ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Windows of Heart { WonKyu}

    ลำดับตอนที่ #15 : CHAPTER : 13 (2/2)

    • อัปเดตล่าสุด 23 มี.ค. 56


    พาร์ทสุดแล้วนะ ขอให้สนุกนะคะ ^^









                   “นี่ คยูฮยอน”

    “ครับ ฮีชอลฮยอง” ผมหันไปมองเสี้ยวหน้าของฮีชอลที่กำลังขับรถอยู่ สายตาของพี่เขาไม่ได้มองมาที่ผม แต่..เหมือนมองออกไปไกลแสนไกลไม่มีที่สิ้นสุด นัยน์ตาว่างเปล่าแบบนี้ผมรู้จัก นัยน์ตาของคนผิดหวังในรักไงล่ะ..

    “รู้ไหมว่าพวกเราน่ะ ฉันหมายถึงเอสเจน่ะนะ”

    “ครับฮยอง?”

    “ตอนแรกพวกเราไม่ชอบนายเลยด้วยซ้ำ พวกฉันคิดแค่ว่าสิบสองคนก็พอแล้ว ก็.ความคิดเด็กๆน่ะนะ” ฮยองว่าพลางกลั้วหัวเราะในลำคอ เรื่องนี้ผมเองก็พอรู้มาอยู่แล้ว ..ว่าแต่ทำไมจู่ๆฮยองถึงหยิบเรื่องนี้ขึ้นมาพูดกันนะ

    “แต่นานวันไป คยูฮยอนก็กลายเป็นมักเน่จอมแสบที่พี่ๆเอ็นดูกันถ้วนหน้า”

    “ครับ”

    “ไอ้ซีวอนน่ะ..มันเอ็นดูนายมากกว่าคนอื่น คอยเอาใจใส่ กลัวนายจะเหงา กลัวนายจะโดดเดี่ยว ไม่อยากให้นายรู้สึกแปลกแยกจากฮยองคนอื่นๆ ซีวอนน่ะรักนายมากจริงๆนะ”

    “ครับ...”

    “แต่พอเวลาผ่านไป อะไรก็เปลี่ยนแปลง พวกเรารู้ว่า ทั้งนายกับซีวอนรู้สึกยังไงต่อกัน พวกเราได้แต่เงียบ มองในฐานะคนนอกที่ไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายความรู้สึกส่วนตัวของพวกนายได้ ทั้งฉัน ทั้งอีทึก พี่เมเนเจอร์ เมมเบอร์คนอื่นๆ พวกเราคุยเรื่องพวกนายกันนับครั้งไม่ถ้วน”

    “เรื่องพวก..ผม?” อดขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจไม่ได้ แต่ฮีชอลฮยองเองก็ยังคงเอ่ยต่อไปโดยที่สายตายังคงทอดมองจนสุดริมทาง

    “เยส นายคิดว่าพวกฉันไม่ตกใจเหรอ พวกเราไม่เคยรับมือเรื่องแบบนี้มาก่อน ไม่ใช่ว่ารังเกียจ เพียงแต่ตั้งตัวกันไม่ทันและไม่คิดว่าพวกนายจะรู้สึกกันแบบนั้นจริงๆ พอหลังจากนั้น ..หลังจากเราคุยกันร่วมค่อนคืน อีทึกสรุปว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเราซุปเปอร์จูเนียร์จะสนับสนุนและเคารพในสิ่งที่พวกนายเป็น”

    “ฮยอง...”

    “ไม่ว่าจะทงเฮ หรือ เยซองฮยอง สองคนนี้ห่วงนายมากกว่าใคร ถึงทั้งคู่จะไม่พูด แต่นายก็รู้ใช่ไหม บางครั้งพวกเราจำเป็นต้องกั้นพวกนายออกห่างกัน เพราะสายตาของคยูน่ะชัดเจนเกินไป”

    “ขอโทษครับ..” ก้มหน้ารู้สึกผิดที่ทำให้ฮยองเดือดร้อนแบบนี้ ผมผิดเองที่ไม่สามารถเก็บอะไรๆไว้ในใจได้เลยแม้จะพยายามก็ยังไม่สำเร็จ และคงไม่มีวันสำเร็จ...

    “เห้ย ไม่ต้องหรอก พวกฉันเต็มใจ แต่ก็นะ..ฉันจะพูดอีกครั้งนะคยูฮยอน คนที่รักและห่วงนายมากที่สุดคือซีวอน หมอนั่นกังวลทุกอย่างที่เกี่ยวกับนาย ทั้งตอนที่คบกับสเตลล่าหมอนั่นก็ยังเอาแต่เรียกหานาย บอกแต่กลัวคยูฮยอนจะเหงา กลัวจะต้องปล่อยให้น้องนั่งเล่นในห้องอยู่คนเดียว กลัวว่านายจะน้อยใจ กลัวนั่นนี่ไปหมด”

    “........ครับ”

    “ความรักมันคือการเห็นแก่ตัวนะคยูฮยอน อย่ารอให้สายไป..แบบฉัน”

    หลังจากนั้นพวกเราสองคนได้แต่นั่งเงียบมาตลอดทาง หากบางครั้งที่แสงไฟสะท้อนนัยน์ตากลมโตของฮีชอลฮยอง ผมรู้สึกเหมือนเห็นหยาดน้ำตาใสคลอหน่วย แต่เพียงพริบตาก็กลับเป็นปกติ.. ผมรู้ รู้ว่าฮีชอลฮยองหมายถึงอะไร ผมเข้าใจอย่างเต็มอก เพราะฮีชอลฮยองเจอหนักหนากว่าผม..

