ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อัลเฟรเดรีย...โรงเรียนนักสู้ผู้พิทักษ์

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1: เดินทางสู่อัลเฟรเดรีย

    • อัปเดตล่าสุด 21 ก.ย. 50


                    

     

    บทที่ 1: เดินทางสู่อัลเฟรเดรีย

     

     

                    .....บทเพลงดังกังวาน ขับขานบรรเลง.....

     

                    .....เสียงอาวุธที่กวัดแกว่ง เสียงร่ายเวทย์ที่ร่ำร้อง.....

     

                    .....ดั่งเป็นสัญญาณแห่งสมรภูมิสงคราม.....

     

                   

                    หาวววววว

     

                    เสียงหาววอดใหญ่พร้อมกับเด็กหนุ่มผู้มีเรือนผมสีเงินสว่างสะท้อนแสงแดดรำไรที่ลอดผ่านต้นไม้รำไรสวย ดวงตาสีเพลิงปรือตาขึ้นอย่างเบื่อหน่ายก่อนจะตื่นขึ้นอย่างเต็มตา แขนทั้งสองบิดไปมาเพื่อให้ร่างกายตื่นตัวเต็มที่

     

                    ....เช้าแล้วเหรอเนี่ย?.....

     

                   

                    เขาคิดพลางขยี้ตาน้อยๆ สายลมเย็นที่พัดมาพร้อมกับเสียงของใบไม้นั้นชวนให้รู้สึกสบายใจน่าพักผ่อนต่อเป็นอย่างยิ่ง แต่ไม่ได้ เพราะตัวเขายังมีสิ่งที่ต้องไปทำอยู่! วีริดล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงพร้อมหยิบแผ่นกระดาษพับออกมาแล้วจึงกางออกเผยให้เห็นแผนที่ ซึ่งมีจุดหมายที่....โรงเรียนนักสู้อัลเฟรเดรีย.....

     

                   

                    แล้วไอ้โรงเรียนบ้านั่นอยู่อีกไกลไหมเนี่ย? เชาบ่นพึมพำคนเดียวก่อนจะเดินละออกจากใต้ต้นไม้น่ารื่นรมย์นั้นไป เขาเหลียวหลังมองเมืองที่เขาเดินออกห่างมาไกลจนเห็นเมืองทั้งเมืองนั้นเล็กเพียงนิดเดียว....

     

     

                    หลัวจากที่เขาได้ลงสมัครเพื่อเข้าเรียนในโรงเรียนนักสู้อัลเฟรเดรียซึ่งเป็นความฝันของเด็กส่วนใหญ่ รวมถึงตระกูลของคนเหล่านั้น เนื่องจากเป็นที่รู้กันดีว่า โรงเรียนอัลเฟรเดรีย ซึ่งเป็นโรงเรียนชั้นเลิศที่ไม่ว่าจะเป็นเจ้าชาย ขุนนาง หรือขุนศึก ต่างเข้าเรียนเมื่อคนเหล่านั้นจบมาก็กลายเป็นคนที่ยิ่งใหญ่ทั้งนั้น หากเด็กคนใดที่ได้จบออกมาก็ย่อมเป็นเกียรติแก่ตระกูลทั้งนั้น ทุกคนจึงมุ่งหวังจะได้เข้าเรียน...

     

                    รวมถึงตัวเขา วีริด แร็ก เองก็เช่นกัน เพียงแต่เหตุผลของเขาก็แค่ว่า อยากหาเรื่องสนุกๆทำก็เพียงเท่านั้น...ไม่ได้มีเหตุผลเพื่อเชิดหน้าชูตาวงศ์ตระกูลอะไรกับใครเขาเลยแม้สักนิดก็ไม่มี....

     

                   

                    ตอนแรกเขาก็คิดว่าดีที่ได้สมัครเข้าไปเรียน....แต่ถึงตอนนี้เขารู้สึกว่าคิดผิดอย่างหนัก!!...

     

     

                    วีริดเดินไปตามทางทุ่งหญ้าโล่งกว้างไร้ผู้คน มือหนึ่งถือแผนที่และดวงตาทั้งสองก็แทบจะก้มลงไปจนหน้าชิดแผนที่อยู่แล้ว!

     

                    หลังจากมองพิจารณาไอ้แผนที่บ้าที่ทางโรงเรียนส่งผ่านทางเหยี่ยวหิมะมาให้เขา พร้อมกับจดหมายจากทางโรงเรียนที่แจ้งเรื่องการเปิดเรียนที่จะถึงเร็วๆนี้ และกฏเบื้องต้นก่อนที่จะเข้าเรียน ซึ่งแต่ละข้อนั้นชวนให้เขาปวดสมองเป็นยิ่งนัก!

