ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Saint Seiya The Lost Canvas] The White Sky Memories

    ลำดับตอนที่ #19 : หวาดหวั่น

    • อัปเดตล่าสุด 3 เม.ย. 61


    เสียงหอบฮักดังจากเด็กสาววัยราวสิบสามปีที่กำลังวิ่งหนีอย่างสุดฝีเท้าและค่อยๆผ่อนลงเมื่อไม่เห็นผู้ใดตามมา ทว่าในขณะที่สามารถเห็นเส้นผมสีแดงสดราวกับเปลวเพลิงที่ปลิวไสวไปตามแรงลมได้อย่างชัดเจน ภาพของใบหน้านั้นราวกับถูกบางอย่างบดบังมิให้มองเห็นได้ถนัดตา ร่างผอมบางถอนหายใจคล้ายโล่งอกก่อนที่จะก้มตัวลงเก็บผลไม้ป่าขึ้นมาประทังความหิวโหยในท้อง นัยน์ตาทั้งสองเลื่อนมองไปชุดเก่าจนซีดที่บัดนี้เต็มไปด้วยความสกปรกไม่น่ามอง

    ทันใดนั้น เด็กสาวก็ได้ยินเสียงย่ำเท้าลงบนผืนหญ้า

    ลำตัวที่เคยขยับเป็นปกติจนถึงเมื่อครู่ บัดนี้กลับแข็งทื่อราวรูปสลักหินขณะนัยน์ตาสีเขียวสดเหลือบหันกลับไปมอง

     

    เป็นจังหวะเดียวกับที่คมขวานมันปลาบฟาดเข้าที่ลำคอขาวซีดนั้นอย่างรุนแรง...ส่งผลให้ศีรษะที่ถูกปกคลุมด้วยเรือนผมสีแดงสดกระเด็นหลุดออกไป ทิ้งไว้แต่เพียงร่างไร้หัวที่มีเลือดล้นทะลักจากลำคอลงสู่พื้นจนเจิ่งนองราวธารน้ำ ย้อมผืนดินบริเวณนั้นด้วยสีโลหิต

    เพชฌฆาตหนุ่มร่างกำยำหอบเล็กน้อย ทว่านัยน์ตาสีน้ำเงินจางกลับสะท้อนแววสะใจจนถึงขีดสุด มือหนาปาดเลือดที่กระเด็นมาโดนใบหน้าอย่างไม่แยแส....

     

    และทันใดนั้น แพทริเซียก็สะดุ้งตื่นจากห้วงนิทรา ร่างเล็กในชุดกระโปรงลุกขึ้นนั่งพร้อมอาการหอบฮักราวเพิ่งออกกำลังกายมาอย่างหนักหน่วง

     

    นั่นคือความฝันงั้นเหรอ

    ไม่สิ...ขอให้ภาพพวกนั้นเป็นแค่ความฝันจริงๆเถอะ

     

    นัยน์ตาสีอเมทิสต์ก้มลงมองมือทั้งสองข้างที่สั่นระริกพลางรู้สึกถึงจังหวะหัวใจที่เต้นเร็วราวกำลังจะหลุดออกจากอก ภาพของทะเลเลือดในความฝันเมื่อครู่ยังคงติดตาจนทำให้เด็กหญิงไม่อยากที่จะลุกไปไหน

    “ตื่นแล้วงั้นหรือ...แพทริเซีย”เด็กชายผู้นอนอยู่ด้านข้างเอ่ยทักด้วยท่าทีงัวเงีย นัยน์ตาสีฟ้าสดทั้งสองข้างยังคงถูกซ่อนอยู่ใต้แพขนตาสีทองพิสุทธิ์

    “ใช่ เมื่อกี้เอง”ความรู้สึกราวกับถูกดูดพลังงานจากเรื่องที่เจอมาตลอดค่ำคืนทำให้แพทริเซียยากที่จะปกปิดความเหนื่อยล้าในน้ำเสียงเอาไว้ได้

    “เจ้ารู้สึกไม่สบายใจใช่หรือไม่ เรารู้สึกถึงความเครียดผิดปกติในน้ำเสียงของตัวเจ้า”แม้จะเพิ่งตื่นจากฝันดีมาได้ไม่นาน ทว่าความวิตกก็ได้เริ่มครอบงำอัศมิตาอีกครั้งเมื่อสัมผัสได้ถึงความผิดแปลกในตัวของเธอ มือผอมบางสัมผัสถึงความนุ่มของผืนผ้าห่มก่อนจะเลื่อนไปยังมือนุ่มเนียนที่บัดนี้มีเหงื่อซึมจนชื้นแฉะ

    “ก็ไม่เท่าไหร่หรอก...”รอยยิ้มแห้งๆปรากฏขึ้นด้วยรู้ว่าตนคงมิอาจกลบเกลื่อนความรู้สึกในขณะนี้กับเด็กชายผู้มีโสตสัมผัสดีกว่าผู้อื่นได้ทั้งหมด บทสนทนาของโธมัสและหญิงสาวเจ้าของโรงแรมปรากฏขึ้นในหัวอีกครั้ง"แค่คิดว่าตอนนี้เวร่าอาจอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดีเท่าไหร่...คงเป็นเพราะเรื่องนั้นเลยฝันร้ายขึ้นมาน่ะ"

    “เจ้าเป็นห่วงนางใช่หรือไม่...อย่างไรเสียแม้มิเคยพบ ทว่านางก็ยังคงเป็นเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์เดียวกับเจ้า”ร่างผอมบางยันตัวลุกขึ้นนั่งพร้อมกับมือข้างที่จับอีกฝ่ายบีบแน่นขึ้นเล็กน้อย

    “ก็ใช่อยู่หรอก...”ภาพของความเลือดเย็นในดวงตาสีน้ำเงินจางที่ได้พบเห็นในช่วงดึกสงัดเป็นผลให้เด็กหญิงคิดจริงจังกับการตามหาตัวเวร่าขึ้นกว่าเดิม”ยังไงเราก็ควรจะเร่งมือหน่อยแล้ว ถ้าหาตัวเวร่าเจอภายในวันสองวันนี้จะเป็นเรื่องที่ดีมาก”น้ำเสียงใสฟังดูหนักแน่นและมั่นคงกว่าทุกครั้ง ราวกับกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ฉุกเฉิน

    สัญชาตญาณการระแวดระวังภัยของเด็กชายตาบอดที่ตื่นตัวตลอดเวลาจับสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงไปราวเป็นคนละคนของเด็กหญิงด้านข้าง เป็นผลให้เครื่องหน้างดงามฉายความประหลาดใจออกมาเล็กน้อย

    “แต่ก่อนอื่นเปลี่ยนชุดกันเถอะ จะได้ลงไปกินอาหารเช้าด้วย”แพทริเซียพยายามเบี่ยงความสนใจของตนออกจากความเครียดที่ได้เผชิญ ร่างเล็กเดินตรงไปยังกระเป๋าก่อนจะก้มลงเปิดและหยิบชุดเสื้อผ้าสำหรับทั้งสองคนออกมา แขนข้างซ้ายหนีบเสื้อผ้าของตัวเองไว้ก่อนจะใช้มือขวาหยิบเสื้อและกางเกงส่งให้อัศมิตา “เอ้า นี่ของเธอ”

    มือผอมบางสัมผัสความนุ่มของผ้าเนื้อดีขณะที่รับเสื้อผ้ามาจากอีกฝ่ายแล้ววางไว้ข้างตัว อัศมิตาค่อยๆถอดเสื้อผ้าออกจนเปลือยเปล่า เผยให้เห็นร่างกายที่มีน้ำมีนวลกว่าครั้งแรกที่ได้พบกันเป็นอย่างมาก ก่อนที่จะสวมเสื้อและกางเกงชุดใหม่ทับไปบนร่างกาย

    ทางด้านแพทริเซียที่หันหน้าไปทางอื่นตั้งแต่เด็กชายตาบอดเริ่มถอดเสื้อก็เริ่มจัดการเครื่องแต่งกายของตนบ้าง ชุดกระโปรงสำหรับใส่นอนถูกถอดออกและแทนที่ด้วยชุดกระโปรงสีม่วงอ่อนที่เงียบง่ายทว่าขับเน้นให้สีอเมทิสต์ของเรือนผมและนัยน์ตาโดดเด่นยิ่งขึ้น

    “ใส่ชุดนี้แล้วเธอดูดีจังนะ”เสียงใสออกปากชมเมื่อหันกลับไปมองยังเด็กชายที่แต่งตัวเสร็จเรียบร้อยก่อนที่ตัวเธอจะเดินไปหยุดอยู่ที่หน้ากระจกแล้วใช้หวีแปรงสางเส้นผมตรงสลวย

    “จริงหรือ...”อัศมิตาเอ่ยขึ้นอย่างปลื้มปิติ แก้มทั้งสองข้างเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อคล้ายผลมะเดื่อสุกขณะยิ้มฝีปากแย้มออกจนตาปิด

    “ก็จริงน่ะสิ...”เสียงหัวเราะเบาๆดังขึ้นในลำคอราวกับรอยยิ้มอันบริสุทธิ์ของเด็กชายช่วยกล่อมเกลาความตึงเครียดในจิตใจไปได้ส่วนหนึ่ง ร่างในชุดกระโปรงสำรวจความเรียบร้อยของตัวเองเป็นขั้นสุดท้ายก่อนขาเรียวยาวจะก้าวไปหาอัศมิตา

    “ไปกันเถอะ...”เสียงใสเอ่ยชักชวนก่อนที่มือบอบบางราวแก้วกระจกจะสัมผัสกับมือของตัวเธอเมื่อเด็กหญิงจับมืออีกฝ่ายไว้เป็นเชิงนำทาง

     

    ตลอดเส้นทางการเดินจนกระทั่งมาถึงส่วนขายอาหารของโรงแรมคือความเงียบสงัดของเด็กน้อยทั้งสองคนด้วยไม่มีใครเริ่มเอ่ยปากพูดขึ้นมาก่อน ขณะโสตสัมผัสของเด็กชายตาบอดรับรู้ถึงจำนวนของผู้คนที่ลดลงจากเมื่อเย็นวานเป็นอย่างมาก

    “ผู้คนที่มาชุมนุมกันเมื่อวานหายไปไหนกันเสียหมดเล่า...”คิ้วสีทองเลิกขึ้นพลางสูดกลิ่นอายของแสงแดดในยามเช้าที่โชยเข้ามาปะปนกับกลิ่นของอาหาร

    “ถ้าไม่หลับอุตุ...”เสียงใสชะงักลงด้วยนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเย็นวานได้ คำว่าเพราะเมาค้างที่ตั้งใจจะพูดต่อจึงถูกกลืนลงท้องไป”ก็อาจจะไปทำธุระของตัวเองหรือหามื้อเช้าข้างนอกทานล่ะมั้ง วันที่เหลือในฝรั่งเศสของฉันกับเธอก็เป็นแบบนั้นเหมือนกันนี่”แพทริเซียหวนนึกถึงเหตุการณ์หลังเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้นในวันที่สองที่พวกตนมาถึงฝรั่งเศส “แต่ก่อนอื่นเราไปหาที่นั่งกันก่อนจะดีกว่า”

    “คงจะเป็นเช่นนั้น”ใบหน้างามพยักลงแสดงอาการเห็นด้วยก่อนที่มือซ้ายที่เกาะกุมเด็กหญิงอยู่จะรู้สึกถึงแรงดึงจากจังหวะของการก้าวเดินที่เริ่มต้นขึ้น และไม่นานก็หยุดลงที่โต๊ะตัวที่ถัดจากด้านหน้าพื้นที่ขายอาหารไปไม่ไกลนัก

    “ฉันคิดว่าเราได้ทำเลดีๆแล้ว...”เสียงของแพทริเซียซึ่งเอ่ยขึ้นในระหว่างที่เลื่อนมือเด็กชายสัมผัสกับขอบโต๊ะเพื่อการกะระยะห่างนั้นราวกับมีความหมายอื่นแฝงอยู่ ประกายในดวงตาสีอเมทิสต์ที่เลื่อนไปมองยังประตูทางเข้าดูราวกับแมวที่อดทนรอคอยการตะครุบเหยื่อ”เดี๋ยวฉันจะไปซื้ออาหารก่อน เธออยากจะมาด้วยกันไหม”

    “มิเป็นไร เราจักเฝ้าที่แห่งนี้ไว้ให้”เด็กชายส่ายศีรษะเล็กน้อย เครื่องหน้างดงามแสดงความปรารถนาที่จะช่วยเหลือเพื่อนของตน”เรารับประทานสิ่งใดก็ย่อมได้...ตามแต่ใจเจ้าจะซื้อหามาเถิด”

    ความเงียบเข้าครอบคลุมบรรยากาศรอบตัวเด็กน้อยทั้งสองอีกครั้ง หลังจากคำพูดเล็กน้อยที่แสดงถึงการกลับมาของเด็กหญิงพร้อมกับการบอกชนิดอาหารและเลื่อนจานมาไว้ตรงหน้าอีกฝ่ายก็มีเพียงเสียงมีดกับส้อมที่กระทบจานเป็นระยะตามจังหวะการรับประทานเท่านั้น

    แม้อาหารในจานจะยังคงไว้ซึ่งความเอร็ดอร่อยเช่นเดิม ทว่าความอึดอัดในอกเป็นผลให้อัศมิตามิได้ใส่ใจที่จะรับรู้รสชาติอาหารมากนัก

     

    ปกติแพทริเซียมิใช่ผู้ที่มีจังหวะในการรับประทานอาหารรวดเร็วถึงเพียงนี้ แปลกดีจริง

     นับจากในเช้านี้มานางก็มีท่าทีเปลี่ยนไปเป็นอย่างมากราวกับประสบภัยร้ายที่จำต้องเฝ้าระวัง

    ทว่าในคืนวานนางยังคงเป็นปกติอยู่ เพราะเหตุใดกัน

     

    เสียงอุทานแผ่วเบาในลำคอของแพทริเซียดึงความสนใจจากอัศมิตาขณะนัยน์ตาส่องประกายวาววับเมื่อจับจ้องไปยังเรือนผมสีส้มราวเปลวเพลิงของชายหนุ่มผู้เข้ามาใหม่ ร่างสูงก้าวฉับๆไปสั่งอาหารก่อนจะตรงมาที่โต๊ะซึ่งไม่ห่างกันด้วยกิริยารีบร้อนที่ดูราวกับพยายามกดข่มไว้มิให้เป็นที่สังเกตจนเกินไป

     

    แปลกแฮะ คนที่ชื่อโธมัสไม่ได้มาด้วยกันเหรอ

    แล้วทำไมเขาถึงทำเหมือนไม่อยากให้ใครตามตัวเองมาได้อย่างนั้นแหละ

    ถ้าจะตามหาก้างขวางคอในบทสนทนาเมื่อคืน...การรอเพื่อนด้วยจะไม่ดีกว่าหรือไง

     

