ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic: SJ+TVXQ]...Angelic....(Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #4 : ::Chapter 2::

    • อัปเดตล่าสุด 19 พ.ค. 53


                   

    Chapter 2::

                   

                    “รยออุค ยังไม่เสร็จอีกหรอ!! เดี๋ยวก็โดนพี่อีทึกบ่นอีกหรอก” ชางมินในชุดสูทสีขาวเอ่ยเรียกเพื่อนร่างบางที่กำลังผูกโบว์หูกระต่ายตรงอกอย่างตั้งใจ ราวกับว่ากำลังทำข้อสอบวิชาชีววิทยาอย่างนั้นแหละ...หลังจากเรียกไปอีกทีนั้นร่างบอบบางในชุดสูทสีขาวเช่นเดียวกันกับเพื่อนรักก็เดินลงมาจากบ้านชั้นสองเสียที...

                    “เสร็จแล้วๆ”

                    “อืมๆ งั้นรีบไปกันเถอะ ฉันไม่อยากโดน แม่หมอฟันธง บ่นหรอกนะ” ร่างบางโปร่งบอกเพื่อน ยังไม่วายแซวพี่ชายตาสวยของพวกเขาที่ติดโรคแม่บ้านขี้บ่นมาจากไหนก็ไม่รู้....

                    “อะไร นินทาอะไรพี่ห๊ะ! พวกตัวแสบ!!

                    “แว๊กกกกกกก!!!!ผีแม่หมอออกมาแล้ว!!!” ชางมินอย่างตกใจพร้อมเข้ากอดกับเพื่อนตัวเล็กทันที โดยที่มีคนตัวเล็กกอดเพื่อนร่างโปร่งแน่นหลับตาปี๋....ส่วนที่ถูกเรียกว่า ผีแม่หมอ เนี่ย หงุดหงิดกว่าเดิมอีก....

                    “เดี๋ยวเถอะ ชางมิน ว่าใครเป็นผีแม่หมอกันห๊ะ??” อีทึกในชุดสูทสีขาวถามพลางส่ายหน้าอย่างหน่ายๆกับท่าทีของเจ้าสองตัวแสบที่กอดกันกลมดิ๊กอย่างกับว่าถูกผีหลอกจริงๆซะงั้น....เฮ้อ ผีอะไรจะสวยขนาดนี้ล่ะ??...

                    “อ้าว พี่อีทึกเองหรอฮะ....เล่นมาไม่ให้ซุ่มให้เสียงแบบนี้น่ะ พวกผมก็ตกใจสิฮะ”

                    “นั่นสิ แม่หมอฟันธง มาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงแบบนี้น้องก็ตกใจน่ะสิ” ร่างบางเจ้าของใบหน้าสวยราวอิสตรีเดินเข้ามาอย่างนุ่มนวลเอ่ยบอกเพื่อนของตน ทำให้อีทึกเริ่มทำหน้าเบ้...

                    “อะไรกัน นี่นายเข้าข้างพวกตัวแสบมากกว่าฉันหรอ ฮีชอล”

                    “เปล่าๆ ฉันไม่ได้เข้าข้างใครหรอกนะ...อ้อ!! ฉันจะมาบอกว่าต้องรีบไปกันแล้วนะ ไปสายมากมันจะน่าเกลียดนะ” ฮีชอลเอ่ยบอกด้วยท่าทีกึ่งตกใจเมื่อมองนาฬิกาข้อมือของตน ที่ชี้เวลา 19:45น.....

                    “นั่นสิๆ รีบไปขึ้นรถกันเร็ว ป่านนี้ลุงแชมูสตาร์ทรถรอจนน้ำมันจะหมดแล้ว” อีทึกเอ่ยเสริมพลางนึกขึ้นได้ว่า เขาไปบอกให้ลุงคนขับรถสตาร์ทรถรอ...พอคนตัวเล็กที่เงียบอยู่นานได้ยินพี่ชายตาสวยบอกเช่นนั้นก็จึงเอ่ยขึ้นทันที...

