ้านั้นแล้วสินะ” โอกะพูดอย่างเข้าใจดีเช่นเดียวกับสมาชิกคนอื่นๆของบ้านที่รู้ว่าสิ่งที่ราฟพูดนั้นหมายถึงอะไร...
...ช่วงเวลาแห่งวิวัฒนาการ...ถึงเวลาที่มังกรจะตื่นแล้ว...
***********************************************************************
ภายในห้องสีเหลี่ยมขนาดเล็กพอประมาณที่ดูจะแคบสุดๆเพราะว่ามี...โต๊ะตัวหรูขนาดใหญ่...เก้าอี้บุนวมสีแดงกำมะหยี่ขนาดย่อม...โซฟาตัวยาวอีก 4-5 ตัวกับโต๊ะตรงกลาง...ดูยังไงๆก็ดูเหมือนห้องรับแขกสุดหรูในรูหนูดีๆนี่เอง...แต่นอกจากนี้...มันยังมีชั้นหนังสือกับหนังสือนับร้อยนับพันเล่มตามมุมห้องอีกน่ะสิ!!!!...
...ไม่ว่าจะมองดูอีกกี่ครั้ง...มันก็ยังดูแคบอยู่ดี...ยังกับห้องทำงานสุดหรูที่ถูกบีบอัดหรือไม่ก็ห้องรับแขกในรูหนูพิกล...
“มาแล้วสินะยูคุง” เสียงทักดังมาจาก
“ทำไมถึงเรียกผมมา?” คันดะถาม หลังจากเข้ามานั่งประจันหน้ากับแคลร์
“มันถึงเวลาแล้วเด็กน้อย” แคลร์ พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนทำให้คันดะชะงักไปสักครู่ก่อนจะถอนหายใจ
“ถึงเวลาแล้วสินะ” คันดะพึมพำ แต่เหล่าผู้ใหญ่ของบ้านนั้นได้ยินกันหมด
“เธอน่าจะดีใจนะ...เพราะมันคือการก้าวสู่ความเป็นผู้ใหญ่” บาร์ติเมอัส ชายหนุ่มผมสีนิล นัยน์ตาสีทอง พูดพร้อมยิ้มนิดๆแต่กลับดูดีและทำให้ชายคนนี้ดูหล่อเท่ห์ และดูลึกลับในเวลาเดียวกัน
“หึ...มันก็ใช่...แต่ว่า...”คันดะพูด แต่ก็หยุดไป...แม้ใบหน้าคมนั้นจะเรียบนิ่ง แต่ในแววตานั้นกลับแสดงออกถึงความรู้สึกลำบากใจได้อย่างชัดเจน
“คิดถึงพี่น้องงั้นหรือยู?” ไนท์ ชายหนุ่มผมสีดำอมน้ำตาลและขาว นัยน์ตาสีโลหิต พูดยิ้มๆเป็นเชิงหยอกล้อ แต่ใครจะรู้ ว่ามันจะเป็นเรื่องจริง
“...” คันดะเลือกที่จะเงียบ ไม่ต่อล้อต่อเถียงกับคนปากจัดปากไวแบบ ไนท์ ถึงแม้จะมีอาชีพเป็นตัวตลก แต่ถ้าพูดอะไรไม่เข้าหู เขาก็กลายเป็นคนร้ายกาจได้เหมือนกัน...ทำเอาตลกไม่ออกเลยล่ะ...อีกอย่าง...เขาเถียงไม่เคยชนะชายคนนี้อยู่แล้ว...มีแต่ยิ่งทำให้เขาหงุดหงิดล่ะสิไม่ว่า
ผู้ใหญ่ทั้ง 14 คนมองคันดะเป็นตาเดียวกันก่อนจะแอบไปอมยิ้มกันลับหลังสักพักแล้วหันกลับมาทำหน้าปกติกันต่อพลางคิดในใจพร้อมๆกัน...เจ้าเด็กปากแข็งเอ๊ย~...