    ความระแวดระวังตนเตือนให้เด็กหญิงกลับมาสนใจอาหารที่ยังหลงเหลือในจานพลางเหลือบไปมองชายหนุ่มผิวขาวเป็นระยะ ความรู้สึกไม่ชอบใจเป็นผลให้รู้สึกราวกับถูกบีบรัดในอกเมื่อคิดได้ว่าอีกฝ่ายเป็นเพื่อนกับเจ้าของบทสนทนาอันละโมบโลภมากในยามค่ำคืน

    จากชายหนุ่มผู้เงียบขรึมที่ได้เจอในมื้อค่ำ เวลานี้สีหน้าโรเบิร์ตดูราวกับแฝงไปด้วยความเครียดประหลาด มือหนาทั้งสองข้างทำงานประสานพร้อมกับการบดเคี้ยวอย่างรวดเร็วคล้ายไม่คิดที่จะสนใจรสชาติอาหารอีกต่อไป และสุดท้ายก็เหลือเพียงความว่างเปล่าในภาชนะก่อนที่ร่างสูงจะหยัดตัวลุกขึ้นยืน

    เด็กหญิงในชุดกระโปรงสีม่วงอ่อนพยายามแสดงความเป็นมิตรอย่างจริงใจออกมาทางสีหน้าที่สุดเท่าที่ตนจะทำได้พร้อมเอ่ยทักราวกับเพิ่งสังเกตเห็น”อ้าว! คุณโรเบิร์ตนี่นา....จะไปไหนเหรอคะ ทำไมดูรีบร้อนจังเลย”

    ชายหนุ่มชะงักกึก นัยน์ตาสีฟ้าเทาที่จางจนเกือบเป็นสีขาวสะท้อนแววระแวดระวังชั่วครู่ขณะหันมามองยังต้นเสียง”แค่ไปหาคนรู้จักแถวนี้...และมันไม่ได้เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพวกเจ้า”คิ้วคมขมวดลงเล็กน้อยก่อนจะเบือนหน้าเดินหนีคล้ายไม่ต้องการสนใจอีกต่อไป

     “ไปซะแล้วสิ...”เสียงใสบ่นอุบอิบในลำคอก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าตนมัวแต่จดจ่ออยู่กับเป้าหมายจนเกือบจะลืมนึกถึงเด็กชายด้านข้างไปเสียสนิท”จริงสิ อาหารเช้านี้เป็นยังไงบ้าง...”แพทริเซียพยายามหาเรื่องชวนคุยขณะความรู้สึกผิดพุ่งขึ้นในจิตใจจนอึดอัด

    “รสชาติของอาหารมิได้ด้อยไปกว่าในมื้อเย็น...”เจ้าของเรือนผมสีทองตัดสั้นเงยขึ้นมาทางต้นเสียงด้วยรอยยิ้มราวกับลูกแมวที่ได้เจอกับเจ้าของอีกครั้งหลังกลับมาจากการทำงาน ร่างผอมบางเลื่อนตัวเข้าไปใกล้เด็กหญิงก่อนเอ่ยกระซิบถามอย่างแผ่วเบา”ทว่าตั้งแต่ที่เราตื่นขึ้นมาในเช้าวันนี้....เจ้ามีท่าทีเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก”

    “...ราวกับได้ค้นพบบางสิ่งที่อันตรายและเรายังมิได้ล่วงรู้ ช่วยบอกเราถึงสาเหตุของสิ่งนั้นได้หรือไม่”

    ดวงตาของแพทริเซียเหลือบมองหญิงสาวเรือนผมสีบลอนด์ซีดที่อยู่บริเวณส่วนขายอาหารฉายแววหวาดระแวง”ได้สิ แต่เอาไว้ตอนที่เราออกจากโรงแรมก่อนแล้วกันนะ ฉันคิดว่าไม่ควรเล่าที่นี่”

    ความรู้สึกไม่ปลอดภัยที่ปรากฏในน้ำเสียงใสยิ่งกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นของอัศมิตาให้เพิ่มพูนเป็นเท่าทวี หากแต่กล้ามเนื้อบนใบหน้าถูกเหนี่ยวรั้งมิให้เอ่ยสิ่งใดออกไปด้วยตระหนักถึงผลลัพธ์ที่อาจเกิดขึ้นตามมา เจ้าของเรือนผมสีทองพิสุทธิ์จึงทำเพียงส่งเสียงตอบรับสั้นๆและหันกลับมาจัดการอาหารชิ้นสุดท้ายของตนต่อ

    และแทบจะในทันทีที่เสียงส้อมกระทบกับขอบจาน ร่างผอมสูงเก้งก้างก็ปรากฏตัวขึ้นในสายตาของเด็กหญิง ว่องไวและเงียบเชียบราวสายลม มือโปนโบกมาทางเด็กน้อยทั้งสองเป็นการทักทาย

    “แอนน์!”แพทริเซียโบกมือตอบน้อยๆ รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนเฉดสีชมพูของริมฝีปากคล้ายนึกขันรอยยิ้มที่กว้างจนเห็นฟันสีขาวสะอาดของอีกฝ่ายพร้อมกับทอดมองร่างสูงที่เคลื่อนตัวไปตามโต๊ะต่างๆอย่างคล่องแคล่ว มือขวาที่ใช้ในการเก็บภาชนะประสานร่วมกับมือซ้ายที่ประคองสิ่งของในมือไว้อย่างชำนิชำนาญ

    เรือนผมสีบลอนด์แดงขยับตามการเคลื่อนไหวขณะที่ขาเรียวยาวก้าวมาทางเด็กน้อยทั้งสองพร้อมกับภาชนะเต็มสองมือ”พวกเจ้าเป็นยังไงกันบ้าง เมื่อคืนหลับสบายดีไหม”

    เด็กชายตาบอดพยักหน้าอย่างกระตือรือร้นขณะรอยยิ้มใสซื่อฉายขึ้นเมื่อนึกถึงความฝันในคืนที่ผ่านมา”เราหลับสนิทดี และบังเกิดความฝันว่าตัวเราได้อยู่ท่ามกลางจินเจอร์และแมวนับสิบตัว...เส้นขนเหล่านั้นนุ่มอย่างที่เราแทบมิเคยได้สัมผัสมาก่อน”

    แอนน์หัวเราะเล็กน้อยพร้อมประกายเอ็นดูปรากฏขึ้นในดวงตาสีฟ้าเทาคล้ายกำลังจ้องมองน้องชายร่วมสายเลือด ก่อนเด็กหญิงร่างสูงชะงักไปชั่วครู่ จังหวะของเสียงที่ห้วนสั้นกว่าเด็กผู้หญิงคนอื่นจะเอ่ยถามราวเพิ่งนึกขึ้นได้”ขอโทษที่ข้าถามอะไรแปลกๆ แต่ว่าคนตาบอดเช่นเจ้าฝันได้งั้นหรือ แล้วในความฝันเหล่านั้น....เจ้าเคยมองเห็นสิ่งใดบ้างหรือไม่”

    อัศมิตารู้สึกราวถูกหนามคมกริบเสียบทะลุหัวใจเข้าอย่างจัง เสียงเล็กอ่อนแรงลงพร้อมกับรอยยิ้มที่เปลี่ยนไปเป็นความเศร้าคล้ายผลงานจิตรกรรมชิ้นเอก”ใช่...เราฝันได้ ทว่าเรารับรู้แต่เพียงสิ่งที่ประสาทสัมผัสของเราสามารถเข้าถึง”เด็กชายหวนนึกถึงความมืดที่อยู่เคียงคู่กับชีวิตของตนตั้งแต่วันแรกที่ได้ถือกำเนิดขึ้นมา ความมืดที่ไม่เคยลาจากไปไหนแม้ว่าจะลืมตาขึ้นหรือปิดตาลง สิ่งที่แบ่งแยกตัวเขากับเหล่าผู้คนที่อยู่ในแสงสว่าง

    “เพราะเช่นนั้นเราจึงมิเคยได้เห็นสิ่งใด....ทั้งในโลกแห่งความเป็นจริงและมายาในความฝัน”

    ศีรษะที่ถูกปกคลุมด้วยเรือนผมสีบลอนด์แดงก้มลงด้วยสัมผัสได้ว่าเรื่องราวที่ตนพูดไปกระตุ้นปมของอีกฝ่ายเข้า”ข-ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ้ารู้สึกไม่ดี”

    ใบหน้างดงามเงยขึ้นหาทิศของต้นเสียงซึ่งสูงกว่า“เรื่องนี้เป็นเพราะความอ่อนแอในจิตของตัวเราเองเท่านั้น ท่านแอนน์อย่าได้วิตกไปเลย”มือผอมบางทั้งสองข้างโบกไปมาเป็นเครื่องแสดงความหนักแน่นของคำพูด

    “เข้าใจแล้วล่ะ”ลมในปอดถูกผ่อนออกมาพร้อมกับความโล่งอกที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าตกกระก่อนจะเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มจางๆ”แล้วเจ้าล่ะแพทริเซีย เมื่อกี้ยังไม่ได้คอบคำถามของข้าเลยนา”

    เจตนาต้องการเปลี่ยนเรื่องฉายชัดในดวงตากลมโตของอีกฝ่ายจนเป็นผลให้เจ้าของชื่อเมื่อครู่ยิ้มออกมาอย่างรู้ทัน”ก็หลับสบายดีอยู่...”เสียงใสเว้นวรรคก่อนหรี่ลงพอให้ได้ยินกันเพียงสามคน”สักครึ่งคืนล่ะนะ”ประกายในดวงตาสีอเมทิสต์แฝงความนัยเอาไว้ขณะสบตาของร่างสูงก่อนเบนไปยังประตูคล้ายต้องการสื่อสารโดยไม่ใช้คำพูด

     

    ท่าทางแบบนั้น...คงมีเรื่องที่พูดตรงนี้ไม่ได้สินะ

     

    แอนน์พยักหน้าเร็วๆหนึ่งครั้งก่อนเอ่ยด้วยเสียงกระซิบพร้อมกับเปลี่ยนตำแหน่งมือเล็กน้อยเพื่อคลายความรู้สึกเมื่อยของตน”ตรงแถวๆใต้บันไดจะมีมุมที่เป็นห้องเก็บของ...ไปรอก่อนได้เลย”นัยน์ตาสีฟ้าเทาหันไปหาผู้เป็นมารดาที่ยืนกอดอกมองมาทางตัวเธอด้วยสายตาไม่พอใจ”ถ้าอย่างนั้นข้าเอาจานพวกนี้ไปเก็บก่อนแล้วกันนะ พวกเจ้ากินหมดแล้วนี่...จะฝากไปด้วยไหม”

    “รบกวนด้วย”เสียงเล็กเอ่ยอย่างสุภาพคล้ายการไหว้วาน มือผอมบางของอัศมิตายื่นออกมาตรงหน้าและควานเปะปะ เมื่อสัมผัสถึงเนื้อวัตถุที่โค้งมนของขอบจานได้แล้วจึงยกขึ้นส่งไปยังทิศทางของแอนน์ก่อนจะรู้สึกถึงแรงที่ดึงจานให้พ้นจากนิ้วมือ

    สายตาของแอนน์มองเด็กชายอายุน้อยกว่าด้วยความเอ็นดูพร้อมกับมือปูดโปนข้างขวายื่นไปรับจานจากเด็กหญิงผมสีม่วง”เจอกัน”เธอเอ่ยสั้นๆก่อนขาเรียวยาวจะพาร่างไปยังประตูส่วนขายอาหารอย่างว่องไวคล้ายสายลม

    “เธอไปแล้ว พวกเราก็ไปกันเถอะ”เสียงใสราวกระดิ่งลมเอ่ยพร้อมกับสัมผัสอ่อนโยนที่แตะลงมาหลังฝ่ามือของเด็กชายตาบอด แพทริเซียออกแรงดึงเล็กน้อยพอเป็นเชิงให้อีกฝ่ายลุกขึ้นขณะที่ขาของตนเลื่อนพ้นจากเก้าอี้

    อัศมิตาเดินไปตามทิศของผู้นำทางก้าวแล้วก้าวเล่าลัดเลาะไประหว่างโต๊ะและทางเดินจนกระทั่งรู้สึกได้ว่าตนผ่านพ้นจากส่วนของห้องอาหารกลับเข้าสู่ทางเดินยาวอีกครั้งหนึ่ง

    เราคิดว่าท่านแอนน์เป็นผู้ที่มีลักษณะคล่องแคล่วว่องไวยิ่งนักน้ำเสียงของอัศมิตาเปี่ยมไปด้วยความชื่นชมขณะที่นึกถึงจังหวะเสียงฝีเท้าอันรวดเร็วและแผ่วเบาราวสายลม”ทั้งฝีเท้า การก้าวเดิน....และการพูดจาที่คล้ายคลึงบุรุษ”

    เด็กหญิงหัวเราะคิก“นั่นสินะ”ใบหน้างดงามดั่งภูตพรายพยักหน้าสั้นๆพร้อมกับข้อนิ้วข้างที่ว่างแตะลงบนริมฝีปากระหว่างใช้ความคิด”ที่เดินไวคงเป็นเพราะลักษณะงานที่ทำเน้นความรวดเร็วในการบริการมากกว่าพวกโรงแรมหรูๆล่ะมั้ง...ลองนึกถึงตอนเย็นที่แขกเยอะ ถ้าขืนแอนน์ค่อยๆเดินไปทีละโต๊ะก็คงจะเสียเวลาจนทำให้ลูกค้าหงุดหงิดกันพอดี”

     

    แถมแม่แอนน์น่าจะอยากได้ม้างานที่ทำอะไรคล่องๆมากกว่ากุลสตรีที่เรียบร้อยทุกกระเบียดนิ้วด้วย.....