                    “หวา...แบบนี้คุณลม เขาจะต้องไม่ชอบแน่ๆเลย” รยออุคพึมพำขึ้นมา ถ้าหากเป็นคนปกติทั่วไปคงจะสงสัยกับคำพูดประหลาดๆของร่างเล็กคนนี้ แต่เพราะพวกเขาเป็นตระกูลคิม ที่สืบเผ่าพันธุ์ของเทวทูตปีกขาวจึงเข้าใจ...อีกทั้งพวกเขาต่างรู้ว่า ลูกชายคนเล็กของตระกูลคิม หรือว่า รยออุค นั้นมีพลังที่ควบคุมสายลมได้....และทำให้รยออุคได้เข้าใจความรู้สึกของลม ที่มักจะมาคอยบอกว่า ไม่ชอบที่ทุกวันนี้มลภาวะเป็นพิษ....

                    “เอาน่าๆ....เรื่องนี้ค่อยว่ากัน เราไม่ควรไปสายนะ” ฮีชอลเอ่ยเสียงสั้นเมื่อเห็นว่าเข็มนาฬิกาขยับอีกแล้ว หลังจากที่เดินมาถึงหน้าบ้านซึ่งมีรถยนตร์ คันหรูของตระกูลคิมเทียบรออยู่แล้ว เมื่อทั้งสี่คนจัดการเข้าไปนั่งตามที่นั่งในรถคันหรู โดยที่อีทึกนั่งด้านหน้าข้างคนขับ ฮีชอล ชางมิน และ รยออุค นั่งเบาะหลัง...

                    “พี่ฮีชอล ฮะ ตกลงว่าเรารีบไปไหนหรอกฮะ” เจ้าตัวเล็กที่นั่งอยู่ริมฝั่งซ้ายของฮีชอลเอ่ยถามพลางกอดพี่ชายคนโตของตนอย่างออดอ้อน...

                    “ก็วันนี้เราจะไปงานฉลองวันเกิดของท่านชินดงไงล่ะ รยออุค” คนหน้าสวยตอบ ขณะที่ลูบเส้นผมนุ่มของเจ้าตัวเล็กอย่างอ่อนโยน นั่นยิ่งทำให้เจ้าตัวเล็กยิ่งกอดร่างบางแน่นกว่าเดิมอีก...

                    “เอ๋? แล้วตกลงว่าท่านชินดงเขาฉลองวันเกิดปีที่เท่าไหรแล้วล่ะฮะ อ่า!อะไรอ่ะรยออุค ผมก็อยากกอดพี่ฮีชอลบ้างนะ!!” แล้วชางมินที่นั่งอยู่ด้านขวาของฮีชอลก็เข้าสวมกอดร่างบางหน้าสวยอีกคน จนคนที่นั่งอยู่เบาะหน้าเห็นก็อดขำไม่ได้ แถมยังกลัวเพื่อนรักของตนจะหายใจไม่ออกตายก่อนรึเปล่าเนี่ย??...

                    แต่ก็คงไม่แปลกอะไร...ภาพที่เขาเห็นคือภาพปกติสุขของคนในตระกูลคิมจะรักลูกชายคนโตคนนี้มาก รยออุคที่เป็นน้องเล็กนั้นติดฮีชอลมาตั้งนานแล้ว ส่วนชางมินถึงแม้ว่าจะเข้ามาอยู่ในตระกูลคิมในฐานะลูกเลี้ยงเหมือนกับเขา แต่ว่าฮีชอลก็ให้ความรักความเอ็นดูเท่าๆกับน้องชายทุกคน และไม่เคยทำให้เขาหรือชางมินรู้สึกว่าเป็นคนนอกของตระกูลเลยสักครั้ง....นั่นทำให้พวกเขารักฮีชอลกันมากๆ....

