คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #30 : My Peter Pan: Chapter28
“ รุ่นพี่ค่ะ.... รุ่นพี่ ตื่นสิ ”
เสียงหวานคุ้นหูของแทยอนทำให้ผมลืมตาตื่นขึ้นมาทันทีโดยที่ไม่ต้องรอให้เธอปลุกผมซ้ำเป็นครั้งที่สอง
แทยอนสวมชุดเอี้ยมสีม่วงที่ผมซื้อให้เธอใส่วันนั้นที่สวนสนุก
ผมไม่ได้มองผิดหรืออะไรหรอกแต่นี่เป็นแทยอนจริง ๆ เธอยังปลอดภัยดีทุกอย่าง
เธอยังยิ้มให้ผมเหมือนที่เธอเคยยิ้มให้เหมือนเดิมทั้งที่ผมทำเธอร้องไห้เสียใจเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้
ผมมองแทยอนไม่วางตา
แต่สายตาของผมไม่ได้ดุร้ายหรือก้าวร้าวเหมือนเมื่อก่อน ถ้าแทยอนมองย้อนกลับมาในตาผมสักนิด
เธอจะรู้ว่านัยน์ตาคู่นี้มันมีแค่เธอ
ผมอาจจะเคยพูดว่าเกลียดเธอให้เธอได้ยินไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแต่ถ้าแทยอนเพียงแค่ย้อนมองมาในตาของผมนัยน์
ตาคู่นี้ที่เคยมีไว้มองแค่เธอ ที่เคยมีไว้บอกรักเธอ
ถ้าเธอมองมัน เธอก็จะรู้ว่าที่ผมพูดมาทั้งหมดว่าเกลียดเธอมันคือคำโกหก
แต่มันกลับเป็นคำโกหกที่ทำให้คนทั้งสองคนเจ็บเจียนตาย คนที่เจ็บไม่ได้มีแค่เธอ
แต่ผมก็เจ็บ...ผมเคนสารภาพเรื่องพวกนี้ให้แทยอนได้ยินหลายครั้งแล้วแต่ไม่รู้ทำไมความผิดบาปในใจมันถึงยังไม่จางหายไปสักที
ทุกอย่างสำหรับผมกับเธอมันกำลังไปได้ด้วยดีแต่มันก็พังลงมาต่อหน้าต่อตาเสมอ
ผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมแทยอนถึงได้ทนกับผมนัก
ทำไมเธอถึงยังไม่เหนื่อยและเดินหันหลังให้ผมสักที ผมอยากให้เธอทำแบบนั้นแต่ผมรู้ตัวเองดีว่าถ้าเกิดวันนึงแทยอนทำแบบนั้นจริง
ๆ ผมก็คงต้องเสียใจแน่ ๆ
ผมอยากเป็นเห็นแก่ตัวที่จะขอมีเธอข้าง ๆ แบบนี้ตลอดไป
ถ้าภาระและหน้าทีทั้งมดที่ผมมีในตอนนี้มันสามารถแลกกับการที่ผมได้อยู่กับแทยอนได้กอดเธอได้มีเธอในชีวิตผมก็พร้อมที่จะแลกเพราะผมรักเธอ
เหตุผลสั้น ๆ ง่าย ๆ แต่ทำให้คนเราเจ็บเจียนตายเมื่อมันทำพิษ
“ ทำไมรุ่นพี่ถึงเงียบไปล่ะคะ ไม่อยากเจอฉันเหรอ?
งั้นฉัน... ”
“ แทยอน... ”
ผมรีบลุกแล้วคว้าแทยอนมากอดไว้ทันทีเมื่อเธอทำท่าจะหันหลังเดินกลับไป
ความรู้สึกนี้ที่ผมเคยสัมผัส ความอบอุ่นนี่ที่ผมมันจะได้รับเสมอเมื่อเจอเธอ
ผมกำลังกอดแทยอนอยาแต่ทำไมผมถึงได้รู้สึกว่าเราสองคนกำลังออกห่างกันไปเรื่อย ๆ ล่ะ
แทยอนอยู่ตรงหน้า แต่ผมกลับต้องหักห้ามตัวเองเอาไว้ไม่ให้มองเธอทั้งที่ในความเป็นจริงนั้นมันต่างกันสุด
ๆ ทำไมไอ้ความรู้สึกบ้า ๆ นี้ถึงเกิดขึ้นตอนที่ผมกำลังกอดเธอด้วย...
การที่ผมเลือกยุนอานั่นก็แปลว่าผมจะไม่สามารถหยุ่งเกี่ยวกับแทยอนได้อีก
แต่ขอได้ไหมขอแค่วินาทีนี้ไอ้ภาพเหล่านั้นที่คอยตอกย้ำสถานะของผมกับแทยอนอย่าพึ่งเข้ามา
ผมไม่อยากกอดเธอทั้งที่ภายในใจมันมีอะไรมากมายอยู่เต็มไปหมด
ผมแค่อยากจะอยู่กับแทยอนสักสิบนาทีโดยไม่ต้องมีอะไรมากวนใจ
ขอให้ผมหายเหนื่อยแค่นั้นผมก็พร้อมที่จะอยู่ห่างเธอ
“ รุ่นพี่ไม่ควรทำแบบนี้นะคะ...ถ้ารุ่นพี่ยุนอามาเห็นเข้าเธอจะรู้สึกยังไง
”
“ ขอฉันกอดเธอแบบนี้สักพักได้ไหม
ขอแค่แป๊บเดียวแล้วฉันจะไม่ขออะไรจากเธออีกเลย ”
“ แต่ฉันไม่สามารถทำแบบนั้นได้อีกแล้ว...ฉันไม่มีเวลาเหลืออีกแล้ว
”
น้ำเสียงที่แผ่วเบาของร่างเล็กทำให้ผมต้องคลายอ้อมกอดออกก่อนจะใช้มือมือกอบกุมในหน้าสวยหวานเอาไว้
นัยน์ตาสีนินสั่นระริกภายในนั้นมีน้ำใส ๆ เอ่อคลออยู่...น้ำตาของแทยอนทำให้ใจของใครคนนึงกระตุกวูบราวกับว่าร่างกายกำลังดำดิ่งลงสู่ก้นเหวลึกที่ไม่สามารถปีนป่ายขึ้นมาได้อีก
ไม่มีเวลางั้นเหรอ? แทยอนหมายถึงอะไรกันแน่?
