ลำดับตอนที่ #20
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #20 : บาดแผล(Beta)
ทิวทัศน์สีเขียวของป่าคลับคล้ายแถบเบลอเมื่อมองจากสายตาของเด็กสาวที่วิ่งพุ่งไปด้วยความรวดเร็วราวลูกธนู เรือนผมสีแดงสดที่ถูกมัดรวบเป็นหางม้าปลิวไปตามแรงลมคล้ายผืนผ้าปลิวสะบัดในขณะหัวใจที่สูบฉีดเลือดนั้นเต้นอย่างรัวเร็วยิ่งกว่า แม้จะรู้ว่ามนตร์โบราณที่ได้เรียนรู้จากหนังสือของมารดาจะบดบังตัวตนจากประสาทสัมผัสทั้งห้าของผู้อื่นได้ หากแต่ประกายในดวงตาของราชินีภูตผู้มีอายุยืนยาวนับหลายร้อยปีบ่งบอกว่าเธอรอบรู้เพียงใดและอาจทราบวิธีแก้เวทมนตร์ดังกล่าว
เช่นนั้นเด็กสาวจึงเฝ้ารอ...กระทั่งราชินีแฟรี่ออกเดินทางไปยังสถานที่อันไกลโพ้น
นี่มันก็ผ่านมาตั้งหลายวัน
คนพวกนั้นคงจะไม่ได้คิดว่าฉันอยู่ที่บ้านแล้วล่ะ
เหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไปได้ไม่นานนักผุดขึ้นในสมองคล้ายต้องการหลอนหลอกให้เสียขวัญ เวร่ายังคงจดจำแววตาของกลุ่มช่างไม้ได้อย่างไม่ลืมเลือน ความละโมบโลภมาก เย็นยะเยียบ และปองร้ายต่อผู้ที่คิดขวางทางจนมิต่างอะไรไปจากสัตว์เดรัจฉานเร่งเร้าความรู้สึกหวาดกลัวในตัวของเด็กสาวเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยมาตั้งแต่วันที่ทราบข่าวว่าชายเจ้าของโรงแรมตายด้วยอุบัติเหตุอย่างผิดธรรมชาติ ในที่สุด กลางดึกคืนนั้นเธอจึงตัดสินใจหนีเข้ามาหลบภัยยังป่าแห่งภูตพรายโดยมิได้บอกกล่าวแม้กระทั่งเพื่อนสนิทของตน
“ตอนนี้ทุกคนคงจะกำลังตามหาฉันอยู่...ล่ะมั้งนะ”นัยน์ตาสีเขียวก้มลงมองชุดสีชมพูอ่อนที่งดงามและบางเบาราวถูกถักทอจากกลีบดอกไม้นับร้อยพันด้วยประกายสั่นเครือ ความรู้สึกผิดต่อเหล่าภูตพรายในป่าซึ่งคอยเอื้อเฟื้อแก่ตัวเธอมาตลอดหลายปีปรากฏขึ้นราวกับจะยับยั้งมิให้ขาทั้งสองวิ่งต่อไป แม้ตระหนักได้ว่าสายเลือดมนุษย์ครึ่งหนึ่งในร่างกายของตนส่งผลให้มีพลังเวทเพียงเล็กน้อย และภาระซึ่งเกิดขึ้นกับร่างกายหลังจากนั้นคือราคาที่ต้องจ่ายหลังจากการใช้เวทมนตร์ลบตัวตน
หากแต่ถ้อยคำสุดท้ายของผู้เป็นมารดาที่ก่อนสิ้นใจยังคงก้องดังอยู่ในจิตสัมผัส ฟันขาวกัดริมฝีปากตัวเองแน่นเสียจนลิ้นสัมผัสได้ถึงรสเหล็กเมื่อหวนนึกถึงกระเป๋าสัมภาระที่ถูกอัดแน่นด้วยของจำเป็นอย่างรีบเร่ง แต่กลับไร้ซึ่งวี่แววของวัตถุสำคัญโดยสิ้นเชิง
เส้นคิ้วสีแดงขมวดเป็นปมแน่นด้วยตระหนักได้ว่าการจะออกจากผืนป่าอันกว้างใหญ่ไปจนถึงตัวบ้านและกลับออกมาอีกครั้งก่อนที่ผลกระทบจากการใช้เวทมนตร์จะปรากฏต้องใช้ความรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง ก่อนกล้ามเนื้อริมฝีปากจะพยายามยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเพื่อให้กำลังใจแก่ตนเองเพื่อกลับไปหาของสำคัญ
....แหวนเงินของบิดาผู้หายตัวไปเมื่อสิบสามปีที่แล้ว
“เส้นขนของจินเจอร์ช่างนุ่มนิ่มเสียเหลือเกิน”เสียงเล็กดังขึ้นจากใบหน้าของเด็กชายที่ซุกลงไปตรงหน้าท้องของแมวตัวโตซึ่งถูกอุ้มไว้ด้วยสองแขนผอมบางอย่างทะนุถนอม ผัสสะรับรู้ถึงความละเอียดของเส้นขนตลอดจนลำตัวที่นุ่มนิ่มราวของเหลวที่อยู่ภายใต้ กลิ่นอายเฉพาะตัวจากเจ้าสัตว์สี่ขาถูกสูดเข้าไปจนเต็มปอดก่อนเงยใบหน้าเปื้อนยิ้มขึ้นหาเด็กหญิงที่ยืนคอยอยู่ด้านข้าง
“เธอนี่นะ ทำอย่างกับไม่เคยเจอตัวอะไรน่ารักขนาดนี้มาก่อนอย่างนั้นแหละ”เสียงใสเอ่ยกระเซ้า ความเอ็นดูพาดผ่านใบหน้างดงามราวภูตพรายเมื่อเห็นพวงแก้มขาวผุดผ่องของอัศมิตาเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ หลังภูเขาความกดดันที่ทับแน่นถูกยกออกจากอกด้วยตระหนักว่าการคุ้มครองของแฟรี่จะทำให้เจ้าของแววตาเลือดเย็นในยามค่ำคืนไม่สามารถเข้าถึงเป้าหมายได้อีกต่อไป
