คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : Alphabet 5 : ผู้เล่าเรื่อง
Alphabet 5
ผู้เล่าเรื่อง
ให้บอกมั้ยว่าข้าเห็นอะไร?
ก็ได้ โอเค ข้าเห็นผู้หญิง…หน้าตาถือว่าโอเค น่ารักจิ้มลิ้ม (…การคัดเลือกอัลฟาเรียนนี่คัดหน้าตากันด้วยรึเปล่าเนี่ย? มาถึงที่นี่ข้าไม่เห็นเจอใครจมูกหักดั้งแหมบสักคนเลยนะเฮ้ย?!) เธอสวมชุดกระโปรงยาว กระโปรงนั่นพองมาก จากใจเลย ตอนแรกข้านึกว่าเป็นสุ่มไก่ผูกริบบิ้นซะด้วยเหอะ ใช่ มันประดับริบบิ้นที่น่าจะราคาแพงเต็มไปหมด แต่สวยนะ เข้ากับหน้าตาของเธอดี แล้วเสื้อผ้าสวยขนาดนี้นี่ราคาไม่ใช่เล่นๆเลยนะ… บอกได้ดีเลยว่าเธอต้องเป็นคุณหนูตระกูลใหญ่สักตระกูลแน่ๆ ข้าฟันธง!
และตอนนี้เธอก็กำลังล้มหน้าคว่ำอยู่บนพื้นหญ้าหน้าบ้านพักหมายเลขสอง…
“…”
“…”
เราประสานสายตากันปิ๊งๆ…
“เอ่อ…เจ้าเจ็บมากปะ…?”
ว่าไงนะ? หา!! ปัดโธ่!! อย่าด่าข้าว่าไม่รู้จักปลอบคนเด้! ข้าไม่รู้จะพูดอะไรนอกจากนี้จริงๆ!!
“เอ่อ…”
เห็นมะ ในสถานการณ์แบบนี้ไม่ว่าใครก็พูดออกแต่คำว่า ‘เอ่อ’ เท่านั้นละ!
ผู้หญิงคนนั้น คนที่ล้มอยู่น่ะ ค่อยๆลุกขึ้นมาจากพื้น เอามือปัดฝุ่นที่กระโปรงออก เผยให้เห็นถุงน่องยาวประดับริบบิ้นสีขาว เธอส่งเสียงแสดงความเจ็บอกมาเบาๆ ก่อนจะกระพริบตาปริบๆ ดวงตาของนางเป็นสีฟ้าสวยเชียว แล้วผมนั่น… มัดสองจุกเหรอเนี่ย? เพิ่งเห็น? มันเสียงว่าอะไรนะ ทวินธง? ถวิลเทล? ไม่ดิ มันเรียกว่าอะไรฟะ!
“สวัสดีจ้า!”
หา!? ทักข้า!?
“อ อรุณสวัสดิ์จ้า…”
ข้าตอบไปอย่างเก้ๆกังๆ ตอนนี้มันคงเลยคำว่าอรุณไปนานโขแล้วละ แต่ข้าก็ยังหน้าด้านพูดออกไปทั้งๆแบบนั้น
“ข้าชื่อเอ็มม่า!! ยินดีที่ได้รู้จัก!” นางจับมือข้าเขย่าๆๆ “ข้าคือ I แห่งอัลฟาเรียน ตำแหน่งผู้เล่าเรื่อง ใช่ ผู้เล่าเรื่อง! เจ้าอยากฟังนิทานมั้ย!?”
“นิทาน…?”
“ใช่แล้วละ! นิทาน!” นางใช้ดวงตาสีฟ้ากลมโตนั่นมองมาที่ข้าอย่างเป็นประกายเหมือนได้ของเล่นใหม่… “อา… หน้าเจ้าเหมือนเจ้าหญิงคลาฟาร่าเลยนะ!”
“เจ้าหญิงคลาฟาร่า…?”
นางพูดภาษาอะไรกับข้าอยู่ฟะเนี่ย!!
ข้าไม่เคยฟังนิทานเหมือนอย่างเด็กคนอื่นเขา สิ่งเดียวที่ท่านพ่อกับท่านแม่เล่าให้ข้าฟังก่อนนอนคือเทพนิยายปรัมปราเกี่ยวกับพวกนักรบ วีรบุรุษ วีรสตรี ไม่ก็ประวัติศาสตร์การต่อสู้เท่านั้น มันไม่สวยหวานแบบในนิทานทั่วไปหรอก แต่ข้าชอบมันนะ! สุดยอด โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับนักรบเก่งๆนะ ข้ายิ่งชอบเป็นพิเศษ สายเลือดคนหมู่บ้านนักรบมันแรงน่ะ ฮ่าๆๆ ถ้าไม่นับเรื่องของนักรบแล้ว อีกแนวที่ข้าชอบคือเรื่องผีๆ ลึกลับๆ ข้ากลัวนะ แต่ก็ชอบฟัง เหมือนเจ้าเลยใช่ม้า?