“ เธอพูดอะไรของเธอน่ะแทยอน
ไม่มีเวลาอะไร ”
“ อีกไม่นานรุ่นพี่ก็จะรู้ค่ะ...ฉันแค่มาปลุก
ไม่อยากให้รุ่นพี่หลับนานกว่านี้ รุ่นพี่ต้องแข็งแรงนะคะ ”
เมื่อเสียงหวานของร่างบางสิ้นสุดลงผมก็รู้สึกได้ถึงสัมผัสอ่อนหวานจากริมฝีปากนุ่มของแทยอน
เป็นสัมผัสที่แสนจะเบาบางแต่ก็มีค่าจนทำให้ผมเผลอหลับตาลงเพื่อเปิดใจรับความสุขที่เข้ามาให้เต็มอก
แต่ทว่าพอลืมตาขึ้นมากลับพบเพียงแค่ความว่างเปล่าที่ลอยตัวเคว้งคว้างในอากาศไร้ร่างกายบอบบางของหญิงสาวที่ผมรัก
ไร้การเรียกร้องหรือโวยวายใด ๆ ทั้งสิ้น
เพราะผมพูดไม่ออก ทุกอย่างมันจุกไปหมด
แต่ที่พังกว่านั้นคือความรู้สึกที่แตกละเอียดจนไม่เหลือชิ้นดี ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงไม่โวยวายเลยสักนิดที่ลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าแทยอนหายไปทั้งที่ปกติแล้วผมต้องโวยวายก่อนเป็นอันดับแรก
แต่ครั้งนี้มันกลับต่างออกไปผมเพียงยืนนิ่ง ๆ ให้นำตาลูกผู้ชายไหลลงมาก็เท่านั้น
การจูบที่แสนเบาบางจากแทยอนเมื่อกี้อาจจะถือว่าเป็นการจากลาไปในตัวก็ได้
ยังไงมันก็ดีกว่าจากไปโดยที่เขาไม่รู้อะไรอยู่ดี...
*
“ แบคฮยอน! ”
เพราะเสียงรียกที่ดังทุ้มอยู่ใกล้ ๆ กับโสทประสาทการได้ยินของคนที่กำลังหลับไหลทำให้ร่างสูงที่นอนไม่ได้สติมานานกว่าครึ่งวันสะดุ้งตัวตื่น
แบคฮยอนตาเบิกโพลงพรางหอบหายใจจนหน้าอกกระพึ่ม จู่ ๆ อาการปวดหนึบตรงศรีษะก็เข้ามาเล่นงานเขาเสียจนชายหนุ่มเสียหลักทำท่าจะล้มลงไปกับเตียงอีกครั้งแต่ทว่ากลับมีมือบางของใครบางคนมาพยุงตัวเขาไว้ไม่ให้ล้มลงเตียง
แบคฮยอนหลับตาลงประมาณสามสี่วินาทีเพื่อปรับตัวก่อนจะลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
แก้วตาสีน้ำตาลเข้มมองไปรอบ ๆ ห้องสีขาวที่มีกลิ่นคละคลุ้งของยาและกลิ่นคลอดีนอ่อน
ๆ ที่ตลบอบอวนไปทั่วไม่บอกก็รู้ว่านี่คือโรงพยายาบาล. แต่ทำไมล่ะ ก็เขาจำได้ว่ากำลังนั่งรถเพื่อไปหาแทยอนแต่ระหว่างทางเขาดันเผลอหลับไปไหงตื่นอีกทีมาตื่นที่โรงพยายาบาลได้
แบคฮยอนมองตามสายนำเกลือที่กำลังทิ่มแขนเขาไปจนสุดสายก็พบกับถุงน้ำเกลือสีใสที่น้ำมันหายไปกว่าครึ่ง
แสดงว่าเขาคงมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อคืน หรือไม่ก็คงนานกว่านั้น
“ ทำไมผม... ”
“ เอาน้ำไหม? ”
ยุนอาถามขึ้นทันทีทั้งที่อีกฝ่ายยังไม่ทันจะได้พูดจบ
แบคฮยอนรู้ดีว่าที่เธอถามเพราะเธอเป็นห่วงเขาแต่ช่วยรอให้เขาถามเสร็จก่อนจะได้ไหม
เขาก็อยากจะรู้ตัวเองเหมือนกันว่าทำไมถึงได้กลายร่างเป็นผักต้มมานอนซมอยู่โรงพยาบาล
แต่เหตุผลมันมีอยู่ไม่กี่อย่างหรอกหนึ่งคือเขาป่วยปลุกไม่ยอมตื่นและอย่างที่สองคือรถที่เขานั่งมาคว่ำละมั้ง
แต่อย่างหลังคงไม่ใช่หรอกจริงไหม
ถ้าคว่ำจริงเขาคงไม่อยู่ในสภาพครบสามสิบสองแบบนี้หรอก
แต่เขาจะทำอะไรได้จะโกรธเธอก็ใช่เรื่อง
เขาจึงต้องรับน้ำมาเข้าปากอย่างว่าง่าย แบคฮยอนมองหน้ายุนอาโดยไม่พูดอะไรปล่อยให้เธอพูดไปก่อนเพราะเมื่อไหร่ที่เธอพูดจบนั่นก็แปลว่าเขาจะสามารถถามทุกอย่างที่เขาอยากรู้ได้
แต่ก็ไม่เป็นอย่างนั้น ยุนอาไม่ได้พูดอะไรเธอเพียงแค่ป้อนน้ำให้ร่างสูงนิ่ง ๆ และส่งยิ้มหวาน
ๆ ให้เขาก็เท่านั้น และมันก็ทำให้เกิดความเงียบที่ไม่ใช่ความเงียบในแบบที่อึดอัดแต่เป็นความเงียบที่ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายพูดหรือชวนคุย
“ ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง...ก็ในเมื่อก่อนหน้านี้ผม
” และสุดท้ายก็เป็นแบคฮยอนนั่นเองที่ถามขึ้นก่อนหลังจากที่เงียบอยู่นาน
“ คุณกำลังจะไปหาแทยอนใช่ไหมคะ? ใช่ค่ะ...
