คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : ลำดับตอนที่ 5
บทนำ
ผมตื่นขึ้นมากลางดึก
ไม่ใช่เพราะเหตุผลหน่อมแน้มอย่างฝันร้ายหรืออะไรหรอกนะ ที่ผมตื่นขึ้นมาเพราะอากาศมันร้อนจัดต่างหาก อ้อ แล้วก็อีกเรื่อง ผมดันได้ยินเสียงที่ควรจะไม่ได้ยินดังมาจากห้องน้ำนั่นน่ะสิ
มันเป็นเสียงของน้ำประปาเก่าๆ ผุพังและน้ำไม่ไหลกว่าสิบปี แต่บัดนี้มันกลับไหลพรวดออกมาจนได้ยินเสียงซ่าๆ เหมือนเสียงของน้ำตก
ผมขมวดคิ้วอย่างงุนงง
มันไม่น่าจะเป็นไปได้ ไม่สิ มันเป็นไปไม่ได้เลยต่างหาก … เสียงซ่าๆ ราวประปาแตกมันไม่มีทางที่จะเกิดขึ้นกับก๊อกน้ำเก่าๆ ที่ไม่มีใครใช้ ก๊อกน้ำที่เต็มไปด้วยสนิมเกรอะกรังบ่งบอกถึงอายุเป็นสิบๆ ปีของมัน!
หรือเสียงที่ผมได้ยินมันจะเป็นเสียงอย่างอื่นกันนะ?
ผมค่อยๆ ลุกขึ้นจากเตียงอย่างงัวเงีย ก่อนจะถอดเสื้อกล้ามชุ่มเหงื่อออกอย่างหงุดหงิด มือก็พัดลมเข้าหาตัวเองเพื่อหวังจะคลายร้อน แล้วเดินฝ่าความมืดคลำกำแพงหาสวิตช์ไฟ
ซึ่งผมกดสวิตช์เท่าไหร่ ไฟก็ไม่ติด
ผมยักไหล่อย่างไม่สนใจ จริงๆ ไฟผมมันเสียบ่อยมาก บ่อยจนผิดปกติ แล้วเมื่อวานผมก็พึ่งเปลี่ยนหลอดไฟมาหยกๆ มันก็เสียอีกแล้ว ผมไม่ค่อยสนใจมันเท่าไหร่นัก คิดแค่ว่าสายไฟคงมีปัญหาและตัวผมก็ไม่ใช่คนกลัวความมืด ปัญหานี้ผมจึงปล่อยไว้คาราคาซังไม่แก้ไขอะไร
อีกนัยหนึ่งคือผมไม่อยากเสียตังค์จ้างช่างมาซ่อม! สมัยนี้น่ะข้าวของแพงจะตายชัก! อะไรที่คิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้ผมก็ไม่มีวันออกเงินซื้อเด็ดขาดล่ะ
ผมชะโงกหน้าเข้าไปดูในห้องน้ำ จ้องมองกระจกอย่างเคยชิน ก่อนจะพบว่ามีดวงตาสีเขียวจ้องมองผมตอบ เด็กหนุ่มในกระจกมีรูปร่างผอมสูง ผิวขาวซีด ผมสีน้ำตาลกระเซอะกระเซิงยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง ผมเมินภาพในกระจกนั่นก่อนจะก้มลงมองก๊อกน้ำที่เป็นต้นเหตุให้ผมตื่นขึ้นมากลางดึกนี้
ก๊อกน้ำยังคงนิ่งสนิทอย่างที่มันควรจะเป็น ไม่มีน้ำไหลออกมาเลยสักหยด
แล้วเสียงที่ผมได้ยินมันดังมาจากไหนกัน ...