     

    ศีรษะที่ถูกปกคลุมด้วยเรือนผมสีทองพยักหน้าค่อยๆคล้ายพยายามทำความเข้าใจ”คงจะเป็นดังเช่นที่เจ้าว่า”

    “ส่วนเรื่องคำพูด...ฉันมองว่าเป็นความเคยชินด้วยส่วนนึง สังเกตว่าคนที่ทำอะไรเร็วแบบคนทำงานมาตลอด จังหวะของคำพูดมักจะห้วนๆเร็วๆตามไปด้วย...ถ้าจะให้พูดจาค่อยๆแบบกุลสตรีคงต้องใช้เวลาปรับตัวล่ะนะ”ริมฝีปากของแพทริเซียคลี่ออกเล็กน้อยให้กับรอยยิ้มบนริมฝีปากสีชมพูที่ทำให้หวนนึกถึงรอยยิ้มหนึ่งในความทรงจำ”อย่างถ้าให้เธอที่จังหวะการพูดนุ่มๆไปพูดสั้นห้วนแบบแอนน์ก็ไม่ชินใช่ไหมล่ะ”

    “เรามิสามารถนึกภาพตนเองใช้จังหวะการพูดเช่นนั้นได้”พลันมือเล็กโบกแก้ตัวเป็นพัลวันคล้ายเด็กที่ถูกจับได้ว่าก่อเรื่องลงไปเมื่อได้ยินเสียงหืมในลำคออีกฝ่าย ในหัวพลันนึกถึงความหมายอีกอย่างที่อีกฝ่ายอาจเข้าใจผิดได้”ร-เรามิได้มีเจตนาตำหนินาง ทว่าท่านแม่ฝึกให้เราใช้จังหวะการพูดเช่นนี้มาโดยตลอด...เราจึงมิคุ้นชินกับการพูดในจังหวะเช่นนี้ด้วยตนเอง”

    “เธอนี่นะ ฉันยังไม่ได้ว่าอะไรเลยสักคำ”ความเอ็นดูบังเกิดขึ้นขณะมองสีหน้าอีกฝ่ายที่ซีดขาวด้วยความวิตกกังวล พลันมือเนียนขยี้เรือนผมสีทองพิสุทธิ์อย่างแผ่วเบา”เอาจริงๆที่เธอบอกว่าแอนน์พูดคล้ายผู้ชาย คงเป็นเพราะเนื้อเสียงของเธอคนนั้นค่อนข้างทุ้มด้วยสินะ พอมารวมกับจังหวะการพูดห้วนๆแล้วก็เลยยิ่งคล้ายเข้าไปใหญ่”แพทริเซียดึงมือของเด็กชายตาบอดให้ถอยหลบร่างสูงที่เปิดประตูออกมา

    “เจ้าสังเกตเรื่องนั้นได้เช่นกันหรือ...”คิ้วเรียวเลิกขึ้นหลังจากก้าวถอยฉากหลบไปสองสามก้าว เสียงของสายลมหวีดหวิวที่ใกล้เข้ามาเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าพวกเขาเข้าใกล้บันไดมากขึ้นทุกขณะ

    “ก็นะ...ถึงอาจจะไม่ชัดเจนเท่าที่เธอสังเกตก็เถอะ”นัยน์ตาสีอเมทิสต์มองไปทางมุมบันไดอันเป็นพื้นที่สงบเงียบพอให้ยืนคุยกันได้ ถัดเข้าไปคือห้องขนาดเล็กคล้ายห้องเก็บของที่ถูกลั่นกุญแจปิดสนิท”มีคนเคยบอกฉันว่าสิ่งต่าง ๆ บนโลกก็เหมือนกับหนังสือเล่มนึง เธอจะได้อะไรมากกว่าที่คิดถ้าเธอมองลึกลงไป สังเกตถึงรายละเอียดปลีกย่อยที่อาจให้ข้อมูลกับเธอได้ในขณะที่สิ่งนั้นไม่รู้ถึงการเผยข้อมูลของตัวเองด้วยซ้ำ”

    เสียงใสหัวเราะนิดๆเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนกำลังหลุดเข้าไปในโลกแห่งข้อมูลอีกครั้ง”แต่ฉันยังไม่ถึงขั้นอ่านคนออกแบบละเอียดถี่ยิบหรอกนะ ถึงจะพยายามอยู่ก็เถอะ...ยิ่งรู้ข้อมูลมากเท่าไหร่ก็ยิ่งปลอดภัยเท่านั้น”

     

    ไม่นานเกินรอ ร่างผอมเก้งก้างในชุดกระโปรงสีทึบทึมก็ตามมาสมทบกับเด็กน้อยทั้งสอง จังหวะการพูดที่เป็นเอกลักษณ์ดึงความสนใจของผู้ที่กำลังสนทนากันมารวมที่จุดเดียว”แม่ใช้งานข้าเสียหนักเลยวันนี้ ยังดีที่พอจะมีเวลาปลีกตัวออกมาได้...”ไหล่ที่กว้างกว่าเด็กผู้หญิงวัยเดียวกันเล็กน้อยยักขึ้นพร้อมกับการถอนหายใจคล้ายผ่านสมรภูมิรบมาหมาดๆ มือปูดโปนล้วงกุญแจสีถลอกออกมาจากกระเป๋ากระโปรง

    ”ถึงตรงนี้จะค่อนข้างเงียบ...แต่ข้าว่าปลอดภัยไว้ก่อนคงจะดีที่สุด”นิ้วมือหยาบกร้านเสียบกุญแจเข้าที่รูก่อนบิดไขให้เกิดเสียงกริ๊กแผ่วเบา มือซ้ายของเธอโบกเป็นเชิงให้แพทริเซียนำทางเด็กชายตาบอดเข้าไป และหลังจากนั้นเสียงลงกลอนประตูก็ดังขึ้นในโสตประสาทของอัศมิตา”เอาล่ะ เจ้าคงมีเรื่องที่ไม่สามารถพูดได้ต่อหน้าผู้อื่นอยู่ใช่ไหม แพทริเซีย”

    แม้จะมีช่องว่างพอให้อากาศและแสงสว่างจากบานหน้าต่างใกล้ผ่านเข้ามา ทว่าบรรยากาศห้องเก็บของแห่งนี้ก็ยังไม่สามารถหนีไปจากกลิ่นไม่พึงประสงค์นัก แพทริเซียจึงตัดสินใจรวบรัดเข้าประเด็นโดยไว”ประมาณนั้น...เธอพอจะมีข้อมูลเกี่ยวกับคนที่ชื่อโธมัสกับโรเบิร์ตบ้างไหม”

    “ทำไมถึงเป็นพวกเขา...”เสียงห้วนสั้นเอ่ยถาม ก่อนนัยน์ตาสีฟ้าเทาจะเรืองประกายขึ้นเมื่อนึกข้อสันนิษฐานได้”เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับการที่ข้าขอให้เจ้าตามหาตัวเวร่าสินะ”

     

    ก็เกี่ยวน่ะสิ

     

    ภาพนัยน์ตาสีน้ำเงินจางอันเคลือบไปด้วยความเย็นชาที่เห็นในยามดึกสงัดปรากฏขึ้นเตือนความจำแพทริเซียอีกครั้งจนในอกถูกบีบรัดจากความอึดอัด ร่างในชุดกระโปรงใช้เวลาใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก่อนตัดสินใจเลี่ยงที่จะเล่าเกี่ยวกับบทสนทนาเหล่านั้น”ใช่ ลองคิดดูนะว่าพวกเขาเป็นช่างไม้ที่ต้องการไม้ในป่าแห่งภูตพราย แล้วเวร่าเองก็คัดค้านเกี่ยวกับเรื่องนี้...ก็ถือเป็นการขัดขวางพวกเขาอย่างนึง”เสียงใสเปลี่ยนไปเป็นจังหวะเคร่งเครียดและจริงจังยิ่งกว่าเดิม

    “แล้วถ้าเวร่าเกิดหายตัวไป หรือในกรณีที่เลวร้ายกว่านั้น...ถ้าเธอตายขึ้นมา ก็เท่ากับพวกเขาได้ผลประโยชน์เต็มๆเลยล่ะ”

    ร่างผอมเก้งก้างขนลุกวาบ แม้ตนเองจะไม่พิศวาสการเข้ามาหาผลประโยชน์จากป่าเก่าแก่แห่งนี้ ทว่าท่าทางไร้พิษสงของโธมัสทำให้เธอไม่เคยคิดเชื่อมโยงเรื่องทั้งสองเข้าด้วยกัน”เข้าใจแล้ว สิ่งที่เจ้าว่ามามันก็มีโอกาสเกิดขึ้นได้จริง”แอนน์สางปลายผมหยักศกที่ถูกมัดรวบเข้าด้วยกันอย่างลวกๆ นัยน์ตาสีฟ้าเลื่อนไปจับยังแสงที่ลอดผ่านช่องของบานประตู”เท่าที่ข้าจำได้ คนที่ชื่อโรเบิร์ตเพิ่งจะมาที่นี่ครั้งแรก...ข้าไม่เคยเห็นเขามาก่อน ส่วนโธมัสเคยมาพักที่นี่ราวๆหนึ่งหรือสองเดือนที่แล้ว”

    เสียงทุ้มห้าวคล้ายเด็กผู้ชายเว้นจังหวะไปชั่วครู่ ริมฝีปากบางเม้มลงขณะรีดเค้นความทรงจำจากสมอง”พวกเขาสนิทสนมกันดีกับคนกลุ่มใหญ่ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นช่างไม้เหมือนกัน แล้วคนกลุ่มนั้นก็มาถึงที่นี่ราวๆสี่ห้าวันก่อน อ้อ แล้วก็...ข้าไม่รู้ว่าเรื่องนี้จะเป็นประโยชน์หรือเปล่า แต่โธมัสตื่นค่อนข้างสายบ่อยๆในครั้งก่อนที่มาพัก วันนี้ข้าเองก็ยังไม่ได้เห็นเขาเลย”

     

    ช่างไม้กลุ่มใหญ่...มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นพวกเดียวกัน

    และกำลังคนในการตามหาก้างขวางคอที่ว่าก็อาจเป็นพวกนี้

     

    แต่โรเบิร์ตล่ะ….

    เขาไม่ได้มาด้วยในครั้งก่อนก็จริง แต่ท่าทางรีบจนมีพิรุธหมายความว่ายังไงต้องการอะไรกันแน่

    หรือว่าเขาอาจจะอยากไปจัดการให้เสร็จ ๆ เลยก็ได้

     

    ใบหน้างดงามของเด็กหญิงตัวน้อยเผือดซีดลงแทบไร้สีเลือด นัยน์ตาสีอเมทิสต์อาศัยแสงสว่างที่เล็ดลอดเข้ามาทางช่องบานประตูกวาดมองภาพเงาเลือนรางของอุปกรณ์ทำความสะอาดรอบห้องเพื่อสงบใจตนเองลง”เข้าใจล่ะ”มือข้างที่สัมผัสกับเด็กชายตาบอดบีบแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว”แล้วเธอพอจะบอกฉันได้ไหมว่าบ้านของเวร่าอยู่หลังไหน”

    “ได้สิ”เสียงที่ไม่อ่อนหวานนักพลันกระตือรือร้นขึ้นมาทันตาเมื่อเอ่ยถึงเพื่อนสนิทที่สุดของตน”ออกจากโรงแรมแล้วลงไปที่ตัวหมู่บ้าน เดินผ่านแนวถนนเข้าไปเรื่อย ๆ พอเกือบถึงท้ายหมู่บ้านให้เลี้ยวซ้ายตามเส้นทางที่แยกออกมา บ้านของเวร่าอยู่ไม่ไกลจากชายป่าแห่งภูตพราย แยกจากชาวบ้านคนอื่น ๆ”

    แพทริเซียดูราวกับนกฮูกตัวใหญ่ที่รออย่างสงบนิ่งจนกระทั่งแอนน์พูดจบ”ขอบคุณสำหรับข้อมูลมาก...เรื่องที่จะคุยมีเท่านี้ล่ะ เดี๋ยวฉันกับอัศมิตาจะลองออกไปตามหาเวร่าดู แล้วเธออยากจะไปด้วยไหม”

    “แน่นอนว่าอยาก....”มือหยาบกร้านจัดการกับกลไกของกลอนก่อนออกแรงผลักให้บานประตูไม้เปิดกว้างออก”แต่ข้ามีงานให้ต้องสะสางอีกเพียบเลยล่ะ แม่คาดโทษข้าไว้หนักเพราะเมื่อวานข้าทิ้งงานออกไปตามตัวจินเจอร์...และถ้าขืนทำอีกรอบก็คงจะไม่รอดหรอก”เสียงห้าวหัวเราะแห้งๆ ข้อนิ้วปูดโปนคล้ายผู้ชายยกขึ้นทำท่าปาดลำคอขาวเนียน

    ร่างเล็กนำทางเด็กชายตาบอดข้ามพ้นประตูไม้ก่อนสูดอากาศบริสุทธิ์ภายนอกจนเต็มปอด”แปลว่าถ้าเธอทำงานที่แม่ให้เสร็จก็ยังพอจะมีโอกาสตามมาสมทบสินะ”

    “ใช่ ปกติถ้างานเสร็จ ข้าก็จะได้รับอนุญาตให้ไปข้างนอกได้...”นัยน์ตาสีฟ้าเทาคล้ายเมฆหมอกเลื่อนลงมองร่างสี่ขาปกคลุมด้วยขนหนาฟูสีส้มสดที่เดินเข้ามายังทิศทางของอัศมิตา”อ๊ะ! จินเจอร์”

    เจ้าแมวตัวโตตรงเข้าไปพันแข้งพันขาเด็กชายตาบอดพลางร้องเหมียวเบาๆเพื่อเรียกร้องความสนใจจากโสตสัมผัส พลันร่างผอมบางย่อตัวลงและใช้มือข้างที่เป็นอิสระลูบขนหนานุ่มอย่างทะนุถนอม ใบหน้าอ่อนเยาว์ที่แสดงอาการแย้มยิ้มงดงามคล้ายเทวดาตัวน้อย

    “ดูเหมือนว่ามันจะติดเจ้าเข้าจริง ๆ เสียด้วยนะอัศมิตา”ริมฝีปากบางอมยิ้ม พลันความคิดบางอย่างก็ผุดขึ้นในศีรษะของเด็กหญิง”อยากพามันไปกับพวกเจ้าด้วยหรือเปล่า”

    “เราสามารถพาจินเจอร์ออกไปด้วยได้จริง ๆ น่ะหรือ”เสียงเล็กดังขึ้นราวกับเด็กเล็กที่เพิ่งได้รับของขวัญชิ้นใหญ่ นัยน์ตากลมโตสีฟ้าสดใสคล้ายฉายแววดีใจหาใดเปรียบ

    “วันนี้ข้าเองก็งานยุ่ง ไม่มีเวลาดูแลจินเจอร์...เกิดมันหายไปแบบเมื่อวานคงจะแย่แน่ๆ”เสียงห้าวละประโยคหรือถ้ามันไปทำอะไรให้แม่ข้าโกรธอีกไว้ในใจ”ไม่ต้องห่วงหรอก จินเจอร์เป็นแมวฉลาด ถ้ามันรักใครล่ะก็จะไม่หนีหายไปแน่นอน...และข้าเชื่อว่าระหว่างนี้เจ้าคงจะดูแลมันได้”

    รอยยิ้มกว้างพลันชะงักกึกเมื่อนึกถึงข้อจำกัดของร่างกายตนเอง เสียงเล็กเอ่ยด้วยจังหวะที่ผิดไปจากเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง“ทว่าเราไม่อาจมองเห็นได้...หากคลาดกับจินเจอร์ไปจะทำเช่นไร”สายลมหวีดหวิวที่โชยจากบานหน้าต่างพัดเรือนผมสีทองพิสุทธิ์ให้ปลิวน้อยๆไปตามแรง

    มือสากกร้านดึงสายหนังร้อยลูกกระพรวนออกจากกระเป๋ากระโปรงก่อนเลื่อนลงแตะหลังฝ่ามือของร่างที่กำลังย่อตัวอยู่”ลองเอาสายนี่ผูกที่คอของจินเจอร์ดูสิ...ข้าคิดว่ามันน่าจะยอมให้เจ้าทำ”นัยน์ตาสีฟ้าเทาแฝงไว้ซึ่งความนัยน์บางอย่างขณะภาพของเด็กหญิงผมสีแดงสดที่กำลังกอดลูกแมวปรากฏขึ้นจากความทรงจำ”เวร่าให้ข้ามา แต่มันดิ้นหนีตลอดเวลาที่ข้าจะผูกให้”เสียงห้าวหัวเราะแห้งๆขณะสบกับนัยน์ตาแสนรู้สีเขียวอมเหลือง

    นิ้วผอมบางรับสายหนังเส้นเล็กมาจากอีกฝ่ายแล้วจึงเลื่อนมือไปยังแผงขนหนานุ่มบริเวณคอที่สงบนิ่งคล้ายยินยอมแต่โดยดี ร่างเล็กปล่อยมือข้างซ้ายของตนจากสัมผัสเนียนนุ่มชั่วคราวเพื่อวางสายหนังทาบกับลำคอของแมวตัวใหญ่ก่อนจะทำงานประสานกับอีกมือหนึ่งเพื่อผูกเป็นเงื่อนง่ายๆที่ตนเคยเรียนรู้มา

    พลันเสียงหัวเราะร่าเริงของชายหนุ่มผู้หนึ่งก้องดังในศีรษะของอัศมิตา ตามมาด้วยเสียงออดอ้อนจากเด็กหญิงวัยราวห้าขวบ แม้จะเยาว์วัยและยังไม่ห้วนสั้นเท่าปัจจุบัน ทว่าเนื้อเสียงของเธอทำให้พอคาดเดาได้ว่าคือเด็กหญิงเสียงทุ้มห้าวในอดีต หากแต่มีอีกเสียงหนึ่งผุดขึ้น แม้จะเลือนรางจนแทบจับใจความไม่ได้ก็ยังสามารถสัมผัสได้ว่าเนื้อเสียงนั้นน่าจะเป็นของเด็กหญิงที่โตกว่าเล็กน้อย นุ่มและเบาราวปุยนุ่นที่ลอยไปตามลม

     

    เหตุใดกัน...เหตุใดเราจึงสามารถรับรู้ถึงเรื่องเหล่านี้ได้

    ความทรงจำ ความทุกข์ทรมาน ความรู้สึก....