เมื่อวานชานยอลกับคนอื่น ๆ พาคุณไปหาแทยอนแต่พอไปถึงพวกเขาก็ปลุกคุณ แต่ปลุกยังไงคุณก็ไม่ยอมตื่นแถมตัวก็ร้อน
ลมหายใจคุณอ่อนมากชานยอลเลยพาคุณมาทีโรงพยาบาล ”
“ แล้ว... ”
“ หมอบอกว่าคุณไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่พักผ่อนไม่เพียงพอร่างกายเลยอ่อนเพลียแถมคุณยังมีไข้ด้วย
ร่างกายก็เลยไม่ตอบสนองชั่วขณะเหมือนกำลังชาจตัวเองอยู่ ”
ยุนอาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพรางยิ้มบาง ๆ ให้กับแบคฮยอน
และยุนอาไม่ใช่โง่ที่จะดูไม่ออกว่าตอนนี้แววตาของแบคฮยอนมันเรียกหาแต่แทยอน
แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องอะไรของเธอที่จะต้องบอกเรื่องของแทยอนให้แบคฮยอนฟัง
ปล่อยให้แบคฮยอนมารู้ทีหลังด้วยตัวเองยังจะดีกว่าเสียอีก
“ ตามชานยอลมาให้ผมได้ไหม
ผมอยากเจอชานยอล ”
“ ชานยอลออกไปซื้อของกินกับทิฟฟานี่ค่ะ
เดี๋ยวก็คงกลับมาแล้ว คุณอยากกินอะไรไหมคะยุนจะได้โทรไปบอกพวกเขาให้ซื้อขึ้นมาให้เลย
”
“ ไม่ล่ะ ขอบคุณ แค่คุณโทรไปตามมันให้กลับมาเร็ว
ๆ ก็พอแล้วครับ ”
แบคฮยอนบอกแค่นั้นก่อนจะไถลตัวลงไปกับเตียงคนไข้ตามเดิน
เขาไม่ได้ต้องการที่จะทำใจร้ายหรือไล่ยุนอาให้ไปไกล ๆ แต่ตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์มานั่งปั้นหน้าให้กับคู่หมั้นคนสวยหรอก
เพราะภายในจิตใจมันร้อนรุ่มไปหมดเหมือนมีใครเอาไฟมาจุดกองฟางในอกข้างซ้ายของเขา
ยิ่งแบคฮยอนคิดถึงฝันที่เขาพึ่งตื่นจากมันขึ้นมาไม่นานเขาก็ยิ่งร้อนใจอยากเจอแทยอนไว
ๆ
ในฝันเขาอาจจะใจเย็นและดูไม่รู้สึกรู้สาอะไรที่เสียแทยอนไปแต่นั่นมันก็เป็นแค่ความฝันเท่านั้นแหละเพราะในชีวิตจริงเขาไม่มีทางปล่อยแทยอนไปแน่
ๆ ถึงเธอจะไปเขาก็จะรั้ง ถึงเธอจะหนีเขาก็จะตาม
ถึงเธอจะหลบหน้าเขาก็จะต้องตื้อจนกว่าจะได้พบ แบคฮยอนยอมรับว่าเขาทั้งดื้นด้านและเห็นแก่ตัวที่คิดแบบนั้นแต่เพราะมันเป็นเรื่องของแทยอน
คำว่าเห็นแก่ตัวหรืออะไรก็ไม่สำคัญสำหรับเขาทั้งนั้น ขอแค่มีแทยอนอยู่ข้าง ๆพอให้รู้ว่าเธอสบายดีมีความสุขขอแค่นั้นเขาก็พอใจแล้ว
ถึงจะไม่ได้ครอบครองถึงจะต้องเจ็บปวดที่คิดไปว่าสักวันนึงแทยอนก็คงต้องลืมความรักที่เคยมีให้เขาและไปมีรักครั้งใหม่แต่เขาก็จะอดทนไว้
เพราะมันไมมีอะไรสำคัญไปกว่าการที่มีแทยอนในชีวิตและไม่จำเป็นว่าแทยอนจะต้องจมปลักอยู่กับเขา
ขอแค่แทยอนมีความสุขทุกอย่างก็โอเครแล้ว
“ แบคฮยอนคะ... ”
เสียงหวานที่ร้องเรียกชื่อคู่หมั้นของเธอดังขึ้นทำให้ชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงคนไข้หลุดจากภวังค์ความคิด
แบคฮยอนมองหน้ายุนอาอย่างตั้งคำถามก่อนที่ร่างบางจะเอ่ยตอบสั้น ๆ หลังจากที่เธอเดินไปหยิบกระเป๋าสตางค์ของเธอที่วางอยู่บนโต๊ะข้างทีวี
“ ชานยอลกำลังขึ้นมา...งั้นฉันขอตัวกลับก่อนนะคะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะมาเยี่ยมคุณใหม่
หายไว ๆ นะคะ ”
“ ครับ... ขับรถดี ๆ นะ ”
“ ค่ะ... ”
ยุนอายิ้มรับบาง ๆ ก่อนจะเดินออกไปและเป็นจังหวะเดียวกับที่ชานยอลและทิฟฟานี่เดินสวนเข้ามา
และทันทีที่ทิฟฟานี่เจอยุนอาเธอก็จ้องมองไม่วางตาด้วยสายตาที่ไม่บอกก็รู้ว่าเกลียดชังกันมากขนาดไหนแต่ยุนอากลับมองทิฟฟานี่ด้วยใบหน้าที่เปื้อนไปด้วยรอยยิ้มหวานราวกับทั้งคู่คือมิตรกัน
มันช่างเป็นอารมณ์ที่แตกต่างจริง ๆ
นี่สินะเหตุผลที่ยุนอาจะกลับไปเพราะไม่อยากเจอกับทิฟฟานี่นี่เอง
“ ชานยอล มิยองฝากดูแลแบคฮยอนด้วยนะ
ฉันกลับล่ะ...ฝากด้วยนะคะ ”
“ คู่หมั้นเธอก็มาดูแลเองสิจะฝากคนอื่นทำไม...อีกอย่างถ้าไม่สนิทอย่ามาเรียกฉันว่ามิยอง