“เอาล่ะนะ เธอก็รู้แล้วสินะว่า นี่คือเวลาที่เธอจะพัฒนาพลังของตน...ซึ่งตามธรรมชาติของพวกตระกูลสัตว์ศักดิ์สิทธิ์แล้ว เธอจะกลับไปเป็นเด็กอีกครั้งแล้วกลายเป็นมนุษย์ไปจนกว่า ดอกบัวนี้จะโรยราจนหมด” แคลร์อธิบายพลางยกนาฬิกาทรายที่ตรงส่วนบนนั้นมีดอกบัวสีชมพูอยู่
“แต่ถึงจะกลายเป็นมนุษย์ พลังบางอย่างในตัวเธอก็ยังคงอยู่นะ” เบียทริก หญิงสาวผมสีทอง นัยน์ตาสีฟ้าสดใส พูดยิ้มๆ
“หมายความว่ายังไงกันครับ?” คันดะถามด้วยความสงสัย
“ก็ประมาณว่า...เธอยังคงมีพลังหลงเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย อย่างเช่น พลังในการเรียกดาบออกมาจากร่างกาย พลังในการรักษาแผลอย่างรวดเร็ว แต่มันก็แล้วแต่น่ะนะ ว่าเธอจะหลงเหลือพลังส่วนไหนอยู่ในตัวหลังจากกลายเป็นมนุษย์ไปแล้ว” บาร์ติเมอัส อธิบาย
“แต่มันก็ยังมีข้อห้ามอยู่อย่างหนึ่ง” แซมมาเอล ชายหนุ่มผมสีนิลนัยน์ตาข้างซ้ายสีฟ้า ส่วนอีกข้างมีผ้าสีดำคาดปิดไว้ พูดขึ้นจากเก้าอี้หัวโต๊ะ
“ถึงแม้เธอจะกลายเป็นมนุษย์...แต่เธอก็ยังเป็นเชื้อสายของอโพซุลุส เชื้อสายของสาวกชองพระผู้เป็นเจ้าและพระผู้เป็นเจ้า...ถ้าเธอต้องการจะใช้พลังบางอย่างที่ไม่ได้มีในตอนเธอเป็นมนุษย์...กลีบดอกบัวจะโรยราเร็วขึ้น ...ผิดธรรมชาติของมัน และนั้นจะทำให้การเปลี่ยนแปลงของเธอทรมานขึ้น” แซมมาเอลอธิบายใบหน้าเรียบเฉย
“หวังว่าเธอคงจะไม่เลือกวิธีที่แสนจะทรมานให้กับตนเองหรอกนะ” เอ็มเบอร์พูดขึ้นหลังจากนั่งฟังมาสักพัก
“ไม่แน่นอนครับ” คันดะตอบเสียงเรียบ แต่เขากลับรู้สึกไม่มั่นใจเอาเสียเลย...ลางสังหรณ์มันร้องบอกเขา...ว่าเขาจะทำให้ดอกบัวโรยราก่อนเวลาของมัน...
“ดี” เอ็มเบอร์พูด...ถึงจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าคันดะต้องทำให้ดอกบัวโรยราเร็วกว่าเวลาอันควรก็ตาม...ถึงเธอจะเป็นห่วงเด็กคนนี้...แต่มันคือชะตากรรมของเขา...
