คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Introduction : มิร่า แฟลร์ธาเวย์
Introduction
มิร่า แฟลร์ธาเวย์
เมื่อคนเราหิวจัดมักจะทำอะไรไปโดยไม่รู้ตัว
และยิ่งเมื่อหิวมากๆ แบบ… หิวชนิดที่ว่าเขมือบหลังคาบ้านเข้าไปทั้งแผงได้ พลังอำนาจในกายที่ถูกซ่อนเร้นอยู่ก็จะระเบิดออกมาอย่างเงียบๆ และเจริญงอกงามออกมาเป็นความวิบัติระดับชาติ…
วิบัติแบบไหน? ก็คล้ายๆการก่อวินาศกรรมขนาดย่อมละมั้ง? แบบว่ามีคนกรีดร้องกรี๊ดๆๆๆ ด้วยความตื่นกลัว เด็กๆร้องไห้จ้า แล้วก็ถอยหนีออกห่างจากข้าเป็นขบวนเหมือนข้าติดโรคระบาดร้ายแรงที่หากหายใจร่วมอากาศอาจถึงตายได้อะไรประมาณนั้น แล้วอะไรอีกนะ… อ้อ แล้วก็จะมีคนพยายามคุมสถานการณ์ให้เป็นปกติสักคนสองคน คนนึงดูแลผู้คนที่กำลังแตกตื่นให้สงบลง ส่วนอีกคนหนึ่งก้าวเข้ามาหาข้าพร้อมกับเจรจาให้คายโต๊ะอาหารที่เพิ่งเขมือบเข้าไปออกมา แต่จะอะไรก็ช่างมัน!!
คนหิว…ไม่ผิด!
นี่คือทฤษฎีของข้า ข้าคิดของข้าเอง และมันเหมือนจะใช้ได้สำหรับข้าคนเดียวด้วยอะ..
“นังเด็กบ้านี่! คิดจะกินแล้วหนีรึไงมิทราบ! ฮะ!!”
เนื่องด้วยหลักการจากทฤษฎีที่ว่านี้ ทำให้ข้าต้องมายืนหน้าซีด คอตก เหงื่อไหลอาบหน้าอยู่หน้าร้านขายพาสต้าแห่งหนึ่งใจกลางเมืองใหญ่ หลังจากก่อความวุ่นวายในร้านด้วยการยกโต๊ะขึ้นมาทำท่าจะงับ (แต่งับไม่ทันแฮะ เสียดาย!) หลังจากสวาปามอาหารไปมากกว่าสิบจาน โดยมีอาเจ๊ร่างอวบน้ำหนักไม่น่าน้อยกว่าเจ็ดสิบยืนด่าปาวๆอยู่ตรงหน้า สีหน้าเจ๊แกเหมือนกับต้องการประกาศให้แผ่นดินนี้รู้ว่าข้าเพิ่งทำความผิดขั้นร้ายแรงมาหยกๆ ก็คือการกินมหาประลัยอย่างที่บอกเจ้าไปเมื่อครู่ แล้วเพิ่งมาสำเหนียกได้ว่ามีเงินติดอยู่ในกระเป๋าแค่ครึ่งเหรียญ ใช่ เหรียญครึ่งเหรียญ… อีกครึ่งหนึ่งข้าทำมันหักตอนแงะท่อระบายน้ำน่ะ แหะๆๆๆ…
ว่าแต่ข้าเอามันไปแงะท่อน้ำหาซากหงส์บินอะไรฟะ?
เออ ไม่รู้ดิ…
“บัดสีที่สุด! รู้ถึงไหนอายถึงนั่น! เจ้าไม่คิดจะรับผิดชอบสิ่งที่เกิดขึ้นเลยใช่มั้ย!!?” อาเจ๊เจ้าของร้านแหกปากด่าข้าปาวๆ จนคนที่เดินผ่านไปมาหันมามองตามต้นเสียง แต่ข้าไม่สนใจสายตาชาวบ้านหรอก ข้าสนใจคำพูดของเจ๊แกมากกว่า
นี่ข้าไม่มีตังค์จ่ายค่าข้าวหรือไปทำลูกสาวแกท้องแล้วทิ้งฟะ!? ดูดิ ดูทำหน้าเข้า!
อ้อ เรื่องยกโต๊ะขึ้นมาจะงับนี่ไม่นับ นี่พูดเลย (?)
กลับมาเข้าสู่เรื่อง อย่างที่บอกว่ามีป้าคนนึงกำลังแหกปากด่าข้าเสียงดังจนคนหูหนวกยังได้ยิน พูดก็พูดเหอะ ปากว่าอีกเรื่องแต่ดันทำหน้าตาเหมือนจะพยายามยัดข้อหาทำท้องแล้วทิ้งให้กับข้า! นี่ข้ากล้าพูดเลยว่าคนที่เดินผ่านไปผ่านมาต้องคิดว่าข้าเป็นผู้ชายหน้าสวย ประเภทหนังหน้างามแต่นิสัยทรามสุดขั้วแหงแซะ!!
