คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : ตอนที่3....ต้องตัดใจให้ได้นะเรา
ในความมืดสลัวของแสงไฟเพียงน้อยนิด ฉันกำลังโยกย้ายส่ายตะโพก(ใหญ่ๆ)ตามจังหวะของดนตรีที่รุกเร้าอารมณ์ให้ครื้นเครงไปตามจังหวะของมัน ช่วงนี้เป็นช่วงที่บอกได้เต็มปากว่าสนุกที่สุดในการมารับน้องครั้งนี้ แต่แล้วอะไรบางอย่างก็มาฉุดอารมณ์ฉันให้หยุดพักความสนุกไว้ อะไรที่ฉันก็ไม่สามารถนิยามได้ ฉันรู้สึกถึงสายตาของใครคนหนึ่งกำลังจ้องมองมาที่ฉัน สายตานั้นไม่ได้ทำให้รู้สึกกลัวแต่อย่างใด แต่ฉันก็สรุปไม่ได้ว่ามันให้ความรู้สึกเช่นไร ฉันหันมองไปทางแหล่งที่มาของความรู้สึกนั้น ในความสว่างเพียงเลือนรางฉันเห็นพี่หนึ่งเหมือนกำลังจ้องเขม็งมาที่ฉัน เขานั่งนิ่งบนม้าหินข้างเวทีพื้นปูนที่ยกสูงกว่าระดับพื้นดินเพียงเล็กน้อย สายตาที่มองมาอธิบายไม่ได้ว่าทำให้ฉันรู้สึกอะไรกันแน่ มันเหมือนล่องลอย แต่กลับอึดอัดจนฉันไม่สามารถสนุกไปกับเสียงเพลงต่อได้ ฉันหยุดเต้นเปลี่ยนมาเป็นการโยกเบา ๆ ตามจังหวะดนตรีแทน ฉันไม่กล้าพอที่จะมองตอบแววตานั้น ได้แต่หลบนัยน์ตาจริงจังของเขา ในใจก็ได้แต่คิดว่าพี่หนึ่งมองฉันทำไม ฉันทำอะไรไม่ดีไปหรือเปล่า หรือว่าฉันจะสนุกจนเกินงาม มันเป็นเพราะอะไรนะ ไม่เข้าใจจริง
ความสนุกสนานครึกครื้นของงานหมดไปแล้ว แต่ความรู้สึกของแววตาที่พี่หนึ่งเหมือนจะส่งมาให้ฉันนั้นมันยังไม่จางหายไป ฉันยังคงสับสนถึงความหมายที่ฉายอยู่ในแววตานั้น ความสับสนและงวยงงทำให้ฉันไม่สามารถหลับตาลงได้ ขาสั้น ๆ ของฉันพาร่างอวบเดินทอดน่องไปตามผืนทรายละเอียด เสียงเกลียวคลื่นซัดเข้าฝั่งด้วยจังหวะสม่ำเสมอ ลมเย็นทำฉันให้ต้องกระชับวงแขนให้แน่นขึ้น ฉันเดินมาหยุดพักที่โขดหินใหญ่ ขยับนั่งให้สบายก่อนจะทอดสายตาออกไปที่ขอบทะเลไล้จุดจบตรงหน้า
“เขามองเราทำไมนะ เอ๊ะ...หรือเราคิดไปเอง มืดออกขนาดนั้นเราก็ไม่แน่ใจว่าเขามองเราอยู่หรือเปล่า” ฉันได้แต่บ่นกับตัวเอง ไม่ว่าจะถามตัวเองกี่ครั้งคำตอบที่ได้ก็เป็นเพียงความสับสนเท่านั้น
“มานั่งทำอะไรอยู่ที่นี้คนเดียวครับ รู้ไหมมันอันตรายมากนะ” เอาแล้วไงเสียงพี่หนึ่งมาหลอกหลอนฉันอีกแล้วหรือนี่ สงสัยฉันจะคิดเรื่องของเขามากเกินไปจริง
