คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2: อัญมณีสีม่วง
บทที่ 2: อัญมณีสีม่วง
แสงสว่างวาบขึ้นมา ความรู้สึกที่เหมือนถูกกระชากวิญญาณออกจากร่างกายพลันหายไป หนุ่มสาวสองคนที่อยู่ดีๆก็โผล่ขึ้นมาหลังจากที่แสงสว่างหายไป อยู่สภาพที่เซียร่าประคองวีริดซึ่งกุมแขนกระอักเลือดไว้...
เขาพลาดอย่างแรงที่พุ่งถลาเข้าไปขวางเอาไว้โดยไม่คิดหน้าคิดหลังแบบนั้น อย่างที่สองคือเขาปล่อยให้เจ้าควินทาเพ็ดนั่นกัดเขาได้ แถมน้ำลายของมันที่ติดตามคมเขี้ยวนั่นมันมีพิษ....แล้วตอนนี้เจ้าพิษนั่นก็เริ่มฝังลึกเข้าไปในเส้นเลือดของเขาทุกทีแล้ว
“เฮ้!! วีริดนายเป็นไงบ้างน่ะ!!” หญิงสาวตะโกนถามขึ้นด้วยความตกใจ หนุ่มผมเงินซ่อนสีหน้าของความเจ็บปวดไว้ รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นที่มุมริมฝีปาก ก่อนจะเอ่ยน้ำเสียงกวนประสาท
“นี่...เธอเป็นห่วงฉันงั้นสิ” เท่านั้นแหละสาวเจ้าเธอก็เริ่มเลือดขึ้นหน้าใช้กำลังที่มีอยู่ถีบเจ้าคนตรงหน้าจนเกือบกระเด็นกันไป!
“เฮ้ยๆ ฉันเป็นคนเจ็บนะ!” วีริดเถียงขึ้นขณะที่กุมแขนที่เลือดอาบอยู่เอาไว้แน่น ฝ่ายสาวเจ้าเธอคราวนี้หมดความสงสารโดยสิ้นเชิง!
“สมน้ำหน้า!!ว่าแต่ที่นี่มันที่ไหนล่ะเนี่ย” เซียร่าตวาดกลับพร้อมกับเอ่ยถามขึ้น หลังจากที่เธอมองไปรอบๆ เพราะรู้สึกว่าเอจะมาอยู่คนละที่กับป่าดำเมื่อสักครู่ ที่นี่นั้นเป็นที่เต็มไปด้วยต้นไม้สีเขียวขจีสวยงาม ทุกอย่างดูอุดมสมบูรณ์และไร้ซึ่งสัตว์ร้าย เบื้องหลังของเขาและเธอนั้นคือซากปรักหักพังของสถานที่ ซึ่งทั้งสองคาดว่าน่าจะเป็นโบสถ์หรืออะไรสักหนึ่งอยู่ด้วย...
“จะไปรู้เรอะ! โอ๊ย!” ขณะที่หนุ่มผมเงินพร้อมจะเถียงกลับก็ต้องร้องโอดครวญขึ้นมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ เมื่อคราวนี้พิษของควินทาเพ็ได้แทรกซึมเข้าไปสู่สายเลือดทุกขณะ
“เฮ้! นาย!” สาวผมบลอนด์เข้ามาดูอาการของเขาอีกครั้ง ยิ่งเห็นก็ยิ่งตกใจเมื่อเลือดที่ไหลรินสีแดงข้นค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีดำด้วยฤทธิ์พิษของควินทาเพ็ด...
