ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    MY PETER PAN รักนี้มีบททดสอบ [END] || EXO SNSD

    ลำดับตอนที่ #30 : My Peter Pan: Chapter28

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 916
      6
      27 ม.ค. 60









     

                                    “ รุ่นพี่ค่ะ.... รุ่นพี่ ตื่นสิ ”

     

    เสียงหวานคุ้นหูของแทยอนทำให้ผมลืมตาตื่นขึ้นมาทันทีโดยที่ไม่ต้องรอให้เธอปลุกผมซ้ำเป็นครั้งที่สอง แทยอนสวมชุดเอี้ยมสีม่วงที่ผมซื้อให้เธอใส่วันนั้นที่สวนสนุก ผมไม่ได้มองผิดหรืออะไรหรอกแต่นี่เป็นแทยอนจริง ๆ เธอยังปลอดภัยดีทุกอย่าง เธอยังยิ้มให้ผมเหมือนที่เธอเคยยิ้มให้เหมือนเดิมทั้งที่ผมทำเธอร้องไห้เสียใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้

     

                ผมมองแทยอนไม่วางตา แต่สายตาของผมไม่ได้ดุร้ายหรือก้าวร้าวเหมือนเมื่อก่อน ถ้าแทยอนมองย้อนกลับมาในตาผมสักนิด เธอจะรู้ว่านัยน์ตาคู่นี้มันมีแค่เธอ ผมอาจจะเคยพูดว่าเกลียดเธอให้เธอได้ยินไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแต่ถ้าแทยอนเพียงแค่ย้อนมองมาในตาของผมนัยน์ ตาคู่นี้ที่เคยมีไว้มองแค่เธอ ที่เคยมีไว้บอกรักเธอ

     

    ถ้าเธอมองมัน เธอก็จะรู้ว่าที่ผมพูดมาทั้งหมดว่าเกลียดเธอมันคือคำโกหก แต่มันกลับเป็นคำโกหกที่ทำให้คนทั้งสองคนเจ็บเจียนตาย คนที่เจ็บไม่ได้มีแค่เธอ แต่ผมก็เจ็บ...ผมเคนสารภาพเรื่องพวกนี้ให้แทยอนได้ยินหลายครั้งแล้วแต่ไม่รู้ทำไมความผิดบาปในใจมันถึงยังไม่จางหายไปสักที

     

                ทุกอย่างสำหรับผมกับเธอมันกำลังไปได้ด้วยดีแต่มันก็พังลงมาต่อหน้าต่อตาเสมอ ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมแทยอนถึงได้ทนกับผมนัก ทำไมเธอถึงยังไม่เหนื่อยและเดินหันหลังให้ผมสักที ผมอยากให้เธอทำแบบนั้นแต่ผมรู้ตัวเองดีว่าถ้าเกิดวันนึงแทยอนทำแบบนั้นจริง ๆ ผมก็คงต้องเสียใจแน่ ๆ

     

    ผมอยากเป็นเห็นแก่ตัวที่จะขอมีเธอข้าง ๆ แบบนี้ตลอดไป ถ้าภาระและหน้าทีทั้งมดที่ผมมีในตอนนี้มันสามารถแลกกับการที่ผมได้อยู่กับแทยอนได้กอดเธอได้มีเธอในชีวิตผมก็พร้อมที่จะแลกเพราะผมรักเธอ เหตุผลสั้น ๆ ง่าย ๆ แต่ทำให้คนเราเจ็บเจียนตายเมื่อมันทำพิษ

     

                “ ทำไมรุ่นพี่ถึงเงียบไปล่ะคะ ไม่อยากเจอฉันเหรอ? งั้นฉัน... ”

     

                “ แทยอน... ”

     

    ผมรีบลุกแล้วคว้าแทยอนมากอดไว้ทันทีเมื่อเธอทำท่าจะหันหลังเดินกลับไป ความรู้สึกนี้ที่ผมเคยสัมผัส ความอบอุ่นนี่ที่ผมมันจะได้รับเสมอเมื่อเจอเธอ ผมกำลังกอดแทยอนอยาแต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าเราสองคนกำลังออกห่างกันไปเรื่อย ๆ ล่ะ

     

    แทยอนอยู่ตรงหน้า แต่ผมกลับต้องหักห้ามตัวเองเอาไว้ไม่ให้มองเธอทั้งที่ในความเป็นจริงนั้นมันต่างกันสุด ๆ ทำไมไอ้ความรู้สึกบ้า ๆ นี้ถึงเกิดขึ้นตอนที่ผมกำลังกอดเธอด้วย...

     

                การที่ผมเลือกยุนอานั่นก็แปลว่าผมจะไม่สามารถหยุ่งเกี่ยวกับแทยอนได้อีก แต่ขอได้ไหมขอแค่วินาทีนี้ไอ้ภาพเหล่านั้นที่คอยตอกย้ำสถานะของผมกับแทยอนอย่าพึ่งเข้ามา ผมไม่อยากกอดเธอทั้งที่ภายในใจมันมีอะไรมากมายอยู่เต็มไปหมด ผมแค่อยากจะอยู่กับแทยอนสักสิบนาทีโดยไม่ต้องมีอะไรมากวนใจ ขอให้ผมหายเหนื่อยแค่นั้นผมก็พร้อมที่จะอยู่ห่างเธอ

     

                “ รุ่นพี่ไม่ควรทำแบบนี้นะคะ...ถ้ารุ่นพี่ยุนอามาเห็นเข้าเธอจะรู้สึกยังไง ”

     

                “ ขอฉันกอดเธอแบบนี้สักพักได้ไหม ขอแค่แป๊บเดียวแล้วฉันจะไม่ขออะไรจากเธออีกเลย ”

     

                “ แต่ฉันไม่สามารถทำแบบนั้นได้อีกแล้ว...ฉันไม่มีเวลาเหลืออีกแล้ว ”

     

    น้ำเสียงที่แผ่วเบาของร่างเล็กทำให้ผมต้องคลายอ้อมกอดออกก่อนจะใช้มือมือกอบกุมในหน้าสวยหวานเอาไว้ นัยน์ตาสีนินสั่นระริกภายในนั้นมีน้ำใส ๆ เอ่อคลออยู่...น้ำตาของแทยอนทำให้ใจของใครคนนึงกระตุกวูบราวกับว่าร่างกายกำลังดำดิ่งลงสู่ก้นเหวลึกที่ไม่สามารถปีนป่ายขึ้นมาได้อีก ไม่มีเวลางั้นเหรอ? แทยอนหมายถึงอะไรกันแน่?