“น้องเลครับ พี่ว่ากลับเข้าไปที่พักดีกว่านะ มันอันตราย” นั้นยังไม่หยุดอีก ยังจะคิดว่าเขาจะมาห่วงฉันอีก บ้าจริงเลยฉันนี้
“น้องเล น้องเลครับ”
“คะ...”ฉันสะดุ้งโหยงเพราะแรงเขย่าของใครคนหนึ่ง “พี่หนึ่ง
”แล้วใครคนนั้นก็ปรากฏว่าเป็นพี่หนึ่ง เขาไม่ได้มาหลอกหลอนฉันแค่เสียง แต่ตอนนี้เขากลับมายืนทนโท่อยู่ข้างฉัน
“มานั่นทำอะไรอยู่คนเดียวครับ ออกมาไกลแบบนี้คนเดียวอันตรายมากนะครับ” พี่หนึ่งพูดอีกครั้งเป็นการยืนยันว่าฉันไม่ได้หลับฝันไป แต่เขามาอยู่ที่นี่จริง ๆ
“เลออกมารับลมนะค่ะ เมื่อกี้ดื่มไปเยอะรู้สึกมึน ๆ”
“ถ้างั้นพี่นั่งเป็นเพื่อนจนกว่าเลจะหายมึนแล้วกัน” พูดจบพี่หนึ่งก็ไม่รอฟังคำตอบจากฉัน เขาก็ทิ้งตัวลงนั่งข้างฉันทันที
“วันนี้เหนื่อยมากไหมครับ”
“ก็นิดหน่อยค่ะ แต่สนุกมากกว่า”
“ครับพี่เชื่อ” พี่หนึ่งพยักหน้าก่อนจะหันมาส่งยิ้มพิฆาตใจให้ฉัน
“ยิ้มทำไมค่ะ พี่หนึ่งขำอะไรเลหรือคะ”
“เปล่าครับ แค่พี่เห็นวันนี้เลสนุกมากจนไม่ห่วงสวยอะไรกับใครเขาเลย เห็นแล้วน่ารักดี”พี่หนึ่งพูดอะไรก็ไม่รู้ ทำเอาฉันหน้าแดงอีกแล้ว ดีนะที่ตอนนี้แสงจันทร์ไม่สว่างนักไม่งั้นฉันก็ไม่รู้จะเอาหน้าอวบ ๆ นี้ไปหลบที่ไหนได้
“แหมก็มันสนุกจริงๆ นี่ค่ะ เลชอบทำกิจกรรมพวกนี้ เลว่ามันสนุกดี พี่หนึ่งล่ะคะสนุกไหม”
“สนุกครับ น้อง ๆ ทุกคนก็น่ารักดี”
“พี่ ๆ ทุกคนก็น่ารักดีค่ะ ตอนแรกถึงจะดุไปบ้าง แต่จริงแล้วทุกคนไม่น่ากลัวเลย”
“พี่ดีใจนะที่เลเข้าใจพวกพี่ ยังนึกกลัวเลยว่าถ้าน้อง ๆ ไม่เข้าใจ คะแนนนิยมของพี่จะลดลงหรือเปล่าน้า” พี่หนึ่งเอนกายลงนอนบนโขดหินมองท้องฟ้าด้วยอากัปกิริยาสบาย ๆ
“โถ่...นึกว่าอะไรที่แท้ก็กลัวเสียคะแนนนิยมนี่เอง” ฉันหัวเราะเบา ๆ กับความกังวนของพี่หนึ่ง แล้วก็ต้องกระชับวงแขนให้แน่นขึ้นเมื่อมีลมหนาวพัดมาวูบใหญ่
“อากาศหนาวมากแล้วเข้าไปพักผ่อนเถอะครับน้องเล”พี่หนึ่งคงเห็นอาการที่ฉันทำ
“คะพี่ งั้นเลขอตัวไปนอนก่อนนะค่ะ” ฉันลุกขึ้นแล้วเดินหันกลับไปยังที่พัก ทิ้งให้พี่หนึ่งนั่งอยู่ที่เดิมคนเดียว ด้วยความเสียดายที่อยากจะถามถึงสาเหตุแห่งแววตาเมื่อตอนนั้น หากแต่ก็ยังขาดความกล้าที่จะถามออกไป