    นี่คงมิใช่เพียงความบังเอิญหรือความคิดของเราเป็นแน่

     

    บุรุษผู้นั้นคงจะเป็นบิดาของท่านแอนน์

    ทว่าอีกเสียงหนึ่งที่แตกต่างออกไปนั้น....เป็นเสียงของผู้ใดกัน

     

    “เอาล่ะ เรียบร้อย”ความรู้สึกอบอุ่นใจแปลกประหลาดได้บังเกิดขึ้นในอกเมื่อนัยน์ตาสีฟ้าเทาได้เห็นสายหนังกลับคืนสู่ลำคอของเจ้าแมวตัวโตอีกครั้งหนึ่ง”ถ้าอย่างนั้นข้าไปทำงานก่อนก็แล้วกัน...จะได้เสร็จไวๆ ถ้าพวกเจ้ายังอยากให้ข้าไปตามหาเวร่าด้วยล่ะก็ค่อยไปเจอกันแถวๆโบสถ์ คิดว่างานทั้งหมดคงเสร็จไม่เกินตอนเที่ยง”รอยยิ้มกระตือรือร้นปรากฏขึ้นบนใบหน้าตกกระอีกครั้งก่อนตั้งท่าเตรียมจะหันกลับไปยังทางเดิน

    “เดี๋ยวก่อน!”สิ่งที่ไหลบ่าเข้ามาในหัวเป็นผลให้อัศมิตาตะโกนออกไปโดยไม่ทันยั้งคิด โสตสัมผัสรับรู้ได้ว่าเสียงฝีเท้าของแอนน์หยุดลงชั่วครู่”ท่านแอนน์ ท่านมีพี่สาวหรือไม่”

    คิ้วสีบลอนด์แดงเลิกขึ้นจนเกือบหายไปใต้ผมม้าหยักศกที่ปกคลุมหน้าผาก ใบหน้าตกกระแสดงอาการงุนงงอย่างชัดเจน”เปล่านี่ ข้าน่ะเป็นลูกคนเดียว...ถามไปทำไมเหรอ”

    ความกังวลทิ่มแทงแผ่นอกของเด็กชายราวกับหนามแหลมคม แม้เด็กหญิงตรงหน้าจะรู้เรื่องของจอมเวทเป็นอย่างดี ทว่าความสามารถแปลกประหลาดที่ปรากฏขึ้นในตัวมนุษย์ธรรมดาเช่นเขาคงมิใช่เรื่องที่เธอจะคาดการณ์ได้”ร-เราเพียงแต่อยากรู้...ด้วยมิเคยพบพี่น้องของท่านในโรงแรมแห่งนี้เลย”เสียงเล็กตอบอ้อมแอ้มด้วยไม่คุ้นชินกับการหาข้อแก้ตัวแก่คำพูดของตน

    แม้แทบจะไร้ซึ่งความเชื่อมโยงต่อกันโดยสิ้นเชิง ทว่าคำพูดของอัศมิตาก็ทำให้แพทริเซียฉุกคิดขึ้นได้ พลันหัวใจของเด็กหญิงกลับมาสูบฉีดเลือดอย่างรัวเร็วอีกครั้ง”ขอถามหน่อยสิ เวร่าน่ะอายุประมาณสิบสามปีใช่หรือเปล่า”

    นัยน์ตาสีฟ้าเทาเบิกกว้างอย่างตกตะลึงพร้อมกับรอยยิ้มที่เลือนหายไปแทบจะในทันที เสียงทุ้มห้าวกลับเบาลงจนแทบจะเป็นเสียงกระซิบ”ใช่ แต่เมื่อคืนข้ายังไม่ได้บอกเจ้าเลยด้วยซ้ำ...แล้วเจ้ารู้ได้ยังไง”

    ใบหน้าของเด็กหญิงเรือนผมสีม่วงพลันซีดเผือดแทบไร้สีเลือดขณะรู้สึกถึงเหงื่อซึมชื้นทั่งฝ่ามือ ภาพของเด็กสาวผมแดงที่ถูกเพชฌฆาตฟันคอในความฝันพลันปรากฏขึ้นแจ่มชัดราวกับเห็นด้วยดวงตาของตน

     

     

    เด็กชายตาบอดสูดกลิ่นอายสดชื่นของฤดูใบไม้ร่วงเข้าไปเต็มปอด พร้อมกับโสตสัมผัสที่รับรู้ถึงเสียงกรอบแกรบจากใบไม้แห้งใต้ฝ่าเท้าปะปนกับเสียงกะพรวนกรุ๋งกริ๋งจากเจ้าแมวขนฟูที่เดินตามมาไม่ห่าง ร่างเล็กพิจารณาถึงปริมาณผู้คนที่รายล้อมรอบตัวก่อนเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา

    “แพทริเซีย เราออกห่างจากโรงแรมมาได้ระยะหนึ่งแล้ว...เจ้าจะเล่าให้ฟังได้หรือไม่ว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นกับตัวเจ้าเมื่อคืนวาน”

    ร่างในชุดกระโปรงสีม่วงนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง และแทนคำตอบ มือเรียวล้วงแผ่นไม้แกะสลักลวดลายสวยงามออกมาแล้วจึงแตะลงเบาๆบริเวณฝ่ามือน้อยของอีกฝ่าย

    อัศมิตากำไม้แผ่นเล็กไว้ นิ้วบอบบางทั้งห้าไล้ไปตามพื้นผิวแกะสลักก่อนจะหย่อนแผ่นไม้ลงในกระเป๋ากางเกง จิตสัมผัสตั้งสมาธิเตรียมรับข้อความของเด็กหญิง

    “ก่อนอื่นฉันเคยพูดกับเธอไปแล้วใช่ไหมว่ามีบางอย่างในตัวที่เรียกร้องให้อยู่ที่นี่ต่อ”นัยน์ตาสีอเมทิสต์สะท้อนแววที่ไม่อาจอ่านได้ขณะจับจ้องและรอจนคู่สนทนาส่งเสียงตอบรับในกระแสจิต”เมื่อตอนกลางดึกที่ผ่านมา ฉันรู้สึกได้ว่าเสียงเรียกร้องในตัวฉันมันรุนแรงกว่าเดิม...ชัดเจนถึงขนาดปลุกให้ตื่นได้ ฉันก็เลยตั้งใจว่าจะออกไปตามหาต้นตอของความรู้สึกนี้”

    “สิ่งที่เรียกร้องในตัวเจ้าแสดงเส้นทางออกมางั้นหรือ...”ความไม่เข้าใจถูกถ่ายทอดผ่านเสียงเล็ก”แล้วเหตุใดเจ้าจึงไม่ปลุกเราให้ตื่นเสียก่อน”อาการวิตกกังวลเริ่มครอบงำเด็กชายอีกครั้งด้วยจินตนาการถึงภยันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นกับเจ้าของฝ่ามือนุ่มเนียนได้

    “เห็นเธอหลับสบายอยู่ก็เลยเกรงใจน่ะ....แต่ไม่ต้องห่วงหรอก เมื่อคืนฉันใช้เวทล่องหน ไม่มีใครเห็นฉันหรอกน่า”แพทริเซียเปลี่ยนวิธีการพูดให้หนักแน่นมั่นคงยิ่งขึ้นเมื่อสังเกตร่องรอยความเครียดบนใบหน้างดงามราวเทพเทวัญ”เรื่องแสดงเส้นทางมันก็ไม่เชิง อืม...ฉันคิดว่ามันคล้ายกับคลื่นน้ำหรือคลื่นเสียงมากกว่า ประมาณว่ายิ่งเธออยู่ใกล้แหล่งกำเนิดคลื่นมากเท่าไหร่ก็จะยิ่งสัมผัสมันได้ชัดเจนยิ่งขึ้น พอจะเข้าใจใช่ไหม”

    “คลื่นน้ำงั้นหรือ....”อัศมิตาหวนนึกถึงการจุ่มมือลงไปในสัมผัสฉ่ำเย็นของสายน้ำแล้วแกว่งไปมาจนรู้สึกถึงมวลน้ำที่สั่นไปมารอบฝ่ามือ”เราพอจะเข้าใจแล้ว โปรดเล่าต่อเถิด”

    “ฉันรู้สึกได้ว่าต้นตอของความรู้สึกเหมือนกับมีอะไรเรียกหาอยู่ใกล้มาก...ประมาณแถวๆหน้าโรงแรม ก็เลยแอบย่องลงไปดู...”มือนุ่มเนียนหยิบใบไม้สีส้มสดออกจากเรือนผมนุ่มสลวยดั่งไหมทอของเด็กชาย”แล้วฉันก็เจอโธมัสกับแม่ของแอนน์กำลังคุยกันออกรสออกชาติเกี่ยวกับการดำเนินการตัดไม้ในป่าแห่งภูตพราย แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือพวกเขาพูดถึงก้างขวางคอด้วย”

    “หมายความว่าอย่างไร...”คิ้วเรียวเลิกขึ้นขณะก้มลงลูบตามแนวสันหลังของเจ้าแมวที่เข้ามาพันแข้งพันขาตนอีกครั้งก่อนสัมผัสได้ถึงความสากจากลิ้นที่เลียนิ้วมือของตน

    “นั่นน่าจะหมายถึงคนที่ขวางพวกเขาไม่ให้ไปตัดไม้ จากใจความเท่าที่ฟังมาได้ก็เหมือนกับคนๆนั้นหายตัวไป...แล้วโธมัสก็สงสัยว่าอาจเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของพวกที่พยายามจะตัดไม้ในป่าแฟรี่”เสียงทุ้มนุ่มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอันตรายก้องดังขึ้นจากความทรงจำในศีรษะของเด็กหญิง”คนที่หายตัวไป...มีพลังที่อาจขัดขวางได้ แล้วพวกเขาก็ใช้สรรพนามที่พูดถึงผู้หญิง คนที่ตรงกับเบาะแสนั้นมีโอกาสที่จะเป็นเวร่าสูงเลยล่ะ”

    “ถ้าหากนางหายตัวไปแล้วก็น่าจะเกิดประโยชน์แก่ผู้ที่ต้องการทำลายป่าไม้มิใช่หรือ...”เสียงเล็กแสดงอาการครุ่นคิดขณะรู้สึกถึงลมเย็นที่พัดปะทะผิวกาย

    “ดูเหมือนว่าโธมัสจะไม่พอใจแค่นั้นน่ะสิ เขาต้องการถอนรากถอนโคน...หมายถึงตามหาให้เจอแล้วฆ่าก้างขวางคอนั่นทิ้ง”นัยน์ตาสีน้ำเงินจางที่คมกริบราวหมาป่าจ้องเล่นงานอย่างไร้ความปรานีทำให้เด็กหญิงไม่อาจคิดเป็นอื่นได้”ฉันรู้ว่าเขาอาจดูใจดีตอนที่พวกเราเจอกันครั้งแรก แต่จากสายตา...ฉันคิดว่าเขากล้าทำอย่างที่พูดไว้แน่”

    ใบหน้าบริสุทธิ์พลันซีดเผือดลงถนัดตาเมื่อรู้สึกได้ว่าแพทริเซียมิได้ล้อเล่นแต่อย่างใด”โหดร้าย...ทั้งที่นางล่าถอยหายตัวไปแล้วกลับต้องการติดตามไปเข่นฆ่าล้างผลาญเพียงเพื่อผลประโยชน์ของตน”มือข้างขวาสั่นเทิ้มขณะบังเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจแอนน์และจินเจอร์ขึ้นมาในทันที ในอกนึกสงสัยว่าเจ้าสัตว์สี่ขาจะรับรู้ถึงชะตากรรมที่อาจตกอยู่ในอันตรายของอดีตเจ้านายหรือไม่

    “พวกมนุษย์...”เสียงใสในโทรจิตแสดงความขัดเคืองออกไปอย่างลืมตัว”...บางคนก็ต้องการล้างผลาญสิ่งที่ตัวเองกลัวเพื่อที่จะได้มั่นใจว่าสิ่งนั้นจะไม่มาทำร้ายตัวเองก่อน ทั้งที่มีคนพยายามเพื่อพวกเขามาตลอดแท้ๆ ทั้งที่ไม่เคยคิดจะทำร้ายมนุษย์เลยด้วยซ้ำ”ประกายในดวงตาสีอเมทิสต์ดูราวกับลุกไหม้ดังเปลวเพลิงขณะภาพของสีแดงที่ย้อมร่างหญิงสาวในความทรงจำผุดขึ้นราวต้องการดึงตัวเธอลงไปสู่ห้วงดำมืดนั้นอีกครั้ง พลันมือทั้งสองข้างสั่นอย่างไม่อาจควบคุมได้

    เป็นอีกครั้งที่ความรู้สึกของเด็กหญิงไหลบ่าเข้ามาในดวงจิต นัยน์ตาสีฟ้าครามเบิกกว้างขึ้นอย่างไร้การควบคุมเมื่อรับรู้ถึงความคับแค้นที่มิอาจระบายได้ เจ็บปวด และสิ้นศรัทธาที่วนเวียนซ้ำไปมาอย่างเจ็บปวด“แพทริเซีย...”แทบไม่ต้องใช้ความคิด แขนผอมบางดึงร่างในชุดกระโปรงเข้ามากอด ปล่อยให้ร่างที่สั่นเทิ้มค่อยๆคลายลงจนกลับมาเป็นปกติโดยไม่สนใจเสียงซุบซิบของผู้คนโดยรอบ”ไม่เป็นอันใดแล้ว...เจ้ายังคงอยู่ที่นี่ ไม่มีผู้ใดทำอันตรายเจ้าได้อีก”มือผอมบางไล้ไปตามเรือนผมยาวสลวยอย่างอ่อนโยน