ปัดโธ่! ข้าเป็นผู้หญิงเฟ้ย!! เห็นมั้ยว่าใส่กระโปรง!! เห็นมั้ยว่าผมยาว!! เบิ่งสิเบิ่ง!!
“ข้าขอโทษ… ค่าอาหารเท่าไหร่ ไว้ถ้าผ่านมาที่นี่อีกเมื่อไหร่จะเอาเงินมาคืนให้ท่านนะ…” ข้าพูด พยายามทำเสียงให้อีกฝ่ายฟังแล้วรู้สึกอารมณ์เย็นขึ้นมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิด
“คิดว่าข้าจะเชื่อลมปากพล่อยๆของเจ้าเหรอ!!”
เอ๊า! นี่ข้าจริงใจนะโว้ยโฮ้ย!!
“แล้วท่านจะให้ข้าทำยังไงอะ!?”
“ชดใช้ค่าอาหาร”
“แต่ตอนนี้ข้าไม่มีนี่!”
“ไม่มีก็ต้องคืน!!”
แล้วจะเอามาจากไหนละเฮ้ย! เขย่าตัวคนแถวนี้แล้วมันจะมีเงินไหลออกมาจากทวารทั้งเก้าเรอะ!
ป้าแกยื่นคำขาดเสียงแข็ง ดวงตามองจิกมาที่ข้าราวจะกระโดดเข้ามาเขมือบหัวข้าเป็นของหวานหลังมื้อเที่ยง ซึ่งมันคงจะไม่หวานเท่าไหร่เพราะข้าไม่ได้สระผมมากว่าอาทิตย์นึงแล้ว และคงมีกลิ่นเหม็นเปรี้ยวติดปากคนกินไปอีกนานแสนนาน แล้วข้าก็จะค่อนข้างรู้สึกสะใจ (?) วิ๊ฮี่ๆๆๆๆๆ
นี่ข้าหงุดหงิดจริงๆนะ ก็เข้าใจหรอกว่าข้าผิดเต็มๆ แต่ไม่มีแล้วมันจะชดใช้ยังไงได้ละฟะ!? ให้ข้าถอดเสื้อผ้าออกให้หมดแล้วให้เอาไปขายในตลาดแล้วก็เปลือยกลับบ้านรึไง! หรือจะจับข้าเข้าไปในครัว แล้วก็เอามือควักลูกตาข้าไปขายในตลาดค้าอวัยวะมนุษย์ ตาข้ายิ่งเป็นสีแดงเพลิงหายากอยู่ด้วย อึ๋ย ไม่เอา หวง!! ไม่ให้เฟ้ย!
หือ? กำลังจะคิดว่าตาสีแดงของข้ามันมาจากกรรมพันธุ์ใช่รึเปล่า? เปล่าเลย ไม่ใช่
เรื่องที่น่าตกใจก็คือคนในครอบครัวของข้า ทั้งปู่ ย่า ตา ยาย ทวด โคตรทวด (?) พวกเขาเหล่านี้ไม่เคยมีใครมีตาสีแดงเพลิงเหมือนข้ามาก่อนเลย ทุกคนมีตาสีน้ำตาล อ่อนแก่ว่ากันไป แต่ข้ากลับเกิดมาพร้อมกับดวงตาที่ผ่าเหล่าผ่ากอชาวบ้าน ดวงตาสีแดงเหมือนกับไฟที่ลุกไหม้อยู่ในเตาผิง ซึ่งมันประหลาดสุดๆ
และแน่นอนว่าแม่ข้าไม่ได้มีกิ๊กแต่อย่างใด!
จะว่าไงดีละ เอาเป็นว่าที่มามันยาว เอาไว้ค่อยเล่าก็แล้วกัน ตอนนี้ขอข้าเคลียร์กับป้าแกก่อน ดูหน้าโหดๆนั่นดิ ดูท่าจะเปลี่ยนสถานะจากทำผู้หญิงท้องแล้วทิ้ง เป็นคดีฆ่าคนตายไปร้อยศพแล้วเอาเนื้อมาทำลูกชิ้นกินไปเรียบร้อยแล้ว แม่เจ้า! การไม่มีเงินจ่ายค่าข้าวมันยิ่งใหญ่ปานนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ฟะ!?
อีกอย่าง ลูกชิ้นเนื้อคนมันไม่อร่อยเท่าลูกชิ้นปลาหรอกเฟ้ย!!
“สรุปจะจ่ายหรือไม่จ่าย!”
ป้าแกเอามือเท้าเอว ตาถลึงมองข้าอย่างโคตรจะพิโรธโกรธเคือง จนข้าเริ่มเสียวๆว่านางจะเดินวกกลับไปที่ครัว แล้วหยิบมีดมาไล่กระซวกไส้ข้ารึเปล่า? เอ่อ… ไม่มั้ง ป้าแกคงไม่ใจร้ายกับเด็กน้อยตาแดงๆคนนี้ถึงขนาดนั้น กุปิ๊งๆ (?)
