ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Saint Seiya The Lost Canvas] The White Sky Memories

    ลำดับตอนที่ #18 : ค่ำคืน

    • อัปเดตล่าสุด 15 มี.ค. 61


    นัยน์ตาสีฟ้าเทาคล้ายเมฆครึ้มเบิกกว้างขึ้นเมื่อได้ฟังเรื่องราวจากเด็กน้อยทั้งสอง”อย่างนี้นี่เอง พวกเจ้าเดินทางมาจากประเทศอื่นสินะ”ใบหน้าที่มีรอยกระสีน้ำตาลพาดเป็นแนวขวางบริเวณจมูกยิ้มให้แก่ฝ่ายตรงข้ามเป็นเชิงต้อนรับ”ข้าชื่อแอนน์ อาศัยอยู่ในหมู่บ้านใกล้ๆนี่เอง”

    “ฉันแพทริเซีย ส่วนนี่อัศมิตา”เด็กหญิงผมสีม่วงผายมือไปทางเด็กชายตาบอดที่กำลังลูบขนเจ้าแมวตัวกลมอย่างเพลิดเพลิน”พวกเรากำลังตามหาที่พักอยู่ แถวนี้พอจะมีบ้างไหม”

    ร่างสูงเก้งก้างตบมือดังแปะ”พอดีเลย บ้านข้าเปิดเป็นโรงแรม...ไว้สำหรับพวกเดินทางข้ามเมืองมาแวะพักน่ะ ถ้าสนใจจะมาพักที่นี่ไหม”เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลงแสดงให้เห็นว่าอยู่ในเวลาเย็น”กว่าจะถึงเมืองหรือหมู่บ้านข้างหน้าก็ไกลพอดู เดินทางกันมืดๆสองคนมันอันตราย”

    นัยน์ตาสีอเมทิสต์เหลียวมองเด็กชายก่อนจะส่งโทรจิตให้อีกฝ่ายได้รับรู้”เอาไงดี เธออยากจะลองพักที่นี่ดูก่อนไหม”

    “การเดินทางยามรัตติกาลอาจมีอันตรายดังที่นางกล่าว พักที่นี่ก่อนคงมิเป็นอะไรมากกระมัง....”เด็กชายส่งโทรจิตตอบรับผ่านแผ่นไม้แกะสลักที่ใส่อยู่ในกระเป๋ากางเกง

    แพทริเซียพิจารณาความคิดเห็นของเด็กชายและโอกาสที่จะเกิดอันตรายขึ้นก่อนเอ่ยตอบ”ตกลง ช่วยนำทางเราไปด้วยแล้วกัน” คิ้วสีม่วงขมวดมุ่นเล็กน้อยเมื่อสัมผัสได้ถึงความปั่นป่วนที่ซ่อนอยู่ในความรู้สึก

     

    อะไรกันนะ

    ทำไมรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆอย่างกับจะมีอะไรเกิดขึ้นอย่างนั้นแหละ

     

    แต่ยังไงสิ่งที่ฉันต้องทำ...ก็คือการระวังตัวอยู่แล้วนี่นา

    จะให้อัศมิตามาเดือดร้อนเพราะฉันไม่ได้

     

     

     

     

    “แม่ขา ข้ากลับมาแล้ว”เด็กหญิงที่กำลังจะก้าวสู่วัยแรกรุ่นในไม่ช้าโบกไม้โบกมือให้แก่ผู้เป็นมารดาทันทีที่ประตูโรงแรมถูกเปิดออก

    “ไปไหนมา ฮึ จะอู้งานหรือไง”หญิงสาวผมบลอนด์ซีดผู้มีใบหน้าเรียวยาวคล้ายม้ายืนกอดอกด้วยท่าทีไม่พอใจขณะเห็นชายกระโปรงสีเข้มของลูกสาว

    “ข้าแค่ไปหาจินเจอร์เท่านั้นเอง มันหนีออกไปอีกแล้ว”จังหวะการพูดที่ไม่อ่อนหวานดังเช่นเด็กหญิงทั่วไปบ่นอุบอิบขณะเบนสายตาไปยังเจ้าแมวที่ยืนอยู่บนพื้น”ดูสิ! ข้าพาแขกมาด้วยล่ะแม่”ศีรษะที่ถูกปกคลุมด้วยผมสีบลอนด์แดงยุ่งเหยิงพยักเพยิดไปทางเด็กน้อยต่างถิ่น

    “โอ้ ดีมาก ไม่น่าเชื่อว่าแกจะทำอะไรที่ดีกว่าการเดินตามก้นนังแม่มดโสมมนั่นได้”เสียงแหลมปรี๊ดของผู้เป็นมารดายังไม่เลิกกัดจิก”เกิดมาก็หน้าตาคล้ายแม่มดอยู่แล้ว อย่าทำอะไรนอกลู่นอกรอยไปมากกว่านี้นักเลย”

    ใบหน้างดงามของแพทริเซียพลันซีดเซียวลงจนคล้ายหิมะกลางฤดูหนาว พร้อมสีเลือดฝาดบนแก้มขาวเนียนพลันมลายหายไปสิ้น มือข้างที่เกาะกุมอัศมิตาสั่นระริกอย่างไม่อาจควบคุมได้

     

    แม่มด หมายความว่ายังไง

    คนในหมู่บ้านนี้รู้ถึงการมีอยู่ของพวกเราด้วยเหรอ

     

    เดี๋ยวสิ ใจเย็นก่อน

    พวกมนุษย์แถบนี้เองก็มีอคติว่าพวกผมสีโทนแดงจะเป็นแม่มดอยู่แล้วนี่

    บางทีผู้หญิงคนนี้อาจไม่ได้หมายถึงจอมเวทตรงๆก็ได้

     

    “เจ้ากำลังไม่สบายใจอยู่ใช่หรือไม่ แพทริเซีย ด้วยเพราะสตรีผู้นั้นกล่าวถึงเรื่องแม่มด”ใบหน้าที่งดงามราวรูปสลักของอัศมิตายื่นเข้ามาใกล้ด้วยเป็นห่วง มือผอมบางกระชับมือของแพทริเซียให้แน่นขึ้นเป็นการให้กำลังใจ

    “นิดหน่อยน่ะ แต่บางทีฉันอาจจะคิดมากไปเองก็ได้”ริมฝีปากสีชมพูส่งยิ้มให้เพื่อนของตนอย่างอ่อนแรง”ถ้าฉันไม่ได้แสดงพิรุธอะไรไป โอกาสที่จะจับได้ว่าฉันเป็นจอมเวทก็คงไม่มาก”

    ใบหน้าแหลมเบนความสนใจมายังแพทริเซียและอัศมิตา และดวงตาทั้งสองข้างยิ่งสะท้อนแววสนใจมากขึ้นเมื่อประเมินเสื้อผ้าเนื้อดีที่ทั้งคู่สวมใส่ เสียงแหลมเปลี่ยนจังหวะการพูดไปจากเมื่อครู่ราวกับเป็นคนละคน”ยินดีต้อนรับสู่หมู่บ้านเล็กๆของเรานะจ๊ะเด็กๆ ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะมีความสุขตลอดช่วงเวลาที่อยู่ที่นี่”รอยยิ้มที่ดูคล้ายจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ถูกฉีกกว้างขึ้น ไร้ซึ่งความจริงใจแฝงอยู่ในดวงตาโดยสิ้นเชิง

     

     

    น่าขนลุกสุดๆไปเลย

    ท่านปิแยร์นั่นยังพอเข้าใจได้ว่าต้องรักษามาดชนชั้นสูง แต่นี่มันอะไรกัน

    รู้สึกอึดอัดกว่าตอนเห็นรอยยิ้มคุณมารีครั้งนั้นด้วยซ้ำ

     

    แพทริเซียต้องใช้ความพยายามอย่างยิ่งที่จะไม่ให้คิ้วขมวดลงนักระหว่างการสนทนากับหญิงสาว และเมื่อตกลงราคาและจำนวนวันเข้าพักได้แล้ว ร่างเล็กจึงอดถอนหายใจเบาๆไม่ได้

    “พาแขกของเราขึ้นไปส่งที่ห้องซะ แอนน์”หญิงสาวร่างผอมหันไปกำชับกับเจ้าของเรือนผมสีบลอนด์แดงที่ก้มหน้ามองพื้นก่อนจะหันกลับไปทำธุระที่ตนคั่งค้างไว้ต่อ”อ้อ หลังจากนั้นเอาของไปให้ห้องที่เพิ่งมาถึงด้วย”

    “ค่ะ แม่”เจ้าของชื่อรับคำสั้นๆก่อนจะหันมาทางแพทริเซียและอัศมิตาด้วยแววตาคล้ายต้องการขอโทษขอโพย”เอาล่ะ ตามข้ามาทางนี้”ร่างสูงเก้งก้างเดินนำเด็กน้อยทั้งสองไปยังทางเดินยาวที่มีประตูไม้ติดกันหลายบาน เรือนผมสีบลอนด์แดงพลิ้วไหวเบาๆตามสายลมที่โชยเข้าทางรอยต่อของบานหน้าต่างระหว่างเดินขึ้นบันได

    “ถึงแล้วล่ะ”แอนน์หยุดลงหน้าประตูไม้ที่ใหญ่กว่าบานอื่นเล็กน้อยก่อนหัวเราะแห้งๆ”ขอโทษที่ทำให้พวกเจ้าต้องมารับรู้เรื่องน่าอายแบบนั้นนะ แล้วก็...ตรงนั้นคือห้องข้าเอง ถ้าพวกเจ้ามีปัญหาอะไรก็แวะมาได้เสมอ”นิ้วมือที่กร้านและโปนคล้ายเด็กผู้ชายชี้ไปทางประตูริมทางเดินที่แตกต่างจากบานอื่น

    “ขอถามอะไรหน่อยสิ ไม่ใช่ว่าฉันไม่อยากจะวางใจเธอนะ แต่...”ประกายในดวงตาสีม่วงของแพทริเซียวาวโรจน์ขึ้นจนคล้ายนกฮูกที่กำลังจับจ้องเป้าหมายอย่างพิจารณา”จากที่ฉันสังเกตมา ดูเหมือนว่าตอนนี้ห้องข้างล่างบางห้องน่าจะไม่มีใครอยู่ แล้วทำไมเธอถึงอยากให้เรามาพักที่ห้องนี้”

    “อา...โดนจับได้ซะแล้วสิ”เสียงที่ไม่ใสนักเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้มเจื่อนๆ”ข้ามีเรื่องที่อยากจะคุยกับพวกเจ้า...บางสิ่งทำให้ข้าแน่ใจว่าต้องเป็นพวกเจ้าที่ข้าควรบอก”แววตาของเด็กหญิงสะท้อนประกายบางอย่างที่ทำให้นึกถึงนัยน์ตาหลังกรอบแว่นของหญิงสาวในความทรงจำ

     

    แววตาที่ดูเศร้าแล้วก็เต็มไปด้วยความไว้วางใจแบบนั้น

    อย่างกับว่าเห็นฉันเป็นพวกเดียวกันอย่างนั้นแหละ

     