     

    นี่หรือ...ความเจ็บปวดของเจ้า

    เรารู้ดีว่าตัวเราคงเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง...และคาดว่าเจ้าคงมิได้ตั้งใจจะตำหนิเรา

    เรามิอาจเข้าใจความรู้สึกของเจ้าได้โดยแท้จริง...ทว่าน้ำเสียงเช่นนั้น เจ้าคงเก็บเรื่องราวไว้ในใจตลอดมา

     

    เช่นนั้นแล้วขอจงระบายออกมาเถิด

    แม้ตัวเราเป็นมนุษย์...เป็นเผ่าพันธุ์ที่อาจทำเรื่องเลวร้ายกับจอมเวทในอดีต

    เราจักรับฟังและอยู่เคียงข้างเจ้า...เฉกเช่นเดียวกับที่เจ้าให้แสงสว่างแก่เราเสมอมา

     

    แพทริเซียเหลือบมองใบหน้างดงามดุจเทพยดาของอีกฝ่าย ประสงค์ที่ต้องการช่วยเหลือผู้อื่นจารึกอยู่ในเครื่องหน้าอย่างหนักแน่น กล่อมเกลาให้ความกลัวมลายเป็นความเด็ดเดี่ยวและเสริมส่งให้ความสง่างามเพิ่มพูนขึ้นเป็นเท่าทวี”ขอโทษนะ ดันให้เธอเห็นมุมแย่ๆแบบนี้เข้าจนได้”ศีรษะที่ถูกปกคลุมด้วยเรือนผมสีม่วงหันมองผู้คนรอบตัวที่เริ่มซุบซิบและมองตรงมายังตัวเธออีกครั้ง”ตอนนี้ฉันไม่เป็นไรแล้ว เราไปกันต่อเถอะ”กล้ามเนื้อริมฝีปากฝืนยกขึ้นเป็นรอยยิ้มขณะเสียงในโทรจิตอ่อนแรงลงถนัดตา

    “แล้วเรื่องราวหลังจากบทสนทนานั้นเป็นอย่างไรหรือ...เจ้าได้พบต้นตอของความรู้สึกนั้นหรือไม่”เด็กชายถามต่อเมื่อสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายเริ่มรู้สึกดีขึ้นแล้ว

    แม้จะสัมผัสได้ถึงเจตนาเปลี่ยนเรื่องที่แฝงอยู่ในเสียงที่ส่งผ่านทางโทรจิต ทว่าแพทริเซียยินดีคล้อยตามอีกฝ่ายด้วยตระหนักถึงความสุ่มเสี่ยงที่พลังในตัวจะรั่วไหลออกมา”ไม่หรอก อยู่ดีๆต้นตอความรู้สึกที่ว่าก็หายไปซะเฉยๆ บทสนทนาหลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ ฉันเลยกลับขึ้นไปนอนน่ะ”

     

     

    อัศมิตารู้สึกถึงแรงดึงแผ่วเบาจากขากางเกงด้านขวาหลังจากเด็กน้อยทั้งคู่เดินต่อมาได้ระยะหนึ่ง โสตสัมผัสรับรู้ถึงเสียงพูดคุยอันแสดงจำนวนผู้คนโดยรอบลดลงจากเส้นทางที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด”เจ้าต้องการสิ่งใดหรือ จินเจอร์”ร่างผอมบางย่อตัวลงก่อนใช้มือไล้ไปตามเส้นขนอย่างนุ่มนวล

    เด็กหญิงในชุดกระโปรงสีม่วงอ่อนเบนสายตาไปยังเส้นทางที่แยกออกจากทางสายหลัก พลันนึกถึงคำพูดของลูกสาวเจ้าของโรงแรมขึ้นได้”จะบอกทางไปบ้านเวร่าให้เหรอ...”นัยน์ตาสีอเมทิสต์ก้มลงสบนัยน์ตาสีเขียวอมเหลืองพร้อมรอยยิ้มจางๆ ก่อนที่เจ้าแมวจะร้องเมี้ยวราวเป็นคำตอบของคำถามจากนั้นจึงก้าวมาข้างหน้าคล้ายต้องการช่วยนำทางให้”ขอบใจนะ...”

    “แพทริเซีย...เจ้าสามารถเข้าใจคำพูดของแมวได้ด้วยหรือ”เสียงเล็กถามขึ้นอย่างไร้เดียงสาขณะเลี้ยวซ้ายไปตามผู้นำทาง เด็กชายตะหนักได้ว่าเสียงกระพรวนกรุ๋งกริ๋งที่เคยคลออยู่ใกล้ตัวบัดนี้กลับเปลี่ยนทิศทางไปอยู่ด้านหน้าแพทริเซีย

    รอยยิ้มเอ็นดูปรากฏขึ้นบนริมฝีปากสวยได้รูป”ไม่เชิงว่าเข้าใจหรอก....สังเกตท่าทางเอาน่ะ”นัยน์ตาของแพทริเซียเหม่อมองทิวแถวบ้านที่ตั้งใกล้ชิดติดกันคล้ายภาพวาดประกอบนิทานเด็ก”จริงๆฉันเคยเห็นวิชาภาษาสัตว์ในหนังสือด้วย แต่ไม่ได้เรียน...ถ้าจะเอาเผ่าที่เข้าใจคำพูดของแมวแน่ๆก็คงจะเป็นมนุษย์อสูรจำพวกแมวล่ะนะ”

    “งั้นหรือ...”เด็กชายพยายามทำความเข้าใจคำพูดของอีกฝ่าย เป็นจังหวะเดียวกับที่รู้สึกถึงใบไม้แห้งที่แตะพวงแก้มก่อนร่วงหล่นลงสู่พื้น

    ประกายในดวงตาสีอเมทิสต์ฉายชัดขึ้นเมื่อมองตามแนวต้นไม้สีเขียวของป่าแห่งภูตพรายสลับกับเฉดสีส้มแดงของต้นไม้ที่ผลัดใบร่วงโรยตามฤดูกาลลงบนหลังคาบ้านและพื้นถนนหินปู บังเกิดเป็นภาพงดงามราวถูกรังสรรค์จากจิตรกรเอก

    ”แถวนี้วิวสวยดีนะ...”เด็กหญิงหวนนึกถึงหญิงสาวร่างสูงในความทรงจำว่าหากเธอได้มีโอกาสมาเยือนหมู่บ้านแห่งนี้ วิวทิวทัศน์โดยรอบคงจะกลายเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งแต้มสีสันลงบนผืนผ้าใบเป็นแน่”ใครจะไปนึกล่ะว่าจะได้เห็นใบไม้สีส้มกับสีเขียวอยู่พร้อมกันแบบนี้”

    “สภาพแวดล้อมที่เจ้าบอกว่างดงามนั้นเป็นเช่นไรน่ะหรือ”อัศมิตาเงยหน้าขึ้น ในส่วนลึกของจิตใจหวังเพียงจะได้ชมความงดงามของธรรมชาติตามคำกล่าวของเด็กหญิง แม้รู้ดีว่านัยน์ตาสองข้างที่มืดบอดสนิทไม่เปิดโอกาสให้ทำเช่นนั้นได้

    “มันเหมือนกับภาพวาดในนิทานที่ฉันเคยอ่านน่ะ บ้านเรียงรายในหมู่บ้านเล็กๆ ใบไม้สีส้มในฤดูใบไม้ร่วง... แล้วที่ขาดไม่ได้คือองค์ประกอบน่าเหลือเชื่ออย่างป่าแห่งภูตพรายที่ใบไม้ยังเป็นสีเขียวเหมือนตอนหน้าร้อน”เครื่องหน้าของเด็กหญิงแสดงความสุขเมื่อเห็นอากัปกิริยาตื่นเต้นขณะเอ่ยถึงนิทาน พลันเสียงใสปรับจังหวะคล้ายกำลังเล่าเรื่องราวปรัมปราให้เด็กน้อยฟัง”พวกแฟรี่น่ะเป็นเผ่าที่ใส่ใจเรื่องทิวทัศน์เป็นลำดับต้นๆเลย เพราะงั้นพื้นที่ใต้การดูแลของพวกเขา...ต่อให้เป็นฤดูนี้ ใบไม้ที่ร่วงลงมาก็จะไม่ดูเกลื่อนกลาดรกหูรกตา แต่จะลงมาพอประมาณให้ขับเน้นวิวโดยรอบด้วย”

    รอยยิ้มบริสุทธิ์ดุจผ้าขาวของเด็กชายเยาว์วัยฉาบชโลมลงบนเครื่องหน้างดงามขณะนึกจินตนาการหมู่บ้านในนิทานตามคำกล่าวของเด็กหญิง พลันแว่วเสียงร้องเหมียวของสัตว์สี่ขาที่เดินนำหน้าอยู่”แพทริเซีย จินเจอร์พบสิ่งใดเข้าแล้วอย่างนั้นหรือ”

    เจ้าของชื่อหันไปตามทิศทางของเจ้าแมวตัวโตก่อนไปสะดุดเข้ากับบ้านหลังน้อยอันห่างจากบ้านเรือนหลังอื่นเป็นอย่างมาก”ดูเหมือนว่าตอนนี้เราน่าจะมาถึงบ้านเวร่าแล้วล่ะ...ใช่ไหม จินเจอร์”

    แทนคำตอบ ขาสั้นป้อมทั้งสี่วิ่งตามทางเดินหินปูก่อนจะตรงไปยังตัวบ้านพร้อมส่งเสียงแง้วง้าวคล้ายเรียกหา เป็นผลให้แพทริเซียเร่งฝีเท้าของตนขึ้นด้วยเกรงว่าเจ้าแมวตัวกลมจะเตลิดหนีหายไปเสียก่อน”รอด้วยสิ”หน้าอกของเด็กหญิงขยับขึ้นลงตามจังหวะการเหนื่อยหอบเล็กน้อยพร้อมกับขาเรียวยาวที่ชะลอฝีเท้าลงเมื่อเจ้าแมวหยุดอยู่ตรงประตูบ้าน

    ที่แห่งนี้คือบ้านของเวร่า...เสียงเล็กเอ่ยขึ้นอย่างเลื่อนลอยเมื่อรู้สึกถึงสิ่งปลูกสร้างที่บดบังกระแสลมตรงหน้าเอาไว้ มือผอมบางไล้ไปตามพื้นผิวหยาบสากของกำแพงก้อนอิฐและเลื่อนมาถึงแผ่นไม้ใหญ่ขัดเรียบ แขนของเด็กน้อยพยายามออกแรงดันแผ่นไม้นั้นให้เปิดกว้างออกก่อนจะเงยหน้าขึ้นหาแพทริเซีย”มิสามารถเปิดออกได้...คงลั่นกุญแจไว้กระมัง”

    นัยน์ตาสีอเมทิสต์เลื่อนมองรูเสียบกุญแจที่อยู่บริเวณระดับสายตาพอดี“แหงล่ะ ถ้าจะหนีออกจากบ้านตัวเองทั้งทีอย่างน้อยการใส่กุญแจบ้านก็เป็นเรื่องที่ควรทำ เป็นฉันก็คงไม่เปิดให้ใครมาคุ้ยหาข้าวของในบ้านหรอก”เสียงใสเอ่ยด้วยจังหวะสูง ๆ ต่ำ ๆ คล้ายหยอกเย้าก่อนกลับมาเป็นความจริงจัง”เอาล่ะ คราวนี้คงต้องเคาะสนิมเรื่องการสะเดาะกุญแจสักหน่อยแล้ว”มือนุ่มเนียนวางลงไปบนรูกุญแจก่อนพึมพำในลำคอด้วยภาษาที่เด็กชายตาบอดไม่อาจเข้าใจ

    เพียงชั่วอึดใจ เสียงกริ๊กคล้ายกุญแจไขเข้าบานประตูก็ดังขึ้นในโสตประสาทของเด็กชาย”แพทริเซีย เจ้ามีความเก่งกาจเป็นยิ่งนัก”เสียงเล็กเอ่ยขึ้นคล้ายตกตะลึง

    “นี่ ๆ ฉันก็ไม่ได้สะเดาะกุญแจเข้าออกบ้านใครเขาบ่อย ๆ นะ ที่ทำคราวนี้ก็เพราะจะหาเบาะแสเรื่องเวร่าต่างหาก”เสียงใสดุจดั่งกระดิ่งลมฟังดูคล้ายขบขัน”มันก็เป็นวิชาที่คนสอนย้ำนักย้ำหนาเหมือนกันว่าคิดให้ดีก่อนใช้....พอให้เอาตัวรอดได้ล่ะนะ”เด็กหญิงหัวเราะคิกก่อนผลักประตูให้เปิดกว้าง มือขวาออกแรงดึงมือเด็กชายเป็นเชิงให้เดินตามมา

    เด็กหญิงจูงมืออัศมิตาภายในบ้านหลังเล็กถูกจัดแต่งด้วยโทนสีที่ดูอบอุ่นและแบ่งพื้นที่ตามการใช้งานอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย เตาผิงเล็กๆและโซฟาตั้งอยู่ในจุดที่มองเห็นได้เป็นอย่างแรกเมื่อก้าวเท้าเข้าไป ถัดออกมาคือส่วนของครัวที่ถูกรวบเข้ากับโต๊ะกินข้าวชุดเล็กที่นั่งได้ไม่เกินสามหรือสี่คน ทางด้านซ้ายมือของพื้นที่นั่งเล่นคือส่วนของห้องนอนที่มีประตูเชื่อมติดกับห้องสมุดขนาดย่อมและโต๊ะเขียนหนังสือตัวหนึ่ง ส่วนพื้นที่ทางด้านขวาถูกประตูไม้ปิดกั้นอยู่ ทว่ากลิ่นหอมอ่อนๆของสบู่ทำให้เด็กชายสามารถคาดเดาได้ว่าเป็นห้องอะไร

    “ช่างเป็นบ้านที่น่าพักอาศัยยิ่งนัก....”อัศมิตาสัมผัสได้ถึงบรรยากาศอบอุ่นที่ราวกับโอบกอดผู้คนที่เข้ามาภายในตัวบ้าน แม้จะเพิ่งเคยมาที่แห่งนี้เป็นครั้งแรก ทว่าเด็กชายไม่อาจปฏิเสธว่าบ้านหลังน้อยให้ความรู้สึกราวกับเป็นที่พักพิงอย่างน่าประหลาด

    “ก็นะ...สภาพที่นี่ยังดีอยู่ก็หมายความว่าน่าจะยังไม่มีใครมาค้น....หรือถ้ามีก็คงจะระวังไม่ให้เสียสภาพน่าดู”เด็กหญิงพยายามระงับความต้องการที่ตรงดิ่งไปหาคลังความรู้ด้วยตระหนักถึงจุดประสงค์ในการมายังสถานที่แห่งนี้”เดี๋ยวฉันจะเริ่มสำรวจละเอียดขึ้นแล้ว ถ้าเกิดมีเสียงหรืออะไรแปลกๆก็บอกฉันด้วยนะ”ร่างในชุดกระโปรงจูงมือเด็กชายไปยังโซฟาก่อนจับมือน้อย ๆ วางลงบนเบาะสีเข้ม

