คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : Alphabet 11 : ปริศนาแมน
Alphabet 12
ปริศนาแมน
สิ่งแรกที่ข้าพบหลังจากลืมตาขึ้นมานั้น….คือก้นเด็ก…
…ก้นเด็ก?
…..ก้นเด็ก?
……..อะจะบะเฮ้ย!! ก ก้นเด๊กกกกกกก!!!!!!
“ไอ้สติวปิ… เอ๊ย คิวปิด!”
ไม่รู้ว่าใช่รึเปล่า แต่พูดถึงพวกที่บ้าไม่ใส่กางเกงบินไปบินมาก็มีแต่ไอ้พวกคิวปิดนั่นแหละ พอข้าลุกขึ้นมาแล้วใช้มือผลักไอ้ก้นดุ๊กดิ๊กๆ สุดอุจาดลูกตานั่นออกจากระดับสายตา ข้าก็พบว่ามันเป็นพวกคิวปิดจริงๆ แล้วดูสิดู! มีการทำหน้าตกใจ ประมาณว่าข้าฟื้นมาได้ยังไงด้วยนะ! ดูสิ! ดูมันทำ!!
“อ๊ะ! ท่าน G ฟื้นแล้วเหรอขอรับ!! ดีใจจัง นึกว่าต้องทำการผายปอดท่านซะแล้ว!”
คิวปิดว่าพลางทำสีหน้าดีใจเป็นล้นพ้น ดวงตาของมันเป็นประกายวิ้งๆ ปีกตีกันพรึ่บๆเหมือนปีกไก่ มือประสานกัน แล้วก้น…. อื้อหือ เอ็งจะสะบัดก้นไปมาทำไมเนี่ย! น่ากลัวเป็นบ้า!
เดี๋ยว ว่าแต่เมื่อกี้พูดว่าไงนะ ผายปอด…!? บ้าน่า หรือข้าจะฟังผิดไป?
“เมื่อกี้แกว่าไงนะ?”
“ผายปอดขอรับ!”
ชัดเจนแจ่มแจ้ง!
“ไม่ได้จมน้ำเฟ้ย!!”
“แต่ว่า” คิวปิดท้วง “ท่าน G สลบไปตั้งสี่ชั่วโมงนะขอรับ เพื่อนๆของท่านเป็นห่วงกันมาก ท่านเรย์ก็เลยให้กระผมไปตามหน่วยพยาบาลมารักษา…”
“แล้วทำไมถึงกลายเป็นแกที่มาพยาบาลข้าแทนฟะ…?”
“หน่วยพยาบาลนัดกันตอนนี้พอดีขอรับ…”
อื้อหือ… ขอกุมขมับหน่อยเถอะ…
หน่วยพยาบาลภาษาอะไรฟะเนี่ย นี่ถ้าสมมติว่าข้าถูกม้ากินคนพวกนั้นรุมทึ้งแขนทึ้งขา ขาหลุดแขนขาด ข้าไม่ต้องเสียเลือดตายคาที่เพราะหน่วยพยาบาลนัดกันไปหรอกเรอะ!
แต่ว่า… พูดถึงคอกม้ากินคน…?
ผู้ชายคนนั้นละ…
“ข้านึกว่าเจ้าจะไม่ฟื้นขึ้นมาแล้วซะอีก” พิเอต้าที่ยืนกอดอกอยู่ข้างหน้าข้าตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้พูดขึ้น “… ข้าดีใจที่เจ้ายังไม่ตาย…”
“หือ?”
ทำไมวันนี้มาซึ้ง… มีใครดักตีหัวนางรึเปล่า?
“เพราะถ้าเจ้าตาย ข้าก็จะไม่มีคนใช้ส่วนตัว…”
“โอเค รับทราบ เฮ้ย! เดี๋ยว!!” ข้าหันขวับไปทางพิเอต้า “ข้าเป็นม้าศึกเฟ้ย! ม้า-ศึก!! ทำหน้าที่เกี่ยวกับสงคราม ไม่เกี่ยวอะไรกับคนใช้สักกะเศษเสี้ยว!”
“เดี๋ยวนี้เจ้ากล้าขึ้นเสียงกับราชารึไง?”
ข้าหันหน้ากลับ พร้อมกับพยักหน้าหงึกๆ ช้าๆ
“จ้าๆ”
“ว่าแต่ว่า…” มารินน์เปิดหัวข้อสนทนาใหม่ “เจ้าไปทำอีท่าไหนถึงไปสลบเหมือดอยู่ในคอกม้าได้?”