แต่แล้วเสียง ซ่า! ก็ดังลั่นจนผมสะดุ้งโหยง ดวงตาตวัดขวับมองก๊อกน้ำขึ้นสนิมโดยสัญชาตญาณ แต่ก๊อกน้ำก็ยังคงหยุดไหลเช่นเดิม เสียงซ่าๆ ดังถี่ๆ และดูเหมือนจะดังขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผมเริ่มลอกแลก เสียงน้ำนี่มาได้ยังไงกัน? มันไม่ควรจะมาสิ ก็ผมยังไม่ได้ใช้ ‘พลัง’ ของตัวเองนี่นา!
สายตาของผมกวาดมองทุกส่วนของห้องน้ำก็ยังไม่เห็นที่มาของเสียงนั่น แต่เงาสะท้อนในกระจกบานใหญ่ก็เรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นมอง
ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจ อ้าปากค้างอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนในชีวิต!
บานกระจกที่ควรจะเป็นกระจก มันกลับกลายเป็น ‘คลื่นน้ำ’ ไหลกระเพื่อมราวกับสายน้ำตก เสียงซ่าๆ ดังเข้าหูผมอย่างต่อเนื่อง และไฟที่เปิดไม่ติดบัดนี้กลับเปิดขึ้นจนทั่วทั้งห้องน้ำสว่างโร่ ไม่ใช่สิ ... นี่ไม่ใช่ห้องน้ำ! บริเวณอ่างอาบน้ำของผมกลายเป็นมหาสมุทรสีน้ำเงินยาวสุดลูกหูลูกตา ส่วนพรมเช็ดเท้าก็กลายเป็นเปลือกหอยและปลานานาชนิด พื้นกระเบื้องที่ผมเหยียบอยู่ก็ให้ความรู้สึกนุ่มลื่นราวเหยียบพรม ผมก้มลงมองพื้น ไม่... มันไม่ใช่พรม แต่เป็นปะการังสีสันสวยสดต่างหาก!
ผมกำลังอยู่ใต้มหาสมุทรรึไงกัน !?
ผมรู้ตัวว่ากำลังอุทานไม่เป็นศัพท์ เพราะมีฟองอากาศจำนวนมากออกจากปากผม และวินาทีต่อมาผมเริ่มรู้สึกอึดอัดขาดอากาศหายใจ มันเป็นไปไม่ได้! ผมไม่เคยขาดอากาศเวลาอยู่ใต้น้ำ!! ผมมึนงงและสับสนอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะดิ้นทุรนทุรายพยายามไขว่คว้าหาอากาศเพื่อเอาชีวิตรอด สองมือพยายามใช้ ‘พลัง’ ของตัวเองแต่กลับไม่เป็นผล ...มันไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ... ข้างในอกมันอึดอัดจนอยากระเบิด ร่างกายรู้สึกเหมือนถูกโยนเข้าไปในเครื่องบดหมู ความรู้สึกทรมานแล่นจู่โจมผมทั่วร่างกาย ผมพยายามตั้งสติพยายามออกแรงว่ายขึ้นฝั่งที่ไม่รู้จะมีให้ขึ้นหรือเปล่า ... และตาของผมก็เหลือบไปเห็นก๊อกน้ำเพียงหนึ่งเดียวที่ยังคงวางอยู่ที่เดิม ผมรีบเอื้อมมือไปแตะก๊อกน้ำสนิมเขรอะนั่น
“แค่ก!!”
ผมสำลัก หอบหายใจถี่รัว พยายามสูดอากาศเข้าปอด เมื่อตั้งสติได้ผมก็พบว่ายังคงนั่งอยู่บนที่นอนสีขาวสะอาดตัวเดิม ผ้าห่มข้างๆ ตัวยับยู่ยี่ที่ผมพอจะเดาออกว่าผมคงจะดิ้นหนักแน่ๆ ผมถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะปาดเหงื่อที่ไหลโซมกายออก
… โชคดีที่เป็นแค่ความฝัน
แต่มันเป็นฝันที่เหมือนจริงชะมัด !!