     

                “ เธอพูดอะไรของเธอน่ะแทยอน ไม่มีเวลาอะไร ”

     

                “ อีกไม่นานรุ่นพี่ก็จะรู้ค่ะ...ฉันแค่มาปลุก ไม่อยากให้รุ่นพี่หลับนานกว่านี้ รุ่นพี่ต้องแข็งแรงนะคะ ”

     

    เมื่อเสียงหวานของร่างบางสิ้นสุดลงผมก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสอ่อนหวานจากริมฝีปากนุ่มของแทยอน เป็นสัมผัสที่แสนจะเบาบางแต่ก็มีค่าจนทำให้ผมเผลอหลับตาลงเพื่อเปิดใจรับความสุขที่เข้ามาให้เต็มอก แต่ทว่าพอลืมตาขึ้นมากลับพบเพียงแค่ความว่างเปล่าที่ลอยตัวเคว้งคว้างในอากาศไร้ร่างกายบอบบางของหญิงสาวที่ผมรัก

     

                ไร้การเรียกร้องหรือโวยวายใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะผมพูดไม่ออก ทุกอย่างมันจุกไปหมด แต่ที่พังกว่านั้นคือความรู้สึกที่แตกละเอียดจนไม่เหลือชิ้นดี ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่โวยวายเลยสักนิดที่ลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าแทยอนหายไปทั้งที่ปกติแล้วผมต้องโวยวายก่อนเป็นอันดับแรก

     

    แต่ครั้งนี้มันกลับต่างออกไปผมเพียงยืนนิ่ง ๆ ให้นำตาลูกผู้ชายไหลลงมาก็เท่านั้น การจูบที่แสนเบาบางจากแทยอนเมื่อกี้อาจจะถือว่าเป็นการจากลาไปในตัวก็ได้ ยังไงมันก็ดีกว่าจากไปโดยที่เขาไม่รู้อะไรอยู่ดี...

     

     

     

    *

     

     

     

     

                    “ แบคฮยอน!

     

    เพราะเสียงรียกที่ดังทุ้มอยู่ใกล้ ๆ กับโสทประสาทการได้ยินของคนที่กำลังหลับไหลทำให้ร่างสูงที่นอนไม่ได้สติมานานกว่าครึ่งวันสะดุ้งตัวตื่น แบคฮยอนตาเบิกโพลงพรางหอบหายใจจนหน้าอกกระพึ่ม จู่ ๆ อาการปวดหนึบตรงศรีษะก็เข้ามาเล่นงานเขาเสียจนชายหนุ่มเสียหลักทำท่าจะล้มลงไปกับเตียงอีกครั้งแต่ทว่ากลับมีมือบางของใครบางคนมาพยุงตัวเขาไว้ไม่ให้ล้มลงเตียง

     

                    แบคฮยอนหลับตาลงประมาณสามสี่วินาทีเพื่อปรับตัวก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง แก้วตาสีน้ำตาลเข้มมองไปรอบ ๆ ห้องสีขาวที่มีกลิ่นคละคลุ้งของยาและกลิ่นคลอดีนอ่อน ๆ ที่ตลบอบอวนไปทั่วไม่บอกก็รู้ว่านี่คือโรงพยายาบาล. แต่ทำไมล่ะ ก็เขาจำได้ว่ากำลังนั่งรถเพื่อไปหาแทยอนแต่ระหว่างทางเขาดันเผลอหลับไปไหงตื่นอีกทีมาตื่นที่โรงพยายาบาลได้

     

    แบคฮยอนมองตามสายนำเกลือที่กำลังทิ่มแขนเขาไปจนสุดสายก็พบกับถุงน้ำเกลือสีใสที่น้ำมันหายไปกว่าครึ่ง แสดงว่าเขาคงมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืน หรือไม่ก็คงนานกว่านั้น

     

                    “ ทำไมผม... ”

     

                    “ เอาน้ำไหม? ”

     

    ยุนอาถามขึ้นทันทีทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่ทันจะได้พูดจบ แบคฮยอนรู้ดีว่าที่เธอถามเพราะเธอเป็นห่วงเขาแต่ช่วยรอให้เขาถามเสร็จก่อนจะได้ไหม เขาก็อยากจะรู้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้กลายร่างเป็นผักต้มมานอนซมอยู่โรงพยาบาล แต่เหตุผลมันมีอยู่ไม่กี่อย่างหรอกหนึ่งคือเขาป่วยปลุกไม่ยอมตื่นและอย่างที่สองคือรถที่เขานั่งมาคว่ำละมั้ง แต่อย่างหลังคงไม่ใช่หรอกจริงไหม ถ้าคว่ำจริงเขาคงไม่อยู่ในสภาพครบสามสิบสองแบบนี้หรอก

     

                    แต่เขาจะทำอะไรได้จะโกรธเธอก็ใช่เรื่อง เขาจึงต้องรับน้ำมาเข้าปากอย่างว่าง่าย แบคฮยอนมองหน้ายุนอาโดยไม่พูดอะไรปล่อยให้เธอพูดไปก่อนเพราะเมื่อไหร่ที่เธอพูดจบนั่นก็แปลว่าเขาจะสามารถถามทุกอย่างที่เขาอยากรู้ได้ แต่ก็ไม่เป็นอย่างนั้น ยุนอาไม่ได้พูดอะไรเธอเพียงแค่ป้อนน้ำให้ร่างสูงนิ่ง ๆ และส่งยิ้มหวาน ๆ ให้เขาก็เท่านั้น และมันก็ทำให้เกิดความเงียบที่ไม่ใช่ความเงียบในแบบที่อึดอัดแต่เป็นความเงียบที่ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายพูดหรือชวนคุย

     

                    “ ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง...ก็ในเมื่อก่อนหน้านี้ผม ” และสุดท้ายก็เป็นแบคฮยอนนั่นเองที่ถามขึ้นก่อนหลังจากที่เงียบอยู่นาน

