คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : Desperado 1 : เสียงเรียกของเซฟีร่า
Desperado 1 : เสียงเรียกของเซฟีร่า
‘เซฟีร่า’ คือต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ของโลก…
หากจะให้กล่าว… เซฟีร่าก็เปรียบเสมือนเทพธิดาองค์สำคัญที่คอยปกป้องดูแลผืนแผ่นดิน
เฝ้าควบคุมสมดุลระหว่างแสงสว่างและความมืด ไม่ให้มีสิ่งใดมากเกินไปหรือน้อยเกินไป
ทำหน้าที่ดั่งมารดาของทุกๆ คนบนโลก เป็นมารดาที่ยุติธรรม… โอบอุ้มและปกปักษ์ทุกสิ่งอย่างเท่าเทียมที่สุด
แต่ทว่า…
หากเซฟีร่าคือแสงสว่าง
ก็ย่อมต้องมีความมืดเป็นของคู่กัน
‘เดธเฮล์ม’ คือชื่อของดินแดนปีศาจที่เร้นกายอยู่ในมุมที่มืดที่สุดของโลก
กล่าวกันว่าที่นั่นเป็นบ่อเกิดแห่งอนธกาล มหานครแห่งปีศาจนี้ถูกปกครองโดยราชาปีศาจผู้โหดเหี้ยม
เด็ดขาด ไร้ปราณี …จุดมุ่งหมายของราชาปีศาจทุกรุ่นคือการหักรากถอนโคนต้นไม้แห่งโลก
ด้วยจุดประสงค์บางอย่างที่ยังไม่มีใครทราบแน่ชัด
บ้างก็ว่าเป็นความแค้นส่วนตัว
บ้างก็ว่าอยากทำเพื่อหักหน้ามนุษย์โลก
บ้างก็ว่าต้นไม้แห่งเซฟีร่ามีอะไรบางอย่างที่ราชันย์ปีศาจต้องการ
บ้างก็ว่าบรรดาปีศาจต้องการจะจับผู้คนมาเป็นทาส
จึงต้องทำลายสิ่งที่คอยปกป้องมวลมนุษย์ให้ราบเสียก่อน
แต่ไม่ว่าจะมีเหตุผลใด… เซฟีร่า
มารดาแห่งพื้นพิภพย่อมทราบถึงเรื่องนี้ดี
ลำพังแค่ต้นไม้ต้นเดียวคงไม่สามารถยืนหยัดต่อกรกับเหล่าปีศาจจากเดธเฮล์มได้
เซฟีร่าจึงเค้นมนตราบริสุทธิ์ในตนเองออกมาในรูปผลึกใส แล้วใช้พลังของตนส่งมันไปให้เหล่ามนุษย์
หรือเผ่าพันธุ์ใดก็ตามที่ได้รับการคัดเลือกจากตัวเธอเองแล้วว่า ‘เหมาะสม’ ที่จะนำความสงบสุขกลับคืนมายังโลกได้
ไม่ใช่แค่ปกป้องต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ แต่เป็นการปกป้องแผ่นดินทั้งแผ่นดิน…
และนั่นคือที่มาของ ‘กองอัศวินแห่งเซฟีรอส’…
โดยปกติแล้วเซฟีร่าจะทำการเลือกอัศวินใหม่ๆเป็นประจำ
เพื่อนำมาเพิ่มกำลังให้แก่กองทัพของโลก การที่เหล่าอัศวินแห่งเซฟีรอสเข้าต่อสู้กับมวลปีศาจจากเดธเฮล์มเป็นประจำ
ย่อมมีการบาดเจ็บล้มตาย แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา หากมารดาโลกทำการคัดสรรผู้คนมาเพิ่มเรื่อยๆ
แต่ช่างน่าแปลกนัก…
เวลาล่วงเลยมายาวนาน ทั้งๆที่ผ่านไปหลายปี
มีอัศวินแห่งเซฟีรอสมากมายที่หมดลมหายใจในสงคราม คนในกองทัพเหลือน้อยเต็มทน ยากที่จะต่อสู้กับเหล่าปีศาจที่มีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ
ทุกคนต่างรอ รอว่าเมื่อใดที่มารดาของพวกเขาจะทำการคัดสรรอัศวินกลุ่มใหม่เสียที
…แต่ต้นไม้แห่งเซฟีร่าก็ยังไม่เลือกใครเป็นอัศวินเพิ่มแต่อย่างใด…
“หรือว่านี่จะเป็นจุดจบของกองทัพเราครับ
ท่านเจอโรม?”
น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลของอัศวินวัยกลางคนคนหนึ่งดังขึ้น
หลังจากฝืนทนเก็บความคิดที่ว่านี้มานาน ดวงตาใต้คิ้วที่ขมวดเข้าหากันเป็นปมจ้องมองผู้นำทัพของตนอย่างเคร่งเครียด
“อีกฝ่ายมีเป็นหมื่น แต่กองทัพของเราเหลือไม่ถึงร้อยคนเท่านั้นเองนะท่าน!
สภาคนอื่นๆนอกจากท่านก็ถูกทับทิมปาดคอตายคาที่ไปหมดแล้ว!!
มารดาทอดทิ้งพวกเราแล้ว! อีกไม่นานพวกเราก็จะตายกันหมด!!!”
“ไอ้ขี้ขลาด! หุบปากไปซะ อย่าพูดถึงเรื่องนั้นอีก!”
ปึง!!