ถุ้ย! แอ๊บไม่ขึ้นแล้วยังจะแอ๊บอีก ข้าเนี่ย!
“ถ้าไม่จ่ายก็เอาแขนมาให้ข้าทำพิซซ่าซะ!!”
เฮ้ย!!!!
น้ำเสียงตวาดลั่นของป้าแกทำเอาข้าขนลุกเกรียวโดยอัตโนมัติ แขนเลื่อนหนีพร้อมกันทั้งสองข้างโดยมิได้นัดหมาย ข้าพยายามมองหาความล้อเล่นบนใบหน้าของป้าแก แต่มองมุมไหนก็เจอแต่ความโหดโฉดวิปริต! โอ้ไม่นะ!
สองขาถอยกรูดทันทีที่อีกคนเขยิบเข้ามาใกล้ ข้ารู้สึกว่าตัวเองกำลังหน้าซีดขณะจ้องมองอีกฝ่ายอย่างดูท่าที ปากตอนนี้ก็คงอ้าเหวอเอื้อเฟื้อให้ยุงเข้าไปจดทะเบียนสมรสในนั้นได้สบายๆ เห็นมั้ยว่าข้าเป็นคนใจกว้าง เอ๊ย ไม่เกี่ยวววววว
ป้าหน้าเหี้ยมก้าวเข้ามาใกล้ข้าพร้อมกับส่งรังสีฆ่าฟันระดับเข้มข้นออกมาจากร่างกายแบบไม่ยั้ง นั่นทำให้ข้าชาไปทั้งตัว ปากเม้มเข้าหากันตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ และตอนนั้นก็รู้สึกได้ว่ามือของตัวเองมันกำเข้าหากันแน่น และมันก็กำลังสั่น ภายในมือร้อนระอุเหมือนมีอะไรกำลังจะปะทุออกมา…
ไม่ได้… ตอนนี้ไม่ได้…
ไม่ได้เด็ดขาด…
ไม่ได้นะลูกพ่อ!! อดทนไว้!!!
(แล้วข้าเป็นพ่อคนได้มั้ยฟะ? เอ่อ ช่างมันๆ….)
“เด็กคนนี้ติดเงินท่านเท่าไหร่ เดี๋ยวข้าจ่ายคืนเอง”
ส เสียงสวรรค์มาแล้วพี่น้อง!
ในขณะที่ข้ากุมมือเข้าหากันแน่น แล้วบีบๆเพื่อให้มันเลิกสั่นอยู่นั้น จู่ๆก็ได้ยินเสียงของใครสักคนดังขึ้นมาจากด้านหลัง พร้อมกับมือหนาๆ แต่คุ้นเคยของเจ้าของเสียงที่วางบนไหล่ของข้าเบาๆ
ท่านพ่อของข้าเองแหละทุกท่าน!! ท่านพ่อของข้าแมนมั้ยละ!!
“สิบเหรียญ” ป้าแกพูดเสียงห้วน พลางมองหน้าของท่านพ่อข้าแบบหยั่งเชิง “สิบเหรียญถ้วนๆ”
นางคงคิดว่าพ่อข้าไม่มีเงินจ่าย แต่ผิดถนัด พ่อข้าควักถุงใส่เงินออกมาจากกระเป๋า แล้วเทเหรียญสิบเหรียญออกมาจากกระเป๋า ส่งให้ป้าแกอย่างไม่สะทกสะท้าน หน้านางเหวอมาก และข้ารู้สึกสะใจประหลาดๆ (?)
“ส ส่งมาแบบนี้ตั้งแต่แรกก็จบ!” พูดจบ ป้าแกก็สะบัดหน้าแบบกระแดะนิดๆ แล้วก็เชิดจมูกขึ้นหน่อยๆ จากนั้นก็บิดสะโพกกลับหลังหันเดินกลับเข้าร้านไปแบบดัดจริตๆอะลิตเติ้ลบิท มีการชายตากลับมามองทางข้าแล้วเชิดหน้ากลับไปด้วยแหละ!
โอ้ว้าว! ป้าแกเป็นสาวซึนหรอกเรอะ!
ข้าส่งสายตาพร้อมกับความคิดสงสัยใส่แผ่นหลังของป้าเจ้าของร้านที่เดินกลับเข้าร้านไปอย่างสงบ ก่อนจะยกมือขึ้นมาขยี้ผมตัวเองแก้เซ็งตามความเคยชินส่วนตัว แต่พอขยี้ไปได้ไม่นาน มะเหงกก้อนใหญ่จากมือของท่านพ่อก็เดลิเวอรี่เข้ากลางกระหม่อมของข้าอย่างโป๊ะเช๊ะ!
โป๊ก!
“ง่ะ ท่านพ่อ!”