                    “นี่ๆ ชางมิน รยออุค ขืนกอดฮีชอลแน่นอย่างนั้น เดี๋ยวฮีชอลกาดอากาศหายใจตายพอดีนะ” ได้ยินเสียงแซวของคนตาสวยนั้น ก็ทำให้ทั้งสองยอมปล่อยอ้อมกอดของตนจากพี่ชายสุดที่รักได้

                    “หวา...แม่หมอฟันธงบอกมาอย่างนี้ ผมก็ไม่กล้ากอดต่ออ่ะดิ” ชางมินแซวคนตาสวยขึ้น นี่ถ้าไม่ติดว่าเขานั่งอยู่ด้านหน้านะ เขาคงจะเขกหัวทุยๆของเจ้าตัวแสบนี่สักที...

                    “นั่นสินะ....อีทึกพูดแบบนี้ฉันก็กลัวนะ ก็แม่หมอฟันธงเป็นคนบอกเองนี่นา” น่านนอกจากจะไม่ช่วยเพื่อนรักแล้ว ยังไปผสมโรงกับเจ้าตัวแสบอีก แถมทั้งสามคนที่อยู่ด้านหลังพร้อมใจกันทำท่าหมอลักษณ์ฟันธงมาล้อเลียนเข้าอีกแน่ะ!!

                    “ฉันไม่ใช่แม่หมอฟันธงนะ!!!” อีทึกเอ่ยอย่างงอนๆ แต่ทั้งสามคนกลับหัวเราะแทนขำ ไม่นานคนตาสวยก็เลิกงอนแล้วหันมาหัวเราะคลอไปกับอีกสามคน...ภาพแห่งความสุขนี้...ถ้าหากมันจะคงอยู่ตลอดไปคงจะดีไม่น้อยเลยนะ...

                    “คุณหนูฮีชอล คุณหนูอีทึก คุณหนูชางมิน คุณหนูรยออุค...ถึงแล้วนะครับ” ลุงแชมูเอ่ยบอกคุณหนูของเขา ขณะที่เขาจอดรถตรงประตูด้านหน้าของโรงแรมระดับห้าดาวแห่งหนึ่งในกรุงโซล....

                    “อ่อครับ ลุงแชมู...นี่ฉันบอกไว้ก่อนเลยนะ พอไปเจอท่านชินดง พวกนายต้องทำตัวเรียบร้อยกันให้มากๆนะท่านผู้นั้นมีอายุมากกว่าเรามาหลายร้อยปีแล้วเข้าใจไม๊?” อีทึกหันไปบอกกับเจ้าแสบทั้งสองคน ซึ่งทั้งสองก็พยักหน้ารับทราบอย่างว่าง่าย ขณะที่คนหน้าสวยกลับคลี่รอยยิ้มแล้วเอ่ยกับเพื่อนของตน...

                    “ไม่ต้องกังวลขนาดนั้นหรอกอีทึก ท่านชินดงน่ะใจดีมากๆเลยนะ อีกอย่างชางมิน กับ รยออุค ก็เป็นเด็กดีอยู่แล้ว จริงไม๊?” ฮีชอลเอ่ยขณะที่ลุบเส้นผมของน้องๆที่นั่งประกบข้างเขาอย่างเอ็นดูน้องชายทั้งสองคน และเจ้าตัวแสบทั้งสองก็ร้องประสานเสียงขานรับคำของพี่ชายคนโต

                    “คร๊าบบบบบ” อีทึกได้แต่ยิ้มอย่างนึกขำๆกับท่าทีของเจ้าสองแสบที่ทำท่าแอ๊บแบ๊วเกินอายุไปหน่อย...

                    ....ทีอยู่ต่อหน้าฮีชอลน่ะ....

                    ....เป็นเด็กดีขึ้นมาเชียวนะ.....

                    .....เจ้าสองแสบ.....!!!....

