คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : ตอนที่4.....ถาพบาดตาบาดใจ
บรรยากาศของการเป็นนักศึกษาใหม่หมดไปแล้ว เวลาวิกฤตของเหล่านักศึกษาเริ่มย่างกลายเข้ามาแทนที สอบภาคเรียนแรกกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
“เล.........เล เฮ้ไอ้เล” ฉันหันไปตามเสียงเรียกที่คุ้นหูนั้น แต่ยังไม่แน่ใจนักว่าเป็นเสียงของใคร
“ทางนี้ไอ้เล”
“พี่ต้น” ฉันแน่ใจเมื่อหันไปเจอพี่ต้นกำลังโบกไม่โบกมือให้ฉันอยู่
“เออ พี่เอง เรียกตั้งนานไม่หันเลยนะเรา”
“ก็เลไม่ได้ยินนี่คะ แล้วพี่ต้นมีอะไรกับเลหรือ ถึงได้เรียกซะดังไปถึงหลังมออย่างนี้”
“พี่เอาแนวข้อสอบกลางภาคมาให้เราไง จะสอบอยู่แล้วไม่ใช่หรือ” พี่ต้นยื่นกระดาษบึกใหญ่มาตรงหน้าฉัน ฉันรับมันมาเปิดดูผ่าน ๆ
“โถ่...พี่ต้นเอามาให้อะไรตอนนี้ค่ะ จะสอบอยู่วันสองวันนี้แล้ว ไม่เอามาให้เลตอนสอบเสร็จเลยล่ะค่ะ” จบประโยคฉันก็ได้รับมะเหงกเบาะ ๆ ลงบนกะโหลกเสียหนึ่งที
“เจ็บนะพี่ต้น”ฉันลูบตรงรอยประทุษร้ายของพี่ต้นเบา “ตั้งแต่เป็นพี่น้องรหัสกันมา พี่ต้นเขกกะโหลกเลไปไม่รู้กี่ทีต่อกี่ทีแล้วนะค่ะ ถ้าเลสอบไม่ผ่านเพราะสมองได้รับความกระทบกระเทือนพี่ต้นต้องรับผิดชอบด้วยนะค่ะ”
“น้อย ๆ หน่อยเรานะ เขกนิดเขกหน่อยสมองกระทบกระเทือนเลยหรือ ถ้ามันเป็นแบบนั้นจริงๆพี่ก็จะยอมเลี้ยงเราไปจนแก่ตายเลยดีไม่ ล้นจริง ๆ น้องรหัสฉัน” พี่ต้นถอนหายใจยาว ส่ายหัวเบา ๆ คงเพราะนึกเอ็นดูน้องรหัสน่ารัก ๆ อย่างฉันล่ะสิ (เขาเอือมระอาล่ะสิไม่ว่า)
“ไงก็ขอบคุณมากนะพี่ต้น ไว้เลจะไปต้มกินก่อนสอบ เพราะอ่านคงไม่ทันแล้วล่ะ กินเข้าไปเลยอาจจะซึมเข้าร่างกายไปบ้าง ฮาๆๆๆๆ” ฉันหัวเราะลั้นก่อนนะโยกหัวหลบมะเหงกมหาภัยของพี่ต้นที่กำลังตรงมาที่เป้าหมายเดิมอีกครั้ง
“เอาล่ะ ๆ พอได้แล้ว พี่ไปล่ะนัดเพื่อนกินข้าวไว้ พี่ไปล่ะ” พี่ต้นยอมล้มเลิกประเคนมะเหงกให้ฉัน แล้วก็ขอตัวไปเสียดื้อ ๆ
