ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [yaoi] SF from my slash world

    ลำดับตอนที่ #1 : [ErikxCharls] The Scientist

    • อัปเดตล่าสุด 14 มิ.ย. 57


    Coldplay - The Scientist

               

     

                   นับตั้งแต่วินาทีที่แผ่นหลังแตะผืนทราย ทุกอย่างรอบตัวเงียบลงจนได้ยินเสียงลมหายใจที่รั้งให้แผลด้านหลังเจ็บขึ้นทุกลมหายใจเข้าออก เอริคถลาเข้ามาประคองเขาด้วยสีหน้าเจ็บปวด

                    เขายิ้ม ใช่...ชาร์ลส์ เซเวียร์ไม่โกรธเคยเอริค เลนเชอร์สักนิด เขาไม่เคยโกรธคนตรงหน้าที่แม้จะเย็นชาและหยาบคายหากในหัวใจลึกๆนั้นเจ็บปวดและทรมานราวกับเด็กน้อยในตรอกมืดมิด เขาพยายามแล้ว พยายามจะพาเด็กน้อยคนนั้นให้กลับสู่แสงสว่าง อนิจจาหนทางนั้นมืดมิดเสียจนเด็กน้อยปล่อยมือของเขา...

                    สิ่งสุดท้ายที่ปรากฏในคลองสายตาคือแววตาอาทรห่วงหาฉายชัดเหลือเกิน..

     

     

     

     

     

     

    ชาร์ลส์ลืมตาขึ้น แพขนตากระพริบเพื่อรับแสงอาทิตย์ยามเช้าที่ส่องเข้ามาผ่านหน้าต่างในห้องนอนส่วนตัวของเขา ผมยาวถูกรวบขึ้นอย่างรำคาญ ขมวดคิ้วหน้ายุ่งขณะที่ลงมือทานอาหารเช้า เขาฝันถึงเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน ในช่วงที่มีเอริคเคียงข้าง คนตัวโตอารมณ์ร้อนแต่ฟังเขาไปเสียทุกอย่าง

    เอริคไม่ปฏิเสธว่าเขารู้สึก...มากขนาดไหน เพราะถัดจากนั้นสถาบันสำหรับมิวแทนของเขาต้องปิดตัวเพราะสงครามเวียดนามปะทุเดือด เขาไม่มีกระจิตกระใจจะทำอะไรทั้งนั้นอาการปวดหลังที่เล่นงานเขาทุกค่ำคืนทำให้ต้องดื่มเหล้าเพื่อลดความเจ็บปวด กระทั่งบีสต์คิดค้นยาวิเศษเขาตั้งชื่อแบบนั้นในใจลับๆเพราะพลังของมันทำให้เขาลืมเรื่องทุกข์ใจได้ชะงักหนักอีกทั้งขาสองข้างของเขากลับมาใช้งานได้ แลกกับการที่ต้องศูนย์เสียพลังไปนั้นนับว่าคุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม

    เคยแน่ใจแบบนั้นจนกระทั่งการปรากฏตัวของโลแกน โลกที่พังไปแล้วเหมือนก่อตัวขึ้นมาช้าท่ามกลางความหวังริบหรี่ ใช่..การได้เจอกับ เอริค เลนเชอร์อีกครั้ง สายตานั้นยังครั้งมองตรงมาอย่างไม่ปิดบัง เขาต้องห้ามตัวเองอย่างหนักไม่ให้อ่านใจของคนตรงหน้า กลัวคำตอบเหลือเกิน กลัวเหลือเกินว่าหากได้ยินหรือรับฟังตรงๆนั้นเขาจะยังประคองตัวเองต่อไปไหวไหม...