    “วางใจเถิดแพทริเซีย”อัศมิตาหย่อนตัวลงบนเบาะหนานุ่มอย่างระมัดระวัง แม้ปรารถนาจะช่วยแพทริเซียอีกแรงหนึ่ง ทว่าความวิตกว่าการที่ตนไม่สามารถมองเห็นได้จะเป็นภาระแก่เด็กหญิงรั้งมิให้ตัวเขาเอ่ยสิ่งใดต่อ

    ขาเรียวยาวพาร่างเล็กเดินสำรวจโดยรอบตัวบ้านโดยมีเจ้าแมวตัวกลมคอยติดตามไม่ห่าง เด็กหญิงพินิจพิจารณาสีของผนังกำแพงและพื้นไม้อย่างละเอียด เลิกพรมในห้องต่างๆขึ้นดู และแม้กระทั่งใช้พลังของคนตรวจจับร่องรอยพลังเวทที่ยังหลงเหลืออยู่ในบ้าน

     

    มีร่องรอยพลังเหลืออยู่ก็จริง แต่ดูท่าแล้วจะไม่ใช่พลังสำหรับปกปิดพวกประตูลับ

    ถ้างั้นแปลว่าเวร่าก็ไม่น่าจะซ่อนอยู่ที่นี่

    แถมพลังเวทในตัวเธอน่าจะน้อยอย่างที่แอนน์เคยบอก...ขนาดในบ้านแท้ๆยังสัมผัสได้ไม่เท่าไหร่เลย

     

    แพทริเซียนิ่งไปครู่หนึ่งเพื่อทบทวนความคิด ก่อนร่างเล็กชะงักงันด้วยเริ่มรู้ตัวว่าความรู้สึกเพรียกหาในอกนั้นทวีความรุนแรงขึ้นจากตอนที่อยู่โรงแรมหลายเท่า แม้จะไม่อาจเทียบเท่ากับสิ่งที่เร่งเร้าให้รู้สึกตัวตื่นในยามดึกสงัด

     

    หมายความว่าไงน่ะ พอยิ่งเข้าใกล้ป่าแห่งภูตพรายแล้วก็ยิ่งรู้สึกเหมือนกับโดนเรียกให้ไปหา

    หรือว่ามันจะมาจากพวกแฟรี่....แต่พวกเธอไม่น่าจะมีพลังแบบนี้

     

    เดี๋ยวสิแพทริเซีย...ใจเย็นก่อน

    ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการหาร่องรอยแล้วตามตัวเวร่าให้เจอนะ

     

    มือเล็กกำแน่นก่อนการค้นหาจะเริ่มดำเนินต่อไปถึงห้องสมุดขนาดย่อม แพทริเซียจ้องมองโต๊ะไม้เนื้อดีที่เริ่มมีฝุ่นจับบาง ๆก่อนดึงลิ้นชักเปิดออกชั้นแล้วชั้นเล่าและสำรวจของภายใน ของจุกจิกชิ้นแล้วชิ้นเล่า แหวนเงินในกล่องเรียบรวมถึงอุปกรณ์ที่ไม่เกี่ยวข้องถูกกวาดสายตาผ่านอย่างรวดเร็วก่อนจัดเข้าที่เดิมจนกระทั่งลิ้นชักชั้นล่างสุดเผยให้เห็นสิ่งของที่อยู่ภายใน

    “สมุด...?”คิ้วเรียวเลิกขึ้นขณะย่อตัวลงใช้สายตาสำรวจสมุดหนาเจ็ดเล่มที่วางเรียงกันเป็นระเบียบก่อนมือเรียวจะเลือกเล่มหนึ่งมาและพลิกหน้ากระดาษอย่างรวดเร็ว

     

    จิตของอัศมิตาผสานกับความเงียบสงบรอบด้านและสายลมที่โชยระใบหน้าก่อนจะถูกดึงสู่ห้วงอันล้ำลึกดุจมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ คล้ายสิ่งปลูกสร้างหลังเล็กที่ไม่อาจเอ่ยปากต้องการถ่ายทอดเรื่องราวให้ผู้มาเยือนได้รับรู้

    แม้มิอาจมองเห็นได้ทว่าอัศมิตากลับรู้สึกถึงตัวตนของเด็กหญิงผู้หนึ่งปรากฏขึ้นในความคิด รับรู้ว่าร่างบอบบางของเธอสะอื้นจนไหล่สั่นเทิ้ม มือทั้งสองข้างประคองลูกแมวผอมแห้งหิวโซที่มีร่องรอยบาดเจ็บไว้อย่างนุ่มนวล

    “ไม่เป็นไรนะ...ไม่เป็นไร”เสียงแหบพร่าแผ่วเบาดังขึ้นจากทิศทางของเด็กหญิงก่อนเสียงฝีเท้าจะตรงไปทางโต๊ะไม้”เธอมาอยู่กับฉันแล้ว...เธอจะไม่โดนทำร้ายอีกแล้ว”

    เครื่องหน้างดงามถูกฉาบชโลมด้วยความสงสัยอยู่ชั่วครู่ ก่อนตระหนักได้ว่าสิ่งที่ตนรับรู้ในหัวคงจะเป็นของผู้ที่ตนกำลังตามหา พลันเสียงโห่ฮาเยาะหยันล้อเลียนเรือนผมสีแดงสดดังขึ้นซ้อนทับจนน่าอึดอัด แรงกดดัน บรรยากาศที่ขับไล่ผู้แตกต่างวนเวียนซ้ำไปมากระทั่งเด็กชายรู้สึกอยากที่จะอาเจียน

    “เราสองคนนี่เหมือนกันเลยเนอะ...”กล่องไม้ถูกวางลงบนโต๊ะอย่างแผ่วเบาก่อนที่มือเล็กจะปลดตัวล็อคเพื่อหยิบของข้างข้างใน”ถูกทอดทิ้ง คนอื่นเขารังเกียจเพราะเป็นสีแดง’…ผู้เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ ตัวนำพาโชคร้ายหายนะ”พลันเจ้าแมวน้อยส่งเสียงร้องมิ้วราวเห็นด้วยกับคำพูดของเด็กหญิง

    อัศมิตาชะงักงันด้วยความตกตะลึง ปฏิกิริยาตอบสนองเรื่องเวทมนตร์และคนนอกที่แพทริเซียแสดงออกมาตลอดผุดขึ้นในศีรษะราวน้ำพุล้นทะลักจากใต้แผ่นดิน

     

    จอมเวทเป็นผู้นำพาโชคร้าย....

    ผู้คนในดินแดนนี้มีความเชื่อเช่นนี้จริงหรือ

    ถ้าเช่นนั้นเหตุที่แพทริเซียหวาดกลัวว่าผู้อื่นจะรู้....จักเป็นเรื่องที่เราสามารถคาดเดาได้

     

    บางทีสิ่งที่นางพบเจอในอดีตคงหนักหนายิ่งกว่าตัวเรานัก

     

    ริมฝีปากบางเม้มลงแน่นเมื่อดวงจิตสมมุติให้ผู้ที่เป็นแสงสว่างให้เขาเสมอมาถูกกระทำดั่งเช่นผ้าขี้ริ้วต้อยต่ำ พลันในอกผอมบางรู้สึกราวถูกเข็มแหลมนับหมื่นเล่มเสียบทะลุซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก่อนเสียงในห้วงภวังค์จะดังขึ้นอีกครั้ง

    “จริงสิ...เธอยังไม่มีชื่อเลยนี่นา”เวร่าย่อตัวลงพูดกับลูกแมวขนสีส้มที่จุ่มใบหน้าลงไปในชามอาหารแล้วกินอย่างรวดเร็ว”พวกเราเรียกสีแบบนี้ว่าจินเจอร์...เพราะงั้นชื่อของเธอคือจินเจอร์ก็แล้วกันนะ”

    เสียงของเด็กหญิงแผ่วเบาลงราวกับเลือนหายไปตามสายลมก่อนที่อัศมิตาจะถูกดึงกลับมายังปัจจุบันขณะ นิ้วผอมบางแตะเม็ดเหงื่อซึมชื้นบนหน้าผากพร้อมนึกเชื่อมโยงกับภวังค์ที่ตนสัมผัสได้ก่อนออกจากโรงแรม

     

    เสียงแผ่วเบาของเด็กหญิงที่เราได้ยินในยามนั้นคือท่านเวร่าไม่ผิดแน่

    แล้วเสียงของบุรุษ...คือผู้ใดกัน

    ในราตรีที่ผ่านมาท่านแอนน์กล่าวไว้ว่าบิดาของท่านเวร่ามาจากเมืองอื่น

     

    เช่นนั้น...บุรุษคนดังกล่าวคือบิดาของท่านแอนน์หรือ

     

    แพทริเซียสามารถสัมผัสได้ถึงความผูกพันของเวร่าที่มีให้แก่ผืนป่าอันถูกถ่ายทอดลงมาในสมุดบันทึกเล่มแล้วเล่มเล่า หากแต่ไร้ซึ่งเงื่อนงำเบาะแสอันนำไปสู่ที่ซ่อนตัวของเด็กสาวจอมเวทโดยสิ้นเชิง เด็กหญิงถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนที่แพขนตาจะเลื่อนเข้าปกคลุมเพื่อพักสายตาเล็กน้อย

     

    นั่นสินะ

    ถ้าจะเขียนบันทึกวางแผนการหลบหนีของตัวเองคงไม่ทิ้งไว้ในบ้านหรอก

    เป็นใครก็คงเอาติดตัวไปด้วยทั้งนั้นแหละ

     

    นัยน์ตาสีอเมทิสต์ลืมขึ้นช้า ๆ พลันสะดุดตากับอักขระเวทบนปกสมุดบันทึกเล่มสุดท้ายที่ตนยังมิได้อ่าน คิ้วเรียวเลิกขึ้นด้วยหวนนึกถึงคำกล่าวที่ว่าอักขระชนิดนี้จะอ่านออกได้ต่อเมื่อผู้อ่านมีพลังเวทในตัวเท่านั้น จึงนำไปสู่การกล่าวหาว่าผู้ที่เขียนหนังสือด้วยอักขระเวทติดต่อคบค้ากับปีศาจ

    เมื่อนึกถึงความเชื่ออันมืดบอดของมนุษย์ที่สอนให้ทิ่มแทงพวกนอกรีต ความขุ่นเคืองใจก็ได้บังเกิดทั้งในอกตลอดจนมาถึงเครื่องหน้า ก่อนสายตาจะพิจารณาดูความหมายอักขระเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตน”สำคัญ...งั้นเหรอ”

    ไม่รอช้า มือเล็กพลิกสมุดไปยังหน้าแรกแทบจะในทันทีก่อนจะใช้สายตากวาดมองผ่านใจความเหล่านั้นอย่างรวดเร็ว เหมือนกับบันทึกเล่มอื่น ข้อความอันถูกบันทึกผ่านลายมือหวัดห้วนคล้ายเด็กเขียนระบุวันเวลาดังเช่นปกติ ก่อนเสียงพลิกกระดาษจะหยุดลงเมื่อถึงหน้าหนึ่งที่ถูกเขียนด้วยลายมือสั่นเทา แผ่นกระดาษเต็มไปด้วยรอยเปื้อนน้ำเป็นดวง บดบังข้อความบางส่วนไป

    4 เมษายน 1738

    หลังจากที่อาการทรุดมานาน วันนี้แม่ก็ไม่ต้องต่อสู้อีกต่อไปแล้ว

    ก่อนที่แม่จะตาย แม่บอกให้เก็บรักษา.....ไว้ให้ดี

    มันเป็นสิ่งสุดท้ายในโลกที่จะทำให้รู้ว่าฉันเป็นลูกสาวของพ่อ

    แต่พ่อที่ไม่เคยมาหาเลยตลอดเจ็ดปีที่ฉันมีชีวิตอยู่ จะอยากเจอฉันจริง ๆ น่ะเหรอ

    คิ้วเรียวขมวดมุ่นคล้ายหัวเสียเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าคำสำคัญอยู่ใต้หยดน้ำพอดิบพอดี หมึกที่เขียนจึงเลือนผิดรูปจนไม่อาจที่จะอ่านออกได้ ก่อนที่แพทริเซียจะตัดใจและพลิกไปยังหน้าอื่นๆ

    18 พฤษภาคม 1738

    เจ้าของโรงแรมคนนั้นใจดีกับฉันจริงๆ เขาเล่าให้ฟังว่าตัวเองก็เคยโดนรังเกียจเพราะผมสีบลอนด์แดงของตัวเองเหมือนกัน

    ทำไมกันนะ เหมือนสัมผัสคำว่าพ่อได้จากตัวเขา

    แต่ดูเหมือนว่าภรรยาของเขาจะไม่ชอบหน้าฉันสักเท่าไหร่

    เด็กหญิงตั้งข้อสังเกตว่าลายมือของเวร่าเริ่มพัฒนาเป็นระเบียบยิ่งขึ้น แสดงถึงช่วงเวลาที่ผ่านไประยะหนึ่งก่อนที่จะกลับมาเขียนบันทึกอีกครั้ง

    26 กันยายน 1741

    นี่ก็ผ่านไปหลายปีแล้วที่ฉันได้รู้จักกับครอบครัวนี้

    ระยะหลังๆ มาคุณเจมส์กับแอนน์มาที่บ้านฉันเองแล้ว คงจะกลัวเธอคนนั้นไม่พอใจ

    แอนน์โตขึ้นมาก เธอกลายเป็นเพื่อนที่ฉันสนิทที่สุดในชีวิตไปแล้ว

    ถึงจะดูร่าเริงเหมือนพ่อ แต่ฉันรู้สึกว่าการที่เธอขัดขืนแม่ไม่ได้ทำให้เธอเก็บความรู้สึกมากขึ้น

     

    11 พฤศจิกายน 1741

    ฉันตัดสินใจบอกแอนน์เกี่ยวกับความลับทั้งหมดของตัวเองไปเมื่อหลายวันก่อน

    ดูเหมือนว่าฉันจะเชื่อใจเธอได้

     

    15 มีนาคม 1742

    พวกช่างไม้จากเมืองอื่นเริ่มเข้ามาแล้ว พวกเขาอยากจะได้ไม้จากป่าแห่งภูตพรายเลยเสนอราคาดีมาก

    ยังดีที่คุณเจมส์เองก็ไม่เห็นด้วยเหมือนกัน

     

    30 มิถุนายน 1742

    คุณเจมส์ตายด้วยอุบัติเหตุน่ะเหรอ...? ไม่อยากจะเชื่อเลย

    ฉันไม่กล้ากลับไปที่โรงแรมอีกแล้ว

     

    14 เมษายน 1743

    เหลือตัวคนเดียว พวกเขาคงเล็งเป้าหมายมาทางนี้

    ฉันอาจจะตายวันไหนก็ได้

    แอนน์เคยบอกว่าฉันบ้าที่เอาตัวไปปกป้องป่า ทั้งที่ปล่อยให้แฟรี่จัดการกันเองง่ายกว่า

