คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 5: ไลเตอร์ปี 1
บทที่ 5: ไลเตอร์ปี 1
ตั้งแต่เข้ามาเรียนที่อัลเฟรเดรียแห่งนี้ได้ก็ปาเวลาเข้าไปถึงหนึ่งอาทิตย์แล้ว ชีวิตการเรียนเป็นไปอย่างปกติสุขไม่มีอะไรมากเป็นพิเศษ ชั่วโมงเรียนสุดท้ายจบลงนักเรียนต่างสายการเรียนเริ่มมาแยกย้ายกันกลับหอคอยของตนเอง ที่หอคอยแห่งดวงดาราก็เช่นกัน....
“เหนื่อยเป็นบ้าเลย ทำไมวิชาเรียนของสายนักสู้ผสานเวทย์มันถึงได้เหนื่อยขนาดนี้นะ....” เด็กหนุ่มสายลับบ่นพึมพำเล็กน้อยหลังจากทิ้งตัวลงบนเตียงนอนในห้องนอนของเขาซึ่งแบ่งมุมออกเป็น 3 มุมสำหรับเพื่อนร่วมห้อง 3 คน....
“ก็ใครใช้ให้นายเลือกเรียนสายนั้นเองเล่า” หนึ่งในรูมเมทเด็กหนุ่มผู้มีเรือนผมม่วงเข้มแกมน้ำตาลดูสลวย เอ่ยด้วยใบหน้าแสดงความกวนโอ๊ย
“หนวกหูน่า” วีริดว่าเข้ากลับด้วยความเซ็ง แต่เขาก็รู้แหละว่าโทษใครไม่ได้ ก็เขาเป็นคนเลือกด้วยตัวเองนี่นา นี่ถ้าเกิดว่า ได้รู้ตารางการเรียน ชั่วโมงเรียนและวิชาล่วงหน้าล่ะก็ สายนี้น่ะเขาจะไม่แลเลยเชียว...
“นายก็อย่าบ่นไปเลย...ผู้ชายน่ะเขาไม่บ่นเรื่องมากแบบนี้หรอก” เด็กหนุ่มผมดำที่นั่งอ่านหนังสืออยู่อย่างเงียบเชียบเอ่ยบอกเสียงเรียบ ขณะที่นัยน์ตาสีอะเมทิสต์ละจากหนังสือไปจับจ้องเจ้าคนช่างบ่น...
“นายลองมาเรียนแบบนี้บ้างไหมล่ะ เช้ามาก็เรียนวิถีการต่อสู้ แล้วก็ตามด้วยวิชาเรียกใช้เวทย์ แล้วก็เรียนฝึกพลังจิต บ้าบออะไรอีกก็ไม่รู้! แถมต้องเรียนวิชาวางแผนเชิงการรบกับ อาจารย์ฮูเกลอีก!” ถึงเด็กหนุ่มผมเงินจะพูดไป แต่อีกฝ่ายก็ยังคงนิ่งเงียบไม่ได้สนใจ แถมยังแกล้งเมินไปอีกต่างหาก...พอเห็นแบบนั้นตัวหนุ่มน้อยสายลับก็ดูเหมือนจะชินชาเสียแล้ว เขาถอนหายใจน้อยๆก่อนจะเปลี่ยนเรื่องไปคุยกับลอนซาแทน
“แล้วนายล่ะ เรียนเป็นไงบ้าง สายนักสู้น่ะ” อีกฝ่ายแย้มยิ้มอย่างร่าเริงก่อนจะบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นพลางชกซ้ายทีขวาทีเป็นการประกอบภาพเสียด้วย
“มันส์สุดขีดไปเลยเพื่อน! ได้เรียนการต่อสู้ทั้งวัน แถมยังฝึกจู่โจมอะไรเยอะแยะไปหมด....”
!!ก๊อก!!ก๊อก!!
เสียงเคาะประตูห้องขึ้นขัดจังหวะการโม้แหลกของเพื่อนช่างบ้าการต่อสู้ ทำเอาคนที่กำลังจะอ้าปากคุยโม้ต้องหยุดลงด้วยท่าทางหัวเสีย
“ขอโทษครับ...คือว่าพวกเราปี 1 จะมีการประชุมกันที่ห้องนั่งเล่น พวกคุณเฮลอาเขาให้ผมมาตามน่ะครับ” เสียงผู้ชายแต่ติดว่าออกจะนุ่มนวล เรียกพวกเขาขึ้น ฟิลเน่เดินออกไปเปิดประตูก็พบหนุ่มแว่นตัวเล็กท่าทางอ่อนแอ...