แต่… นิทานก่อนนอนธรรมดาข้าก็พอจะรู้จักนะ อย่างเช่นเจ้าหญิงนิทราที่เสี้ยนตำแล้วโคม่าเป็นร้อยปี แล้วก็ แม่นางสโนว์ไวท์ที่กินแอปเปิ้ลแล้วตายคาที่น่ะ น่ากลัวเป็นบ้าเลย ยัยป้าแม่มดนี่คิดวิธีการฆ่าได้โหดมาก วางยาพิษในอาหาร! ทำแบบนี้เอามีดมาปาดคอข้าเลยเหอะ!!!
“นี่ เจ้าคงไม่รู้จักเจ้าหญิงสินะ งั้นข้าจะเล่าให้ฟัง…” นางโปรยยิ้ม ล้มตัวนั่งบพื้นหญ้า แล้วก็เริ่มมหกรรมร่ายยาว… สุดๆ “กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีเจ้าหญิงพระองค์หนึ่ง นางมีดวงตาสีแดงดุจดอกกุหลาบของเทพธิดา รับกับเส้นผมสวยงามสีม่วงจางราวกับดอกไวโอเลตยามแรกแย้ม… ประดุจนำอเมทิสต์น้ำงามมาถักทอเป็นเส้นผมก็มิปาน…”
“เดี๋ยวๆ!! ข้าผมสีทรายนะ!”
“อย่าขัดข้าสิ!!” เออ ไม่ขัดก็ไม่ขัด! “ในวันประสูติ เจ้าหญิงได้รับมอบพรวิเศษมากมายจากนางฟ้า อาทิเช่น….. บลาๆๆๆๆๆๆ”
แล้วข้าก็ยืนฟังเรื่องราวของเจ้าหญิงนั่นต่อแบบอึ้งๆ ว่าแต่เจ้าหญิงที่ว่าชื่ออะไรหว่า? คาฝาบ้าน? อืม คงใช่แหละ เฮ้ ทำไมพระราชากับพระราชินีถึงตั้งชื่อลูกได้อัปมงคลแบบนี้ฟะ? คาฝาบ้าน นี่แช่งลูกตัวเองให้ถูกฝาบ้านทับตายอนาถชัดๆ! อ้อ นางไม่ได้พูดว่าบลาๆๆหรอก แต่ข้าละไว้ในฐานที่เข้าใจน่ะ (?)
ที่น้อยใจที่สุดคือนางไม่คิดจะฟังเลยสักนิดว่าข้าผมสีน้ำตาลอะ! ผมข้าสีน้ำตาลอ่อนจนถึงขั้นอ่อนมาก พูดง่ายๆคือสีน้ำตาลทราย ไม่ใช่น้ำตาลทรายที่กินได้นะ แต่เหมือนทรายตามชายหาดอะ แบบนั้นแหละสีผมของข้า ไม่ใช่สีม่วงน่ากลัวแบบนั้น!
“แล้วเรื่องก็จบลงอย่างน่าเศร้า… เจ้าหญิงคลาฟาร่าเผาตัวเองตามตามเจ้าชายไป…”
“…เอิ่ม…”
นางกำลังแช่งข้าให้ตายตอนจบเรอะ? เอ่อ ไม่มั้ง?
“จบแล้วจ้า!!” พอเล่าจบปุ๊บ คนเล่านิทานผมสีทองก็ลุกขึ้น แล้วก็ยิ้มกว้างให้ข้า “สนุกมั้ย!?”
“ก็ไม่เลวอะนะ” ข้าพยักหน้า เอ่อ รู้สึกผิดในใจแฮะ ความจริงข้าแทบไม่รู้อะไรเลยนอกจากแม่คาฝาบ้านนี่มีผมสีม่วง ตาสีแดงแล้วก็ตายตอนจบ… ข้าขอโทษ… แงงงงงงง
“แบบนั้นก็เยี่ยมเลย!” หญิงสาวผมสีทองถวิลธง (สรุปมันชื่อนี่จริงอะ? ข้าว่ามันน่าเกลียดไปนะ!) ทำหน้าตาดีใจแบบสุดๆ นางยิ้ม แล้วก็จับมือข้าแน่น “นี่เป็นทุกอย่างของข้า เอ็มม่า แทนทิก้าหรือ I ผู้เล่าแห่งอัลฟาเรียนผู้นี้เลยนะ! ข้าคนนี้ขอเล่านิทานจนกว่าโลกใบนี้จะหายไปเลยละ!!”