เช้าวันที่สองของการทำกิจกรรมรับน้อง วันนี้รุ่นพี่ปล่อยให้เราพักผ่อนกันตามอัธยาศัยในช่วงเช้า แต่จะเรียกประชุมอีกที่ตอนก่อนเที่ยวเพื่อจะรับประทานอาหาร หลังจากทานอาหารก็จะมีการมอบหมายให้ไปจัดเตรียมการแสดงรอบกองไฟของคืนนี้ และอาจจะมีเกมอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้พวกเรารุ่นน้องได้เล่นกันอีกนิดหน่อย
“เมื่อคืนไปไหนมาวะเล หายไปตั้งนานกว่าจะกลับมานอน” เอ็ม หนึ่งในเพื่อนสาวผิวสีของฉันถามขึ้นระหว่างที่พวกเรากำลังนั่งรับประทานอาหารเที่ยง
“เปล่าแค่ไปเดินเล่นริมทะเลมานะ นานที่ไหนกันแค่แป๊บเดียวเอง” ฉันพยายามตอบกลับไปให้น้ำเสียงราบเรียบที่สุด
“อะไรหายไปเป็นชั่วโมงบอกแป๊บเดียว เมามากหรือเปล่าเพื่อน” กล์อฟเพื่อนหนุ่มที่ไม่ค่อยจะหนุ่มแต่ค่อนไปทางสาวของฉันแทรกขึ้นมาอีกคน
“อะไร พวกแกต่างหากที่เมานะ คนอะไรเมาไม่รู้เรื่อง ก็อย่างนิดกับหญิงนะเมานั่งยิ้ม นั่งหัวเราะอะไรกันก็ไม่รู้เหมือนคนเมากัญชาก็ไม่ปาน แล้วเอ็มก็เมาหลับให้กุมฑ์ต้องนั่งเฝ้าทั้งคืน ส่วนเก๋นะแล้วใหญ่ต้องช่วยช่อดูแลเปิ้ลที่เมาแล้วกลายสภาพเป็นนางเองเจ้าน้ำตาร้องห่มร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร ส่วนแกกล์อฟเมาแล้วอาชีพเก่ากำเริบหรือยะ เที่ยวลุกขึ้นมาเต้นโคโยตี้ให้ฉันกับแม่หญิงอิงต้องตามจับซะเกือบทั้งคืน ยังมีหน้ามาว่าฉันเมาอีกหรือยะ” ฉันว่าแขวะทุกคนถ้วนหน้าเพื่อให้เสมอกัน
“โห...วีรกรรมน้อง ๆ นี้เจ๋งจริง ๆ เลยนะ”พี่วรรณ รุ่งพี่ปีสามเดินเข้ามาทักทายพวกเราที่โต๊ะอาหาร ด้วยใบหน้ายิ้มแย้งที่มักจะมีให้กับบุคคลทั่วไป ร่างบาง ผมยาวสลวย กับเครื่องหน้าที่รวมกันแล้วสรุปได้คำเดียวโดยไม่ต้องสงสัยเลยว่า ‘สวย’ ของพี่วรรณเป็นอะไรที่ทำให้คนเห็นต่างออกอาการทั้งอิจฉาและหลงใหลไปพร้อม ๆ กันได้
“ไม่จริงค่ะพี่วรรณ เอ็มไม่ได้เป็นแบบที่เลมันบอกนะค่ะ เลมันอำเล่นมากกว่า”เอ็มรีบแก้ตัวพัลวัน เพราะไม่อยากดูแย่ในสายตาของรุ่งพี่ในดวงใจ
“เลพูดจริงนะคะพี่วรรณ คนเมาจะไปรู้อะไร ต้องถามคนไม่เมาสิค่ะ ฮา.............” ฉันหัวเราะเต็มเสียงเมื่อเห็นเพื่อนจนมุมพูดอะไรไม่ออก
“วรรณเสร็จยังครับอาหารพร้อมแล้วนะ” พี่หนึ่งตระโกนพร้อมทั้งโบกมือเรียกพี่วรรณจากโต๊ะถัดไปประมาณสองสามโต๊ะ