“ผมไม่ได้มารบกวนพวกคุณใช่ไหมครับ?” หนุ่มแว่นพูดด้วยท่าทางเกร็งๆ ฟิลเน่มองด้วยสายตาเรียบเฉยก่อนจะพูดตอบไปว่า
“ก็ไม่...เฮลอาบอกว่ามีประชุมใช่ไหม?”
“อ่ะ...ครับ” อีกฝ่ายตอบเด็กหนุ่มผมดำพยักหน้ารับก่อนจะหันไปหาพวกทะโมนทั้งสองในห้อง...
“เฮ้ย...มีประชุมไปได้แล้ว” พูดแค่นั้นหนุ่มนักล่าแวมไพร์ก็เดินออกไปจากห้องทันที โดยมีหนุ่มแว่นผู้อ่อนแอรีบเดินตามไปต้อยๆ สายลับหนุ่มมองหน้ากับเพื่อนผู้บ้าการต่อสู้ก่อนจะเดินตามกันไปออกจากห้อง...
ทั้งสี่ชีวิตเดินลงมาจากหอพักชายจนมาถึงห้องนั่งเล่นซึ่งตอนนี้ดูเหมือนจะมีแต่พวกปี 1 ทั้งชายและหญิงนั่งกันเป็นแถบ ดูเหมือนว่าทุกคนจะรอเขาสามคนเท่านั้นจริงๆ
“เอาล่ะ...ก็มากันหมดแล้ว เหตุผลที่ฉันเรียกประชุมพวกเราปี 1 น่ะก็เพราะ....จากที่ฉันได้ไปถามพวกหอคอยอื่น เขาบอกว่าเลือกไลเตอร์กันหมดแล้ว ก็จะเหลือแต่หอคอยของเราที่ยังไม่มีไลเตอร์ปี 1 กันเลยฉันเลยคิดว่าเราควรจะเลือกได้แล้วว่าใครจะเป็น” กิลเบิร์ตนักข่าวประจำชั้นปีเอ่ยบอกขึ้นแถลงไข และนั่นก็ทำให้เพื่อนๆเริ่มหันหน้าเข้าคุยกัน ขณะที่ดูเหมือนหลายคนยังไม่ลงรอยเอกฉันท์กัน ก็มีมือหนึ่งยกขึ้นเพื่อแสดงความคิดเห็นพอกิลเบิร์ตเห็นแบบนั้นก็พยักหน้ารับ
“นี่ๆ ฉันเสนอให้ท่านวีริดเป็น ได้ไหม?” ชารอนสาวแฟนคลับนัมเบอร์วันของนายสายลับนักเสแสร้งเป็นเทพบุตรเสนอขึ้นมา พวกสาวๆสาวกนายเทพบุตรจอมปลอมนั่นก็เริ่มเห็นด้วยสนับสนุนกันเป็นแถบ
“จริงด้วยๆ ให้วีริดเป็นดีกว่าเนอะ”
“นี่ๆ!! พวกเธอยังไม่ได้ถามความเห็นพวกเราเลยนะ” เพื่อนชายร่วมชั้นปีเถียงขึ้นมาท่าทางจะขัดใจพวกสาวๆแฟนคลับไม่น้อยเลย
“จริงอย่างว่า เพราะฉันว่าจะให้คนอื่นขึ้นมาด้วยสิ” กิลเบิร์ตว่าขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ทุกคนก็เริ่มเข้าไปทำท่าขบคิดว่าจะเลือกใครดี และอีกเสียงหนึ่งก็เสนอขึ้นมา
“ฉันว่าให้ เซียร่า เป็นดีไหม?” แน่นอนว่าคำเสนอนี้คงไม่ได้มาจากคนอื่นก็เป็นหนึ่งในคณะแฟนคลับที่ตกหลุมพรางความน่ารักแบบจอมปลอมนั่นเข้าเต็มเปาแล้วไง พอสาวน้อยที่ถูกพาดพิงถึงได้ยินเข้าเจ้าตัวก็ส่งรอยยิ้มหวานไปขอบคุณคนที่เสนอ หากแต่ก็ตอบปฏิเสธไปอย่างนุ่มนวล...