“ความตะกละทำเรื่องอีกแล้วรึไง ลูกคนนี้นี่!”
ท่านพ่อของข้าพูดด้วยน้ำเสียงหน่ายๆ ทำท่าจะเขกหัวข้าอีกรอบ แต่ข้าหิ้วหัวตัวเองหลบทัน เอ่อ ไม่ได้ถอดหัวหนีนะ แค่เอียงหัวหลบเฉยๆ ถ้าถอดหัวได้ข้าจะเอาแต่หัวโดดๆลอยไปมาแถวๆบ้านเจ้า (?)
ท่านพ่อเป็นผู้ชายร่างใหญ่ผิวกรำแดด ใบหน้าเคร่งขรึมดูโหดใช้ได้ แต่ความจริงแล้วท่านเป็นคนใจดีนะ ข้ากล้ายืนยัน! (เรื่องมะเหงกนี่ไม่นับ นี่พูดเลย)
“ก็ข้าหิว...”
“ให้ตายเหอะ”
ท่านป่าปี๊ (?) เอ่ยอย่างหน่ายๆ และตอนนั้นข้าก็ได้ยินเสียงม้าวิ่งดังเข้ามาใกล้หู เมื่อหันไปมองจึงเห็นรถม้าราคาประหยัดคันหนึ่งแล่นดุ๊กๆดิ๊กๆส่ายตูดไปมามาทางพวกเราสองคน กระเป๋าเน่าๆที่วางอยู่เหนือหลังคารถมีคราบซอสมะเขือเทศเปรอะอยู่ และมันทำให้ข้ารู้ทันทีว่าเป็นของๆข้า อืม… ซอสมะเขือเทศจะอร่อยที่สุดก็ต่อเมื่อมันถูกเอาไปผัดกับสปาเกตตี้ชั้นเยี่ยม คลุกเคล้ากับมันฝรั่งหวานๆ… แล้วเคี้ยวช้าๆ ให้รสชาติซาบซ่านไปทั่วทั้งปาก…
พูดถึงสปาเกตตี้แล้วช้าก็ชักอยากกินเนื้อสันหมักซอสตัวโตๆอะ เอามาทั้งตัวแบบไม่ต้องแล่เลยก็ได้ อา… แล้วก็ตบท้ายด้วยปลาหมึกย่างยักษ์ตัวบิ๊กๆ จัดมาเบิ้มๆ เอาให้เคี้ยวมันส์ๆ สะใจ (ยักษ์ในที่นี้ของข้านี่คือเอามาทั้งตัว) จากนั้นก็ล้างปากด้วยเค้กสักปอนด์ ให้ตายสิ! แค่คิดข้าก็หิวอีกแล้ว! เฮ้! อย่ามองหน้าข้าเหมือนว่าข้าคิดถึงแต่เรื่องของกินแบบนั้นเซ่!! โอเค ข้าจริงจังก็ได้! ก่อนที่นิยายเรื่องนี้จะกลายเป็นนิยายขายของกิน!!
กลับมาสู่เนื้อเรื่อง ในช่วงที่ข้ากำลังเพ้อหาของกิน ข้าก็ขึ้นมาอยู่บนรถม้าตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ตัวรถโคลงเคลงไปตามก้าวเดินของม้าเทียมรถที่กำลังย่ำไปบนพื้นที่ขรุขระ ตรงข้ามข้ามีท่านพ่อนั่งดูวิวอยู่
เยี่ยม บรรยากาศเงียบสงบ เหมาะที่ข้าจะเข้าสู่เรื่องของสตูว์เนื้อที่….
“มิร่า”
“จ๋า?!”