    ทำไมเธอถึงคิดแบบนั้นกับคนที่เพิ่งเคยเจอล่ะ

    หรือเธอจะรู้แล้วว่าฉันไม่ใช่มนุษย์

     

    แพทริเซียรู้สึกถึงจังหวะการเต้นตึกตักในอกที่ดังราวจะทะลุออกจากร่างขณะที่พยายามปั้นสีหน้ามิให้แสดงพิรุธใดออกมา พร้อมกับน้ำลายเหนียวฝืดถูกกลืนลงคอไป

    แต่ช่างเรื่องนั้นก่อนเถอะ ข้ายังต้องไปช่วยแม่ทำงานอีกตั้งมาก”แอนน์สามารถจับความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าอีกฝ่ายได้เล็กน้อยจึงยิ้มออกมาเพื่อสร้างความผ่อนคลายให้บรรยากาศ”หลังจากมื้อเย็นข้าคงจะว่างแล้ว ไว้ตอนนั้นค่อยมาคุยก็ได้...ระหว่างนี้ก็พักผ่อนให้สบายเถอะนะ”โดยไม่รอคำตอบใดจากคู่สนทนา ร่างสูงโบกมือให้ก่อนจะวิ่งลงบันไดไปอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบราวกับสายลม

    “อะไรของเธอกันนะ แปลกคนดีจริงๆ”แพทริเซียส่ายศีรษะเพื่อไล่ความคิดที่รบกวนออกไปจากสมอง มือเนียนนุ่มเปิดประตูเข้าไปด้วยความรู้สึกสับสนอย่างประหลาด

    บรรยากาศภายในสบายกว่าที่เด็กหญิงคาดไว้ การตกแต่งภายในเรียบง่ายตามแบบชาวบ้านทว่าดูอบอุ่น เน้นสิ่งของจากไม้เป็นส่วนใหญ่เพื่อขับเน้นโทนสีน้ำตาลของตัวห้องให้โดดเด่น เด็กหญิงจูงมือเด็กชายรี่เข้าไปที่เตียงใหญ่ซึ่งขนาดเพียงพอสำหรับนอนได้สองคนก่อนหย่อนตัวลงนั่ง

    “คิดเหมือนกันไหมว่าแม่ของแอนน์ให้ความรู้สึกน่าอึดอัดมากๆ”ใบหน้างดงามราวภูตพรายหันเข้าหาเด็กชายตาบอดที่กำลังใช้มือข้างหนึ่งคลำลงบนเตียงและนั่งลงอย่างระมัดระวัง

    อัศมิตาก้มหน้าลงขณะหวนนึกถึงน้ำเสียงที่แตกต่างกันอย่างมากระหว่างพูดกับผู้เป็นลูกสาวและพวกตน”เรารู้สึกไม่ชอบใจเสียเท่าใดนักที่นางใช้น้ำเสียงเช่นนั้นต่อแอนน์ เท่าที่เราทราบ...แม่มดเป็นอีกนามหนึ่งของจอมเวทหญิง ทว่าเพราะเหตุใดน้ำเสียงของนางจึงได้รังเกียจเดียดฉันท์มิต่างอะไรไปจากการที่ผู้คนกล่าวถึงจัณฑาลในอินเดียเล่า”

    “อย่างกับเธอกำลังหลอกถามฉันอยู่เลยนะ เอาเถอะ จะเล่าคร่าวๆก่อนก็แล้วกัน”แพทริเซียพลันรู้สึกราวกับโดนหมัดเหวี่ยงกระแทกหน้าท้องจนจุกขณะอดีตของตนผุดขึ้นมาหลอกหลอนอีกครั้ง เสียงใสที่กระซิบตอบฟังดูหดหู่ที่สุดตั้งแต่ที่อัศมิตาได้รู้จักกับเธอ...ราวกับความคิดของเด็กหญิงกำลังจมดิ่งลงสู่ก้นบึ้งมหาสมุทร

    ”เพราะมนุษย์กลัวพวกเรา จอมเวทเหมือนกับสิ่งที่ทรงอำนาจแล้วก็คาดเดาไม่ได้ในสายตาพวกเขา เพราะงั้นพวกเขาเลยมองเหมือนกับว่าเราเป็นปีศาจ....ต่อให้เธอทำประโยชน์กับใครมาแค่ไหนสุดท้ายมันก็จะลงเอยด้วยความเลวร้ายถ้าพวกเขารู้ฐานะของเธอ”เด็กหญิงเงยหน้าขึ้นมองเพดานไม้อย่างเลื่อนลอยขณะริมฝีปากเผยรอยยิ้มที่ดูราวนึกประชดตนเอง

    แม้จะมิอาจมองเห็นสิ่งใด ทว่านัยน์ตาสีฟ้าสดกลับเบิกกว้างด้วยตกตะลึงในเรื่องที่เด็กหญิงเล่า การได้สัมผัสอารมณ์ความรู้สึกของฝ่ายตรงข้ามตลอดเวลาที่อยู่ร่วมกันทำให้อัศมิตารู้สึกราวกับว่าแพทริเซียมิต่างอะไรจากมนุษย์ทั่วไปนัก หากแต่ในคราวนี้...เป็นครั้งแรกที่เด็กชายตาบอดสัมผัสได้ถึงความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์ ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจพุ่งขึ้นมาอย่างท่วมท้นขณะมือข้างที่จับอีกฝ่ายไว้บีบแน่นขึ้นเล็กน้อย

     

     

    มิอาจทำใจให้สบายได้

    ครานี้แพทริเซียผู้พยายามรักษาความเข้มแข็งไว้ตลอดกลับมีน้ำเสียงโศกเศร้าราวเก็บทุกอย่างไว้ในใจมาแสนนาน

    หรือเป็นเพราะเหตุนี้...นางจึงกลัวการใช้เวทมนตร์ต่อหน้าผู้อื่น

     

    ทว่าเพราะเหตุใดพวกเขาจึงต้องหวาดกลัวด้วยเล่า

    แม้ต่างเผ่าพันธุ์ทว่าการแสดงออกมิต่างไปจากมนุษย์แม้เพียงเล็กน้อย

    เรามิอาจเข้าใจได้เลย

     

    “เจ้าเคยประสบเหตุเช่นเรามาก่อนใช่หรือไม่”เด็กชายเงยหน้าขึ้นยังทิศของผู้เป็นเพื่อน คำก่นด่าสาปแช่งถึงความเป็นกาลกิณีของจัณฑาลเช่นเขาหวนกลับมาในความคิดอีกครั้ง แม้เพียงคิดว่าแพทริเซียจะต้องถูกเสียงซุบซิบนินทาและความเกลียดชังโถมเข้าใส่ดังเช่นที่ตนถูกกระทำ ความเจ็บปวดก็พลันบังเกิดขึ้นในใจอย่างรวดเร็ว

    กระทั่งชั่วขณะหนึ่ง เด็กชายภาวนาให้ตนสามารถรับรู้ได้ถึงความทุกข์ทรมานเหล่านั้นได้ดังเช่นสิ่งที่ปรากฏในสมองเมื่อครั้งแพทริเซียเล่าถึงตระกูลสการ์เล็ต

    กล้ามเนื้อบนใบหน้าของแพทริเซียยังคงพยายามรักษารอยยิ้มไว้อย่างสุดความสามารถ ขณะเสียงแผ่วเบาเอ่ยตอบราวต้องการให้จางหายไปกับสายลม”เรื่องนั้นน่ะ ไว้ค่อยเล่าตามที่ฉันสัญญาไว้แล้วกันนะ....”

    เด็กชายพยักหน้าหงึกหงักอย่างว่าง่ายด้วยไม่ต้องการให้เด็กหญิงไม่สบายใจ เสียงเล็กเอ่ยถามขึ้นคล้ายต้องการเสนอแนวทางแก้ไขให้”ถ้าเช่นนั้นหากพ้นค่ำคืนนี้ไป...การรีบออกจากโรงแรมแห่งนี้เร็วกว่าที่ตกลงไว้กับหญิงผู้นั้นจะดีหรือไม่”

    “ตามหลักแล้วมันก็ควรจะดีล่ะนะ”แพทริเซียเอ่ยราวกับครุ่นคิดถึงบางสิ่ง”แต่ว่า...ฉันรู้สึกเหมือนมีอะไรในตัวเรียกร้องว่ายังออกไปจากที่นี่ไม่ได้”

    นัยน์ตาสีม่วงมองเหม่อพ้นหน้าต่างออกไปยังทิวทัศน์สีส้มเหลืองของฤดูใบไม้ร่วง พลันคิ้วเรียวเลิกขึ้นจนแทบหายไปใต้เรือนผมเมื่อมองเห็นเฉดสีที่ผิดแปลกไปจากป่าไม้บริเวณรอบข้าง

     

     

    “แม่ข้าเตรียมมื้อเย็นเสร็จแล้ว จะมากินด้วยกันไหม”ใบหน้าตกกระและเรือนผมยุ่งสีบลอนด์เกือบแดงโผล่ออกมาจากรอยแง้มบริเวณประตู”พอดีว่าที่นี่มีพื้นที่สำหรับขายอาหารด้วยน่ะ อยู่ที่สุดทางเดินอีกด้านของชั้นหนึ่ง...พวกเจ้าสามารถหาของทานได้โดยไม่ต้องออกไปในตัวหมู่บ้าน”แอนน์เสริมต่อด้วยรอยยิ้มคล้ายเชื้อเชิญ

    “เอายังไงดี อัศมิตา เธออยากจะกินมื้อเย็นที่นี่ไหม”แพทริเซียหันไปทางเด็กชายตาบอดขณะถามด้วยน้ำเสียงลังเลเล็กน้อยคล้ายกำลังตัดสินใจ

    “ตัวเรานั้นปรารถนาที่จักรับประทานอาหารพื้นถิ่นอยู่ ทว่าการรับประทานอาหาร ณ ที่แห่งนี้จักปลอดภัยแน่หรือ...”แม้เสียงเล็กจะถูกส่งผ่านทางโทรจิต ทว่าความเป็นกังวลถูกแสดงออกมาผ่านสีหน้าจนผู้ที่ยืนอยู่บริเวณประตูรู้สึกผิดสังเกตเล็กน้อย”เราและเจ้านั้นก็ได้มีความคิดเห็นตรงกันว่ามารดาของแอนน์นั้นให้บรรยากาศที่น่าอึดอัด หากนางคิดประสงค์ร้ายโดยการใส่ส่วนผสมแปลกๆลงไปในอาหาร...”