    หลังจากนั้นในสถาบันมิวแทนที่ค่อยๆฟื้นฟูกลับสภาพเดิมหลังเหตุการณ์ของเรเวน เขาปฏิเสธไม่ได้ว่าใจเต้นขนาดไหนที่ได้เห็นคนๆนั้นอีกครั้ง ได้เล่นหมากรุกด้วยกันอีกครั้ง แต่เด็กน้อยของเขาก็ไม่เคยคิดจะกลับมาเสียที

    “ศาสตราจารย์ครับ”

    “วะ..ว่ายังไงบีสต์” เหม่อจนรู้สึกเหมือนไม่ใช่ตัวเอง โปรเฟซเซอร์เอ๊กซ์กลับมายืนอย่างเต็มภาคภูมิอีกครั้งในฐานะผู้อำนวยการสถาบันการศึกษาของเหล่ามิวแทน

    “ผมว่าจะเอ่อ...ปรับปรุงห้องทางอาคารปีกตะวันตกน่ะครับ” บีสต์เอ่ยถามเสียงค่อย “ตามใจสิ ฉันโอเคอยู่แล้ว” ตอบกลับด้วยน้ำเสียงติดสงสัย ร้อยวันพันปีเรื่องการรื้อถอนหรือก่อสร้างเพิ่มเติมบีสต์มักจะเป็นคนตัดสินใจ แต่ทำไมคราวนี้ถึงหอบอพิมพ์เขียวมาปรึกษา

    “คือ... มันเป็นห้อง....เก่า ....ของแมค..เอ่อ เอริคน่ะครับ”

    “อื้อ เจ้าตัวอยู่ไหมล่ะ” เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงติดจะขบขันในท่าที บีสต์เงยหน้ามองด้วยความฉงนก่อนจะทำหน้าตาแปลกๆ “ตะ..แต่ว่า”

    “ปรับปรุงไปเถอะ....” เพราะยังไงเขาก็ไม่มีวันกลับมา ต่อในใจเงียบๆก่อนจะบังคับรถเข็นให้หันไปอีกทาง ทำทีเป็นสนใจกับกองเอกสารตรงหน้าก่อนบีสต์จะขอตัวออกไป

    ชาร์ลส์ถอนหายใจกับตัวเองที่ไม่ว่าครั้งไหน ได้ยินชื่อของคนๆนั้นทีไร หัวใจมันกระตุกอย่างช่วยไม่ได้ทุกที และถือวิสาสะอ่านความคิดของบีสต์ก็รู้ว่าเด็กหนุ่มนั้นห่วงเขามากเหลือเกิน เพราะมองออกว่าเขายังตัดไม่ขาด เยื่อใยยังคงพันรัดแน่นในความรู้สึกและใช่ว่าจะจางหายภายในเดือนหรือสองเดือน

    เพราะชาร์ลส์ เซเวียร์พิสูจน์แล้วว่า แม้ใช้เวลาเกือบห้าปี เขายังคงไม่สามารถลืมแววตาอ่อนโยนที่ครั้งนึงเคยทอดมองเขาแค่เพียงคนเดียวได้เสียที

    “บีสต์ มาพบฉันที่ห้องทำงานที” ลดสองนิ้วแตะขมับลงเวลาเพียงชั่วครู่เท่านั้น คนที่เรียกหาก็มาปรากฏตัวในห้อง ชาร์ลส์ยิ้มบางก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ไฟฟ้าเข้าใกล้

    “วันนี้ฉันจะไปนอนห้องที่ปีกตะวันตก” เขาพูดเพียงแค่นั้นก่อนบังคับรถเข็นออกนอกห้องไป บีสต์มองตามแผ่นหลังนั้นอย่างเป็นห่วง เพราะศาตราจารย์รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่น่ะสิถึงมาบอกแบบนี้

    มันไม่ใช่ความรู้สึกใคร่หาเหมือนคู่รัก แต่ความรู้สึกที่บีสต์มอบให้ศาตราจารย์คือความเคารพ เจ้าตัวรู้ดีจึงมักจะทอดมองเขาด้วยสายตาอ่อนโยนและเอื้อนเอ่ยเรื่องนั่นนี้ให้ฟังมากมาย แต่เรื่องนึงที่ศาตราจารย์ไม่เคยเอ่ยถึงคือผู้ชายใจดำที่ทิ้งไปอย่างไร้เยื่อใย...