เสียงเรียกชื่อของตัวเองทำให้ข้าที่กำลังนึกภาพสตูว์เนื้อหอมๆ รสชาติกลมกล่อมในหม้อเดือดตื่นจากภวังค์ในทันใด สมองประมวลผลทุกอย่างช้าๆ ภาพของของกินเริ่มจางๆไปไหนความคิด โอเค ข้ากำลังเข้าสู่โลกแห่งความจริง…
“มือของลูก…”
คำพูดของท่านพ่อทำให้ข้านึกออกหลังจากเกือบลืมไปซะสนิท มือที่เคยสั่นยังกับเป็นไข้จับสั่นเมื่อกี้หายเป็นปกติแล้ว แต่ข้าก็ยังก้มมองมันแบบเงียบๆ ก่อนจะแบมือออกทั้งสองข้าง เผยให้เห็นบางสิ่งที่ปรากฏขึ้นจางๆบนฝ่ามือข้างขวา
ตรา? รอยสัก? หรืออะไรก็ช่างเหอะ! มันปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของข้า เป็นตัวอักษรสีทองประกาย มันกระพริบแสงวูบสองสามครั้ง ก่อนที่จะดับไปเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น แต่รูปร่างของอักขระตัวนั้นเป็นอะไรที่ช่างคุ้นตาเสียจนสามารถจดจำได้เพียงแค่เห็นเพียงไม่นาน
มันคือตัวอักษรตัวที่เจ็ด…
G…
ตัวอักษรที่เกือบจะกลม แต่ดันมีแง่งแทงจึ้กๆเข้ามานั่นแหละที่โผล่มาบนมือข้าอย่างเหนือธรรมชาติแบบโคตรอภินิหาร! ถ้าเป็นคนอื่นคงตกใจจนหงายหลังเงิบไปแล้ว แต่ข้ากลับไม่ค่อยรู้สึกแปลกใจเท่าไหร่นัก เพราะเคยเห็นอะไรทำนองนี้มาหลายครั้งแล้วในตลอดช่วงเวลายี่สิบปีที่เกิดมา… ถูกต้อง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ตัวอักษร G ปรากฏบนมือของข้า ซึ่งข้าก็รู้เหตุผลของการปรากฏขึ้นของมันอย่างถ่องแท้ และไม่คิดที่จะปฏิเสธมัน
ก็เพราะตัวอักษรตัวนี้คือตัวตนของข้า…
“’พลังนั่น’จะออกมาทุกครั้งที่ลูกรู้สึกกดดัน” ท่านพ่อเอ่ย “คงยังไม่ลืมสินะ”
“ไม่ ข้ายังไม่ลืม”
“แล้วถ้ามันปรากฏออกมา…เจ้าก็คงรู้สินะว่าจะเกิดอะไรขึ้น…”
“…”
สิ่งที่จะเกิดขึ้นมันก็แค่ระเบิดลูกนึงไม่ใช่เรอะ…
อักขระรูปตัว G นั่นจะปรากฏขึ้นมาพร้อมๆกับพลังมหาศาลที่จะเกิดขึ้นในตัวข้า อาจจะเป็นพลังจิตหรือพลังแฝงอะไรก็ไม่รู้ แต่เมื่อถึงตอนนั้น มือของข้าจะร้อน…ร้อนมาก แล้วก็สั่นจนเหนือการควบคุม และถ้าหากข้าปล่อยพวกมันออกไปโดยไม่คิดบงการมันละก็ จะเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นทันที ไม่ได้ล้อเล่นนะ ระเบิดแรงจนถึงขั้นที่แผ่นดินจะแตกออกในวงกว้าง ยุบตัวลงไปเป็นแอ่งกระทะขนาดยักษ์ ที่สำคัญ พลังจะยิ่งควบคุมยากหากข้าตกอยู่ในสถานการณ์ที่กดดันมากๆ อย่างเมื่อกี้นี้ ข้าก็เลยต้องกำมือไว้ไง …ถ้าข้ากำมือไม่ทัน โต๊ะ กะละมัง หม้อ ไห คนรอบข้าง แล้วก็ร้านสปาเกตตี้(?)ก็จะปลิวขึ้นฟ้าเพราะแรงระเบิด แล้วพวกเจ้าก็จะได้เห็นเส้นสปาเกตตี้และมีทบอลลูกโตๆน่ากินตกลงมาเหมือนของขวัญจากสวรรค์!!! เฮ้ย! น่าลองอะ!! อยากกิน!!! ไม่น่าห้ามไว้เลยอะ!! ถ้าข้าปล่อยพลังออกไปข้าคงได้กินสปาเกตตี้ลอยฟ้า! เยี่ยมมมมมมม!!
เฮ้! นี่ข้าเข้าสู่โลกของกินอีกแล้วเรอะ!
“เจ้ารู้ดีว่าที่มาของพลังของเจ้ามันมาจากไหน…มิร่า” ท่านพ่อเรียกสติข้ากลับมาอีกแล้ว อา ข้ารักท่านพ่อ! “เทพเจ้า…เทพเจ้าให้มันมากับเจ้า”
“ข้ารู้ดีท่านพ่อ ท่านรู้ดีว่าข้ารู้เรื่องนี้มาตั้งแต่จำความได้” ข้าปล่อยมือลง ก่อนจะถอนหายใจยาวเหยียด “ข้าคือ ‘มิร่า แฟลร์ธาเวย์’ ลูกสาวของท่าน และคือ ‘G’ ในอนาคต นี่เป็นสิ่งที่ข้าภูมิใจกับมัน…”
“…”
“ภูมิใจแบบ…โคตรๆ…!”
ยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกปลาบปลื้ม เอาสิ ข้ารู้สึกภูมิใจจริงๆนะเนี่ย! ไม่ได้แกล้งพูดเลย!
อะไรนะ? ว่าไง? อยากถามว่า G คืออะไรกันแน่น่ะเหรอ? อ๋อ คำตอบไม่ยาก G คือตัวอักษรตัวหนึ่งที่มีรสชาติอร่อย… เหวย! ไม่ใช่!! โอเค ข้าจะอธิบายแล้วนะ…
พวกเจ้าเคยได้ยินชื่อของ ‘อัลฟาเรียน (Alpharian)’ บ้างมั้ย?