“งั้นอีก 3 วัน เธอค่อยออกเดินทางนะ...เดินทางไปยังสถานที่ ที่เรียกว่า ‘ศาสนจักรแห่งความมืด’ และจงเป็น
‘เอ็กโซซิสท์’ เหมือนที่แม่กับพี่สาวของเธอเป็น” แคลร์พูดทำให้คันดะเบิกตากว้าง
“ ส่วนเรื่อง ‘อินโนเซนส์’ เธอมีมันอยู่ในตัวแล้วสินะ” ราชา ชายหนุ่มผมสีรัตติกาล นัยน์ตาสีแดงถามขึ้นโดยที่คันดะพยักหน้าเป็นคำตอบ
“เรารู้ว่ามันทำให้เธอรู้สึกปวดใจที่ต้องเข้าไปยุ่งกับเรื่องที่ต้องทำให้นึกถึงครอบครัวที่ตายจากไป...แต่มันเป็นชะตากรรมของเธอนะยูคุง” เบียทริก พูดปลอบเมื่อเห็นแววตาเจ็บปวดของคันดะ
“และก็...ถ้าเธอไปที่นั้น...เธอจะได้พบกับ...” ไนท์ ที่กำลังจะพูดบางอย่างออกมา เป็นต้องกล้ำกลืนคำที่เขาอยากจะพูดมานานออกมา...คำพูดพวกนั้นมันจุกอยู่ที่คอจนทำให้เขาทรมาน น้ำตาแทบจะไหล
“จะได้พบกับหลานที่หายไปของ ไนท์ น่ะ” นูเบ ชายหนุ่มผมสีนิล นัยน์ตาสีโลหิต พูดแทนเพื่อนที่แทบจะร้องไห้เมื่อนึกถึงหลานที่ไม่เคยพบหน้าพบตาหลังจากที่น้องสาวของเขาเสียชีวิตไปเมื่อ 30 กว่าปีที่แล้ว
“แถมถ้าเธอไปที่นั้น ไม่แน่นะ...อาจได้พบว่าที่ภรรยาในอนาคตก็เป็นได้” บาร์ติเมอัสพูดขึ้นทำลายบรรยากาศตรึงเครียด ทำเอาเด็กหนุ่มถึงกับหน้าขึ้นสีไปนิดหน่อยทำให้ผู้ใหญ่ทั้ง 14 คนเผลอหัวเราะกับอาการของเด็กหนุ่ม
“ก็นะ...ก็อย่างที่พูดไป ชะตากรรมต่อไปของเธออยู่ที่นั้น...และอีกไม่นาน โลกใบนี้จะเปลี่ยนไป โดยมีเธอเป็นหนึ่งในตัวแปร” ราชาพูดพลางยิ้มอ่อนโยนให้กับเด็กหนุ่ม
“ทั้งโนอา เอ็กโซซิสท์ จะกลายเป็นพวกพ้องเดียวกัน โลกจะกลับมาสู่สมดุล ไม่ต้องทำลายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่อยู่ร่วมกันอย่างสันติเปรียบดั่งกับครอบครัวเดียวกัน นั้นคือสิ่งที่ เอเลน ฝันจะให้มันเป็นจริงมาตลอด ถึงเวลาที่พวกเราจะทำให้มันเป็นจริงแล้ว” ไนท์ พูดยิ้มๆเมื่อนึกถึงน้องสาวของเขาที่ไปเป็น เอ็กโซซิสท์ เพื่อสอดแนมและแสดงความคิดเห็นที่ว่า เอ็กโซซิสท์กับโนอาน่าจะเป็นพวกเดียวกัน...แต่ความฝันของเธอก็ไม่เป็นจริง...เมื่อชีวิตของเธอ สิ้นไปก่อนที่จะเริ่มทำอะไรสักอย่างเสียด้วยซ้ำ...
“และการที่จะให้เป็นเช่นนั้นได้ ต้องพึ่งเธอนะยู” ไนท์พูดพลางจับไหล่เด็กหนุ่มพลางส่งรอยยิ้มจริงใจไปให้ ทำเอา คันดะอึ้งไปสักพักที่ชายคนนี้ ปกติกับเขา(?)เป็นด้วย
“เอ้าๆ พ่อหนุ่ม ไปพักผ่อนเสียเถอะ ใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้กับครอบครัวให้คุ้มค่าเสียเถอะนะ” บาร์ติเมอัสพูดพลางจับลากคันดะไปทางประตูก่อนจะถีบส่งให้ออกไปนอกห้องแล้วปิดประตูเสียดังหลังจากนั้นก็ถอนหายใจราวกับโล่งอก
“ไปแล้วสินะ” เอ็มเบอร์พึมพำ ราวกับพูดลอยๆ แต่ใครๆก็รู้ว่าเธอกำลังเริ่มเปิดบทสนทนา
“คงลำบากหน่อยล่ะ” บาร์ติเมอัสเองก็พึมพำเช่นกันโดยที่เจ้าตัวนั้นยืนหันหลังพิงประตูอยู่
“เด็กนั้นจะต้องทำให้ดอกบัวโรยราก่อนเวลาอันควรแน่ แล้วเจ้าเด็กนั้นก็จะ...” เอ็มเบอร์พูดพลางกัดริมฝีปากและกำมือแน่น
“เป็นห่วงเขาสินะ เอ็มเบอร์” แซมมาเอลพูดขึ้นโดยที่เขานั้นนั่งอยู่บนเก้าอี้บุนวมตัวใหญ่ที่หันไปทางหน้าต่างบานใหญ่ของห้องทำงานแห่งนี้
“ไม่ใช่สักหน่อย!!!ฉันก็แค่...”เอ็มเบอร์พูดขึ้นแทบจะตะโกนเสียด้วยซ้ำ แล้วก็เงียบไปเพราะไม่รู้ว่าจะเอาอะไรมาอ้างเหตุผลเอง...และเธอก็ไม่อยากโกหกว่าเธอไม่ได้เป็นห่วงเด็กนั้น...