“ช่วยไม่ได้ล่ะนะ” ถึงพื้นฐานของลูกคุณหนูผู้เอาแต่ใจคนนี้จะไม่ชอบช่วยเหลือใครก็เถอะแต่เธอก็ไม่ใช่คนใจจืดใจดำขณะที่ปล่อยให้คนที่ช่วยเหลือเธอตายไปต่อหน้าต่อตาได้หรอก ว่าแล้วเธอก็ล้วงขวดยาขนาดเล็กซึ่งบรรจุด้วยน้ำยาสีฟ้าสดขึ้นมาช่องกระเป๋าที่ตกเข็มขัดหนัง
“ดื่มเข้าไปซะ!” เธอออกคำสั่งพร้อมยื่นขวดยาให้
“อะไรของเธอน่ะ!คิดจะ....อุ๊บ!” ยังไม่ทันที่เขาจะได้โต้เถียงอะไรกับเธอ เจ้าน้ำยาในขวดก็พลันถูกเปิดฝาออกและน้ำยาสีฟ้าเข้มก็ถูกส่งให้ไหลผ่านลำคอของเขาไปอย่างรวดเร็วด้วยฝีมือการยัดขวดน้ำยาเข้าปากของคุณเธอเป็นที่เรียบร้อย
“ไม่ต้องพูดมาก!” พอแน่ใจแล้วว่าน้ำยาในขวดนั้นลงไปในกระเพาะของชายหนุ่มแล้ว เธอก็เริ่มออกห่างจากเขาพอสมควร เธอเรียกเคียวไนท์แมร์ออกมาอีกครั้ง แล้วใช้ใบมีดของไนท์แมนร์เริ่มวาดเส้นวงแหวนล้อมเวทย์มนตร์ เขียนด้วยอักขระแห่งเวทย์
“จงออกฤทธิ์! ฮีลลิ่งโพชั่น!!” เสียงใสของเธอเปล่งออกมาพลันนั้น วงแหวนเวทย์ก็เริ่มส่องแสงสีดำแทรกด้วยลำแสงสีขาว ซึ่งนั่นดูไม่ร้ายแรงเท่าไหร เพราะจากการคาดเดาของชายหนุ่มมันคงจะเป็นพลังของเธอที่สังกัดธาตุมือเป็นหลัก พลันนั้นบาดแผลที่แขนเขาก็ค่อยๆสมานขึ้น และพิษร้ายที่ปั่นป่วนในร่างกายให้ทรมาณก็เหมือนจะหายไปด้วยเช่นกัน
“หายแล้ว....” วีริดเอ่ยขึ้นด้วยความฉงนใจเล็กน้อย หลังจากที่ลำแสงแห่งวงเวทย์หายไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ก็แหงล่ะสิ! นั่นน่ะน้ำยารักษาที่ได้จากเผ่าพันธุ์เอลฟ์ชั้นสูงซึ่งล่มสลายไปแล้วเชียวนะ รู้ซึ้งไว้ซะด้วย! ว่าตอนนี้ในตัวของนายมีน้ำยาราคาแพงขนาดไหน!!” หญิงสาวเอ่ยอย่างฉุนเฉียวเมื่อน้ำยาสุดรักสุดหวงสุดแพง ต้องหายลงไปในตัวของชายหนุ่มที่กวนประสาทเธอเสียแล้ว
“ฮึ...ก็สมน้ำสมเนื้อดีไม่ใช่รึไง?...ฉันช่วยชีวิตเธอนะ” เจ้าคนป่วยไม่เจียมพอมันหายแล้วก็เข้าโหมดป่วนประสาทยัยวายร้ายเข้าให้เต็มที่ และดูทางเธอก็ไม่ยอมง่ายๆด้วยเช่นกัน
“หนอย! ถ้ารู้ว่าช่วยแล้วจะปากเสียขนาดนี้ ฉันไม่ช่วยให้เสียแรงหรอก!!” เธอกระแทกเสียงเข้าให้ และแล้วสงครามชวนประสาทกินของทั้งสองก็เริ่มขึ้นอีกครั้ง แต่ตอนนั้นเอง...อยู่ๆคลื่นเวทย์ที่ไม่คุ้นเคย ทั้งรุนแรง แต่ก็ไร้ซึ่งจิตมุ่งร้ายอยู่ดีๆก็ได้ออกมาสำแดงเดชให้ทั้งสองถึงกับสะดุ้ง...
“เธอรู้สึกใช่ไหม?” วีริดถามขึ้น เธอพยักหน้าก่อนหรุบตาลงเพื่อจับจิตต้นทางของพลังเวทย์นั้น...และเธอก็เจอ....