…ช่างร้อนแรงอะไรเช่นนี้!!
นางประกาศอย่างมุ่งมั่น โดยหารู้ไม่ว่าม้ายูนิคอร์นของนางเดินไปหาหญ้ากินจนพุงป่องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…
“เจ้า…”
“เอ็มม่าจ้า!”
“อา ม้าของเจ้ามัน…” ข้าย่นคอ แล้วชี้นิ้วไปทางม้ายูนิคอร์นที่ว่า ขณะนี้มันกำลังเรอเอิ๊ก ทำหน้าเหมือนอิ่มมาก เฮ้ย! นี่หญ้ามันอร่อยรึเปล่า!? ข้ากินมั่งดิ!! เอ๊ะ เดี๋ยว สักครู่นะ? ว่ายูนิคอร์นเรอได้ด้วย??? บ๊ะ สำหรับข้า เรื่องนี้ไม่น่าสนใจเท่ากับคำถามที่ว่าหญ้าอร่อยรึเปล่าเฟ้ย!
“ไม่น้า!!! คุมะคุงงงงงงงงง!!!”
คุมะ? นั่นชื่อม้าเรอะ? ให้ตายเหอะ ทำไมข้าเจอแต่คนที่ชื่อหรูกว่าข้าฟะ? โลกนี้ไม่ยุติธรรม!
“มิร่า!!!! กระเป๋าข้าละ!!!!!”
เออ กระเป๋า ให้ตายเหอะ! ลืมซะสนิทเลย!
เสียงทักท้วงของมารินน์เตือนสติข้าที่กำลังล่องลอยไปไกลได้อย่างดีเยี่ยม เมื่อได้ยินการเตือนสติ ข้าก็ระลึกได้ถึงสิ่งที่ควรจะกระทำในบันดล… ก่อนจะเดินผ่านเอ็มม่าที่คลอเคลียอยู่กับเจ้าม้าพุงป่อง (ที่ชื่อ…คุมะ…) ไปยกกระเป๋าสัมภาระของคุณหนูแต่ละท่านในบ้านขึ้นมาถือไว้ พร้อมเดลิเวอรี่ถึงที่ในไม่ช้านี้
เดี๋ยวนะ…
แปปดิ? ทำไมม้าศึกอย่างข้าต้องมาถือของด้วยฟะเนี่ย!!?
“นี่เจ้า!! จะชักช้าไปจนถึงเมื่อไหร่กัน!?”
ข้าไม่ได้ชักช้าพิเอต้า! ข้าแค่กำลังสงสัยอยู่ว่าทำไมต้องเป็นข้า!
ตอนนี้ข้ากำลังยืนบื้ออยู่หน้ากระเป๋าสัมภาระทั้งของข้าเองและอีกหลายใบที่กองทับๆกันเป็นภูเขาอยู่ตรงหน้าข้า มันสูงจะท่วมหัวข้าแล้วอะขอบอก นี่ขนาดข้าไม่ได้เตี้ยนะเฮ้ย งั้นก็แปลว่าไอ้กระเป๋าเบื๊อกนี่มันใหญ่เกินเหตุใช่มะ? บ้าเอ๊ย! นี่มันยัดอะไรเข้าไปบ้างฟะเนี่ย!
…เอาวะ ยกก็ยก! เป็น G ที่ดีต้องเจอของหนักกว่านี้อีกในอนาคต! ฮึบ!
พลังช้างสารในตัวทำให้ข้าสามารถยกกระเป๋าใบเท่าแมมอธนั่นมาถือไว้ได้โดยไม่ล้มไปซะก่อน แค่ใบเดียวน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่พอขึ้นใบที่สามใบที่สี่นั่นแหละ คุณพระ!! แต่ละใบโคตรของโคตรหนัก! ข้าไม่อยากจะพูด! เนี่ย ข้าใช้มือซ้ายถือใบนึง ขวาอีกใบ รักแร้หนีบอีกสองใบ แค่นี้ข้าก็หนักจะบ้าตายอยู่แล้ว ถ้าข้าไม่ถูกฝึกมาแบบถึกๆนี่หัวทิ่มแน่นอนชัวร์!
