ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Saint Seiya The Lost Canvas] The White Sky Memories

    ลำดับตอนที่ #3 : สู่อียิปต์

    • อัปเดตล่าสุด 3 เม.ย. 61



    ณ ขณะนี้ท้องฟ้าเปลี่ยนเป็นสีเปลวเพลิงของยามอัสดง พระอาทิตย์ใกล้จะลาลับไปจากขอบฟ้า

    เต็มที แพทริเซียจูงมืออัศมิตาเดินช้าๆเลียบข้างแม่น้ำมุ่งหน้าไปยังเรือซึ่งเป็นที่พักของพวกเขา

     

     

    "ถึงเวลาอาหารเย็นแล้วล่ะ"แพทริเซียจูงอัศมิตากลับเข้าเรือ

    "จำเป็นต้องทานอาหารในตอนเย็นด้วยหรือ"เด็กชายขมวดคิ้วงุนงง เวลาที่เขาหิวมากๆไม่ว่าจะ

    ตอนไหนก็แค่ไปคุ้ยขยะไม่ก็จับสัตว์ตัวเล็กๆกินก็เพียงพอแล้ว 

    "จำเป็นสิ มนุษย์ต้องกินอาหารให้ครบสามมื้อนะ ร่างกายจะได้แข็งแรงไงล่ะ"อัศมิตาพยักหน้า

    แล้วก็เงียบไปครู่หนึ่ง

    "นี่ แพทริเซีย" 

    "อะไรเหรอ"

    "เราขอโทษเรื่องเมื่อครู่ที่เราทำตัวแย่ๆใส่เจ้า เจ้าโกรธเราหรือไม่"โดยไม่คาดคิด แพทริเซียหันกลับมา

    และกอดเด็กชายไว้อย่างแนบแน่น เป็นอ้อมกอดที่อบอุ่นที่สุดเท่าที่เขาเคยได้รับมา แม้แต่

    มารดาของเขายังไม่เคยกอดเขาแบบนี้เลยแม้แต่สักครั้ง 

    "ไม่โกรธหรอก ฉันเข้าใจว่าเธอยังยึดในเรื่องธรรมเนียมนั่นบ้าง อยู่กันไปนานๆเดี๋ยวเธอก็คงปรับได้แน่

    ฉันเชื่อนะ"เสียงใสเอ่ย น้ำเสียงแสดงการให้อภัยเต็มที่ เด็กหญิงพาเขาเข้ามาในห้อง

    รับประทานอาหาร  เด็กหญิงจูงเขาเข้าไปที่ห้องอาหารของเรือที่ตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีเพียง

    โต๊ะเก้าอี้ไม้เข้าชุดกัน และของตกแต่งในห้องนิดหน่อยเท่านั้น แล้วตรงไปยังโต๊ะเก้าอี้ไม้ใจกลางห้อง 

    นำมือของเด็กชายไปแตะพนักเก้าอี้และให้นั่งลง 

    "รอฉันสักพักนะ เดี๋ยวจะทำอาหารมาให้"แล้วก็หายไปด้านหลังครัว ไม่นานเท่าไหร่ อัศมิตาได้กลิ่น

    หอมหวนมาจากทางครัว สักพัก ซุปผักร้อนๆควันฉุยสองชามก็ถูกยกมาพร้อมขนมปังกรอบใหม่ๆ 

    แพทริเซียยกชามหนึ่งมาวางตรงหน้าอัศมิตา แต่ในขณะที่เธอจะหันไปยกชามของตัวเองนั้น....