กรุณาเรียกฉันว่าทิฟฟานี่ตามควรด้วย ”
ทิฟฟานี่กอดอกมองยุนอาอย่างหาเรื่องแต่แปลกถ้าเป็นปกติยุนอาคงปรี๊ดแตกแล้วฟาดงวงฟาดงาใส่เธอแล้วล่ะ
แต่ผิดคาดยุนอาทำแค่หัวเราะเบา ๆ ในลำคอก่อนจะส่งยิ้มหวานมาให้ทิฟฟานี่อีกครั้งอย่างขี้เล่น
“ อ่า ฉันเป็นคู่หมั้นแบคฮยอนก็จริงค่ะ
แต่แบคฮยอนเขาไม่ชอบให้ใครมาหยุ่งหย่ามวุ่นวายเวลาที่เขาป่วย...อีกอย่างเรื่องดูแลคนป่วยฉันนไม่ถนัดจริง
ๆ ค่ะ...ส่วนเรื่องที่ฉันเรียกฟานี่ว่ามิยอง ฉันขอโทษแล้วกันนะ ฉันไม่รู้ว่าทิฟฟานี่ไม่ชอบ
ถ้าไม่มีอะไรแล้วฉันขอตัวแล้วกันนะคะ ”
“ ที่หายไปนี่ไปเรียนการแสดงที่ฮอลลีวูดมาสินะ
คงเป็นหลักสูตรแบบจบเร็วใช่ไหมถึงได้กลับมาไวแถมเล่นละครเก่งแบบนี้ แต่คราวหลังอ่ะนะถ้าไม่เนียนก็อย่าทำเลย
รอยยิ้มของเธออะมันยังดูเฟคเกินไป...ว่าง ๆ ไปหัดยิ้มให้มันดูจริงใจกว่านี้ใหม่นะจะได้เนียนขึ้น
” ทิฟฟานี่พูดลอย ๆ ขึ้นมาเมื่อเห็นว่ายุนอากำลังจะเดินผ่านไปจากเธอดื้อ ๆ โดยที่ยัยนั่นไม่ปรี๊ดแตกหรือต่อปากต่อคำอะไรกับเธอสักคำทั้งที่ปกติเคยยอมกับซะที่ไหน
ยุนอาเดินผ่านไปราวกับว่าทิฟฟานี่เป็นเพียงธาตุอากาศไร้ตัวตนที่เธอไปสนใจและไม่จำเป็นที่จะต้องมาเสวนาด้วย
ต้องยอมรับเลยว่าตั้งแต่กลับมาจากฮาวายยุนอาเปลี่ยนไปมากทั้งคำพูดและการกระทำ
เธอทั้งดูเยือกเย็นและสูงส่งในเวลาเดียวกันต่างจากเมื่อก่อนโดยสิ้นเชิงซึ่งใคร ๆ ก็ดูออกว่ามันไม่ใช่ตัวเธอ
ถึงจะแปลกใจแต่ก็ไม่มีใครถามออกไปให้เสียมารยาท
ทุกคนเลยได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจแล้วทำดีกับเธอต่อไป แม้จะกระดากอายเพราะไม่คุ้นชินแต่พวกเขาก็ต้องทำเพราะยุนอาคือคู่หมั้นของแบคฮยอน
จะพูดจาไม่รักษาน้ำใจเหมือนที่ทิฟฟานี่ชอบทำก็ไม่ได้
“ เป็นไงบ้างแบคฮยอน...ดีขึ้นหรือยัง ”
“ ก็อย่างที่เห็น ฉันดูสบายดีไหมล่ะ? ”
“ ถ้าตื่นมาแล้วจะปากดีแบบนี้นายกลับหลุมไปเหมือนเดิมก็ได้นะแบคฮยอน
”
ทิฟฟานี่กอดอกมองคนป่วยที่นั่งพิงหัวเตียงจ้องมองชานยอลไม่วางตาราวกับว่าเขารู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้วยังไงอย่างงั้นแหละ...แต่ก็คงไม่
เพราะระดับแบคฮยอนแล้วถ้าเขารู้เรื่องของแทยอนเขาไม่มีทางใจเย็นได้หรอก
เรื่องนี้ทุกคนต่างรู้ดี แต่ทำไมเขาดูอารมณ์เสียอย่างงี้ล่ะ?
“ ทิฟฟานี่เธอออกไปก่อนได้ไหม
ฉันอยากจะคุยกับชานยอลสองคน ”
“ ทำไมต้องคุยกันแค่สองคน ”
“ แค่ช่วยหุบปากแล้วรอข้างนอกได้ไหม
ฉันคุยไม่นานหรอกขอร้องล่ะ ”
“ เออ! ”
ร่างเล็กกระแทรกเสียงใส่คนป่วยที่นั่งหน้าซีตเป็นไก่ต้มใกล้ม้วยอยู่บนเตียงก่อนจะเดินออกไปด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด
อยากรู้จริง ๆ ว่าผู้หญิงคนนี้ยังมีต่อมอารมณ์ดีเหลืออยู่บ้างหรือเปล่าทำไมทุกครั้งที่เจอเธอจะต้องทำหน้าตาไม่พอใจและโมโหเขาอยู่เรื่อยเลย
เสียงปิดประตูดังปังทำให้ชานยอลสะดุ้ง
หมอนั่นคงจะหวาดทิฟฟานี่แม่หมีของเขาไม่ใช่น้อยแต่แบคฮยอนชินเสียแล้วล่ะสองปีก่อนทิฟฟานี่เคยเป็นยังไงทุกวันนี้ก็ยังไม่เคยเปลี่ยน
เป็นพวกที่ปากร้ายแต่ดันใจดีแบบนี้ใครเขาจะกลัว หรือมีแค่เขากับแทยอนที่ไม่กลัวเพราะชินแล้ว...
“ ว่าไงแกมีอะไรจะคุยกับฉันหรอ? ”
ชานยอลเลิกคิ้วถามทั้งที่เขารู้ตัวดีอยู่แล้วว่าแบคฮยอนจะถามเรื่องอะไร
ในเวลานี้มีสิ่งเดียวเท่านั้นแหละที่แบคฮยอนอยากรู้นั้นก็คือเรื่องของแทยอน แต่ถ้าจะให้บอกตรง
ๆ ก็กลัวมันจะระเบิดอารมณ์ทำให้โรงบาลป่วน แต่ถ้าจะปิดไปเรื่อย ๆ มีหวังแบคฮยอนต้องคลั่งตายแน่
ๆ
“ ฉันสิควรต้องถามแกว่าแกมีอะไรจะพูดกับฉันไหม...