แต่ดูเหมือนเทพบิดรจะชอบแกล้งข้าว่ะ…
เหอะๆๆ ยังเหลือใบที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่พื้นอีกหนึ่งใบ…
นี่ข้าไม่เหลือส่วนใดของร่างกายที่จะกระเตงมันได้แล้วนะเฟ้ย! เอาไงดีละ ข้าไม่ชอบวนกลับมาเอาของหลายๆรอบซะด้วย มันเหนื่อย ข้าชอบแบบทีเดียวจบมากกว่า แต่จะทำให้มันจบในครั้งเดียวยังไงในเมื่อไม่มีมือจะถือแบบนี้?
ปากคาบ? ไม่ดิ… ยังเหลือบนหัว…
“…”
ทูนบนหัวเรอะ… อย่าเลยเหอะ คิดภาพแล้วมันน่าเกลียดแปลกๆ
ข้ากระชับกระเป๋าในมือ ก่อนจะเดินต้วมเตี้ยมๆ เอียงซ้ายทีขวาทีตรงเข้าบ้านในสภาพเหมือนยัยบ้าหอบฟางที่ไหนสักตัว ไม่ก็บ้านนอกที่ยกสำมะโนครัวตัวเองเข้ากรุง… อนาถอะไรอย่างนี้ฟะ! กระเป๋าก็หนักบรมเลย นี่ถ้าข้าสะดุดก้อนหินแล้วโดนกระเป๋าทับตายจะมีใครหัวเราะเยาะข้ามั้ย!?
เอ่อ… พอคิดดูดีๆแล้วข้าไม่มีทางตายหรอก พวกสภาเทพไม่ยอมให้หนึ่งในยี่สิบหกตัวแทนแห่งเทพบิดรตายแน่ๆ และถ้าเกิดเหตุอาเพศกับข้าอย่างเช่นกระเป๋าทับแบบที่คิดละก็ พนันได้เลยว่าสภาเทพต้องปั่นป่วน ยกขบวนแห่ด้วยม้าเปกาซัสหกตัวมารับขึ้นราชรถสีทองไปหาคณะนางฟ้ารักษาแผลแถวๆหุบเขาทางตอนเหนือ ระหว่างทางมีเทพธิดาแห่งสวรรค์คอยดูแลอย่างใกล้ชิด… พอไปถึงแล้วข้าก็จะถูกคณะนางฟ้ารักษาแผลอัดพลังรักษาใส่หน้าเหมือนรมยา ปล่อยให้ข้าเมายาไปประมาณสามวัน ข้าก็จะหายเป็นปกติ แล้วข้าก็ถูกจะลบความทรงจำเกี่ยวกับกระเป๋าไปตลอดชีพเพื่อป้องกันการประวัติศาสตร์ซ้ำรอยรอบสอง! เท่จริงๆ เว่อร์ขนาดนี้หาไม่มีอีกแล้ว!!
เหอะ! ถ้าข้ามีตะเกียงวิเศษในนิทานเรื่องกะลาดิน… เออช่างมัน อะไรดินๆสักอย่างนี่ละ เอาเป็นว่าถ้ามันมีจริงอะนะ สิ่งแรกที่ข้าจะขอในตอนนี้คือขอให้ไอ้กระเป๋าบ้าๆพวกนี้มันมีปัญญาเดินเข้าบ้านเอง ข้าจะได้ไม่ต้องไปเสี่ยงกับสถานการณ์โดนสั่งห้ามถือกระเป๋าตลอดชีพแบบนี้… นี่ข้าไม่ได้เป็นโรคจิตหวาดระแวงนะ! อย่าเข้าใจผิด แต่ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน คณะสภาเทพมันทำให้ข้าแพนิคอะ!
ตึก ตึก ตึก
ฟุ่บ…
“หา?”
อ อะไรเฉียดกระโปรงข้าไป? ผีเสื้อเหรอ? กินได้ปะ?
ข้าขมวดคิ้ว กำลังก้มลงไปดูที่ชายกระโปรงของตัวเองเพื่อมองหาสิ่งที่เดินเฉียดกระโปรงข้าไปตะกี้ มันไม่ใช่ลมแน่ๆ ลมในตอนนี้ไม่แรงพอจะพัดกระโปรงข้าให้ปลิวด้วยซ้ำ แล้วนี่มันหมายความว่าไง?
กึก…
และพอข้าก้มไปดูเท่านั้นละ ข้าก็ต้องอึ้ง อึ้งแบบโคตรๆ!! ตานี่แทบจะถลนออกมาได้อยู่แล้ว!!