     

     

    "ร้อนนน!"อัศมิตาตะโกน เขาเอามือลงไปในชามซุปเพื่อที่จะกินตามความเข้าใจของตน 

    "อัศมิตา! เธอเอามือลงไปในนั้นไม่ได้นะ"แพทริเซียรีบพาเขาไปล้างมือที่พองและบวมแดงเพราะโดน

    ความร้อนจากซุป"เธอต้องใช้ช้อนตักมันขึ้นมาทานนะ เอาล่ะ เธออาจจะไม่เข้าใจเท่าไหร่ ถ้าฉันป้อน

    เธอต้องทานของเหลวๆกับผักที่หั่นแล้ว แต่อย่ากัดไม้ที่อยู่ด้านล่างนะ เอ้า อ้ามม"เด็กหญิงเป่าซุปก่อน

    ที่จะป้อนเขา 

    "อร่อยมากๆเลย เจ้าทำอาหารอร่อยขนาดนี้ได้อย่างไรกัน" เธอเขินเล็กน้อย"ฉันอยู่คนเดียว ก็เลยหัดทำ

    อาหารกินเองไงล่ะ" เพียงแค่สองสามคำเขาก็เริ่มรู้วิธีกินและขอช้อนจากเธอมาเพื่อกินเอง 

    "แล้วก็ ถ้าเธอใส่นี่ลงไปด้วย มันจะอร่อยขึ้นมากเลยล่ะ"แพทริเซียนำขนมปังกรอบวางลงบนมือของ

    อัศมิตา เขาใส่มันลงไปแล้วลองชิม "จริงด้วย!!"รสชาติของขนมปังกรอบนั้นเข้ากันได้เป็นอย่างดีกับ

    ซุปผัก 

    "ถ้าอยากจะเติมเท่าไหร่ก็บอกได้นะ เธอนะผอมอย่างกับโครงกระดูกเดินได้อยู่แล้ว" ทั้งสองคุยกันไป

    เรื่อยๆ เมื่อทานเสร็จก็ไปเล่นตุ๊กตากันจนกระทั่งหน้าปัดนาฬิกาแสดงเวลาสามทุ่ม เด็กหญิงร่ายพลัง

    ทำให้เรือนั้นล่องหน

     

     

    "ไปนอนกันเถอะ"เด็กสาวเอ่ยแล้วพาอัศมิตาขึ้นบันไดไปยังชั้นสอง ห้องนอนตกแต่งด้วยโทนสีม่วงฟ้า

    อ่อนๆ และลูกบอลสีขาวจากพลังของเธอที่ให้แสงสว่าง เตียงสีขาวลวดลายสีฟ้าที่ท่าทางนุ่มสบาย

    มีพื้นที่พอสำหรับนอนได้สองสามคน ถัดมาคือโต๊ะเก้าอี้สำหรับอ่านและเขียนหนังสือ ด้านขวาสุด

    ของห้องเป็นหน้าต่างที่ถูกปิดไว้ด้วยม่านสีม่วงอ่อน ฝั่งตรงข้ามประตูเป็นกระจกและมีตู้หนังสือขนาด

    ย่อมๆพร้อมกองทัพตุ๊กตาเรียงรายอยู่ ทั้งสองคนนอนลงบนเตียงนั้น 

    "ฝันดีนะ"แพทริเซียบอกพลางพลิกตัว เด็กหญิงหลับสนิทไปเกือบจะทันทีด้วยเหนื่อยจากการผจญภัย

    มาทั้งวัน 

    "ราตรีสวัสดิ์"อัศมิตาเอ่ยตอบ เขาหลับสนิทในทันทีเช่นกัน เป็นคืนแรกที่หลับสนิทในที่นอนนุ่มสบาย 

    ไม่ต้องกลัวว่าใครจะมารังแกตนในตอนดึกอีก

     

     

     

     

    วันต่อมา

     

     

     

     

     ท้องฟ้าวันนี้เป็นสีฟ้าครามสดใส เมฆขาวปุยดังขนแกะลอยอยู่ประปราย อากาศขณะนี้เริ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ

    จนปลุกเด็กน้อยคนหนึ่งขึ้นจากห้วงนิทรา เธอลุกขึ้นนั่งอย่างงัวเงีย

    "ฮ้าว~~ เช้าแล้วเหรอเนี่ย"เอ่ยพลางบิดขี้เกียจ แต่เด็กหญิงก็พลันสะดุ้งตื่นเต็มตาเมื่อเห็นว่าคนที่

    นอนข้างๆเธอ หายไปแล้ว แพทริเซียรีบลงมาอย่างร้อนรน เขาหายไปไหนกัน 

     

    ห้องนั่งเล่น

     

    ไม่มี...