แน่นอนว่าคงรู้จักกันนั่นแหละ แต่สำหรับคนที่ไม่รู้จักนะ อัลฟาเรียนคือ ‘คนกลุ่มหนึ่ง’ ที่ได้รับเลือกจากสภาแห่งเทพให้เป็นตัวแทนแห่ง ‘เทพบิดา’ บนโลกมนุษย์ หน้าที่หลักๆคือคอยปกปักษ์ คุ้มครอง รักษา สรรพสิ่งบนโลกให้คงอยู่ต่อไปได้ โดยพวกเขาจะมีอายุขัยเป็นอมตะ มีอำนาจเทียบเท่าเหล่าเทพทุกประการ (เบ่งใส่เทพได้ด้วยนะเออ! วะฮ่าๆๆๆๆ) เป็นที่เคารพบูชาสักการะของเหล่ามวลมนุษย์ ส่วนจำนวนคนเหล่านี้มีทั้งหมด 26 คนพอดีเป๊ะ ไม่ขาดไม่เกิน
26 คน 26 ตัวอักษร ที่นี้พอจะนึกภาพออกรางๆรึยัง?
ผู้คนที่ถูกเลือกมาให้เป็น ‘อัลฟาเรียน’ ที่ว่ามีทั้งหมดยี่สิบหกคน โดยทุกคนจะเป็นตัวแทนของตัวอักษรคนละตัวต่างกันออกไป ยี่สิบหกคนก็คนละตัวอักษร ครบพอดีเป๊ะ! และแต่ละตัวอักษรก็จะมีตำแหน่งหน้าที่ต่างกันด้วย ซึ่งมันน่าจะยาว ไว้ข้าค่อยพูดทีหลังแล้วกันนะ แหะๆๆๆ
ผู้คนที่จะเกิดมาเป็นอัลฟาเรียนจะถูกล็อคให้เป็นตัวแทนของตัวอักษรตัวใดสักตัว พร้อมกับมีพลังวิเศษอิมพอร์ตจากเทพเจ้าอยู่ในตัวตั้งแต่เกิดด้วย พลังที่ได้รับก็จะต่างกันออกไปอีกเหมือนกัน ตามตำแหน่งนั้นๆ ที่ตัวอักษรตัวที่ว่าได้รับ
ข้าเองก็เป็นหนึ่งในอัลฟาเรียน ตัวอักษรที่เป็นตัวแทนของข้าคือ G และตำแหน่งที่แพ็คคู่มากับ G คือ Chariot…
Chariot…เอ่อ ยาวไป ข้าขอแปลให้ว่าม้าศึกก็แล้วกันนะ (ความจริงมันแปลเต็มๆว่ารถม้าศึก แต่ยาวอะ ไม่เอา!) เป็นอัลฟาเรียนประเภทที่จะถูกเตะออกไปกลางสนามรบทุกครั้งที่เกิดสงคราม โดนเตะออกไปไม่พอ ยังถูกถีบๆๆๆซ้ำจากคนทั้งกองทัพให้เดินนำหน้าอีกตะหาก! (ชนิดที่ว่ามีธนูยิงมาข้าต้องตายก่อน คนอื่นจะได้มีเวลาวิ่งหนี…เจริญมาก!!)
มันก็คือแม่ทัพดีๆนั่นแหละพี่น้อง!!!
แล้วพลังที่ข้าได้รับจากตำแหน่งนี้ก็คือพลังการทำลายล้างและพลังในการโจมตี จะได้บู๊กับข้าศึกให้เต็มเหนี่ยว…เอ่อ ความจริงก็คือส่งข้าไปตายอยู่ดีฟ่ะ
เอาวะ! ช่างมัน!! ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่มีเกียรติ ข้าภูมิใจที่ข้าได้รับเลือกให้ได้รับตำแหน่งนี้ และข้าก็รักตัวอักษรตัวนี้มากด้วย! วะฮ่าๆๆๆๆ ภูมิใจที่สุดเลย!! มันน่าปิ้งบาร์บีคิวฉลองที่สุดในโลกกกกกกกกก!!!!
“เจ้ามันหัวรุนแรง” อ้าว จู่ๆท่านพ่อก็ด่าข้าอะ! “มิร่า หากพ่อไม่สอนให้เจ้าควบคุมพลังนั่นเอาไว้ ป่านนี้ทุกสิ่งที่ขวางหูตาเจ้าคงแหลกเละเป็นหน้ากลองเพราะความป่าเถื่อนของเจ้า”
“โหย ข้าไม่ได้เป็นถึงขนาดนั้น!”
ข้าท้วง พลางส่งสายตายืนยันไปให้ท่านพ่อว่าข้าเป็นสาวน้อยวัยแรกแย้มสุดน่ารักแบ๊วๆ ความป่าเถื่อนไม่เคยมีในสายเลือดอย่างที่ท่านพ่อกล่าวหา ซึ่งคนถูกมองก็ทำหน้านิ่งๆ แล้วพูดเสียงเรียบ
“แล้วถ้ามีคนมาแซงคิวเจ้า เจ้าจะทำไง?”