    “ถึงผู้หญิงคนนั้นจะน่าขนลุกแปลกๆ แต่ฉันคิดว่าเธอคงไม่น่าจะผสมอะไรลงไปในอาหารหรอกนะ ส่วนใหญ่โรงแรมแบบนี้จะมีการขายอาหารให้พวกแขกที่มาพักค้างคืนอยู่แล้ว อีกอย่างฉันเห็นเธอจ้องเสื้อผ้าพวกเราตาเป็นมัน ถ้าจะหวังเงินในกระเป๋าพวกเรา...ฉันคิดว่าคงเน้นไปที่การบริการที่ดีมากกว่าจะวางยาแล้วรูดทรัพย์นะ เรื่องพวกนั้นถ้าหลุดไปได้คงส่งผลเสียต่อชื่อเสียงที่นี่แน่”เสียงใสกล่าวอย่างสุขุมดังเช่นผู้มีประสบการณ์เดินทางมาก่อน

    “คงจะเป็นดังเช่นที่เจ้าว่า...”รอยยิ้มน้อยๆผุดขึ้นมาอย่างโล่งอกเมื่อผู้เป็นเพื่อนช่วยชะล้างจินตนาการน่าสะพรึงกลัวของตนออกจากสมอง”เช่นนั้นแล้วเราตกลงรับประทานอาหารเย็น ณ ที่แห่งนี้”

    “ฉันก็ด้วย...”

    “จริงเหรอ ถ้างั้นข้าจะลงไปบอกแม่ก่อนแล้วกัน”ริมฝีปากบางยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวสะอาดขณะร่างสูงเก้งก้างหมุนตัวกลับไปยังทางเดินอย่างกระตือรือร้น”แล้วรีบๆลงมาหน่อยล่ะ ตอนนี้อาหารยังร้อนๆอยู่เลย”

    “เข้าใจแล้ว”

    แพทริเซียอมยิ้มขึ้นมานิดๆเมื่อเห็นเรือนผมสีบลอนด์เกือบแดงที่ถูกมัดไว้ลวกๆหายลับไป”เป็นคนที่กระตือรือร้นดีจังเลยนะ...”เสียงใสเปลี่ยนเป็นจังหวะเรียบเอื่อยชวนให้นึกถึงผิวน้ำยามคลื่นลมสงบ

    เสียงย่ำฝีเท้าลงบันไดไปยังเบื้องล่างดังแว่วมายังโสตสัมผัสของอัศมิตาพร้อมกับที่เด็กชายเลิกคิ้วขึ้นน้อยๆด้วยสังเกตได้ถึงความผิดปกติในน้ำเสียงของเด็กหญิง”สิ่งที่เจ้าพูดมีความหมายอื่นแฝงอยู่อย่างนั้นหรือ...”

    “อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก”เสียงใสราวกระดิ่งลมกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งขณะลิ้นชักในส่วนลึกแห่งความทรงจำถูกดึงเปิดออก”แค่คิดขึ้นมาเฉยๆน่ะว่าถ้าเกิดฉันอยู่กับพ่อแม่ที่น่าอึดอัดแบบนั้น...” ภาพของเด็กหญิงวัยราวแปดเก้าปีผุดขึ้นในสมอง ผมสีดำกร้านแดดจนออกแดงรวมกับผิวสีคล้ำอันเป็นเอกลักษณ์ของกลุ่มชนเร่ร่อนตัดกับฟันขาวสะอาดที่ปรากฏเวลาเจ้าของริมฝีปากฉีกยิ้มกว้าง

    “ฉันจะยังยิ้มหรือทนอยู่ในสภาพแบบนั้นได้หรือเปล่านะ...”

    “เราเชื่อว่าเจ้าต้องยิ้มได้...แม้เจ้าจะพบสิ่งเลวร้ายมาอย่างไรก็ตาม ทว่าเจ้าสามารถยืนหยัดผ่านเรื่องราวเหล่านั้นและส่งมอบรอยยิ้มให้แก่ผู้อื่นได้มิใช่หรือ”เสียงเล็กเอ่ยขึ้นคล้ายต้องการแสดงความเชื่อมั่นในตัวอีกฝ่าย”ถึงนัยน์ตาของเรามิอาจมองเห็นสิ่งใด แต่ตัวเราสามารถสัมผัสความเข้มแข็งของเจ้าได้ แม้ในยามที่น้ำเสียงของเจ้ากำลังเจ็บปวด....ว่าเจ้าพยายามรักษารอยยิ้มของตนไว้เพียงไร”

    “เธอคิดแบบนั้นจริงๆสินะ...”เฉดสีของเลือดฝาดบนพวงแก้มขาวเนียนนั้นเข้มขึ้นจนเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ แม้เด็กหญิงรู้ว่าอัศมิตาไม่อาจมองเห็นได้ ทว่าประกายในดวงตาคู่โตกลับก้มมองลงต่ำคล้ายเป็นการตอบสนองต่ออารมณ์โดยอัตโนมัติ

     

    เข้มแข็งงั้นเหรอ

    พอเธอพูดแบบนั้นแล้วชักละอายใจขึ้นมาเลยล่ะ

    ถ้าเกิดรู้เข้าว่าฉันไปทำอะไรในห้องนั้น....หรือถ้าเกิดถึงวันที่เธอเจอกับทางเลือกในชีวิตจริงๆ

     

    ภาพของฉันในมุมมองของเธอ...จะเป็นยังไงนะ

     

    พลันเสียงท้องร้องดังขึ้นขัดจังหวะจากร่างผอมบางของเด็กชาย แพทริเซียจึงรีบฉวยโอกาสเปลี่ยนหัวข้อสนทนาเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกของตน”เอาเถอะ เธอเองก็หิวเหมือนกันใช่ไหมล่ะ...ลงไปหาอะไรทานกันเถอะ”

    เจ้าของเรือนผมสีทองพยักหน้าหงึกหงักขณะที่รู้สึกถึงความร้อนผะผ่าวที่สูบฉีดไปทั่วใบหน้า ก่อนสัมผัสนุ่มนวลจากมือของเด็กหญิงจะจับมือเขาไว้ จังหวะการเคลื่อนไหวที่แสดงถึงสัญญาณการออกเดินเป็นผลให้เด็กชายเริ่มก้าวตามจังหวะฝีเท้าของอีกฝ่าย

    เมื่อพ้นเขตห้อง จอมเวทตัวน้อยจึงหันไปจัดการกับกลไกของประตูไม้เป็นอย่างสุดท้ายก่อนหมุนตัวมุ่งฝีเท้ามายังทิศของบันไดที่ทอดยาวลงไปเบื้องล่าง สายลมที่ส่งเสียงหวีดหวิวแทรกเข้ามาทางรอยต่อของหน้าต่าง พัดให้เส้นผมของเด็กน้อยทั้งสองปลิวไปตามแรง

    “เรา...มิชอบบรรยากาศเช่นนี้เลย”ใบหน้างดงามของเด็กชายคล้ายถูกความหวั่นวิตกเข้าครอบงำอีกครั้งพร้อมกับมือที่บีบอีกฝ่ายแน่นขึ้นเล็กน้อย”เสียงของสายลมที่พัดผ่านมานั้น...ราวกับเสียงคร่ำครวญไม่มีผิด”

    ”นั่นสินะ ฉันคิดว่าคงเป็นเพราะเราอยู่ใกล้หน้าต่างบวกกับไม่มีใครอยู่แถวนี้ด้วย”แม้อัศมิตาจะเอ่ยเพียงเท่านั้น ทว่าจากกิริยาอาการทำให้แพทริเซียพอคาดเดาได้ว่าเด็กชายคงบังเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นเล็กน้อย”เพราะงั้นเรารีบไปซื้ออาหารกันดีกว่า แถวนั้นคงจะมีคนมารวมกันอยู่พอสมควร...คงจะช่วยกลบเสียงลมไปได้ล่ะนะ”จังหวะการพูดของเสียงใสอบอุ่นราวดนตรีขับกล่อมปลอบประโลมจิตใจอีกฝ่ายให้สงบขณะขาเรียวยาวเร่งจังหวะการก้าวเร็วกว่าเดิม

    “ร-เราหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”บรรยากาศของสายลมที่ส่งเสียงชวนรู้สึกวังเวงประกอบกับดวงตาที่มืดบอดสนิททำให้เด็กชายเกิดความคิดถึงเรื่องเล่าที่เคยได้ยินเกี่ยวกับวิญญาณอาฆาตแค้นที่สิงสถิตตามสถานที่ต่างๆ แม้จะมิอาจมองเห็นภาพเหล่านั้นได้ ทว่ากลิ่นอายของซากศพที่เน่าเหม็นและร่างเย็นชืดผิดมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่ยากจะจินตนาการ

    ความอึดอัดภายในใจส่งผลให้เสียงเล็กของเด็กชายเอ่ยต่อขณะรู้สึกได้ว่าเท้าของตนพ้นจากบันไดขั้นสุดท้าย”เหตุเพราะตาของเราพิการ เมื่อยามเดินไปมาคนเดียวแม้ในเวลากลางวันก็จักบังเกิดความคิดเกี่ยวกับภูตผีปีศาจบ่อยครั้ง เป็นเรื่องผิดแปลกใช่หรือไม่”

    “ไม่หรอก”แพทริเซียส่ายหน้าช้าๆ นัยน์ตาสีอเมทิสต์หันกลับไปมองเด็กชายราวกับจะสื่อถึงอะไรบางอย่าง”ที่เธอมีความกลัวแบบนั้น เพราะเธอไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ตรงหน้าใช่ไหม”เด็กหญิงเว้นช่วงไปจนกระทั่งได้ยินเสียงตอบรับจากเพื่อนของตน

    “เป็นเรื่องปกติอยู่แล้วล่ะนะที่ความไม่รู้จะทำให้เกิดความกลัว มันเป็นสัญชาตญาณที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้สิ่งมีชีวิตระวังภัยที่อาจเกิดขึ้นกับตัวเอง และทำให้สามารถรับมือกับภัยพวกนั้นได้ ฉันเองก็ยังมีหลายเรื่องที่กลัวเพราะไม่รู้เหมือนกัน”รอยยิ้มจางๆระบายบนใบหน้าที่งดงามราวภูตพรายพร้อมกับมือข้างที่เป็นอิสระสัมผัสความนุ่มของเรือนผมสีทองสุกปลั่งอย่างแผ่วเบา ก่อนตัดสินใจละประโยคสุดท้ายที่ผุดขึ้นในความคิด

     

    ถึงบางครั้ง ความไม่รู้จะทำให้เกิดการปกป้องตัวเองจนเกินกว่าเหตุหรือไม่ก็ทิ่มแทงคนอื่นเพราะระแวงก็เถอะนะ...

     

    เสียงวัตถุบางอย่างหล่นแตกตามมาด้วยเสียงตะโกนแหลมปรี๊ดจากผู้เป็นแม่ของแอนน์ดังขึ้นหลังประตูบานหนึ่งระหว่างที่เด็กน้อยทั้งสองกำลังมุ่งหน้าไปยังพื้นที่ขายอาหาร เป็นผลให้ทั้งคู่หยุดชะงักลง

    “อีกแล้วนะไอ้แมวตัวยุ่ง!