     

    ห้องรับประทานอาหารกับห้องครัว

     

    ไม่มี....

     

    ห้องอาบน้ำ

     

    ก็ไม่มี.....

     

    เธอไปอยู่ที่ไหนของเธอกันน่ะ หรือว่า...

     

    ความคิดเลวร้ายที่สุดแวบเข้ามาในหัวของเธอ เป็นไปไม่ได้หรอกมั้ง ฉันทำให้เรือล่องหนตั้งแต่เมื่อคืน

    แล้วนี่
     คิดปลอบใจตนเองไปแต่ก็เร่งฝีเท้าออกมานอกเรือ ถ้าเขาเป็นฝ่ายออกมาเองก็คงไปได้ไม่ไกล

    เท่าไหร่ ออกเดินไปรอบบริเวณใกล้ๆเพื่อตามหาแต่ก็ไม่พบวี่แววเลย

    "อัศมิตา! เธออยู่ไหนน่ะ"เอ่ยชื่อนั้นออกมาด้วยความหวังว่าเขาจะได้ยินแล้วมาหาเธอ ตอนนี้เธอ

    ย้อนกลับมาที่เรืออีกครั้งก่อนที่จะเห็นเงาใครบางคนอยู่ที่หัวเรือแวบๆจึงรีบขึ้นไปดู สายลมบริเวณนั้น

    พัดอ่อนๆและเย็นสบายเสียเหลือเกิน เส้นผมสีม่วงอ่อนของแพทริเซียปลิวสยายไปตามแรงลม 

    เมื่อมาถึงก็เห็นอัศมิตานั่งขัดสมาธิอยู่ ดวงตาสีฟ้าสดใสคู่นั้นเหม่อมองไปยังท้องฟ้าเบื้องบน หากแต่

    ดวงตานั้นมืดบอดจึงเห็นเพียงความมืดมิด เด็กชายตัวน้อยได้ยินเสียงฝีเท้าจึงหันกลับไป

    "แพทริเซียงั้นหรือ เจ้าลองมาตรงนี้สิ สายลมเย็นสบายมากเลยนะ"อัศมิตาคลี่ยิ้มให้แพทริเซียแม้จะ

    ไม่ถูกทิศนัก 

    "เธอไปไหนมาน่ะ..."เสียงสั่นๆด้วยความโล่งอกออกมาจากปากเด็กหญิง 

    "เราออกมานั่งอยู่ตรงนี้มาสักพักแล้วล่ะ ก่อนเจ้าจะตื่นเสียอีก แล้วทำไมเสียงของเจ้าจึงสั่น

    เช่นนั้นกัน"เขาเอ่ยขึ้นด้วยความเป็นห่วงคนตรงหน้า หรือว่าเธอจะไม่สบาย

    "ไม่มีอะไรหรอกนะ แต่คราวหลังถ้าเธอจะไปไหนปลุกฉันด้วยสิ ฉันนึกว่าเธอถูกจับตัวไปแล้ว ตกใจ

    หมดเลย"แพทริเซียพยายามทำน้ำเสียงให้สบายๆเพื่อไม่ให้อัศมิตาคิดว่าตัวเองถูกตำหนิและ

    กลับไปหดหู่อีก 

    "เข้าใจแล้ว.."แม้จะไม่ถึงขั้นหดหู่แต่ก็ซึมไปโดยถนัดตา เมื่อเห็นดังนั้นเธอจึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที

    "ช่างมันเถอะ ว่าแต่เธอมาที่หัวเรือนี่ได้ยังไง"ถามด้วยสงสัยว่าคนตาบอดเช่นอัศมิตามาที่หัวเรือได้

    เช่นไร 

    "เราเอามือแตะผนังไปเรื่อยๆจนไปเจอจุดที่ไม้สองด้านบรรจบกัน"ถ้อยคำนั้นแฝงไปด้วยความภาคภูมิใจ