”
“ อย่าลีลาแบคฮยอนจะพูดอะไรก็พูดมาตรง ๆ มีเรื่องอะไรจะคุยกับฉัน
”
“ งั้นแกก็บอกฉันมาสิว่าแทยอนอยู่ไหน...
พวกแกเอาแทยอนของฉันไปซ่อนไว้ที่ไหน! ”
“ เรื่องแทยอนอ่ะ ฉันบอกแกแน่!! แต่ก่อนที่ฉันจะบอกฉนมีหนึ่งเรื่องที่ต้องถามแกให้รู้เรื่องก่อน
ทำไมแกถึงได้ปกปิดเรื่องที่แทยอนโกงที่ดินแปลงพิเศษที่แกรักเมื่อสองปีก่อน
แกซ่อนหลักฐานเอกะสารต่าง ๆ ที่สามารถเอาผิดกับแทยอนไว้ ทำไมวะ!
ปากแกบอกว่าเกลีดยเขาแค้นเขาแต่แกกลับเก็บทุกอย่างไว้
ถ้าแกเอาหลักฐานพวกนี้ส่งให้ตำรวจตั้งแต่สองปีที่แล้วเรื่องมันก็คงไม่บานปลายมาถึงทุกวันนี้
ถ้าแกไม่โกรธไม่เกลียดที่แทยอนเอาที่ดินแกไปแล้วแกจะแกล้งเขาทรมาณเขาทำไม แกทำแบบนั้นเพื่ออะไร
ฉันไม่เข้าใจแกจริง ๆ ”
“ ถ้าเป็นแก ถ้าเป็นคนที่แกรัก
แกจะจับเธอส่งตำรวจอย่างงั้นเหรอวะ ”
“ หึ... แล้วเมื่อสองปีก่อนแกไล่เขาไปทำไมถ้าแกไม่ได้แค้นเคืองอะไร
แล้วทำไมแกถึงไม่ทำเป็นคนแปลกหน้าไปซะเวลาเจอแทยอน
แกดึงเขาเข้ามาพัวพันในชีวิตแกทำไม แกทำทุกอย่างเพื่ออะไรวะแบคฮยอน
แค่ต่างคนต่างอยู่แกทำไม่ได้หรือไง... ทำไมต้องทำให้แทยอนลำบากด้วย! ”
ชานยอลเริ่มโหวกเหวกเสียงดังพร้อมกับอารมณ์ที่ปะทุขึ้นมาราวกับลาวาที่ไหลทะลักออกมาจากพูเขาไฟที่ไม่ได้ปะทุมานานแล้ว
ในขณะที่ชานยอลกำลังเป็นไฟแต่แบคฮยอนกลับเป็นเพียงน้ำนิ่งเยือกเย็นราวกับน้ำแข็งที่ไหลลึกอยู่ก้นบึ้งของลำธาร
เขายอมรับว่าตกใจไม่น้อยที่ชานยอลไปปะเข้ากับหลักฐานที่เขาเก็บเอาไว้มานานนับสองปีเพื่อปกปิดความผิดให้กับคนที่เขารัก
แต่หากยังโชคดีที่คนที่เจอมันคือชานยอล
ถ้าเป็นคนอื่นละก็เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าคนพวกนั้นจะมองแทยอนยังไง
แต่ไม่ว่าเมื่อสองปีก่อนหรือวันไหน ๆ ที่แทยอนทำผิดมันก็ไม่สำคัญกับเขาอีกต่อไปแล้วเพราะเขารักแทยอนมากเกินกว่าที่ปัญหาพวกนั้นจะมาบั่นทอนได้
จะมีก็แต่ปัญหาเดียวที่ขัดขวางทุกอย่างเอาไว้และปัญหานั้นก็คือยุนอายังไงละ
“ อย่าถามหาเหตุผล เพราะแกไม่จำเป็นต้องรู้
ฉันจะบอกก็ต่อเมื่อคำถามนี้คนที่ถามคือแทยอนเท่านั้น ”
“ งั้นแกก็เชิญเก็บเหตุผลของแกเอาไว้เหอะ เพราะแกจะไม่มีวันได้บอกแน่นอน...
”
“ แกหมายความว่ายังไงชานยอล... ทำไมฉันถึงจะไม่ได้บอกเรื่องนี้กับแทยอน
”
จู่ ๆ คำพูดของชานยอลที่ดูจะไม่มีอะไรก็ทำให้ใจของแบคฮยอนกระตุกวูบขึ้นมา
ทำไมแค่คำไม่กี่คำที่บอกเป็นกราย ๆ ว่าเขาจะไม่ได้เจอแทยอนอีกถึงได้มีอิทธิพลต่อหัวใจของเขานักนะ
นี่เขากลายเป็นคนอ่อนแอไปตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“ เรื่องนั้นเอาไว้ก่อน ตอนนี้ฉันต้องการที่จะคุยกับแกให้จบ
สองปีที่ผ่านมาบริษัทและธุระกิจที่แกดูแลอยู่รวมทั้งโรงเรียนนี้ด้วยต่างถูกยักยอกเงินไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่จนใคร
ๆ ต่างก็มองว่าแกมันไม่เอาไหนไม่ได้เรื่องทั้งที่จริงแล้วฝีมือการบริหารของแกมันมีมากกว่าพวกฉันซะอีก
แต่แน่นอนว่าคนที่ยักยอกไม่ใช่แทยอนเพราะเธอพึ่งจะกลับมาจากฝรั่งเศสแล้วแกเคยคิดจะสืบสาวหาต้นตอจริง
ๆ บ้างไหมว่าใครเป็นคนทำ... ”
“ แล้วแกเห็นฉันเฉยกับเรื่องพวกนี้อย่างงั้นเหรอ
”
“ ใช่ แกไม่เคยอยู่เฉยแต่แกก็ไม่เคยหาจริง ๆ สักครั้ง
ไม่อย่างงั้นเรารู้ตัวคนทำนานแล้ว และถ้าให้ฉันเดาแกก็คงจะรู้แล้วใช่ไหมว่าใครเป็นคนทำ
แกจะใจดีใจอ่อนแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่วะ ทำไมไม่จัดการจริง ๆ จัง ๆ สักที