    ถึงจะเป็นแบบนั้น แต่ความรู้สึกในใจช่างขัดแย้งยุ่งเหยิงไปหมด

    ความรักสั่งให้เห็นแก่ตัวแต่ในขณะเดียวกันความรักก็สั่งให้เขาถอยออกมา

    ..สับสนจนอยากร้องไห้ ...

    ผมสะดุ้งเฮือกเมื่อผ้าเช็ดหน้าสีแดงถูกยื่นให้อีกครั้ง ฮีชอลฮยองหัวเราะผมเองก็หัวเราะและรับผ้าผืนนั้นมาปิดสายตาไว้ ผมอ่อนแอ ผมรู้ตัวดี...

    ฮีชอลเหลือบมองคยูฮยอนที่สะอื้นราวกับเด็กน้อยอยู่ด้านข้าง ที่เขายื่นผ้าเช็ดหน้าให้คยูฮยอนเพราะเขาเองก็มีเหตุจำเป็น ..เพราะฮีชอลคนเข้มแข็งจะร้องไห้ต่อหน้าน้องไม่ได้ แม้ในใจจะขาดวิ่นไม่เหลือชิ้นดีก็ต้องยิ้มและเชิดหน้าสู้..

    ฮีชอลหวัง..หวังให้เด็กทั้งสองสมหวังในรัก อย่าเป็นเหมือนเขาที่จากกันไปไกลและไม่อาจหวนคืน

     

     

     

     

    ผมโบกมือลาฮีชอลฮยองก่อนจะไขกุญแจเข้าบ้าน ตอนนี้เกือบตีหนึ่งแล้ว ทั้งคุณพ่อคุณแม่และพี่สาวคงพากันหลับสนิท ผมจัดการตัวเองเงียบๆก่อนจะพาตัวเองขึ้นเตียงนอน ..ในใจยังคงครุ่นคิดถึงสิ่งที่ฮีชอลฮยองบอก

    หากยิ่งคิดในใจกลับยิ่งว้าวุ่น นอนพลิกขวาก็แล้ว พลิกซ้ายก็แล้ว ในหัวก็ยังคงมีแต่ภาพของซีวอนที่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยน สับสนจนอยากจะร้องไห้ ..ผมเกลียดตัวเองที่ไม่คิดจะเลิกรัก

    เกลียดตัวเองที่แม้แต่จะหักห้ามใจยังไม่กล้า และ ขลาดเขลาเกินกว่าจะปฏิเสธออกมาตรงๆ หากปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในใจเรียกหา ..เรียกร้องถึงคนๆนั้นมากแค่ไหน พยายามปิดกั้นหัวใจไม่ให้รู้สึก พยายามตีตัวออกห่างจนบางครั้งเหมือนไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

    ทั้งๆที่ในใจอยากกอด อยากอ้อน อยากรัก...

    ผมพาตัวเองออกจากห้องและเดินไปยังห้องพี่อารา พี่สาวของผมนอนซุกตัวอยู่ในผ้าห่มผืนใหญ่ ผมแทรกตัวเข้าไปนอนด้วยกับอารานูน่าก่อนเธอจะเอื้อมมือมากอดและตบหลังผมเหมือนตอนเด็กๆ

    “ฝันร้ายเหรอคยูฮยอน ไม่เป็นไรนะนูน่าอยู่นี่แล้ว” พึมพำเสียงงัวเงียและหลับไปอีกครั้ง ในอ้อมกอดของผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างอารานูน่า ..อบอุ่นจนใจหาย

    คืนนั้นคยูฮยอนนอนขดราวกับเด็กน้อย ..ภาวนาให้แม้ยามหลับตาก็ขอฝันถึง ในใจยังคงถวิลหา ...

     

     

     

     

                   

                    ในช่วงสุดท้าย แม้แต่เราในฐานะคนเขียนก็ไม่รู้จริงๆว่าจะจบลงแบบไหน จะรัก จะเกลียด จะคงฐานะที่พี่น้อง หรือแม้แต่เป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน นับจากบรรทัดนี้เป็นต้นไปเราตัดสินใจว่าจะใช้ความรู้สึกของตัวเองมองพวกเขาและเขียนถึงพวกเขาให้”จริง”มากที่สุด โดยผ่านสายตาของคนที่เฝ้ามองตลอดมา ได้โปรดมองพวกเขาและใช้หัวใจพิจารณาดูนะคะ ^^

     

                   

     

     