“จ๊ะ วรรณไปเดี๋ยวนี้แล้วจ๊ะ “พี่วรรณตอบกลับไปแล้วจึงหันมาทางพวกเรา
”พี่ไปทานอาหารก่อนนะจ๊ะ ตามสบายนะจ๊ะทุกคน” พูดจบก็ยิ้มแล้วเดินจากไป
ฉันได้แต่มองตามพี่วรรณเดินไปยังจุดหมาย แล้วก็ต้องมานั่งน้อยใจอยู่คนเดียว ทำไมพี่หนึ่งไม่ทักฉันบางสักคำนะ ฉันมั่นใจว่าพี่หนึ่งต้องเห็นฉันนั่งอยู่ในกลุ่มแน่ แต่ก็ไม่รู้จะไปน้อยใจทำไมในเมื่อฉันเป็นแค่รุ่นน้องคนหนึ่งไม่ได้เป็นอะไรกับเขาสักหน่อย แล้วจะมาหวังอะไรอยู่ได้
ตลอดทั้งบ่าย ฉันเองก็ไม่รู้เป็นอะไร รู้สึกหงุดหงิดยังไงไม่เข้าใจตัวเอง ดูอะไรจะขวางหูขวางตาไปหมด กิจกรรมที่รุ่นพี่เตรียมมาก็ไม่สบอารมณ์ไม่หมด ทั้งที่เมื่อเช้าก่อนทานอาหารฉันยังอารมณ์ดีอยู่เลย ความรู้สึกหนักอึ้งในใจนี้มันมาจากไหนกันนะ อากาศร้อนหรือก็ไม่น่าจะใช่ ก็อากาศวันนี้ออกจะดี แสงแดดส่องผ่านปุ้ยก้อนเมฆสีขาวสะอาดตา ลมทะเลพัดแรงช่วยบัดเอาความร้อนจากแสงแดด และคลื่นก่อนแล้วก้อนเล่าที่ซัดเข้าชายหาดก็ควรจะทำให้จิตใจใครหลาย ๆ คนแจ่มใสขึ้นมาได้บ้าง แต่มันกลับไม่เป็นผลกันฉันเลย
“เป็นอะไรไปครับน้องเล ดูท่าทางไม่ค่อยสบายเลย” เสียงของใครสักคนลอยมาเข้าหูฉัน แล้วดูเหมือนเขาจะกำลังพูดกับฉันด้วย ฉันหันไปดูต้นเสียงนั้น
“หวัดดีค่ะ พี่ต้น เลไม่ได้เป็นอะไรหรอกคะ แค่รู้สึกเหนื่อย ๆ นะค่ะ” ฉันตอบพี่รหัสของฉันไป
“แน่นะว่าไม่เป็นอะไร ถ้ารู้สึกไม่สบายบอกพี่ได้นะ พวกพี่ไม่ได้โหดขนาดไม่ยอมให้น้องป่ายแล้วไม่ได้พักนะครับ”
“ค่ะ ถ้าเลรู้สึกไม่สบายจริง ๆ เลจะรับบอก พี่ต้นไม่ต้องเป็นห่วงนะ เลเก่งอยู่แล้ว มีหรือจะไม่สบาย หญิงอึด และก็บึกบึนอยากเล สบายมาก” ฉันยืดอกขึ้น แล้วเอามืออวบ ๆ ของตัวเองทุบบัก ๆ ลงเป็นอกของตัวเองเป็นการยืนยันว่าไม่ได้เป็นอะไรจริง ๆ
“จ๊ะ แม่หญิงอกสามศอก พี่เชื่อเราแล้ว” พี่ต้นคงขำกับท่าทางของฉัน ถึงได้หัวเราะลันอย่างไม่เกรงใจน้องที่โดนหัวเราะเลยสักนิด
“เอาหัวเราะเข้าไปพี่ต้นระวังนะเดี๋ยวลมจะเข้าไปจนจุกเต็มปอดเอาล่ะ โอ๊ย!!!!!” เสียงร้อยท้ายประโยคนั้นเกิดจากความเจ็บเล็กบนหัวทุย ๆ ของฉันเพราะได้รับรางวัลที่ปากดีจากพี่ต้นเป็นการเขกกระหม่อมซะหนึ่งที