แกรู้มั้ยว่าคนที่จะเดือดร้อนกับเรื่องนี้มากที่สุดก็คือแก แต่แกกลับปล่อยมันไปง่าย
ๆ แบบนี้น่ะเหรอ...แกคิดอะไรของแกอยู่! ”
“ แกพูดอะไรของแกชานยอล แกพูดเหมือนแกรู้.... ”
น้ำเสียงของแบคฮยอนช่างแผ่วเบาเหมือนเขากำลังจะขาดอากาศหายใจ
ชานยอลไม่ได้รู้ความลับของเขาอยู่แค่เรื่องเดียวแต่ชานยอลรู้เกือบทั้งหมด อะไรกัน เพื่อนของเขาไปสืบเรื่องพวกนี้มาตั้งแต่เมื่อไหร่
เขาไม่เคยแม้แต่จะเผลอปากพูดเรื่องนี้ออกไปแต่ชานยอลกลับสืบจนรู้หมดอย่างงั้นนะหรือ
“ ใช่ฉันรู้ และไม่ใช่แค่รู้แต่ฉันมีทั้งหลักฐานและพยานที่จะเอาผิดคู่หมั้นของแกได้เลยล่ะ
และฉันจะส่งเรื่องนี้ให้ตำรวจเร็ว ๆ นี้ ฉันไม่สนว่าใครจะพูดยังไงแต่ถ้าปล่อยเอาไว้แบบนี้ต่อไปแกนั่นแหละแบคฮยอนที่จะต้องซวย
”
“ แล้วถ้าฉันขอร้อง แกอย่าพึ่งส่งเรื่องนี้ให้ตำรวจได้ไหม
ฉันขอเวลาพิสูจน์อะไรบางอย่างก่อน แล้วถ้าถึงเวลาฉันจะจบเรื่องทุกอย่างเอง ”
“ แกจะมาพิสูจน์อะไรอีก แค่จัดการเรื่องนี้ให้จบ ๆ
ไปซะก็สิ้นเรื่อง ”
“ ฉันขอเวลาไม่นาน อย่าพึ่งทำอะไรยุนอาได้ไหม...ฉันรับรองได้เลยว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นอีกฉันจะยอมรับผิดทุกอย่างแล้วปล่อยเรื่องให้แกจัดการซะ
”
“ โธ่เว้ย! ” ชานยอลปล่อยหมัดใส่พนังห้องอย่างแรงจนกรอบรูปที่แขวนอยู่สั่นสะเทือน
แบคฮยอนเองก็ตกใจไม่น้อยที่เห็นเพื่อนที่อารมณ์ดีกับทุกเรื่องมาโดยตลอดอย่างชานยอลจะโมโหได้ขนาดนี้
แต่ก็แค่นั้นแหล่ะถึงโมโหไปแต่ก็ทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้อยู่ดี
“ ธุระของแกหมดแค่นี้แล้วใช่ไหม... งั้นแกก็บอกฉันสักทีว่าตอนนี้แทยอนอยู่ที่ไหน
”
“ ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ แล้วเดี๋ยวฉันจะพาไป... ”
*
Beakhyun’
Part
ผมทำตามที่ชานยอลบอกอย่างว่าง่ายเพราะมันไม่มีอะไรที่ผมจะต้องดื้อด้านหรือขัดขืนอยู่แล้ว
ก็ผมอยากจะเจอแทยอนนี่นา
อยากจะเจอขอแค่ได้เจอเห็นแค่เสี้ยวหน้าพอรู้ว่าแทยอนยังอยู่ดีผมก็พอใจแล้ว
ผมใจไม่ดีตั้งแต่รู้ว่ายุนอากลับเกาหลีมาก่อนเพราะผมรู้ว่าเธอตั้งใจที่จะให้ผมตามไปที่นั่นแล้วหนีกลับก่อน
ผมเลยเฝ้าแต่ห่วงแทยอน
ผมอยากจะเจอเธอตั้งแต่วินาทีแรกที่เท้าแตะถึงผืนแผ่นดินเกาหลีแล้วแต่เพราะวันนั้นเป็นวันงานเปิดโรงเรียนพอดีเลยทำให้ผมไม่สามารถไปหาเธอได้
แต่พอผมกำลังจะไป ไอ้ร่างกายบ้า ๆ นี่ของผมดันอ่อนแอเสียอย่างงั้น ทำไมอะไร ๆ ถึงได้ดูขวางทางผมไปซะทุกอย่างก็ไม่รู้
ผมเปลี่ยนชุดตามที่ชานยอลบอกและลงมารอมันเคลียร์ค่ารักษาพยาบาลต่าง
ๆ นา ๆ ให้ผมที่รถ บอกตามตรงว่าตอนนี้หัวใจผมมันเต้นแรงมาก ๆ แต่มันกลับไม่ใช่ความรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้เจอคนรักหรือดีใจอะไร
แต่มันกลับกลายเป็นจังหวะการเต้นของหัวใจที่หวาดกลัว
ทำไมความรู้สึกแบบนี้ถึงเกิดขึ้นกับผมได้ล่ะ
มันเป็นคำถามที่ผมถามตัวเองแต่ผมกลับตอบมันไม่ได้ ผมขมวดคิ้ว
ถอนหายใจครั้งแล้วครั้งเล่า ทำไมผมรู้สึกเหมือนกล้า ๆ กลัว ๆ ที่จะไปเจอแทยอนจังเลย
อยู่ ๆ ร่างกายของผมก็เกิดประหม่าซะอย่างงั้นเหรอ
เป็นความรู้สึกที่หน้าโมโหที่สุดเลย
แล้วนี่อะไรทำไมมันถึงเลือกที่ชุดที่อึมครืมแบบนี้ให้ผมละ
แถมยังเป็นชุดที่ออกแนวทางการด้วยมันคงไม่ได้คิดจะพาผมไปหาพ่อแม่ของแทยอนอะไรแบบนั้นหรอกใช่มั้ย
“ ทำไมทำหน้าแบบนั้นวะแบคฮยอน? ”
ชานยอลเอ่ยถามผมทันทีที่มันก้าวขายาว ๆ เข้ามาในรถตามด้วยลำตัวของมันแถมยังพ่วงท้ายด้วยทิฟฟานี่ที่ทำหน้าเหมือนพึ่งกินผึ้งมาทั้งรังเดินกระแทกเท้าขึ้นเบาะหลังอีก