    เสียงของผู้เป็นลูกสาวดังขึ้นอย่างเว้าวอน”แม่อย่าทำร้ายมันเลย จินเจอร์เป็นแค่แมวเองนะ มันไม่ได้ตั้งใจจะทำให้แก้วหล่นลงมาแตกสักหน่อย”

    “แกนี่ก็อีกคน”จังหวะการพูดของหญิงสาวเปลี่ยนไปเป็นเชิงเหน็บแนม”ไปเอามันมาเลี้ยงแต่ดูแลให้ดีๆไม่ได้ คอยดูเถอะ ถ้าเป็นแบบนี้สักวันข้าจะวางยาฆ่าแมวนี่ทิ้ง”

    คิ้วเรียวของเด็กชายตาบอดขมวดมุ่นอย่างนึกไม่ชอบใจในคำพูดอันโหดร้ายขณะมือข้างที่เป็นอิสระกำลงแน่นจนเล็บแทบจิกเข้าเนื้อ กล้ามเนื้อบนใบหน้าพยายามอย่างสุดกำลังที่จะไม่ให้เกิดเสียงใดๆหลุดรอดออกไป

     

    เข่นฆ่างั้นหรือ...

    เหตุใดจึงต้องทำเช่นนั้นด้วยเหตุเพียงเพราะการกระทำไม่รู้ความกันเล่า....

     

    “ช่วงนี้มันก็หนีออกจากบ้านไปบ่อยๆ คงจะไปหานายเก่าของมันละสิ หึ”เสียงแหลมปรี๊ดยังคงเอ่ยคล้ายต้องการแดกดันผู้เป็นลูกสาว”ยังไงเจ้าตัวนี้ก็เป็นแมวเก่าของยายแม่มดนั่น มันจะทำอะไรนอกรีตนอกรอยแบบนั้นบ้าง...ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”

    ประกายสีม่วงในดวงตาคู่สวยสั่นระริกก่อนเด็กหญิงโน้มตัวไปใกล้เด็กชายจนแทบชิดกัน อัศมิตารู้สึกจั๊กจี้เล็กน้อยจากลมแผ่วเบาที่เกิดขึ้นพร้อมเสียงกระซิบที่แผ่วเบาจนแทบจะเลือนหายไป”ไปกันเถอะ ถึงอยู่ฟังเรื่องพรรค์นี้ต่อไปก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไร...”

    อัศมิตารู้สึกได้ถึงจังหวะการเดินที่ผิดแปลกไปของแพทริเซีย ด้วยการก้าวนั้นรวดเร็วและฉับไวราวกับต้องการหนีไปให้รวดเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงเด็กหญิงจะมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา ทว่าราวกับตัวเขากับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของอีกฝ่ายอยู่ครู่หนึ่ง ความรู้สึกอึดอัด แปลกแยก และโดดเดี่ยวไหลบ่าเข้ามาในดวงจิตอย่างเชื่องช้า แม้จะไม่ชัดเจนดั่งคราวที่ได้ฟังเรื่องเล่าของราชวงศ์สการ์เล็ต แต่ในครานี้บางสิ่งในตัวทำให้เด็กชายสัมผัสได้ว่าความรู้สึกที่กำลังรับรู้มิได้เป็นมายาที่เกิดจากตนเอง

    “นี่ อัศมิตา”เสียงใสของเด็กหญิงดึงเขากลับมาจากห้วงความคิด พลันความรู้สึกในหัวเมื่อครู่สลายไปราวไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”เรามาถึงส่วนที่ขายอาหารกันแล้วนะ...เป็นอะไรไปหรือเปล่า ปกติเวลาอยู่ในที่ๆคนเพิ่มขึ้นมากแบบนี้เธอสังเกตได้ก่อนที่เราจะมาถึงด้วยซ้ำนี่”

    นัยน์ตาสีอเมทิสต์สะท้อนแววเป็นห่วงเมื่อนึกถึงอาการเหม่อลอยผิดปกติของเด็กชาย

    ร่างผอมบางสะดุ้งเฮือก แม้มีความปรารถนาจะบอกอีกฝ่ายถึงอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นในหัวซ้ำสอง หากแต่บรรยากาศที่คับคั่งไปด้วยผู้คนที่มาอุดหนุนทำให้มิกล้าที่จะเอ่ยออกไปตามตรง ขณะความกังวลถาโถมมากขึ้นจนเป็นผลให้ลืมเรื่องที่มีแผ่นไม้โทรจิตอยู่ภายในกระเป๋ากางเกง ”ร-เรามิเป็นอันใดมาก เพียงแต่รู้สึกไม่สบายเล็กน้อยเท่านั้น”

    “แน่ใจนะ เมื่อกี้ฉันเห็นหน้าเธอซีดแปลกๆด้วย”พร้อมกับที่คิ้วสีม่วงเลิกขึ้นดังเช่นยามสงสัยคำพูดอีกฝ่าย อัศมิตารู้สึกราวกับถูกสายตาของเธอพินิจพิเคราะห์อย่างละเอียด

    “สบายใจเถิดแพทริเซีย...”แม้จะเพิ่งผ่านห้วงความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามา ทว่าความงดงามของรอยยิ้มที่ระบายทับริมฝีปากยังคงไม่แปรเปลี่ยน”ทว่าเราควรที่จะหาที่นั่งกันเสียก่อนจะดีหรือไม่ ผู้คนคับคั่งเช่นนี้อาจเหลือที่เพียงไม่มากนัก”

    นัยน์ตาสีอเมทิสต์กวาดมองบรรยากาศโดยรอบ ห้องกว้างที่ถูกปูด้วยไม้เนื้อหนาตั้งแต่พื้นไปจนตลอดเพดานนั้นอบอุ่นกว่าบริเวณทางเดินมากมายนัก อีกทั้งเสียงพูดคุยเซ็งแซ่ของแขกที่มีอยู่ทั่วทุกมุมห้องยังสามารถกลบเสียงลมครวญจนแทบไม่ได้ยินอีกต่อไป

    ”นั่นสินะ คนเยอะมากเลย”สายตาของเด็กหญิงสอดส่ายหาที่นั่งว่างจนกระทั่งพบโต๊ะหนึ่งที่บริเวณมุมห้อง ร่างในชุดกระโปรงไม่รอช้า เธอจูงมือเด็กชายตาบอดให้เดินตามมาอย่างรวดเร็วและระมัดระวังที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ท่ามกลางผู้คนที่แน่นขนัด ก่อนจะเอ่ยขึ้นเมื่อเดินมาถึงที่หมาย”ตรงนี้แหละ”มือเรียวเลื่อนมือของเด็กชายไปสัมผัสยังขอบโต๊ะ

    อัศมิตาคลำลงบนไม้เนื้อหนาขัดเรียบก่อนจะก้มลงควานเปะปะจนพบเก้าอี้ไม้ในบริเวณใกล้เคียงกัน”ขอบคุณเจ้ามาก แพทริเซีย”

    “ไม่เป็นไรหรอก”เรือนผมยาวสีม่วงพลิ้วไหวไปตามจังหวะของการส่ายหน้า”แต่ว่าคราวนี้เธออยากจะอยู่เฝ้าโต๊ะไว้ก่อนหรือลุกไปดูด้วยกันว่ามีอะไรบ้างดี”

    แม้เสียงใสของฝ่ายตรงข้ามจะเป็นเชิงเอ่ยถามความคิดเห็น ทว่าเด็กชายรู้สึกถึงน้ำหนักของเสียงที่เอนเอียงไปทางตัวเลือกแรกมากกว่า”เราจักรออยู่ ณ ที่นี้เอง ขอให้เจ้าจงไปเลือกอาหารเถิด”ความกังวลถึงโอกาสที่อาจมีผู้เข้ามานั่งแทนเมื่อตนลุกออกไปและทำให้แพทริเซียต้องเดือดร้อนหาที่นั่งใหม่ส่งผลให้เด็กชายตัดสินใจได้อย่างไม่ยากเย็นนัก

    “ตกลง”แพทริเซียรับคำเรียบๆขณะรอยยิ้มผุดขึ้นเล็กน้อยเมื่อสังเกตได้ถึงความห่วงใยที่แสดงออกผ่านเครื่องหน้างดงามราวเทพยดานั้น”แล้วเธออยากกินอะไรเป็นพิเศษไหม ฉันจะพยายามหามาให้”

    “เรามิได้มีความรู้อันใดเกี่ยวกับอาหารพื้นถิ่นของบริเตนใหญ่ เช่นนั้นแล้วหากเจ้าสะดวกที่จะให้รับประทานสิ่งใด...ก็ตามแต่ใจเจ้าเกิด”ความเกรงอกเกรงใจในอกถูกถ่ายทอดผ่านน้ำเสียงใสซื่อสมวัยขณะศีรษะที่ถูกปกคลุมด้วยเรือนผมสีทองเงยขึ้นหาต้นเสียง

    ”แล้วจะรีบมานะ”เด็กหญิงส่งเสียงตอบรับพอให้ได้ยินกันเพียงสองคนก่อนจะหมุนตัวเดินหายลับเข้าไปกลางเสียงอื้ออึงโดยรอบ

    อัศมิตากำลังใช้นิ้วลากไปมาบนโต๊ะไม้เล่นเพื่อฆ่าเวลารอเพื่อนของตนขณะสังเกตได้ถึงผู้คนที่มาชุมนุมกันโดยรอบโต๊ะตัวหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไป เสียงเอะอะเฮฮาผิดปกติผสมปนเปกับเสียงของแก้วไม้กระทบกันทำให้เด็กชายได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ

    “มาแล้วล่ะ อะไรมันจะคนเยอะขนาดนี้นะ”แพทริเซียบ่นอุบอิบพลางถอนหายใจ เสียงวัตถุกระทบกับเนื้อไม้ดังขึ้นตามมาเมื่อเด็กหญิงวางจานทั้งสองใบในมือลงและเลื่อนตัวเข้านั่งด้านข้างของเด็กชายที่ยังว่างอยู่

    “ขอบคุณเจ้ามาก แพทริเซีย...”ใบหน้าครุ่นคิดเมื่อครู่เผยรอยยิ้มสดใสดังแสงตะวันเมื่อกลิ่นอายหอมเย็นราวรัตติกาลอันเป็นเอกลักษณ์ของเด็กหญิงเข้ามาใกล้ ก่อนจะเอ่ยถามในสิ่งที่ค้างคาใจตนเมื่อครู่ก่อน”โต๊ะซึ่งอยู่บริเวณด้านหน้าถัดออกไปกำลังเฉลิมฉลองอันใดอยู่งั้นหรือ เรารู้สึกได้ถึงผู้คนที่ชุมนุมกันอยู่...อีกทั้งเสียงของพวกเขาเอะอะผิดจากโต๊ะอื่นด้วย”

    ใบหน้าทรงเสน่ห์ของเด็กหญิงหันไปยังทิศทางตามคำบอกเล่า พลางสายตายังเพ่งพิศไปยังแก้วใบโตและใบหน้าแดงก่ำของชายหนุ่มที่กำลังซดของเหลวอั้กๆอย่างไม่สนสายตาใคร”คงไม่ได้ฉลองอะไรเป็นพิเศษหรอกมั้ง เท่าที่เห็นก็พวกคอเหล้ามาดื่มกันก็เท่านั้นเอง”เสียงใสยิงมุกต่อ”เอาเถอะ จะดื่มก็ดื่มไป ขอแค่อย่ามาวางมวยกันก็พอ...ฉันขี้เกียจหาที่หลบด้วยสิ”