ฉันแยกกับพี่ต้นแล้วรีบเดินตรงไปตึกเรียนทันที วันนี้ฉันเลือกเดินผ่านทางที่ไม่คิดจะเดินผ่านอีก หลังจากที่ตัดสินใจหยุดคิดถึงเขา ขาฉันเริ่มก้าวช้าลงเมื่อมาถึงหน้าสนามบาสฯ ไม่ได้ผ่านมานานเป็นเดือนแล้วนะเนี่ย ไม่มีอะไรเปลี่ยนไป นอกจากวันนี้ไม่มีเขาเล่นบาสอยู่ที่เดิม อาจจะเพราะใกล้สอบ หรือ อะไรฉันก็หาเหตุผลมาอธิบายไม่ได้ พอได้ผ่านมาที่ที่เคยผ่านความรู้สึกที่ฉันคิดเอาเองว่ามันไม่หลงเหลืออยู่ในใจฉันแล้ว มันกลับแจ่มชัดขึ้นมาอย่างกับมันไม่เคยจางหายไป ฉันหยุดยืนดูแป้นบาสฯนิ่ง จ้องมองมันเหมือนเขายังคงเล่นอยู่ที่ตรงนั้น
“สวัสดีจ๊ะน้องเล” เสียงหวานใสของใครคนหนึ่งดังขึ้นข้างตัวฉัน ทำให้ฉันสะดุ้งโหยงด้วยความตกใจเล็กๆ
“สวัสดีค่ะพี่วรรณ” ฉันยกมือไหว้พี่วรรณหลังจากใช้เวลาตั้งสติเพียงอึกใจ
“ทำอะไรอยู่จ๊ะ พี่เห็นน้องเลยืนอยู่ตรงนี้พักใหญ่แล้ว”พี่วรรณเอียงคอเล็กน้อง แววตาสงสัยที่ส่งมาให้ กับรอยยิ้มน้อย ๆ นั้น ดูน่ารักและเป็นธรรมชาติที่สุดเท่าที่ฉันเคยเห็นใครทำมา ฉันคงไม่สามารถเป็นกิริยาแบบนั้นแล้วออกมาน่ารักเท่าเธอคนนี้ได้เป็นแน่
“เปล่าค่ะ เลแค่...”ฉันหยุดคิดหาเหตุผลอยู่เพียงไม่นานก็ตอบพี่วรรณออกไปได้
“เลพักเหนื่อยนะค่ะ แค่หยุดพักเท่านั้น”
“ไปทำอะไรมาหรือครับถึงได้เหนื่อยนัก” เสียงนี้ไม่ใช่เสียงพี่วรรณ แต่เป็นเสียงของใครกันนะ ทำไมเสียงมันถึงได้คุ้นหูคุ้นใจฉันได้เพียงนี้
“อ้าว...มาแล้วหรือหนึ่ง วรรณรออยู่เลย” พี่วรรณพูดกับใครคนหนึ่งที่ตอนนี้มายืนอยู่ด้านหลังฉันเรียบร้อยแล้ว
“ครับ” เขาตอบ
ฉันค่อย ๆ ขยับตัวออกจากการสนทนาที่มีฉันกั้นกลางอยู่ แล้วหันไปทางผู้มาเยือนคนใหม่
“ไงครับไปทำอะไรมา น้องเลถึงได้เหนื่อยมากมายนัก หรือว่ามัวแต่หยอกล้อกับใครถึงได้...”พี่หนึ่งหันมาพูดกับฉัน หากแต่ยังไม่ทันจบประโยคพี่วรรณก็ต้องปราม
“อะไรนะหนึ่งก็ทำไมไปพูดกับน้องเลแบบนั้น เป็นอะไรไปคะ กินรังแตนที่ไหนมาล่ะ”
“เหนื่อยเพราะกำลังรีบวิ่งไปตึกเรียนนะค่ะ” ฉันตอบเขาไป แต่ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจความนัยในคำถามของเขามากนัก ฉันรู้สึกว่าปลายเสียงเขากำลังไม่พอใจฉัน แต่ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าเรื่องอะไร
ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะเสกปราสาทงามให้เธอ ไม่มีฤทธิ์เดช ไม่มีราชรถรถเลิศเลอแต่ฉันมีใจพิเศษ ที่จะพาเธอผ่านคืนนี้ไป ฉันเป็นเพียงผู้ชาย คนนี้ที่มีใจมั่นรักเธอ... เสียงเพลงโปรดของฉันดังมาจากโทรศัพท์มือถือเครื่องเล็กของฉัน ฉันรีบค้นหามันเพื่อจะรับเพราะไม่อยากให้พี่หนึ่งรู้ว่าฉันใช้เพลงเรียกเข้าอะไร แต่โทรศัพท์เจ้ากรรมนี้สิไม่รู้มันไปอยู่ที่ไหน หาเท่าไหร่ก็หาไม่เจอ
“เพื่อน ๆ คงโทรมาเรียกแล้วล่ะค่ะ เลขอตัวนะค่ะ” ฉันขอตัวแล้วรีบวิ่งไปยังตึกเรียน โดยไม่คิดจะหาเจ้าโทรศัพท์เจ้ากรรมอีกแล้ว
สอบวันสุดท้ายผ่านไปด้วยดี ฉันว่าฉันทำข้อสอบได้อย่างไม่มีปัญหาอะไร คงต้องขอบคุณแนวข้อสอบที่พี่ต้นเอามาให้ เพราะมันตรงแทบจะทั้งหมด ดีนะที่ฉันไม่คิดจะไปต้มกินอย่างที่บอกพี่ต้นไว้ แต่กลับเอาไปอ่านอย่างเอาเป็นเอาตาย ผลพวงจากความพยายามจึงทำให้ฉันแน่ใจว่าฉันทำข้อสอบได้เกือบหมด ถ้าบอกว่าหมดมันคงเป็นการหลงตัวเองเกินไป (นี่ยังไม่เรียกว่าหลงตัวเองอีกหรือ)
วันนี้ฉันนัดเลี้ยงฉลองเวลาวิกฤติกับเพื่อน ๆ ที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดังใกล้ๆ มหาวิทยาลัย ร้านอาหารญี่ปุ่นชั้นนำของเมืองไทยเป็นเป้าหมายของการมาของฉันวันนี้
ฉันมาถึงหน้าร้านแล้วจึงผลักประตูกระจกเข้า ก่อนจะกวาดสายตามองหากลุ่มเพื่อนๆ เมื่อสายตากวาดเจอเจ้าเพื่อน ๆ ตัวดีของฉันเข้า ฉันก็รีบสาวเท้าเข้าไปอย่างไม่รอช้า เพราะถ้าชักช้าอาหารมื้อนี้อาจจะไม่มีเหลือถึงปากถึงท้องฉันแน่
“ทำไมมาสายนักวะเล นี่ถ้าช้ากว่านี้อีก 10 นาทีหมดแล้วนะโว้ย” นิดกล่าวทักทายฉันเป็นคนแรก
“รถไม่ติดวะ” ฉันตอบก่อนจะทิ้งตัวลงตรงเก้าอี้ตัวที่ว่างอยู่
“อะไร รถไม่ติดแล้วไมยังมาสายอีกล่ะ” นิดถามแทนความสงสัยของเพื่อน ๆ ทั้งโต๊ะ กับเหตุผลของฉัน
“ก็รถของฉันนะสิไม่ติด ไม่รู้เป็นไรอยู่ก็เสียเฉยเลย” ฉันไขข้อข้องใจของเพื่อนให้ แต่กลับโดยพวกเพื่อนประณามต่าง ๆ นานา
“ไอ้บ้าเล กวนนะแก” จบคำชมของเพื่อน ๆ (นั้นเขาเรียกชมหรือ) ฉันก็หัวเราะลั้นอย่างอันไว้ไม่อยู่