“อืม...มาจากทางซากโบสถ์นั่นแหละ” นิ้วเรียวของเธอชี้ไปยังต้นเหตุของพลังซากปรักหังพังของโบสถ์ที่ยังคงเหลือรูปร่างของความเป็นโบสถ์เอาไว้ ทั้งสองมองหน้ากันอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปข้างใน....
ภายในซากปรักหักพังของโบสถ์ที่ดูเหมือนพร้อมจะพังขึ้นมาเมื่อไหรก็ไม่รู้แถมด้วยไอเวทย์คละคลุ้งรอบด้านยิ่งทำให้น่าหวั่นใจเข้าไปใหญ่ ยังดีที่ไอเวทย์เหล่านั้นไม่มีจิตมุ่งร้ายแฝงมาด้วย....
“รู้สึกว่าจิตของเวทย์พวกนี้จะไม่มีจิตมุ่งร้ายนะ” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นสาวน้อยเพียงพยักหน้ารับ แต่นั่นก็ทำให้เธอนึกอะไรบางอย่างออก
“จะว่าไปแล้ว นายสัมผัสจิตเวทย์ได้อย่างนั้นเหรอ?” เซียร่าถามขึ้น ในกรณีของเธอที่เป็นจอมเวทย์ฝึกหัดมันก็ไม่น่าแปลกอะไรหรอกที่จะสามารถจับจิตที่มาพร้อมกับไอเวทย์เหล่านั้น ทำให้รู้จุดประสงค์ของผู้ใช้พลังเวทย์ แต่ดูจากท่าทางอีกฝ่ายก็ไม่น่าจะใช่นักเวทย์แล้วทำไมถึงได้รู้ถึงกลิ่นอายของจิตแห่งเวทย์ได้
“ก็พอสัมผัสได้นิดหน่อย ไม่ได้รู้สึกอะไรมากหรอก เรียกว่า รู้แต่เวทย์ที่สัมผัสได้มันก็เบาบางเอาเรื่อง” เจ้าตัวว่าขึ้น หลังจากที่ทั้งสองเดินเข้าไปลึกขึ้นจนถึงหน้าแท่นของโบสถ์เต็มไปด้วยซากของเสาและกำแพงบ้าง รวมถึงเศษกระจกสีที่กลาดเกลื่อนอยู่บนพื้น เหนือขึ้นไปบนกระจกสีที่มีลวดลายของอะไรบางอย่างที่ดูลางเลือน นั่นคงจะเป็นสิ่งที่ยังคงเป็นรูปร่างอยู่บ้าง...
และเบื้องหน้าของทั้งสองคือแท่นหินที่สูงเหนือพื้นไม่เท่าไหร แต่มีความกว้างมาก และบนแท่นหินนั้นมีเหมือนสิ่งที่คล้ายกับอักขระเวทย์สลักอยู่มากมาย....
“นี่อะไรเนี่ย?” วีริดเอ่ยพึมพำราวกับสงสัย พอได้ทีสาวน้อยก็รีบกัดสวนเข้าให้ทันที
“ถามฉันแล้วฉันจะรู้รึเปล่าล่ะ?”
“ก็ไม่ได้ถามเธอนี่...หรือว่าเธอเป็นพวกสอดรู้สอดเห็นเรื่องของชาวบ้านเป็นกิจวัตรงั้นเหรอ?” เด็กหนุ่มไม่ยอมแพ้กัดสวนเธอกลับอย่างรวดเร็วชนิดที่ทำเอาสาวน้อยหน้าแดงด้วยความโกรธที่โดนกัดกลับ แถมยังไม่รู้จะตอบโต้ยังไง จึงได้แต่งอนเชอะอยู่ตรงนั้นเท่านั้น วีริดก้มลงไปสำรวจแท่นหินขนาดใหญ่นั้น มีแต่อักขระเวทย์ที่เขาอ่านไม่ออก....แต่ถ้าอยากจะรู้คงต้องให้แม่จอมเวทย์ฝึกหัดช่วยเท่านั้นสินะ....
“เฮ้!เซียร่า มาช่วยอ่านอักขระเวทย์พวกนี้ทีดิ” ราวกับออกคำสั่งนั่นยิ่งทำให้สาวน้อยไม่พอใจขึ้นไปอีกหลายเท่าเลยงานนี้....