ร่างผอมบางย่อตัวลงแทบพื้นหินก่อนปล่อยเจ้าแมวขนฟูออกจากอ้อมแขน”เป็นดังที่เจ้าว่า เมื่อครั้งเราอาศัยอยู่ที่อินเดีย...จัณฑาลสกปรกเช่นเรามิอาจเข้าใกล้สัตว์เลี้ยงของวรรณะสูงได้”รอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นบนริมฝีปากคล้ายพยายามต่อสู้กับความคิดด้านลบของตัวเอง สายลมที่พัดผ่านกลับให้ความรู้สึกเย็นเฉียบราวคมมีด”เช่นนั้นแล้วสัตว์ที่เราคุ้นชินมากที่สุดคงจะเป็นวัวซึ่งพบเจอได้ตามท้องถนน...และหนูซึ่งอยู่บริเวณที่พักอาศัยของเรา”
“หนู!?”นัยน์ตาสีอเมทิสต์เบิกกว้างอย่างตกตะลึง แม้จะรู้ว่าสัตว์ดังกล่าวอาจมีจำนวนมากในพื้นที่แออัด หากแต่ข้อมูลเกี่ยวกับ’ความตายสีดำ’อันเป็นโรคระบาดที่เคยพรากชีวิตในยุโรปไปมากกว่าหนึ่งในห้าเมื่อราวศตวรรษที่สิบสี่จากพาหะนำโรคที่เพิ่มจำนวนหลังการกวาดล้างแม่มดครั้งใหญ่ผุดขึ้นในศีรษะ พลันมือเล็กเอื้อมไปจับมืออีกฝ่ายแน่นก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าที่เคย”เธอเคยมีแผลแล้วไปโดนของเสียของมันเข้า...หรือเคยโดนมันกัดไหม”
ต่อให้ไม่ใช่ความตายสีดำ
แต่หนูก็เป็นพาหะนำโรคที่ไม่ควรประมาทอยู่ดี
“เราพอจะทราบว่าหนูอาจก่อให้เกิดโรคร้ายแรงขึ้นได้ ทว่าวางใจเถิดแพทริเซีย...ถึงแม้เราจะเคยอาศัยที่ซอกถนนตามยถากรรม หากแต่มิเคยป่วยเป็นโรคร้ายแรงด้วยเหตุดังว่า...”มือผอมบางข้างที่เป็นอิสระปัดใบไม้แห้งออกจากเรือนผมสีทองตัดสั้น” แม้เราจะเคยจับหนูมาทานประทังชีวิตในยามอดอยากถึงขีดสุด ทว่าหนูเหล่านั้นมิเคยทำอันตรายแก่เราแต่อย่างใด พวกมันถูกรังเกียจเดียดฉันท์มิต่างไปจากจัณฑาล....ครั้งหนึ่งเคยมีหนูวิ่งตรงมาซุกที่ตักเรา ตัวสั่นเทาคล้ายหวาดกลัวการตามล่า เราจึงลองสัมผัสร่างกายนั้นเพื่อสำรวจอย่างถี่ถ้วน”
“เธอเคยสัมผัสตัวมันแบบเต็ม ๆ ด้วยเหรอ”คิ้วเรียวเลิกขึ้นสูงจนแทบหายไปใต้เรือนผมสีม่วง พลันกลิ่นฉุนแสบจมูกของน้ำยาที่ใช้ในบ้านใหญ่หลังสัมผัสสิ่งสกปรกร้ายแรงแทบจะลอยขึ้นสู่นาสิกสัมผัสอีกครั้ง ก่อนนัยน์ตาสีอเมทิสต์จับจ้องไปยังเด็กชายด้วยแววคล้ายนกฮูกในยามดึกสงัด ความอยากรู้อยากเห็นในสิ่งที่ตนไม่เคยได้สัมผัสก่อตัวขึ้นเป็นประกายบนสีหน้า”...แล้วมันเป็นยังไงน่ะ”
“เส้นขนนุ่มนิ่ม...แม้มิเท่าจินเจอร์ ทว่าหางให้สัมผัสหยาบสาก”ปลายนิ้วผอมบางยกขึ้นแตะริมฝีปากที่ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มที่บริสุทธิ์ผุดผ่องราวผืนผ้าขาวขณะนึกทบทวนความทรงจำในอดีต ก่อนโสตสัมผัสจะรับรู้ถึงเสียงกระดิ่งเสียดสีกับชายขากางเกงจากเจ้าแมวที่เข้าพันแข้งขานัวเนีย
“งั้นเหรอ...”แพทริเซียส่ายศีรษะเมื่อภาพของสัตว์สี่เท้าขนเทาที่เคยพบเห็นพร้อมเสียงจี๊ดจ๊าดแทบจะปรากฏขึ้นตามคำบอกเล่าของเด็กชาย”เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ช่างเถอะ แต่วันหลังระวังอย่าไปโดนตัวหนูอีกแล้วกัน”เสียงใสเข้มขึ้นคล้ายมารดาผู้กำลังอบรมบุตรหลาน
“ทว่าหากพบเจอหนูบาดเจ็บ...เราสามารถช่วยเหลือได้หรือไม่”นัยน์ตากลมโตสีฟ้าครามเงยขึ้นยังทิศของเด็กหญิงดุจลูกสุนัขตัวน้อยที่กำลังออดอ้อนเจ้าของ แม้เป็นคำถามเรียบง่ายดังเช่นเด็กทั่วไป หากแต่เด็กหญิงกลับสัมผัสได้ถึงความปรารถนาดีอันออกมาจากหัวใจ
เสียงใสดุจกระดิ่งลมหัวเราะคิกคักพร้อมรอยยิ้มงดงามดั่งภาพวาดจากจิตรกรเอกปรากฏขึ้นบนริมฝีปากบาง สลายท่าทีเข้มงวดก่อนหน้าไปจนหมดสิ้น”ถ้าเธอตั้งใจจะช่วยแล้วใครจะไปห้าม ขอแค่ระวังเรื่องแผลในส่วนที่สัมผัสตัวโดยตรงแล้วล้างมือให้สะอาดก็พอ”มือเรียวยกขึ้นขยี้เรือนผมสีทองพิสุทธิ์อย่างมันเขี้ยวกระทั่งเส้นผมชี้ไปคนละทิศละทาง ก่อนลูบแผ่วเบาให้กลับเป็นเช่นเดิม”เป็นคนที่มีจิตใจดีจริง ๆ เลยนะ...เธอเนี่ย”
เด็กชายตาบอดพลันรู้สึกถึงกระแสเลือดที่สูบฉีดขึ้นกระทั่งความร้อนผะผ่าวแทรกซึมไปทั่วใบหน้า ด้วยดวงจิตอันถูกผูกตรึงไว้กับอดีตเลวร้ายกดให้ร่างเล็กประเมินตัวเองอย่างต่ำต้อยอยู่เสมอ”เพราะเหตุใดเจ้าจึงกล่าวเช่นนั้น...”