“แล้วมาไงล่ะแก อย่าบอกนะว่านั่งแท็กซี่มานะ คุณหญิงป้าแกคงไม่ยอมให้นั่งมาแน่ๆ” หญิงถามขึ้นเพราะรู้ดีว่าคุณป้า หรือคุณหญิงป้าที่ทุกคนรู้จักกันนั้น ค่อยข้างจะห่วงฉันเอามาก ท่านไม่เคยยอมให้ฉันนั่งรถแท็กซี่ หรือรถเมล์ไปไหนมาไหนคนเดียว
“เดาดูสิว่าฉันมากับใคร” ฉันยิ้มหวานให้เพื่อน
“ไม่เดาอะไรแล้ว อยากบอกก็บอกมา ไม่อยากบอกก็ตามใจ” นิดเพื่อนร่างใหญ่บ่นขึ้น ไม่ใช่เพราะเบื่อที่ฉันยึกยักไม่ยอมบอก แต่เพราะถ้าฉันยังไม่บอกการเริ่มกินก็จะยังไม่มีการเริ่มขึ้น
“ดูนู้นสิ เขามานั้นแล้ว” ฉันชี้มือไปทางประตูร้านเพื่อเป็นแนวทางให้ทุกคนมองตาม
“พี่ต้น? หมายความว่าไงวะเล ทำไมมากับพี่ต้นได้ล่ะ” เอ็มเพื่อนสายผิวสีของฉันขึ้นเสียงหลง
“ก็คุณป้าไม่ยอมให้ออกมาเองนี่ ฉันเลยต้องขอให้พี่ต้นช่วย”
“สวัสดีครับน้องๆ ขอพี่นั่งด้วยคนนะครับ” พี่ต้นทักทายเพื่อน ๆ ฉันทันที ก่อนจะจัดการหาที่นั่งให้กับตัวเอง พี่ต้นพี่รหัสของฉันดูจะสนิทกับเพื่อน ๆ ของฉันทุกคน เพราะพี่ต้นเป็นคนสนุกสนาน และเป็นมิตรจนบางครั้งฉันยังคิดว่าสงสัยพี่เขาจะมาเรียนผิดเอกหรือป่าว เพราะแทนที่จะเรียนเป็นนักประพันธ์ไส้แห้ง น่าจะไปเป็นประชาสัมพันธ์เสียจะดีซะกว่า
“ในฐานะที่พี่ต้นอายุมากที่สุดในที่นี้ พวกเราก็จะไม่หักหน้าพี่โดยการจ่ายค่าอาหารมื้อนี้ตัดหน้าพี่ เชิญพี่จัดการได้ตามสบายเลยค่ะ” ฉันเริ่มบทสนทนาอีกครั้งหลังจากอาหารบนโต๊ะหมดไปแทบทุกจาน
“อะไรของเรา ไหนบอกพีว่าจะพาพี่มาเลี้ยงที่เอาแนวข้อสอบมาให้ แล้วไงมากลายเป็นพี่เลี้ยงล่ะเนี้ย” พี่ต้น บ่นอุบขึ้นเมื่อการมาของเขาผิดแผนไป
“เลแกไปหลอกพี่ต้นมาหรือนี้” เสียงเพื่อนตัวดีของฉันดังขึ้น แต่ฉันก็ไม่ทันสังเกตว่ามาจากใคร
“จริงด้วย พี่โดนยัยเลหลอกมา ดูสิน่าสงสารจริง ๆ “พี่ต้นทำตาละห้อย กับเสียงสะอึกสะอื้นเรียกร้องความสงสารจากเพื่อน ๆ ฉันได้อย่างน่าทุบสักปักลงกลางหลังจริง ๆ
“ไม่ต้องมาโยเยเลยพี่ต้น เลอุตส่าห์ให้โอกาสแสดงความเป็นสุภาพบุรุษ จ่ายเงินให้สาว ๆ สวย ๆ แล้วนะ ยังจะมีคร่ำครวญเรียกร้องความสงสารอีกหรือคะ”
“คนอื่นนะอาจจะสวยจริง แต่กับเรานะ พี่ไม่เห็นความสวยเลยจริง ๆ “
“พี่ต้น” ฉันแวดลั่นก่อนจะทุบปักลงไปตรงกล้ามเนื้อแขนแข็งแรงของคนพูด