ฝ่ามือหนาของอัศวินอีกคนฟาดเปรี้ยงเข้าที่โต๊ะประชุม
แรงนั้นมากจนโต๊ะทั้งโต๊ะสั่นสะเทือน ดวงตาของผู้กระทำวาวโรจน์ บอกได้เป็นอย่างดีว่าเจ้าของมันกำลังไม่พอใจอย่างมากที่มีคนย้อนความไปถึงเรื่องเลวร้ายที่เพิ่งเกิดขึ้น
เกี่ยวกับเรื่อง ‘ทับทิมต้องคำสาป’ นั่น…
“เจ้านั่นแหละที่หุบปาก! ก็เห็นๆกันอยู่ว่าตำแหน่งนั่นมันทำให้คนเป็นบ้า! เหอะ
ต้องให้ย้อนมั้ยว่าวันนั้นมีใครตายไปบ้างนอกจากพวกสภา!! ไอ้ทับทิมนั่นฆ่าพวกเดียวกันตายไปเกือบร้อย!
ลืมไปแล้วเหรอ!”
“เอนครอส!!”
หลังสิ้นเสียงตวาดกร้าว
คนพูดก็ทำท่าจะชักดาบยาวที่เหน็บไว้ตรงเอวออกมาหมายจะสั่งสอน
เขาไม่รู้จะสรรหาคำอะไรมาด่าคนช่างขุดคุ้ยตรงหน้าอีกแล้ว
เหตุการณ์ที่ทับทิมไล่ฆ่าสภาทุกคนตายรวมทั้งพรรพวกอัศวินด้วยกันเองสะเทือนใจทุกคนในค่ายมาจนถึงตอนนี้
ถ้าเป็นไปได้เขาก็ไม่อยากให้ใครพูดถึงมันอีก ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น
คนที่เหลือรอดในกองทัพทุกคน ต่างก็ไม่อยากให้พูดถึงทั้งนั้น
คนตายเพราะปีศาจมีมากพออยู่แล้ว
แล้วยังมีคนตายด้วยฝีมือคนกันเองอีก
‘ทับทิม’ ตำแหน่งต้องคำสาปที่เพิ่งฆ่าล้างบางสภาแห่งเซฟีรอสทุกคนจนสิ้นลมหายใจคากองเลือดเมื่อหลายเดือนก่อน
ทิ้งศพเพื่อนๆของตนไว้แบบนั้นก่อนจะตายตามไป เหลือไว้แค่ ‘ไดมอนด์’
อันเป็นเสาหลักของสภาเท่านั้น เพราะวันนั้น ‘เจอโรม’
แม่ทัพและไดมอนด์ของพวกเขาออกไปทำภารกิจข้างนอก
ไม่เช่นนั้นก็คง…
“พอเถอะน่า เสียงดังไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา
อายุก็ปูนๆ นี้กันแล้ว”
เมื่อสถานการณ์เริ่มใกล้จะบานปลาย
ร่างหนึ่งที่ร่วมนั่งอยู่ในที่ประชุมก็เริ่มออกปากห้ามปราม ดวงตาสีน้ำตาลปราดสองอัศวินที่ทำท่าจะฟาดอาวุธใส่กันกลางที่ประชุม
แม้จะพูดด้วยน้ำเสียงสบายๆ แต่กลับหยุดอัศวินทั้งสองร่างได้ชะงัด
“…”
“แต่ข้าก็ยังหล่อกว่าพวกเจ้าเยอะนะ…”
“โคซีทุส!!”
เจ้าของชื่อเหยียดยิ้มราวกับกำลังขบขัน
ก่อนจะโบกมือไหวๆ ไปมาเหมือนเป็นเรื่องตลก
“ขำๆน่า เครียดอะไรกัน”
อัศวินสองคนที่ทำท่าจะกระโดดกัดจมูกกันเมื่อครู่เปลี่ยนมามองหน้ากันด้วยความระอา… ก่อนจะทรุดตัวนั่งบนเก้าอี้เหมือนเดิมโดยไม่มีใครพูดอะไรอีก
“เอาละค่ะ” น้ำเสียงเข้มงวดดังมาจากสตรีเพียงคนเดียวในห้อง
ใบหน้างามล้ำถูกประดับด้วยแว่นไร้กรอบสีเข้ม เสริมความน่าเกรงขามให้กับตัวเธออีกเป็นเท่าตัว
“นอกเรื่องมามากพอแล้ว ประเด็นที่เราจะคุยกันในวันนี้คือเรื่องแผนการรบครั้งต่อไปไม่ใช่หรือคะ?”