“กระทืบ!”
“นั่นไง…”
“…”
เล่นซะไปต่อไม่ถูกเลย…
“พ่อว่าพ่อสอนเรื่องนี้ให้เจ้าไปตั้งแต่ตอนนั้น” ท่านพ่อเอ่ย “ตั้งแต่ตอนที่เจ้า… อายุสิบสี่”
สิบสี่…สิบห้า สิบหก สิบเจ็ด สิบแปด สิบเก้า ยี่สิบ… ว้าว ผ่านมาเจ็ดปีแล้วอะ ตื่นเต้น!
“โธ่ ท่านพ่อ วันนั้นท่านเฉ่งข้าจะเป็นจะตายเพียงเพราะข้า…”
“เจ้าใช้คำว่าเพียงงั้นเรอะ!”
“เปล่าน้า…”
อะไรอะ โดนดุอีกละ…
ข้าตัดสินใจแสดงความรับผิดชอบโดยการไม่ต่อบทสนทนาเพิ่ม หันไปนอกหน้าต่าง แล้วมองดูวิวทิวทัศน์ข้างนอกแทน ข้างนอกมีกระต่ายตัวนึง มันอ้วนๆ อวบๆ เนื้อท่าจะแน่น น่าจับมาทำซุป…เหอๆๆๆ… แผล่บๆ (?) แล้วสักพักก็มีเด็กตัวเล็กๆคนหนึ่งเข้ามาเล่นกับมันด้วยสีหน้าอ่อนโยนใจดี ผิดกับข้าที่มองมันอย่างหิวโหยลิบลับ
ว่าแต่ เห็นเด็กแล้วนึกถึงตัวข้าตอนเด็กๆจังเลยเนอะ…
ท่านพ่อ ท่านแม่ และข้าเกิดที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งที่อยู่ทางตอนใต้ เป็นแถบใต้แท้ๆ แต่ดันเต็มไปด้วยเหมืองแร่จำนวนมหาศาลจนกลายเป็นแหล่งผลิตอาวุธชั้นนำได้ไม่ยาก และหมู่บ้านของข้าเองก็ถูกขนานนามว่าเป็น ‘หมู่บ้านนักรบ’ อุดมไปด้วยนักรบที่เต็มไปด้วยวิตามิน เกลือแร่ โปรตีน พ่วงด้วยคาร์โบไฮเดรตนิดหน่อยพอกล้อมแกล้ม รวมแล้วมีคุณค่าทางสารอาหารมากมาย …ไม่ใช่แล้ว!
เอาเป็นว่า มันเป็นหมู่บ้านที่พวกนักรบมาอาศัยอยู่รวมกันก็แล้วกัน!
ตอนข้าเกิด ข้าจำได้ว่าท่านพ่อเล่าให้ฟังว่ามีเทวดารูปร่างเหมือนเด็กทารก แก้ผ้าโชว์ก้นเปลือยๆ ขาวๆ ดูนุ่มๆ น่าจับมาฟาด มีปีกเล็กๆติดอยู่บนหลังบินเข้ามาในบ้าน ประมาณสองสามตัว พวกมันเสกทรัมเป็ตขึ้นมาเป่าๆๆ แล้วก็บอกพ่อข้าว่าข้าเป็นเด็กที่ถูกกำหนดให้เป็น G ม้าศึกแห่งอัลฟาเรียน ดูแลเด็กคนนี้ดีๆนะ เดี๋ยวอายุครบกำหนดเมื่อไหร่จะมารับ แล้วมันก็กางปีกพรึ่บพรั่บบินจากไป ทรัมป่งทรัมเป็ตอะไรนั่นก็ทิ้งไว้ที่บ้านข้า ทิ้งไว้เหมือนทิ้งขยะอยู่แบบนั้นแหละ ไร้ความรับผิดชอบฝุดๆและพอข้าจำความได้ก็เอามันไปขาย ได้เงินมาซื้อเนื้อสันเอาไปทำสเต็กหลายชิ้นเลยละ ให้ตายดิ พูดแล้วหิว!
แล้วเมื่อไหร่ข้าจะอายุครบฟะ… นี่รอมายี่สิบปีแล้วนะเฮ้ย…
ไม่ใช่ว่าข้าไม่เสียใจที่ต้องจากพ่อกับแม่ไปนะ …แต่ข้าอยากดำเนินชีวิตในฐานะอัลฟาเรียนแบบเต็มๆตัว ในฐานะม้าศึกที่เสี่ยงตายในสงครามอย่างภาคภูมิมากกว่า! ชีวิตมีแต่การต่อสู้อันมีสีสัน! แบบนั้นมันเจ๋งจะตายไป ไม่เสียชาติเกิดที่เกิดมาในหมู่บ้านแห่งนักรบด้วย! แถมยังได้เป็นหนึ่งในตัวแทนแห่งเทพบิดาที่ใครๆก็บูชาอีก แบบนั้นท่านพ่อกับท่านแม่จะไม่ยิ่งภูมิใจในตัวข้ามากกว่าเหรอ?