“ดูสิครับน้อง ๆ ใครไม่เคยเห็นของแปลกมาดูเร็ว ยัยเลงอนเป็นด้วย”
“พี่ต้น...ว่าเลแบบนี้ได้ไง คนสวยน้อยใจนะคะ” ฉันโวยทีเล่นทีจริง แล้วเสียงหัวเราะก็ดังลั่นไปทั้งโต๊ะ
หลังจากพี่ต้นจำเป็นต้องจ่ายค่าอาหารทั้งหมดเอง พวกเราก็แยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน ฉันกับพี่ต้นเดินออกจากลิฟต์ที่เชื่อมกับลานจอดรถของห้างสรรพสินค้า
“นั้นพี่หนึ่งกับพี่วรรณนี่เล”
พี่ต้นชี้ให้ฉันเห็นภาพบาดตาโดยไม่รู้ตัว ภาพพี่หนึ่งเดินกุมมือพี่วรรณเดินตรงมาที่ลิฟต์ตัวที่ฉันเพิ่มออกมากับพี่ต้น ทำให้ฉันรู้สึกเจ็บลึก ๆ ในใจอย่างพูดไม่ถูก รอยแผลที่ฉันพยายามลบมันออกไป แต่ทำอย่าไรมันก็ไม่เคยจางหาย รู้ก็รู้ว่าถ้าไม่รับจัดการกับความรู้สึกนี้ ฉันจะต้องเจ็บทุกครั้งที่เจอเขาอยู่ด้วยกัน แต่ก็ยังไม่สามารถจัดการกับความรู้สึกเจ็บนี้ได้สักครั้ง ฉันก้มหน้างุดไม่ยอมมองภาพตรงหน้า หากแต่ก็ไม่สามารถหลบพ้นสายตาของคนทั้งสองได้
“อ้าว ต้นกับเลมาเที่ยวกันหรือจ๊ะ” พี่วรรณเริ่มทักทายขึ้นก่อน
“ครับพี่ ผมพาเลมาหา...” พี่ต้นยังพูดไม่ทันจบประโยคฉันก็แทรกขึ้น
“ค่ะ เลมาเที่ยวกับพี่ต้นนะค่ะ ก็ว่ากำลังจะกลับกันอยู่พอดี ขอให้พี่วรรณกับพี่หนึ่งเที่ยวให้สนุกนะค่ะ” พูดจบประโยคฉันก็หันไปทางพี่ต้นก่อนจะต่อประโยคต่อไปโดยไม่เปิดโอกาสให้ใครได้พูดอะไรต่อ
“ไปกันเถอะพี่ต้น เลมีรายงานต้องทำส่งอาจารย์อีก ไปนะค่ะพี่วรรณ พี่หนึ่ง” ท้ายประโยคฉันหันไปสวัสดีคู่รักที่ฉันไม่อยากเจอมากที่สุด ก่อนจะลากพี่ต้นเดินออกจากตรงนั้น
ขึ้นรถได้พี่ต้นก็เริ่มถามถึงข้อข้องใจในปฏิกิริยาและข้ออ้างไม่มีเหตุผลของฉันเมื่อครู่นี้
“รายงานอะไรของเลอะ พึ่งสอบเสร็จเมื่อกี้ อะไรมีรายงานแล้วหรือ ไปอะไรไปหรือเปล่าเรานะ”
“เอาน่า ไม่ต้องถามอะไรมากหรอกพี่ต้น เลแค่อยากกลับบ้านแล้ว ก็เท่านั้น”
“เลโกรธที่พี่ว่าเลไม่สวยหรือป่าว ถึงได้ดูอารมณ์ไม่ดีเลย ถ้าเพราะเรื่องนั้นพี่ขอโทษนะ พี่ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เลโกรธเลยนะ” น้ำเสียงพี่ต้นอ่อนลง ฉันรู้สึกได้ถึงความรู้สึกผิดที่พี่ต้นมี