     

     

                    ภายในห้องจัดงานขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นห้องพิเศษที่สุดของโรงแรม ภายนอกนั้นห้องนี้มีไว้เพื่อจัดการฉลองวันเกิดของประธานบริษัทShin co. แต่มีเพียงผู้ได้รับเชิญเท่านี้ที่รู้ว่าวันนี้มีงานฉลองวันเกิดครบรอบอายุ 1,000ปีของมหาเทพชินดงผู้ยิ่งใหญ่ โดยในห้องนั้นผู้ไดรับเชิญคือ เหล่าเทวทูตทั้งเผ่าปีกดำ หรือปีกขาว...

                    หลังจากที่ชายหนุ่มในชุดสูทขาวเข้ามาในงาน พวกเขาต่างก็ได้เห็นทั้งบุคคลที่ใส่ชุดสูทขาวเหมือนกับพวกเขา และสูทดำ...เป็นอันที่ทุกคนในงานรู้ว่า ในการมาร่วมงานฉลองวันเกิดขององค์มหาเทพ พวกเขาจะต้องสวมชุดสูทหรือชุดราตรีตามสีของปีกของตน เพื่อเป็นการย้ำเตือนกฏที่มหาเทพชินดงเคยตั้งไว้...

                    ...ห้ามเทวทูตปีกขาว และ เทวทูตปีกดำ ข้องเกี่ยวกันเป็นอันขาด....

                    “โห....คนเยอะจังเลยนะฮะ” รยออุคเอ่ยถามอย่างเกร็งๆรอบตัวของเขาเต็มไปด้วยเหล่าผู้คนที่มีปีก แน่นอนว่าเมื่อเดินเข้ามาในห้องนี้ที่กลางหลังของพวกเขาปรากฏปีกขาวขนาดพอดีตัวดูสง่างามยิ่งนัก...แม้ปกติพวกเขาจะคอยซ่อนปีกจากสายตาของพวกมนุษย์แต่เมื่อเข้ามาในงานที่มหาเทพขินดงแล้วการแสดงปีกของตนนั้น เป็นการให้เกียรติมหาเทพที่พวกเขาให้ความเคารพนับถือ รวมถึงเป็นการแสดงเผ่าพันธุ์ของตนอย่างชัดเจนขึ้น....

                    ตอนนี้เขากำลังตกอยู่ท่ามกลางสายตาของเหล่าเทวทูตปีกขาวและปีกดำทั้งหลายที่มาร่วมงาน ตระกูลคิมได้ชื่อว่าเป็นตระกูลเทวทูตปีกขาวที่สง่างามและสูงส่งยิ่งกว่าตระกูลใดๆ เรียกได้ว่า เป็นอันดับหนึ่งของเหล่าเทวทูตปีกขาวเลยก็ว่าได้....แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่ได้สนใจสายตาที่สอดส่องเขามาอย่างใคร่รู้นั้นเลย...

                    เขาเดินไปยังที่นั่งของเจ้าของงานนี้ รูปร่างท้วมใหญ่ ในชุดสูทสุดหรูสีเทา พร้อมด้วยใบหน้าอันเต็มไปด้วยความโอบอ้อมอารี แม้ว่าจะมีอายุมากกว่า 900 ปีแล้ว แต่ใบหน้าของมหาเทพยังดูเหมือนมีอายุเพียง20 กว่าปีเท่านั้น...

                    “ว่าไง...ดีใจนะที่พวกเธอมาร่วมงานของฉันได้น่ะ เทวทูตปีกขาวจากตระกูลคิม” ชายร่างใหญ่หันมาทักพวกเขาที่เดินเข้าไปหา เหล่าคนจากตระกูลคิมโค้งให้อย่างนอบน้อม...

                    “เป็นเกียรติที่เราได้มาร่วมของท่านมหาเทพชินดงผู้ยิ่งใหญ่...พวกเราตระกูลขออวยพรให้ท่านมหาเทพอายุยืนนานนับหมื่นปีครับ” ฮีชอลเอ่ยต่อมหาเทพ ในฐานะที่เขาเป็นบุตคนโตของตระกูลคิม เป็นหน้าที่ของเขาที่จะเป็นผู้กล่าวต่อผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของเหล่าเทวทูต....