“อ่า…”
“แล้วถ้ายังมีการเถียงไร้สาระแบบเมื่อครู่นี้อีก…”
ดวงตาคู่งามเป็นประกายวาวโรจน์ “ดิฉัน แมรี่
รี้ด คงต้องขอปรับพยางค์ละหนึ่งร้อยเหรียญนะคะ”
“……”
เอ่อ…
เงียบ…
ใบ้กินกันทั้งกอง…
“เอ่อ…”
และความเงียบดูเหมือนจะเข้าปกคลุมห้องทั้งห้องไปอีกนาน
จนอัลฟอนโซ่ อัลเฟรโด้ชายหนุ่มในชุดสีขาวที่นั่งประจำตำแหน่งตัวแทน ‘ฝ่ายแพทย์ของกองอัศวิน’
ชักปั้นสีหน้าไม่ถูก เขาฝืนยิ้มแห้งๆ ปาดเหงื่อบนหน้าผาก
ก่อนจะหันไปเอ่ยกับผู้ที่นั่งเงียบอยู่หัวโต๊ะ
“ท่านแม่ทัพ ช่วยพูดอะไรหน่อยสิครับ”
สิ้นประโยคนั้น
ทุกสายตาก็พากันไปจับจ้องอยู่ที่แม่ทัพของตนเป็นตาเดียว…
‘เจอโรเม ฮานีฟ’ หรือ ‘เจอโรม’ แม่ทัพของเหล่าเซฟีรอสเป็นชายสายเลือดเอลฟ์ผู้มีใบหน้างามล้ำ
เส้นผมสีทองหยักศกสั้นระต้นคอ ผิวขาวไม่ต่างอะไรกับหิมะแรกในฤดูหนาว
ดวงตาต่างสีที่ประดับอยู่บนใบหน้าสะท้อนแววประหลาดออกมาอย่างปิดไม่มิด…
อัลฟอนโซ่พอจะดูออก แม่ทัพของทุกคนกำลังเครียด…
กองทัพของเดธเฮล์มแข็งแกร่งขึ้นทุกทีๆ ในขณะที่ฝ่ายของเขามีจำนวนน้อยลงๆ
ต้นไม้แห่งเซฟีร่ายังไม่เลือกอัศวินเพิ่ม
ซ้ำยังมีอัศวินมากมายที่ถูกสังหารด้วยฝีมือของ ‘ทับทิมต้องคำสาป’ อีก ทำให้ตอนนี้พวกเขามีเหลือกันแค่หยิบมือเท่านั้น
เมื่อฝ่ายตรงข้ามโจมตีมาก็ทำได้แค่ตั้งรับ ไม่สามารถโต้กลับได้เต็มกำลังเท่าเมื่อก่อน
ถึงจะได้รับพลังจากต้นไม้แห่งโลก แต่กำลังคนที่มีแค่น้อยนิดทำให้เหล่าปีศาจใกล้จะกุมชัยชนะมากขึ้นทุกทีๆ
น่ากลัวว่ามันจะทำลายต้นไม้แห่งโลกได้สำเร็จ…
“ท่าทางท่านแม่ทัพจะตะลึงในความหล่อของข้าอยู่…”
“หนึ่งพันสี่ร้อยเหรียญค่ะ
คุณโคซีทุส”
“หา? นี่นั่งนับด้วยเหรอเนี่ย?!”
ในขณะที่โคซีทุสกำลังทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
ตะปบกระเป๋าเงินตัวเองไว้อย่างหวงแหน คนที่เงียบมาตั้งแต่เปิดประชุมก็เอ่ยปากพูดขึ้น
และทุกคนจะไม่ตั้งใจฟังเลย
หากว่าคนๆนั้นไม่ใช่แม่ทัพของพวกเขา
“ข้าอยากให้ทุกคนเชื่อในเซฟีร่า มารดาของเราจะไม่ทอดทิ้งเราเด็ดขาด
สงครามครั้งหน้าก็ขอให้ต่อสู้อย่างเต็มที่เหมือนเคย”
“รับทราบครับท่าน”
“ส่วนเรื่องทับทิมต้องสาป…”
เจอโรมถอนหายใจยาวเหยียด ดวงตาหลุบลง ดูท่าเรื่องนี้จะทำให้เขาเหนื่อยใจไม่น้อย
“คนที่ตายไปคงไม่อยากให้เรากังวลเรื่องพวกเขาหรอก
อย่าลืมว่าพวกเราทุกคนมาที่นี่ก็เพื่อจะสู้ พวกที่ตายไปก็ต้องการจะสู้เหมือนกัน
ดังนั้นเราต้องไม่ยอมแพ้ เพื่อที่เจตจำนงของพวกเขาจะได้ไม่สูญเปล่า
การยอมแพ้เท่ากับว่าเราละทิ้งเจตนาของพวกเขา”
“…”
“และหากเซฟีร่าเลือกสภาใหม่อีกครั้ง
คราวนี้ข้าจะติดตามดูทับทิมอย่างใกล้ชิด ไม่ต้องห่วง”
“แล้วสำหรับการรบครั้งต่อไปละคะ?”
แมรี่ขยับแว่น ดวงตาคู่คมหลุบลงต่ำ มองแผนที่ที่กางอยู่ใจกลางโต๊ะด้วยสีหน้าจริงจัง
เจอโรมค่อยๆลุกขึ้นเต็มความสูง
ดวงตาต่างสีของเอลฟ์หนุ่มผู้เป็นนายทัพกวาดมองภาพสมรภูมิจำลองตรงหน้าอย่างใช้ความคิด
“คราวที่แล้วศัตรูยกกำลังมาจากเซนต์เบลเทนส์”
เจอโรมเอ่ยพลางไล้นิ้วไปบนแผ่นหนัง “ดังนั้นคราวนี้…”
แก๊ง~
ทุกเสียงหยุดลงอีกครั้ง
เสียงใสคล้ายระฆังแก้วดังกังวานไปทั่วค่ายอัศวิน พร้อมๆ กับสายลมอ่อนๆ
ที่พัดพากลิ่นดอกไม้จางๆลอยมาแตะจมูก กลีบดอกไม้สีหวานโปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า
เคลื่อนไหวไปตามกระแสลมอย่างงดงามคล้ายการร่ายรำของเทพธิดา พร้อมๆกับคลื่นพลังเวทบริสุทธิ์ที่แผ่ออกไปโดยรอบ
เจอโรมเบิกตากว้าง ขณะที่เสียงระฆังนั้นดังขึ้นมาอีกครั้งราวกับเป็นหมายเรียก
“เซฟีร่า…!”