“เลไม่ได้โกรธพี่หรอกค่ะ แค่อยากกลับบ้านแล้วจริง ๆ เชื่อเลนะค่ะ” ฉันพยายามยิ้มให้พี่ต้นอย่างเต็มที่ ถึงแม้จะเป็นยิ้มที่ฉันเองก็รู้ว่ามันเป็นยิ้มที่แย่ที่สุดที่ฉันเคยยิ้มให้ใคร เพราะไม่อยากให้พี่ต้นต้องมาไม่สบายใจเพราะฉัน แต่ก็คงจะทำได้เพียงแค่นี้
รถเก้งสีคำมันวาวคันโตแล่นเข้ามาจอดสนิทตรงหน้ารั่วบ้านของฉัน พี่ต้นมาส่งฉันถึงบ้านอย่างปลอดภัยเช่นทุกครั้ง ฉันยกมือไหว้ขอบคุณพี่ต้นอย่างเนือย ๆ เพราะรู้สึกหมดแรง และอยากจะรีบขึ้นไปฝั่งหน้าอวบ ๆ ของตัวเองลงบนหมอนก่อนที่เจ้าหยดน้ำเล็กๆที่ไหลออกมาจากหน่วยตา ความร้อนลุมอยู่รอบดวงตาจนรู้สึกปวดวาว นี้นะหรืออาการของคนอิจฉาจนตาร้อน อย่างที่เขาเคยว่ากัน
“เลครับ” น้ำเสียงจริงจังอย่างที่ไม่ค่อยจะได้ยินจากพี่ต้นทำให้ฉันหยุดอาการดันประตูรถออกเพื่อจะลง
“คะ...พี่ต้น” ฉันหันมาทางพี่ต้น
“เลเป็นอะไรไปหรือเปล่า พี่เห็นเลเงียบมาตลอดทาง หรือยังโกรธพี่ที่ล้อเรา”
“เลไม่ได้เป็นอะไรค่ะ แค่เหนื่อย ๆ นิดหน่อย”ฉันยิ้มได้เพียงมุมปากให้พี่ต้น
“ไม่สบายหรือ หน้าซีด ๆ นะ”น้ำเสียงห่วงใยของพี่ต้นทำให้ฉันต้องเพิ่มแรงฮึดเพื่อแสดงให้พี่ต้นเห็นว่าฉันยังสดใสอยู่
“คิดมากนะพี่ต้น ส.บ.ม.ย.ห สบายมากอย่าห่วงเลยพี่ ดูทำน่ายุ่งยังกะคนแก่แล้วพี่ต้น” พี่ต้นยิ้มกับท่าทางของฉันก่อนจะพูดต่อ
“ดีครับ ยิ้มได้แล้ว พี่ก็สบายใจ เลนะเหมาะกับรอยยิ้ม มากกว่าหน้ามุ่ย ๆ ยุ่ง ๆ เมื่อกี่อีกนะจำไว้”
“ครับผอมมมม” ฉันลากเสียงยาวตอบรับคำของพี่ต้น ก่อนจะพยายามยิ้มให้ดูสดใสที่สุด
ฉันพาตัวเองขึ้นมาถึงห้องนอนโดยไม่แม้แต่คิดจะแวะทักทายใคร พอเปิดประตูเข้ามาเจอกับเตียงนอนที่โหยหามาตั้งแต่ยังไม่ถึงบ้านฉันก็ทิ้งร่างของตัวเองลงด้วยความหมดเรียวแรง ในห้องนี้ฉันไม่ต้องทนฝืนยิ้มทำร่าเริงเพื่อรักษาความรู้สึกใคร น้ำตาที่พยายามสกัดกลั้นไว้ต่างพากันไหลออกมาเป็นสาย ความทรมานที่ไม่สามารถบอกกับใครได้ มันเหมือนระเบิดเวลาที่ใกล้จะระเบิดเต็มที่ นี้ฉันจะทำอย่างไรกับความรู้สึกนี้ ทำไมความรักมันช่างเหนื่อย อึดอัด และหนักอึ่งเช่นนี้