                    “ไม่ต้องพิธีรีตรองมากหรอก ฉันเห็นเธอมาตั้งแต่เธอเล็กๆ ฉันเองก็มองว่าเธอเหมือนลูกหลายของฉันคนหนึ่งนั่นแหละ เพราะงั้นทำตัวตามสบายเถอะ ฮีชอล” ชินดงเอ่ยน้ำเสียงทุ้มใจดี คนหน้าสวยจึงเงยหน้าจากการโค้งหลัง เมื่อเห็นพี่ชายคนโตทำเช่นนั้นอีก 3 คนจึงทำตาม แต่ก็ยังคงสำรวมนอบน้อมเช่นเดิม...

                    “ขอบคุณครับ ท่านชินดง...”

                    “ว่าแต่ไม่ได้เจอเธอนานโตขึ้นตั้งเยอะ แถมยังสวยด้วยนะเนี่ย” ชินดงเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ ทำให้คนถูกแซวถึงกับทำหน้าแดงไม่คิดว่ามหาเทพผู้ยิ่งใหญ่จะพูดแบบนี้ ถึงจะสนิทกับเขาก็เถอะ...

                    “แหม ท่านชินดงพูดแบบนี้เดี๋ยวคนอื่นๆเขาก็เข้าใจผิดหรอกครับ อีกอย่างผมเป็นผุ้ชายนะครับจะสวยได้ยังไง”

                    “หรอ...แน่ใจนะ เนี่ยฉันยังได้ข่าวว่าเธอจะ....”

                    “ท่านชินดง!!!” ร่างบอบบางแหวเสียงดังเมื่อรู้ว่าฝ่ายผู้ยิ่งใหญ่จะล้ออะไรเขา ดวงหน้าสวยแดงก่ำด้วยความเขินอายยิ่งสร้างความขบขันให้กับอีกสามชีวิตเป็นอย่างมากเพียงแต่คนหนึ่งเลือกจะแอบอมยิ้ม ส่วนเจ้าสองตัวแสบนี่สิดันปล่อยก๊ากออกมาแล้ว เรียกตาดุๆจากพี่ชายคนสวยในทันที ทำเอาเจ้าแสบทั้งสองถึงกับยอมเงียบเลยทีเดียว แต่ภาพเช่นนั้นกลับเรียกเสียงหัวเราะจากมหาเทพผู้ยิ่งใหญ่ได้แทน...

                    “พวกเธอนี่ร่าเริงกันจริงๆเลยนะ น้องๆของเธอก็ดูเป็นเด็กดีจังเลยนะฮีชอล นั่นคงจะเป็นรยออุค กับ ชางมิน สินะฉันได้ยินเรื่องของพวกเธอมาเยอะเลยล่ะ จากพ่อของฮีชอลน่ะ” เมื่อได้ยินมหาเทพเอ่ยอย่างนี้ เจ้าสองแสบก็รู้สึกโล่งอก

                    ....อย่างน้อยวันนี้ก็ไม่น่าจะโดนคาดโทษจากพี่อีทึก กับพี่ฮีชอลมากนัก....

                    “แล้วน้องชายของเธออีกคนล่ะ ฮีชอล”

                    “แจจุงไปเรียนต่อที่ญี่ปุ่น ผมขออภัยแทนน้องของผมที่ไม่สามารถมาร่วมมงคลของท่านมหาเทพได้ครับ”

                    “อย่างนั้นเหรอ...น่าเสียดายจริงๆ แต่ฉันบอกเธอแล้วไงฮีชอลว่าไม่ต้องพิธีรีตรองอะไรมาก” มหาเทพติงร่างบางอีกครั้งเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวยังคงใช้ภาษาสุภาพกับเขา...