ผมนั่งแช่อยู่บนเตียงโดยไม่รู้ตัวว่าเช้าวันใหม่มาเยือนแล้ว กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็ตอนเมื่อมีเสียงเคาะประดูดังสนั่นพร้อมเสียงตะโกนลั่นอันแสนคุ้นหูนั่นแหละ
“ไอ้ปืน!! ปืนเว้ย!! ตื่นๆ!!”
.
.
.
[ Haris part ]
“ไอ้ปืน!! ปืนเว้ย!! ตื่นๆ!!”
ผมตะโกนเรียกเพื่อนเป็นครั้งที่ร้อยของวันพร้อมๆ กับรัวกำปั้นทุบประตู ก่อนจะแหกปากตะโกนเรียกมันอีกครั้ง แต่ไอ้ปืนก็ไม่มีทีท่าว่าจะลงมาเปิดประตูให้ผมเลยแม้แต่น้อย ผมขมวดคิ้วมุ่นในใจอย่างหงุดหงิด
นี่มันตายห่าไปแล้วรึไงวะ!
ผมปาดเหงื่อเหนียวเหนอะหนะออกจากหน้า พลางเงยหน้ามองท้องฟ้าที่นับวันแดดจะยิ่งทำพิษขึ้นเรื่อยๆ โอ๊ย ให้ตายเถอะ!!! ร้อนก็ร้อนแล้วยังต้องมาตามปลุกไอ้เพื่อนขี้เซานี่อีก!!!
แถมไอ้บ้านี่ก็ไม่ยอมตื่นสักที จะนอนกินบ้านกินเมืองไปไหนวะ!!
ผมรัวกำปั้นเป็นครั้งที่ล้าน ก่อนจะบรรจงใช้เท้าที่หุ้มด้วยผ้าใบนันยางรัวถีบบานประตูไม่ยั้ง และอีกสองสามนาทีต่อมา ไอ้คุณเพื่อนเจ้าของชื่อเต็มๆ ว่า ‘ดินปืน’ ถึงจะลงมาเปิดประตูให้ผม
มันส่งคำทักทายแรกให้อย่างงัวเงีย
“…เช้าแล้วหรอ”
เช้าพร่องส์!!!!!!!
ไอ้คุณปืนหาวหวอดๆ ตาปรือๆ มองมาทางผมอย่างมึนๆ คราบน้ำลายที่ติดอยู่ข้างๆ ริมฝีปากเรียวสวยจนน่ากระทืบของมันบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าไอ้บ้านี่พึ่งตื่น มันยีหัวสีน้ำตาลของมันอย่างเบลอๆ
“รู้มั้ยว่าวันนี้วันอะไร” ผมถามเสียงเย็น พยายามระงับความโกรธ แต่ไอ้ปืนเพียงแค่ใช้สายตาคมกริบสีเขียวสดแบบลูกครึ่งมองผมอย่างงงๆ
“เอ๋ ทำไมหรอ วันนี้วันเกิดนายรึไง”
“วันเกิดป๊ะแกเซ่!!! ไอ้ปืน! นี่ไม่รู้จริงๆรึไง!!! นี่มันวันสอบเว้ย วัน-สอบ!!!!” ผมตะโกนลั่นตามระดับความโกรธที่พลุ่งพล่าน ใช่แล้วครับ วันนี้เป็นวันที่ผมกับไอ้ปืนต้องไปสอบเข้าเรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนรัฐบาลแห่งหนึ่งครับ ผมจึงรีบแหกขี้ตาตื่นแต่เช้าวิ่งแจ้นมาบ้านมัน และอุตส่าห์ทนรอตากแดดที่แรงยิ่งกว่าคลื่น wifi เป็นสิบๆ นาที
แต่นี่อะไร๊
มัน-กลับ-พึ่ง-ตื่น !!!