                    คยูฮยอนขยับลุกออกจากที่นอนทั้งท้องฟ้ายังไม่สว่างดี บิดขี้เกียจคลายเมื่อยเนื้อตัวก่อนจะหอมแก้มพี่สาวตัวดีแรงๆให้หายคิดถึงและพาตัวเองเข้าห้องน้ำเพื่อเดินทางไปบันทึกเสียงในส่วนสุดท้ายที่เหลือ

                    รักได้รึเปล่า

                    เฝ้าถามคำถามนี้กับตัวเองตั้งแต่ตื่นนอนจนก้าวขึ้นรถก็ยังคงครุ่นคิดไม่หาย นึกย้อนไปถึงเรื่องวันวานที่เคยผ่านร่วมกันมา ไม่ว่าจะหัวเราะ จะร้องไห้ จะเศร้า ไม่ว่าเวลาไหนข้างๆโจคยูฮยอนมักจะมีชเวซีวอนอยู่เคียงข้างเสมอ อาจไม่เคยสังเกตแต่ไม่ว่าจะกี่ครั้ง ...ทุกครั้งที่แผ่นหลังกว้างสะท้อนเบื้องลึกที่แสนเศร้า คยูฮยอนอยากจะกอด อยากจะลูบแผ่นหลังนั่น อยากกดจูบเหมือนที่ซีวอนชอบทำ เพื่อให้หายกังวล ให้คลายทุกข์

                    ได้แต่มอบความรักและความหวังดีในฐานะที่คนๆนึง ..ไม่สิ น้องชายคนนึงจะมอบให้ได้

                    สวมหมวกไหมพรมก่อนจะก้าวลงจากรถฮยอนไดสีขาวเพื่อเดินเข้าบริษัท เวลาตีห้าแบบนี้มีแต่เสียงนกและเสียงเครื่องยนต์ที่ดังมาจากไหนสักแห่ง คยูฮยอนสูดหายใจลึกก่อนจะเดินเข้าด้านในเพื่อจัดการอัดเสียงให้เสร็จ

                    “อ้ะ สวัสดีคยูฮยอน”

                    “คะ..ครับ”

                    โดยไม่มีใครคาดคิด คยูฮยอนเองก็เช่นกัน บุคคลที่เขาไม่พร้อมเจอหน้ามากที่สุดนั่งอยู่หน้าห้องอัดพร้อมกระดาษโน้ตที่มีแต่รอยปากกาเต็มไปหมด เขายิ้มก่อนจะทรุดนั่งด้านข้าง ..และบทสนทนาก็หมดลง

                    “อ่ะ..เอ่อ” ทั้งคู่พูดขึ้นมาพร้อมกันก่อนซีวอนจะส่งยิ้มให้คยูฮยอนเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เขาพยักหน้าก่อนจะอ้าปากและงับลงอีกครั้ง

                    ทั้งที่ในใจมีเรื่องอยากถามเยอะแยะไปหมด แต่ดูเหมือนริมฝีปากจะหนักอึ้งเอาเสียเหลือเกิน

                    “งั้นฮยองพูดก่อนล่ะกันนะ ฮ่ะๆ”

                    “อ่ะ ..เชิญครับ”

                    “เมื่อคืนนอนไม่พอเหรอ ขอบตาคล้ำเชียว เล่นเกมมาสินะ”

    แต่ก็นะ..ฉันจะพูดอีกครั้งนะคยูฮยอน คนที่รักและห่วงนายมากที่สุดคือซีวอน หมอนั่นกังวลทุกอย่างที่เกี่ยวกับนาย ทั้งตอนที่คบกับสเตลล่าหมอนั่นก็ยังเอาแต่เรียกหานาย บอกแต่กลัวคยูฮยอนจะเหงา กลัวจะต้องปล่อยให้น้องนั่งเล่นในห้องอยู่คนเดียว กลัวว่านายจะน้อยใจ กลัวนั่นนี่ไปหมด

    “ผะ..ผมคิดนู้นคิดนี่น่ะครับเลยนอนไม่ค่อยหลับ”

    “งั้นหรอกเหรอ”

    “แล้วฮยองคนอื่นล่ะครับ”

    “มาบ่ายๆกันนู้นแน่ะ เหลือแค่พาร์ทของนายกับของฮยองแล้วนะ เพลงรักซะด้วยสิ”

    “อ่า..ครับ” ใช่แล้วล่ะ คยูฮยอนร้องท่อนนี้ ร้องเพลงนี้ไม่ผ่าน เพราะเขาไม่เคยมีความรักที่สมหวัง ไม่สามารถจินตนาการได้ว่าความสุขจากการสมหวังในรักน่ะมันมากขนาดไหน เขาจินตนาการไม่ออกและไม่สามารถทรยศอาชีพตัวเองด้วยการปล่อยเพลงไม่ได้มาตรฐานออกไป

    เขาเข้มงวดกับตัวเองเสมอแม้จะเรื่องเล็กน้อยก็ตาม..