“นายไม่มีสิทธิสั่งฉันนะ!” เธอตวาดกลับเข้า....หากแต่ด้วยความเจ้าเล่ห์ที่เหนือกว่าเล็กน้อยเขาจึงเอ่ยกับเธอด้วยท่าทางจริงจังผิดกับทุกที
“ถ้าเกิดเธอไม่ช่วยคงต้องแย่แน่เลย....”
“เอ๋?” เธอหันมาสะดุดกับคำพูดของเขาอย่างสงสัย แถมด้วยใบหน้าจริงจังของอีกฝ่ายมันทำให้เขาไม่กล้าที่จะล้อเล่นด้วย....เป็นอันว่าติดกับ.....หนุ่มผมเงินชี้ไปเหล่าอักขระเวทย์บนแท่นหิน
“ก็เนี่ย....มันเป็นอักขระเวทย์อาจจะบอกวิธีไปยังอัลเฟรเดรียก็ได้จริงไหม? แต่ถ้าเธอไม่ร่วมมือด้วย ก็คงต้องหาทางอื่นต่อไป” ว่าแล้ววีริดก็เริ่มจับคางตัวเองแล้วคิดอย่างจริงจัง ทางด้านสาวน้อยยืนคิดอยู่ครู่ก่อนจะเดินไปที่แท่นหินก่อนจะบอกกับชายหนุ่มว่า
“ก็หลีกไปซะ ฉันจะแกะอักขระพวกนี้” เธอออกคำสั่งเสียงแว๊ด เขาเพียงหลบทางในใจก็อบยิ้มที่หลอกยัยวายร้ายนี่สำเร็จ อันที่จริงเขาก็ไม่รู้หรอกว่าไอ้อักขระนั่นจะเป็นวิธีการไปอัลเฟรเดรียรึเปล่า ตัวเขาก็แค่อยากรู้ว่ามันเขียนว่าอะไรเท่านั้นแหละ
“เอ๋?....อะไรเนี่ย....” หลังจากที่สาวผมบลอนด์ใช้เวลาอยู่ครู่ในการอ่าน เธอก็ถึงกับพึมพำขึ้นมาอย่างประหลาดใจวีริดยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้พร้อมกับมองหน้าเธอเป็นคำถามว่า....มันเขียนว่าอะไร....
“เอ....แสงแห่งท้องนภาอันเลือนราง ความมืดที่ย่ำกราย จอมราชาแห่งความมืดฟืนคืนตื่น จงรื้อความจำที่ฝังตราตรึงอยู่ที่ก้นลึกแห่งดวงวิญญาณ กลับคืนสู่ร่างนักรบผู้ยืนยง.....” ทันทีที่เซียร่าอ่านเจ้าอักขระนั่นจบก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นมีแต่จะงงมากขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว
“อย่างกับบทกลอน” วีริดเอ่ยขึ้นส่วนทางเซียร่าเองก็พยายามแกะความหมายของบทกลอนอักขระเวทย์แต่ก็เหมือนจะไร้ผล เพราะเธอไม่อาจเข้าใจความหมายของมันได้ ทั้งที่ดูเป็นบทกลอนง่ายๆแท้ๆ...
“ท่าทางจะมีคนมาเขียนเอาไว้นานแล้วมั้งเนี่ย” เด็กหนุ่มเอ่ยขึ้นขณะที่ยื่นมือลงไปแตะบนตัวอักษร เท่านั้นสาวเจ้าเธอก็รีบร้องห้ามขึ้น
“นายอย่าพึ่งแตะนะ!มันอาจจะลงอาคมอะไรไว้ก็ได้!!” นอกจากจะห้ามอีกฝ่ายไม่สำเร็จเพราะความตกใจทำให้เธอพลาด จนเกือบหกล้มเลยต้องเอามือยืนแท่นหินเอาไว้แถมมันยังลงไปวางทับกับมือของนายสายลับกวนส้นฝ่าพระบาทนั่นพอดีเป๊ะ!
ครึก!