“เอ๋ วันนี้สอบแล้วหรอ ...” มันส่งสายตามึนๆ มาทางผม ก่อนจะพึมพำเสียงงัวเงีย
“ขอโทษที เมื่อคืนฉัน ... ฝันร้ายนิดหน่อยน่ะ”
ฝันร้ายแม่มเกี่ยวอะไรด้วยวะ!!!
“เป็นฝันที่น่ากลัวมากด้วยนะ ... ” มันพึมพำเหมือนพูดกับตัวเอง ก่อนจะหาวหวอดๆ อีกรอบ ดวงตาของไอ้ปืนเริ่มปรือๆ ลงอีกครั้งทำท่าจะหลับแหล่มิหลับแหล่ ผมจึงจัดการตบเหม่งมันแรงๆ เป็นการเรียกสติ
ผัวะ!!
“จ...เจ็บนะ...” ไอ้ปืนลูบหัวป้อยๆ ผมตะโกนด่าแว้ด
“ไปอาบน้ำแต่งตัวภายในห้านาที!!! ...ฉันบอกว่าห้านาทีไม่ใช่ห้าชั่วโมง!” ผมรีบพูดเสริมเมื่อไอ้ดินปืนมีท่าทีจะแย้ง “ถ้าไม่เสร็จตามเวลา ....นาย-ตาย!!!”
หลังจากผ่านไปราวๆ ห้านาทีไอ้ปืนก็พร้อมที่จะไปโรงเรียน มันคาบขนมปังปิ้งไว้ในปากก่อนจะล็อกกุญแจห้องด้วยสีหน้าง่วงๆ เซื่องๆ มันเดินงัวเงียนำหน้าผม จนผมต้องออกแรงผลักหลังมัน
“ให้มันเร็วหน่อยได้มั้ยวะไอ้ปืน!”
ผมด่ามันอย่างหงุดหงิด ก่อนจะเดินทางไปโรงเรียนอย่างเร่งรีบ และไม่หันกลับมามองตัวบ้านของไอ้ปืนอีกเลย
ทำให้ผมไม่ทันสังเกตว่าภายในตัวบ้านที่เงียบสงบปราศจากสิ่งมีชีวิตนั้น กลับมีนัยน์ตาสีเหลืองคู่โตคู่หนึ่งจ้องมองผมอยู่ ...
ผมโบกแท็กซี่แล้วดันหลังไอ้ปืนเข้าไปนั่งในรถ ก่อนจะยัดร่างตัวเองเข้าไปนั่งด้วย ผมเอ่ยปากบอกปลายทางลุงโชเฟอร์อย่างรวดเร็ว เครื่องปรับอากาศเย็นๆ ในรถช่วยผ่อนคลายผมได้เล็กน้อย
ไม่กี่นาทีข้างหน้าผมต้องเผชิญกับข้อสอบมหาโหด และอีกไม่กี่วันผมก็จะกลายเป็นนักเรียน ม.ปลาย เต็มตัว คิดแล้วน่าเบื่อชะมัด!!! อ้อ ผมยังไม่ได้แนะนำตัวเลยใช่ปะ ผมน่ะชื่อ ‘ฮาร์ริส’ ผมเป็นคนผมทองครับ ทองแบบโคตรทองน่ะ ทองเหมือนฝรั่งอย่างงั้นเลย แถมตาของผมยังเป็นสีน้ำตาลสว่างอีกต่างหาก อ้อ แล้วก็นะ ที่ผมจะเล่าต่อไปนี้มันเป็นความลับของผมล่ะ ถ้าคุณรู้แล้วก็กรุณาเหยียบมันให้มิดด้วยนะ!! อย่าได้เผลอไปปากโป้งบอกใครเชียว!
คืออย่างที่บอก ผมมีดวงตาสีน้ำตาลใช่มั้ยครับ แต่มีครั้งหนึ่งที่ผมจุดไฟแช็กเพื่อเผากองใบไม้รกๆ ไอ้ปืนก็ดันมาบอกผมว่า
‘ตาของนายเวลาสะท้อนกับไฟเป็นสีแดงเพลิงด้วยล่ะ ...’