“เจ็บนะค่ะพี่ต้น เขกลงมาได้ ไม่ได้สงสารผู้หญิงตัวเล็ก ๆ อย่างเลบ้างเลย”ฉันลูบเบาๆ ตรงกระหม่อมตัวเอง
“เอา ๆ ตกลงเราจะเป็นหญิงอกสามศอก หรือจะเป็นหญิงตัวเล็ก ๆ กันแน่ เอาสักอย่างสิพี่ล่ะงงกันเราจริง ๆ “
“เลก็เป็นหญิงตัวเล็ก ๆ ที่มีอกสามศอกไงพี่ต้น”
“เอาเถอะ ตามใจเราแล้วกัน อยากจะตัวเล็ก หรืออกกี่ศอกก็ตามใจ แต่คืนนี้หลังเล่นรอบกองไฟแล้วอย่าลืมลงมาที่ชายหาดด้วย เอกเราจะมีปาร์ตี้ เล็ก ๆ เฉพาะเอกให้น้อง ๆ บอกเพื่อนด้วยล่ะ พี่ไปล่ะ” พูดจบพี่ต้นก็เดินจากไปโดยไม่รอฟังอะไรฉันเลย
รอบกองไฟวันนี้ผ่านไปด้วยดี การแสดงที่แต่ล่ะเอกจัดมาค่อยไปผ่านไปทีล่ะรายการ มีทั้งการแสดงละคร ดนตรีประกอบการแสดง ร้องเพลง เล่นดนตรี หรือแม้แต่การเล่นตลก เสียงหัวเราะเกิดขึ้นรอบวงอย่างไม่ขาดช่วง นอกจากการแสดงจะเรียกรอยยิ้มได้แล้ว การเกมต่าง ๆ ที่รุ่นพี่จัดมาสลับกับการแสดงก็เรียกรอยยิ้มและอาการเสียวสันหลังวูบ ๆให้กับน้อง ๆ ได้ไม่แพ้กัน
ตลอดการเล่นรอบกองไฟ (ที่คงต้องใช้จินตนาการกันมากหน่อย เพราะมันเป็นแค่การเอาหลอดไฟนีออนหลาย ๆ หลอดมาตั้งพิงกันตรงกลางวงเท่านั้นเอง) ฉันพยายามไม่หันไปมองภาพคนที่ตอนนี้มักเข้ามาทักทายหัวใจฉันบ่อยมากขึ้นทุกวัน แต่ก็ยังคงอดไม่ได้สายตาเจ้ากรรมก็ยังไม่วายหันไปมองทุกครั้ง แล้วทุกครั้งที่หันไปหัวใจบอบบางของฉันเป็นต้องเจ็บแปลบทุกครั้ง ก็ไม่ให้เจ็บได้ไงก็ภาพพี่หนึ่งกำลังนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่กับพี่วรรณคนสวย และแสนนี้ เขาจับมือเรียวบางของพี่วรรณไว้ คอยกระซิบกระซาบ และสบตาหวานกันอยู่เป็นระยะ ๆ พี่หนึ่งนะพี่หนึ่งไม่รู้เลยหรือไงว่ากำลังทำร้ายหัวใจบริสุทธิ์ของผู้หญิงตัวเล็ก ๆ (อย่างน้อยก็เล็กในสายตาฉันล่ะนะ) อยู่
“พี่หนึ่งกับพี่วรรณเข้าสมกันดีนะ แกว่าไม่” หญิงเพื่อนตัวดีของฉันพูดขึ้นอย่างไม่รู้อะไรเลย
“อือ...” นั้นคำตอบของฉันล่ะ
“แกรู้ไม่ว่าพี่หนึ่งกับพี่วรรณนะเขาเป็นแฟนกันมาตั้งแต่ปี 1 แล้ว นี่ก็ปี 3 แล้ว จบไปเขาก็แต่งงานกันแกว่าไหมล่ะ” ยังไม่หยุดอีกนะแม่เพื่อนตัวดี อยากให้ฉันซ้ำใจไปมากกว่านี้หรือไง
“ไม่รู้สิ ฉันไม่ใช่พี่วรรณ หรือพี่หนึ่งสักหน่อย ถึงจะได้ไปรู้ใจเขาได้ แกอยากรู้ก็ไปถามเขาเองสิ”