    เล็กๆที่สามารถไปที่ๆต้องการได้ด้วยตนเอง 

    "เก่งจังเลย!"เด็กหญิงชื่นชมด้วยความรู้สึกตื่นเต้น เพราะว่านี่เป็นความรู้ใหม่ที่เธอได้รู้มา แม้เขาจะ

    ใสซื่อและอ่อนต่อโลก แต่ก็มีทักษะการสังเกตที่ยอดเยี่ยมมาก หลังจากนั้นเด็กหญิงชวนเขาไปอาบน้ำและ

    ทานอาหารเช้าเป็นอกไก่ราดซอสเห็ดฝีมือเธอที่อร่อยสุดๆ 

    "ไปล้างจานกันเถอะ"สาวน้อยเอ่ยชักชวนเด็กชายที่ทานอาหารเสร็จและกำลังเลียคราบซอสที่อยู่

    มุมปาก แล้วนำผ้าเช็ดปากเช็ดให้เขา เด็กชายพยักหน้า รวบรวมจานแล้วยื่นให้ จากนั้นก็ส่งมือให้เธอ

    นำทางเขาไป แพทริเซียรวบรวมจานและอุปกรณ์ทำความสะอาดและจูงมืออัศมิตาไปที่แม่น้ำแล้ว

    นั่งลงที่ริมฝั่ง

    "เธอจะลองล้างจานดูไหม"ถามด้วยต้องการจะฝึกให้เขาทำอะไรด้วยตนเองเท่าที่จะทำได้ แต่ก็มิได้

    บีบบังคับแต่อย่างใด

    "เราทำได้..จริงๆน่ะหรือ!"ริมฝีปากน้อยๆแย้มยิ้มรู้สึกยินดีที่ได้ทำประโยชน์ให้เธอคนนี้ได้ แม้

    เพียงน้อยนิดก็ยินดียิ่งนัก 

    "อื้ม เดี๋ยวฉันจะสอนให้นะ ตกลงหรือเปล่า" 

    "ตกลง" มือบางหยิบจานใบหนึ่งส่งให้เด็กชายก่อนจะเริ่มอธิบาย"เอาล่ะ ตอนนี้ถ้าเธอลูบจานดูก็จะรู้สึก

    ถึงคราบซอสแล้วก็คราบไขมันใช่ไหม การล้างจานคือการกำจัดคราบพวกนั้นออกไป เธอต้องหยิบ

    ฟองน้ำที่ชุ่มสบู่ไปถูกับจานจนสะอาด คำว่าสะอาดนี่คือลูบแล้วไม่รู้สึกถึงคราบบนจานนะ" 

    เด็กชายพยักหน้าก่อนจะเริ่มทำตามวิธีที่ได้ฟังมา เขาทำไปเรื่อยๆจนกระทั่ง 

    "เพล้ง!"ด้วยความลื่นทำให้จานหลุดจากมือของเขาและกระแทกกับก้อนหินจนแตกเป็นเสี่ยงๆ 

    "เราขอโทษ..."อัศมิตากลืนน้ำลายฝืดๆลงคอไป ตลอดสองวันมานี้เขาไม่อาจช่วยอะไรเธอได้เลย การ

    อยู่กับแพทริเซียก็รังแต่จะเป็นภาระให้เธอเสียเปล่า

    "ไม่เป็นไรหรอกนะ พยายามได้ดีมากเลยล่ะ"มือนุ่มเนียนแตะไหล่ของเขาเพื่อปลอบใจเด็กชายตัวน้อย

    ที่ท่าทางจะร้องไห้อยู่รอมร่อแล้ว 

    "แต่ว่าตั้งแต่เราอยู่กับเจ้าก็สร้างปัญหาให้เจ้ามาโดยตลอด และในครานี้เราก็ทำจานตกแตกไปเสียแล้ว

    ใบหนึ่ง"

    "แต่เธอก็พยายามแล้วนี่นา แค่จานแตกน่ะไม่เป็นไรหรอก ก่อนหน้านี้ฉันเองก็ยังเคยทำจานแตก

    มาแล้วเลย เรื่องผิดพลาดน่ะเป็นธรรมชาติของมนุษย์อยู่แล้ว อย่าโทษตัวเองเลยน่า"แพทริเซีย