ฉันปล่อยให้น้ำตาไหลออกมาให้เต็มที่อยู่เพียงชั่วครู่ ก่อนจะลุกขึ้นเช็ดน้ำตา แล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเดินตรงเข้าห้องน้ำอาบน้ำชำระความหดหู่ที่ลบกวนจิตใจตัวเองให้หมดไป ก็จะให้มานั่งร้องไห้อยู่อย่างนี้ทำไม สู้นอนหลับพักผ่อน แล้วพรุ่งนี้ก็รีบตื่นแต่เช้าฉันอาจจะได้พบกับเรื่องดี ๆ ก็เป็นได้
ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะเสกปราสาทงามให้เธอ ไม่มีฤทธิ์เดช ไม่มีราชรถรถเลิศเลอแต่ฉันมีใจ
เสียงโทรศัพท์เครื่องเล็กของฉันดังอีกแล้ว ฟังเพลงนี้ทีไรเป็นต้องรู้สึกเจ็บจี๊ดตรงหัวใจทุกที่ สงสัยคงต้องเปลี่ยนเสียงเพลงเรียกเข้าซะแล้วสิ
“มาแล้ว มารับแล้ว จะร้องอะไรมากมายนะ” ฉันพูดกับโทรศัพท์มือถือของตัวเอง ก็ไม่ได้กะจะให้คนปลายสายรับรู้หรอก ก็ที่ต้องบ่นเพราะคนกำลังอาบน้ำแช่อ่างอย่างมีความสุขดันมาขัดได้ไง
“ฮาโหลลล จะพูดกับใครมิทราบ นี้มันดึกแล้วจะไม่ดูเวล้ำเวลาเลยนะ” ฉันกลอกเสียงลงไปทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้ดูด้วยซ้ำว่าใครโทร ก็ปรกติเวลานี้จะมีใครกล้าโทรมาอีกถ้าไม่ใช่เจ้าเพื่อนคนใดคนหนึ่งของฉัน
“ขอสายน้องเลครับ” ใครหนะเสียงคุ้น ๆ จังเลยแต่ที่แน่ ๆ คือเสียงนี้ไม่ใช่บรรดาเพื่อนตัวดีของฉันแน่
“คะ...เลกำลังพูดอยู่ นั้นใครคะ?” คำถามถูกยิงไปให้คนปลายสาย ทั้ง ๆ ที่ฉันก็เริ่มจะรู้แล้วว่าเขาเป็นใคร
“พี่หนึ่งเองครับ น้องเลหลับหรือยังครับ” นั้นไงใช่จริง ๆ ด้วย แต่เขาจะโทรมาทำไมกันนะ ฉันพึ่งจะลงทุนละลายเกลือหอมลงในอ่างอาบน้ำ (ทั้งที่แสนเสียเกลือนั้น ซื้อมาแพงซะด้วย) เพื่อจะนอนแช่ให้หายหดหู่เรื่องเขาอยู่เมื่อครู่นี้เอง
“พี่หนึ่งมีธุระอะไรกับเลหรือเปล่าคะ?”
“พี่...คือ...พี่...”
“คะ มีธุระอะไรกับเลหรือค่ะ?” ฉันถามอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเขาไม่ยอมพูดอะไร นอกจากพี่ คือ พี่
“พี่แค่จะโทรมาดูว่าน้องเลถึงบ้านปลอดภัยดีหรือเปล่า”
“ค่ะ พี่ต้นมาส่งเลได้สักพักแล้วล่ะค่ะ พี่หนึ่งล่ะคะ วันนี้สนุกไม่” โง่จริง ทำไมฉันถึงได้ถามคำถามทำร้ายหัวใจตัวเองไปแบบนั้นนะ ถ้าเขาตอบว่าสนุกมาก แล้วฉันจะทนฟังได้หรือ
“ครับพี่ถึงบ้านแล้ว พี่...”