    “สุรา...งั้นหรือ”มือของเด็กชายสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ เป็นจังหวะเดียวกับที่ใบหน้างดงามพลันซีดจนแทบไร้ซึ่งสีเลือด”เป็นเครื่องดื่มที่สามารถทำให้เกิดอาการคลุ้มคลั่งอาละวาดได้ใช่หรือไม่”เด็กชายขดตัวกลมเป็นลูกบอล สองมือกอดกุมตัวเองไว้แน่นราวเป็นเครื่องป้องกันกายจากภัยร้าย

    แพทริเซียสังเกตได้ถึงอาการผิดปกติของอัศมิตาได้โดยทันที ความแน่วแน่และมั่นคงในเชิงของที่พึ่งแฝงอยู่ในน้ำเสียงของเด็กหญิง”เป็นอะไรไปน่ะอัศมิตา เธอเคยมีประสบการณ์ไม่ดีเกี่ยวกับเหล้ามาก่อนเหรอ”

    เจ้าของชื่อได้แต่เพียงพยักใบหน้าอย่างเชื่องช้าขณะประสบการณ์เลวร้ายในอดีตผุดขึ้นหลอกหลอน

    เสียงของมารดาที่อ้อแอ้ประหลาดและจังหวะการเดินอันเซไปมาทำให้เด็กชายในวัยสามขวบหวังจะเข้าไปช่วยพยุง ทว่าสิ่งที่ได้รับมีเพียงฝ่ามือที่หวดลงมาอย่างรุนแรงจนเด็กน้อยกระเด็นไปไกลผสมกับคำด่าทอที่ได้ยินเป็นประจำ หากแต่ในครานี้กลับรุนแรงเป็นพิเศษเมื่อผู้เป็นมารดาจิกเรือนผมสีทองของเด็กชายขึ้นแล้วจับโขกกับพื้นจนเลือดอาบใบหน้า ซ้ำร้ายไม้เรียวของหญิงสาวก็กระหน่ำฟาดลงมาอย่างไม่ปรานี พร้อมกับเสียงที่กรีดร้องขึ้นมาราวคนเสียสติ ประโยค”แกไม่สมควรจะมีชีวิตอยู่”ถูกเอ่ยขึ้นมาซ้ำๆราวต้องการให้ตอกตรึงลงไปในจิตของลูกชายชั่วนิจนิรันดร์

    อัศมิตาพลันนึกถึงเสียงสะอึกสะอื้นร้องขอชีวิตอย่างน่าสังเวชของตนในวัยเยาว์....เสียงที่ไม่อาจส่งไปถึงผู้ใด

    “มีคราหนึ่งที่ท่านแม่เคยดื่มสุราเพื่อระบายความทุกข์โศกในใจ...และในครานั้นท่านแม่เกือบที่จะเข่นฆ่าเราให้ตกตายไปเสีย”น้ำเสียงอ่อนแรงเหลือกำลังเล็ดลอดผ่านริมฝีปากออกมาอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาสีฟ้ามืดบอดรู้สึกถึงความชื้นที่เอ่อล้นท่วมขึ้นมาอย่างเชื่องช้า

     

    ชักจะเกินเหตุไปแล้วนะ แม่แบบนี้

    ทั้งใช้กำลัง พูดจาทิ่มแทงจิตใจ

     

    ถึงเหล้าอาจมีส่วนให้ขาดสติ...แต่นั่นคงไม่พ้นหลุดออกมาจากนิสัยจริงๆสินะ

    ต้องใช้ความเลือดเย็นขนาดไหนถึงลงมือรุนแรงถึงขั้นเกือบเข่นฆ่าได้น่ะ

     

    ประกายสีอเมทิสต์เบิกกว้างขึ้นอย่างตกตะลึงเมื่อได้ยินถ้อยคำจากปากของอัศมิตา ร่างเล็กโอบกอดเด็กชายไว้โดยอัตโนมัติ ปล่อยให้ความอบอุ่นจากร่างของตนช่วยปลอบประโลมผู้ที่กำลังสับสนและตื่นกลัว”ถ้าเธอไม่สบายใจ เราจะออกไปจากห้องนี้กันก่อนดีไหม...รอให้เขาดื่มกันเสร็จก่อนค่อยกลับมา อาหารพวกนี้ไว้ค่อยซื้อใหม่ก็ได้”

    “ร-เรายังสามารถอยู่ในห้องนี้ได้ ทว่า...อย่าเพิ่งคลายมือออกจะได้หรือไม่”เด็กชายซุกตัวเข้าหาแพทริเซีย มือทั้งสองกอดอีกฝ่ายไว้แน่นราวทารกที่ปรารถนาความอบอุ่นจากมารดา กลิ่นไอหอมเย็นที่ถูกสายลมพัดพาให้โชยขึ้นสู่จมูกราวเป็นบทเพลงขับกล่อมให้ผ่อนคลายลงอย่างเชื่องช้า ความหวาดกลัวที่จะถูกทอดทิ้งในก้นบึ้งของจิตใจถูกเติมเต็มด้วยความเชื่อมั่นอันเข้ามาแทนที่

    นิ้วผอมบางปาดน้ำตาของตนออกพร้อมกับรอยยิ้มที่ราวกับแสงรุ่งอรุณชำแรกผ่านค่ำคืนอันมืดมิด”เรามิรู้ที่จะกล่าวขอบคุณอย่างไรที่เจ้าช่วยเหลือและเป็นที่พึ่งพิงแก่เรามาโดยตลอด...ทว่าเราสัญญาจะใช้ความสามารถที่ตัวเรามีช่วยเหลือเจ้าอย่างสุดกำลังให้จงได้”นัยน์ตาสีฟ้าสดคู่โตขับให้ดวงหน้างดงามเสมอเหมือนเทวดาตัวน้อยขณะเอ่ยสัจจะวาจาอย่างสง่างามดั่งเชื้อพระวงศ์ชั้นสูง

    “เป็นเด็กดีเหลือเกินนะ”แพทริเซียคลายอ้อมกอดของตนออกด้วยใบหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นอย่างชัดเจน”จริงๆเหล้าน่ะไม่ได้มีแต่โทษอย่างเดียวหรอก ถ้าดื่มมากไปอาจจะขาดสติหรือทำเรื่องแย่ๆแบบที่เธอเคยเจอ แต่เหล้าก็มีประโยชน์ต่อร่างกายได้เหมือนกันถ้าดื่มแต่พอดีแล้วรู้ขีดจำกัดของตัวเองว่าควรจะหยุดตอนไหน”มือเรียวยกขึ้นขยี้เรือนผมสีทองที่ปกคลุมศีรษะทุยสวยอย่างนึกเอ็นดู

    “เราเข้าใจแล้ว”เสียงเล็กเอ่ยเจื้อยแจ้ว

    “ในเมื่อสบายใจกันแล้วก็มากินกันเถอะนะ เดี๋ยวอาหารจะชืดหมดเอา”เด็กหญิงพูดติดตลกขณะเลื่อนจานไปไว้ตรงหน้าเด็กชายตาบอดแล้วเลื่อนมืออีกฝ่ายสัมผัสกับขอบจาน

    “อาหารในจานมีสิ่งใดบ้างหรือ”อัศมิตาเอียงคอ เครื่องหน้าแสดงความคาดหวังให้แพทริเซียช่วยอธิบาย

    “มันฝรั่งบดคู่กับไส้กรอกน่ะ คราวนี้ฉันซื้อมาเหมือนกันทั้งสองจาน”นัยน์ตาสีอเมทิสต์ก้มลงมองจานและอาหารที่ถูกจัดวางไว้อย่างดูดีผิดคาดก่อนเริ่มลงมือรับประทาน

    ปลายมีดในมือถูกแตะลงบนจานและไล่ไปถึงไส้กรอกอวบหนาเพื่อสำรวจตำแหน่งก่อนจะหั่นแบ่งออกเป็นชิ้นพอดีคำ ในขณะที่มืออีกข้างทำงานประสานกันโดยจิ้มชิ้นไส้กรอกที่ถูกหั่นและส่งเข้าปากอย่างคล่องแคล่ว และในทันทีที่ชิ้นไส้กรอกถูกบดเคี้ยวด้วยฟัน รสชาติของเนื้อบดที่อยู่ภายในกับเครื่องเทศอันเป็นส่วนผสมก็ไหลบ่าออกมากระตุ้นประสาทรับรสทั่วปากและลอยสูงขึ้นสู่นาสิกสัมผัสอย่างรวดเร็วราวสายน้ำไหล

    ”อร่อย...อร่อยเหลือเกิน แพทริเซีย”เด็กชายเอ่ยราวกับลืมตัวว่าตนกำลังเคี้ยวอาหารตุ้ยๆ และในทันทีที่เด็กน้อยนึกขึ้นได้ อาหารที่กลายเป็นชิ้นละเอียดก็ถูกกลืนลงลำคอไปพร้อมใบหน้าที่เป็นสีระเรื่อด้วยความอาย

    แพทริเซียได้แต่เพียงอมยิ้มกับการกระทำไร้เดียงสาของเพื่อนในขณะที่ใช้ส้อมตักมันบดเนื้อเนียนที่อยู่ด้านข้างเข้าปาก แม้รสสัมผัสจะไม่ได้โดดเด่นเท่าไส้กรอก ทว่าความนุ่มลิ้นและรสชาติอ่อนๆของมันฝรั่งและเกลือป่นเล็กน้อยที่ถูกโรยมาจึงนับเป็นสิ่งตัดรสที่ยอดเยี่ยม”นั่นสินะ รสชาติดีเกินความคาดหมายเลย สำหรับที่นี่”

     

    บทสนทนาของเด็กน้อยทั้งสองกำลังดำเนินไปอย่างออกรสออกชาติพร้อมอาหารในจานที่พร่องลงไปเรื่อยๆ พลันแพทริเซียสังเกตถึงชายหนุ่มร่างสูงสองคนเดินมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าโต๊ะพอดิบพอดี”มีอะไรหรือเปล่าคะ”คิ้วเรียวเลิกขึ้นพร้อมกับประกายในดวงตาพินิจมองทั้งคู่อย่างละเอียด

    “ขอพวกเรานั่งด้วยจะได้ไหมสาวน้อย โต๊ะอื่นเต็มหมดแล้วน่ะตอนนี้”ชายหนุ่มผู้มีอายุหน้าตาราวยี่สิบกลางๆเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นมิตร ผิวที่มีร่องรอยความขาวมาก่อนคล้ายเปลี่ยนเป็นสีแทนเพราะถูกแดดจัดมาเป็นเวลานาน ในขณะที่ชายหนุ่มผมสีส้มสดด้านข้างเพียงพยักเพยิดแสดงอาการเห็นด้วยเท่านั้น

    นัยน์ตาสีอเมทิสต์กวาดมองไปโดยรอบห้องเพื่อจะพบกับสภาพที่เป็นจริงดังที่ชายหนุ่มว่า โต๊ะไม้ตัวอื่นถูกจับจองด้วยผู้คนที่แน่นขนัดจนแทบไม่มีที่ว่างเหลืออยู่ในระยะสายตา ร่างในชุดกระโปรงนิ่งตัดสินใจชั่วครู่ก่อนเอ่ยขึ้น”ก็ได้ค่ะ แต่ขอให้พวกคุณอย่าสั่งเหล้ามาทานที่โต๊ะตัวนี้อย่างน้อยจนกว่าพวกเราจะกินเสร็จได้ไหม”เสียงใสพูดจาฉะฉานคล่องแคล่วผิดเด็กวัยเดียวกัน