     

                    “ คุณกำลังจะไปหาแทยอนใช่ไหมคะ? ใช่ค่ะ... เมื่อวานชานยอลกับคนอื่น ๆ พาคุณไปหาแทยอนแต่พอไปถึงพวกเขาก็ปลุกคุณ แต่ปลุกยังไงคุณก็ไม่ยอมตื่นแถมตัวก็ร้อน ลมหายใจคุณอ่อนมากชานยอลเลยพาคุณมาทีโรงพยาบาล ”

     

                    “ แล้ว... ”

     

                    “ หมอบอกว่าคุณไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่พักผ่อนไม่เพียงพอร่างกายเลยอ่อนเพลียแถมคุณยังมีไข้ด้วย ร่างกายก็เลยไม่ตอบสนองชั่วขณะเหมือนกำลังชาจตัวเองอยู่ ”

     

    ยุนอาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพรางยิ้มบาง ๆ ให้กับแบคฮยอน และยุนอาไม่ใช่โง่ที่จะดูไม่ออกว่าตอนนี้แววตาของแบคฮยอนมันเรียกหาแต่แทยอน แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของเธอที่จะต้องบอกเรื่องของแทยอนให้แบคฮยอนฟัง ปล่อยให้แบคฮยอนมารู้ทีหลังด้วยตัวเองยังจะดีกว่าเสียอีก

     

                    “ ตามชานยอลมาให้ผมได้ไหม ผมอยากเจอชานยอล ”

     

                    “ ชานยอลออกไปซื้อของกินกับทิฟฟานี่ค่ะ เดี๋ยวก็คงกลับมาแล้ว คุณอยากกินอะไรไหมคะยุนจะได้โทรไปบอกพวกเขาให้ซื้อขึ้นมาให้เลย ”

     

                    “ ไม่ล่ะ ขอบคุณ แค่คุณโทรไปตามมันให้กลับมาเร็ว ๆ ก็พอแล้วครับ ”

     

    แบคฮยอนบอกแค่นั้นก่อนจะไถลตัวลงไปกับเตียงคนไข้ตามเดิน เขาไม่ได้ต้องการที่จะทำใจร้ายหรือไล่ยุนอาให้ไปไกล ๆ แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์มานั่งปั้นหน้าให้กับคู่หมั้นคนสวยหรอก เพราะภายในจิตใจมันร้อนรุ่มไปหมดเหมือนมีใครเอาไฟมาจุดกองฟางในอกข้างซ้ายของเขา ยิ่งแบคฮยอนคิดถึงฝันที่เขาพึ่งตื่นจากมันขึ้นมาไม่นานเขาก็ยิ่งร้อนใจอยากเจอแทยอนไว ๆ

     

                    ในฝันเขาอาจจะใจเย็นและดูไม่รู้สึกรู้สาอะไรที่เสียแทยอนไปแต่นั่นมันก็เป็นแค่ความฝันเท่านั้นแหละเพราะในชีวิตจริงเขาไม่มีทางปล่อยแทยอนไปแน่ ๆ ถึงเธอจะไปเขาก็จะรั้ง ถึงเธอจะหนีเขาก็จะตาม ถึงเธอจะหลบหน้าเขาก็จะต้องตื้อจนกว่าจะได้พบ แบคฮยอนยอมรับว่าเขาทั้งดื้นด้านและเห็นแก่ตัวที่คิดแบบนั้นแต่เพราะมันเป็นเรื่องของแทยอน คำว่าเห็นแก่ตัวหรืออะไรก็ไม่สำคัญสำหรับเขาทั้งนั้น ขอแค่มีแทยอนอยู่ข้าง  ๆพอให้รู้ว่าเธอสบายดีมีความสุขขอแค่นั้นเขาก็พอใจแล้ว

     

                    ถึงจะไม่ได้ครอบครองถึงจะต้องเจ็บปวดที่คิดไปว่าสักวันนึงแทยอนก็คงต้องลืมความรักที่เคยมีให้เขาและไปมีรักครั้งใหม่แต่เขาก็จะอดทนไว้ เพราะมันไมมีอะไรสำคัญไปกว่าการที่มีแทยอนในชีวิตและไม่จำเป็นว่าแทยอนจะต้องจมปลักอยู่กับเขา ขอแค่แทยอนมีความสุขทุกอย่างก็โอเครแล้ว

     

                    “ แบคฮยอนคะ... ” เสียงหวานที่ร้องเรียกชื่อคู่หมั้นของเธอดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้หลุดจากภวังค์ความคิด แบคฮยอนมองหน้ายุนอาอย่างตั้งคำถามก่อนที่ร่างบางจะเอ่ยตอบสั้น ๆ หลังจากที่เธอเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์ของเธอที่วางอยู่บนโต๊ะข้างทีวี “ ชานยอลกำลังขึ้นมา...งั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะมาเยี่ยมคุณใหม่ หายไว ๆ นะคะ ”

     

                    “ ครับ... ขับรถดี ๆ นะ ”

     

                    “ ค่ะ... ”

     

    ยุนอายิ้มรับบาง ๆ ก่อนจะเดินออกไปและเป็นจังหวะเดียวกับที่ชานยอลและทิฟฟานี่เดินสวนเข้ามา และทันทีที่ทิฟฟานี่เจอยุนอาเธอก็จ้องมองไม่วางตาด้วยสายตาที่ไม่บอกก็รู้ว่าเกลียดชังกันมากขนาดไหนแต่ยุนอากลับมองทิฟฟานี่ด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มหวานราวกับทั้งคู่คือมิตรกัน มันช่างเป็นอารมณ์ที่แตกต่างจริง ๆ นี่สินะเหตุผลที่ยุนอาจะกลับไปเพราะไม่อยากเจอกับทิฟฟานี่นี่เอง

     

                    “ ชานยอล มิยองฝากดูแลแบคฮยอนด้วยนะ ฉันกลับล่ะ...ฝากด้วยนะคะ ”

     