    “นายเข้มงวดกับตัวเองไปรึเปล่า ผ่อนคลายบ้างก็ได้นะ ดูสิคิ้วผูกเป็นโบหน้ายับหมดแล้ว ยิ้มสิ ยิ้มๆ นี่เพลงรักนะ ทำหน้าแบบนั้นเดี๋ยวก็กลายเป็นเพลงโศกเอาหรอก”

    “ครับ” คยูฮยอนวาดยิ้มอย่างทุลักทุเล ไม่ใช่เพราะเช้าเกินไป ไม่ใช่เพราะร้องเพลงไม่ได้ดี แต่เป็นเพราะคนข้างหน้าที่ทำหน้าราวกับแบกโลกไว้ทั้งใบ เขาจะมีความสุขได้อย่างไร แล้วจะถ่ายทอดเพลงรักออกไปแบบไหนในเมื่อคนที่เขาหลงรักจนสุดหัวใจยังไม่สามารถยิ้มได้แบบนี้

    “นั่นมันแสยะยิ้ม เอ้ายิ้ม ยิ้มมมมมสิ ฮยองน่ะชอบที่สุดเลยนะ ชอบรอยยิ้มที่เห็นฟันครบทุกซี่ของนายที่สุดเลยนะ เพราะฉะยิ้มกว้างๆ นั่น..แบบนั้นและ เก่งมากนะคนดี” ซีวอนใช้สองนิ้วยกแก้มของคยูฮยอนขึ้นเหมือนเจ้าตัวกำลังยิ้มกว้างทั้งๆใบหน้าเศร้าหมอง ซีวอนเองก็ไม่สามารถยิ้มออกมาได้อย่างเต็มที่เช่นกัน

    มันเป็นความรู้สึกที่บรรยายออกมาไม่ได้จริงๆ เมื่อตอนที่เห็นคนที่รักสุดหัวใจฝืนยิ้มทั้งที่นัยน์ตาสะท้อนความเจ็บปวด ห้วงตาสีดำสนิทดิ่งลึกราวกับไม่อยากมีตัวตนอยู่ตรงหน้า

    ไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความสุขทั้งที่กำลังเรียกหาอย่างบ้าคลั่ง

    “คุณซีวอนครับ เดี๋ยวแก้ตรงท่อนนี้นะครับ เชิญในห้องอัดเลย”

    “อ้ะครับ” เสียงเรียกจากทีมงานเหมือนกระชากให้ทั้งสองหลุดจากภวังค์ คยูฮยอนตีแก้มตัวเองเรียกคืนสติก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาทำความเข้าใจ พยายามหลับตาจินตนาการถึงสิ่งที่เรียกว่าความสุข

     

    “ผมมันทำกับข้าวไม่ได้เรื่อง” คยูฮยอนบ่นกระปอดกระแปดและกระแทกตัวเองลงบนเก้าอี้แรงๆ ซีวอนหัวเราะร่วนก่อนจะชะเง้อไปหม้อข้าวต้มที่ยังเดือดปุดๆ

    “อะไร สีก็น่ากินออกนะ ฮยองป่วย ลิ้นไม่รู้รสหรอก”

    “ฮยอง! ผมอุตส่าห์โทรไปถามคุณแม่เลยนะ ทั้งๆที่ผมก็ทำตามที่แม่บอกแล้วแท้ๆแต่ก็หน้าตาก็ยังไม่เหมือนข้าวต้มอยู่ดี” บ่นพร้อมถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนฟุบหน้าลงบนโต๊ะทานข้าว ซีวอนหัวเราะก่อนจะขยี้ผมเด็กน้อยด้วยความเอ็นดู ....

    “ฮยองทำอะไรน่ะ!” คยูฮยอนเอ่ยหน้าตาตื่นเมื่อเห็นซีวอนประคองตัวเองไปยังหม้อข้ามต้มเละๆจวนจะล้มเพราะพิษไข้เต็มทน คยูฮยอนรีบวิ่งเข้าไปประคองก่อนซีวอนจะผลักออกและยกชามมาตักข้าวต้มในหม้อ

    “คยูทำให้ทั้งที่จะไม่กินได้ยังไง”

    “อย่าเลยนะครับ รสชาติมันแย่ เดี๋ยวผมไปซื้อแบบอร่อยๆมาให้ นอนรอเถอะนะครับ” พยายามห้ามคนป่วยแต่สุดท้ายข้าวต้มของเขาก็ถูกตักใส่ชามและตั้งอยู่ตรงหน้าซีวอนเรียบร้อย คยูฮยอนน้ำตาจวนจะไหลเต็มทน ก็เขาห้ามซีวอนเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง ตัวเองป่วยจะแย่ยังเดินไปตักมานั่งกินสบายใจเฉิบแบบนี้เอง

                แบบนี้มันน่างอนไหมล่ะ

                “โอ๋ อย่างอนเลยนะ แค่คยูฮยอนมาเยี่ยมฮยองที่คอนโดแบบนี้ก็ดีใจมากๆแล้ว นี่ยังอุตส่าห์ทำข้าวต้มให้ทั้งที่ทำไม่ค่อยเป็นให้กินอีก ขอบคุณจนไม่รู้จะขอบคุณยังไงแล้ว”