พลันรอยยิ้มที่ปรากฏบนริมฝีปากสีชมพูขับเน้นให้ใบหน้าของแพทริเซียฉายแววงดงามราวเทพธิดา เมื่อความทรงจำร้อยเรียงภาพของเด็กชายเนื้อตัวสกปรกมอมแมมเมื่อยามแรกพบมาสู่คนที่ยืนเคียงข้างในเวลานี้”วันที่เราเจอกันครั้งแรก ทั้งที่เธอไม่ได้กินอะไรมาตั้งหลายวัน....แต่เธอกลับกลัวว่าคนที่ยื่นของกินให้จะไม่มีอะไรทาน เธอกล้าโต้เถียงกับคนระดับสุลต่านเพราะต้องการช่วยเหลือคนที่เพิ่งเจอกันได้ไม่กี่วัน ถึงมันจะเป็นการกระทำที่บ้ามาก....แต่เธอก็ยังฝืนตัวเองตอนไม่สบาย เพราะอยากจะมาหาฉัน”ความบริสุทธิ์ที่สัมผัสได้จากวิญญาณดวงน้อยหวนย้อนมาเป็นความร้อนรุ่มผิดบาปในใจผู้มีชนักปักหลัง
“น่าละอายจริงนะ แต่ตัวฉันกลับทำเพื่อคนอื่นไม่ได้อย่างเธอ เสียสละอย่างเธอไม่ได้ด้วยซ้ำ”
พลันเสียงหนึ่งดังขึ้นจากเบื้องลึกของจิตใจ ถ้อยคำที่เธอไม่อาจลืมเลือน
เป็นเหมือนดวงอาทิตย์จากฟากฟ้าไกล
มอบแสงสว่างและความอบอุ่นให้ทุกชีวิตอย่างเท่าเทียม
“ทว่าหากเจ้ามิได้ช่วยชีวิตเราไว้ในวันดังกล่าว...เหตุการณ์อื่นจักมิบังเกิดขึ้นการที่เจ้ายอมให้จัณฑาลพิกลพิการเช่นเราติดตามไปด้วยแม้จำต้องสั่งสอนสิ่งต่าง ๆ เสียใหม่ถือว่าเป็นการเสียสละที่มิอาจประเมินค่าได้มิใช่หรือ ”จังหวะการพูดเปลี่ยนไปเป็นความนุ่มนวลราวไออุ่นที่ฉาบระผิวด้วยปรารถนาจะเติมเต็มความว่างเปล่าแสนเจ็บปวดอันถูกสะท้อนจากประโยคของเด็กหญิง แสงสว่างที่เล็ดลอดลงมาจากกลุ่มใบไม้ตกกระทบเรือนผมสีทอง ขับเน้นให้รูปลักษณ์งดงามดูคลับคล้ายเทวาไร้ปีก”เราสัมผัสได้ว่าสิ่งที่เจ้ามีให้แก่เรามิใช่ความเวทนาสงสาร...”
“....หากแต่เจ้ามีความรู้สึกต่อเราดังเช่นมนุษย์ผู้หนึ่งอย่างเท่าเทียม”
“เธอคิดอย่างนั้นจริง ๆ น่ะเหรอ....ขอบคุณมากนะ”หัวใจที่เต้นตึกตักส่งโลหิตสูบฉีดขึ้นสู่พวงแก้มขาวเนียนจนเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ ในขณะนัยน์ตากลมโตเบนไปยังกอเห็ดสีน้ำตาลใต้โคนต้นไม้ใหญ่ทางด้านข้างคล้ายต้องการหลบสายตา ความรู้สึกเขินอายที่พลุ่งพล่านกระตุ้นให้เด็กหญิงเบี่ยงประเด็นออกห่าง”เอาเถอะ เราไปเดินดูรอบ ๆ หมู่บ้านกันดีกว่า”มือขาวเนียนจับมือของอีกฝ่ายไว้ด้วยสัมผัสที่มั่นคงก่อนขาทั้งสองจะพาร่างมายังเบื้องหน้าเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มออกเดิน
แม้อัศมิตาจะรู้สึกงุนงงเล็กน้อยกับหัวข้อบทสนทนาที่เปลี่ยนไปกะทันหัน หากแต่ตัวเขาพอคาดการณ์ได้ว่าเสียงใสคงมิต้องการพูดคุยต่อในประเด็นดังกล่าว ความปิติยินดีพองตัวขึ้นในอก สรรสร้างรอยยิ้มบนใบหน้าเมื่อเสียงใสราวกระดิ่งลมที่ก้องดังในโสตสัมผัสกลับสู่สภาวะผ่อนคลายลงดังเดิม
เสียงกรอบแกรบดังขึ้นภายใต้รองเท้าของเด็กน้อยทั้งสองจากใบไม้แห้งสีส้มแดงที่ทับถมอยู่บนพื้นถนน แต่งแต้มบรรยากาศของฤดูใบไม้ร่วงแก่ถนนหินปูสีเข้ม พลันสายลมเย็นสบายโบกพัดมาจากเบื้องหน้ากระทั่งเรือนผมตลอดจนชายกระโปรงสีม่วงอ่อนโบกพลิ้วไสวคล้ายภาพวาด ภาพของแนวบ้านอิฐสีน้ำตาลหลังน้อยถูกรับรู้ผ่านจักษุสัมผัสก่อนแปรเปลี่ยนเป็นข้อมูลที่ถ่ายทอดผ่านเสียงใส
“...ตอนนี้เราก็เดินพ้นจากเขตฟาร์มมาแล้ว”จังหวะการบรรยายของแพทริเซียแคล่วคล่องราวผู้นำทางท้องถิ่น ในขณะที่ร่างเล็กจูงมืออัศมิตาให้ถอยห่างจากกลุ่มเด็กชายตัวน้อยที่กำลังวิ่งไล่จับกันอย่างสนุกสนาน
“พวกเขากำลังมีความสุข....ใช่หรือไม่”เสียงหัวเราะเริงร่าเสียดแทงลึกเข้ามา แม้จะรู้ดีว่าสิ่งที่ตนกำลังคิดไม่อาจเป็นจริงได้ หากแต่ความปรารถนาที่ทัศนสัมผัสจะเปิดออกและได้วิ่งเล่นดังเช่นเด็กปกติสะท้อนก้องให้เกิดความไม่พอใจในสิ่งที่ตนเป็น
“อัศมิตา...”ประกายในดวงตาสีม่วงลึกล้ำสั่นระริกราวคลื่นน้ำแตกกระเพื่อมเมื่อจับจ้องไปยังเด็กชายตาบอด น้ำเสียงเยียบเย็นเอ่ยขึ้นกับหญิงสาวร่างสูงเมื่อเห็นเด็กหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันกอดรัดชายหนุ่มผู้เป็นบิดาราวหลายปีก่อนหวนย้อนคืนมาราวเป็นบทลงโทษ แพทริเซียนึกสงสัยขึ้นว่าเจ้าของนัยน์ตาหลังกรอบแว่นจะรู้สึกเช่นเดียวกับตนในขณะนี้หรือไม่
“ดูมีความสุขกันเหลือเกินนะ....”