    ส่ายหัวน้อยๆแล้วจับมือของเด็กชายเอาไว้ น้ำเสียงของเธอนั้นจริงใจและหนักแน่น และในนาทีนั้นที่

    อัศมิตาคิดขึ้นมาได้ว่า

     

    ในโลกที่แสนจะมืดมิด ลำบาก และทุกข์ทน

     

    เธอคือแสงสว่าง

     

    ที่ชี้นำเขาออกมาจากความทุกข์

     

    เป็นทั้งเพื่อนและผู้มีพระคุณยิ่งสำหรับตัวเขา

     

    "ขอขอบคุณสำหรับทุกๆอย่าง"กล่าวถ้อยคำนั้นด้วยความรู้สึกจริงภายในใจตน เป็นถ้อยคำที่ช่างใสซื่อ

    บริสุทธิ์ ไร้มลทินเจือปน

    "ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอกน่า เธอรู้สึกดีขึ้นหรือยัง ถ้ายังล่ะก็ลองโกโก้ร้อนสักแก้วไหม..สำหรับฉันแล้ว

    ถ้าดื่มมันจะรู้สึกดีขึ้นมากเลยล่ะ"แพทริเซียเสนอแนวทางแก้ไขง่ายๆ แต่ใช้ได้ผลกับเธอจริงตามประสา

    เด็กแปดขวบให้เพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันฟัง

    "เรารู้สึกดีขึ้นแล้ว แต่เราเองก็อยากทานโกโก้ร้อนเหมือนกัน ถ้าไม่เศร้าแล้วจะทานได้หรือไม่"

    อัศมิตาพูดเจื้อยแจ้ว แม้มิได้แสดงออกทางแววตา แต่ทว่าสีหน้าของเขาบ่งบอกอาการอยากทาน

    อย่างชัดเจนจนแพทริเซียหัวเราะคิก

    "จริงๆแล้วจะทานตอนไหนก็ได้ แต่เธอคงอยากทานมากสินะ งั้นเรามาช่วยกันขนจานชาม

    ไปเก็บกันเถอะแล้วเดี๋ยวฉันจะชงโกโก้ให้"เด็กชายพยักหน้าแล้วรวบรวมจานในบริเวณใกล้ๆที่

    คนตาบอดอย่างเขาจะพอควานไปถึงได้ เมื่อทั้งสองช่วยกันเก็บจานและพักผ่อนนิดๆหน่อยๆแล้ว

    ก็ได้เวลาออกเดินทาง

    "จุดหมายคือที่ใดงั้นหรือ"เด็กชายถามพลางเอนหลังพิงตุ๊กตาหมีที่ตัวใหญ่กว่าเขาอย่างสบายอารมณ์

    เมื่อครู่เขาได้ลิ้มลองรสชาติของโกโก้ร้อนแล้ว พบว่าเครื่องดื่มร้อนๆชนิดนี้หอมและมีรสหวานอ่อนละมุน

    เจือขมนิดๆ และเพราะได้ดื่มโกโก้ร้อนที่อยากดื่มทำให้อารมณ์ดีเป็นพิเศษ

    "คลองสุเอช ที่อียิปต์ คืนนี้พวกเราจะไปพักที่นั่น"

    "อียิปต์เป็นประเทศแบบไหนกัน"

    "อ่า จากที่เคยได้ยินมา อียิปต์เป็นประเทศทะเลทราย แห้งแล้ง แล้วก็มีอูฐนะ ช่างเถอะ พอไปถึงคง

    ได้รู้เองนั่นแหละว่าที่นั่นเป็นยังไง"คิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อพยายามนึกถึงเรื่องที่เคยฟังมา

    "เอาล่ะ ออกเดินทางได้แล้ว"เด็กหญิงพึมพำเวทย์ด้วยเสียงกระซิบ เรือเริ่มเคลื่อนที่ไปข้างหน้า

    ไปยังจุดหมายที่มันถูกกำหนดไว้ เมื่อจัดการเรื่องการเดินทางแล้ว เด็กหญิงก็ชวนอีกฝ่ายคุยเพื่อไม่ให้