     

     

                    ข้อที่ 1 นักเรียนจะต้องเดินทางมายังโรงเรียนด้วยตนเอง ขอเน้นว่าด้วยกำลังขาเดินของนักเรียน ห้ามให้ใครมาส่งหรือพาหนะใดๆช่วยในการเดินทาง ไม่ว่านักเรียนจะเป็นเจ้าชาย เจ้าหญิง ขุนนาง หรืออะไรก็ตาม ไม่เป็นเหตุอ้างในการใช้พาหนะ หากใครฝ่าฝืนจะถูกตัดสิทธิ์การเข้าเรียนโดยปริยาย

     

     

                    แค่ข้อแรกก็ทำให้เขาประสาทแทบกิน เรื่องเดินเขาไม่มีปัญหาหรอก เพียงแต่ว่า...โรงเรียนอัลเฟรเดรียนั้นเป็นสถานที่เกือบจะพูดได้เลยว่าลึกลับสุดๆ เป็นโรงเรียนที่ตั้งออกห่างจากเมืองต่างๆ ต้องผ่านป่าอาถรรพ์ แล้วว่ากันว่ามีสัตว์ร้ายชุกชุม ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือไม่มีใครรู้จักที่ตั้งของโรงเรียนแน่ชัด จะมีก็แต่คนในโรงเรียนเท่านั้น!!

     

                    หลังจากที่เขาเดินทางมาพอสมควร เขาเงยหน้าจากแผนที่สัปปะรังเค ที่เหมือนจะไม่ได้บอกเขาเกี่ยวกับเส้นทางสักเท่าไหรนั้น พอมองไปด้านหน้าเขาก็พึ่งพบว่าเบื้องหน้าเขาคือป่าใหญ่สีดำสนิทท่าทางน่าวิตกเหล่าเถาวัลย์แตกแห้งสีดำสนิท บรรยากาศสีดำทมิฬผิดจาดทุ่งหญ้าเชียวขจี เมื่อครู่โดยสิ้นเชิง เขาเหลียวหลังกลับไป ก็ยิ่งตกใจเมื่อสภาพของเขาเหมือนแบ่งครึ่งพรหมแดน ฝั่งหนึ่งคือความอุดมสมบูรณ์ ส่วนอีกฝั่งดั่งความตาย.....

     

     

                    วีริดรีบก้มลงมองแผ่นที่สัปปะรังเคอีกครั้งโดยหวังแค่ว่ามันจะช่วยชี้แนะอะไรให้ได้บ้าง แต่ก็เปล่าเลย! ไอ้ป่าดำข้างหน้ามันเจือกไม่มีอยู่ในแผนที่นี่ด้วยซ้ำ....แต่จะให้เลี่ยงไปทางอื่นก็ได้ไม่ได้....งั้นคงมีอยู่หาทางเดียว!

     

     

                    ....งั้นนี้คงต้องวิญญาณพรานแล้วบุกป่าโลด!!....

     

     

                    พอเริ่มตัดสินใจได้แล้ว เขาก็จัดการยัดแผนที่กลับไปในกระเป๋ากางแกงดังเดิม โดยที่สาบานกับตัวเองในใจไว้อย่างแน่วแน่ ถึงโรงเรียนอัลเฟรเดรียเมื่อไหร เขาจะฉีกไอ้แผนที่สัปปะรังเคนี่ทิ้ง! แล้วจะถีบยันโครมเจ้าคนที่วาดแผนที่นี้ขึ้นมาด้วย!!....

     

                    ขาทั้งสองพาร่างของเขาเดินบุกเข้าไปในป่าดำอันมืดสนิทนั้น รอบข้างเขามีแต่ต้นไม้ไร้ซึ่งใบ แถมยังมืดมากเสียจนน่ากลัวทั้งที่เขาจำได้ว่าข้างนอกอย่างสว่างเจิดจ้าอยู่ ลำต้นของเหล่าพฤกษาก็พลันเป็นสีดำทั้งหมดเสียอีก สภาพรอบด้านก็ชวนขนลุกเสียจริง  แต่ที่ยิ่งกว่านั้น....เขากลับสัมผัสได้...ถึงอาคม...กระแสจิตเวทย์ที่ครอบคลุมทั่วทั้งป่าดำนี้....

     

     

                    ยิ่งเดินเข้าไปลึกเท่าไหร....ก็ยิ่งรู้สึกมากขึ้น....พลังเวทย์มนตร์ที่รุนแรง....

     

     

                   

                โอ๊ย!!!!”