                    “ทำอย่างนั้นไม่ได้หรอกครับ ก็ท่านชินดงเป็นถึงมหาเทพนะครับ” ได้ยินคนหน้าสวยเอ่ยอย่างนั้น มหาเทพก็ถึงกับเบะปากราวกับเด็กถูกขัดใจ ทั้งที่อายุก็เกินมานานแระ....

                    “เฮ้อ...เอาเถอะๆ ตามใจเธอแล้วกัน เดี๋ยวฉันคงจะต้องคุยกับแขกคนอื่นพวกเธอก็ตามสบายเถอะนะ” ได้ยินคำนี้จากปากของมหาเทพ ทำให้เจ้าสองตัวแสบแอบทำท่าโดฟชนะเลิศกันสองคน...

                    ....ก็แหม เขากำลังจะได้ไล่กินของกินในงานเลี้ยงแล้วนี่นา!!!....

                    “ชางมิน! รยออุค! ทำท่าเสียมารยาทกับท่านมหาเทพได้ยังไง” อีทึกหันไปติงเจ้าสองแสบเสียงค่อย แต่ก็ไม่หลุดรอดพ้นหูของมหาเทพได้...มหาเทพชินดงระเบิดเสียงหัวเราะอีกครั้งก่อนจะหันไปบอกกับอีทึก

                    “อีทึก ไม่ต้องเครียดขนาดนั้นก็ได้ เดี๋ยวชางมิน กับ รยออุค ก็คิดว่าฉันเป็นยักษ์ เป็นมารกันพอดี” รอยยิ้มอันแสนอบอุ่นของมหาเทพ ทำให้คนตาสวยยิ้มตอบรับคำนั้น

                    “เอาเถอะๆ ฉันก็กวนเวลาพวกเธอมามากแล้ว เชิญสนุกกับงานให้เต็มที่ขาดเหลืออะไรก็บอกได้นะ” ชินดงเอ่ยขึ้นไม่ใช่เพราะจะไล่พวกเขาหรอก เพียงแต่เขาแลเห็นบุคคลอีกกลุ่มหนึ่งที่กำลังเดินมาหาเขา แถมยังเป็นเทวทูตในชุดดำอีกด้วย...

                    “ครับ...งั้นผมขอตัวนะครับท่านชินดง” ฮีชอลโค้งตัวให้อีกครั้งเฉกเช่นเดียวกับพี่น้องอีกสามคน ก่อนจะเดินหันหลังไป และสวนทางกับคนกลุ่มหนึ่ง....

    เทวทูตในชุดดำพร้อมปีกสีดำสง่าที่สยายอยู่กลางหลัง....หรือให้เรียกง่ายๆ เทวทูตปีกดำ....โดยมีชายหนุ่มเจ้าของดวงหน้าหล่อคมคายเดินนำมา และตามมาด้วยหนุ่มหล่ออีกสองคนที่เดินขาบข้างมา รวมถึงเด็กหนุ่มหน้าหวานที่เดินตามหลังมาอีกคนหนึ่ง ฮีชอลไม่สนใจกลุ่มคนเหล่านั้น แต่ก็เพราะไม่สนใจนั่นแหละถึงได้ไม่รู้ตัวว่าหนุ่มหล่อในชุดสูทดำนั้นกำลังจ้องมองมาที่เขา จนแทบจะหันหลังตามไปมอง แม้ว่าพวกเขาจะเดินสวนกันมาแล้ว...

    อีทึกที่สังเกตเห็นท่าทีของเทวทูตปีกดำที่มองมายังเพื่อนรักของตนจึงมองตามกลับไป แต่ทว่าสายตาของเขาดันไปสะดุดกับคนอีกคนหนึ่งที่มากับกลุ่มนั้น ในดวงตาคู่สวยทันทีที่ได้เห็นชายหนุ่มผู้หนึ่งนั้น มันช่างแฝงไปด้วยความห่วงหา คิดถึง และอาทร หลากอารมณ์ที่น้อยคนนักจะเข้าใจได้....