เสียงเหมือนบางอย่างเคลื่อนออกซึ่งจะเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากแท่นหินที่ทั้งสองพร้อมใจกันประสานมือลงไปวางพร้อมกันแบบไม่ได้ตั้งใจนั่น ทั้งเธอและเขารีบขยับออกห่างแท่นนั้น แม่นหินอักขระค่อยๆเลื่อนออกจากจุดเดิมไปอย่างช้าๆและใต้แท่นหินที่เป็นรูโพรงขนาดย่อมก็ค่อยๆปรากฏเสาหินขนาดย่อมอันหนึ่งขึ้นมา ยอดของเสาหินปรากฏกล่องกระจกแก้วขึ้นมา...
ภายในกล่องกระจกนั้นเผยให้เห็นเครื่องประดับอยู่สองขึ้นอันหนึ่งถือแทบรัดข้อมือสีเงินที่ประดับด้วยอัญมณีสีม่วงทรงวงรีขนาดใหญ่อยู่ตรงกลาง ส่วนอีกอันหนึ่งเป็นสร้อยเงินอันมีจี้เป็นอัญมณีสีม่วงเฉกเช่นเดียวกับแถบรัดข้อมือเป็นทรงข้าวหลามตัด....
“นั่นอะไรนั่นน่ะ?” ด้วยความมืดซนของพ่อหนุ่มเขายื่นมือเข้าไปหมายจะสัมผัสกล่องแก้วใกล้ๆ...จนสาวน้อยผมบลอนด์ต้องรีบร้องเตือน
“เฮ้ย!นายอย่ามือซนจะได้ไหม!!!” เธอร้องขึ้นแต่ก็สายไปเสียแล้ว เขาเอามือสัมผัสกล่องแก้วเป็นที่เรียบร้อยพลันนั้น กระจกใสสีมุมก็เลือนหายไป....กระจกเวทย์มนตร์!! เซียร่ารู้ได้ในทันทีและยิ่งตกใจไปกันใหญ่เมื่อเครื่องประดับสองชิ้นนั้นส่องแสงสว่างวาบขึ้นอย่างแรงกล้า เต็มไปด้วยเวทย์มนตร์ที่รุนแรงเกินคำบรรยาย....
“มันอะไรกันล่ะเนี่ย” วีริดพูดขึ้นขณะที่เอาแขนมาป้องแสงแสบตาอันเจิดจ้านั้นเอาไว้
“ก็ฉันบอกนายแล้วว่าอย่ามือซน!!!!!” เซียร่าแว๊ดขึ้น แต่อีกฝ่ายก็พยายามไม่สนใจจะฟัง แสงที่ส่องวาบค่อยๆเลือนหายไปพร้อมกับปรากฏเครื่องประดับสองชิ้นนั้นที่ลอยเข้ามาใกล้ทั้งสองด้วยไอเวทย์แบบเดียวกับที่เรียกให้พวกเขาสองคนมาที่นี่...
.....ไอเวทย์แบบเดียวกัน....งั้นเหรอ?.....
แต่ยังไม่ทันที่สายลับหนุ่มจะได้คิดอะไรไปมากกว่านั้นเจ้าถบสายรัดข้อมือก็พุ่งตรงมาที่ข้อมือข้างซ้ายของเขาล้วสวมใส่ตัวมันเองเข้ากับข้อมือของเด็กหนุ่มอย่างรวดเร็ว ไม่นานนักเครื่องประดับชิ้นสวยก็ถูกสวมให้ชายหนุ่ม เหตุการณ์แบบเดียวกันเกิดกับสาวน้อยจอมเวทย์ที่สร้อยพร้อมจี้อัญมณีสีม่วงนั่นเข้ามาสวมที่คอเธอด้วยพลังเวทย์บางอย่าง
“เจ้านี่มันเข้ามาสวมให้ฉัน.....แถมถอดไม่ออกซะด้วย” หนุ่มผมเงินว่าขึ้นขณะที่พยายามจะถอดแถบรัดข้อมือออกแต่ก็ไร้ผลอยู่ดี ทางด้านสาวจอมเวทย์เองก็อยู่สภาพที่แม้แพ้กันคือถอดไม่ออก...