     

                เสียงร้องหวานใสดังขึ้นมาจากบริเวณที่อยู่ใกล้ๆ สัญชาตญาณของวีริดรีบบังคับให้ขาทั้งสองวิ่งไปตามเสียงร้องนั้นทันที ถ้าตามที่เขาคิดมันเข้าสถานการณ์รหัส ส.อ.ด.ร.!!!

     

     

                    สัญญาณส.อ.ด.ร!! สาวเอ๊าะเดือดร้อน!!!...

     

                   

                เขาวิ่งเลาะต้นไม้สีดำมืดนั้นจนถึงกลางป่าดำซึ่งเป็นที่เดียวที่โล่งเป็นเพียงพื้นที่รูปวงกลมที่ไร้ซึ่งต้นไม้ดำที่เกะกะ และ ณ ที่นั้น เขาเห็นสาวน้อยหน้าหวานซึ่งอายุน่าจะไล่เลี่ยกับเขา กำลังนั่งอยู่นั่งกองกับพื้นในท่าพับเพียบเผยขาเรียวยาว แต่ก็ช่างดูยั่วยวนใจชายเป็นชนิดถ้าเขาไม่ฝึกรับสถานการณ์แบบนี้มาดีคงทำอะไรไม่ถูกเหมือนกัน

     

                    นี่เธอเป็นอะไรรึเปล่า!” วีริดพุ่งถลาเข้าไปดูอาการของเธอที่นั่งสั่นเทาด้วยอาการท่าทางเจ็บปวดที่ช่วงขา

     

                    เอ๊ะ....คุณ.... เสียงหวานใสประดุจน้ำผึ้งเดือนห้าขานตอบรับกลับมา นัยน์ตาสีทับทิมสวยจ้องมองประสานกับนัยน์ตาสีโลหิตของอีกฝ่ายไม่วางสายตา เส้นผมบลอนด์ยาวถึงกลางหลังอันถูกรวบพันธนาการไว้ครึ่งศีรษะดูเรียบร้อยเหมือนคุณหนูผู้สง่างามก็ไม่ปานนั้นสยายสลวยตามแรงที่เธอหันมามองหน้าเขาเบาๆ...

     

                    เป็นอะไรรึเปล่า? เขาย้ำถามอีกครั้ง เธอยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดเรียวปากสวยได้รูป ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหวานล้ำอีกครั้ง

     

                    คือ...พอดีฉันเท้าแพลงน่ะคะ.... เธอเอ่ยเสียงสุภาพเรียบร้อย ดูเหมือนเธอจะเขินอายทีเดียวเมื่อเขาจ้องมองเธอ

     

                    งั้นเหรอ?....แล้วเธอมาทำอะไรที่นี่น่ะ? หนุ่มผมเงินถามไปพลางขณะค่อยๆจับช่วงข้อเท้าของสาวน้อยเพื่อเช็คอาการของคุณหนูสาวคนนี้

     

                    คือว่า....ฉันกำลังจะไปอัลเฟรเดรีย น่ะคะ.... เธอตอบพร้อมบิดทำท่ากระมิดกระเมี้ยนไปมาจนดูจะเกินเหตุไปหน่อย หรือจะเป็นพวกถูกเลี้ยงมาดีเกิน?!

     

                    แล้วไม่ทราบว่าคุณ...? สาวน้อยเริ่มถามกลับขึ้นบ้างเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้ตอบอะไรเพียงเอาแต่เช็คข้อเท้าของเธอเท่านั้น

     

                    อ๋อ...โทษทีฉันลืมแนะนำตัวน่ะ ฉันก็จะไปอัลเฟรเดรียเหมือนกัน ฉันชื่อ...วีริด แร็ก...แล้วเธอล่ะ? เขาตอบพร้อมลุกขึ้นยืนจ้องหน้าถามเธอ และไม่รู้เขาคิดไปเองรึเปล่านะ...

     

                    ....ว่าแววตาของเธอเหมือนกับจะบอกเขาว่ารอเวลานี้อยู่เลย.....

     

                    ฉันชื่อ เซโรเวร่า เซรุเนส คะ...เรียกว่า เซียร่า ก็ได้นะคะ เธอตอบด้วยน้ำเสียงและรอยยิ้มอ่อนหวานชวนฝัน เขากระตุกรอยยิ้มที่มุมปากขึ้นเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อด้วยท่าทางเป็นสุภาพบุรุษ

     

                    อืม...ยินดีที่ได้รู้จัก งั้น...ไหนๆก็ไปทางเดียวกันแล้ว ไปด้วยกันเลยดีไหม? คุณหนู

     

                    เอ๋? มันจะดีเหรอคะ? เธอถามกลับ เขาแย้มรอยยิ้มสุภาพอีกครั้งแล้วตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล

     

                    ดีสิ...จะปล่อยให้สาวน้อยน่ารักแบบเธอ เดินทางคนเดียวได้ยังไงล่ะ จริงไหม?