“ขอบคุณจริงๆนะคะ ที่อุตส่าห์มั่นใจว่าฉันจะทำหน้าที่ดูแลทุกคนได้ แต่ว่า...ฉันขอสละสิทธิ์ให้คนอื่นดีกว่า เพราะตัวฉันเองไม่ใช่คนมีฝีมืออะไร เลยไม่อยากจะทำให้ทุกคนลำบากน่ะคะ” ด้วยใบห้าสวยใสยริสุทธิ์พร้อมกับคำตอบที่ฟังดูแล้วมีเหตุผลทำให้พวกหนุ่มๆเนี่ยเคลิ้มกันไปเลยทีเดียว แม้จะตอบออกไปเช่นนั้นหารู้ไม่ว่าจริงๆแล้วเธอคิดว่า....
....เรื่องอะไรจะไปทำ! ฉันไม่อยากมีภาระ อีกอย่างถ้าเกิดว่าต้องเป็นผู้นำก็แปลว่าต้องทำงานหนัก ไม่เอาด้วยหรอกยะ!!!.....
“แต่ฉันเองก็อยากเป็นเหมือนกันนะ” ลอนซาเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางมั่นใจว่าตัวเองน่าจะเป็นตำแหน่งนี้ได้ไม่ยากเย็นนัก ซึ่งก็มีหลายเสียงจากเพื่อนๆสายนักสู้อยู่เหมือนกัน
“นี่ๆ แต่ฉันอยากให้ฟิลเน่เป็นนะ” สาวแกร่งเกินร้อยว่าขึ้น ตัวเพื่อนสมัยเด็กที่ถูกพาดพิงเผลอหลุดเหวอออกมากให้เห็นกันจะๆตั้งทีหนึ่งทีเดียว
“ไม่เอาหรอก เฮลอา ฉันไม่เก่งขนาดนั้นหรอก” ฟิลเน่เอ่ยอย่างถ่อมตัว แต่ก็ต้องหยุดเงียบการปฏิเสธเมื่อเจอสายตาของสาวเจ้าเธอตวัดมามองด้วยท่าทางแกมบังคับ
“นายต้องสมัครเป็นกับเขาด้วยเข้าใจไหม?” พอเห็นแบบนั้นนักล่าแวมไพร์หนุ่มก็พลันต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะตอบด้วยท่าทางนอบน้อมกว่าปกติ
“ก็ได้....” เมื่อเฮลอาได้ยินคำตอบแบบนั้นก็คลี่ยิ้มและพยักหน้าด้วยความพอใจออกมา ผิดกับคนที่ถูกเสนอชื่อแบบมัดมือชกแกมบังคับไปโดยสิ้นเชิง
“อืม...ตกลงก็มี....วีริด ฟิลเน่ แล้วก็ ลอนซา ใช่ไหม? แล้วพวกเราจะเลือกยังไงดีล่ะ?” กิลเบิร์ตสรุปพร้อมถามความเห็นแต่ก็กลับไร้ซึ่งคำตอบจากใคร....ไม่มีใครเสนอแม้แต่คนเดียว....
“ดูเหมือนว่า พวกเธอก็กำลังจะเลือกไลเตอร์อยู่พอดีเลยใช่ไหมเนี่ย?”