“เพราะนายแท้ๆเลย!ฉันบอกว่าไม่ให้ไปจับ!!ดูสิ!!!ดีนะ!!ที่มันไม่ใช่อัญมณีที่ใช้กักพลังเวทย์หรือความสามารถในการต่อสู้ไว้น่ะ!!” ว่าแล้วเซียร่าก็เริ่มแว๊ดชุดใหญ่ซึ่งวีริดก็ยังคงแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินอยู่อีกเช่นเคย...
“อืม....แต่ฉันว่าเราควรจะรีบเผ่นออกจากที่นี่จะดีกว่านะ”
หนุ่มสายลับเอ่ยขึ้นสร้างความประหลาดใจให้กับสาวน้อยเธออยู่ครู่ แต่ไม่นานนักคำตอบก็กระจ่างกับเธอ เมื่อเสียงการแตกหักของเหล่ากำแพงเริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ และกำแพงรอบด้านเธอก็เริ่มร้าวขึ้นเรื่อยๆ รอบข้างสั่นสะเทือนด้วยที่ซากโบสถ์นี้จะพังครืนลงมา
“วิ่งโลด!!!!!!!!!!!!!!!!!” วีริดเอ่ยบอกพร้อมกับวิ่งนำไปโดยที่มือหนึ่งก็จูงจอมเวทย์สาวที่ออกจะงงๆกับสถานการณ์ไม่หาย แต่ไม่รู้ว่าเขาคิดไปเองรึเปล่าว่าทางออกน่ะมันไกลออกไปเรื่อยๆ เขาจึงเริ่มออกแรงวิ่งมากขึ้น แต่ยิ่งวิ่งไปทางออกก็เหมือนยิ่งไกลออกไป ทั้งที่อีกไม่นานโบสถ์จะต้องพังลงมาทับร่างของเขาสองคนจนเละแน่ๆ!!
“นี่!ฉันรู้สึกว่าทางออกมันยิ่งไกลออกไปเรื่อยๆว่าไหม?” สายลับหนุ่มเอ่ยบอกขณะที่เขาเริ่มหอบน้อยๆเพราะความเหนื่อยล้าตัวเองกพึ่งหายจากการอาการร้ายแรง แต่ยังต้องมาวิ่งอยู่เช่นนี้
“อื้อ!ฉันคิดว่ามันคงเป็นเพราะเวทย์มนตร์ที่คุ้มครองเจ้าอัญมณีสีม่วงสองอันนี้แหงๆ” จอมเวทย์สาวตอบหลังจากเธอวิ่งไปวิเคาระห์ไปอยู่ครู่ เสี้ยววินาทีที่หินก้อนใหญ่จากหลังคาโบสถ์จะร่วงหล่นลงมาทับทั้งสอง เซียร่าก็เรียกไนท์แมร์ออกมาอีกครั้ง เธอวาดเคียวสีดำให้เป็นวงเสี้ยวจันทรา ก็พลันเกิดช่องว่างแห่มิติขึ้น
“รีบกระโดดตามฉันเข้าไปเร็ว!!” ว่าแล้วเซียร่าก็พุ่งกระโดดผ่านช่องว่างนั่นไปอย่างรวดเร็ว ส่วนเด็กหนุ่มนั้นยังดูชั่งใจอย่างไม่ค่อยจะแน่ใจอยู่ครู่ ด้วยกลัวว่าเวทย์มนตร์จะผิดพลาดเหมือนเมื่อคราวจู่โจมพวกควินทาเพ็ด แล้วนี่ยิ่งเป็นเวทย์มนตร์ข้ามผ่านมิติ ถ้าพลาดนี่เขาไม่ใช่ว่าต้องติดไปโลกคู่ขนานก่อนรึไง!!