    ชายหนุ่มท่าทางอารมณ์ดีหัวเราะลั่นกับกิริยาอาการที่คลับคล้ายผู้ใหญ่ของเด็กหญิงตัวน้อย ก่อนมือสากกร้านขยี้เรือนผมสีม่วงของเด็กหญิงผู้ถอนหายใจด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย”ได้ซี วันนี้งดเหล้าสักวันนะร็อบ ข้าไม่อยากทำให้เพื่อนร่วมโต๊ะของเราไม่สบายใจเสียด้วย”เขาหันกลับไปคุยกับเพื่อนของตนก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งที่ฝั่งตรงข้ามเด็กน้อยทั้งสอง

    “ตามสบาย ข้าไม่ได้เป็นพวกคอทองแดงอย่างเจ้าเสียหน่อย ทอม”ชายหนุ่มผมสีส้มสดราวเปลวไฟลุกไหม้ที่ดูมีอายุมากกว่าราวห้าหรือหกปีตอบอย่างไว้ท่าก่อนจะนั่งลงวางจานอาหารของตนไว้บนโต๊ะและลงมือกินเงียบๆ

    นัยน์ตาสีน้ำเงินจางของชายหนุ่มร่างกำยำส่องประกายสนุกขึ้นเมื่อเริ่มต้นบทสนทนาใหม่กับเด็กน้อยแปลกหน้า”เรายังไม่ได้แนะนำตัวกันเลยนะเด็กๆ ข้าชื่อโธมัส...”ชายหนุ่มเว้นวรรคก่อนจะมองไปทางเพื่อนของตน”ส่วนนี่เพื่อนข้า โรเบิร์ต”

    เครื่องหน้าของเด็กชายสะท้อนความไม่เข้าใจออกมาอย่างชัดเจน”ชื่อที่พวกท่านใช้เรียกกันเมื่อครู่มิใช่ชื่อที่แนะนำแก่เราใช่หรือไม่”

    “อะไรกัน เจ้ายังไม่รู้เรื่องชื่อเล่นหรอกหรือนี่”รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของโธมัสเมื่อครู่เลือนไปเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจก่อนจะกลับมาเป็นดังเดิมในเวลาเสี้ยววินาที”โธมัสน่ะเป็นชื่อจริงของข้า ส่วนทอมเป็นชื่อเล่นที่ใช้เรียกกันในหมู่เพื่อนสนิทเพื่อทำให้มันง่ายขึ้น...แล้วพวกเจ้าชื่ออะไรกันบ้างล่ะ”

    นิ้วเรียวยาวของเด็กหญิงหยุดม้วนปลายผมเล่นก่อนเอ่ยตอบ”ฉันแพทริเซีย ส่วนเขาชื่ออัศมิตา”

    “ชื่อแปลกจริง เจ้ามาจากที่ไหนเหรอ”ชายหนุ่มเบนสายตาไปทางเด็กชายตัวเล็กก่อนสังเกตได้ถึงความผิดปกติของสายตาที่ราวกับมองนิ่งตรงมาอย่างไร้ความรู้สึก”เจ้าตาบอดหรอกหรือนี่”

    แม้จะทราบดีว่าน้ำเสียงที่แสดงความสงสารและเห็นอกเห็นใจของชายหนุ่มมิได้ต้องการทำร้ายจิตใจ ทว่าอัศมิตาก็ยังรู้สึกเจ็บแปลบราวกับถูกมีดเสียบแทงทะลุกลางอกจนต้องพยายามควบคุมน้ำเสียงของตนให้เป็นปกติที่สุด”ใช่แล้ว เราตาพิการแต่กำเนิด...และมาตุภูมิของเราคือประเทศอินเดีย”

    แพทริเซียทันสังเกตถึงสายตาเย็นชาจากชายหนุ่มที่ชื่อโรเบิร์ต แม้จะเป็นเพียงชั่วครู่ทว่าความรู้สึกถึงการแบ่งแยกราวกับมองสิ่งแปลกประหลาดกลับปรากฏชัดขึ้นมาก่อนจะหายไปราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    “แล้วพวกเจ้าสองคนมาทำอะไรที่หมู่บ้านนี้กันล่ะ”โธมัสยังคงหาเรื่องคุยจ้อไม่หยุดคล้ายความสนใจทั้งหมดไม่ได้อยู่ที่จานอาหารของตน

    “ฉันกับอัศมิตาจะอยู่ที่หมู่บ้านนี้สักพักแล้วค่อยเดินทางต่อไปเรื่อยๆค่ะ”แพทริเซียจิบเครื่องดื่มในแก้วของตนเพื่อดับกระหายก่อนจะถามต่อเป็นเชิงรักษามารยาท”แล้วพวกคุณล่ะคะมาทำอะไรกัน”

    “พวกเราเป็นช่างแล้วก็มีธุรกิจเกี่ยวกับไม้น่ะ”ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นอย่างอารมณ์ดีในขณะใช้ฝ่ามือขยี้เรือนผมสีมะฮอกกานีตัดสั้นของตน”ได้ยินว่าป่าแถวหมู่บ้านนี้มีแต่ไม้งามๆน่าจะขายได้ราคาดีทั้งนั้นก็เลยลองมาดู”

    ในขณะที่โธมัสพูดเรื่อยเจื้อยเกี่ยวกับธุรกิจงานไม้ของตน สายตาของแพทริเซียได้สะดุดเข้ากับร่างคุ้นเคยของเด็กหญิงผู้เป็นลูกสาวเจ้าของโรงแรมแห่งนี้กำลังเดินไปยังโต๊ะหนึ่งพร้อมแก้วเครื่องดื่มในมือ และก่อนที่เสียงใสจะได้เอ่ยปากทัก เธอก็ได้สังเกตถึงสายตาที่ผิดแปลกไป...สายตาแห่งความไม่ชอบใจเป็นอย่างยิ่งปรากฏในดวงตาสีฟ้าเทาได้มองตรงมาทางโธมัสและโรเบิร์ต ก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มแทบจะทันทีเมื่อสังเกตว่าเด็กหญิงผมสีม่วงกำลังมองตรงมาทางตน

     

    สายตาแบบนั้นหมายความว่าไง

    เธอมีอะไรกับสองคนนั้นกันแน่....

     

     

     

    แพทริเซียกำลังอ่านหนังสือเล่มหนาว่าด้วยทฤษฎีการใช้เวทมนตร์ของจอมเวทในขณะที่เสียงเคาะแผ่วเบาดังขึ้นจากทิศของประตู ร่างเล็กดันตัวขึ้นจากเก้าอี้ไม้และตรงไปยังต้นเสียงแทบจะทันทีก่อนมือเรียวจะเปิดประตูออกให้เห็นเด็กหญิงผอมสูงเก้งก้างและเรือนผมสีบลอนด์แดงที่อยู่เบื้องหลัง มือข้างหนึ่งของเธอถือตะเกียงน้ำมันไว้แน่น

     

    มาคุยเรื่องที่เคยบอกไว้เมื่อตอนเย็นงั้นสินะ

     

    นัยน์ตาสีอเมทิสต์ส่องประกายคล้ายนกฮูกยามจับจ้องอีกฝ่ายอย่างพินิจพิเคราะห์ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาราวเสียงกระซิบ”เข้ามาก่อนเถอะ แล้วก็ปิดประตูด้วยล่ะ”

    เจ้าของใบหน้าตกกระหัวเราะคิก”เจ้านี่นะ ทำตัวเหมือนกับพวกผู้ใหญ่ได้ตลอดเวลาเลยจริงๆ”แม้น้ำเสียงของแอนน์จะฟังดูสบายๆ ทว่าแพทริเซียสังเกตได้ถึงความนัยบางอย่างที่สะท้อนผ่านดวงตาสีฟ้าเทา

    “เสียงนี้...แอนน์งั้นหรือ”เด็กชายตาบอดดีดตัวผลุงกลับมาอยู่ในท่านั่งหลังตรงอีกครั้งหลังจากก้มหน้าและจมอยู่ในห้วงภวังค์ความคิดตนเองมาเป็นระยะเวลาหนึ่ง

    “ใช่แล้ว ดูสิว่าข้าพาอะไรมาด้วย”อัศมิตารู้สึกได้ถึงความนึกสนุกในวิธีการพูดที่ค่อนไปทางผู้ชายของเธอ และไม่นานนัก เส้นขนนุ่มฟูก็สัมผัสกับปลายขาของเด็กชาย

    “จินเจอร์!”เสียงเล็กดังอย่างลืมตัวก่อนไล้มือไปตามลำตัวของแมวส้มตัวใหญ่ที่กำลังเคล้าแข้งขาของตนไม่ผิดจากการอ้อนผู้เป็นเจ้าของ

    “ชู่ว เบาๆหน่อยซี”แอนน์ปรามเด็กชายตัวเล็กก่อนจะหันไปปิดประตูและวางตะเกียงลงบนโต๊ะตัวที่ใกล้ที่สุด”ทีแรกข้ากะว่าจะมาคนเดียว แต่จินเจอร์เอาแต่ดื้อเหมือนอยากจะเจอเจ้าให้ได้ก็เลยพามาด้วย....เป็นที่รักของสรรพสัตว์จริงนะอัศมิตา”นัยน์ตาสีฟ้าเทาขยิบให้เด็กชายทีหนึ่งก่อนหันกลับมาหาผู้ที่ตนต้องการสนทนาด้วยมากที่สุดในคืนนี้

    “เอาล่ะ เธอคงจะไม่ได้มาหาพวกเราเพื่อคุยเล่นหรือพาจินเจอร์มาหาอัศมิตาหรอก”นัยน์ตาสีม่วงสว่างเรืองขึ้นเล็กน้อยใต้แสงตะเกียงและเปลวเทียนที่ส่องสว่าง”มีอะไรที่เธออยากจะบอกก็พูดมาตรงนี้เลย”

    เจ้าของใบหน้าตกกระหัวเราะแหะๆ“มันก็ออกจะเรียบเรียงยากอยู่สักหน่อย ข้าไม่ใช่คนหัวดีเสียด้วยสิ....ถ้าอย่างนั้นมาเริ่มจากตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาในหมู่บ้านก็แล้วกัน”ริมฝีปากบางแย้มขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆเมื่อนึกถึงเสียงทุ้มของผู้เป็นพ่อที่เคยเอ่ยเล่าเรื่องเดียวกันเมื่อหลายปีก่อน”จำป่าที่พวกเจ้าเจอกับจินเจอร์ได้ใช่ไหม”

    “เราจำได้”เสียงสดชื่นของอัศมิตาเอ่ยขึ้นในขณะใบหน้างดงามราวเชื้อกษัตริย์ซุกลงกับเส้นขนนุ่มนิ่มของเจ้าแมวตัวโตที่ครางเหมียวอย่างสบายใจ”แพทริเซียกล่าวไว้ว่าจุดหนึ่งมีเส้นทางที่ถูกแบ่งเป็นสี่แยกใช่หรือไม่”