การ์เดี้ยนมิเกลเอ่ยขึ้นขณะที่เดินมาจากประตูฝั่งหอชายด้วยใบหน้าแย้มรอยยิ้มอยู่ดั่งเช่นเคย ร่างสูงโปร่งของรุ่นพี่ผู้อ่อนโยนก้าวเข้ามาอาดๆ แล้วจึงพูดต่อไป
“ฉันน่ะได้รับการไหว้วานจากเซเดีย ให้มาช่วยคุมการเลือกไลเตอร์น่ะ แต่ถ้าในเมื่อพวกเธอปี 1 ทุกคนยังไม่รู้จะใช้วิธีไหนหา ดัชเชสเซเดีย เลยเสนอมาข้อหนึ่ง จะลองฟังดูไหม?” พอเห็นว่าไม่มีใครปฏิเสธรุ่นพี่ผมทองก็พยักหน้าเหมือนรับรู้ก่อนจะพูดต่อไปว่า
“ดัชเชสเซเดียน่ะ ได้นำสมบัติล้ำค่าอย่างหนึ่งเอาไปซ่อนไว้ที่ไหนก็ไม่รู้ภายในหอคอยแห่งดวงดารา เพื่อการทดสอบนั้นพวกคนที่จะทำการคัดเลือกเป็นไลเตอร์ปี 1 ก็จงไปนำเอามาให้ได้ ใครเอามาได้ก็เป็นไลเตอร์นั่นแหละดีไหม?” มิเกลอธิบายเสร็จสับแน่นอนว่าเสียงส่วนใหญ่จากสาวๆนั้นเห็นด้วยเต็มที่ และยิ่งพร้อมใจกันเห็นด้วยยิ่งกว่าเก่าเมื่อรุ่นพี่หนุ่มผู้อ่อนโยนคลี่รอยยิ้มออกมาอีก
“งั้นถ้าเกิดไม่มีใครแย้งที่พี่มิเกลพูดมางั้น พวกนาย 3 คนก็ไปหาได้แล้ว” กิลเบิร์ตสรุปก่อนจะทำท่าทำทางเหมือนไล่ออกไปชิ้วๆอย่างไรอย่างนั้น
“เฮ้ย!!พวกเรายังไม่ได้ตกลงเลยนะ!!!” ลอนซาเอ่ยแว๊ดขึ้นมา เรียกสายตาเย็นๆได้จากเอเรียสาวนักพเนจรที่เงียบฟังอยู่นานแล้ว เธอชายตามองอีกฝ่ายพร้อมบอกด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบชวนให้ขนลุกเหมือนเหมือนอยู่ในห้องแช่แข็ง
“แต่นายก็ไม่ได้ปฏิเสธไม่ใช่รึไง....อีกอย่างถ้านายเป็นลูกผู้ชายจริงๆล่ะก็ ก็หุบปากแล้วไปทำการทดสอบสักที” คำพูดเสียงแทงที่ทำให้รู้สึกเหมือนถูกแท่งน้ำแข็งเสียบอก ในห้องนั่งเล่นตอนนี้เหมือนดั่งมีพายุหิมะเข้าปกคลุมโดยไม่ตั้งใจ....แล้วทุกคนก็เข้าสู่ความเงียบ.......
“อ่ะ....เอ่อ....ถ้าเกิดว่าตกลงกันได้แล้ว พวกเธอ 3 คนก็เริ่มได้เลย สิ้นสุดเวลาคือ ตะวันตกดินของวันนี้” พอพูดเสร็จพี่มิเกลก็สั่งให้พวกเขาผู้เข้าชิงทั้งสามเริ่มออกไปตามหา ส่วนตัวรุ่นพี่ผมทองก็ใช้วิชาเวทย์แกะรอย เกาะติดสถานการณ์ของผู้เข้าแข่งทั้งสามให้ได้เห็นกันจะๆ!!
ทางด้านของสายลับหนุ่ม.....
วีริดเดินไปเรื่อยๆรอบๆหอคอยแห่งดวงดาราในหัวก็คิดหาทางค้นหาไอ้สมบัติบ้านั่น แต่ถ้าให้พูดกันตรงๆ ถ้าไม่ติดว่าพวกแฟนคลับอยู่เยอะแล้วเขาจะเสียฟอร์มหากปฏิเสธ เขาไม่มีทางมาแข่งชิงตำแหน่งไลเตอร์อะไรนั่นให้มันหนักภาระหรอก
....ปัญหาก็คือจะแอบบ่นก็ทำไม่ได้ เท่าที่เขาพอจะเดาออก พี่มิเกลต้องใช้เวทย์แกะรอยดูพวกเขาอยู่แน่ๆ....
สายลับผมเงินละความพยายามที่จะหาทางแอบบ่น แล้วก็เดินลอยไปเรื่อยๆอย่างไม่มีจุดมุ่งหมาย สมบัตินั่นหน้าตาเป็นยังไง มันคืออะไรเขาก็ไม่รู้แล้วจะให้ไปหานี่มันก็ยังไงๆอยู่ แล้วแบบนี้มันจะไปเจอได้ยังไง!!!
ไม่ทันไรขณะที่เขาเดินคิดอะไรไปเรื่อย ก็พบว่าตัวเองเดินมาในมุมๆหนึ่งของหอคอยแห่งดวงดาราที่เขาไม่คุ้นตาเอาเสียเลย มันเหมือนเป็นทางเดินแคบๆมืดๆที่ถูกหลงลืมมาเมื่อนานมาแล้ว ของประดับตกแต่งก็ดูเหมือนขึ้นฝุ่น
....ทางเดินแบบนี้มันมีในหอคอยแห่งดวงดาราด้วยอย่างนั้นเหรอ?....