    บรรยากาศอึดอัดเกินไปนัก

    "นี่อัศมิตา ฉันว่าผมเธอยาวไปหน่อยนะ มันยุ่งขนาดนี้จะลองตัดผมดูไหม"จริงอย่างที่เธอว่า

    ตั้งแต่อัศมิตาเกิดมาเขายังไม่เคยตัดผมหรือหวีผมเลย ทำให้ผมของเขายาวและพันกันจนรุงรัง

    "ตกลง"พยักหน้ารับอย่างว่าง่าย แพทริเซียพาอัศมิตาไปนั่งเก้าอี้ไม่มีพนักพิงที่ขนาดพอเหมาะ

    กับตัวเขาแล้วเอาผ้าสีน้ำตาลเข้มคลุมรอบตัวอัศมิตาเพื่อไม่ให้เศษผมติดเสื้อ พร้อมทั้งกำชับ

    ว่าอย่าขยับมาก เพราะคมกรรไกรอาจบาดเอาได้ 

     

    สองชั่วโมงผ่านไป

     

    ผมของอัศมิตาที่เคยยาวเลยกลางหลัง บัดนี้เหลือความยาวแค่ต้นคอเท่านั้น เส้นผมสีทองคำที่ถูกตัดไป

    นั้นร่วงกระจายเต็มพื้น แพทริเซียเล็มส่วนที่ยาวเกินออกมานิดหน่อยเป็นครั้งสุดท้าย

    "เสร็จแล้วล่ะ ดูดีขึ้นมากเลย"เอ่ยอย่างภาคภูมิใจ ช่างน่าเสียดายนักที่เขามองไม่เห็น เพราะถ้าหากเขา

    มองเห็นเธอก็คงจะนำกระจกมาให้เขาดูแล้วว่าเขาดูดีขึ้นขนาดไหนจากตอนก่อนที่จะตัดผม

    "จริงงั้นหรือ"เด็กชายเอ่ยพลางยิ้มเล็กๆ แม้เขาไม่อาจตอบได้ว่าคนที่ดูดีนั้นจะมีลักษณะอย่างไร

    แต่ฟังจากน้ำเสียงของเธอแล้วมันก็คงเป็นคำชมอย่างแน่แท้

    "อื้ม"ขานตอบแล้วมองไปยังนาฬิกา ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยงกว่าๆ และเธอก็เริ่มหิวขึ้นมาแล้วด้วย

    "ได้เวลามื้อเที่ยงแล้วล่ะ เดี๋ยวฉันจะทำอาหารมาให้นะ"เด็กหญิงหันหลังกลับไปยังห้องครัว แต่อัศมิตา

    ขัดขึ้นเสียก่อน"ให้เราช่วยได้หรือไม่" แพทริเซียนิ่งไปซักพักเพื่อพิจารณา การให้คนตาบอดทำอาหาร

    อาจเกิดอุบัติเหตุกับตัวเขาได้ แต่หากไม่ให้เขาลองทำดู ถ้าเกิดว่า'พวกนั้น'จับตัวเธอได้ในสักวัน

    เขาคงลำบากแน่ถ้าหากเธอไม่สอนเขาเสียตั้งแต่ตอนนี้

    "เอางั้นก็ได้ ตามมานี่สิ"พูดพลางจูงเด็กชายมายังครัว ตรงมาที่อ่างล้างจานและสอนเขาล้างผัก หั่นผัก

    และทำอาหารง่ายๆ หนุ่มน้อยเรียนรู้ขั้นตอนการทำอย่างรวดเร็วด้วยเวลาเพียงน้อยนิดจนทำสลัดผัก

    ออกมาได้หนึ่งชาม

    "สิ่งที่เราทำเป็นอย่างไรบ้าง!?"ถามอย่างตื่นเต้น เพราะว่านี่เป็นอาหารอย่างแรกที่ตนเคยทำ

    "อื้ม สลัดผักงั้นสินะ"แพทริเซียพยักหน้ารับก่อนที่จะตักชิมคำหนึ่ง"อร่อยดีนี่นา ไม่เลวเลยสำหรับ

    คนเพิ่งทำอาหารครั้งแรก" อัศมิตายิ้มกว้างด้วยความภาคภูมิใจ ในที่สุดเขาก็ทำอะไรให้เธอได้บ้าง

    โดยที่ไม่ทำพลาดล่ะนะ

    "ถ้างั้นเราจะทำให้ทานทุกวันเลยดีไหมเล่า?"