ด้วยเหตุนั้นผมจึงไม่เคยเข้าใกล้อะไรที่เป็นไฟอีกเลย ก็จะมีใครบ้างเล่าที่มองไฟแล้วตาจะกลายเป็นสีแดงเลือด! คนแบบนั้นน่ะผิดปกติชัดๆ!! แต่ยิ่งผมพยายามหลีกเลี่ยงไฟเท่าไหร่ก็ดูเหมือนจะยิ่งเข้าใกล้ไฟทุกที มีหลายครั้งเชียวล่ะที่ตำรวจพบผมใกล้ๆ กับจุดก่อเพลิงอย่างที่ตัวผมเองก็ทราบสาเหตุไม่ได้ มันเหมือนกับผมเดินไปที่ไหนก็จะมีไฟอยู่ที่นั่นทุกที ... อ๊ะๆ!! ผมไม่ได้จุดเพลิงนะเฮ้ย! ผมไม่ใช่ตัวอันตรายขนาดนั้น!
และแม้ว่าผมจะชื่อฝรั่ง ผมทอง ตาน้ำตาล แต่ตัวผมเป็นคนชาติอะไรไม่ทราบ เพราะตั้งแต่จำความได้ก็ถูกยัดเข้าสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาตั้งแต่เกิด ถูกคนในสถานรับเลี้ยงตั้งชื่อ ‘ฮาร์ริส’ ให้ จนอายุ 15 ขวบก็กลายเป็นนักเลงคุมถิ่น เอ๊ย กลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กสุดน่าร้ากน่ารัก ... ก่อนจะถูกเตะโด่งออกมาเผชิญโลกโหดร้ายตามลำพัง ฮึก คิดแล้วอยากจะร้องไห้ คนบอบบางแสนอ่อนแออย่างผมจะอยู่บนโลกอันแสนดำมืดตามลำพังอย่างนี้ได้เยี่ยงไร!!
“ได้ข่าวว่าเมื่อคืนนายส่งนักเลงเจ้าถิ่นเข้าโรง’บาล ...”
ฉิบหาย! ไอ้ปืน!! แกจะมาขัดจังหวะฉันทำไม!! ภาพพจน์อันบอบบางน่ารักใสใสของฉันพังป่นปี้หมดเลยไอ้ห่า!
“มันหาเรื่องฉันก่อนนี่!” ผมเถียงอย่างหงุดหงิด ไอ้ปืนเงียบไปตามนิสัยของมันเช่นเดิม
เอาล่ะ ผมเล่าถึงไหนแล้ว? ...อ้อ หลังจากถูกเตะออกมาแล้วผมก็มาเจอไอ้ปืนนี่แหละครับ คอนโดที่ผมเช่าอยู่น่ะอยู่ใกล้ๆ กับบ้านของมัน และเนื่องด้วยเหตุนี้ผมกับมันจึงเป็นเพื่อนกันโดยปริยาย(?) ไอ้ปืนเป็นลูกครึ่งครับ ลูกครึ่งไทย-เยอรมัน หน้าตาออกแนวกวนตีนเพราะมันชอบทำหน้าเหมือนคนจะหลับอยู่ตลอดเวลา แม้เวลาที่โดนอาจารย์ด่าหรือเวลาโดนสาวจีบ กระเทยเตะ นักเลงต่อย ไอ้ห่าปืนก็ยังคงสีหน้าง่วงๆ ซึมๆ ไว้ได้อย่างไม่เสื่อมคลาย! และเมื่อไม่นานมานี้ผมก็พึ่งรู้ ‘ความลับ’ ของไอ้ปืน
ที่สำคัญ มันเป็นความลับที่เหมือนกันกับความลับของผมด้วยน่ะสิ!!
ผมเป็นตัวดึงดูดไฟ
ส่วนไอ้ปืนเป็น...