เด็กหนุ่มหวาดตามองไปรอบๆ ทั้งที่บรรยากาศเก่าๆแบบนี้มันชวนขนลุกสิ้นดี แต่เขาก็กลับรู้สึกคุ้นเคยกันมันอย่างบอกไม่ถูก มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่อาจจะเข้าใจได้...เหมือนกับว่าคิดถึงสถานที่นี้มานานแล้ว....
เขามองไปรอบด้านอย่างหวาดระแวง ยังไงเขาก็เป็นสายลับจะให้วางใจอะไรได้นั่นก็ไม่มีทางอาจจะเป็นฝีมือของพี่มิเกล หรือพี่เซเดียคนสวยที่สร้างภาพมายาในการทดสอบนี่ก็ได้ ใครจะไปรู้ ท่ามกลางความสงสัยและอุปกรณ์ตกแต่งตามทางเดิมที่มีแต่ฝุ่นจับรวมถึงทางเดินนั้น อยู่ๆแถบรัดข้อมือที่เขาจับพลัดจับพลูได้มันมาก็ส่องสว่างขึ้นมา แต่เหมือนกับติดๆดับๆ....เด็กหนุ่มมองอย่างใคร่ครวญแต่ขาก็เดินไปไม่หยุดหย่อน และยิ่งเดินเข้าไปลึกแค่ไหน หินสีม่วงที่แถบรัดข้อมือก็ยิ่งส่องสว่างมากขึ้นไปเรื่อยๆ....
เห็นเช่นนั้นเด็กหนุ่มก็เริ่มเกิดอาการอยากค้นหาความจริงขึ้นมา เขาเดินไปตามทางตรงที่ลึกเข้าไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุดโดยการนำทางจากหินสีม่วงที่แถบรัดข้อมือเท่านั้น เดินจนไปสุดทางสิ่งเขาพบนั้นก็คือ...
.....ทางตัน....
ตอนนี้เขาเริ่มประจักษ์ได้ถึงความงี่เง่าของตัวเองที่เดินตามแถบรัดมือที่ได้มาอย่างไม่ตั้งใจนี่ เพราะทางข้างหน้าก็มีแค่ทางตันกับรูปกรอบใหญ่ๆฝุ่นเกรอะกรัง จะเดินกลับไปตอนนี้ก็ไกลโขอยู่....วีริดเริ่มกระตุกคิ้วอย่างหงุดหงิดใจ แต่พอคิดว่าไม่รู้ทำยังไงก็ควรจะเดินกลับดีกว่า ในวินาทีที่คิดจะเดินกลับนั้น อยู่ๆเจ้าหินสีม่วงนั่นก็ส่องสว่างวาบยิ่งกว่าตอนไหนที่เดินมาเสียอีก นั่นทำให้เขาแปลกใจยิ่งขึ้น
เด็กหนุ่มหันไปมองเจ้ารูปเก่าๆนั่นใกล้ๆ มือหนึ่งค่อยๆยื่นออกมา สัมผัสที่รูปนั้นเบาๆก่อนจะค่อยๆปัดฝุ่นที่รูปในกรอบนั้นอย่างช้าๆ เหมือนเห็น....รูปวาดของหญิงสาว แต่มันก็ช่างเลือนเพราะความเก่าจนดูไม่ออก แต่กลับให้ความรู้สึกคุ้นเคย เด็กหนุ่มกวาดสายตามองไปรอบรูปนั้น และสุดท้ายที่มุมล่างของรูป เอลซิส....
“เอลซิส...เหรอ?” เด็กหนุ่มพึมพำขึ้นทันใดนั้น หินสีม่วงที่แถบรัดข้อมือ และ กรอบรูปทองที่ถูกฝุ่นจับจนมองไม่เห็นความแวววาวก็พลันสว่างวาบขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แสงสว่างเจิดจ้านั่นเหมือนกับมีพลังมหาศาล แล้วดึงร่างของเขาให้หายไปจากตรงนั้น และ...ทางเดินเก่าๆก็พลันหายไปด้วยเช่นกัน!
ความรู้สึกแย่แบบสุดๆเหมือนถูกอะไรบางอย่างดึงไปอย่างนั้นเลย.....