“เป็นไรของแกว่า หงุดหงิดจริงวันนี้ รอบเดือนมาไม่เป็นปรกติ หรือกำลังเข้าวัยทองวะไอ้เล” ยังมีหน้ามาว่าฉันอีก เป็นเพื่อนประสาอะไรไม่เข้าใจจิตใจเพื่อนเลย อาภัพจริงฉัน คนที่ถูกใจก็ดันมีแฟนสวย น่ารัก แล้วก็แสนดีจนหาที่ติไม่ได้ มีเพื่อนก็ไม่เข้าใจเอาแต่ซ้ำเติมกันอยู่ได้ (แหงล่ะจะไปให้เพื่อนเข้าใจได้ไงก็ยังไม่ได้บอกความในใจให้ใครรู้เลย)
“เอาล่ะครับ วันนี้งานรอบกองไฟก็จบเพียงแค่นี้ หลังจากนี้ถ้าแต่ล่ะเอกจะมีกิจกรรมอะไรต่อก็แยกย้ายกันไปจัดได้ แต่พวกพี่ ๆ ต้องดูแลน้อง ๆ ด้วยนะค่ะ น้อง ๆ ก็ต้องฟังพวกพี่ ๆ ด้วย พี่ไม่อยากให้การรับน้องที่ดำเนินด้วยดีมาตลอดทิปนี้ต้องมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น แล้วพรุ่งนี้ขอให้น้อง ๆ ทำภารกิจส่วนตัวให้เสร็จก่อน 9 โมง เช้า แล้วมารวมตัวกันที่ห้องอาหาร เพราะรถจะออกเดินทางตอน 10 โมงตรง ใครเช้าพี่ให้กลับเองแน่ เอาล่ะแยกย้ายกันไปได้ ขอบคุณครับ” จบเสียงรุ่นพี่(ฉันว่าท่าทางคงจะเป็นพี่ห้า หรือ หกได้แล้วล่ะมั่ง” พวกเราก็แยกย้ายกันไปยังจุดนัดหมายของแต่ล่ะเอก
เวลาล่วงเลยเข้าวันใหม่แล้วแต่งานปาร์ตี้ของเอกเรายังไม่เลิกง่าย ๆ เพราะตอนนี้เราได้นักร้องบรรเลงเพลงเพราะ ๆ ให้ฟังเคล้ากันเสียงคลื่น และสายลมเย็น ยิ่งได้บรรยากาศมากขึ้นเมื่อมีดาวและเดือนคอยฉายแสงนวลสาดส่องต้องผิวน้ำ พี่หนึ่งนั่งเกากีตาร์เบาๆคลอเสียงร้องทุ้มนุ่ม เพลงแล้วเพลงเล่า ร้องตามใจตัวเองบ้าง ตามคำขอบ้าง
“เพลงนี้จะเป็นเพลงสุดท้ายของคืนนี้แล้วนะ ใครอยากฟังเพลงไหนอีกบอกพี่มาเลย” พี่ต้นประกาศแทนนักร้อง
“เอาเพลงเพียงชายคนนี้ (ไม่ใช่ผู้วิเศษ) ค่ะพี่ เพลงโปรดของไอ้เลมัน” ดีมากนิดเพื่อนรัก แกทำดีมากที่เสนอเพลงนี้ออกไป
“เพลงนี้ก็ดีนะ เข้ากันบรรยากาศดี แล้ววันนี้น้องเลก็ดูจะอารมณ์ไม่ค่อยได้ ได้ฟังเพลงที่ชอบจะได้อารมณ์ดีขึ้นแล้วก็นอนหลับสบายไม่ฝันร้ายไง ว่าไงครับพี่หนึ่งเล่นได้ไม่ครับเพลงนี้” ท้ายประโยคพี่ต้นหันกลับไปพูดกับนักร้องจำเป็น
“ได้ครับ เพลงนี้พี่ชอบพอดี” พี่หนึ่งหันมามองหน้าฉันก่อนจะพูดต่อ
”ยังนึกว่าจะไม่มีใครขอแล้ว” ฉันคิดไปเองไหมเนี้ย เพราะฉันรู้สึกว่าพี่เขาเหมือนจะประชดอะไรฉันกราย ๆ