หนุ่มเงินแหงนหน้ามองข้างบนเหล่าเพดานของโบสถ์เริ่มร่วงหล่นมาจะลงหัวเขา และไม่ต้องคิดอะไรมากอีกต่อไป เขาไม่ยอมให้หัวตัวเองโดนทุบเป็นอันขาด!! ว่าแล้วสายลับหนุ่มก็กระโดดผ่านช่องว่างแห่งมิติตามจอมเวทย์ผู้สร้างมันขึ้นมาทันที!! และดูว่าจะเฉียดกับที่เศษกำแพงชิ้นโตจะตกลงยังจุดที่เขายืนอยู่เมื่อครู่เพียงนิดเดียวเท่านั้น
รอบด้านของเขาและเด็กสาวที่หลุดมาในห้วงมิติที่บิเบี้ยวรอบด้านมีแต่นาฬิกาที่บิดเบี้ยวไปน้น เขารู้สึกเหมือนกับวิญญาณจะหลุดออกไปจากร่างเป็นความอึดอัดแบบที่บอกไม่ถูก เบื้องหน้าของห้วงเวลาที่ไม่รู้จบก็ปรากฏแสงสว่างสีสดใส ตอนนั้นเองที่ร่างของทั้งสองถูกแสงอันอ่อนโยนนั้นโอบอุ้ม และเหมือนถูกดึงไปที่ไหนอีกสักที่....
....งานนี้ฉันจะรอดไหมฟระเนี่ย!!....
ตุ๊บ!!!!!
ร่างสองร่างตกลงมาจากช่องว่างของมิติ แน่นอนว่าคนที่เข้ามาก่อนก็ย่อมลงมาก่อนส่วนผู้ที่ลังเลใจที่จะเข้ามาก็ดันหล่นตุ๊บใส่ร่างบางของสาวน้อยเข้าให้
“ลุกไปเดี๋ยวนี้นะยะ!!!” เธอร้องแว๊ดขึ้นก่อนจะผลักอีกฝ่ายให้ออกไปด้วยแรงที่เอามาจากไหนก็ไม่รู้ จนเด็กหนุ่มกระเด็นปิ้วออกไป
“เจ็บนะ!!ว่าแต่...ที่นี่คือที่ไหนล่ะเนี่ย?” เด็กหนุ่มโต้กลับไปก่อนจะถามขึ้นหลังจากที่มองรอบด้าน คราวนี้เหมือนจะเป็นสวนอีเดนในตำนานของพระเจ้าที่เขาได้ยินอย่างไรอย่างนั้น เบื้องหน้าของพวกเขามีกำแพงอิฐสูงใหญ่เสียจนเหมือนป้อมกันปราสาทมากั้นขวางอยู่จนมองไม่เห็นอะไร....
“ที่นี่ก็คือ อัลเฟรเดรีย ยังไงล่ะ” เสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นทำให้ทั้งสองต้องหันไปมองอย่างตกใจ เบื้องหน้าของพวกเขาคือ เด็กหนุ่มที่ท่าทางจะอายุมากกว่าพวกเขาราวๆ 2 ปี ในชุดเครื่องแบบแขนยาวสีดำ และเข็มขัดสีขาว ดูองอาจมั่นคงที่อกเสื้อติดตรารูปดาวอยู่ที่อกเสื้อ ภายในดาวนั้นเขียนคำว่า....Guardian....เรือนผมสีสั้นสีทองดูเป็นระเบียบ พร้อมแว่นกรอบรีบนใบหน้าขับให้ดูทรงความน่านับถือหากแต่อ่อนโยนในเวลาเดียว นัยน์ตาสีมรกตที่มองผ่านเลนส์แว่นมานั้น มองไปยังสองผู้มาใหม่อย่างใจดี....
“เอ๋? นี่จะบอกว่าพวกเรา...อยู่ที่อัลเฟรเดรียแล้วอย่างนั้นเหรอคะ?” เซียร่าเอ่ยขึ้นหลังจากที่เงียบมานานอย่างประหลาดใจ...อีกฝ่ายที่คาดว่าน่าจะเป็นนักเรียนของโรงเรียนอัลเฟรเดรียเช่นกันยิ้มรับก่อนจะเอ่ยต่อ...
“ใช่แล้ว...ที่นี่ก็คือ โรงเรียนนักสู้อัลเฟรเดรีย ขอยินดีต้อนรับพวกเธอทั้งสองคน ฉันชื่อ มิเกล คอนสแตนติน ปี 2 สาวนักเวทย์ และเป็นหนึ่งในการ์เดี้ยนของหอคอยแห่งดวงดารา...มาทำหน้าที่นำทางพวกเธอ....”
KKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKK
ความคิดเห็น