วีริดปรือตาขึ้นอย่างช้าๆหลังจากที่เขารู้สึกว่าตังเองสลบมาเนิ่นนานแล้ว เขามองไปรอบด้านทุกอย่างว่างเปล่ามีเพียงแต่ห้องขาวๆเท่านั้น ไม่มีแม้แต่อุปกรณ์ไว้ประดับ เลยแม้แต่ชิ้นเดียว
....ที่นี่มันที่ไหนล่ะเนี่ย?.....
เด็กหนุ่มค่อยๆขยับกายลุกขึ้นพร้อมด้วยข้อสงสัยมากมาย นี่ถ้าหากว่าเป็นเวทย์มนตร์ของพวกรุ่นพี่จริง นี่ก็ออกจะเล่นแรงไปหน่อยแล้ว...
ตึก
เสียงฝีเท้าของคนแปลกหน้าก้าวเท้าเข้ามาในจังหวะที่เด็กหนุ่มไม่ได้ตั้งตัว เขารีบหันควับไปทางต้นเสียงนั้นโดยเร็ว เบื้องหน้าของเขาคือชายหนุ่มร่างสูงผู้มีเรือนผมสีเงินสลวยคล้ายๆกับเขายืนหลบมุมอยู่ที่หลังเสาสีขาวซึ่งไม่รู้ว่าโผล่มาตอนไหน...เขารู้สึกว่าเห็นแค่นั้น ไม่รู้ด้วยอะไรบางอย่างที่ขวางกั้นทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายได้
“มาถึงจนได้สินะ....” ชายคนนั้นเอ่ยน้ำเสียงทุ้ม มันฟังดูแล้วทั้งแข็งแกร่งและนุ่มนวลในเวลาเดียวกัน เหมือนเป้นเสียงที่คุ้นเคยแต่เขากลับนึกไม่ออก
“นายเป็นใครกัน!!” วีริดตะโกนถามไปด้วยความไม่ไว้วางใจ และพยายามจะเรียกทวนวิเศษของตนเองออกมาแต่กลับไม่สามารถเรียกออกมาได้ซึ่งนับว่าเป็นเรื่องที่แปลกมาก
....ทำไมไม่สามารถเรียกเพนคิลเลอร์ออกมาได้....
“นายถามว่าฉันเป็นใครอย่างนั้นเหรอ? แปลว่ายังนึกไม่ออกล่ะสิ...” ชายคนนั้นเอ่ยต่อน้ำเสียงคราวนี้ราวกับผิดหวัง....
“นึกอะไร?....” เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ อีกฝ่ายสะบัดหน้าหันหลังให้เห็นเพียงเส้นผมสีเงินสลวยนั่นเท่านั้น
“จงพยายามนึกให้ออก....เรื่องราวทั้งหมด เพราะการที่เจ้าสามารถมายังที่แห่งนี้ได้โดยที่ยังคงลืมเรื่องราวเหล่านั้นอยู่ นั่นก็คงหมายถึงลางร้าย....จงรีบนึกให้ออกโดยเร็ว....เพราะ ‘เจ้านั่น’ ก็คงใกล้จะตื่นจากการหลับใหลแล้วเหมือนกัน...” สิ้นคำพูดร่างของชายหนุ่มก็เดินลับหายไปพร้อมกับแสงสว่างอันเจิดจ้าอีกครั้ง
“เดี๋ยว!!!!นาย!!! เจ้านั่น ที่ว่าคืออะไร แล้วเรื่องราวมันอะไรกันน่ะ อ๊ะ!!!” สายลับหนุ่มพยายามร้องถามไป แต่ก็ถูกแสงสว่างอันเจิดจ้านั้นส่องเข้ามาจนเขาต้องเอามือมาป้องตาเอาไว้ และร่างทั้งร่างก็เหมือนกับถูกดึงไปอีกครั้ง!
ครั้งที่สองแล้วนะที่เขาถูกดึงไปไหนต่อไหนเนี่ย!!!!