                “ก็ผมว่าง คุณหมอยังสั่งให้พักดูอาการหลังจากอุบัติเหตุอยู่เลย ผมเบื่อๆ ผมเลยมาหาอย่าหลงตัวเองหนัก” ว่าพลางซ่อนแก้มแดงๆที่เห่อร้อนจนถึงใบหู คยูฮยอนเบี่ยงหลบสายตาหวานซึ้งที่จ้องอย่างตรงไปตรงมา

                “ขอบใจนะคยูฮยอน ข้าวต้มนี่อร่อยจริงๆ”

                “ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจ” ประโยคสุดท้ายเบาหวิวจนแทบกลืนหาย ซีวอนจะได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นดังขนาดนี้รึเปล่านะ ในอกมันพองฟูไปหมด แทบจะกลั้นยิ้มไม่อยู่แล้วให้ตายเถอะ ซีวอนถนัดทำให้คนเขินจริงๆ!

     

                    ลืมตาขึ้นมาอีกครั้งซีวอนอัดเสียงเสร็จและอยู่ระหว่างพักพอดี คยูฮยอนยิ้มให้คนตรงหน้าก่อนจะเดินผลัดเข้าไปอัดเพลงด้านใน คราวนี้น้ำเสียงนุ่มหวานชวนหลงใหลขับกล่อมเพลงรักได้หวานเชื่อมสนิทใจ โปรดิวเซอร์ต่างชมเปาะถึงพัฒนาการที่ไม่หยุดหย่อนของคยูฮยอนจนซีวอนเองยิ้มตามไปด้วยทุกครั้ง

                    เมื่อมองผ่านกระจกเข้าไป เห็นคนกำลังตั้งใจร้องเพลงโดยไม่สนใจโลกภายนอก คยูฮยอนเป็นแบบนี้เสมอเวลาสนใจอย่างใดอย่างนึงเรื่องอื่นแทบไม่อยู่ในสายตาอีกเลย เจ้าตัวจะทุ่มเทให้กับเรื่องนั้น จะพยายามสุดชีวิตแม้ผิดหวังก็ยังยิ้มพร้อมกับพูดว่า “ผมจะสู้ใหม่”เสมอ นิสัยมุทะลุ ดึงดันแบบนี้น่ะเป็นเสน่ห์ของคยูฮยอน เวลาที่คยูฮยอนตั้งใจทำอะไรสักอย่างแววตาจะจริงจังขึงขังขึ้นมาทันที สมกับเป็นมืออาชีพ สมกับที่หลงใหลในอาชีพนักร้อง

                    เพลงนี้ตัวซีวอนเองอัดหลายรอบแล้วเช่นกัน เพราะเหตุผลเดียวกับคยูฮยอนคือไม่สามารถถ่านทอดเพลงออกมาได้ครบอารมณ์สมบูรณ์ เพลงรักดูเบาบางจืดจางจนไม่อาจเรียกว่ารัก หากเพราะวันนี้ซีวอนมีคยูฮยอนอยู่ข้าง ถึงในใจจะยังร้าวเวลาเห็นคยูฮยอนก็ตาม

                    แต่เวลาจะเยียวยามันเอง..

                    “ขอบคุณมากนะครับ” ทั้งซีวอนและคยูฮยอนโค้งลาโปรดิวเซอร์ เผลอแปปเดียวจากที่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นดี บัดนี้ท้องฟ้ามืดสนิทอีกรอบเสียแล้ว เมมเบอร์คนอื่นแวะเวียนมาอัดแก้ท่อนของตัวเองก่อนจะกลับไปตั้งแต่เย็น เหลือแต่คยู
    ฮยอนและซีวอนที่ยังคงอัดจนเสร็จในนาทีสุดท้าย

                    “ไปหาอะไรทานกันไหม ฮยองเลี้ยงเอง”

                    “เอาสิครับ” ยิ้มตอบรับก่อนจะก้าวขึ้นรถของซีวอน โดยที่ขากลับค่อยแวะมาเอารถของตัวเองอีกที คยูฮยอนนั่งเงียบตลอดทางก่อนจะทนความอึดอัดไม่ไหวและเปิดวิทยุเพื่อทำลายความเงียบนั่น

                    “Love Ballad เรอะ ฮยองชอบนะเพลงนี้”

                    “ผมเหมือนกันเลยครับ วันนั้นที่ไปร้องคาราโอเกะผมขำจะแย่ ฮยองร้องซะเสียหมด นี่ถ้าไม่รู้ ผมคิดว่าฮยองไม่ใช่นักร้องนะเนี่ย” เผลอนึกถึงวันวานแล้วต้องงับปากลงอีกครั้ง เมื่อซีวอนไม่มีท่าทีหืออือใดๆนอกจากทอดสายตาว่างเปล่าออกไปด้านนอกรถ

                    สุดท้ายเราแวะซื้อเบียร์สองสามกระป๋องและกับแกล้มอีกนิดหน่อยก่อนจอดรถแวะทานริมทางสงบไร้ผู้คนสัญจรเพราะดึกมากแล้ว พวกเขาลงมือทานข้าวปั้นกันเงียบๆโดยทอดสายตามองไปยังหลอดไฟสีเหลืองนวลตามถนนที่บางครั้งจะมีเหงาของรถตัดผ่าน