                    “ คู่หมั้นเธอก็มาดูแลเองสิจะฝากคนอื่นทำไม...อีกอย่างถ้าไม่สนิทอย่ามาเรียกฉันว่ามิยอง กรุณาเรียกฉันว่าทิฟฟานี่ตามควรด้วย ” ทิฟฟานี่กอดอกมองยุนอาอย่างหาเรื่องแต่แปลกถ้าเป็นปกติยุนอาคงปรี๊ดแตกแล้วฟาดงวงฟาดงาใส่เธอแล้วล่ะ แต่ผิดคาดยุนอาทำแค่หัวเราะเบา ๆ ในลำคอก่อนจะส่งยิ้มหวานมาให้ทิฟฟานี่อีกครั้งอย่างขี้เล่น

     

                    “ อ่า ฉันเป็นคู่หมั้นแบคฮยอนก็จริงค่ะ แต่แบคฮยอนเขาไม่ชอบให้ใครมาหยุ่งหย่ามวุ่นวายเวลาที่เขาป่วย...อีกอย่างเรื่องดูแลคนป่วยฉันนไม่ถนัดจริง ๆ ค่ะ...ส่วนเรื่องที่ฉันเรียกฟานี่ว่ามิยอง ฉันขอโทษแล้วกันนะ ฉันไม่รู้ว่าทิฟฟานี่ไม่ชอบ ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวแล้วกันนะคะ ”

     

                    “ ที่หายไปนี่ไปเรียนการแสดงที่ฮอลลีวูดมาสินะ คงเป็นหลักสูตรแบบจบเร็วใช่ไหมถึงได้กลับมาไวแถมเล่นละครเก่งแบบนี้ แต่คราวหลังอ่ะนะถ้าไม่เนียนก็อย่าทำเลย รอยยิ้มของเธออะมันยังดูเฟคเกินไป...ว่าง ๆ ไปหัดยิ้มให้มันดูจริงใจกว่านี้ใหม่นะจะได้เนียนขึ้น ” ทิฟฟานี่พูดลอย ๆ ขึ้นมาเมื่อเห็นว่ายุนอากำลังจะเดินผ่านไปจากเธอดื้อ ๆ โดยที่ยัยนั่นไม่ปรี๊ดแตกหรือต่อปากต่อคำอะไรกับเธอสักคำทั้งที่ปกติเคยยอมกับซะที่ไหน

     

    ยุนอาเดินผ่านไปราวกับว่าทิฟฟานี่เป็นเพียงธาตุอากาศไร้ตัวตนที่เธอไปสนใจและไม่จำเป็นที่จะต้องมาเสวนาด้วย ต้องยอมรับเลยว่าตั้งแต่กลับมาจากฮาวายยุนอาเปลี่ยนไปมากทั้งคำพูดและการกระทำ เธอทั้งดูเยือกเย็นและสูงส่งในเวลาเดียวกันต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิงซึ่งใคร ๆ ก็ดูออกว่ามันไม่ใช่ตัวเธอ

     

    ถึงจะแปลกใจแต่ก็ไม่มีใครถามออกไปให้เสียมารยาท ทุกคนเลยได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจแล้วทำดีกับเธอต่อไป แม้จะกระดากอายเพราะไม่คุ้นชินแต่พวกเขาก็ต้องทำเพราะยุนอาคือคู่หมั้นของแบคฮยอน จะพูดจาไม่รักษาน้ำใจเหมือนที่ทิฟฟานี่ชอบทำก็ไม่ได้

     

    “ เป็นไงบ้างแบคฮยอน...ดีขึ้นหรือยัง ”

     

    “ ก็อย่างที่เห็น ฉันดูสบายดีไหมล่ะ? ”

     

    “ ถ้าตื่นมาแล้วจะปากดีแบบนี้นายกลับหลุมไปเหมือนเดิมก็ได้นะแบคฮยอน ” ทิฟฟานี่กอดอกมองคนป่วยที่นั่งพิงหัวเตียงจ้องมองชานยอลไม่วางตาราวกับว่าเขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วยังไงอย่างงั้นแหละ...แต่ก็คงไม่ เพราะระดับแบคฮยอนแล้วถ้าเขารู้เรื่องของแทยอนเขาไม่มีทางใจเย็นได้หรอก เรื่องนี้ทุกคนต่างรู้ดี แต่ทำไมเขาดูอารมณ์เสียอย่างงี้ล่ะ?

     

    “ ทิฟฟานี่เธอออกไปก่อนได้ไหม ฉันอยากจะคุยกับชานยอลสองคน ”

     

    “ ทำไมต้องคุยกันแค่สองคน ”

     

    “ แค่ช่วยหุบปากแล้วรอข้างนอกได้ไหม ฉันคุยไม่นานหรอกขอร้องล่ะ ”

     

    “ เออ! ”

     

    ร่างเล็กกระแทรกเสียงใส่คนป่วยที่นั่งหน้าซีตเป็นไก่ต้มใกล้ม้วยอยู่บนเตียงก่อนจะเดินออกไปด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด อยากรู้จริง ๆ ว่าผู้หญิงคนนี้ยังมีต่อมอารมณ์ดีเหลืออยู่บ้างหรือเปล่าทำไมทุกครั้งที่เจอเธอจะต้องทำหน้าตาไม่พอใจและโมโหเขาอยู่เรื่อยเลย

     

    เสียงปิดประตูดังปังทำให้ชานยอลสะดุ้ง หมอนั่นคงจะหวาดทิฟฟานี่แม่หมีของเขาไม่ใช่น้อยแต่แบคฮยอนชินเสียแล้วล่ะสองปีก่อนทิฟฟานี่เคยเป็นยังไงทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยเปลี่ยน เป็นพวกที่ปากร้ายแต่ดันใจดีแบบนี้ใครเขาจะกลัว หรือมีแค่เขากับแทยอนที่ไม่กลัวเพราะชินแล้ว...