“ถึงแล้วไอ้หนู!” เสียงของลุงโชเฟอร์ดังขึ้นขัดจังหวะ ผมจึงรีบควักเงินจ่ายให้ลุงเขา ก่อนจะก้าวเท้าเดินออกจากรถ วิ่งเป็นลูกคู่กับไอ้ปืนขึ้นชั้นเรียน
“เกือบสายนะเธอ”
เสียงเย็นเยียบดังมาจากอาจารย์คุมสอบ ผมเงยหน้ามองสบตากับดวงตาสีเหลืองคมกริบ... เดี๋ยวนะ สีเหลืองงั้นเหรอ! คนไทยที่ไหนมีตาสีเหลืองกัน!! ผมจ้องตาอาจารย์อีกรอบแต่มันก็เป็นเพียงตาสีดำสนิททั่วๆ ไป ผมคงตาฝาดล่ะมั้ง?
“มองอะไร! เสียมารยาท!”
อาจารย์ว่าผมจึงรีบหลบสายตาก่อนจะเดินเข้าไปนั่งในห้องสอบ ไอ้ปืนตามหลังผมมาติดๆ ผมหยิบปากกาขึ้นมาเตรียมทำข้อสอบ แต่ยังไม่ทันที่ปลายปากกาจะจรดกับกระดาษ มือเหี่ยวๆ ย่นๆ ของอาจารย์ก็แตะมืออันนุ่มนิ่มเต่งตึงของผม ผมเงยหน้ามองอาจารย์อย่างงงๆ
เป็นอีกครั้งที่ผมเห็นดวงตาสีเหลืองสดจ้องตอบกลับมา และเมื่อผมกะพริบตาแล้วจ้องมองอีกรอบก็พบว่าดวงตาสีเหลืองหายไปแล้ว ... มันกลายเป็นสีดำสนิทเช่นเคย
ไม่ทันให้ผมหายข้องใจ อาจารย์ก็หยิบปากกาขนนกพร้อมขวดหมึกให้ผม
“เธอต้องใช้ไอ้นี้”
ห๊ะ !?
นี่จารย์จะบอกว่าให้ผมใช้ ‘ปากกาขนนกจุ่มหมึก’ ระบายใส่ช่องคำตอบงั้นเหรอขรั่บ!!
แบบนี้เครื่องคอมพิวเตอร์มันจะอ่านค่าได้หรอคร้าบบบ!
“แต่อาจารย์...” ผมพยายามเถียง แต่เสียงเฉียบขาดของจารย์ก็พูดตัดบท
“บทลงโทษของเธอเรื่องการมาสาย”
“เกือบสายต่างหากครับ!”
“ฉันจะถือว่ามาสาย” อาจารย์พูดขัดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิดกว่าเดิมเล็กน้อย ก่อนจะหยิบปากกาขนนกและขวดหมึกยื่นให้ไอ้ปืนเช่นเดียวกัน
“ไม่ต้องห่วงเรื่องการตรวจ สำหรับเธอ...ฉันจะเป็นคนตรวจให้เอง เป็นกรณีพิเศษ” อาจารย์พูดก่อนจะใช้สายตาดุๆ มองผม
ผมบ่นในใจอย่างนึกรำคาญ ก่อนจะจำใจใช้ปากกาขนนก เอิ่ม มันใช้ยังไงวะ อยากจะบอกว่าเกิดมาผมก็พึ่งจะได้ลองจับมันนี่แหละ! ผมพยายามจับๆ หมุนๆ ปากกาเพื่อความเคยชิน ก่อนจะจุ่มหมึก แล้วเริ่มทำข้อสอบอย่างจำใจ
และทันทีที่น้ำหมึกหยดลงไปในกระดาษนั่นแหละ...
โลกของผมก็เปลี่ยนไปตลอดกาล!!!!
.
.
.
นี่มันเกิดอะไรขึ้น!!!?
ความคิดเห็น