ตู๊ด............ตู๊ด...........ตู๊ด............
“พี่หนึ่งค่ะ แป๊บนะค่ะรู้สึกจะมีสายซ้อนเข้ามานะค่ะ”
“ครับ”
ฉันพลิกโทรศัพท์ในมือดูหน้าจอ ก็พบว่าใครเป็นคนส่งสัญญาณสายซ้อนเข้ามา
“พี่ต้นโทรมานะค่ะ ไม่รู้มีอะไร พี่หนึ่งรอเลแป็บนะค่ะ เลขอตัดสายไปถามว่า...” ฉันยังพูดไม่ทันหมดประโยค พี่หนึ่งของแทรกขึ้นมา
“ไม่เป็นไรครับ เลไปคุยกับต้นเถอะ พี่ไม่ได้มีธุระอะไร งั้นแค่นี้นะครับ” พี่หนึ่งตัดสายไปแล้ว โดยไม่ยอมฟังอะไรฉันเลย
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะพี่ต้น โทรมาทำไมตอนนี้คะ เลฝันไปได้สักสามสี่เรื่องแล้วนะ” ฉันรับสายพี่ต้นหลังจากพี่หนึ่งตัดสายไปแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“อะไรเราพี่ยังไม่ได้พูดอะไรเลยก็จะราตรีสวัสดิ์แล้วหรือ แล้วไม่ต้องมาโกหกพี่เลยนะ อย่างเราหรือจะรีบนอนเร็วขนาดนี้อะ พี่รู้นะถ้าไม่เลยเข้าตีสองเรานะยังไม่นอนหรอก” พี่ต้นตอบกลับมาเสียยืดยาว
“รู้ดีจริงนะ พี่ต้นมานอนห้องเดียวกับเลหรือ ถึงได้รู้ดีนักนะ” ฉันต้องรีบตอบกลับไปก่อนที่พี่หนึ่งจะร่ายยาวไปกว่านี้
“นี่เล อย่าไปพูดแบบนี้ตอนอยู่ต่อหน้าใครนะ อยู่กับพี่พี่ไม่ว่าแต่ถ้ามีใครอยู่ด้วยแล้วเขาจะคิดไม่ดีกับเลได้นะ”พี่ต้นบ่นฉันมาเสียงเข้ม
“แหมๆๆ กลัวสาว ๆ เข้าใจผิดหรือคะพี่ต้น”ฉันแซวกลับไปเพราะคิดว่าพี่หนึ่งคงไม่ได้จริงจังอะไรมากนัก
“พี่ห่วงเลนั้นแหละ เรานะเป็นผู้หญิงนะจำไว้”
“เลรู้แล้วพี่ เลเกิดมาในร่างนี้มาตั้งหลายสิบปี เพศศึกษาก็ได้เรียนมาทำไมจะไม่รู้ว่าอะไรที่เลมีนี้นะเขาเรียกว่าผู้หญิง ฮ่าๆๆๆๆๆ” ฉันหัวเราะลั่น
“พอ พอเลย พี่ไม่เถียงกับเราแล้ว แค่โทรมาดูว่าอาการดีขึ้นแล้วยังนะ เถียงพี่ได้ฉอด ๆ แบบนี้ก็แสดงว่าหายห่วงแล้วล่ะ งั้นพี่ไปนอนก่อนแล้วกัน ง่วงจะแย่อยู่แล้ว”
“ค่ะ สวัสดีค่ะพี่ต้น”
วางสายจากพี่ต้น ฉันก็ซุกตัวเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่มอุ่น รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะ จะเป็นเพราะได้คุยกับพี่ต้น หรือเพราะใครคนนั้นเขาก็รู้สึกเป็นห่วงฉันเหมือนกันหรือเปล่า ฉันเองก็ไม่แน่ใจนัก
ความคิดเห็น