                    บทสนทนาเงียบสงัดที่ไม่รู้จะจบลงตรงไหน

                    ทั้งฮีชอลฮยอง ทั้งวิคตอเรีย เอาแต่พูดว่าความรักคือการเห็นแก่ตัว เขายังคงไม่เข้าใจเพราะตลอดมาเขาเชื่อว่ารักคือการเสียสละ แค่เห็นอีกฝ่ายยิ้มเท่านี้ก็มีความสุขแล้ว ...เคยบอกตัวเองแบบนั้นจนกระทั่งโดนความเสียสละย้อนศรกลับมาเล่นงานจนเจ็บแทบกระอัก เพราะพะวงถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง เพราะกังวลถึงเรื่องอนาคตโดยไม่คำนึงว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกเช่นไร คยูฮยอนเอาแต่คิดไปเองคนเดียวโดยไม่ฟังใครเลย..

    ถ้าคยูฮยอนจะเห็นแก่ตัว ซีวอนจะไม่เกลียด จะไม่โกรธใช่ไหม ช่วยบอกให้เขาแน่ใจ ช่วยบอกให้คนๆนี้มั่นใจที

                    คยูฮยอนซดเบียร์อึกใหญ่ก่อนจะถอนหายใจและยกซดอีกครั้ง “พอเถอะคยูฮยอน” ซีวอนแตะมือนุ่มก่อนจะแย่งเอากระป๋องเบียร์ออกจากมือของคยูฮยอน ตัวเขาเองไม่ได้ขัดขืนใดๆนอกจากนั่งพิงรั้วเหมือนเดิม

                    “นานเหมือนกันนะฮยอง”

                    “หื้อ?”

                    “พวกเราสองคนไม่ได้ทำแบบนี้ด้วยกันนานเหมือนกันนะ”

                    “ก็งานยุ่งกันทั้งคู่ ช่วยไม่ได้นี่นะ” หยักไหล่ไม่ใส่ใจเพราะมันเป็นแบบที่คยูฮยอนว่าจริงๆ ช่วงสองสามปีมานี้พวกแทบไม่ได้ออกมานั่งดื่มเบียร์ข้างนอกด้วยกันแบบนี้เลย เพราะตารางงานรัดตัวจนทำให้เราห่างเกินอย่างช้าๆ

                    “ไม่ ..ผมหมายถึง ตอนที่เราสองคนยังคงดื่มเหล้าด้วยกันได้โดยไม่มีความรู้สึกอะไรมาเกี่ยวข้องน่ะ อยากดื่มก็ดื่ม อยากทำอะไรก็ทำ เพราะหัวใจยังคิดกับฮยองแค่พี่น้อง” คยูฮยอนว่าประโยคที่ยาวที่สุดของวันก่อนจะหลับตาลงและหันมาทางซีวอนที่ไม่สามารถเอ่ยตอบคำใดได้เลย

                    “นั้นสินะ นานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้เหมือนกัน” มือหนาเลื่อนไปจับแก้มทั้งสองข้างก่อนจ้องลงไปในแววตาที่หยอกล้อกับแสงไฟวิบวับคงเพราะฤทธิ์แอลกอฮอลล์ในเส้นเลือดทำให้หัวใจพูดในสิ่งที่อยากจะพูด สิ่งที่เก็บมาตลอด สงสัยมาตลอด..

                    “ผมไม่กล้าเห็นแก่ตัว ผมไม่กล้าพรากฮยองมาจากทุกคน ทั้งครอบครัว ทั้งแฟนๆ ฮยองมีค่าเกินกว่าที่ผมจะครอบครองไว้คนเดียว” ดวงตากลมโตเริ่มสะท้อนหยาดน้ำใส ซีวอนใช้นิ้วโป้งเกลี่ยก่อนจะพยักหน้าบอกให้รู้ว่ารับฟังอยู่ทุกคำพูด

                    “ตะ..แต่ ได้โปรดเถอะครับ จะด่าว่าผมเห็นแก่ตัว ผมมันเลว แต่ได้โปรดอนุญาตให้ผมรักฮยอง ได้โปรดอนุญาตให้ผมอยู่เคียงข้างฮยองในฐานะของคนรัก ไม่ใช่พี่น้อง ไม่ใช่ความสัมพันธ์ไม่มีชื่อเรียกพวกนั้นอีกแล้ว ผมเจ็บ เจ็บจริงๆ ได้โปรดเถอะครับ ผมไม่อยากเป็นแบบนี้อีกแล้ว” หยาดใสคลอหน่วยก่อนจะหยดโดยไร้เสียงสะอื้น ซีวอนรู้สึกเหมือนหัวใจโดนบีบจนแหลกละเอียด น้ำตาพวกนี้ไม่คู่ควรกับคยูฮยอนจริงๆ ทั้งที่แต่ก่อนจะมีเพียงนัยน์ตามั่นคงไม่หวั่นไหวอะไรเลย