เด็กหญิงจดจำได้ว่าน้ำเสียงประชดประชันของตนในเวลานั้นเกิดจากความรู้สึกขาด ความตระหนักว่าตนเองไม่อาจมีในสิ่งที่ผู้อื่นมี หากแต่ในวันนี้เธอกลับได้รับรู้ความรู้สึกจากอีกด้านหนึ่ง เจ็บปวดที่ไม่อาจเติมเต็มหัวใจที่รู้สึกขาดของคนตรงหน้าให้กลับมาสมบูรณ์ได้เต็มที่”มันก็ใช่อยู่หรอก....แต่การที่เธอคิดถึงสิ่งที่ไม่สามารถมีได้ในตอนนี้จะทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดเอานะ”น้ำลายเหนียวฝืดถูกกลืนลงคออย่างยากลำบากด้วยต้องการกลบความรู้สึกผิดที่ยังไม่สามารถค้นหาวิธีรักษาดวงตามืดบอดให้สามารถมองเห็นดังเช่นปกติ
“แพทริเซีย...เราขอโทษ”ริมฝีปากงดงามโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มจืดเจื่อนดังเช่นคนหมดแรงด้วยโสตสัมผัสจับถึงความอึดอัดใจในกระแสเสียงของอีกฝ่ายได้ สมาธิถูกเบี่ยงเบนจากเสียงหัวเราะร่าเริงของกลุ่มเด็กชายไปยังเสียงของผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนนสีแดงส้ม ปะปนกับเสียงล้อเกวียนและกีบเท้าของม้าที่ชิดใกล้เข้ามา
เด็กชายเบี่ยงตัวไปตามแรงดึงของมือนุ่มเนียนเพื่อหลบเกวียนใหญ่ดังเช่นปกติที่เคยกระทำ หากแต่เมื่อยามเสียงกีบเท้าเหยาะย่างแทบสะท้อนก้องอยู่ข้างหูนั้น
เสียงกรุ๋งกริ๋งของกระพรวนอันแสดงตำแหน่งของเจ้าแมวตัวกลมกลับดังขึ้นตามการกระโจนลงไปในตำแหน่งทางผ่านของเกวียนอย่างพอดิบพอดี
“จินเจอร์!”ไวเท่าความคิด เด็กชายตาบอดถลันร่างของตนไปยังตำแหน่งของเสียงกะพรวนได้ทันก่อนที่กีบเท้าของม้าสีน้ำตาลมันปลาบจะลากเกวียนทับลงไปบนตัวเจ้าแมวเคราะห์ร้าย สองขาหน้าของสัตว์ลากเกวียนที่ตกขึ้นด้วยอาการตกใจเฉียดใบหน้างดงามไปเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด
“นี่มันเรื่องอะไรกันวะ”ชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่สารถีสบถลั่นเมื่อเกวียนหยุดชะงักลงกะทันหัน ดวงตาคมกริบฉายประกายโมโหร้ายสุดขีดพร้อมหนวดสีบลอนด์เข้มที่แทบกระดิกเมื่อชะโงกมองเด็กชายตัวน้อยผู้ยืนในท่าขวางกั้นและแมวส้มขนปุกปุยด้านหลัง”ไม่รู้จักดูแลแมวให้อยู่กับร่องกับรอยตอนเกวียนผ่าน แกตาบอดหรือไงหาไอ้หนู”
คำบริภาษหยาบคายตามหลังมาอีกยกใหญ่ขณะที่แพทริเซียจูงมือเด็กชายตาบอดให้ถอยหลบมายังด้านข้างถนนหินปู นัยน์ตาสีอเมทิสต์เหลือบมองจินเจอร์แทบจะทุกสองวินาทีด้วยหวาดระแวงว่าเจ้าแมวตัวกลมจะทำอะไรเสี่ยงอันตรายขณะชายหนุ่มกระตุกสายบังเหียนให้ม้าลากเกวียนใหญ่เดินหน้าต่อไป”แกก็เหมือนกัน ยายเด็กหัวม่วง...รู้ว่าน้องแกตาบอดแล้วจะเอาออกมานอกบ้านทำไม”เสียงแหบห้าวเหน็บแนมคล้ายการสั่งลาด้วยสังเกตถึงกิริยาอาการของอัศมิตาที่เชื่องช้าผิดเด็กปกติ
และเมื่อเหตุการณ์พ้นผ่าน เสียงพูดคุยซุบซิบของผู้คนที่มุงดูเหตุการณ์อยู่โดยรอบก็พลันชัดเจนขึ้นในโสตประสาทของเด็กน้อยทั้งสอง
“อัศมิตา เธอเป็นอะไรหรือเปล่า...”ร่างในชุดกระโปรงก้มลงพูดกับเด็กชายผู้ย่อตัวลงแทบตัวแมวด้วยประกายแห่งความเป็นห่วงเป็นใย แม้ใจหนึ่งกังวลเรื่องของบาดแผลที่อาจเกิดขึ้นจากการที่เกือบถูกกีบเท้าม้าฟาดหน้า หากแต่ความกังวลเกี่ยวกับสภาพจิตใจของอัศมิตาหลังการถูกบริภาษหยาบคายกลับทวีความรุนแรงยิ่งกว่า”อย่าเก็บคำพูดแย่ ๆ ของคนที่กำลังโมโหมาใส่ใจเลยนะ เธอไม่ได้เลวร้ายแบบที่เขาพูดซะหน่อย”