และที่สำคัญ ข้ารักการต่อสู้พอๆกับรักการกินเลยละขอบอก เอ๊ะ ของกินมากกว่านิดนึง พูดผิดๆ
ครึ่ก!!!!
ตุ้บบบบบบ!!!!!
“ฮ เฮ้ย!”
จู่ๆ หลังคารถม้าก็สั่นสะเทือนอย่างหนัก! ราวกับว่ามีหมีควายมากระทืบหลังคารถก็ไม่ปาน! เสียงร้องอย่างตกใจของคนขับรถม้าทำให้ข้ากับท่านพ่อชะโงกหน้าออกไปมอง แต่ก็ไม่เห็นอะไร
ผีหลอก!?
“ท่านพ่อ เถิบหน่อย” ข้าดันๆตัวท่านพ่อให้กลับไปนั่งที่เดิม ก่อนจะสอดตัวออกไปทางช่องหน้าต่างขณะที่ม้ากำลังวิ่งอยู่ประมาณครึ่งตัว ใช้เวลานิดหน่อยในการกลับตัวจากหันหลังเป็นหันหน้าเข้าหากตัวรถ เอามือจับขอบหน้าต่างกันร่วงนิดหน่อย แล้วก็เงยหน้าขึ้นไปดูบนหลังคา
“เฮ้ย!!!!!!!!!!”
นี่ข้าตาฝาดไปหรือรูม่านตามันมีปัญหาฟะ! คือ บนหลังคารถข้ามีเด็กทารก!! ผมหยิกเป็นลอนสีทอง แก้ผ้าโชว์แบบไม่มีเซ็นเซอร์โชว์ทั้งบนทั้งล่าง และที่สำคัญ บนหลังมีปีกเล็กๆ น่าฉีกออกมากินอยู่ด้วย!!
ว่าแต่มันเป็นตัวตุ๊ดแตกแหกค่ายอะไร!?
“แกเป็นใครฟะ!!?”
สิ้นเสียงตวาด ไอ้เด็กนั่นก็หันมามองข้าตาแป๋ว ยืดตัวขึ้นตรง แล้วพูดด้วยเสียงเล็กๆ น่ารักๆ น่าต่อย (?) เฮ้ย เดี๋ยวดิ! ว่าแต่เด็กทารกที่ไหนพูดได้แบบนี้ฟะ! ผี!?
“กระผมมารับท่านมิร่า แฟลร์ธาเวย์ G ม้าศึกแห่งอัลฟาเรียนขอรับครับกระผม!!”
“หา!?”
มหัศจรรย์เด็กพูดได้!
เออ! พูดว่าจะมารับข้าด้วย!!?
หรือว่า…!
“เจ้า!! เจ้าคือไอ้ตัวที่ทิ้งทรัมเป็ตไว้ที่บ้านข้าเรอะ!!?”
“จำได้ด้วยเหรอขอรับท่านมิร่า! เอ่อ ต้องเรียกว่าท่าน G ถึงจะถูกสินะขอรับ!”
จะเรียกยังไงก็เรื่องของเอ็งเหอะ!!
ข้าเกือบจะแหกปากตอบกลับไปแบบนี้แล้ว ถ้าไอ้เด็กแก่แดดแก้ผ้านั่นมันไม่เดินบนหลังคารถม้ามาทางข้า ข้าผงะไปโดยอัตโนมัติเพราะทนรับสภาพเปลือยอุจาดลูกตาของมันไม่ได้ และตอนนั้น ข้าก็รู้สึกได้ว่าตัวเองหลงลืมอะไรบางอย่างไป
รถม้าแล่นอยู่
และครึ่งหนึ่งของตัวข้าแฉลบอยู่นอกหน้าต่าง!
“เฮ้ย!!!!”
ทันใดนั้น ตัวข้าก็ลื่นไถลออกนอกหน้าต่าง ก้นไถลไปกับขอบหน้าต่างแบบลื่นปรื๊ดๆ และร่วงลงสู่พื้นในที่สุด!!
“ว้ากกกกกกกกกกกกกกก!!!!!!”
ชั่วขณะที่ก้นอยู่ห่างจากพื้นประมาณสามมิล จู่ๆก็มีแสงสว่างอะไรก็ไม่รู้วาบขึ้นมาจนข้าต้องหลับตาหนี ในตอนแรกข้านึกว่ามันจะช่วยทำให้ตัวข้าลอยขึ้นแล้วบินกลับเข้าไปในรถม้าได้ แต่ไม่เลยสักนิด!
โครม!!!!!
…ข้าก็ยังตกพื้นเหมือนเดิม!!
ความคิดเห็น