“ชอบก็เล่นสิค่ะ ก็เห็นเล่นเพลงตามใจคนนู้นคนนี้มาตั้งนาน ใครไปห้ามไม่ให้เล่นล่ะค่ะ” น้ำเสียงฉันออกจะประชดเล็กน้อย ก็ใครอยากให้เขามาประชดใส่ฉันก่อนล่ะ ขึ้นชื่อว่า อันดาไม่มียอมใครอยู่แล้ว
“ครับ...งั้นเพลงนี้ขอมอบให้คนที่ชอบเพลงนี้ทุกคนนะครับ โดยเฉพาะ....”พี่หนึ่งหยุดพูดเพียงแค่นี้แล้วก็เริ่มบรรเลงเพลงสุดท้ายของค่ำคืนนี้
“ฉันไม่ใช่ผู้วิเศษที่จะเสกปราสาทงามให้เธอ
ไม่มีฤทธิ์เดชไม่มีราชรถเลิศเลอ
แต่ฉันมีใจพิเศษ จะพาเธอผ่านคืนนี้ไป
ฉันเป็นเพียงผู้ชาย คนนี้ที่มีใจมั่นรักเธอ
โอบกอดฉันไว้ หลับตาผ่อนคลายให้สมฤดี
เราจะบินหนี ข้ามน้ำทะเลและแดนกว้างใหญ่
ดาวพราวดั่งฝัน กลางคืนยาวนานร่านหัวใจ
ปล่อยความเหงาไป ทอดทิ้งใจ รักจะพาแต่เราไปสองคน
ฉันไม่ใช่คนยิ่งใหญ่ ร่ำรวยจ่ายเงินเร็วร้อนแรง
ไม่มีอำนาจใด ประหนึ่งเจ้าชาย
มีเพียงหัวใจ
ฉันเป็นเพียงผู้ชาย คนนี้ที่มีใจมั่นรักเธอ
ไม่ใช่ผู้วิเศษ เป็นเพียงผู้ชายมีใจมั่นรักเธอ
ไม่มีฤทธิ์เดช มีเพียงหัวใจที่ใฝ่เฝ้ารักเธอ
ไม่ใช่ผู้วิเศษ เป็นเพียงผู้ชายมีใจมั่นรักเธอ
ไม่มีฤทธิ์เดช มีเพียงหัวใจที่ใฝ่เฝ้ารักเธอ
ฉันไม่ใช่คนยิ่งใหญ่ ร่ำรวยจ่ายเงินเร็วร้อนแรง
ไม่มีอำนาจใด ประหนึ่งเจ้าชาย
มีเพียงหัวใจ
ฉันเป็นเพียงผู้ชาย คนนี้ที่มีใจมั่นรักเธอ
ไม่ใช่ผู้วิเศษ เป็นเพียงผู้ชายมีใจมั่นรักเธอ
ไม่มีฤทธิ์เดช มีเพียงหัวใจที่ใฝ่เฝ้ารักเธอ
ไม่ใช่ผู้วิเศษ เป็นเพียงผู้ชายมีใจมั่นรักเธอ
ไม่มีฤทธิ์เดช มีเพียงหัวใจที่ใฝ่เฝ้ารักเธอ”
เพลงจบไปนานแล้ว ทุกคนก็กลับไปนอนเพื่อเตรียมตัวเดินทางไกลพรุ่งนี้ แต่ฉันกลับนอนไม่หลับ พยายามข่มตาตัวเองก็แล้ว นับหมู หมา กา ไก่ ไปเป็นพัน ๆ ตัวก็แล้ว แต่ก็ยังหลับไม่ลง เสียงเพลงของพี่หนึ่งยังดังก้องอยู่ในหัวฉัน แต่ที่ตรึงความรู้สึกฉันจนทำให้ไม่สามารถข่มตาหลับได้คือ แววตาที่พี่หนึ่งส่งมาให้ มันทำให้ฉันเคลิบเคลิ้ม และหวั่นไหว แต่ฉันต้องยังต้องเตือนตัวเองว่าอย่าได้หลงใหลไปกันแววตานั้น เพราะเขามีคนที่ดีพร้อมอยู่ข้างกายมีหรือเขาจะมีสนใจคนอย่างฉัน