คุณหลวงร่วง!!!! กระเป๋าบ้าอะไรเดินได้ฟะ!!!!!!!
ไม่ใช่ภาพลวงตาแน่นอน ข้าลองขยี้ตาตัวเองจนมันแทบเปลี่ยนจากแดงเพลิงเป็นแดงเถือกแล้วก็ยังเห็นภาพเดิม ที่สำคัญ ถ้าเป็นภาพลวงตาไม่มีทางจะทำให้กระโปรงข้าขยับได้แน่ๆ ชัดเจนเลยว่าไอ้เจ้ากระเป๋า… ใช่ กระเป๋าใบที่ข้าวางมันไว้เฉยๆตรงนั้นโดยไม่ได้แตะต้องอะไรแม้แต่ปลายเล็บขบ มันกำลังเดินผ่านข้าไปข้างหน้า ขยับไปซ้ายนิดขวาหน่อยเหมือนคนกำลังเดินสะบัดก้น ดัดจริตได้ใจมาก เออ นี่ไม่ใช่เวลามาวิพากษ์วิจารณ์ ข้าควรจะหาคำตอบว่าทำไมมันเดินได้เซ่!
ก็เข้าใจนะว่านี่เป็นสถานที่ของเทพ เรื่องเหนือธรรมชาติหรือปาฏิหาริย์เกิดได้ตลอดเวลา แต่นี่มันไม่ใช่ปาฏิหาริย์ นี่มันเหตุวิปลาสชัดๆ!!
“อะไรกันน่ะ! กระเป๋าเดินได้!!”
ข้าได้ยินมารินน์กรี๊ด!!
“กระเป๋าเดินได้เหรอ!! ว้าย!!!”
แล้วข้าก็ได้ยินเอ็มม่าหวีดตามมาติดๆ!!
“วิโอล่า! รีบมาหลบหลังพี่!!!”
“ท่านพี่คะ!!”
ตบท้ายด้วยสองพี่น้องที่โชว์ความรักกันเป็นครั้งที่ร้อยแปด!
“เฮ้ย!!! กระเป๋าเดินสะบัดก้น!!!!!!!!!!”
หยุด ไม่ต้องไปหาที่ไหนแล้ว นี่เสียงข้าเองแหละ อย่าถามว่าทำไมข้าว้ากซะอุบาทว์ขนาดนั้น ข้าโคตรตกใจเลยตอนนี้! ตกใจจนอุทานช้าเพราะมัวแต่อ้าปากเหวออยู่ ก็คนมันช็อคนี่หว่า เอาจริงๆ ไม่ได้โกหกเลย ถ้าเจ้าเห็นกระเป๋าเดินได้กลางวันแสกๆจะตกใจมั้ยละ! ปั๊ดโธ่เว้ยยยยยย เข้าใจข้าหน่อยเด้!!
เหมือนไอ้กระเป๋าจะได้ยินเสียงของทุกคน มันหยุดการเดินส่ายก้นดุ๊กดิ๊ก แล้วยืนนิ่งกลางทุ่งหญ้าจนข้าเกือบนึกว่ามันกลับมาเป็นปกติแล้ว แต่ที่ไหนได้ มันค่อยๆ กลับหลังหัน จนดูเหมือนมันกำลังประจันหน้ากับข้ายังไงยังงั้น
“เฮ้ย!”
เฮ้! ไอ้กระเป๋า แกมีพลังงานบางอย่างสิงอยู่รึเปล่าฟะ!!?
ข้ายืนตัวแข็ง จำใจเล่นเกมจ้องตากับไอ้กระเป๋านั่นประมาณสิบวินาทีเพราะขยับตัวไม่ออก อ่า อะไรนะ? กระเป๋าไม่มีตา? โธ่ ข้าแค่เปรียบเทียบน่า...
ประเด็นก็คือ… ข้าควรจะเตะไอ้กระเป๋าผีสิงนี่ออกนอกโลกไปเลยดีมั้ย? หรือว่าไงดี…
และในขณะนี้ข้ากำลังคิดตัดสินใจนั่นเอง ข้าก็ได้ยินเสียงบางอย่างที่ทำให้หัวใจข้าแทบกลิ้งหล่นไปอยู่ตรงตาตุ่ม!
“เฮ้อ… เด็กสมัยนี้มันไม่กินนมกันรึไงว้า…?”
กระเป๋าพูดได้งั้นเรอะ!?
ความคิดเห็น