     

    “ ว่าไงแกมีอะไรจะคุยกับฉันหรอ? ”

     

    ชานยอลเลิกคิ้วถามทั้งที่เขารู้ตัวดีอยู่แล้วว่าแบคฮยอนจะถามเรื่องอะไร ในเวลานี้มีสิ่งเดียวเท่านั้นแหละที่แบคฮยอนอยากรู้นั้นก็คือเรื่องของแทยอน แต่ถ้าจะให้บอกตรง ๆ ก็กลัวมันจะระเบิดอารมณ์ทำให้โรงบาลป่วน แต่ถ้าจะปิดไปเรื่อย ๆ มีหวังแบคฮยอนต้องคลั่งตายแน่ ๆ

     

    “ ฉันสิควรต้องถามแกว่าแกมีอะไรจะพูดกับฉันไหม... ”

     

    “ อย่าลีลาแบคฮยอนจะพูดอะไรก็พูดมาตรง ๆ มีเรื่องอะไรจะคุยกับฉัน ”

     

    “ งั้นแกก็บอกฉันมาสิว่าแทยอนอยู่ไหน... พวกแกเอาแทยอนของฉันไปซ่อนไว้ที่ไหน!

     

    “ เรื่องแทยอนอ่ะ ฉันบอกแกแน่!! แต่ก่อนที่ฉันจะบอกฉนมีหนึ่งเรื่องที่ต้องถามแกให้รู้เรื่องก่อน ทำไมแกถึงได้ปกปิดเรื่องที่แทยอนโกงที่ดินแปลงพิเศษที่แกรักเมื่อสองปีก่อน แกซ่อนหลักฐานเอกะสารต่าง ๆ ที่สามารถเอาผิดกับแทยอนไว้ ทำไมวะ! ปากแกบอกว่าเกลีดยเขาแค้นเขาแต่แกกลับเก็บทุกอย่างไว้ ถ้าแกเอาหลักฐานพวกนี้ส่งให้ตำรวจตั้งแต่สองปีที่แล้วเรื่องมันก็คงไม่บานปลายมาถึงทุกวันนี้ ถ้าแกไม่โกรธไม่เกลียดที่แทยอนเอาที่ดินแกไปแล้วแกจะแกล้งเขาทรมาณเขาทำไม แกทำแบบนั้นเพื่ออะไร ฉันไม่เข้าใจแกจริง ๆ ”

     

    “ ถ้าเป็นแก ถ้าเป็นคนที่แกรัก แกจะจับเธอส่งตำรวจอย่างงั้นเหรอวะ ”

     

    “ หึ... แล้วเมื่อสองปีก่อนแกไล่เขาไปทำไมถ้าแกไม่ได้แค้นเคืองอะไร แล้วทำไมแกถึงไม่ทำเป็นคนแปลกหน้าไปซะเวลาเจอแทยอน แกดึงเขาเข้ามาพัวพันในชีวิตแกทำไม แกทำทุกอย่างเพื่ออะไรวะแบคฮยอน แค่ต่างคนต่างอยู่แกทำไม่ได้หรือไง... ทำไมต้องทำให้แทยอนลำบากด้วย!

     

    ชานยอลเริ่มโหวกเหวกเสียงดังพร้อมกับอารมณ์ที่ปะทุขึ้นมาราวกับลาวาที่ไหลทะลักออกมาจากพูเขาไฟที่ไม่ได้ปะทุมานานแล้ว ในขณะที่ชานยอลกำลังเป็นไฟแต่แบคฮยอนกลับเป็นเพียงน้ำนิ่งเยือกเย็นราวกับน้ำแข็งที่ไหลลึกอยู่ก้นบึ้งของลำธาร

     

    เขายอมรับว่าตกใจไม่น้อยที่ชานยอลไปปะเข้ากับหลักฐานที่เขาเก็บเอาไว้มานานนับสองปีเพื่อปกปิดความผิดให้กับคนที่เขารัก แต่หากยังโชคดีที่คนที่เจอมันคือชานยอล ถ้าเป็นคนอื่นละก็เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าคนพวกนั้นจะมองแทยอนยังไง

     

    แต่ไม่ว่าเมื่อสองปีก่อนหรือวันไหน ๆ ที่แทยอนทำผิดมันก็ไม่สำคัญกับเขาอีกต่อไปแล้วเพราะเขารักแทยอนมากเกินกว่าที่ปัญหาพวกนั้นจะมาบั่นทอนได้ จะมีก็แต่ปัญหาเดียวที่ขัดขวางทุกอย่างเอาไว้และปัญหานั้นก็คือยุนอายังไงละ

     

    “ อย่าถามหาเหตุผล เพราะแกไม่จำเป็นต้องรู้ ฉันจะบอกก็ต่อเมื่อคำถามนี้คนที่ถามคือแทยอนเท่านั้น ”

     

    “ งั้นแกก็เชิญเก็บเหตุผลของแกเอาไว้เหอะ เพราะแกจะไม่มีวันได้บอกแน่นอน... ”

     

    “ แกหมายความว่ายังไงชานยอล... ทำไมฉันถึงจะไม่ได้บอกเรื่องนี้กับแทยอน ”

     

    จู่ ๆ คำพูดของชานยอลที่ดูจะไม่มีอะไรก็ทำให้ใจของแบคฮยอนกระตุกวูบขึ้นมา ทำไมแค่คำไม่กี่คำที่บอกเป็นกราย ๆ ว่าเขาจะไม่ได้เจอแทยอนอีกถึงได้มีอิทธิพลต่อหัวใจของเขานักนะ นี่เขากลายเป็นคนอ่อนแอไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

     

    “ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้ฉันต้องการที่จะคุยกับแกให้จบ สองปีที่ผ่านมาบริษัทและธุระกิจที่แกดูแลอยู่รวมทั้งโรงเรียนนี้ด้วยต่างถูกยักยอกเงินไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่จนใคร ๆ ต่างก็มองว่าแกมันไม่เอาไหนไม่ได้เรื่องทั้งที่จริงแล้วฝีมือการบริหารของแกมันมีมากกว่าพวกฉันซะอีก แต่แน่นอนว่าคนที่ยักยอกไม่ใช่แทยอนเพราะเธอพึ่งจะกลับมาจากฝรั่งเศสแล้วแกเคยคิดจะสืบสาวหาต้นตอจริง ๆ บ้างไหมว่าใครเป็นคนทำ... ”

     

    “ แล้วแกเห็นฉันเฉยกับเรื่องพวกนี้อย่างงั้นเหรอ ”

     

    “ ใช่ แกไม่เคยอยู่เฉยแต่แกก็ไม่เคยหาจริง ๆ สักครั้ง ไม่อย่างงั้นเรารู้ตัวคนทำนานแล้ว และถ้าให้ฉันเดาแกก็คงจะรู้แล้วใช่ไหมว่าใครเป็นคนทำ แกจะใจดีใจอ่อนแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่วะ ทำไมไม่จัดการจริง ๆ จัง ๆ สักที แกรู้มั้ยว่าคนที่จะเดือดร้อนกับเรื่องนี้มากที่สุดก็คือแก แต่แกกลับปล่อยมันไปง่าย ๆ แบบนี้น่ะเหรอ...แกคิดอะไรของแกอยู่!