เอลฟ์หนุ่มเกือบลืมหายใจ
เขาดันเก้าอี้ที่ขวางทางออกก่อนจะรีบวิ่งออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว อัศวินคนอื่นๆในที่ประชุมก็อยู่ในท่าทางไม่ต่างกัน
เกิดเสียงฮือฮาดังไปทั่วห้องประชุม
กระทั่งอัศวินที่นอนอยู่ในที่พักก็ยังโผล่หน้าออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“ท่าทางกองทัพเราจะกลับมาเอะอะกันอีกครั้งแล้วละ
อัลฟ่อน”
“ครับ?”
โคซีทุสยกยิ้มบนใบหน้า ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้านอกหน้าต่างอย่างพึงพอใจ
“เซฟีร่าเลือกอัศวินแล้ว…”
เซบีย่า แคว้นอันดาลูเซีย
ประเทศสเปน, 1554
เสียงดนตรีครึกครื้นดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ
ผสานกับเสียงหัวเราะเฮฮาและเสียงปรบมือเป็นจังหวะของบรรดาชาวบ้านที่พากันเข้ามาร่วมงานด้วยสีหน้าสดใสร่าเริง
แสงไฟเจิดจ้าถูกจุดขึ้นมากมาย มอบแสงสว่างท่ามกลางม่านราตรีให้กับแผ่นดินที่พระอาทิตย์ไม่เคยตกดินผืนนี้
สเปนก้าวสู่ตำแหน่งมหาอำนาจของโลกภายในช่วงเวลาไม่นานนัก
ทุกๆวันจะมีเรือขนทองคำกลับมาจากทวีปใหม่เป็นตั้งๆ แล้วยังมีนักล่าอาณานิคมหน้าตาแปลกๆ
เดินทางเข้ามาขอเฝ้ากษัตริย์สเปนผู้ทรงสนใจในการค้นหาแผ่นดินโพ้นทะเลแทบทุกวัน
และเมื่อแผนการนั้นได้รับการอนุมัติจากองค์กษัตริย์ พวกเขาก็จะกลับมาพร้อมกับผลกำไรที่ไปโกยมาจากทวีปใหม่
ส่งผลให้สเปนเป็นประเทศที่รวยไม่ลืมหูลืมตา สามารถเอาทองแท้ๆมาถมสนามสู้วัวได้แบบไม่สะทกสะท้าน
และในฐานะคนสเปนที่ดี สิ่งที่ขาดไม่ได้คือเสียงเพลง
การเต้นรำ การสู้วัวกระทิง และงานเทศกาล
ยามเมื่อเข้าสู่ช่วงเทศกาล…
ประเทศที่ไม่เคยหลับใหลก็ดูจะคึกคักยิ่งขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว
ชาวสเปนที่มีใจรักในเรื่องสังสรรค์อยู่แล้วต่างพากันเข้าร่วมงานเทศกาลอย่างเต็มใจ
ส่วนใหญ่แล้วงานเทศกาลของสเปนจะจัดทั้งวันทั้งคืน เช้ามาค่อยนอน
ไปทำงานสายก็ช่างมัน เน้นหาความสนุกสนานให้เต็มที่
และด้วยเหตุนี้เองทำให้งานเทศกาลของสเปนแปลกใหม่
และมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนใครในยุโรป…
งานเทศกาลประจำเมืองครั้งนี้ก็เช่นกัน
“พ่อฮะ! ผมอยากกินอันนั้น!”
“ไหนๆ อ้อ ได้สิลูก! เอารสไหนดีละ?”
แสงจากคบเพลิงที่ถูกจุดทั่วทั้งบริเวณงานสว่างจ้า
หากมองผ่านบรรดายิปซีสาวสวยที่กำลังร่ายรำอยู่บนพื้นถนนไปอีกสักนิด
จะเห็นร่างของชายหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังก้มๆ เงยๆ
อยู่ข้างแผงขายขนมพร้อมกับเด็กชายตัวจ้อยที่นั่งอยู่บนบ่า
ร่างสูงขยับตัวเล็กน้อย ผิวสีแทนน่าสัมผัสต้องแสงจันทร์ในยามราตรี
เส้นผมสีน้ำตาลเข้มที่ระเรี่ยใบหน้าไหวไปตามแรงลม
นัยน์ตาสีน้ำตาลคล้ายเส้นผมก้มมองขนมสีสดใสที่วางขายอยู่บนผ้าแพรบางๆ พร้อมกับแย้มรอยยิ้มชวนยิ้มตามบนใบหน้าคมเปี่ยมเสน่ห์
เขาชื่อว่ามาร์กาเร็ตโต้ กอนซาเลซ หรือ
มาร์ก ส่วนเด็กน้อยที่นั่งอยู่บนบ่าคือลูกชายวัยหกขวบ มาโนโล
กอนซาเลซ หลังจากถูกเจ้าลูกชายตัวแสบอ้อนอยากมาเที่ยวงานเทศกาลสามวันติด
มาร์กาเร็ตโต้ก็ใจอ่อน ยอมพาออกมาจนได้
“เอาอันนี้ฮะ!”
“ได้สิ
แล้วต้องบ้วนปากก่อนนอนด้วยนะ”
“ฮะพ่อ!”
ชายหนุ่มยิ้ม เขาก้มลงไปหยิบขนมที่เด็กชายต้องการขึ้นมาก่อนจะควักเหรียญในถุงที่ผูกไว้กับเอวออกมาจ่าย
เมื่อเห็นแม่ค้าทำท่าจะหยิบเงินทอน เขาก็รีบยกมือห้าม ก่อนจะส่งยิ้มให้
“ไม่ต้องทอนหรอกครับ”
“แหม ขอบใจมากนะจ๊ะ พ่อหนุ่ม”
หญิงชราเจ้าของแผงยิ้ม “ช่างมีน้ำใจจริงๆ
เพื่อเป็นการตอบแทน… ยายดูดวงให้มั้ยละ?”