นี่ใจคอเธอจะไม่ยิ้มให้ผมเห็นสักครั้งเลยใช่ไหม
ผมรู้ว่าผมผิดที่ทำให้เพื่อนรักของเธอเสียใจอยู่ตลอดแต่ผมก็มีเหตุผลของผมนี่นา
“ หน้าแบบไหนคือหน้าแบบนั้นอย่างที่แกว่า? ”
“ ช่างเหอะ ไม่อยากต่อปากต่อคำกับแก ”
และแล้วชานยอลก็ยอมหุบปากและออกรถไปในที่สุด
ผมก็นึกว่ามันจะกวนประสาทผมต่อซะอีกเพราะเป็นความนิยมส่วนตัวมันอยู่แล้วที่เห็นคนอื่นโกรธแล้วมันก็นั่งหัวเราะที่กวนสำเร็จ
แต่คราวนี้ผิดคาดเพราะนอกจากมันจะไม่กวนประสาทผมแล้วมันยังเอาแต่ทำหน้าชีเรียสใส่ผมอีกด้วย
ผมนั่งเงียบมาตลอดทั้งทางพรางหันหน้าออกไปนอกหน้าต่างดูต้นไม้หลากหลายต้นที่ผ่านหน้าผมไป
ชานยอลไม่ได้ขับรถเร็วแต่มันก็ไม่ได้ขับช้าเหมือนเต่าคลาน
ผมจำได้นะว่าทางไปบ้านแทยอนมันทางไหนและมันก็ไม่ใช่ทางผมกำลังไปอยู่นี้ด้วย
มันไปคนละทางเลยล่ะและแน่นอนแทยอนคงไม่ได้อยู่ที่บ้าน
แล้วเธออยู่ที่ไหน เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
แต่ครั้นจะถามอะไรออกไปก็เท่านั้นในเมื่อชานยอลและทิฟฟานี่เอาแต่เงียบไม่ยอมตอบคำถามอะไรสักอย่างที่ผมถาม
จนผมต้องเงียบตามไปด้วยแบบนี้ไง
รถมินิคูปเปอร์สีดำขับออกมานอกชานเมืองเรื่อย ๆ และมันก็เริ่มออกมาไกลพอสมควรจนสองข้างทางมีบ้านเรือนของผู้คนน้อยลง
และนาน ๆ ทีถึงจะเห็นบ้านคนหรือร้านค้า จู่ ๆ ชานยอลก็จอดรถลงตรงร้านขายดอกไม้แห่งหนึ่ง
เป็นร้านเล็ก ๆ ที่ดูเรียบง่ายแต่ก็สวยงามในแบบของมัน อะไรมันจะซื้อดอกไม้เหรอ?
หรือมันจะจอดให้ผมลงไปซื้อดอกไม้ให้แทยอน?
“ ลงไปซื้อดอกไม้ที่แทยอนชอบสักช่อสิ
เดี๋ยวฉันจะรอ... ”
ผมพยักหน้าหงึกหงักก่อนจะเดินออกมาจากรถแล้วตรงไปยังร้านขายดอกไม้แทบจะทันที
ดอกไม้ที่แทยอนชอบสินะ เป็นความคิดที่ไม่เลวสำหรับเพื่อนหูกางตัวโก่งของผม และมันก็ทำให้ผมนึกขึ้นมาได้ว่าผมไม่ได้ใส่ใจเรื่องเล็ก
ๆ น้อย ๆ พวกนี้กับแทยอนมานานแล้ว
ผมไม่เคยให้ดอกไม้เธอเลยนับตั้งแต่วันที่เราทะเลาะเมื่อสองปีก่อนผมจำได้ว่าช่อดอกไม้ช่อสุดท้ายที่ผมมอบให้เธอถูกเขวี้ยงลงพื้นจนกลีบของมันแตกกระจายออก
มันเป็นความทรงจำครั้งสุดท้ายที่ไม่ค่อยจะสวยสักเท่าไหร่
และเมื่อมองย้อนกลับไปมันก็ทำให้ผมรู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมาทุกที
ผมเดินเข้ามาภายในร้านขายดอกไม้แต่กลับไม่มีใครอยู่เลยสักคน
แต่ป้ายหน้าร้านก็บอกอยู่ไม่ใช่หรอว่าร้านเปิด
เจ้าของร้านอาจจะกำลังอยู่หลังร้านก็ได้ งั้นลองเรียกหน่อยก็แล้วกัน ไหน ๆ ก็มาแล้วผมไม่อยากให้มันเสียเที่ยว
“ ขอโทษนะครับ...มีใครอยู่หรือเปล่า ”
หลังจากที่ผมพูดจบก็ไม่มีสัญญาณใด ๆ ดังขึ้นตอบผมเลย
ให้ตายสิถ้าผมเป็นโจรนะป่านนี้ร้านนี้เสร็จผมไปนานแล้ว แต่นี่ไม่ไง
ผมอยากได้ดอกไม้ฉะนั้นเจ้าของร้านกรุณาออกมาขายด้วย
“ คุณครับ ผมมาซื้อดอกไม้ มีใครอยู่มั้ย?! ”
“ ครับ ๆ ”
สิ้นเสียงทุ้มต่ำ ผมก็เห็นร่างของผู้ชายตัวสูงแต่หุ่นผอมบางเดินออามาในชุดลำลองสบาย
ๆ เสื้อยืดลายทางสีขาวกับกางเกงขายาวสีดำแค่สองไอเท่มง่าย ๆ แต่ก็จัดได้ว่าดูดีเลยทีเดียว
เขามองหน้าผมก่อนจะยิ้มบาง ๆ แล้วก้มหัวขอโทษซึ่งผมก็ไม่ได้ติดใจอะไรเลยก้มหัวตอบเขาตามมารยาทที่พึงจะมีก็เท่านั้น
“
ขอโทษนะครับที่มาช้าพอดีผมกำลังจะออกไปข้างนอกน่ะ ว่าแต่คุณต้องการดอกไม้แบบไหนดีครับ
”
“ ผมอยากได้กุหลาบสีขาวสักช่อ... ขอช่อใหญ่ ๆ แล้วกันนะครับ
”
“ ใหญ่นี่เอาใหญ่แค่ไหนครับ...