     

                    ขะ...ขอบคุณมากเลยนะคะ คุณวีริด เธอแย้มรอยยิ้มอีกครั้งหลังจากที่ได้ยินคำตอบของอีกฝ่าย เขาเริ่มหันหลังเดินนำไปก้าวหนึ่งทำให้เซียร่าที่ยังคงนั่งเพราะขาเจ็บแปลกใจ แต่ก่อนที่เธอจะได้แย้งอะไรขึ้น วีริดก็เอ่ยขึ้นมาก่อน

     

                    แล้วจะไปด้วยกันน่ะ....ก็ลุกขึ้นเลยจะดีกว่านะ และคำพูดนั้นก็เล่นเอาสาวน้อยมุ่ยหน้าเล็กน้อย แต่นั่นก็เป็นเพีนงสีหน้าเพียงชั่ววูบที่เขาแอบเห็น และสาบานเลยว่าเห็นมันจริงๆ!

     

                    แต่ว่า...ฉันเจ็บขานะคะ สาวผมบลอนด์ยังคงเถียงต่อไป อีกฝ่ายหันหน้ากลับมามองเธอทั้งยังแย้มรอยยิ้มสุภาพบุรุษเหมือนที่ได้รับการฝึกมาอย่างดีจากที่บ้าน

     

                    หลอกฉันไม่ได้หรอกนะ....ฉันน่ะเช็คข้อเท้าเธอเมื่อกี้แล้ว เธอไม่ได้เจ็บอะไรเลยสักหน่อย... พอได้ยินแบบนี้สาวเจ้าเธอก็เริ่มมีน้ำตาคลอเบ้าชวนให้ดูแล้วน่าสงสารยิ่งนัก

     

                    อะ...อะไรกัน...ใจร้าย..... เธอว่าพร้อมกันเริ่มร้องไห้ออกมาด้วยท่าทางมาดคุณหนูสุดขีด หากเป็นชายคนอื่นคงจะหลงเสน่ห์แบบนี้เข้าไปเต็มๆแล้วก็ได้....แต่กับวีริด แร็ก มันไม่มีทางได้ผลหรอก

     

                    เลิกเล่นละครตบตาได้แล้ว...ฉันไม่เชื่อเธอหรอก เขายืนยันเสียงแข็งแต่ก็ยังคงปั้นหน้าเทพบุตรอยู่เหมือนเดิม พอได้ยินประโยคนี้สาวเจ้าเธอก็หยุดสะอื้นไห้มือหนึ่งยกขึ้นปาดน้ำตา ขาทั้งสองยันให้ร่างลุกขึ้นมาและสองมือก็ปัดเหล่าฝุ่นให้ออกจากร่างกายจนหมด...

     

                    ให้ตายเถอะ...เป็นครั้งแรกเลยนะเนี่ย ที่ฉันถูกดูออกน่ะ เซียร่าพูดขึ้นแต่คราวนี้หาใช่เสียงหวานเช่นเดิม น้ำเสียงนั้นดูแข็งกร้าวและเย่อหยิ่งเป็นที่สุด

     

                    ก็นะ...ก็...เคยได้ยินไหม? ว่าพวกเดียวกันมันก็มีกลิ่นอายเหมือนๆกันน่ะเขาตอบเธอแม้ดวงหน้าหล่อจะยังฉาบด้วยรอยยิ้มเทวดา สาวผมบลอนด์ทำหน้าบูดครู่หนึ่งก่อนจะหัวเราะเยาะขึ้นแล้วเอ่ยพูดเหน็บอีกฝ่าย

     

                    ถ้างั้น...คุณเจ้าของหน้ากากสุภาพบุรุษ เอง...ก็ควรถอดหน้ากากได้แล้วนะ เธอว่าขึ้นเท่านั้นแหละชายหนุ่มก็เพียงหัวเราะหึ เล็กน้อยมือหนึ่งเสยผมพร้อมจัดผ้าที่โพกหัวเอาไว้ให้เข้าที่แล้วหันมาบอกเธอด้วยรอยยิ้มชวนกวนประสาท

     

                    นั่นสินะ...ฉันเองถ้าอยู่กับพวกเดียวกันก็ขี้เกียจปั้นหน้าแล้วล่ะ....เธอน่ะมีจุดประสงค์อะไรกันแน่ วีริดถามขึ้นอีกครั้งแม้ในตอนแรกใบหน้านั้นจะยิ้มแย้ม แต่ก็เปลี่ยนกลับมาเป็นใบหน้าที่ชวนให้เอารองเท้าขึ้นไปประทับยิ่งนัก