“ดูดวง?”
“ถูกต้องแล้ว” รอยยิ้มลึกลับปรากฏบนริมฝีปากของหญิงชรา เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มตรงหน้าเริ่มชักสีหน้างุนงง
นางก็ขยายความให้ต่อ “แม่ของยายเป็นยิปซี
วิชาพวกนี้พอจะชำนาญอยู่บ้าง”
“โอ้ ขอบคุณนะครับ
แต่ในฐานะคาทอลิคที่ดี…”
เขากำลังจะพูดว่า ‘ในฐานะคาทอลิคที่ดี
ข้าคงดูดวงไม่ได้หรอก มันจะเป็นการหลบหลู่ต่อพระตรีเอกานุภาพ’ ตามประสาคนสายเลือดละตินที่มักจะเคร่งศาสนายิ่งชีพออกไป
แต่ก็ต้องชะงัก เมื่อหญิงชราคลี่ยิ้มที่ดูมีเลศนัยบนใบหน้า… พร้อมกับเอ่ยขึ้น
ท่าทีของหล่อนราวกับถือไพ่เหนือกว่า
“ตายจริง เนื้อคู่เป็นคนใหญ่คนโตเชียวนะ
พ่อหนุ่ม…”
“ค ครับ?”
มาร์กาเร็ตโต้กระพริบตาปริบๆ คำพูดของหญิงชราทำให้เขารู้สึกงงสุดชีวิต
เนื้อคู่?
เนื้อคู่เนี่ยนะ?
“พ่อฮะ เนื้อคู่คืออะไรเหรอฮะ?”
“เอ่อ ก็คือ…”
เขาหันหน้าไปอธิบายให้ผู้เป็นลูกชายฟัง
ทำให้ไม่ทันสังเกตเห็นดวงตาที่เป็นประกายระยับของหญิงชรา… เธอยิ้ม
พร้อมกับท่องบทกลอนประหลาดออกมา
“ทิวาวาร ส่องสว่าง แสนอบอุ่น
รุ่งอรุณ มอบความหวัง อันสดใส
แต่ความมืด ฉีกกระชาก ทุกอย่างไป
เหลือไว้เพียง เศษหัวใจ แห่งทับทิม”
“เอ๊ะ?”
บทกลอนแปลกๆนั้นทำให้ร่างสูงชะงักงันอีกครั้ง
แต่เมื่อหันไปมอง เขากลับพบว่าหญิงชราคนนั้นหายไปแล้ว!?
“เฮ้ย!?”
“พ่อฮะๆ อธิบายต่อสิฮะ!”
“อา ได้สิๆ คือแบบนี้นะมาโนโล…”
จะหายไปได้ยังไงกัน! ก็ยืนอยู่ตรงนี้แท้ๆ
ถ้าลุกออกไปเขาก็ต้องรู้สึกสิเฮ้ย!!
มาร์กาเร็ตโต้ลอบทำหน้าซีด ขณะที่หัวสมองกำลังปั่นป่วนไปด้วยความสับสน
ไม่รอช้า ชายหนุ่มรีบเดินจ้ำอ้าวออกมาจากบริเวณนั้นแบบไม่หันกลับไปมอง
แม้ว่าจะไม่แสดงสีหน้าประหลาดๆออกมาให้ลูกชายเห็น
แต่ในสมองกลับเต็มไปด้วยคำๆหนึ่งวนซ้ำไปซ้ำมา
ผี…
ผีหลอกแน่ๆ…
แล้วไอ้ขนมที่มาโนโลกินอยู่นั่นก็เป็น… ข ข ขนมผี!!?
ไม่นะ ไม่!!
คนเป็นพ่อรู้สึกเหมือนประสาทจะกิน โลกเหมือนจะแตก
เขารีบดึงขนมออกมาจากมือมาโนโล ก่อนจะเขวี้ยงไปไกลลิบ
เขาจะไม่ยอมให้ลูกชายกินขนมผีแล้วกลายเป็นผีเด็ดขาด!!!
“ง่ะ! ขนมของผม!”
“เดี๋ยวพ่อซื้ออันใหม่ให้นะ”
แต่เด็กน้อยก็ยังทำหน้าเหมือนจะร้องไห้
ดวงตากลมโตมีน้ำตาปริ่ม ริมฝีปากเล็กๆเม้มเข้าหากัน ไหล่ก็กระตุกๆ
พร้อมกับเสียงสูดน้ำมูกเข้าจมูก… “ฮึก… ขนมอะ…”
“โอ๋ๆ เด็กดี เดี๋ยวพ่อซื้อดาบไม้ให้อีกอันเอามั้ย?”
“อื้อๆๆๆ! เอาดาบไม้เยอะๆเลย!”