    เด็กหญิงในชุดกระโปรงสีทึบทึมพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น”ใช่ ทางหนึ่งเป็นเส้นทางที่ใช้ในการเดินทางไปยังเมืองใหญ่ อีกทางเป็นเส้นทางที่ตรงไปยังหมู่บ้านอื่นที่อยู่ห่างออกไป ทางที่สามคือเส้นทางที่ข้าพาพวกเจ้ามายังหมู่บ้าน และทางสุดท้ายคือเส้นทางที่จะนำพาไปสู่ป่าแห่งภูตพราย”

    “ป่าแห่งภูตพราย...หมายความว่าอย่างไรหรือ”เครื่องหน้าของเด็กชายถ่ายทอดซึ่งความฉงนสงสัยในใจอย่างเห็นได้ชัดในขณะที่สองแขนกอดแมวขนฟูไว้แน่น

    “โดยทั่วไปป่านี้ถ้ามองจากภายนอกมีต้นไม้ที่เขียวชอุ่มตลอดปี ในบางครั้งก็เล่าลือกันว่าพรรณไม้ในป่านี้จะแบ่งเป็นเขตครบทั้งสี่ฤดูไม่ว่าภายนอกจะเป็นฤดูอะไรก็ตาม...สิ่งที่บ่งบอกเขตป่าแห่งภูตพรายนอกจากความเขียวชอุ่มของต้นไม้ก็คือดอกไม้นอกฤดูกาลที่บานสะพรั่งอย่างไม่น่าที่จะเกิดขึ้นได้เลยล่ะ”เสียงของแอนน์เอ่ยขึ้นอย่างชื่นชมราวตกอยู่ในห้วงแห่งภวังค์

     

    เผ่าพันธุ์ที่สามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงของธรรมชาติได้...ก็คงมีไม่มากนักหรอก

     

    คำตอบหนึ่งปรากฏขึ้นในใจของเด็กหญิงต่างถิ่นพร้อมกับการพยักหน้าเป็นเชิงให้อีกฝ่ายพูดต่อ

    “ตามตำนานที่เล่าสืบต่อกันมาในหมู่บ้าน...ต้นเหตุของความผิดปกติพวกนี้ก็คือแฟรี่ ผู้พิทักษ์ป่าแห่งภูตพราย แล้วก็เป็นผู้ปกปักรักษาหมู่บ้านของเราด้วย”แอนน์เขี่ยเรือนผมสีบลอนด์แดงที่ถูกมัดรวบไว้ลวกๆไปมา”ถ้าปฏิบัติต่อพืชผลด้วยความเอาใจใส่ แฟรี่จะช่วยอวยพรให้ผลผลิตอุดมสมบูรณ์”

    ท่าทีของแอนน์เริ่มเปลี่ยนไปเป็นความขัดเคืองคล้ายรอคอยการระบายให้ใครสักคนฟังมาอย่างเนิ่นนาน”คงเป็นเพราะมันเป็นตำนานที่เก่าแก่มากแล้ว พวกผู้ใหญ่ในหมู่บ้านรุ่นหลังๆเลยไม่ค่อยจะเชื่อกันสักเท่าไหร่...รวมถึงแม่ของข้าด้วย”มือทั้งสองข้างกำแน่น”พักนี้พวกผู้ใหญ่ท่าทางเหมือนช่างไม้ทยอยกันมาจากเมืองอื่นเรื่อยๆ ข้ารู้สึกว่าพวกเขาต้องคิดไม่ดีกับป่าแห่งภูตพรายแน่ๆ”

     

     

    ถ้าอย่างนั้นไม้งามๆที่ผู้ชายชื่อโธมัสว่าคงไม่พ้นที่นี่สินะ

     

    แพทริเซียรู้สึกว่าตนพอจะคาดเดาสาเหตุที่แอนน์จ้องมองกลุ่มช่างไม้ด้วยความไม่พอใจได้ เด็กหญิงถอนหายใจเล็กน้อยก่อนเอ่ยถาม”ถ้าอย่างนั้นสิ่งที่เธอต้องการจะพูดด้วยคือการปกป้องป่าแห่งภูตพรายไม่ให้ถูกรุกล้ำเหรอ”

    “ก็ไม่เชิง”แอนน์เหลือบดูสีหน้าประหลาดใจของเด็กหญิงที่อายุน้อยกว่าตนชั่วครู่แล้วจึงเล่าต่อ”ในบรรดาเสียงสนับสนุนของชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ยังมีคนคัดค้านเรื่องนี้ นางชื่อเวร่า...เป็นเจ้าของคนก่อนของจินเจอร์ที่เลี้ยงมันมาตั้งแต่เกิด แล้วก็เป็นเพื่อนสนิทของข้า”

    “ท่านได้ตัวจินเจอร์มาเมื่อใดหรือ”เด็กชายเอ่ยถามขณะสัมผัสถึงร่างเล็กที่ซุกอยู่แนบอก ใบหน้าของเด็กชายตาบอดเต็มไปด้วยความเอิบอิ่มอย่างถึงที่สุด

    “สักพักแล้วน่ะ แต่มันไม่ฟังข้าเท่าไหร่หรอก...มีแต่เจ้าเท่านั้นที่มันยอมให้ถึงตัวเหมือนตอนที่อยู่กับนาง”ท่าทีของแอนน์หม่นหมองลงพร้อมจ้องมองดวงตาสีเขียวอมเหลืองที่ดูแสนรู้ของเจ้าสัตว์สี่ขา”นางอาศัยอยู่ที่บ้านชายป่าและถูกต่อต้านจากผู้คนเพราะเรื่องรูปลักษณ์...ผมสีแดงเพลิงกับดวงตาสีเขียวสด”

    “เป็นเป้าของความเชื่อคร่ำครึเรื่องแม่มดสินะ”แพทริเซียพูดแฝงความนัยเชิงเหน็บแนมบางสิ่ง ถ้อยคำเหน็บแนมที่หญิงเจ้าของโรงแรมเอ่ยขึ้นกับลูกสาวแล่นเข้ามาให้ศีรษะอีกครั้ง”เพราะหน้าตากับทำตัวแปลกแยกเลยถูกคนอื่นมองว่าเป็นพวกประหลาด...”เสียงใสแผ่วเบาลงเมื่อระลึกได้ว่าตนกำลังเอ่ยสิ่งใดออกไป

    ท่าทีร่าเริงของแอนน์ดูเหมือนจะหายไปอย่างสิ้นเชิงเมื่อเสียงตอบรับหลุดลอดมาจากลำคอ”ใช่ เรื่องนั้นทำให้หลายๆคนรังเกียจเวร่าว่าเหมือนแม่มดอยู่แล้ว พอมารวมกับการที่เธอพยายามจะขัดขวางพวกที่จะมาหาไม้ก็ยิ่งน่าเป็นห่วง...ข้าพยายามเตือนตั้งหลายรอบว่าอาจเกิดอันตรายได้...สุดท้ายเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้นางก็หายตัวไป”

    “ตกลงว่าเธอต้องการให้ช่วยตามหาเวร่าสินะ”แพทริเซียพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง ดูเคร่งขรึมและจริงจังกว่าที่เคย

    “แค่เพียงได้เบาะแสของนางสักเล็กน้อยก็พอใจแล้วล่ะ”หน้ากากแห่งรอยยิ้มถูกสวมทับลงบนใบหน้าของเด็กหญิงผู้อาวุโสที่สุด แม้ริมฝีปากที่โค้งเป็นรอยยิ้มจะหมดจดเพียงไร ทว่าดวงตาสีฟ้าเทาคู่นั้นกลับเก็บซ่อนความปวดร้าวไว้ไม่มิด

    “แล้วทำไมต้องเป็นฉ...พวกเรา ไม่กลัวว่าฉันจะเอาเรื่องนี้ไปบอกแม่เธอบ้างหรือไง”ประกายในดวงตาสีอเมทิสต์กระตุกวูบไปชั่วขณะหนึ่ง”รู้ตัวไหมว่าเธอกำลังบอกเรื่องนี้ให้กับคนนอกอยู่น่ะ...”

    “รู้สิ ข้ารู้ตัวอยู่เสมอว่าทำอะไรลงไป”รอยยิ้มของแอนน์เปลี่ยนไปราวกับแฝงไว้ซึ่งเลศนัยบางอย่าง”เวร่าเคยสอนอะไรข้าหลายอย่าง และนั่นทำให้ข้าสัมผัสได้ว่าเจ้ากับนางมีบางสิ่งที่คล้ายคลึงกันเหลือเกิน...ความเฉลียวฉลาดเกินวัย กิริยาอาการที่คล้ายผู้ใหญ่ และสัมผัสบางอย่างที่แตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป”นัยน์ตาสีฟ้าเทาส่องประกายวาววับราวหมาป่าเห็นเหยื่ออันโอชะ

     

    ดูท่าทางคงจะดิ้นไม่รอดแล้วสินะ

     

    แพทริเซียถอนหายใจพร้อมรอยยิ้มจางๆเมื่อเห็นสายตาของแอนน์เชื่อมั่นในสิ่งที่สันนิษฐานอย่างสุดหัวใจ”เป็นจอมเวทใช่ไหม...เวร่าน่ะ”

    เรือนผมสีบลอนด์แดงขยับตามจังหวะการพยักหน้าอย่างดีอกดีใจที่อีกฝ่ายเข้าใจความหมายที่ตนต้องการสื่อ”เวร่าเป็นเลือดผสม แม่เป็นจอมเวท ส่วนพ่อเหมือนกับว่ามาจากที่อื่น นางเล่าว่าพลังที่ตัวเองมีน้อยกว่าเลือดผสมคนอื่นมาก...แต่ก็ยังเป็นคนที่น่าอัศจรรย์อยู่ดี”

    ริมฝีปากบางเม้มลงแน่นขณะไตร่ตรองว่าตนจะให้ความช่วยเหลือเด็กหญิงหรือไม่ แม้ใจหนึ่งร่ำร้องที่จะไปให้ไกล...หนีจากสิ่งที่มีความเชื่อมโยงกับตนเองในอดีตจนถึงที่สุด ทว่าภาพของเด็กหญิงร่วมเผ่าพันธุ์ที่ยังไม่รู้ชะตากรรมตอกย้ำความรู้สึกผิดที่เป็นแผลลึกจากเหตุการณ์ในอดีตอันไม่มีวันลบเลือน

     

    นั่นสินะ

    ถ้าเป็นอัศมิตาหรือคนๆนั้นหายตัวไปชนิดไม่รู้เป็นตายร้ายดี....ฉันก็คงเป็นห่วงมาก

    แล้วก็คงพยายามทุกทางเพื่อที่จะได้เจอแน่ๆ

     