“คลายความกังวลลงเถิดแพทริเซีย เรามิเป็นอันใดมาก”สีเลือดฝาดที่จางหายไปเมื่อครู่ปรากฏขึ้นบนพวงแก้มขาวเนียนอย่างเชื่องช้าขณะริมฝีปากแย้มขึ้นเป็นรอยยิ้มซีดเซียวคล้ายสะกดกลั้นความน้อยเนื้อต่ำใจในตนเอง”เราเคยพบเจอคำผรุสวาทรุนแรงบ่อยครั้งนับตั้งแต่ตัวเราจำความได้ เช่นนั้นจึงพอจะชาชินไปบ้างแล้ว...”มือผอมบางระลงบนเส้นขนนุ่มสลวยตามทิศทางของเสียงกระพรวนเพื่อลดความรู้สึกหนักราวตะกั่วถ่วงในจิตใจ
ตัวเราเพิ่งสร้างความอึดอัดใจแก่เจ้ามิใช่หรือ
เหตุใดเจ้าถึงยังคงห่วงใยความรู้สึกของเราอยู่
เด็กพิการตาบอดผู้แสนละโมบโลภมากเช่นเรา....สมควรจะได้รับสิ่งดีๆเหล่านี้หรืออย่างไร
หัวใจพลันบีบรัดตัวแน่นเมื่อคิดถึงถ้อยคำกระทบกระเทียบเมื่อครั้งผู้เป็นมารดายังคงมีชีวิตอยู่ สองมือของเด็กน้อยโอบกอดร่างของเจ้าแมวตัวกลมไว้ด้วยอาการสั่นเทา”จินเจอร์...สัญญากับเราได้หรือไม่”ความทรงจำของเวร่าเมื่อครั้งเก็บลูกแมวตัวน้อยมารักษาก่อความผูกพันในใจของอัศมิตาอย่างน่าประหลาด สร้างการระลึกว่าตนและเจ้าแมวเริ่มต้นจากซากชีวิตถูกทอดทิ้งข้างถนน ถูกรังเกียจ กลั่นแกล้ง และได้รับความอบอุ่นที่ฉุดดึงชีวิตมาสู่แสงสว่างอีกครั้งหนึ่ง”อย่าทำเรื่องเสี่ยงอันตรายเช่นนี้อีกจะได้หรือไม่ เรามิปรารถนาที่จะให้เจ้าได้รับบาดเจ็บ...หรือแม้กระทั่งเสียชีวิตลง”เสียงเล็กสั่นเครือดังคลื่นน้ำแตกกระเพื่อมขณะมือขวาผอมบางไล้ไปตามเส้นขนของเจ้าแมวที่ส่งเสียงเมี้ยวแผ่วค่อย ความรู้สึกผิดสะท้อนจากนัยน์ตาสีเขียวอมเหลืองก่อนใช้ลิ้นหยาบสากเลียหลังมือของเด็กชายจนชื้นแฉะ
นัยน์ตาสีอเมทิสต์เหลียวมองฝูงชนที่มุงดูเหตุการณ์อยู่โดยรอบเดินจากไปตามกิจธุระของตน และรอคอยกระทั่งเด็กชายเงยใบหน้าขึ้นมายังทิศทางของตัวเธอ”ไปต่อกันเถอะ...”มืออบอุ่นช่วยดึงร่างของเด็กชายให้ลุกขึ้นในท่ายืน
กลิ่นหอมกรุ่นของขนมอบสดใหม่ถูกสายลมพัดแทรกผ่านกลิ่นไอเย็นสบายเข้าสู่นาสิกสัมผัสของเด็กชายตาบอด พลันใบหน้างดงามราวเทพยดาองค์น้อยหันไปยังต้นทางราวต้องมนตร์สะกด”กลิ่นส่วนผสมระหว่างแป้ง นม และเนย....เรากำลังเดินไปยังทิศทางของร้านขนมปังใช่หรือไม่”พลันรสสัมผัสของบริยอชชุ่มเนยในความทรงจำเมื่อครั้งอยู่ฝรั่งเศสเรียกให้ร่างเล็กกลืนน้ำลายเอื๊อก
“ก็ใช่อยู่หรอก...แต่เราเพิ่งจะกินมื้อเช้ามาได้ไม่นานเองนะ หิวอีกแล้วเหรอ”แพทริเซียกระเซ้า นัยน์ตาสีอเมทิสต์มองไปยังอาคารอิฐสีหม่นอันเป็นร้านขนมปังเล็กๆซึ่งเป็นต้นตอของกลิ่นหอมที่ขจรขจายไปทั่วบริเวณ”ฉันรู้ว่ากลิ่นขนมปังอบใหม่น่ะหอม แต่ถ้าเธอกินจุบจิบบ่อยๆ ปริมาณอาหารที่เธอได้รับในแต่ละมื้ออาจมากเกินไป...นานเข้าก็จะอ้วนเอาได้นา”
“ทว่าความอ้วนท้วนบ่งบอกถึงความอุดมสมบูรณ์และความมั่งคั่งมิใช่หรือ”เสียงหัวเราะเยาะหยันและแรงราวช้างสารจากมืออวบหนาลากซากร่างผอมแห้งที่พยายามขัดขืนถูลู่ถูกังไปตามพื้นถนนผุดขึ้นจากความทรงจำเลวร้ายเมื่อครั้งอดีต ริมฝีปากบางได้รูปเม้มลงจนบางเฉียบ”และถ้าหากอ้วนท้วน...ก็อาจมีเรี่ยวแรงพอให้ต่อต้านขัดขืนผู้ที่ประสงค์ร้าย”
“
เธอกำลังคิดถึงพวกเด็กวรรณะสูงที่เคยทำร้ายเธอเมื่อตอนอยู่อินเดียใช่ไหม...”เสียงใสเอ่ยขึ้นหลังนัยน์ตาอ่อนโยนจับความเปลี่ยนแปลงที่มักเกิดขึ้นบนใบหน้าของเด็กชายเมื่อพูดถึงอดีตอันแสนเจ็บปวด ภาพของกลุ่มเด็กชายผิวคล้ำร่างหนาที่รุมทุบตีอัศมิตาราวไม่เห็นค่าเด็กน้อยเป็นเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ปรากฏขึ้นในความคิดอีกครั้ง”ก็จริงอยู่ว่าคนมีเงินสามารถซื้ออาหารในปริมาณที่มากกว่าแล้วก็ดีกว่ามากินจนอ้วนได้ แต่ความสมบูรณ์ที่เห็นนั่นใช่ว่าสุขภาพภายในจะดีในระยะยาวนะ”