ในที่สุดฉันก็ทนนอนนิ่ง ๆ อยู่บนเตียงไม่ไหว ร่ายอวบของฉันค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างช้า และพยายามเงียบที่สุดเพราะไม่อยากไปรบกวนเพื่อน ๆ ที่กำลังหลับกันอยู่ ฉันพาร่างของตัวเองออกมารับลมทะเลข้างนอกห้องที่พัก สูดเอาอากาศสดชื่นยามฟ้าเริ่มเป็นสีเทาเข้าไปเสียเต็มปอด พระจันทร์ลาผืนฟ้าไปแล้ว พระอาทิตย์เริ่มลอยขึ้นจากขอบฟ้า นี้ฉันนอนไม่หลับตาค้างจนสว่างเลยหรือนี่
“ทำไมตื่นเช้าจัง”
“ฉันทำแกตื่นหรือหญิง” ฉันทักทายหญิงหลังจากที่เห็นเธอเดินออกมาหลังฉันสักสิบ หรือ สิบห้า นาทีได้
“ป่าว...พอดีตื่นมาเข้าห้องน้ำแล้วไม่เห็นแกเลยลองออกมาดูนะ” หญิงหาวปากกว้าง ก่อนจะบิดตัวไล่ความเมื่อยล้าจากการนอน
“หญิงแกว่าฉันน่าเกลียดมากไม่”
“หา...” หญิงคงตกใจกับคำถามของฉัน
“แกว่าหน้าอย่างฉันจะไปคิดชอบใครได้ไม่วะ” ฉันยิ่งคำถามต่อไปโดยไม่ได้อธิบายอะไร
“อะไรของแก อยู่ก็มาถามอะไรวะ ไปแอบชอบใครเข้าแล้วล่ะสิ ฮ่า.....”
“ใช่ ฉันแอบชอบพี่หนึ่งล่ะ แกว่าไงล่ะ” คำตอบของฉันทำให้หญิงแทบจะตาสว่างทันที
“อะไรนะ...” หญิงยังงงไม่เลิก
“อะไรของแกวะ ยังไม่ตื่นหรือไง ฉันบอกไปตั้งหลายลอบแล้วว่า ฉันชอบพี่หนึ่ง” ฉันย้ำให้เพื่อนรักอีกที แต่ถ้าเจ้าเพื่อนรักยังไม่เข้าใจคงต้องมีลงไม้ลงมือกันบ้างล่ะทีนี้
“แต่พี่หนึ่งมีพี่วรรณแล้วนะ” นั้นเพื่อนรักของฉันเข้าใจเสียที
“ฉันรู้...” ฉันเงียบไปเพราะกำลังคิดว่าจะบอกอะไรเป็นประโยคต่อไปดี
“ฉันก็ไม่ได้บอกว่าจะแย่งพี่หนึ่งมาจากพี่วรรณสักหน่อย ก็แค่แอบชอบ ไม่ได้หรือไงแก”
“แล้วแกจะทนแอบชอบเขาทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าแกจะไม่มีวันได้เขามาอย่างนี้นะหรือ”หญิงมองตาฉันแล้วจึงเอื้อมมือมาจับกระชับมือฉัน แล้วพูดต่อว่า
“ฉันว่าแกยังไม่ได้ถลำลึกลงไปมากนัก ตัดใจซะเถอะ เพื่อหัวใจแกเองนะ นานไปแกจะทนไหวหรือเมื่อต้องเห็นพี่เขาอยู่ด้วยกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน แกต้องทนอีกอย่างน้อยๆ ก็สองปีเลยนะ”
“จริงสินะ ฉันต้องตัดใจให้ได้สิ ฉันเก่งจะตาย ทำไมต้องมานั่งทดเจ็บอยู่คนเดียวล่ะ แต่..” ฉันหยุดประโยคไว้แค่นั้นก่อนจะซบหัวลงเป็นไหล่บางของเพื่อนรัก “แต่ขอฉันตัดใจตอนถึงกรุงเทพก่อนแล้วกันนะเพื่อน”
ความคิดเห็น