                    ในหัวคิดอะไรไม่ออก สมองตื้อตัน รู้สึกเพียงอ้อมกอดที่โหยหามาตลอด อ้อมกอดที่กอดเขาด้วยความรักเหมือนที่เคยเป็นมา คยูฮยอนปล่อยโฮออกมาเหมือนเด็กๆ น้ำตาหยดไหลออกจากดวงตาสวยจนเปรอะเปื้อนเสื้อของซีวอนเต็มไปหมด แต่ถึงแบบนั้นเขาก็ยินดีจะร้อง เผื่อมันจะเป็นแค่ความฝัน เผื่อมันจะเป็นแค่เรื่องที่เขาฝันไป

                    “ขอโทษนะ เจ็บปวดมากเลยใช่ไหม ขอโทษนะที่ผ่านๆมาไม่เคยเข้าใจอะไรเลย ขอโทษนะที่ทำตัวไม่มีเหตุผลใส่ทั้งๆที่รู้ว่าคยูเจ็บแค่ไหน ฮยองขอโทษนะ” ได้แต่กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น คยูฮยอนยังคงร้องไห้เหมือนเด็กน้อย ขยุ้มเสื้อเขาจนยับยู่ยี่ไปหมด..

                    เราเหนื่อยที่จะแสร้งทำเป็นไม่รัก แสร้งทำเป็นใส่ใจทั้งที่กำลังทำร้ายหัวใจของกันและกันอย่างร้ายกาจ แต่ไม่เป็นไรแล้วล่ะนะ ไม่ต้องร้องไห้แล้วนะคนดี ฮยองอยู่ตรงนี้แล้ว...

    ไอ้ซีวอนน่ะ..มันเอ็นดูนายมากกว่าคนอื่น คอยเอาใจใส่ กลัวนายจะเหงา กลัวนายจะโดดเดี่ยว ไม่อยากให้นายรู้สึกแปลกแยกจากฮยองคนอื่นๆ ซีวอนน่ะรักนายมากจริงๆนะ

     

     

     

     

     

     

     

    รู้สึกตัวอีกเมื่อแสงแดดยามเช้าส่องลอดเปลือกตา คยูฮยอนขยับวาดตัวเพื่อจะหาหมอนมากอดหากด้านข้างกลับมีผู้ชายของหัวใจนอนหลับอยู่ คยูฮยอนยิ้มกว้างก่อนจะซุกลงอ้อมกอดนั่นและกะว่าจะหลับต่ออีกสักยก

    เมื่อวานเหมือนฝันไปเลย

    “ตื่นแล้วเหรอ คยูฮยอน”

    “ผมปลุกฮยองเหรอ ขอโทษครับ”

    “เปล่าหรอก ฮยองแค่กลัว..ตื่นขึ้นมาแล้วคยูจะหายไปเหมือนวันนั้นอีก” ยิ้มล้อเลียนจนคยูฮยอนหน้าขึ้นสีและมุดหนีลงผ้าห่มไปเสียแล้ว ซีวอนมุดตามก่อนจะแกล้งจั๊กจี๋คยูฮยอนจนหัวเราะเอิ๊กอ๊าก

    “พอแล้ว ฮะ..แฮ่ะ ผมเหนื่อยนะฮยอง” หัวเราะจนหายใจแทบไม่ทัน ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่ถูกพลิกให้ลงมาอยู่ใต้ร่างกำยำของซีวอน เมื่อรู้ตัวใบหน้าติดหวานขึ้นสีแดงเรื่อยจนอดกดจูบลงบนแก้มแรงๆไม่ได้สักที

    “เป็นอะไรไป หน้าแดงเชียว”

    “เปล่าฮ่ะ..”

    “ตาบวมหมดเลย ฮยองขอโทษนะ” ยังไม่ทันได้จบประโยคดีนิ้วเรียวยื่นแตะริมฝีปากนุ่มพลางส่ายหน้าก่อนจะเอื้อมคว้าซีวอนลงมาแตะจูบบนแก้มสาก

    “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่เป็นไรจริงๆนะ” ถึงคยูฮยอนจะพูดแบบนั้นแต่ก็ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี ตาสวยๆบวมปูดเหมือนลูกมะนาวเลยน่ะสิ เรื่องเมื่อคืนเหมือนฝันซะจนไม่อยากตื่น ..แต่ถ้าตื่นมาแล้วพบว่ามีคยูฮยอนอยู่ข้างๆเท่านี้ก็เพียงพอแล้วสำหรับชเวซีวอนนะ

    “นี่ฮยองพูดได้รึเปล่าว่าเราใจตรงกันแล้ว”

    “....ฝันไปเถอะครับ เหมือนเดิมและดีแล้ว ความสัมพันธ์เราแค่..พัฒนาขึ้นไปมากกว่าพี่น้องเท่านั้นเอง”

    “คนปากแข็ง เมื่อคืนยังร้องไห้โฮๆอยู่เลย”