อัศมิตารู้สึกถึงสายลมวูบใหญ่ที่พัดพาเรือนผมสีทองพิสุทธิ์ให้ปลิวย้อนมาทางดวงตา“ความอ้วนนำมาซึ่งโรคภัยอย่างไรหรือ...”มือเล็กปัดเรือนผมของตนให้พ้นจากดวงตาก่อนใช้ข้อนิ้วปาดหยดน้ำที่เอ่อคลอจากความระคายเคือง
“ข้อแรก ถึงเธอจะมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นมากขนาดไหน แต่ขนาดของโครงกระดูกจะไม่เพิ่มขึ้นตามน้ำหนักหรอกนะ ลองคิดถึงกระดูกที่แบกรับน้ำหนักตัวอย่างช่วงขาดูสิ ถ้าเกิดข้อต่อขาต้องแบกน้ำหนักช่วงลำตัวที่หนักมากๆเข้า...โอกาสที่จะเสื่อมสภาพเร็วแล้วก็รุนแรงกว่าคนอื่นมีสูงเลยนะ”นัยน์ตาของเด็กหญิงส่องประกายแวววับดังแมวป่าเมื่อเห็นถึงความสนอกสนใจจากอีกฝ่าย เสียงใสอธิบายถึงความรู้ที่เคยเล่าเรียนชัดถ้อยชัดคำคล้ายอาจารย์สอนลูกศิษย์
นิ้วเรียวชูเลขสองขึ้นประกอบคำอธิบายด้วยลืมตัว“ส่วนข้อที่สอง ถ้าไขมันในตัวเธอมีปริมาณมากเข้าก็จะไปเกาะตามผนังหลอดเลือดสำคัญอย่างเช่นหลอดเลือดหัวใจ...ทำให้เส้นทางที่เลือดผ่านได้แคบลงไปอีก หัวใจก็จะต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อที่จะสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกาย แล้วพอหัวใจเสื่อมสภาพก็อาจทำให้จังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติ...ร้ายแรงที่สุดคือกล้ามเนื้อหัวใจอ่อนล้าจนทำงานต่อไม่ได้แล้ว เธอรู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น”
“หากหัวใจไม่สามารถทำงานได้จักมีเพียงความตายที่รอคอยอยู่...ใช่หรือไม่”แม้น้ำเสียงที่ถูกถ่ายทอดออกมานั้นจะดูใสซื่อ หากแต่รอยยิ้มบนเครื่องหน้างดงามแฝงความขมขื่นใจไว้ภายใต้รอยยิ้ม จังหวะชีพจรบนข้อมือผอมแห้งปูดโปนของมารดาที่แผ่วเบาลงพร้อมคำสาปแช่งครั้งสุดท้ายจางหายไปพร้อมกับความอบอุ่นที่สัมผัสได้บนปลายนิ้วมือแทรกขึ้นในความคิด
“ใช่แล้วล่ะ”มือเรียวยกขึ้นลูบเรือนผมสีทองพิสุทธิ์ด้วยจังหวะอ่อนโยนขณะเฝ้ามองเด็กชายที่ปล่อยแพขนตาให้เข้าปกคลุมดวงตามืดบอดอย่างเชื่องช้า ความเจ็บปวดและภาระหนักอึ้งอันถูกถ่ายทอดผ่านใบหน้าของเด็กชายผ่อนคลายลงจนค่อยๆมลายสิ้นไป ก่อนที่สัมผัสเบาของมือผอมบางจะยกขึ้นแตะหลังฝ่ามือเล็กเรียวของเธอ
เสียงใสเอ่ยขึ้นต่อเมื่อประเมินว่าเด็กชายอยู่ในสภาพจิตใจที่สามารถรับฟังตนต่อได้”แล้วก็นะ เคล็ดลับของความแข็งแรงไม่ได้อยู่ที่ไขมันหรือว่าร่างกายที่ใหญ่โตอะไร แต่อยู่ที่การใช้งานฝึกฝนกล้ามเนื้อให้แข็งแรงจนสามารถใช้ประสิทธิภาพได้มากกว่าเดิมต่างหาก...อย่างพวกที่ออกกำลังกายบ่อยๆหรือฝึกด้วยวิธีพิเศษบางอย่างน่ะนะ”
ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อแย้มออกเป็นรอยยิ้มเมื่อหวนคิดถึงการฟื้นตัวไวผิดธรรมชาติของเด็กหนุ่มวัยสิบสามปีผู้ถูกฉาบทับด้วยความเคร่งเครียดแทบตลอดเวลา แม้จะมิได้มีร่างกายใหญ่โต หากแต่ร่องรอยการฝึกฝนของมัดกล้ามเนื้อแขนและพละกำลังราวช้างสารทำให้เด็กหญิงมั่นใจว่าเด็กหนุ่มสามารถเอาชนะชายหนุ่มร่าง
สูงใหญ่ได้อย่างไม่ยากเย็น
ป่านนี้คงจะโตเป็นหนุ่มเต็มตัวสำหรับมนุษย์แล้วล่ะมั้ง ดูจากโครงร่างแล้วมีแนวโน้มจะสูงมากซะด้วย
คนอะไรทำตัวอย่างกับม้างาน อาสาช่วยทำนั่นทำนี่อยู่ได้ทั้งที่ตัวเองก็ยัง....เฮ้อ จริงๆเลย
แถมยังแววตาแบบนั้นอีก....อย่างกับมีอะไรในตัวที่กำลังพังทลายลงไป
ทั้งที่เคยบอกว่าจะกลับมาหา....แต่นี่มันก็สามปีเข้าไปแล้ว
ไม่สิ การที่เขาไม่กลับมาอีกนั่นมันก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือไง....