“เฮ้ยๆ ภรรยาเป็นห่วงสามีอีกแล้ว!”
“ไม่ใช่เว้ยเบโร!!”
มารินน์กุมขมับ ก่อนจะถามย้ำทันที “ตอบมาสิเฟ้ย แง่มมมมม!!”
“อ่า…” ข้าลากเสียงยาว ตามองมารินน์ที่เริ่มสบถภาษาแม่มดอีกแล้ว “จู่ๆ… พลังของข้ามันก็ขัดข้องนิดหน่อย มันก็เลยระเบิดใหญ่ แล้วข้าก้ควบคุมมันไม่ได้…” ข้าทำมือประกอบ “บรึ้ม… เน่ายกวง”
“ม้าตายมั้ยนั่น?” มารินน์ถามอีก
“น่าจะรอด พวกมันอึดจะตาย โดนหอกฟาดไปตั้งหลายทียังไม่มีแม้แต่รอยขีดข่วน” ข้าพยักหน้ายืนยันคำพูดตัวเอง
ตรงๆเลยนะ บททดสอบในวันนี้ข้าไม่ผ่านแน่ๆ… อย่าว่าแต่สยบม้าเลย ขนาดชีวิตตัวเองยังเกือบเอาไม่รอด แล้วจะมีปัญญาที่ไหนไปจัดการม้าอึดเว่อร์พวกนั้น… แปลว่าข้าต้องทำอะไรผิดพลาดไปสักอย่าง ประจวบเหมาะกับพลังมาขัดข้องตอนนั้นพอดี ก็เลยไปกันใหญ่ ดีที่หมอนั่นมาช่วยไว้…
ว่าแต่… หมอนั่นเป็นใคร? แม่ย่านางคอกม้าเหรอ? ไม่สิ ผู้ชาย ต้องเป็นพ่อย่านาง
“เออ ใช่ พวกเจ้า” ข้ากวาดสายตาไปทางทุกคนที่อยู่ตรงนั้น “เรย์พาข้ากลับมาใช่มั้ย? แล้วหมอนั่นเห็น… อ่า ผู้ชายอีกคนที่อยู่ในคอกม้ารึเปล่า?...”
ทุกคนดูอึ้งไปเหมือนกำลังคิด สุดท้าย เอ็มม่าก็เป็นฝ่ายพูดออกมา
“ข้าจำได้ว่าท่านเรย์พูดแค่ว่าพอเข้าไปก็เห็นเจ้าสลบอยู่แล้ว แค่นั้นเองนะ แล้วก็ให้คิวปิดช่วยตามหน่วยพยาบาล แค่นั้นแหละ” นางขมวดคิ้ว “มีผู้ชายอยู่ในคอกม้าอีกคนเหรอ?”
“ใช่” ข้าพยักหน้า
“ตาฝาดรึเปล่า?” คนที่ถามคือลุงเพลัวร์ ข้านิ่งคิดไปสักครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าแทนคำตอบ
“ข้าเห็นเขาชัดมาก ชัดสุดๆ ปลายผ้าคลุมเกือบจะจั๊กจี้แก้มข้าอยู่แล้ว เออ แล้วเขาก็เป็นคนหยุดระเบิดพวกนั้นด้วย อย่างน้อยข้าก็คิดว่าอย่างนั้น…”
ทุกคนดูเหมือนกำลังคิดกันหนัก สีหน้าคล้ายกับกำลังไล่เปิดดูพจนานุกรมเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตที่ควรอยู่ในคอกม้า หาคำตอบกันมันส์ (มั้ง) ว่าคนที่ข้าเจอเป็นพ่อย่านางคอกม้าจริงๆ หรือเป็นวิญญาณคนที่ถูกม้ากิน …เอ๊ะ? หรือว่าหมอนั่นจะเป็นผู้ชายที่ถูกผู้ชายฉุดไปทำมิดีมิร้าย! แล้วหมอนั่นทนความอับอายไม่ได้ ทำให้กลายเป็นนีท สิงคอกม้าไปตลอดชีวิตเพื่อล้างอาย แบบว่าชีวิตนี้มันเศร้า!! เราเข้าคอกดีกว่า กระซิกๆๆ อะไรประมาณนี้!? ใช่แล้ว! มันต้องใช่แน่ๆ! …แล้วรอดมาได้ยังไงโดยไม่โดนม้าเขมือบละเนี่ย? หรือว่า…
…ฮีจะมีซัมธิงกับม้าพวกนั้น!!?