    “มีอะไรงั้นเหรอ อีทึก” เสียงหวานหันมาถามเมื่อเห็นว่าเพ่อนของตนหยุดยืนมองอะไรบางอย่างอยู่นาน คนตาสวยหันมาส่ายหน้าปฏิเสธกับเพื่อนรัก และตอบกลับไปด้วยคำสั้นๆ....ซึ่งมันน่าแปลกสำหรับคนอย่างอีทึก...

    “ไม่มีอะไร....”เมื่อเห็นว่าเพื่อนรักของตนไม่ยอมบอกอะไร ฮีชอลก็ไม่คิดที่จะไปคาดคั้น เขารู้ว่าถ้าคนอย่างอีทึกไม่บอกเขา ก็แปลว่าไม่อยากให้ใครคนไหนรู้ทั้งนั้น...คนสวยจึงปล่อยให้คนตาสวยจมอยู่กับความคิดของตนเองไป ส่วนเขาก็ต้องพยายามไปห้ามเจ้าสองแสบที่ตอนนี้ไปไล่ตักอาหารบุฟเฟ่ต์หรือถ้าจะให้เข้าใจง่ายกว่าคือไปถาดตักอาหารมาทั้งถาดแล้วเนี่ย!!

    ทางด้านของกลุ่มชายหนุ่มในชุดสูทสีดำที่กำลังเดินตรงไปหามหาเทพชินดงเพื่ออวยพรให้นั้น เจ้าของใบหน้าหล่อที่เดินนำมานั้น ขยับรอยยิ้มขึ้นหลังจากที่ได้เห็นใบหน้าสวยหวานของเทวทูตในชุดขาวที่เดินสวนกับเขาเมื่อสักครู่...

    “ยิ้มอะไรงั้นเหรอ ฮันกยอง?” ชายหนุ่มร่างหนาที่เดินด้านข้างหันไปถามชายหนุ่มหน้าหล่อ เจ้าของชื่อขยับรอยยิ้มอีกครั้งก่อนจะตอบด้วยคำตอบที่ชวนให้อยากรู้ยิ่งกว่าเดิม...

    “ไม่มีอะไรทั้งนั้นล่ะ คังอิน...” ฮันกยองยังคงขยับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์อีกครั้ง คังอินถอนหายใจยาวเมื่อคิดว่าถึงจะถามไปเพื่อนของเขาก็คงจะไม่ตอบ ทั้งอีกฝ่ายเป็นคนอ่านใจยากไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่

    “เจออะไรน่าสนใจรึไงครับ?พี่ฮันกยอง” ชายหนุ่มหน้าตาหล่อร้าย ที่เดินอยู่ด้านข้างอีกข้างหนึ่งเอ่ยถามชายคนเดิมซ้ำอีกครั้ง เรียกให้รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏบนหน้าของหนุ่มอีกครั้ง...แต่ก็ยังคงได้แค่คำตอบสั้นๆจากชายหนุ่มนาม ฮันกยองเช่นเดิม

    “คงอย่างงนั้นแหละ”

     


     
    To be Continued         




    คุยกันกับคนแต่ง

    ปั่นสองเรื่องสลับกันแอบเหนื่อยนิดนึงอะไรนึง ตอนนี้ป๋าฮันของเราก็ออกมาแล้วน๊า ถึงจะแค่แป๊บเดียวก็เถอะ 55+ แต่ตอนหน้าขอรับรองว่าจะได้เจอป๋าเต็มรูปแบบแน่นอนค่า ขอบคุณทุกกำลังใจที่ติดตามนะค่า แล้วพบกันใหม่ในตอนหน้านะคะ อย่าลืมเม้นท์กันน๊า ขอบคุณมากค่า ^[]^

    เอ้(Mio_MinMin)

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×