เด็กหนุ่มคิดอย่างมึนงง เขามองไปรอบด้าน...ที่นี่ก็คือสวนด้านข้างของหอคอยแห่งดวงดารา เบื้องหน้าของเขาคือต้นไม้สูงใหญ่ที่อายุร่วมราวร้อยปี จากสภาพที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิงแบบนี้ทำให้เขางุนงงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่มันคือฝันหรืออะไรกันแน่ แต่ก่อนที่จะได้คิดอะไรมากกว่านั้นเขาก็รู้สึกได้ถึงไอเวทย์นิดหน่อยเขาจึงพิจารณาที่ต้นไม้ใหญ่ อีกครั้ง มีจุดหนึ่งที่เหมือนถูกม่านพลังเวทย์ที่แสนเบาบางสกัดเอาไว้ มือสุดซนของเขายื่นไปแถบบริเวณกลางต้นไม้ใหญ่ที่เหมือนมีม่านพลังนั้น เพียงแค่แตะเท่านั้นก็เกิดแสงส่องประกายน้อยๆ และที่จุดนั้นก็ปรากฏของสิ่งหนึ่งให้เห็น...เข็มกลัดสลักรูปดาวอย่างดี....ถึงจะไม่งดงามเท่าของพวกการ์เดี้ยน หรือคิงและควีนก็ตามที....
...เข็มกลัดประจำตำแหน่งไลเตอร์?.....
เขาคว้าเข็มกลัดนั่นเอาไว้ แสงสว่างรอบตัวเขาปรากฏขึ้นอีกครั้ง เหมือนเป็นการยอมรับผู้ที่จะเป็นเจ้าของ วีริดกำเข็มกลัดนั่นเอาไว้ก่อนจะเดินกลับไปยังห้องนั่งเล่นรวมของหอ เดินมาได้สักพักก็ถึงที่หมายจนได้ ซึ่งเพื่อนๆก็เหมือนมายืนรอต้อนรับเขาอยู่แล้ว รวมถึงลอนซาที่มีท่าทางเจ็บใจ และฟิลเน่ที่ยังคงยืนเฉยๆ
“กรี๊ด! ท่านวีริด ได้เป็นไลเตอร์แล้ว!!” ชารอนแฟนคลับเบอร์หนึ่งของเขาร้องขึ้นด้วยความดีใจตามด้วยเสียงกรี๊ดกร๊าดของพวกสาวๆแฟนคลับของเขาที่เริ่มกรูเข้ามาแสดงความยินดีกับเขาอย่างไม่หยุดหย่อน...
....สรุปว่า ไอ้เข็มกลัดเนี่ยเป็นสมบัติที่ให้หาจริงๆงั้นเหรอ?....
“เจ็บใจจริงวะ ที่แพ้แกได้เนี่ย!” ลอนซาเข้ามาเอ่ยกับเขาด้วยท่าทางหงุดหงิด ส่งเสียงจึ๊กจั๊กอย่างไม่พอใจแทบจะตลอดการสนทนากันเลยก็ว่าได้ แต่เขาก็รู้ว่านี่คงเป็นการแสดงความยินดีของสไตล์ลอนซานั่นแหละ
“ช่วยไม่ได้ คนมันเก่ง!”วีริดตอบกลับไป ด้วยรอยยิ้มกวนส้นฝ่าพระบาท ขณะที่เขากำลังคุยกับเพื่อนร่วมห้องร่วมแข่งกันอย่างสบายอารมณ์ นั้นแม่จอมเวทย์สาวตัวดีก็เดินเข้ามาหาเขาอย่างเงียบๆ
“นี่วิริด...ทำไมอยู่ๆนายถึงหายไปจากเวทย์มนตร์แกะรอยของพี่มิเกลได้ แล้วทำไมอยู่ดีๆนายถึงไปโผล่ที่ ที่ซ่อนเข็มกลัดไลเตอร์เอาไว้ได้” คงจะมีแต่ยัยจอมเวทย์นี่เท่านั้นที่เข้ามาคุยเรื่องซีเรียสกับเขาในเวลาแบบนั้น แต่พอได้ยินแบบนั้นก็ทำให้เขางงไปเหมือนกัน...
....นี่แปลว่า...ทั้งทางเดินเก่าๆนั่น กับห้องขาวๆนั่นก็ไม่ใช่เวทย์มนตร์ที่ไว้แกล้งเขาของพวกพี่มิเกลงั้นเหรอ?.....
“อืม...ไม่รู้สิ” สายลับหนุ่มตอบไป อย่างเรียบๆเฉยๆ และไม่คิดจะพูดอะไรมากกว่านั้น เพราะตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจความหมายที่คนๆนั้นที่เขาเจอที่ห้องขาวๆกับ เหตุผลที่เขาไปที่นั่นด้วย เพราะฉะนั้น....คงยังไม่ต้องบอกหรอก....
ความคิดเห็น