     

                    ก็ไม่มีอะไรหรอก....ฉันน่ะเป็นผู้ดีนะ จะให้มาเดินดุ่มๆในป่าแบบนี้ได้ยังไง จริงไหม? ฉันก็แค่...จะหาพวกผู้ชายหน้าโง่สักคนมาช่วยแบกฉันออกไปจะได้ไม่เมื่อยก็แค่นั้นแหละ เซียร่าตอบด้วยท่าทางที่เหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดาเต็มที่....ดูยังไงก็ลูกคุณหนูผู้เอาแต่ใจชัดๆ....

     

                แผนเธอก็แตกแล้ว...เอาไงล่ะ? วีริดถามอีกครั้งขณะกระตุกคิ้วเรียวขึ้นเล็กน้อยเป็นสัญญาณ...เธอหันมาทำหน้าเบ้ใส่เขาแล้วตอบด้วยท่าทางเย่อหยิ่งยิ่งกว่าเดิมไป

     

                    จะให้ทำยังไงล่ะยะ...นายทำแผนฉันพังนายก็ต้องพาฉันไปด้วย...ไม่งั้น.... เธอตอบขณะที่มือก็ยินออกมา เธอสร้างข่ายพลังเวทย์จนเกิดวงอักขระเวทย์สีดำที่มือขวา ก่อนจะปรากฏเคียวอันยักษ์สีดำอันประดับด้วยหัวกะโหลกชวนสยองตรงช่วงระหว่างด้ามจับและช่วงมีดยาวเฟี้ยวที่พร้อมจะเฉือนร่างศัตรู ออกมาโชว์ตระหง่านอยู่เบื้องหน้าเขา...

     

                    แต่เด็กหนุ่มก็ยังดูไร้ซึ่งความกลัว....

     

                    ถ้าฉันไม่พาเธอไปด้วย...เธอก็จะใช้ไอ้นั่นบั่นคอฉันรึไง? เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะ และนั่นยิ่งทำให้สาวผมบลอนด์ที่แปลงร่างจากคุณหนูผู้เรียบร้อย กลายเป็นนางมารร้ายแห่งอเวจีไปได้นั้นเริ่มกริ้วนิดๆแล้ว

     

                    แล้วมันน่าขำรึไง? ไม่กลัวตายรึไง เธอย้อนถามกลับบ้าง

     

                    ก็นะ...ฉันคงกลัวแย่เลย ถ้าเกิดว่าเคียวอันนั้นใช้ฟัน ฉันได้จริงๆน่ะนะ เขาตอบด้วยใบหน้าที่เหมือนจะหัวเราะอีกครั้ง แถมยังเน้นย้ำคำว่าใช้ฟันได้จริงๆอีกเสียด้วย เล่นเอาสาวน้อยทำหน้ายุ่งใจชั่วครู่ก่อนจะหันมาทำหน้ายิ้มหวานเช่นเดิม

     

                    นายพูดเรื่องอะไรน่ะ? เธอยังคงย้อนถามด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น และมือก็ยังคงถือเคียวในท่าที่พร้อมจะเฉาะคอคนเบื้องหน้าเป็นนิจ

     

                    เคียวอันนั้นน่ะ....ไนท์แมร์ (Nightmare) ใช่ไหมล่ะ? เป็นเคียวเวทย์มนตร์ที่ทรงพลังมาก สามารถตัดม่านพลังเวทย์ได้ทุกแขนง แถมยังสามารถผ่าช่องทางระหว่างโลกมิติ หรือความเป็นจริงกับความฝันก็ได้...แต่ข้อเสียของมันก็คือ ไม่สามารถที่จะผ่าร่างมนุษย์ หรือสิ่งมีชีวิตได้....ฉันพูดถูกไหม? เขาเอ่ยกวนประสาทกับเธอ แต่นั่นก็ถึงกับทำให้เธอถึงกับกัดฟันกรอดน้อยๆอย่างเสียฟอร์มแบบสุดๆไปเลย แต่...สิ่งที่พูดนั้นก็ถูกต้องทุกประการ....

     

                    ไอ้หมอนี่รู้อะไรเยอะกว่าที่เธอคิด....