อา ค่อยยังชั่ว
โชคดีที่มาโนโลไม่ใช่เด็กเอาแต่ใจ
ก็นับว่ามาร์กาเร็ตโต้และภรรยาเลี้ยงลูกคนนี้มาดี
แม้ว่ามาโนโลจะไม่ได้เติบโตมาท่ามกลางกองเงินกองทอง มีแค่บ้านหลังเล็กๆหลังเดียว แต่สองสามีภรรยากอนซาเลซก็พยายามที่จะดูแลเด็กคนนี้อย่างดีที่สุด
คอยมอบความรัก ความอบอุ่นให้ในบ้านหลังเล็กๆแถบชายทะเลนี้เท่าที่จะให้ได้
เงินเล็กๆน้อยๆที่ได้มาจากการทำงานประจำของมาร์กาเร็ตโต้ถูกแบ่งเป็นสามส่วน
ส่วนหนึ่งใช้ดูแลบ้าน ซื้ออาหาร ซื้อของใช้ อีกส่วนหนึ่งเก็บไว้เป็นเงินออม
ส่วนสุดท้ายไว้ซื้อของเล่นให้ลูกชาย
เขาอยากให้ลูกชายมีความสุขที่สุด แม้จะไม่ได้รวยล้นฟ้าแบบเมื่อก่อน
แต่เขาก็จะพยายามให้เต็มที่เลย!
มาร์กาเร็ตโต้เป็นลูกชายคนเดียวในตระกูลกอนซาเลซ ตระกูลอัศวินใหญ่ในนครมาดริด
เขาเคยมีชีวิตอยู่อย่างชนชั้นสูงจนกระทั่งเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น ทำให้ถูกไล่ออกจากตระกูลพร้อมกับภรรยาที่กำลังตั้งท้อง
ต้องมาสร้างบ้านใหม่ทางตอนใต้ของประเทศ
โดยมีเงินติดตัวแค่พอกินข้าวได้ไปวันๆเท่านั้น
แม้จะเจอเรื่องเลวร้ายมามากมาย
แต่มาร์กาเร็ตโต้ที่ทุกคนในเซบีย่ารู้จักเป็นคนยิ้มแย้มแจ่มใส คุยสนุก ร่าเริง
จิตใจดี แถมยังขี้สงสาร แม้ตอนแรกจะมีคนนินทาอยู่บ้าง
แต่เมื่อได้รู้จักตัวตนของเขาจริงๆ ชาวบ้านหลายคนก็คอยให้ความช่วยเหลือ
บ้างก็หางานดีๆให้ทำ บ้างก็ทำอาหารมาฝาก
บ้างก็มาช่วยภรรยาของเขาเลี้ยงลูกและทำงานบ้านเมื่อเขาไม่อยู่
จริงๆ ชีวิตใหม่ที่นี่ก็ไม่เลวนักหรอก เขาเชื่อแบบนั้นนะ!
“นั่น! ดอกไม้ฮะ!”
“หืม? ไหน”
นัยน์ตาสีน้ำตาลเบิกขึ้นเล็กน้อยขณะเพ่งมองไปยังจุดที่ลูกชายชี้
เสียงดนตรีภายในงานเหมือนจะเร่งจังหวะขึ้น
เป็นสัญญาณบอกว่าส่วนสำคัญของงานมาถึงแล้ว
ขบวนแห่ประจำเทศกาลถูกเคลื่อนไปตามท้องถนนสีขาว
หากมองไปกลางถนนจะเห็นสาวงามสายเลือดละตินในชุดสวยงามกำลังร่ายระบำพื้นเมืองไปตามเส้นทาง
ดนตรีสนุกสนานถูกบรรเลงเป็นท่วงทำนองครื้นเครง พร้อมกับเสียงปรบมือเป็นจังหวะของชาวบ้านที่เข้ามาร่วมงาน
เป็นเสียงฟังแล้วรู้สึกครึกครื้นอย่างบอกไม่ถูก
มาร์กแทรกตัวเข้าไปในฝูงชน
หมายจะให้เห็นภาพของขบวนแห่ชัดๆ มาโนโลน้อยขยับตัวมองภาพตรงหน้าอย่างตื่นตาตื่นใจ ทำท่าจะเต้นตามสาวๆในขบวนด้วย
ทำให้ผู้เป็นพ่อหลุดหัวเราะออกมาอย่างเสียไม่ได้
“เดี๋ยวก็ร่วงหรอกมาโนโล” เขาเตือน ก่อนจะยื่นมือไปบีบจมูกลูกชายเบาๆอย่างหมั่นเขี้ยว “คึกเชียวนะวันนี้ เจ้าตัวแสบ”
“เฮ้!”
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเบิกตาขึ้นด้วยความสงสัย
แล้วจึงหันไปมองตามทิศทางของเสียง
เจ้าของเสียงเป็นชายหนุ่มวัยพอๆกับเขา ใบหน้าของอีกฝ่ายหล่อเหลาชวนมอง
เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนรับกับดวงตาสีเขียวเพอริดอทบนใบหน้า
ทว่าข้างหนึ่งกลับถูกปิดไว้ด้วยผ้าปิดตาสีดำราวกับโจรสลัด บนเสื้อผ้าดูดีมีราคานั่นปักดิ้นทองเกือบทั้งชุดอย่างหรูหรา
หากมองดีๆ จะเห็นชื่อ ‘Macelino’ ถูกปักไว้อย่างประณีต
มาร์กเผยยิ้มกว้าง รู้ทันทีว่าชายหนุ่มตรงหน้าเป็นใคร
เอเซเควล เรเยส มาเซลิโน่ ทายาทหนุ่มหล่อจากตระกูลมาเซลิโน่
ตระกูลพ่อค้าชายฝั่งที่โด่งดังที่สุดในแถบเมดิเตอร์เรเนียน
“เควล!!”
“อาเควล สวัสดีฮะ!”
“หาตั้งนาน อ๊ะ ว่าไงเจ้าหนู”
เควลสาวเท้าเข้ามาหาเขา ก่อนจะยิ้มกว้างให้มาโนโล “อายุน่าจะพอๆกับริคเลยนะเนี่ย แล้วเจ้าเป็นไงบ้างมาร์ก?”