     

     

     

     

    อาคารทางปีกตะวันตกไม่ได้ใช้งานมานานจนฝุ่นจับไปแทบทุกส่วน พลาสติกใสคลุมเฟอร์นิเจอร์เริ่มเก่าขาดจนชาร์ลส์อยากจะให้ปรับปรุงให้เสร็จพรุ่งนี้ไปให้รู้แล้วรู้รอด เก้าอี้ไฟฟ้าเลื่อนผ่านเตาผิงที่ครั้งนึงเคยนั่งเล่นหมากรุกด้วยกันและจบลงด้วยเสียงหัวเราะ ล้อเลื่อนเคลื่อนผ่านหน้าต่างที่บัดนี้เหลือเพียงวงกบไม้และวิวทิวทัศน์เดิมๆที่ชาร์ลส์รักหนักหนา

    จนสุดท้ายหยุดลงหน้าประตูไม้สลักบานใหญ่ โดยไม่ต้องออกแรงประตูไม้บานนั้นเปิดอ้าออกอย่างง่ายดาย ชาร์ลส์หยุดนิ่งอยู่กลางพรมเปรอะฝุ่นจนกลายเป็นสีเทาซีดๆ

    “ทำไมยังไม่นอนอีกชาร์ลส์” มองลอดแว่นตาเห็นเอริคพิงขอบประตูด้วยสายตาแพรวพราว เขายกมือขึ้นเป็นเชิงยอมแพ้ก่อนจะวางหนังสือที่กำลังอ่านติดพันลงหัวเตียง มือบางที่กำลังกระตุกปิดโคมไฟหัวเตียงชะงักเมื่อสัมผัสเขากับฝ่ามือหนา

    โคมไฟดับลงแล้ว เหลือเพียงแสงจันทร์นวลลอดผ่านหน้าต่าง หัวใจเต้นแรงจนไม่รู้เป็นของใครกันแน่ มือบางสอดประสานกับคนตรงหน้าแน่น เอริคนั่งลงที่ขอบเตียงก่อนจะยกมือบางพรมจูบอย่างหวงแหน

    “แม้แต่โคมไฟฉันก็ไม่อยากให้นายจับ” ประโยคของคนขี้หวงเรียกให้ชาร์ลส์หลุดขำพรืดก่อนส่ายหน้าน้อยๆ ริมฝีปากอิ่มยิ้มให้คนตรงหน้าก่อนจะส่งผ่านความคิดโดยไร้ซึ่งเสียงใดๆ

    “รู้แล้วๆ นอนเถอะนะ” เขยิบกายเว้นที่ให้คนตัวโตก่อนจะร่างนั้นจะทรุดนอนทันที แขนอีกข้างที่ยังว่างรั้งคนตัวเล็กกว่าปะทะแผ่นอก ชาร์ลส์หัวเราะในลำคอและซุกลงในอ้อมกอดนั้นอย่างเต็มใจ

     

    ก่อนหลับ จูบราตรีสวัสดิ์แผ่วเบาที่ริมฝีปากทำให้คลี่ยิ้มเต็มแก้มส่งให้หลับฝันดี...

     

    สะบัดหน้าไล่ความคิดฟุ้งซ่านก่อนจะเลื่อนเก้าอี้ไฟฟ้าไปหยุดข้างเตียง เขาพยุงตัวเองขึ้นบนที่นอนและยกขาไร้เรี่ยวแรงนั้นขึ้นมาด้วย หากเพราะไม่ค่อยได้ทำเองเท่าไหร่จึงออกอาการหอบเล็กๆชาร์ลส์สัญญากับตัวเองว่าจะออกกำลังบริหารกำลังแขนให้มากกว่านี้