อย่างน้อยภาพของความทรงจำในวันนั้น...ก็คงจะยังอยู่เหมือนเดิม
“งั้นหรือ หากรับประทานอาหารมากไปจักก่อให้เกิดโรคอื่นๆตามมาได้ เช่นนั้นแล้ว....”ทรวงอกผอมบางแฟบลงจากการถอนหายใจออกอย่างเชื่องช้า ขณะความเงี่องหงอยราวลูกสุนัขถูกดุฉาบชโลมทั่วเครื่องหน้างดงามเมื่อประกอบเข้ากับดวงตากลมโตสีฟ้าครามราวตุ๊กตาจึงถ่ายถอดอารมณ์ของอัศมิตาออกมาได้ราวผลงานชิ้นเอกของธรรมชาติ
“คราวนี้จะยอมให้ก่อนก็ได้...”เสียงเล็กพูดเป็นเชิงกระเซ้าพร้อมกับดวงตาที่ขยิบลงอย่างมีเลศนัยแม้จะรู้ดีว่าเด็กชายมิสามารถมองเห็นได้ ก่อนสายตาละจากเด็กชายผ่านหญิงสาวในชุดสีทึบทึมไปยังประตูของร้านขนมปัง”แต่ครั้งอื่นฉันจะไม่ปล่อยขนาดนี้แล้วนะ”มือข้างที่จับอัศมิตาอยู่บีบแน่นขึ้นเล็กน้อยด้วยสัมผัสคล้ายการทำสัญญา
นัยน์ตาสีฟ้าเบิกกว้างขึ้นด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านขึ้นในอก ก่อนร่างที่เล็กกว่าเด็กวัยเดียวกันกระโดดจนตัวลอยและส่งเสียงตะโกนอย่างดีใจ ก่อนใบหน้าเปื้อนยิ้มที่ฉีกกว้างจนตาปิดเงยขึ้นพร้อมสีแดงสดราวมะเขือเทศระบายบนพวงแก้ม”ขอบคุณเจ้ามาก แพทริเซีย”
“ไปกันเถอะ”ร่างในชุดกระโปรงสีม่วงอ่อนก้าวมาข้างหน้าเป็นเชิงนำทาง กล้ามเนื้อแขนส่งแรงดึงเล็กน้อยให้เด็กชายก้าวตามทาง เจ้าของเรียวขาเดินนำทางเด็กชายมุ่งตรงมายังต้นกำเนิดของกลิ่นหอมอบอวลที่ฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ เด็กหญิงหยุดยืนเล็กน้อยก่อนมือเรียวจะผลักบานประตูไม้เปิดออกกว้าง บังเกิดเป็นเสียงสั่นจากระฆังใบเล็กที่แขวนอยู่เหนือประตูร้าน
“ยินดีต้อนรับจ้า”เสียงกังวานดังขึ้นจากหญิงสาวในชุดผ้ากันเปื้อนที่กุลีกุจอจัดขนมปังหอมกรุ่นในชั้นโดยไม่ได้หันมามองผู้เข้ามาเยือน นัยน์ตาสีน้ำตาลทองส่องประกายเจิดจ้าคล้ายภาคภูมิใจในผลงานของตน ก่อนร่างสูงใหญ่ยืดตัวขึ้นมองมายังเด็กน้อยทั้งสอง”เพิ่งอบมาใหม่ๆจากเตาเลย พวกเจ้าอยากจะรับอะไรดีจ๊ะ”
นัยน์ตาสีอเมทิสต์กวาดตามองเฉดสีน้ำตาลอ่อนของขนมปังที่ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบก่อนเสียงใสราวกระดิ่งลมจะบรรยายรูปร่างลักษณะของขนมปังแต่ละชนิดให้เด็กชายที่อยู่ด้านข้างฟัง”แล้วเธออยากกินขนมปังแบบไหนกันล่ะ”
“ตามแต่ใจเจ้าจะเลือกให้เราเถิด...เราคาดว่าเจ้ามีความรู้เกี่ยวกับขนมปังมากกว่าตัวเรา”นัยน์ตากลมโตสีฟ้าครามปิดลงอย่างเชื่องช้า ปล่อยผัสสะทังสี่ให้จมดิ่งลึกลงไปใต้กลิ่นหอมของขนมอบและบรรยากาศอบอุ่นในตัวร้าน
“เธอนี่นะ หัดเลือกอะไรตามใจตัวเองซะบ้างสิ”เสียงใสบ่นอุบอิบ พลันสายตาสะดุดเข้ากับขนมปังก้อนกลมเล็ก สีน้ำตาลของพื้นผิวถูกแทรกเสริมด้วยสีที่อ่อนจางลงไปจากธัญพืชที่ล้อมรอบ”เอาแบบนั้นสองก้อน....ทานเลยนะคะ”เสียงใสเจรจาฉะฉานพร้อมนิ้วเรียวยาวชี้ไปทางขนมปังที่เรียงรายบนชั้น
“ได้จ้า เจ้านี่ตาถึงเหมือนกันนา ขนมปังธัญพืชนี่เป็นสูตรพิเศษของร้านเราเลยนะ”ความภาคภูมิใจแฝงอยู่ในน้ำเสียงสดชื่นขณะร่างสูงในชุดผ้ากันเปื้อนสีขาวสะอาดเคลื่อนตัวผ่านชั้นวางขนมอบที่เรียงรายไปยังถาดขนมปังก้อนกลม ก่อนเลือกขนมปังสองก้อนหน้าสุดให้แก่เด็กหญิงพร้อมบอกราคา
“นี่ค่ะ”มือเรียวหยิบเงินจำนวนหนึ่งออกมาจากถุงอวบอ้วนและยื่นให้แก่หญิงสาวร่างสูง เด็กหญิงรับขนมปังทั้งสองก้อนมาจากมือของอีกฝ่ายจากนั้นจึงแตะขนมปังก้อนหนึ่งลงบนฝ่ามือของเด็กชายตาบอด
“ขอบใจเจ้ามากแพทริเซีย”ปลายนิ้วไล้ไปตามพื้นผิวขรุขระของขนมปังก้อนกลม นาสิกสัมผัสรับรู้ถึงกลิ่นไอที่โชยกรุ่นจากความอบอุ่นบนผิวมือก่อนก้มลงงับขนมปังเข้าไปเป็นคำใหญ่ ความนุ่มละมุนของขนมปังเนื้อเบาตัดกับความกรุบของเมล็ดธัญพืชส่งให้เกิดสัมผัสแตกต่างและรสหอมนวลฟุ้งกระจายไปทั่วปากทุกครั้งที่บดเคี้ยว พลันชิวหาสัมผัสรับรู้ได้ถึงรสชาติหวานอ่อนจางอันเป็นเอกลักษณ์ที่ปลายลิ้น”ความหวานเช่นนี้...หนึ่งในส่วนผสมของขนมปังคือน้ำผึ้งใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว...เจ้านี่ช่างสังเกตเหลือเกินนะพ่อหนุ่มน้อย”คิ้วสีเหล็กเลิกขึ้นสูงจนแทบแตะแนวรากผม ขณะเครื่องหน้าของหญิงสาวแสดงถึงความประหลาดใจอย่างไม่อาจปิดบัง”แล้วมันอร่อยหรือเปล่าจ๊ะ”