ว่าแต่จะเอาไปให้แฟนใช่ไหม ต้องการแบบหวาน ๆ หรือเรียบง่าย หรูไหมหรือสบาย ๆ เอาแบบกุหลาบล้วน
ๆ หรือดอกไม้อันอื่นแซมด้วยครับ ”
“ ดอกไม้ในร้านมีเท่าไหร่ก็จัดให้หมดนั่นแหละครับ
ส่วนเรื่องอื่นมีความสามารถจัดได้แบบไหนก็จัดมาเถอะ ”
ผมพูดส่ง ๆ เพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด แค่มาซื้อดอกไม้จำเป็นที่จะต้องตอบคำถามมากมายพวกนี้ด้วยเหรอ
ผมชักจะไม่แน่ใจแล้วสิว่าเจ้าของร้านต้องการจัดให้ถูกใจผมจริง ๆ หรือเขากำลังกวนประสาทผมอยู่กันแน่
เจ้าของร้านเดินหายไปในหลังร้านแล้วกลับมาพร้อมกับรถเข็นขนาดกลางที่อัดแน่นไปด้วยดอกกุหลาบสีขาว
อย่าบอกนะว่าเขาจะเอางทั้งหมดนั่นมาทำเป็นช่อให้ผมอ่ะ...แล้วมันจะทำได้เหรอ?
คนตัวเล็ก ๆ ที่ลมพัดมาก็ปลิวอย่างแทยอนจะหอบไหวเหรอนั่น
ผมมองเขาเลือกดอกไม้ทีละดอก ไล่ตั้งแต่ดอกที่กำลังเริ่มผลิบานจนไปถึงดอกที่กำลังจะบานเต็มที่
เขานำดอกไม้นำมาเสียบใส่โฟมสีเขียว ๆ และก็ทำแบบนั้นวนไปวนมาจนดอกไม้หมดไปเกือบครึ่งรถ
เมื่อเห็นว่าเขากำลังจะทำเกินขนาดมาตฐานที่คนเขาจะซื้อกันผมเลยรีบท้วงขึ้นก่อนที่เขาจะทำจนหมดรถนั่นจริง
ๆ
“ นี่จะจัดจนหมดนั่นเลยเหรอครับ...ไม่ต้องก็ได้มั้ง
”
“
เอ้าก็คุณบอกว่าในร้านผมมีเท่าไหร่ก็เอามาให้หมดไม่ใช่เหรอครับ...นี่ยังเหลืออีกตั้งเยอะ
”
“ ผมรีบน่ะ...ว่าแต่คุณเองก็รีบไม่ใช่เหรอ
เห็นบอกว่าจะออกไปข้างนอกหนิ ” ผมยกข้ออ้างที่ผมพอจะขุดจากสมองมาได้ตอนนี้ออกไป
ถ้าผมไม่พูดอะไรผมว่าเขาคงจัดดอกไม้ให้ผมทั้งรถแน่ ๆ ซึ่งผมไม่ต้องการเพราะขนาดยังไม่ถึงครึ่งรถมันก็ใหญ่จนผมคิดว่าแทยอนจะหอบมันไม่ไหวแล้ว
“ ผมแค่จะไปที่โรงพยาบาลเองครับ
ไม่ได้รีบร้อนอะไรหรอก จัดดอกไม้แค่นี้ผมทำได้ ”
“ คุณจะไปโรงบาลแต่บอกว่าไม่รีบเนี่ยนะ... ”
“ ผมไม่ได้ไปตรวจสุขภาพอะไรหรอกครับ ผมไปเฝ้าไข้คนต่างหาก
”
“ เพื่อนเหรอครับ? แล้วเขาเป็นอะไร? ”
ผมไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมจู่ ๆ ผมถึงได้นึกอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่นทั้งที่มันไม่ใช่นิสัยของผมเลย
แต่กับเรื่องเมื่อกี้มันกลับดึงความสนใจของผมให้เทน้ำหนักไปหาได้
และมันคงไม่มากไปถ้าผมจะถาม
“ เขาไม่ใช่เพื่อนผมหรอกครับ...ผมแค่เจอ... ”
“ เสร็จหรือยังวะแบคฮยอน...แกสั่งดอกไม้นานไปไหม
”
ยังไม่ทันที่ผู้ชายคนนั้นจะได้พูดอะไรต่อไอ้ชานยอลก็โผล่เข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน
นั่นสิผมมายืนรอเขาจัดดอกไม้ให้ตั้งนานแล้วนี่นาจนลืมไปเลยว่าต้องรีบไปหาแทยอน
เพราะความปากไวปากเป็นนายคนของผมแท้ ๆ ถึงได้พูดอะไรแบบนั้นออกไปทำให้เจ้าของร้านต้องจัดช่อดอกไม่ที่โคตรจะพิเศษให้ผมแบบนี้
“ เหลือแค่ผูกโบว์ก็เสร็จแล้วครับ...พอดีเขาสั่งพิเศษหน่อยก็เลยใช้เวลานิดนึงครับ
”
“ จำเป็นที่จะต้องใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอวะ...งั้นรบกวนช่วยเร่งหน่อยนะครับ
ผมรีบ ”
ไอ้ชายอลบ่นใส่ผมแล้วกลับไปพูดกับเจ้าของร้าน
ไหนตอนแรกบอกรอได้ ผมไม่ได้คิดไปเองหรอกตั้งแต่ที่ผมกลับมาจากฮาวายทุกคนที่นี่ก็ดูท่าทางแปลก
ๆ ไปหมดทุกครั้งที่ผมเอ่ยชื่อของแทยอน และผมมั่นใจว่ามันจะต้องเกิดเรื่องอะไรร้าย ๆ
กับเธอแน่นอนไม่อย่างงั้นเธอคงไม่ออกมาจากโรงเรียนทิ้งหน้าที่ควีนแบบนี้หรอก
และผมก็ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้เรื่องเป็นแบบที่ผมคิดเลย...เพราะผมคงทนไม่ได้แน่ถ้าต้องเสียแทยอนไปอีกครั้ง
ความคิดเห็น