    คงจะจริงล่ะนะ ถึงรู้ว่าอันตราย....แต่ฉันก็ยังอยากช่วยพวกเขาอยู่ดี

    ประกายในดวงตาสีอเมทิสต์สั่นระริกเมื่อเลื่อนมาถึงข้อความสุดท้ายในสมุดบันทึกด้วยหวนนึกถึงคำพูดที่คล้ายคลึงกันจากหญิงสาวร่างสูง เสียงราวแม่น้ำไหลเย็นตรึงคำพูดเหล่านั้นไว้ในดวงจิตแม้ว่าตัวเธอในอดีตจะยังไม่สามารถเข้าใจได้ก็ตาม แพทริเซียชำเลืองหน้ากระดาษว่างเปล่าด้านข้างอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนมือเรียวปิดสมุดบันทึกลง นัยน์ตากลมโตหันไปสบกับเจ้าแมวขนฟูก่อนจะย่อตัวลงจัดสมุดบันทึกให้เรียบร้อยตามเดิม

     

    โสตสัมผัสรับรู้ถึงเสียงฝีเท้านุ่มนวลของเด็กหญิงคลอกับเสียงกระดิ่งผูกคอแมวที่ใกล้เข้ามา พลันศีรษะทุยสวยที่ก้มลงซุกหน้าตักเมื่อครู่เงยขึ้นหาต้นเสียง”เรียบร้อยดีหรือ....เจอเบาะแสใดบ้างหรือไม่”

    กลิ่นหอมละมุนคล้ายยามรัตติกาลหยุดลงข้างโซฟาตัวใหญ่ก่อนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงคล้ายครุ่นคิดถึงบางสิ่ง”ไม่เชิงว่าเจอ แต่ฉันคิดว่าพวกเราควรลองไปที่ป่าแห่งภูตพรายดู” พลันสัมผัสน้ำหนักตัวของเจ้าสัตว์สี่เท้าขนนุ่มกระโดดผลุงขึ้นมาอยู่บนตักของอัศมิตา

    มือผอมบางไล้ไปตามลำตัวนุ่มนิ่มราวของเหลวอย่างแผ่วเบาขณะสีหน้าของเด็กน้อยพลันสลดลงอย่างน่าประหลาด”แพทริเซีย เรามีเรื่องที่อยากจะเล่าให้เจ้าได้ฟัง”

    แพทริเซียใช้มือปัดเส้นผมยาวที่ปลิวไสวไปตามสายลมโชยอ่อนก่อนจะนั่งลงด้านข้างของเด็กชาย”อะไรเหรอ ว่ามาได้เลย”

    มือผอมบางข้างที่เป็นอิสระกำแน่นด้วยรู้สึกกดดัน แม้บ้านหลังเล็กจะแยกห่างจากบ้านของผู้อื่นมาก ทว่าความหวั่นวิตกเป็นผลให้เด็กน้อยกังวลว่าอาจมีผู้ผ่านมาในบริเวณโดยบังเอิญ”เจ้าจำเรื่องราวซึ่งเกิดขึ้นในเวลากลางวันของเมื่อวานได้หรือไม่...ที่เราเคยบอกแก่เจ้าไว้ว่ารู้สึกคล้ายสัมผัสความทรมานของผู้คนในราชวงศ์สการ์เล็ตได้”

    แววตาของแพทริเซียสะท้อนความหวาดระแวงด้วยรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นขณะพิศมองร่องรอยความเคร่งเครียดผิดสังเกตบนใบหน้าที่งดงามราวเทพยดา”พอจำได้อยู่นะ มีอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ล่ะ”

    “เรารู้สึก...ว่าสัมผัสของเราทวีความถี่ขึ้นมาก”เสียงเล็กในโทรจิตแผ่วค่อยคล้ายผู้สารภาพบาป ความรู้สึกผิดแปลกที่มีมาตั้งแต่กำเนิดเพิ่มพูนขึ้นจนทิ่มแทงทรวงอก ขณะมือขวาลูบลงบนขนหนาฟูอย่างเลื่อนลอย“ในครานี้ขณะที่เรากำลังนั่งอยู่ เราได้รู้สึกว่าตัวเราจมดิ่งลึกลงไป...และได้เข้าไปพบเหตุการณ์ในอดีตของท่านเวร่า”

    พลันความรู้สึกหวาดกลัวถาโถมเข้าใส่เด็กหญิงราวกับคลื่นยักษ์กลืนกินชายฝั่ง กลัวจากก้นบึ้งของหัวใจ หวาดหวั่นว่าอดีตที่ตนพยายามปิดผนึกลงจะถูกล่วงรู้ด้วยความสามารถของเด็กน้อยตรงหน้า”ถ้าอย่างนั้นเธอเคยเข้าไปในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับฉันหรือเปล่า...หรือว่ารู้ทุกอย่างหมดแล้ว”จังหวะของเสียงใสคล้ายขาดสติไปชั่วครู่พร้อมกับสองมือที่จับไหล่ผอมบางของอีกฝ่ายไว้

    ใบหน้างดงามซีดเผือดราวร่างไร้วิญญาณด้วยพบว่าปฏิกิริยาตอบสนองของแพทริเซียเป็นไปตามที่วิตกกังวล เด็กน้อยเอื้อมมือขึ้นแตะเหนือความอบอุ่นบนไหล่ทั้งสองข้าง”ร-เราขอสาบานด้วยความสัตย์จริงว่าเรายังมิเคยพบเหตุการณ์ในอดีตของตัวเจ้าแม้เพียงครั้งเดียว”เสียงในโทรจิตที่สั่นเครือแฝงไปด้วยคำวิงวอนขอร้อง ปรารถนาอย่างสุดหัวใจให้แพทริเซียเชื่อคำพูดของตน

    คำพูดดังกล่าวเรียกสติของเด็กหญิงให้กลับคืนมาพร้อมกับความละอายที่บังเกิดขึ้นเมื่อตระหนักได้ว่าตนเพิ่งทำสิ่งใดลงไป มือเรียวชักออกจากไหล่ผอมบางราวถูกของร้อน”ขอโทษจริงๆ เมื่อกี้ฉันกลัว....กลัวจนเหมือนกับไม่เหลือสติอยู่ในหัว แล้วฉันก็คงทำร้ายความรู้สึกเธอไปแล้วสินะ”ร่างในชุดกระโปรงก้มใบหน้าลงต่ำราวกับไม่กล้าสู้หน้าเด็กชายตาบอด

    “เราเคยประสบกับความหวาดกลัวมาก่อนจึงพอรู้ว่าความรู้สึกนั้นเป็นเช่นไร”แม้จะยังดูหวั่นใจกับเรื่องเมื่อครู่อยู่บ้าง ทว่าท่าทีของเด็กชายกลับเปี่ยมล้นด้วยความปรารถนาดีดังเช่นเทพยดาจากสรวงสวรรค์”เช่นนั้นแล้วเราจึงมิคิดโกรธเคืองเจ้าแต่อย่างใด ขอจงสบายใจเถิด”แม้เพียงชั่วครู่หนึ่ง ภายใต้ท่าทีคล้ายหอกแหลมที่พุ่งตรงมาอย่างดุดัน หากแต่เด็กชายสัมผัสได้ถึงความปวดร้าวทรมานสุดขั้วหัวใจจากจิตของอีกฝ่าย

    “เป็นเด็กดีจังเลยนะ...เธอน่ะ”แพทริเซียสัมผัสได้ถึงความร้อนผะผ่าวบนพวงแก้มที่เปลี่ยนเป็นสีแดงราวมะเขือเทศสุก พลันความรู้สึกดีใจที่เด็กชายไม่เห็นใบหน้าของเธอในขณะนี้แล่นเข้ามาชั่ววูบหนึ่งก่อนที่แพทริเซียจะตัดสินใจเบี่ยงประเด็น”จริงสิ ที่เธอบอกว่าเข้าไปในอดีตของเวร่าได้...มีข้อมูลอะไรเพิ่มมาบ้างไหม”

    เรือนผมสีทองพิสุทธิ์ขยับตามจังหวะการส่ายหน้า”เหตุการณ์ที่เราพบคือเมื่อครั้งที่ท่านเวร่าพาตัวจินเจอร์มารักษาจึงไม่มีเบาะแสอื่นใด”พลันสัมผัสหยาบสากจากลิ้นของเจ้าแมวขนฟูก่อให้เกิดความรู้สึกจั๊กจี้บนฝ่ามือขวา”เพียงแต่เราพอที่จะคาดเดาได้ว่าบุรุษผู้ปรากฏตัวในอดีตท่านแอนน์ที่ผุดขึ้นในศีรษะของเราก่อนหน้าคงจะเป็นบิดาของท่านแอนน์กระมัง”

     

    คงจะเป็นคุณเจมส์ที่อยู่ในสมุดบันทึกเล่มนั้นล่ะนะ

    แต่ว่าความสามารถของอัศมิตาหมายความว่ายังไง

    ทั้งโทรจิตเมื่อตอนนั้น รับรู้ความเจ็บปวด รับรู้อดีต

     

    มันไม่น่าจะเป็นความสามารถที่มีอยู่ในตัวของมนุษย์ธรรมดาได้เลย

    คงต้องกลับไปอ่านสารานุกรมอีกสักรอบแล้วสิ....

     

    “งั้นเหรอ...”แพทริเซียครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่ตัดสินใจขึ้นได้ว่าควรเริ่มดำเนินการตามหาตัวเด็กสาวผู้หายสาบสูญต่อไป”ฉันว่าเราควรไปหาเวร่าต่อได้แล้วล่ะนะ อย่างน้อยก็ขอให้ได้รู้ว่าเธออยู่ในที่ ๆ พวกช่างไม้ทำอะไรไม่ได้ก็ยังดี”มือนุ่มเนียนแตะลงบนฝ่ามือของเด็กชายคล้ายสัญญาณก่อนร่างในชุดกระโปรงสีม่วงอ่อนจะหยัดกายยืนตรงขึ้น

    อัศมิตาใช้สองมือช้อนร่างของจินเจอร์และวางลงบนพื้นอย่างนุ่มนวล มือผอมบางควานเปะปะเล็กน้อยจนพบสัมผัสนุ่มเนียนจากมือที่ยื่นมาตรงหน้าก่อนที่เด็กชายจะลุกขึ้นตามแรงดึงจากมืออีกฝ่าย

    เสียงกระพรวนกรุ๋งกริ๋งดังขึ้นจากคอของเจ้าแมวตัวกลมขณะขาสั้น ๆ เร่งจังหวะเพื่อตามเด็กน้อยทั้งสองที่เดินไปยังทิศของประตูบ้านให้ทัน นัยน์ตาสีเขียวอมเหลืองจับจ้องไปยังเด็กชายตัวน้อยด้วยแววฉลาดเฉลียว

    เสียงของบานประตูที่ผูกผลักเปิดออกดังขึ้นอย่างชัดเจนในโสตประสาทของเด็กชาย ทันใดนั้นสายลมเย็นก็เข้าปะทะใบหน้าของเด็กชาย พัดให้เส้นผมสีทองพิสุทธิ์ปลิวไปตามแรง”สายลมในแถบยุโรปช่างเย็นสบายดีเสียจริง”

    แพทริเซียหัวเราะคิกขณะควบคุมพลังเวทของตนให้ประตูปิดล็อคลงดังเดิม”ก็มันฤดูใบไม้ร่วงแล้วนี่นา อากาศก็จะเริ่มเย็นลงเรื่อยๆ อีกสักพักก็จะถึงฤดูหนาว...ถึงตอนนั้นก็จะเย็นกว่านี้มากเลยล่ะ”ริมฝีปากสีชมพูแย้มขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อหวนนึกถึงภาพหิมะสีขาวบริสุทธิ์น่าหลงใหลในวันที่อากาศดีพอจะให้ออกไปเดินเล่นข้างนอกได้ ก่อนร่างเล็กจะกลับหลังหันและจูงมืออัศมิตากลับไปยังถนนที่มุ่งตรงสู่ป่าอีกครั้ง

    พลันโสตสัมผัสของอัศมิตารับรู้ถึงเสียงฝีเท้าที่ลงน้ำหนักแผ่วค่อยคล้ายขโมยห่างออกไปจากตัวบ้านไม่มากนัก ใบหน้างดงามจึงขวับไปยังต้นเสียงในทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่เจ้าแมวตัวโตที่จับความผิดปกติจากกลิ่นได้ขู่ฟ่อขึ้นอย่างดุร้าย

    นัยน์ตาสีอเมทิสต์ทันเห็นเงาร่างมนุษย์อยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนที่จะหายไปในแนวต้นไม้หนาหลังตัวบ้าน”รอเดี๋ยวนะ!”เด็กหญิงปล่อยมือจากเพื่อนของตนก่อนขาเรียวยาวพาร่างวิ่งตามเงาปริศนาไปยังแนวต้นไม้ ศีรษะทุยสวยเหลียวมองโดยรอบและเดินสำรวจสั้นๆเพื่อค้นหาเงาที่ตนเห็น ทว่ากลับพบเพียงแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น

    “เป็นอย่างไรบ้าง แพทริเซีย...”เสียงหอบเล็กน้อยจากร่างของเด็กหญิงเป็นสัญญาณที่ทำให้เด็กชายรู้ว่าเธอกำลังเดินกลับมา นัยน์ตากลมโตเมื่อประกอบกับสีหน้าแล้วดูราวกับสะท้อนความเป็นห่วงจากใจออกมาได้

    “เป็นใครก็ไม่รู้ล่ะ แต่วิ่งเร็วเกินไปหน่อยแล้ว....”เสียงใสราวกระดิ่งลมสะท้อนความขุ่นเคืองที่ไม่อาจไล่ตามทันได้ ก่อนนัยน์ตาสีอเมทิสต์จะฉายแววคล้ายแมวดำที่เฝ้าระวังศัตรูพร้อมร่องรอยความเครียดปรากฏบนเครื่องหน้า”เราคงต้องรีบกันแล้วล่ะ”

     

     

    เด็กน้อยทั้งสองเดินมุ่งตรงลึกเข้าไปในเฉดสีเขียวของผืนป่ากว้างตามแนวต้นไม้ใหญ่โดยรอบที่สานสิ่งก้านสาขาแตกใบบดบังให้แสงอาทิตย์ลอดมาได้ตามช่องว่างระหว่างใบ  กลิ่นอายสดชื่นคล้ายยามฤดูร้อนโชยขึ้นสู่นาสิกสัมผัสในขณะเสียงสรรพสัตว์ดังขึ้นเป็นระยะคล้ายบทเพลงขับกล่อมจากธรรมชาติ ดึงให้จิตของเด็กหญิงย้อนกลับไปสู่อดีตเมื่ออยู่ที่บ้านใหญ่ชั่วครู่หนึ่งก่อนจะตระหนักได้ว่าตนได้เข้าใกล้ต้นตอของความรู้สึกเรียกหาขึ้นเรื่อยๆ