อัศมิตาพยักหน้าหงึกหงักขณะโสตสัมผัสรับรู้ถึงเสียงเคี้ยวแผ่วเบาจากทิศทางของเด็กหญิง”เรารู้สึกได้ว่าความหอมและเนื้อสัมผัสของขนมปังอบร้อนเข้ากันได้เป็นอย่างดีกับรสมันเล็กน้อยจากธัญพืช....มิเคยคาดคิดว่าเมื่อทั้งสองสิ่งมารวมกันจักเอร็ดอร่อยได้ถึงเพียงนี้ ท่านคิดได้อย่างไรกัน”รอยยิ้มของเด็กชายดูราวกับดอกทานตะวันที่ผลิบานรับแสงยามรุ่งอรุณ ขณะพวงแก้มนุ่มนิ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ ขับเน้นให้ความงดงามของใบหน้าให้โดดเด่นราวเทพบุตรตัวน้อย
“แหม ปากหวานเชียวนะจ๊ะพ่อหนู....โตไปคงเสน่ห์แรงไม่เบาเลยนะเนี่ย”มุมปากบางยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเชิงขบขัน ก่อนหญิงสาวนิ่งงันไปครู่หนึ่งคล้ายครุ่นคิดบางอย่าง นัยน์ตาสีน้ำตาลทองส่องประกายคล้ายนักล่ามือฉมัง เป็นจังหวะเดียวกับที่ขาเรียวยาวย่อลงให้ลำตัวอยู่ในระดับเดียวกับใบหน้าน้อย”เอ จะว่าไปแล้วเจ้าน่ะใช่เด็กน้อยตาบอดที่กระโจนเข้าไปขวางรถม้าเพราะต้องการจะช่วยแมวหรือเปล่าเนี่ย...กล้าหาญไม่เบาเลยนา”สัมผัสสากกร้านเล็กน้อยของมือแข็งแรงขยี้ลงบนเรือนผมสีทองคล้ายหมั่นเขี้ยวกระทั่งนัยน์ตาสีเพทายของเด็กน้อยปิดลงอย่างเชื่องช้า
ข่าวกระจายไวอย่างกับไฟไหม้หญ้าแห้ง….
แพทริเซียนึกประชดประชัน คิ้วเรียวสีม่วงกระตุกเล็กน้อยขณะขนมปังไหลลงคอตามจังหวะการกลืน ประกายอยากรู้อยากเห็นในดวงตาสีน้ำตาลทองของหญิงสาวร้านขนมปังซ้อนทับกับภาพของ’แม่เหยี่ยวข่าว’ในหมู่บ้านที่ตนจากมาอย่างน่าประหลาด
“จริงซี...ยังไม่ได้แนะนำตัวเลย ข้าชื่อมาทิลดา แล้วก็อย่างที่เห็นนี่แหละจ้ะ ที่นี่คือร้านเล็กๆของข้าเอง”น้ำเสียงกระตือรือร้นเอ่ยขึ้นขณะกล้ามเนื้อขาส่งแรงให้หญิงสาวยืดตัวขึ้นเต็มความสูง นิ้วมือหนาจัดผ้าคาดสีขาวที่ผูกเป็นปมอยู่บนเรือนผมหยิกสีเหล็กกล้า”ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงจะมาจากต่างที่ล่ะซีนะ...ชื่ออะไรกันบ้างจ๊ะ”
นัยน์ตากลมโตของเด็กหญิงในชุดกระโปรงเงยขึ้นสบกับหญิงสาวหลังจากรสธัญพืชของขนมปังในปากจางลงเล็กน้อย”แพทริเซียค่ะ...ส่วนนี่อัศมิตา”มือเรียวผายไปทางร่างเล็กที่ย่อตัวลงใช้สองมือบิขนมปังออกจากตัวก้อนให้กับเจ้าแมวตัวกลมที่คลอเคลียชายขากางเกง”พวกเราจะมาอยู่ที่หมู่บ้านนี้สักพักก่อนเดินทางต่อ”
“งั้นเหรอจ๊ะ...”ใบหน้ารูปเหลี่ยมพยักลงคล้ายแสดงอาการรับทราบอย่างกระตือรือร้น ก่อนมาทิลดาเอี้ยวตัวไปจัดถาดบรรจุขนมปังก้อนกลมหนาที่อยู่ไม่ห่างมือนัก”แล้วพวกเจ้าพักที่ไหนกัน”
“โรงแรมที่อยู่ตรงเนินเขาก่อนจะมาถึงตัวหมู่บ้านค่ะ”เสียงใสเอ่ยแช่มช้าทว่าชัดถ้อยชัดคำ ประกายในดวงตากลมโตที่จับจ้องไปยังปฏิกิริยาตอบสนองของหญิงสาวดูราวพินิจมองหนังสือเล่มหนา
เจ้าของเรือนผมหยิกที่ถูกเกล้าเป็นมวยเรียบละสายตาจากถาดขนมปังมายังร่างในชุดกระโปรง ประกายในดวงตาสีน้ำตาลทองราวแฝงไว้ซึ่งความหมายบางอย่าง”แล้ว...ที่นั่นเป็นยังไงบ้าง”
“ก็...”ผู้ถูกถามชะงักงันไปครู่หนึ่ง พลันภาพเหตุการณ์เมื่อคืนวานกลับหวนย้อนขึ้นมา แจ่มชัด และยังสะท้อนอย่างไม่ลบเลือน เสียงหัวเราะและแววตาปองร้ายพยาบาทสะท้อนสีกองไฟระริกรื่นคลับคล้ายปีศาจในตำนานปรัมปราส่งให้รอยลึกในจิตสั่นสะท้าน ก่อนของเหลวขมปร่าจุกแน่นที่ลำคอ ส่งให้ใบหน้าเผือดซีดลงราวไร้โลหิตไหลเวียน”เป็นโรงแรมที่ดีนะคะ”รอยยิ้มถูกฉาบทาลงบนใบหน้าด้วยปรารถนากลบเกลื่อนสิ่งที่ผุดขึ้นโต้ตอบในความคิด
ถ้าไม่รวมเรื่องที่เจ้าของรวมหัวกะช่างไม้คิดฆ่าใครล่ะก็นะ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น