    สายตาไล่ไปตามตู้หนังสือก่อนจะหยุดอยู่ที่หนังสือเล่มนึงชั้นบนสุด โดยไม่ต้องขยับร่างกายหนังสือเล่มนั้นลอยเข้ามือชาร์ลส์ก่อนมือบางจะเปิดไปยังหน้าหนังสือที่ถูกคั่นไว้ริบบิ้นสีแดงซีด เขาใช้เวลาค่อนคืนเพลิดเพลินกับเนื้อหาตั้งแต่หน้าแรกเพราะเขาจำไม่ได้เสียแล้วว่าเนื้อเรื่องเป็นเช่นใด จนรู้สึกว่าหนังตาหนักอึ้ง เขาถอดแว่นสายตาออกและหนวดหว่างคิ้วเบาๆมือบางเอื้อมไปกระตุกโคมไฟหัวเตียง หากไฟดับไปเสียก่อนที่จะได้เอื้อมมือสัมผัส ชาร์ลส์ไม่แปลกใจเพราะอาคารหลังนี้ไม่ได้ใช้งานมานานนม หลอดไฟข้างในคงขาดแน่ๆพรุ่งนี้ตั้งใจว่าจะเอาโคมไฟกลับห้องฝั่งปีกตะวันออกด้วย.....

     

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    “บอกแล้วไงว่าหวง” เสียงนุ่มทุ้มเอ็ดคนที่กำลังหลับตาพริ้มราวกับฝันดีจนน่าหมั่นไส้ขึ้นตงิดๆ ใจจริงเขาอยากจะทุ่มไอ้โคมไฟนี่ทิ้งชาร์ลส์จะได้เลิกจับมันสักที อาจจะยังไม่พอ บีสต์ด้วยและคนงานที่เขาเห็นว่ามันจงใจจับมือคนตัวเล็กที่ช่างไม่รู้เรื่องอะไรเอาเสียเลย

    หากเป็นไปได้ หากวันนั้นคนตรงหน้าตอบตกลงเขาจะขังไว้ในห้อง จะไม่ให้ใครเห็น ให้ชาร์ลส์เป็นของเอริคแต่เพียงผู้เดียว

    แต่มันเป็นไปได้ เพราะอะไรดลใจเขาถึงอยากกลับมาเอากระดานหมากรุกที่ยังเล่นค้างกับชาร์ลส์ออกไป

    โหยหาอดีตที่ตนเองเป็นคงหันหลังจากมาเองน่ะเหรอ ... น่าขันสิ้นดี

    มาถึงก็เจอคนตัวเล็กที่อ่านหนังสืออยู่บนเตียงพร้อมระบายยิ้มอ่อนๆ เอริคได้มองโดยที่ไม่สามารถทำอะไรได้เลยเพราะเขาเลือกคนล่ะเส้นทางมาตั้งแต่ต้น เขาเขยิบไปนั่งลงขอบเตียงเบาราวกับไม่มีตัวตน

    มือหนาเขี่ยเส้นผมที่ปรกหน้าออกอย่างอ่อนโยนก่อนจะโน้มตัวไปมอบจุมพิตเบาคนตรงหน้าขยับตัวอีกครั้งก่อนจะนอนตะแคงข้าง....

    “.....” กระซิบด้วยเสียงเบาหวิวข้างใบหูของคนที่ปิดเปลือกตาสนิทก่อนจะเอื้อมไปจับมือคนตรงหน้า เขาประสานมือและกดจูบเหมือนที่ชอบทำเป็นประจำ

    “เอริค” เสียงชาร์ลส์ดังขึ้นในหัว เขาชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะลุกออกเพราะคิดว่าอย่างไรเสียคนตรงหน้าคงระดมคนทั้งสถาบันมาจับเขาเป็นแน่

    “ไม่หรอก ไม่ทำ เพราะฉันรู้ว่ากำลังฝันอยู่”

    “ฝันงั้นเหรอ...” เอริคพึมพำเสียงเบาก่อนจะทรุดนอนลงด้านข้างคนตัวเล็กที่หันหลังให้และสื่อสารกับเขาผ่านพลังจิต โดยที่ไม่ต้องเอ่ยคำพูดใด ... ถ้าเช่นนั้นหากเขาจะขอกอดร่างบางตรงหน้านี้อีกครั้งคงไม่ผิดหนักใช่ไหม มือข้างที่ยังว่างรั้งแผ่นหลังมาปะทะอก สูดกลิ่นหอมของกลุ่มผมนุ่มก่อนจะผล็อยหลับไปแทบจะทันที....