     

    “ แกพูดอะไรของแกชานยอล แกพูดเหมือนแกรู้.... ”

     

    น้ำเสียงของแบคฮยอนช่างแผ่วเบาเหมือนเขากำลังจะขาดอากาศหายใจ ชานยอลไม่ได้รู้ความลับของเขาอยู่แค่เรื่องเดียวแต่ชานยอลรู้เกือบทั้งหมด อะไรกัน เพื่อนของเขาไปสืบเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาไม่เคยแม้แต่จะเผลอปากพูดเรื่องนี้ออกไปแต่ชานยอลกลับสืบจนรู้หมดอย่างงั้นนะหรือ

     

    “ ใช่ฉันรู้ และไม่ใช่แค่รู้แต่ฉันมีทั้งหลักฐานและพยานที่จะเอาผิดคู่หมั้นของแกได้เลยล่ะ และฉันจะส่งเรื่องนี้ให้ตำรวจเร็ว ๆ นี้ ฉันไม่สนว่าใครจะพูดยังไงแต่ถ้าปล่อยเอาไว้แบบนี้ต่อไปแกนั่นแหละแบคฮยอนที่จะต้องซวย ”

     

    “ แล้วถ้าฉันขอร้อง แกอย่าพึ่งส่งเรื่องนี้ให้ตำรวจได้ไหม ฉันขอเวลาพิสูจน์อะไรบางอย่างก่อน แล้วถ้าถึงเวลาฉันจะจบเรื่องทุกอย่างเอง ”

     

    “ แกจะมาพิสูจน์อะไรอีก แค่จัดการเรื่องนี้ให้จบ ๆ ไปซะก็สิ้นเรื่อง ”

     

    “ ฉันขอเวลาไม่นาน อย่าพึ่งทำอะไรยุนอาได้ไหม...ฉันรับรองได้เลยว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นอีกฉันจะยอมรับผิดทุกอย่างแล้วปล่อยเรื่องให้แกจัดการซะ ”

     

    “ โธ่เว้ย! ” ชานยอลปล่อยหมัดใส่พนังห้องอย่างแรงจนกรอบรูปที่แขวนอยู่สั่นสะเทือน แบคฮยอนเองก็ตกใจไม่น้อยที่เห็นเพื่อนที่อารมณ์ดีกับทุกเรื่องมาโดยตลอดอย่างชานยอลจะโมโหได้ขนาดนี้ แต่ก็แค่นั้นแหล่ะถึงโมโหไปแต่ก็ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้อยู่ดี

     

    “ ธุระของแกหมดแค่นี้แล้วใช่ไหม... งั้นแกก็บอกฉันสักทีว่าตอนนี้แทยอนอยู่ที่ไหน ”

     

    “ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ แล้วเดี๋ยวฉันจะพาไป... ”

     

     

     

     

    *

     

     

     

     

     

    Beakhyun’ Part

     

    ผมทำตามที่ชานยอลบอกอย่างว่าง่ายเพราะมันไม่มีอะไรที่ผมจะต้องดื้อด้านหรือขัดขืนอยู่แล้ว ก็ผมอยากจะเจอแทยอนนี่นา อยากจะเจอขอแค่ได้เจอเห็นแค่เสี้ยวหน้าพอรู้ว่าแทยอนยังอยู่ดีผมก็พอใจแล้ว ผมใจไม่ดีตั้งแต่รู้ว่ายุนอากลับเกาหลีมาก่อนเพราะผมรู้ว่าเธอตั้งใจที่จะให้ผมตามไปที่นั่นแล้วหนีกลับก่อน

     

    ผมเลยเฝ้าแต่ห่วงแทยอน ผมอยากจะเจอเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เท้าแตะถึงผืนแผ่นดินเกาหลีแล้วแต่เพราะวันนั้นเป็นวันงานเปิดโรงเรียนพอดีเลยทำให้ผมไม่สามารถไปหาเธอได้ แต่พอผมกำลังจะไป ไอ้ร่างกายบ้า ๆ นี่ของผมดันอ่อนแอเสียอย่างงั้น ทำไมอะไร ๆ ถึงได้ดูขวางทางผมไปซะทุกอย่างก็ไม่รู้

     

    ผมเปลี่ยนชุดตามที่ชานยอลบอกและลงมารอมันเคลียร์ค่ารักษาพยาบาลต่าง ๆ นา ๆ ให้ผมที่รถ บอกตามตรงว่าตอนนี้หัวใจผมมันเต้นแรงมาก ๆ แต่มันกลับไม่ใช่ความรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เจอคนรักหรือดีใจอะไร แต่มันกลับกลายเป็นจังหวะการเต้นของหัวใจที่หวาดกลัว

     

    ทำไมความรู้สึกแบบนี้ถึงเกิดขึ้นกับผมได้ล่ะ มันเป็นคำถามที่ผมถามตัวเองแต่ผมกลับตอบมันไม่ได้ ผมขมวดคิ้ว ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า ทำไมผมรู้สึกเหมือนกล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะไปเจอแทยอนจังเลย อยู่ ๆ ร่างกายของผมก็เกิดประหม่าซะอย่างงั้นเหรอ เป็นความรู้สึกที่หน้าโมโหที่สุดเลย

     

    แล้วนี่อะไรทำไมมันถึงเลือกที่ชุดที่อึมครืมแบบนี้ให้ผมละ แถมยังเป็นชุดที่ออกแนวทางการด้วยมันคงไม่ได้คิดจะพาผมไปหาพ่อแม่ของแทยอนอะไรแบบนั้นหรอกใช่มั้ย

     

    “ ทำไมทำหน้าแบบนั้นวะแบคฮยอน? ”

     