     

                    นั่นคือสิ่งเดียวที่อยู่ในหัวของเธอ นัยน์ตาสีอัญมณียังคงพราวระยิบอย่างขัดใจ แต่ก็รู้ว่าเอาเคียวมาขู่ไปก็เท่านั้น เจ้าคนข้างหน้านี่มันไม่ได้กลัวเลยสักนิดเดียว เธอจึงลดอาวุธใหญ่สีดำทมิฬนั่นแล้ววางมันพิงพาดบ่าเอาไว้แทน เธอพ่นลมหายใจออกมาเบาๆอย่างคงความเป็นผู้ดี

     

                    เชอะ....ท่าทางวันนี้ฉันจะดวงไม่ดีมากๆเลยนะ ถึงแผนรอบสองฉันจะไม่สำเร็จแต่ก็นายก็ต้องพาฉันไปด้วย และไม่มีแต่!!!” เธอยื่นคำขาดอีกครั้ง วีริดถอนใจอีกครั้งอย่างหน่ายใจก่อนจะเสยผมสีเงินที่ร่วงมาปรกตานั้นขึ้นอีกครั้ง แต่ในจังหวะนั้นเอง....เขาก็รู้สึกได้ถึงบางอย่างที่กำลังเดินเข้ามา...

     

                   

                    แกร๊ก!แกร๊ก!!

     

                    เสียงของกิ่งไม้แห้งแตกระจายด้วยแรงของอะไรบางอย่างที่กดทับมันลงไป วีริดหันหลังจากแม่สาวตัวดีเพื่อเช็คให้แน่ใจว่าอะไรกำลังใกล้เข้ามา และดูเหมือนแม่สาวคุณหนูนั่นก็รู้ตัวอยู่เหมือนกันถึงได้ถือเคียวในท่าที่พร้อมต่อสู้ที่สุด

     

                    เธอก็รู้สึกได้ใช่ไหม? วีริดถามเธอที่ยืนหันหลังให้เขาเพื่อดูอีกทาง คราวนี้บุคลิกเธอดูเปลี่ยนไปอีกแล้ว...

     

                    ฉันรู้แล้วน่า...นายน่ะเอาอาวุธออกมาเตรียมให้พร้อมจะดีกว่า เธอว่าขึ้นขณะกระชับเคียวในมือให้แน่นขึ้นเพื่อที่จะใช้ถนัดในการต่อสู้

     

                    รู้แล้วล่ะนะ....เพนคิลเลอร์!! (Pain killer) พอเอ่ยเสร็จอาวุธทวนคู่เหล็กชั้นสูงใหญ่ยักษ์ราวสองเมตรก็ขึ้นมาปราฏบนมือทั้งสองของเขา  วีริดควงทวนสองอันนั้นเล็กน้อยเพื่อให้คุ้นมืออยู่ครู่หนึ่ง...

     

                    เสียงย่างเท้าของสัตว์ราวสีขาค่อยๆใกล้เข้ามาเรื่อยๆ...ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ แถมจิตสังหารที่ถูกส่งออกมาจากสิ่งที่เขาคาดว่าน่าจะเป็นสัตว์ก็รุนแรงมากขึ้นเสียจนน่ากลัว...

     

                    ท่ามกลางบรรยากาศตึงเครียกที่คละคลุ้งไปด้วยไอสังหารนั้น ทั้งสองก็เริ่มเห็นเงาดำใหญ่ที่ค่อยๆย่างเข้ามาอย่างช้าๆ...สัญชาติญาณของวีริดบอกเขาว่าตอนนี้เข้าสู่สถานการณ์แบบวิกฤติแน่ๆ!! แล้วมันยิ่งทำให้เขานึกถึงกฏเบื้องต้นของการเข้าเรียนข้อถัดมาเลยทีเดียว...

     

                    ข้อที่ 2 หากเกิดอันตรายแก่ร่างกายหรือชีวิตอันใดระหว่างการเดินทางมาโรงเรียน ทางเราจะไม่รับผิดชอบแต่อย่างใด รวมถึงไม่จ่ายเงินชดเชยให้กับทางบ้านที่ดูแลผู้จะเข้ามาศึกษาอีกด้วย

                   

                แต่ก่อนที่เขาจะได้หัวเสียอะไรไปมากกว่านั้นเจ้าสัตว์ร้ายที่คืบคลานเข้ามาก็ออกมาปรากฏกายจนได้ เจ้าตัวที่ออกมานั้นมีรูปร่างเตี้ยม่อต้อคลานมาทางพื้นขนดกสีน้ำตาลแดง พร้อมด้วยขาถึงห้าขาที่ชวนให้ขยะแขยง นัยน์ตากระหายเลือดมองที่มาที่เขาทั้งสองคน เคี้ยวแหลมคมที่พร้อมจะฉีกกระชากอะไรก็ตามเข้าไปใกล้ช่องปากของมัน...ทันทีที่วีริดเห็นพวกมันก็จำได้ทันทีตามตำราหนังสือสัตว์ร้ายที่บิดาผู้มีพระคุณยัดเยียดให้เขาอ่านวันละเป็น 10 เล่ม