    “เงียบเลยนะ!” ดวงหน้าเรียวขึ้นสีเพราะถูกล้อ ถึงจะเป็นแบบนั้นก็ยังรู้สึกใจเต้นและไม่ชินกับความสัมพันธ์รูปแบบใหม่ ตั้งแต่วันนี้ “เรา” จะเป็นคนรักกันโดยไม่หวังอะไรตอบแทน ขอเพียงแค่อยู่ข้างๆกันจนกว่าวินาทีสุดท้ายจะมาถึง อาจจะสั้นเพียงนาทีข้างหน้าหรือยาวจนชั่วนิรันดร์ไม่อาจเทียม

    เพราะทั้งหมดเป็นเรื่องของอนาคต เป็นเรื่องที่เราจะร่วมเผชิญไปพร้อมกันอย่างไม่เห็นแก่ตัวและพร้อมยินดีหากอีกฝ่ายจะจากลา คยูฮยอนไม่ต้องการเห็นแก่ตัวและซีวอนไม่ต้องการผูกมัดคยูฮยอนไว้กับความสัมพันธ์ที่แสนเปราะบาง ไม่ว่าเรื่องนี้จะดำเนินไปเช่นไร เราจะยอมรับและเข้าใจโดยไม่อิดออด จะยินดีกับทุกช่วงเวลา

    เรื่องของอนาคตก็ยังคงเป็นเรื่องของอนาคต ขอบคุณทุกความเจ็บปวดที่หล่อหลอมให้พวกเราเป็นพวกเรา..         เวลาข้างหน้าจะเป็นเช่นไร ไม่มีใครรู้จริงๆ จะใช้ทุกวินาทีร่วมกันอย่างมีคุณค่า แม้จะจากกันก็ไม่เสียดาย ให้ความรักเป็นความลับของหัวใจ ..นานเท่าที่จะร่วมทางไปด้วยกัน..

     

     

                    END..

     

     

     (สเปนิโหน่ย)

                    “พวกมันสองคนออกนอกหน้าชิปเป้ง หมั่นไส้วะอีทึก”

                    “เอาเถอะน่า น้องมันเคลียร์กันได้ก็ดีแล้ว ฉันเบื่อหน้าอมทุกข์ของพวกมันสองคนเต็มทน” สองชราบ่นด้วยความโล่งใจระคนหมั่นไส้ ออกนอกหน้าซะขนาดนั้น จ้องซะหวานเชื่อมขนาดนั้น ถ้าเป็นปลาทองคงได้ลูกเป็นคอกแล้วมั้งน่ะ!

                    ฮีชอลบ่นผิดกับอีทึกที่หัวเราะเสียงดัง เพราะอะไรน่ะเหรอ ในที่สุด เขาก็จะได้หลุดพ้นออกจากเรื่องไอ้สองตัวนี้สักที วันๆไม่ต้องทำอะไรแล้วนอกจากคอยจับตามอง

                    “อีทึก!!!!!! ซีวอนมันหอมแก้มคยู๊!!

    และนี่กำลังจะเป็นปัญหาใหม่ของซุปเปอร์จูเนียร์...

                   จบจริงๆและ 









    ****************
    ฮือ T^T จบแล้วล่ะค่ะ สำหรับฟิคตามใจคนเขียนแบบนี้ T^T ทั้งดีใจทั้งเสียใจเลยนะ
    ฟิคเรื่องยาวที่ลงมือเขียนตั้งอแต่สองปี(เอ๊ะ หรือสามปีก่อน) จบลงแล้วล่ะค่ะ T^T เป็นฟิคที่เขียนยากบัดซบจริงๆ
    นอกจากต้องมีอารมณ์ร่วมแล้ว สถานการณ์ชีวิตของนิกกีมีผลกระทบโดยตรงต่อเรื่องนี้จริงๆค่ะ
    ฉะนั้นเวลาจะเขียนเลยต้องทำใจให้โล่งที่สุด ในหัวคิดถึงแต่วอนคยูเท่านั้น เลยต้องบิ๊วตอนนึง 2-3 เดือนเลยล่ะค่ะ TvT

    ขอบคุณทุกคนที่ยังอ่าน(หรือเลิกอ่านไปแล้วเพราะรอไม่ไหว 555) เพราะมีแรงผลักดันฟิคเรื่องนนี้ถึงดำเนินมาจนสุดทาง
    เหมือนที่คยูฮยอนและซีวอนว่าไว้นะคะ เรื่องของอนาคตก็คือเรื่องอนาคตเนอะ ;) ไม่แน่อาจเขียนต่อ แต่คงเป็น SF สั้นๆมากกว่าค่ะ หุหิ

    และ ..*รัวกลอง* นิกกี้คิดว่าจะรวมเล่มเรื่องนี้และค่ะ!! 
    เลยขออนุญาตสำรวจความเห็นพ่อแม่พี่น้องนิดนึง หากมีคนต้องการเกินยี่สิบคนจะรวมเล่มให้แน่นอนค่ะ หากไม่ถึงก็ ...ก็อยู่ในนี้เหมือนเดิมและค่ะ TvT


    โพล143693


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×