“สบายดีอยู่แล้ว” มาร์กยิ้ม “อ้อ ใช่ ออกทะเลคราวนี้เป็นไงบ้างเควล?
เล่าให้ฟังหน่อยสิ”
มาร์กเริ่มเปิดบทสนทนากับเพื่อนสนิท
เขาจับตัวลูกชายให้นั่งดีๆ แล้วจึงเดินออกมาจากฝูงชนเพื่อที่จะได้คุยกันสะดวกๆ
“หืม… ครั้งล่าสุดเนี่ยน่ะเหรอ?”
ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนหัวเราะ “ไปที่เม็กซิโกมา
กว้าง… โล่งโจ้ง… แดดเปรี้ยง… มีแต่ชาวพื้นเมืองก็หน้าตาไม่รับแขก ให้ตายเหอะ มาร์ก ข้าว่าคนพวกนั้นต้องถูกฝังความเชื่อที่ว่าคนสเปนแบบพวกเราเป็นพวกฆ่าอำพรางศพมาตั้งแต่รุ่นพ่อรุ่นแม่แน่ๆ
ฮ่าๆๆๆ”
“โอ้โห”
“คราวหน้าข้าว่าจะไปโมลุกกะสักหน่อย…
อ้าว ริค?”
น้ำเสียงหยุดลงเพียงเท่านั้นเมื่อมีร่างเล็กๆร่างหนึ่งวิ่งเข้ามาเกาะขาเอเซเควลแน่น
ใบหน้าน่ารักน่าเอ็นดูนั่นเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มเจ้าทะเลตาปริบๆ
ก่อนจะเปลี่ยนมามองหน้ามาร์กาเร็ตโต้ด้วยสายตาแปลกๆ… เล่นเอาเอเซเควลหัวเราะเสียงดัง
พลางอุ้มน้องชายตนขึ้นมา
“ริค นี่เพื่อนพี่ไง มาร์กาเร็ตโต้
ที่เคยมาบ้านเราบ่อยๆน่ะ”
ริค หรือเอนริค มาเซลิโน่มองหน้ามาร์กาเร็ตโต้เหมือนต้องการจะสแกนอะไรสักอย่างในระยะประชิด… ก่อนจะพยักหน้ารับคำพี่ชายอย่างว่าง่าย
หากแต่เอื้อมมือไปจับปกเสื้อพี่ชายของตนแน่น
“ยินดีที่ได้รู้จักฮะ เพื่อนของท่านพี่…”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะ
เอนริคใช่มั้ย?”
“ฮะ เพื่อนจริงๆ ใช่มั้ยฮะ…?”
“หือ ก็ต้องเพื่อนจริงๆอยู่แล้วสิ”
มาร์กาเร็ตโต้ส่งยิ้มให้ แม้จะไม่เข้าใจว่าเอนริคจงใจจะหมายถึงอะไรก็ตาม
อืม… ตั้งแต่เขาเริ่มสนิทกับเอเซเควล
เขาก็มักจะเห็นน้องชายคนนี้แอบเกาะติดเพื่อนเขาตลอดเวลา หันไปทีไรก็เจอตลอด
แต่ไม่มีโอกาสแนะนำให้รู้จักจริงๆจังๆเสียที
ถือว่าครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้ทำความรู้จักกันอย่างเป็นทางการ
“เอ้า ริค! เราไปตรงโน้นกันดีกว่า!”
ทายาทหนุ่มแห่งมาเซลิโน่ยิ้มกว้างให้น้องชายของตนที่ยังจับปกเสื้อแน่น
ก่อนจะหันมาเอ่ยปากชวนมาร์กกับลูกชาย “มาร์ก
นายก็มาด้วยกันสิ ตรงนั้นมีสู้วัวกระทิงด้วยนะ เขาบอกว่ามาธาดอร์คนนี้เก่งที่สุดในมาดริดเลย!”
“ได้สิเควล! ฉันก็อยากดูเหมือนกัน”
“พ่อฮะๆ ผมขอลงไปเดินได้มั้ยฮะ!?”
“อ๋อ ได้สิลูก แต่ต้องตามอาเควลไปเท่านั้นนะ”
มาร์กาเร็ตโต้คุกเข่าลง
หย่อนตัวลูกชายที่ท่าทางคึกครื้นเต็มทีลงพื้น
เด็กน้อยฉีกยิ้มมีความสุขแล้วพยักหน้ารัวๆ
“ได้ฮะ!”
“ไม่ต้องห่วงหรอก
เดี๋ยวข้าดูลูกเจ้าให้เอง มาหาอานี่มา!”
เขาเห็นมาโนโลวิ่งตุ้บๆ ส่ายก้นดุ๊กดิ๊กๆ
ไปหาเอเซเควลที่ยืนอยู่ไม่ห่างด้วยท่าทางร่าเริงสุดๆ
ความสดใสนั้นทำให้หัวใจคนเป็นพ่อสดชื่นขึ้นมาเป็นกอง มาร์กขยับไหล่ตัวเองเบาๆ
เพื่อคลายความเมื่อยขบจากการให้ลูกชายนั่งทับเมื่อครู่ ก่อนจะ…..
ปึก!