     

     

                    สถานการณ์เลวร้ายสุดๆ!!ตัว ควินทาเพ็ด ที่ชอบการกินเนื้อมนุษย์ เป็นที่หนึ่ง!! มันคงจะคิดว่าเขากับสาวน้อยคนนี้เป็นมื้อเที่ยงของมันล่ะสิ แถมยังชวนพรรคพวกมากินอีก!! 6 ตัว!!เข้ามาล้อมพวกเขาสองคนเอาไว้

     

     

                    แครกกกกก

     

                    ควินทาเพ็ดตัวหนึ่งร้องขู่คำรามพร้อมกับที่มัตัวหนึ่งกระโดดพุ่งเข้ามาเป้าหมายของมันคือสาวผมบลอนด์ที่ยืนหันหลังให้เขา!!

     

                    เฮ้!!เธอ!!!!” หนุ่มผมเงินร้องขึ้นเพื่อเตือนและพยายามจะขยับขาเพื่อเข้าไปกัน แต่ก็มีควินทาเพ็ดอีกตัวที่กระโดดเข้ามาหมายจะจู่โจมเขาเช่นกัน ทำให้เขาต้องหยุดเพื่อเอาทวนขวางมันก่อนจะสะบัดมันออกไปแล้วใช้คมแหลมของทวนแทงมันเข้าไปตรงบริเวณหัว เลือดไหลรินก่อนที่มันจะลงไปนอนตายบนพื้นหญ้าที้แห้งตายเหล่านั้น ไม่เพียงเท่านั้นพอพวกพ้องควินทาเพ็ดเห็นเพื่อนของมันตายไปมันก็เริ่มทะยอยกรูกันเข้ามา...

     

                    ก๊อด ออฟ เดธ!!!!”

     

                    เสียงกังวานใสของสาวน้อยที่ไม่ยอมพูดยอมจากับเขาตั้งแต่เมื่อสักครู่ดังขึ้น ชายหนุ่มรู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลที่ก่อรวมตัวขึ้นและดูเหมือนว่าเจ้าพวกควินทาเพ็ดเองก็รู้สึกได้ หลังจากจัดการตัวที่สองแล้ว วีริดหันไปมองก็พบกลุ่มไอมนต์สีดำสนิทรวมกันเป็นรูปของยมฑูตหัวกะโหลกอันคลุมด้วยเสื้อคลุมดำ ในมือถือคมของจริงเอาไว้ เซียร่าเร่งพลังเวทย์ขึ้นเพื่อควบคุมไอมนต์ที่เธอสร้าง ยมฑูตขนาดใหญ่ตนนั้นลงเคียว และในคมเคียวเดียวก็จัดการฟาดฟันเหล่าควินทาเพ็ดรอบบริเวณได้ ในคราเดียว...พวกสัตว์ร้ายขนดกสลายไปไม่เหลือแม้แต่คราบเลือดที่หยดลงบนพื้น....

     

                    ฮึ....แค่นี้เองงั้นเหรอ? เซียร่าเยาะ สายตาที่มองชายหนุ่มก็ประมาณว่า...ฉันชนะแล้ว....และนั่นเรียกให้คนชอบปั้นหน้าเป็นเทพบุตรต้องทำหน้าบูดเป็นครั้งแรก...เขารู้ได้!!เขากำลังถูกเยาะเย้ย!!!....

     

                    ชิ.... หนุ่มผมเงินดูไม่พอใจอย่างมาก พร้อมเสยผมเงินของตนเองขึ้นอย่างรวดเร็ว ดั่งเป็นการระบายความไม่พอใจ สาวน้อยมองอีกฝ่ายด้วยสายตาสะใจเป็นอย่างยิ่งที่ได้เอาคืน...แต่ช่วงเวลาที่สงบจะอยู่ได้ไม่นานนัก....

     

                   

     

                แครกกกกกกก

     

                    เสียงขู่คำรามก้องขึ้นมาอีกครั้ง ทำให้สองหนุ่มสาวที่กำลังยืนจ้องประจันหน้าส่งสายฟ้ามาเปรี๊ยะๆ ต้องหันออกมามองรอบด้าน มันทำให้ทั้งสองช็อคจนแทบจะอ้าปากค้าง! เมื่อสักครู่พวกควินทาเพ็ด 6 ตัว...ดูเหมือนคราวนี้มันอยากจะอยากแก้แค้นให้เพื่อนของมันหรืออย่างไร ถึงได้มีตัวน่าขยะแขยงนั่นโผล่มาอีกเป็นฝูงแถมยังล้อมรอบทั้งสองอีก ชิดไม่ให้หนีไปไหนได้เลย!!