(เอ่อ หมายถึงสนิทกับม้าเหมือนเป็นพวกเดียวกันน่ะ แบบว่าซี้ย่ำปึ้กอะไรประมาณนี้ ข้าเปล่าคิดอะไรอกุศลนะเฟ้ย!)
ก่อนที่ความคิดของข้าเริ่มเฉเข้าสู่โหมด ‘เพ้อเจ้อ’ ไปมากกว่านี้ เอ็มม่าก็ประสานมือเข้าหากัน แล้วมองมาทางข้าด้วยแววตาเป็นประกายเหมือนรวมดาวนับล้านดวงไว้ข้างใน
“เจ้าเจอกับเขาตอนที่ตกอยู่ในอันตรายใช่มั้ยจีจี้ แหม! คิดอยู่ตั้งนานแน่ะว่าเหมือนนิทานเรื่องอะไร แบบนี้มัน… ตำนานรักของเซราฟิน่ากับไซทัสชัดๆเลยนี่นา! เรื่องมีอยู่ว่าเซราฟิ….”
หมับ!
“อุ๊บ!”
“กลับไปเพ้อหาท่านเรย์ของเจ้าต่อเหอะ…”
ประโยคเดิม คนพูดคนเดิม และได้ผลลัพธ์เหมือนเดิม อืม เอ็มม่ากลับไปอยู่ในโลกสีชมพูของตัวเองแล้วละค่ะพี่น้อง!
เอาละ ข้าควรกลับเข้าสู่เรื่อง… เรื่องของเรื่องคือข้าอยากกินข้าวผัดทะเล… จัดมากับซุปร้อนๆ ขนมปังสักก้อน ไส้กรอก แฮม ไก่ย่างตัวโตๆ หม้อไฟสักหม้อ แล้วก็… เอ๊ะ อ่า เหมือนจะไม่ใช่เรื่องนี้… มันต้องเป็นเรื่องของปริศนาแมนที่ข้าพบในคอกม้าสิ!
ปริศนาแมนคนนั้น (แหม ข้าชอบชื่อนี้จัง!)… ถ้าไม่ใช่ทั้งพ่อย่านาง วิญญาณที่โดนม้าหม่ำ แล้วก็บุรุษผู้ถูกบุรุษด้วยกันฉุดแบบที่ข้าคิดไว้ พนันด้วยหัวเบโรนิก้าได้เลยว่าหมอนั่นจะต้องเป็นคนที่เก่งบรมแน่ๆ ท่าทางผีมือจะไม่ใช่ย่อยเลย แค่ดูจากลักษณะการยืนก็รู้แล้วว่าหมอนั่นจะต้องเปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางสารอาหารมากมายแน่ๆ!
“แล้วหมอนั่นลักษณะยังไงละ?” มารินน์ว่า “คือ… แบบ… ดูเป็นอสุรกายมั้ย หรือดูเหมือนเทพแบบเรย์?”
การส่ายหน้าเกิดขึ้นทันทีที่จบคำถาม “ข้าก็ไม่ชัวร์เหมือนกัน… แต่ข้าว่าไม่ใช่อสุรกายแฮะ ดูเหมือนพวกเราๆนั่นแหละ”
“แล้วหน้าตา?” พิเอต้าถามห้วนๆ
“หน้าหัก หน้าหล่อ หน้าบูด หน้าเบี้ยว?” โนอาเงยหน้าขึ้นจากการขัดดาบ “หรือน่าฆ่า!!”
“ข้าไม่เห็นหน้าเต็มๆอะ น่าเสียดาย แต่…” ข้าทำมือแกว่งๆไปด้านหลัง ทำท่าให้เหมือนผ้าคลุมโบกสะบัด แต่ดันเหมือนนกยูงรำแพนหางมากกว่า แต่ข้าก็ปล่อยมันไป โดยเลือกจะพูดรายละเอียดของผู้ชายคนนั้นให้คนอื่นๆฟังต่อแทน “ใส่ผ้าคลุมด้วยนะ โคตรพลิ้วเลย ทรงผมก็เท่ดี ซอยเรี่ยๆ … สี… อ่า สีอะไรวะ อ้อ สีไวน์” พอเห็นทุกคนทำหน้างง ข้าก็รีบอธิบายต่อ “คือ… สีมันไม่แดงไม่ดำแฮะ ที่สำคัญ ข้าเห็นผมหมอนั่นแล้วหิวชะมัด… น่าหม่ำฝุดๆ เห็นแล้วนึกถึงน้ำผลไม้แถวบ้าน…”
ทำไมทุกคนต้องมองหน้าข้าแบบนั้นด้วยอะ… ข้าพูดอะไรผิดไปเหรอ…?