    ชานยอลเอ่ยถามผมทันทีที่มันก้าวขายาว ๆ เข้ามาในรถตามด้วยลำตัวของมันแถมยังพ่วงท้ายด้วยทิฟฟานี่ที่ทำหน้าเหมือนพึ่งกินผึ้งมาทั้งรังเดินกระแทกเท้าขึ้นเบาะหลังอีก นี่ใจคอเธอจะไม่ยิ้มให้ผมเห็นสักครั้งเลยใช่ไหม ผมรู้ว่าผมผิดที่ทำให้เพื่อนรักของเธอเสียใจอยู่ตลอดแต่ผมก็มีเหตุผลของผมนี่นา

     

    “ หน้าแบบไหนคือหน้าแบบนั้นอย่างที่แกว่า? ”

     

    “ ช่างเหอะ ไม่อยากต่อปากต่อคำกับแก ”

     

    และแล้วชานยอลก็ยอมหุบปากและออกรถไปในที่สุด ผมก็นึกว่ามันจะกวนประสาทผมต่อซะอีกเพราะเป็นความนิยมส่วนตัวมันอยู่แล้วที่เห็นคนอื่นโกรธแล้วมันก็นั่งหัวเราะที่กวนสำเร็จ แต่คราวนี้ผิดคาดเพราะนอกจากมันจะไม่กวนประสาทผมแล้วมันยังเอาแต่ทำหน้าชีเรียสใส่ผมอีกด้วย

     

    ผมนั่งเงียบมาตลอดทั้งทางพรางหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างดูต้นไม้หลากหลายต้นที่ผ่านหน้าผมไป ชานยอลไม่ได้ขับรถเร็วแต่มันก็ไม่ได้ขับช้าเหมือนเต่าคลาน ผมจำได้นะว่าทางไปบ้านแทยอนมันทางไหนและมันก็ไม่ใช่ทางผมกำลังไปอยู่นี้ด้วย

     

    มันไปคนละทางเลยล่ะและแน่นอนแทยอนคงไม่ได้อยู่ที่บ้าน แล้วเธออยู่ที่ไหน เกิดอะไรขึ้นกันแน่? แต่ครั้นจะถามอะไรออกไปก็เท่านั้นในเมื่อชานยอลและทิฟฟานี่เอาแต่เงียบไม่ยอมตอบคำถามอะไรสักอย่างที่ผมถาม จนผมต้องเงียบตามไปด้วยแบบนี้ไง

     

    รถมินิคูปเปอร์สีดำขับออกมานอกชานเมืองเรื่อย ๆ และมันก็เริ่มออกมาไกลพอสมควรจนสองข้างทางมีบ้านเรือนของผู้คนน้อยลง และนาน ๆ ทีถึงจะเห็นบ้านคนหรือร้านค้า จู่ ๆ ชานยอลก็จอดรถลงตรงร้านขายดอกไม้แห่งหนึ่ง เป็นร้านเล็ก ๆ ที่ดูเรียบง่ายแต่ก็สวยงามในแบบของมัน อะไรมันจะซื้อดอกไม้เหรอ? หรือมันจะจอดให้ผมลงไปซื้อดอกไม้ให้แทยอน?

     

    “ ลงไปซื้อดอกไม้ที่แทยอนชอบสักช่อสิ เดี๋ยวฉันจะรอ... ”

     

    ผมพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะเดินออกมาจากรถแล้วตรงไปยังร้านขายดอกไม้แทบจะทันที ดอกไม้ที่แทยอนชอบสินะ เป็นความคิดที่ไม่เลวสำหรับเพื่อนหูกางตัวโก่งของผม และมันก็ทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่าผมไม่ได้ใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนี้กับแทยอนมานานแล้ว

     

    ผมไม่เคยให้ดอกไม้เธอเลยนับตั้งแต่วันที่เราทะเลาะเมื่อสองปีก่อนผมจำได้ว่าช่อดอกไม้ช่อสุดท้ายที่ผมมอบให้เธอถูกเขวี้ยงลงพื้นจนกลีบของมันแตกกระจายออก มันเป็นความทรงจำครั้งสุดท้ายที่ไม่ค่อยจะสวยสักเท่าไหร่ และเมื่อมองย้อนกลับไปมันก็ทำให้ผมรู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมาทุกที

     

    ผมเดินเข้ามาภายในร้านขายดอกไม้แต่กลับไม่มีใครอยู่เลยสักคน แต่ป้ายหน้าร้านก็บอกอยู่ไม่ใช่หรอว่าร้านเปิด เจ้าของร้านอาจจะกำลังอยู่หลังร้านก็ได้ งั้นลองเรียกหน่อยก็แล้วกัน ไหน ๆ ก็มาแล้วผมไม่อยากให้มันเสียเที่ยว

     

    “ ขอโทษนะครับ...มีใครอยู่หรือเปล่า ”

     

    หลังจากที่ผมพูดจบก็ไม่มีสัญญาณใด ๆ ดังขึ้นตอบผมเลย ให้ตายสิถ้าผมเป็นโจรนะป่านนี้ร้านนี้เสร็จผมไปนานแล้ว แต่นี่ไม่ไง ผมอยากได้ดอกไม้ฉะนั้นเจ้าของร้านกรุณาออกมาขายด้วย

     

    “ คุณครับ ผมมาซื้อดอกไม้ มีใครอยู่มั้ย?!

     

    “ ครับ ๆ ”

     

    สิ้นเสียงทุ้มต่ำ ผมก็เห็นร่างของผู้ชายตัวสูงแต่หุ่นผอมบางเดินออามาในชุดลำลองสบาย ๆ เสื้อยืดลายทางสีขาวกับกางเกงขายาวสีดำแค่สองไอเท่มง่าย ๆ แต่ก็จัดได้ว่าดูดีเลยทีเดียว เขามองหน้าผมก่อนจะยิ้มบาง ๆ แล้วก้มหัวขอโทษซึ่งผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรเลยก้มหัวตอบเขาตามมารยาทที่พึงจะมีก็เท่านั้น

     

    “ ขอโทษนะครับที่มาช้าพอดีผมกำลังจะออกไปข้างนอกน่ะ ว่าแต่คุณต้องการดอกไม้แบบไหนดีครับ ”

     

    “ ผมอยากได้กุหลาบสีขาวสักช่อ... ขอช่อใหญ่ ๆ แล้วกันนะครับ ”