     

                    ....ซวยแล้ว!สถานการณ์เลวร้ายสุดๆ!!!....

     

                    หนอย!!ไม่เลิกตอแยเลยนะพวกแก!!!งั้นต้องเจอเวทย์มนตร์ของฉัน!!!” สาวน้อยผมบลอนด์เอ่ยอย่างหงุดหงิดพร้อมเรียกไอมนต์ให้เข้ามารวมตัวกันอีกครั้ง

     

                    ...ใช่แล้ว!!เวทย์มนตร์พลังเมื่อสักครู่ ถ้าร่ายออกมาสำเร็จล่ะก็!!พวกเราก็รอด!!!....

     

                   

                    ก๊อด ออฟ เดธ!!!” ร่างบางร้องลั่น กลุ่มไอเวทย์รวมตัวกันเป็นเพื่อจะรวมเป็นยมฑูตอีกครั้ง เหล่าสัตว์ร้ายกระหายเลือดต่างเริ่มหวาดกลัวในพลังนั้น และในวินาทีที่ยมฑูตจะออกมานั่นเอง!!

     

     

                ป๊อง!!

     

     

                    อยู่ดีๆกลุ่มไอมนตร์ก็กลายเป็นเพียงควันสีดำ และไร้ซึ่งยมฑูตออกมา สร้างความแปลกประหลาดใจให้ชายหนุ่มอย่างมาก

     

                    เธอทำอะไรน่ะ!!” วีริดร้องออกมาด้วยความตกใจ ขณะที่ใช้ทวนรับมือเจ้าพวกควินทาเพ็ดไปทีละตัว แต่ก็ดูเหมือนว่าจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

     

                    โธ่เอ้ย!เวทย์มนตร์มันผิดพลาดนี่นา!!นายไม่มีสิทธิมาตะคอกใส่ฉันนะ!” เซียร่าตะโกนะกลับขณะที่พยายามจะร่ายเวทย์ใหม่อีกครั้ง แต่คราวนี้เธอกลับเปิดช่องโหว่ให้กับพวกควินทาเพ็ด หนึ่งในพวกมันกระโดดพุ่งเข้าหาเธออย่างกระหายเลือด!

     

                    เฮ้ย!!เซียร่าระวัง!!!” เด็กหนุ่มร้องขึ้นด้วยความตกใจพร้อมจัดการเจ้าสัตว์กระหายเลือดที่จะเข้ามาทำร้ายเขาอย่างเร็วแล้ววิ่งฝ่ามันเข้ามาขวางระหว่างมันกับเธอเอาไว้

     

                    อ๊าก!” วีริดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดอย่างมาก เมื่อคมเขียวของมันฝั่งลงไปบนท่อนแขนของเขาจนเลือดไหลซึมเขารีบเอาทวนที่มืออีกข้างแทงมันเข้าที่ลำตัวก่อนจะสะบัดมันออกไป เมื่อเคี้ยวของสัตว์ร้ายออกไปจากแขนของเขาก็ทำให้เลือดสีแดงข้นไหลออกมาเป็นสายทาง

     

                    เฮ้!วีริดเป็นไงบ้างน่ะ!!” สาวน้อยที่เห็นเด็กหนุ่มได้รับบาดเจ็บก็ตกใจรีบเข้ามาดูอาการของเด็กหนุ่มที่กำลังเอาจัดการกับบาดแผล!

     

                    ยัยบ้า!!อย่าหันหลังให้พวกมันสิ!!” วีริดตะโกนว่าขึ้น เซียร่ารีบหันไปมองก็พบว่าคราวนี้พวกมันทั้งฝูงตั้งใจจะจู่โจมพร้อมกัน ถึงคราวพวกเธอสองคนต้องชะตาขาดแน่!!

     

                    ตอนนั้นเองก็บังเกิดแสงสว่างจ้ารอบตัวทั้งสอง โอบล้อมรอบทั้งสองเอาไว้พวกควินทาเพ็ดรอบด้านพลังสลายไปด้วยเวทย์มหาศาลนี้ไปจนหมดทั้งฝูง แล้วอยู่ๆทั้งเขาและเธอก็รู้สึกร้อนวูบราวกับร่างจะถูกดึงให้ขาดออกเป็นเสี่ยงๆ และเมื่อลำแสงจ้าจนแสบตานี้เลือนหายไป....ร่างของคนสองคนเองก็หายไปด้วยเช่นกัน....

     

    KKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKKK
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×