“โอเคๆ สรุปนะสรุป… เอาเป็นว่าหมอนั่นหน้าตาเหมือนเราๆ แขนสองขาสองปากหนึ่งจมูกหนึ่ง ผมสีไม่แดงไม่ดำ แล้วก็ตา… อ่า จริงด้วย หมอนั่นตาสีแดงเพลิง…” ว่าจบ ข้าก็ชี้ตาตัวเอง จิ้มๆๆ ที่ใต้ตาดังจึ้กๆ “เนี่ย แบบข้าเลย!”
“โอ้ แบบเจ้าเลยเหรอ?” มารินน์ย่อตัวลงมาดูสีตาข้าชัดๆ
“ใช่! …หือ?”
แล้วการตอกย้ำถึงสีตาที่ตัวเองมีก็ทำให้ข้านึกออกมาได้เรื่องหนึ่ง
จำที่ข้าเคยบอกได้มั้ยว่าข้าเป็นคนเดียวในบ้านที่ตาสีนี้ …ทั้งท่านพ่อ นักบวชแถวบ้าน หรือแม้กระทั่งพวกคิวปิดรู้ดีว่าดวงตาของข้ามีความหมายว่าไง มันเป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่เกิด… เจ้าพวกคิวปิดบอกพ่อข้าไว้ตอนข้าเพิ่งคลอดว่ามันเป็นของขวัญจากเทพบิดร แล้วก็เป็นดั่งสัญลักษณ์ประจำตำแหน่งของข้า… ไม่มีใครใต้หล้าจะมีสีตาแบบนี้อีกแล้ว นอกเสียจากคนที่เกิดมาเป็นม้าศึก หรือ G แห่งอัลฟาเรียน
พูดง่ายๆ คนที่เป็นม้าศึกเท่านั้น ‘ถึงจะมีตาสีแดงเพลิง’…
แล้ว…ทำไมหมอนั่นถึง…??
…
ทั้งห้องเงียบอยู่อย่างนั้น ถึงแม้จะมีเสียงออกความเห็นเกิดขึ้นเป็นครั้งคราว แต่ผลสุดท้ายก็ไม่มีใครได้คำตอบอยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้า… ที่ยิ่งคิดก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าหมอนั่นเป็นใครกับแน่ จะว่ายังไงดีละ ข้าเชื่อที่เจ้าคิวปิดนั่นพูดนะ ที่ว่าคนที่จะมีตาสีแดงเพลิงได้มีแค่ G หรือม้าศึกเท่านั้น ถ้าเป็นไปตามนั้นจริงๆ ก็แปลว่าหมอนั่นคือม้าศึกเหรอ? ตลกน่า ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยว่าอัลฟาเรียนมีธรรมเนียมสองคนต่อหนึ่งตำแหน่งด้วย!
หรือว่ามันจะเป็นแบบในนิทานปรัมปราของพวกนักรบ? แบบว่าเลือกมาสองคน สุดท้ายให้ต่อสู้กันเองเพื่อเลือกคนที่ดีที่สุดอะไรเถือกๆนั้น แบบนั้นมันก็ฟังดูฮาร์ดคอร์ดี แต่ไม่เห็นจะเคยได้ยินใครพูดถึงเรื่องนี้เลยนะ แต่ละคนก็ไม่เห็นจะบ่นว่าเจอราชาคนที่สอง นักฆ่าคนที่สอง แม่มดคนที่สอง หรือผู้พิพากษาคนที่สองเลยนี่… หรือจะเป็นแบบนี้เฉพาะม้าศึก? ไม่ บ้าบอเกินไป จะทำอะไรก็ควรทำให้เท่าเทียมสิ ใช่มะ? หรือว่าไง
“เอาเหอะๆ” ข้าส่งเสียงออกมาในที่สุด “เอาเป็นว่าเรื่องปริศนาแมนอะไรนั่นช่างมันก่อนเถอะ พวกเจ้าไปเตรียมตัวทดสอบกันก่อนดีกว่า คิดมาก เดี๋ยวสมองไม่ปลอดโปร่งเอานา”
อันที่จริงก็คือ… ข้าจะหลบออกมาคิดทบทวนเรื่องนี้คนเดียวต่างหาก…
ความคิดเห็น