    "ทำให้ก็ได้นะ แต่ทำสลัดกินทุกวันก็น่าเบื่อแย่น่ะสิ"แพทริเซียกระเซ้า แต่ก็ต้องรีบพูดต่อเมื่อเห็นสีหน้า

    อีกฝ่าย"ฉันล้อเล่นน่า ยังไงซะช่วยกันทำดีกว่า เธอจะได้เรียนเมนูใหม่ๆด้วยไงล่ะ" แล้วมื้อกลางวันนั้น

    ก็ผ่านไปโดยมีสลัดผักและโดนัทไส้เบอร์รี่ราดวิปครีมฝีมือแพทริเซียเป็นของหวาน แล้วก็ช่วยกัน

    เก็บกวาดเศษผมที่กระจายอยู่บนพื้นห้องนั่งเล่น

     

     

     ตกเย็น ขณะนี้เรือกำลังมุ่งเข้าสู่เมืองสุเอซ แพทริเซียมองวิวทิวทัศน์ที่ดูสวยแปลกตาอย่างที่

    ไม่เคยเห็นมาก่อน ท้องฟ้ายามเย็นตัดกับเนินทรายกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา บนพื้นทรายมีพืชขึ้น

    เพียงประปรายเท่านั้น และแล้วพวกเขาก็กำลังจะมาถึงตลาดในเมือง แพทริเซียพึมพำคำสั่งให้

    เรือค่อยๆจอดช้าๆจนนิ่งสนิท ณ ริมคลองสุเอซ อัศมิตาเงยหน้าจากที่ฟุบอยู่กับโต๊ะ

    "ถึงที่หมายแล้วงั้นหรือ"

    "ใช่ ตอนนี้เรามาถึงตลาดในเมืองสุเอซแล้ว ลงมาด้วยกันสิ ตลาดต่างเมืองอย่างนี้น่าจะมีของน่าสนใจ

    ขายเยอะแยะเลยนะ"ไม่รอช้า ลากเด็กชายผมทองลงจากเรือมาด้วยทันที แพทริเซียร่ายคาถาย่อเรือ

    ให้เล็กลงแล้วเก็บใส่กระเป๋า อากาศในยามเย็นอย่างนี้ไม่ร้อนสักเท่าไหร่จึงเดินเรื่อยๆไปยังตลาด

    สองข้างทางของตลาดแห่งนี้เต็มไปด้วยร้านรวงและผู้คนซึ่งมาจับจ่ายซื้อของกันอย่างคึกคัก

    แพทริเซียลากอัศมิตาไปดูสินค้าร้านนู้นร้านนี้อย่างสนุกสนานและได้เครื่องประดับอัญมณีสีสันสวยงาม

    มาชุดหนึ่ง จนมาถึงร้านเสื้อผ้าเธอได้ซื้อชุดที่ดูเหมือนชนเผ่าร่อนเร่ในทะเลทรายให้กับอัศมิตาและ

    ตัวเธอเองประมาณสองสามชุด ตอนนี้เด็กหญิงเริ่มหิวน้ำและเมื่อดวงตาสีม่วงกวาดมองไปรอบๆก็ได้

    เจอกับสวรรค์..ร้านขายน้ำนั่นเอง แพทริเซียดีใจจนเปลี่ยนจังหวะการเดินเป็นแทบจะวิ่งเข้าไปหา

    ร้านขายน้ำแล้ว

    "ทำไมเจ้าจึงเร่งรีบเสียขนาดนั้น"อัศมิตาถามขณะยืนเหนื่อยหอบอยู่หน้าร้านน้ำ ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคย

    ได้วิ่งเลยเพราะการที่ตาบอดจึงต้องใช้ความระมัดระวังอย่างมาก และเมื่อครู่เขาเองก็เกือบจะล้ม

    แล้วด้วย

    "โทษทีๆ หิวน้ำจนลืมตัวไปหน่อยน่ะ"เด็กหญิงหัวเราะแหะๆ" เธอจะเอาน้ำอะไรด้วยหรือเปล่า"

    "อืม...."อัศมิตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง"เอาแบบเดียวกับเจ้าแล้วกัน"

    "น้ำมะพร้าวสองที่ค่ะ"เด็กหญิงพูดบอกคนขายอย่างฉะฉาน ชายหนุ่มผิวคล้ำแดดผู้เป็นคนขายหันไป

    ใช้มีดเฉาะมะพร้าวให้เปิดออกแล้วนำหลอดใส่ลงไปก่อนจะยื่นให้แพทริเซีย "เอ้า ได้แล้ว"

    แพทริเซียรับมะพร้าวทั้งสองลูกไว้และกำลังจะถามราคาแต่ก็ถูกคนขายขัดขึ้นเสียก่อน

    "พี่ชายขอถามหน่อย เธอมากับน้องเหรอ"คำถามเมื่อครู่คงหมายถึงอัศมิตาเป็นแน่แท้

    "มากับเพื่อนค่ะ"

    "พ่อแม่ล่ะไปไหน ทำไมปล่อยเด็กสองคนมาเดินตลาดกันเอง"น้ำเสียงแฝงไปด้วยความเป็นห่วง ที่จริง

    เพราะแดนทะเลทรายแห่งนี้ไม่ใช่ที่ปลอดภัยเท่าไรนัก

    "ตายไปแล้วค่ะ"เด็กหญิงตอบหน้านิ่ง น้ำเสียงเรียบเฉย อัศมิตาสะดุ้งนิดๆ เขาเองก็รู้สึกแปลกใจ

    เหมือนกันที่ยังไม่พบผู้ปกครองของแพทริเซียเลย แต่ก็ไม่นึกว่าจะตายไปแล้ว

    "แล้วใครเป็นคนดูแลพวกเธอ"

    "ไม่มีค่ะ เดินทางกันสองคนนี่แหละ"

    "เข้าใจล่ะ"ชายหนุ่มคนขายพยักหน้า "แล้วทั้งหมดนี่ราคาเท่าไหร่คะ"แพทริเซียถามต่อ

    "ไม่เป็นไร เอาไปเถอะ พี่ชายไม่คิดเงินหรอก แล้วก็เดินทางกันให้ดีๆดูแลตัวเองด้วยล่ะ"

    "ขอบคุณค่ะ"เด็กหญิงยิ้มด้วยความขอบคุณแล้วพาอัศมิตาออกมา ก่อนที่จะส่งมะพร้าวหนึ่งลูกให้

    เด็กชายดื่มน้ำข้างใน

    "รสชาติหวานหอมดีจัง"

    "นั่นสินะ"เด็กหญิงยิ้มให้ก่อนจะพูดต่อ"เธอว่าตลาดนี่เป็นยังไงบ้าง"

    "ในความคิดของเรา ที่นี่คึกคักและมีชีวิตชีวามากทีเดียวล่ะ แต่ถ้าได้เห็นภาพเหล่านี้ก็คงจะดี

    มิใช่น้อย"ได้แต่เพียงวาดฝันภาพในจินตนาการ หากแต่ในความจริงไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย

    ทั้งทิวทัศน์ ผู้คน รวมไปถึงเจ้าของเสียงสดใสและกลิ่นหอมละมุนตรงหน้า

    "อื้ม ฉันเห็นด้วยกับความคิดเธอนะ"น้ำเสียงเล็กนุ่มนวลเอ่ยแสดงความคิดเห็น แล้วทั้งสองก็เดิน

    คุยกันไปเรื่อยๆโดยไม่สังเกตเลยว่ามีใครบางคนจงใจเดินตามมาอยู่.....

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×