    .

    .

    .

    .

    .

    ชาร์ลส์ลืมตาในความมืด พระจันทร์หายไปเสียแล้วหายไปพร้อมๆกับความอบอุ่นที่กอดเขาค่อนคืนร่างบางเผลอห่อตัวความหนาวเหน็บ  มีเพียงเสียงลมหวีดหวิวที่ดังแข่งกับลมหายใจของเขา

    ทำไมจู่ภาพตรงหน้าถึงมัวเสียเหลือเกิน ชาร์ลส์ยกมือขยี้ตาก่อนจะพบว่าใบหน้าของเขาเปียกชื้นไปหมด เขารู้สาเหตุแล้วล่ะ...เพราะน้ำสีใสที่ไหลออกมาไม่หยุดจากดวงตาของเขาไง

    ความฝันที่เหมือนจริงเสียเหลือเกิน เอริคคนเดิมที่ยิ้มให้เขาอย่างอ่อยโยนกระซิบถ้อยคำหวานเสียใจหัวใจชุ่มชื้น เขาเกลียดตัวเองที่อ่อนแอขนาดนี้ เกลียดที่หัวใจยังคงโหยหาอ้อมกอดนั้นเพียงใด เขาไม่กล้าอ่านความคิดของคนๆนั้น ไม่กล้าแม้แต่จะถามถึงเหตุผล

    เพราะมา..แล้วจากไป ทิ้งไว้แต่เขาที่อยู่จมจ่ออยู่ในความเจ็บปวด ณ วินาทีนั้นชาร์ลส์ เซเวียร์รู้ตัวว่าเขาไม่สามารถรักใครได้อีก ...ตลอดชีวิต....

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    “โถ่เว้ย!!” เอริคคำรามก่อนจะกระดกวิสกี้เพียวลงคอราวน้ำเปล่า เขาไม่สามารถสงบใจได้สักนาที รู้ตัวว่าคิดกับคนตัวเล็กนั้นเช่นไร แต่เพราะเส้นทางที่เขาเลือกมันตรงข้าม ไม่สิ....มันเป็นเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบ

    คืนนั้นเอริคหลุดลอยไปในหวงเวลาแสนหวานที่เขายังมีชาร์ลส์เคียงข้างคอยปลอบโยนเมื่อเขาฝันร้ายและแม้กระทั่งจูบบนหน้าผากที่ทำให้เขาหลับฝันดี มันไม่มีอีกแล้ว..และหัวใจของเขาฝากไว้ที่ชาร์ลส์ เซเวียร์เนิ่นนานโดยไม่คิดทวงกลับ ฝากไว้แบบนั้นแม้เจ้าตัวจะไม่รู้ก็ตาม

    แต่น่าแปลก ทำไมคนไร้หัวใจถึงได้เจ็บปวดเจียนตายเช่นนี้ ..ไม่เข้าใจเลย

    .

    .

    .

    .

    .

    .

    คำๆเดียวที่พวกเขาไม่สามารถพูดออกไป ได้แต่กักเก็บไว้ในส่วนลึกของหัวใจโดยไม่มีทางรู้ว่าวันไหนคนๆนั้นของตนจะมาเอาคืน

    ฉาบหน้าด้วยหน้าที่และบทบาทที่ต่างกันจนไม่มีวันบรรจบ

    และนี่คือเรื่องราวที่ไร้การบันทึก...มีเพียงแค่คนสองคนที่รู้เท่านั้น....

     


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×