     

    “ ใหญ่นี่เอาใหญ่แค่ไหนครับ... ว่าแต่จะเอาไปให้แฟนใช่ไหม ต้องการแบบหวาน ๆ หรือเรียบง่าย หรูไหมหรือสบาย ๆ เอาแบบกุหลาบล้วน ๆ หรือดอกไม้อันอื่นแซมด้วยครับ ”

     

    “ ดอกไม้ในร้านมีเท่าไหร่ก็จัดให้หมดนั่นแหละครับ ส่วนเรื่องอื่นมีความสามารถจัดได้แบบไหนก็จัดมาเถอะ ”

     

    ผมพูดส่ง ๆ เพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด แค่มาซื้อดอกไม้จำเป็นที่จะต้องตอบคำถามมากมายพวกนี้ด้วยเหรอ ผมชักจะไม่แน่ใจแล้วสิว่าเจ้าของร้านต้องการจัดให้ถูกใจผมจริง ๆ หรือเขากำลังกวนประสาทผมอยู่กันแน่

     

    เจ้าของร้านเดินหายไปในหลังร้านแล้วกลับมาพร้อมกับรถเข็นขนาดกลางที่อัดแน่นไปด้วยดอกกุหลาบสีขาว อย่าบอกนะว่าเขาจะเอางทั้งหมดนั่นมาทำเป็นช่อให้ผมอ่ะ...แล้วมันจะทำได้เหรอ? คนตัวเล็ก ๆ ที่ลมพัดมาก็ปลิวอย่างแทยอนจะหอบไหวเหรอนั่น

     

    ผมมองเขาเลือกดอกไม้ทีละดอก ไล่ตั้งแต่ดอกที่กำลังเริ่มผลิบานจนไปถึงดอกที่กำลังจะบานเต็มที่ เขานำดอกไม้นำมาเสียบใส่โฟมสีเขียว ๆ และก็ทำแบบนั้นวนไปวนมาจนดอกไม้หมดไปเกือบครึ่งรถ เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะทำเกินขนาดมาตฐานที่คนเขาจะซื้อกันผมเลยรีบท้วงขึ้นก่อนที่เขาจะทำจนหมดรถนั่นจริง ๆ

     

    “ นี่จะจัดจนหมดนั่นเลยเหรอครับ...ไม่ต้องก็ได้มั้ง ”

     

    “ เอ้าก็คุณบอกว่าในร้านผมมีเท่าไหร่ก็เอามาให้หมดไม่ใช่เหรอครับ...นี่ยังเหลืออีกตั้งเยอะ ”

     

    “ ผมรีบน่ะ...ว่าแต่คุณเองก็รีบไม่ใช่เหรอ เห็นบอกว่าจะออกไปข้างนอกหนิ ” ผมยกข้ออ้างที่ผมพอจะขุดจากสมองมาได้ตอนนี้ออกไป ถ้าผมไม่พูดอะไรผมว่าเขาคงจัดดอกไม้ให้ผมทั้งรถแน่ ๆ ซึ่งผมไม่ต้องการเพราะขนาดยังไม่ถึงครึ่งรถมันก็ใหญ่จนผมคิดว่าแทยอนจะหอบมันไม่ไหวแล้ว

     

    “ ผมแค่จะไปที่โรงพยาบาลเองครับ ไม่ได้รีบร้อนอะไรหรอก จัดดอกไม้แค่นี้ผมทำได้ ”

     

    “ คุณจะไปโรงบาลแต่บอกว่าไม่รีบเนี่ยนะ... ”

     

    “ ผมไม่ได้ไปตรวจสุขภาพอะไรหรอกครับ ผมไปเฝ้าไข้คนต่างหาก ”

     

    “ เพื่อนเหรอครับ? แล้วเขาเป็นอะไร? ” ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจู่ ๆ ผมถึงได้นึกอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่นทั้งที่มันไม่ใช่นิสัยของผมเลย แต่กับเรื่องเมื่อกี้มันกลับดึงความสนใจของผมให้เทน้ำหนักไปหาได้ และมันคงไม่มากไปถ้าผมจะถาม

     

    “ เขาไม่ใช่เพื่อนผมหรอกครับ...ผมแค่เจอ...

     

    “ เสร็จหรือยังวะแบคฮยอน...แกสั่งดอกไม้นานไปไหม ”

     

    ยังไม่ทันที่ผู้ชายคนนั้นจะได้พูดอะไรต่อไอ้ชานยอลก็โผล่เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน นั่นสิผมมายืนรอเขาจัดดอกไม้ให้ตั้งนานแล้วนี่นาจนลืมไปเลยว่าต้องรีบไปหาแทยอน เพราะความปากไวปากเป็นนายคนของผมแท้ ๆ ถึงได้พูดอะไรแบบนั้นออกไปทำให้เจ้าของร้านต้องจัดช่อดอกไม่ที่โคตรจะพิเศษให้ผมแบบนี้

     

    “ เหลือแค่ผูกโบว์ก็เสร็จแล้วครับ...พอดีเขาสั่งพิเศษหน่อยก็เลยใช้เวลานิดนึงครับ ”

     

    “ จำเป็นที่จะต้องใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอวะ...งั้นรบกวนช่วยเร่งหน่อยนะครับ ผมรีบ ”

     

    ไอ้ชายอลบ่นใส่ผมแล้วกลับไปพูดกับเจ้าของร้าน ไหนตอนแรกบอกรอได้ ผมไม่ได้คิดไปเองหรอกตั้งแต่ที่ผมกลับมาจากฮาวายทุกคนที่นี่ก็ดูท่าทางแปลก ๆ ไปหมดทุกครั้งที่ผมเอ่ยชื่อของแทยอน และผมมั่นใจว่ามันจะต้องเกิดเรื่องอะไรร้าย ๆ กับเธอแน่นอนไม่อย่างงั้นเธอคงไม่ออกมาจากโรงเรียนทิ้งหน้าที่ควีนแบบนี้หรอก

     

    และผมก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้เรื่องเป็นแบบที่ผมคิดเลย...เพราะผมคงทนไม่ได้แน่ถ้าต้องเสียแทยอนไปอีกครั้ง




    B E R L I N ❀
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×