     ในป่าแห่งภูตพรายนี้ช่างเงียบสงบดีจริง....เด็กชายทำลายความเงียบขึ้นพร้อมรอยยิ้มบริสุทธิ์ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากน้อย ขาผอมบางก้าวอย่างระมัดระวังยิ่งขึ้นด้วยรู้สึกได้ถึงรากไม้ตะปุ่มตะป่ำใต้ฝ่าเท้าที่อาจทำให้ตนสะดุดล้มได้ทุกเมื่อ

    คำพูดของอัศมิตาจุดประกายความคิดแก่เจ้าของใบหน้างดงามขึ้นฉับพลันด้วยนึกหาวิธีหลอกล่อให้ภูตพรายแห่งป่าที่หลบซ่อนอยู่ปรากฏตัวได้”แน่ล่ะ พวกแฟรี่ที่หวงบ้านจะตายคงไม่ยอมให้มนุษย์มาส่งเสียงอึกทึกครึกโครมแถวบ้านหรอก”นัยน์ตาสีอเมทิสต์ปรายไปทางต้นไม้ด้วยท่าทีดูถูกที่สุดเท่าที่ตนจะแสดงได้”อย่างต้นไม้ที่ใหญ่ขนาดนี้ได้คงไม่ยอมให้ใครตัดมาเป็นร้อยปีแล้วล่ะมั้ง เอาแต่ใช้พลังดูแลป่าของตัวเองอยู่นั่นแหละ เสียแรงที่มนุษย์ยกย่องเป็นผู้พิทักษ์หมู่บ้านซะจริง”

    “ชักจะเกินไปแล้วนะยัยหนู!”เสียงเล็กแหลมตะโกนข้างหูของแพทริเซียคล้ายเหลืออด พลันปรากฏร่างหญิงสาวตัวน้อยขนาดไม่เกินสองฝ่ามือผู้ใหญ่ เรือนผมยาวที่ถูกประดับประดาด้วยดอกไม้เล็กจิ๋วและชุดที่รูปร่างคล้ายกลีบดอกไม้มีสีชมพูสดใสเช่นเดียวกับปีกรูปร่างคล้ายปีกฝีเสื้อ”พวกเราก็ช่วยดูแลพืชผักของมนุษย์เหมือนกัน....อีกอย่างถ้าขอดี ๆ แล้วเอาไม้ไปพอดีกับงานที่จะใช้ ใครจะไปหวง”

    เด็กชายตาบอดเหลียวหันมายังทิศของภูตตัวน้อยก่อนความอัศจรรย์ใจจะปรากฏขึ้นบนใบหน้าคล้ายต้องมนตร์สะกด”ท่านคือแฟรี่จริง ๆ อย่างนั้นหรือ”

    “ก็ใช่น่ะสิ”ภูตตัวน้อยยังคงมีสีหน้าบูดบึ้งคล้ายไม่พอใจเสียเท่าใดนัก ก่อนนัยน์ตาสีชมพูจะมองมายังเด็กน้อยทั้งสองคล้ายจ้องจับผิด”แล้วเด็กน้อยเช่นพวกเจ้ามาทำอะไรกลางป่าสองต่อสอง ดูท่าทางพวกเจ้าไม่ใช่เด็กซุกซนที่พลัดหลงกับพ่อแม่แน่”

    “เอาล่ะ ก่อนอื่นต้องขอโทษจริง ๆ ที่ฉันพูดจาแบบนั้นออกไป.....ฉันชื่อแพทริเซีย เป็นจอมเวท”เสียงใสเอ่ยด้วยจังหวะคล้ายเจรจาต่อรองกับอีกฝ่ายหนึ่ง ใบหน้างดงามปรากฏท่าทีคล้ายความสำนึกผิด”...ส่วนนี่อัศมิตา พวกเรามาตามหาเด็กผู้หญิงที่ชื่อเวร่า”

    แฟรี่สาวผ่อนคลายความขุ่นเคืองบนใบหน้าลงหลังจากได้ยินคำขอโทษ ก่อนนิ่งไปคล้ายใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง”มีหลักฐานอะไรมาพิสูจน์ว่าสิ่งที่เจ้าพูดมาเป็นเรื่องจริง”

    “ข้อหนึ่ง ฉันมาจากเมืองอื่นก็จริง...แต่ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพวกที่ตั้งใจจะมาตัดไม้ คนที่ขอให้ฉันช่วยก็คือแอนน์ที่เป็นเพื่อนสนิทของเวร่า”แพทริเซียดึงความสนใจของตนที่ล่องลอยไปยังเสียงเพรียกหาให้กลับสู่ปัจจุบันก่อนที่จะผายมือไปทางเจ้าแมวตัวโต”ข้อที่สอง แอนน์ฝากให้พวกเราช่วยดูแลแมวตัวนี้ไปก่อนเพราะวันนี้เธอยุ่งมาก....เธอบอกว่ามันเคยเป็นแมวของเวร่า ฉันคิดว่าเวร่าที่ผูกพันกับป่าจนออกมาต่อต้านพวกช่างไม้น่าจะเคยพามันมาที่นี่บ้าง”

    “หืม...”แฟรี่หวนนึกถึงแมวสีส้มตัวน้อยที่เด็กหญิงผมแดงเคยอุ้มเข้ามาในป่าแห่งภูตพรายก่อนบินตรงดิ่งไปยังร่างสี่เท้าที่ยืนอยู่เพื่อความแน่ใจ แม้ใบหน้าและดวงตาจะยังคงคล้ายกับแมวตัวเดิมที่เธอเคยเล่นด้วย ทว่าหญิงสาวกลับรู้สึกว่าตนไม่ควรประมาท ปีกทั้งสองข้างขยับพาร่างไปอยู่ด้านข้างลำตัวก่อนที่มือเล็กจิ๋วจะล้วงเข้าไปใต้ขนนุ่มนิ่มและคลำหาร่องรอยแผลเป็นที่ตนยังคงจำได้ดี”เข้าใจแล้ว ข้าเชื่อใจพวกเจ้า”เสียงเล็กแหลมเอ่ยขึ้นเมื่อนิ้วของตนคลำเจอร่องรอยของบาดแผลที่ยากจะปลอมแปลง

    แพทริเซียถอนหายใจโล่งอกก่อนสูดกลิ่นไอสดชื่นของผืนป่าเข้าไปเต็มปอด นัยน์ตาสีอเมทิสต์ฉายแววชื่นชมภาพความงดงามของทัศนียภาพที่คล้ายป่าในเรื่องเล่าปรัมปรา”ถ้าอย่างนั้นเวร่าเป็นยังไงบ้าง เธอหนีมาซ่อนตัวที่นี่หรือเปล่า”

    แฟรี่สาวบินพุ่งขึ้นมาอยู่ในระดับสายตาของเด็กหญิงอีกครั้ง”นางหนีมนุษย์โลภมากพวกนั้นมาจริง ท่านราชินีให้นางพักอยู่แถวๆเขตฤดูใบไม้ผลิที่ชั้นในสุด...จะให้ข้าพาไปหาเลยก็ได้นะ”

    หน้าอกของเด็กหญิงลดระดับลมพร้อมลมหายใจที่ถูกผ่อนออก“ไม่หรอก ขอแค่รู้ว่าเธอยังปลอดภัยอยู่ก็ดีแล้วล่ะ....ไว้รอแอนน์ทำงานเสร็จค่อยไปหาด้วยกันจะดีกว่า”มือเรียวยกขึ้นปรามร่างเล็กจิ๋วที่เริ่มออกอาการตื่นเต้นขึ้นมากะทันหันพร้อมส่ายศีรษะจนเรือนผมยาวสีม่วงขยับไปตามแรง”ว่าแต่แฟรี่ในป่านี้มีถึงขั้นราชินีแฟรี่เลยเหรอ...แปลว่าเป็นป่าที่เก่าแก่จริง ๆ”

    “โอ้โฮ รู้ข้อมูลละเอียดสมเป็นจอมเวทย์เลยนะ”ภูตสาวฉีกยิ้มกว้างจนเห็นฟันซี่จิ๋วให้เด็กหญิงด้วยท่าทีร่าเริงผิดกับเมื่อครู่ขณะพิศมองร่างของอีกฝ่ายอย่างละเอียด พลันน้ำเสียงเล็กแหลมนุ่มนวลขึ้นราวกับพูดถึงผู้ที่ตนเทิดทูนสุดหัวใจ”ท่านราชินีเป็นสตรีที่มีความงดงามเลิศล้ำเกินมนุษย์....ท่านจึงไม่ค่อยที่จะปรากฏตัวให้มนุษย์ที่เข้ามาในป่าเห็นนัก และท่านไม่เคยที่จะทำร้ายดวงวิญญาณบริสุทธิ์เช่นเด็กน้อยอย่างพวกเจ้า”

    “หมายความว่าหากวิญญาณดวงนั้นไม่บริสุทธิ์เสียแล้ว...องค์ราชินีแฟรี่อาจทำร้ายพวกเขาได้อย่างนั้นหรือ”ความรู้สึกผิดสังเกตเร่งเร้าให้เสียงเล็กถามคำถามออกมาขณะคิ้วเรียวขมวดมุ่น

    “ข้าไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นเสียหน่อย...ท่านราชินีเตือนคนที่มาแสวงหาผลประโยชน์จากบ้านของพวกเราอยู่หลายครั้ง แต่พวกเขาเลือกที่จะไม่ฟัง”ปีกของแฟรี่สาวขยับถี่รัวก่อนที่ร่างเล็กจิ๋วจะเคลื่อนมาหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กชาย”และถ้าพวกเราไม่ยอมทำอะไร....ที่นี่ก็จะต้องหายไปเพราะน้ำมือมนุษย์เข้าสักวัน”เสียงเล็กแหลมเย็นเยียบราวคมมีดเยือกแข็ง ประกายความสนุกสนานในดวงตาสีชมพูมลายหายไปกับสายลม

    “เราเข้าใจแล้ว...”อัศมิตาสัมผัสถึงความรู้สึกปรารถนาจะปกป้องที่หนักแน่นกว่าสิ่งใดในน้ำเสียงของคู่สนทนา”ทว่าเราขอถามอีกเรื่องหนึ่งได้หรือไม่ นอกจากธรรมชาติเป็นผู้ให้ชีวิตและเป็นบ้านแก่ท่านแล้ว...สาเหตุใดบ้างที่ทำให้ท่านรักและปรารถนาที่จะปกป้องผืนป่า”

    พลันภูตสาวรู้สึกราวกับเริ่มเข้าใจบางสิ่งมากขึ้น”ไม่เหมือนกับเพื่อนของเจ้า...เจ้าเป็นมนุษย์ธรรมดาใช่ไหม หนูน้อย”สายตาของร่างเล็กพิจารณาเด็กชายผมสีทองอย่างละเอียดลอออีกครั้ง แม้จะมีเค้าโครงของความสง่างามแฝงอยู่ภายใน หากแต่เด็กชายกลับไร้ซึ่งความเป็นผู้ใหญ่เกินวัยดังเช่นเพื่อนของตน

    ”ฟังนะ แม้ว่าทุกวันนี้จะยังคงมีผืนป่าหลงเหลืออยู่มากมายจนมนุษย์ทั่วไปอาจคิดว่าไม่สำคัญ...หากแต่พวกเจ้าเป็นเผ่าที่สร้างความก้าวหน้าทางอารยธรรมได้อย่างรวดเร็ว และทุกการพัฒนาจะต้องใช้ทรัพยากร พวกเจ้าไม่เหมือนกับจอมเวทที่รู้จักเผ่าพันธุ์อื่นแล้วพยายามหาทางลดผลกระทบให้น้อยลง เพราะอย่างนั้นในอนาคตทรัพยากรสำคัญอย่างป่าไม้คงจะลดลงมาก....และเมื่อต้นไม้ที่สร้างอากาศให้มนุษย์หายไป สภาพอากาศก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลง และผู้ที่ได้รับผลกระทบจะขยายไปเป็นวงกว้าง ไม่ใช่แค่แฟรี่หรือมนุษย์อีกต่อไป”

    อัศมิตานิ่งอึ้ง จินตนาการในดวงจิตสมมุติถึงผลกระทบที่กลายเป็นลูกโซ่ แสงแดดที่แผดเผาบนผืนดินแห้งแข็งไร้ร่มเงาไม้คอยบรรเทา”เช่นนั้นเราจักพยายามรักษาธรรมชาติเหล่านั้นไว้ให้จงได้เช่นกัน”

    แม้การสนทนากับแฟรี่สาวจะทำให้ได้รับข้อมูลใหม่ๆที่น่าสนใจ หากแต่จิตของแพทริเซียหวนนึกถึงเรื่องที่เด็กหญิงผมบลอนด์แดงเคยเอ่ย มือข้างที่จับอัศมิตาไว้บีบแน่นขึ้นเล็กน้อยคล้ายลำบากใจ”จริง ๆ ฉันเองก็อยากคุยกับคุณต่อ แต่ว่าเวลาก็ผ่านมาพักนึง...คิดว่างานของแอนน์คงคืบหน้าไปพอสมควรแล้ว เพราะงั้นคงต้องขอตัวไปรอที่ ๆ เรานัดกันไว้ก่อน ถ้ายังไงเดี๋ยวค่อยกลับมาคุยใหม่นะ”

    ศีรษะเล็กจิ๋วพยักหน้าเป็นเชิงเข้าใจขณะที่สายลมพัดมาวูบหนึ่ง”ถ้าข้าพูดอะไรไม่ดีออกไปก็ขอโทษนะ...ข้าไม่ได้คุยกับมนุษย์ธรรมดาสักเท่าไหร่ ไว้เจอกันนะเด็กน้อยทั้งสอง”มือเล็กโบกมืออำลาก่อนที่นัยน์ตาคู่กะจิริดจะจ้องมองแพทริเซียและอัศมิตาหันหลังเดินจากไปจนลับสายตา

     

    จอมเวทงั้นเหรอ

    ข้ารู้สึกได้ว่ามีอีกสิ่งหนึ่งจากตัวนาง....พลังที่กล้าแกร่งหลับใหลอยู่ภายใน

     

    พลันเสียงพูดรัวเร็วแทบไม่ได้จังหวะดังขึ้นจากด้านหลัง ขัดจังหวะความคิดของแฟรี่สาวให้หยุดชะงักลงทันควัน

    “โรซี...เกิดเรื่องแล้ว”แฟรี่อีกตนที่อ่อนเยาว์กว่าปรากฏกายขึ้น เรือนผมที่ถูกถักเป็นเปียเส้นยาวและดวงตาเป็นสีเหลืองอ่อนจางคล้ายก้อนเนย ปีกของร่างเล็กจิ๋วกระพือขึ้นลงอย่างอ่อนล้า

    นัยน์ตาสีชมพูเข้มเบิกกว้างเมื่อเห็นใบหน้าซีดเผือดของผู้ที่เปรียบเสมือนน้องสาวขณะบินโฉบเข้าไปใกล้”เกิดอะไรขึ้น พริม!

    “เวร่าน่ะ...”เสียงเล็กแหลมแผ่วค่อยลงคล้ายเหนื่อยอ่อนอย่างที่ไม่เคยเป็น”...หายตัวไปแล้ว”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×