“อย่าซึนได้มั้ยเอ็มเบอร์” นูเบ ชายหนุ่มผมสีนิล นัยน์ตาสีแดง พูดกับภรรยาของตนพลางเอามือก่ายหน้าผากกับนิสัยของภรรยาของตนก่อนจะโดนเท้าเรียวๆของภรรยาสุดที่รักกระทืบเข้าให้ที่เท้าหนาของตนจนเจ้าตัวต้องนั่งร้องซี้ดๆ ไปสักพัก แถมด้วยสายตาคมที่ปรายมองเพียงหางตากับการเชิดหน้าค้อนให้วงโต เป็นสัญญาณบอกเขาว่าต้องตามง้อเมียเสียแล้วสิ
“เราทุกคนล้วนเป็นห่วงเขาทั้งนั้นแหละเอ็มจัง แต่มันคือชะตากรรมของเขา” แคลร์พูดขึ้นหลังจากพยายามกลั้นขำอาการของสองสามีภรรยาคู่นี้สักพัก
“ยูเป็นเหมือนลูกของพวกเราคนหนึ่ง มันไม่แปลกหรอกที่พวกเราจะรู้สึกเป็นห่วงเขา” วิลลาร์ด ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มอมทอง มีผมกระจุกหนึ่งเป็นสีแดง นัยน์ตาสีทอง พูดขึ้นเสียงเรียบทำให้ แคลร์ ภรรยาสาวสุดที่รักของเขาหันมามอง แต่คนอื่นๆทำเพียงแค่เหลือบตาหรือปรายตามองเท่านั้น
“พูดดีๆกับเขาก็เป็นนี่วิล” แคลร์แซวสามีของเธอยิ้มๆทำเอาชายหนุ่มหน้าขึ้นสีไปนิดๆ พลอยทำให้คนอื่นแอบหลุดหัวเราะกับอาการของหนุ่มหน้านิ่งไปด้วย
“วงล้อแห่งชะตากรรมเริ่มหมุนวงแล้ว นี้เป็นอีกบทหนึ่งที่ต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง” แซมมาเอลพึมพำพลางมองออกไปยังภายนอก...มองท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ด้วยใบหน้าสงบนิ่งแต่ในใจนั้นกลับมีความกังวลอยู่ไม่น้อย
...นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น...โชคชะตาที่ต้องถูกแก้ไข...
...จะไม่มีอีกแล้ว...การต้องต่อสู้กับคนที่เรารัก...
...จะไม่มีอีกแล้ว...การสูญเสีย...
...จะไม่มีอีกแล้ว...ความทุกข์ทรมานใจ...
...เพราะการพบกันต่อจากนี้ จะเปลี่ยนทุกๆอย่าง...
...การพบกันของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้ากับตัวตลกของพระผู้เป็นเจ้า...
...การพบกันของ...รัตติกาลและหิมะ...
++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ฝากเม้มด้วยนะเจ้าคะ =w=~
กลับมาแก้ไขให้เข้าที่เข้าทางเจ้าคะ...กว่าจะโอนี้ก็นานเหมือนกันแหะเจ้าคะ
ความคิดเห็น