“อ๊ะ ขอโทษครับ”
เมื่อกำลังจะออกเดินตาม
มาร์กาเร็ตโต้ก็ชนเข้ากับใครบางคนโดยบังเอิญ แรงชนนั้นทำให้เขาลอบร้องออกมาด้วยความเจ็บ
เกือบจะเสียหลักหงายหลังหัวฟาดพื้นหากไม่จับไหล่คนตรงหน้าเอาไว้ เขาครางเบาๆ
ก่อนจะผงกหัวลง รีบเอ่ยขอโทษเพื่อไม่ให้เสียมารยาท แต่เมื่อเงยหน้ามองคู่กรณี… มาร์กาเร็ตโต้กลับก้าวขาไม่ออก
แปลก…
คนๆนี้แปลก…
ใบหน้าทั้งใบหน้าถูกปกปิดด้วยหน้ากากที่งดงามหรูหรา… เหมือนเป็นหน้ากากของชนชั้นสูงในงานคาร์นิวัลที่อิตาลี
เส้นผมสีดำสนิทยิ่งกว่าความมืดพลิ้วไหวไปตามสายลม แม้ใบหน้าจะถูกปิดบังด้วยหน้ากาก
แต่มาร์กกลับสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าคนตรงหน้านี้ ‘หล่อมากจนถึงขนาดฆ่าคนได้’…
ใช่ รับรู้ได้ถึงระดับนั้นเลยทีเดียว…
คนสวมหน้ากากนั้นจับมือของมาร์กออกจากบ่าของตนเองอย่างช้าๆ
มือแข็งแกร่งใต้ถุงมือสีดำเลื่อนมือของมาร์กาเร็ตโต้มาชิดหน้ากากของตน ก่อนจะทำสิ่งที่น่าตกใจที่สุด
นั่นคือการก้มลงไปอย่างช้าๆ ทว่าสะกดสายตา…
แล้วส่งมอบจุมพิตแผ่วๆให้หลังมือของอีกฝ่าย ทั้งๆที่ยังสวมหน้ากากอยู่…
“เอ๊ะ?”
มาร์กไม่เห็นว่าฝ่ายตรงข้ามทำสีหน้ายังไง แถมมือก็ไม่ได้แตะกับริมฝีปากจริงๆด้วยซ้ำ
ต แต่ทำไม…
คนถูกจุมพิตทำอะไรไม่ถูก
เขาแน่ใจมากว่าสีหน้าตัวเองตอนนี้ต้องตลกมากแน่ๆ เพราะเหมือนว่าจะได้ยินเสียงหัวเราะ
‘หึ’ ดังมาจากร่างสวมหน้ากากนั้นเบาๆ
สัมผัสจากมือแกร่งใต้ถุงมือสีดำนั้นก็ร้อนเสียเหลือเกิน…
บ้าแล้ว นี่มันอะไรเกิดอะไรขึ้นกับเขากัน…
“พ่อฮะ! ตามมานี่เร็ว!”
“อ อื้ม! จะไปเดี๋ยวนี้แหละ!
ข ขอโทษนะครับ”
ว่าจบ มาร์กก็ยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะรีบผละตัวออกไปทันที
ร่างสีดำมองตามแผ่นหลังที่ค่อยๆไกลออกไปอย่างนิ่งเงียบ
ไม่มีใครสังเกตเห็นรอยยิ้มที่ถูกซ่อนอยู่ใต้หน้ากากที่เปรียบเสมือนเครื่องปกปิดใบหน้าชั้นเลิศนั่น
กลอนบทหนึ่งถูกขับออกมาโดยชายหนุ่มปริศนาคนนั้น…
น้ำเสียงทุ้มต่ำชวนเคลิบเคลิ้ม… ราวกับยามราตรีที่น่าหลงใหล
“ทิวาวาร ส่องสว่าง แสนอบอุ่น
รุ่งอรุณ มอบความหวัง อันสดใส
แต่ความมืด ฉีกกระชาก ทุกอย่างไป
เหลือไว้เพียง เศษหัวใจ แห่งทับทิม”
จบไปแล้วค่ะสำหรับตอนแรก! เป็นยังไงกันบ้างคะ!?
เอาลูกๆของทุกท่านออกมาได้ประมาณห้าคนค่ะสำหรับตอนนี้
คุณลุงรูปหล่อ เจ๊แมรี่ อัลฟอนซี่คุง แล้วก็สองพี่น้องมาเซลิโน่ผู้น่ารัก
ตัวอื่นๆจะทยอยตามๆกันมาค่ะ
แล้วก็… สำหรับหมู่เกาะโมลุกกะ ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของประเทศอินโดนีเซีย สเปนในสมัยนั้นพยายามจะสำรวจ เพราะหมู่เกาะนี้ได้ชื่อว่าเป็น ‘หมู่เกาะเครื่องเทศ’ ค่ะ
สำหรับเรื่องนี้จะแบ่งเป็นสองช่วงนะคะ
ช่วงแรกของเราจะเป็นช่วงภารกิจปราบมารรอบโลก เราจะพาทุกท่านไปเที่ยวตั้งแต่ปารีส
โรม เบอร์ลิน ลอนดอน มาดริด ฝั่งฟยอร์ดแถวสแกนดิเนเวีย ส่วนช่วงที่สอง… อะแฮ่ม
ไม่สปอยแล้วดีกว่า (?)
ที่มาลงช้าเพราะกลอนเนี่ยแหละค่ะ นั่งเข็นแทบตาย
สุดท้ายก็ได้แค่นี้ อะฮึก…
เอาเป็นว่า เจอกันตอนหน้านะคะ!
ปล. นี่หน้ามาร์กค่ะ (มีคนอยากดูมั้ยยยย)
ปลล. Spanish is good ค่ะ! << เลิกอวย!
O W E N TM.
ความคิดเห็น