    “ตกลง...ฉันจะช่วย แต่เท่าที่ได้ภายในจำนวนวันที่จองห้องไว้ที่นี่แล้วกันนะ”แพทริเซียเอ่ยราวกำลังเจรจาต่อรองกับคู่ค้าทางธุรกิจ”ถ้าสิ้นสุดลงเมื่อไหร่...พวกเราก็จะออกเดินทาง”มือเรียวยื่นออกมาตรงหน้าราวกับปรารถนาจะแสดงสัญลักษณ์ของการเป็นเพื่อนร่วมงาน

    “แค่เจ้ายอมช่วยก็รู้สึกยินดีมากแล้วล่ะ”สีสันกลับมาปรากฏบนใบหน้าตกกระอีกครั้งก่อนที่มือโปนและสากกร้านจากการช่วยงานหนักจะจับมือของอีกฝ่ายเขย่าแรงๆเสียหนึ่งที”ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวไปนอนก่อนแล้วกัน...พรุ่งนี้ยังต้องตื่นมาช่วยแม่ทำงานอีกเยอะแยะเลย”ร่างผอมเก้งก้างลุกขึ้นก่อนจะยกตะเกียงน้ำมันจากโต๊ะและเดินไปยังประตู พลันสีหน้าของเด็กหญิงดูราวกับเพิ่งนึกบางสิ่งขึ้นได้

    “จริงสิ...จินเจอร์ มาด้วยกันได้แล้วนะ”

    นัยน์ตากลมโตของเด็กชายดูราวกับจ้องมองแอนน์ด้วยความเว้าวอน”จินเจอร์จักต้องกลับไปแล้ว...จริงหรือ”นิ้วผอมบางไล้ไปตามเนื้อตัวนุ่มนิ่มราวของเหลวที่ถูกปกคลุมด้วยขนฟูสีส้มสดอย่างอาลัย

    “ก็ใช่อยู่หรอก”ความรู้สึกราวกับเพิ่งกระทำบาปมหันต์แล่นเข้าสู่ใจเด็กหญิงเจ้าของแมวเมื่อเห็นใบหน้าละห้อยของเด็กชายจนเสียงที่มีจังหวะการพูดห้วนสั้นคล้ายเด็กผู้ชายต้องเสริมต่อ”แต่ยังไงเจ้าก็ยังสามารถมาเล่นกับมันได้ตลอดเวลาที่พักที่นี่นะ”

    เครื่องหน้าของเด็กชายแสดงอาการโล่งอกเมื่อได้ฟังคำกล่าวนั้น ก่อนมือบอบบางทั้งสองจะค่อยๆวางเจ้าแมวตัวโตลงกับพื้นอย่างทะนุถนอม”ราตรีสวัสดิ์...ท่านแอนน์ จินเจอร์”

    “เช่นกัน”มือหยาบกร้านของเด็กหญิงผมสีบลอนด์แดงเปิดประตูออกก่อนร่างผอมสูงเก้งก้างจะหายลับไปพร้อมบานประตูที่ถูกปิดลงอย่างเงียบเชียบ

    “เส้นขนรวมถึงกลิ่นของจินเจอร์ให้ความรู้สึกอบอุ่นยิ่งนัก”อัศมิตาเอ่ยด้วยรอยยิ้มใสซื่อดั่งผ้าขาวเมื่อนึกถึงสิ่งที่ได้สัมผัสเมื่อครู่จากสัตว์สี่เท้าตัวเล็ก”เมื่อมองดูด้วยสายตาแล้ว...จะสามารถคาดคะเนถึงความนุ่มของเส้นขนเหล่านั้นได้หรือไม่”เสียงเล็กเอ่ยถามต่อด้วยความอยากรู้อยากเห็นที่มิเคยกล้าถามผู้ใดมาก่อน

    “อืม...มันพอจะสังเกตได้จากลักษณะของเส้นขนนะ ในกรณีจินเจอร์นี่ขนจะดูฟูสวยจนทำให้คนเห็นรู้สึกว่ามันจะต้องนุ่มแน่ๆ”เสียงใสราวกระดิ่งลมอธิบายอย่างเป็นการเป็นงาน

    “จริงหรือ...”รอยยิ้มงดงามราวแสงตะวันฉายขึ้นบนใบหน้าเมื่อเด็กชายพยายามจินตนาการถึงภาพของเจ้าแมวตัวโตในสายตาที่ผู้อื่นมองเห็น ก่อนเสียงเล็กจะเสริมต่อท้ายด้วยท่าทีราวกับเทิดทูนสิ่งเคารพ”เรื่องเมื่อครู่ เรารู้สึกชื่นชมเจ้าจากใจจริง เจ้ายื่นความช่วยเหลือให้แอนน์โดยไม่หวังผลตอบแทนเพื่อหวังให้นางคลายความไม่สบายใจลงใช่หรือไม่...สักวันหนึ่ง เราปรารถนาที่จะเป็นอย่างเจ้า ช่วยเหลือชีวิตบนโลกให้พ้นจากความทุกข์ทั้งกายใจให้ได้”

    “ก-ก็ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกน่า ฉันช่วยเพราะอยากจะช่วยหรอก”ภาพลักษณ์ของแม่พระผู้โอบอ้อมอารีที่ปรากฏในถ้อยคำของเด็กชายเสียดแทงใจจนเจ็บแปลบ

     

    ถ้าเธอรู้ว่าที่ฉันช่วยแอนน์เป็นเพราะความเห็นแก่ตัวที่จะกลบบาปพวกนั้นไว้

    เธอจะยังมองว่าฉันเป็นคนดีอยู่หรือเปล่า

     

     

     

     

     

    “อัศมิตา เธออยากฟังเรื่องราวเกี่ยวกับแฟรี่ไหม”เสียงใสเอ่ยถามทำลายความเงียบพร้อมกับเสียงของหน้ากระดาษสีออกเหลืองที่ถูกพลิกผ่านไปยังหน้าถัดไป

    เด็กชายพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น ความรู้แปลกใหม่ที่บางครั้งมิอาจหาได้จากมนุษย์ทั่วไปถูกถ่ายทอดด้วยน้ำเสียงที่ทำให้เขาจมดิ่งลงสู่เรื่องราวได้เสมอ

    “แฟรี่น่ะเป็นจิตวิญญาณที่ถือกำเนิดขึ้นจากธรรมชาติโดยไม่ต้องอาศัยการสืบทอดชีวิตโดยการให้กำเนิดลูกเหมือนกับเผ่าพันธุ์ส่วนใหญ่ โดยมากถิ่นกำเนิดของแฟรี่คือป่า...ป่าที่เก่าแก่มากจนสามารถสะสมจิตวิญญาณและให้กำเนิดชีวิตขึ้นมาได้”แพทริเซียหวนนึกถึงคำอธิบายในสารานุกรมเผ่าพันธุ์ที่ตนอ่าน

    “แฟรี่ถือกำเนิดมาจากความว่างเปล่าในผืนป่าหรือ”เจ้าของเรือนผมสีทองพิสุทธิ์เอียงคอเล็กน้อย

    “จะว่าอย่างงั้นก็ได้ เพราะว่าป่าเป็นทั้งบ้านและสิ่งที่ให้กำเนิดพวกเขามา...แฟรี่เลยจะค่อนข้างรักและหวงแหนถิ่นที่อยู่ของตนมาก พลังที่สามารถเปลี่ยนแปลงความเป็นจริงของธรรมชาติที่พวกเขามีก็เลยถูกเอามาใช้บำรุงผืนป่าของตัวเองซะส่วนมาก ทั้งทำให้ต้นไม้เขียวขจี ฟื้นฟูพืชพรรณที่เหี่ยวเฉา หรือใช้ในการทำให้ดอกไม้บานสะพรั่งซะส่วนมาก”แพทริเซียนึกถึงคำพูดเกี่ยวกับการแสวงหาไม้งามจากชายที่ชื่อโธมัส”และแฟรี่จะไม่ค่อยพอใจถ้าใครมาแสวงหาผลประโยชน์จากป่าของตัวเองอย่างละโมบโลภมากหรือไม่ขอก่อน บางครั้งพลังของแฟรี่อาจถูกใช้ในการขับไล่หรือทำร้ายผู้บุกรุกด้วย...เคยมีกรณีอย่างนี้เกิดขึ้นแล้ว”

    “การจะขับไล่ผู้ที่มาแสวงหาผลประโยชน์นั้นเป็นเรื่องเข้าใจได้ ทว่าเหตุใดต้องถึงขั้นทำร้ายกันเล่า”เสียงเล็กเอ่ยแสดงความไม่เห็นด้วย ความรู้สึกเมื่อครั้งถูกผู้เป็นมารดากระหน่ำทุบตีผุดขึ้นในสมอง

    “ความรู้สึกของพวกแฟรี่ที่โดนบุกรุกป่าคงเหมือนมีใครทุบบ้านตัวเองโครมใหญ่จนเสียหายล่ะนะ แต่ละชีวิตก็มีการตอบสนองต่อความไม่พอใจแตกต่างกันด้วย มันก็ขึ้นอยู่กับเผ่าพันธุ์ การเลี้ยงดู แล้วก็สิ่งที่พบเจอมาในชีวิตที่จะเป็นต้นทุนต่อการตอบสนองพวกนั้น ไม่แน่ว่าบางกรณีอาจเกิดขึ้นซ้ำซากหรือรุนแรงจนจนพวกเขาทนใช้ไม้อ่อน...วิธีนุ่มนวลไม่ไหวแล้วก็ได้”

     

    เพราะมีประสบการณ์ในชีวิตแตกต่างกัน การตอบสนองต่อเหตุจึงต่างกันงั้นหรือ

    เคยผ่านจึงเข้มแข็ง เคยผ่านจึงอ่อนแอ

    เคยผ่านจึงทุกข์ตรม เคยผ่านจึงสุขี

    เคยผ่านจึงร้องไห้ เคยผ่านจึงแย้มยิ้ม

     

    อัศมิตาครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมานับตั้งแต่ตนพบกับเด็กหญิงผู้เปลี่ยนชีวิตของตนเพียงเพราะการชักชวนให้ออกมาด้วยกัน พลันความรู้สึกถึงพลังอันอบอุ่นคล้ายเมื่อครั้งที่อยู่ฝรั่งเศสได้ปรากฏขึ้นในอกอีกครั้ง เด็กชายปิดดวงตาทั้งสองข้างลงและเหยียดกายขึ้น ปล่อยให้ความรู้สึกอบอุ่นกลางอกไหลไปทั่วร่าง

    “ต่อนะ พลังที่ใช้เปลี่ยนแปลงความจริงของธรรมชาติก็จะแตกต่างกันไปตามระดับของพวกเขา ระดับแรกคือระดับทั่วไป เป็นแฟรี่ที่มีจำนวนเยอะที่สุดเลยทำให้เจอได้บ่อยที่สุด ขนาดตัวเล็ก....ใหญ่สุดประมาณฝ่ามือผู้ใหญ่สองฝ่ามือต่อกัน ปีกของพวกเขาจะมีลวดลายแล้วก็สีสันต่างกันไป...ลักษณะส่วนมากจะคล้ายปีกผีเสื้อ”แพทริเซียเอ่ยพลางจับจ้องมาทางกิริยาอาการที่เปลี่ยนไปของเด็กชายที่นั่งสงบนิ่งคล้ายรอฟัง ใบหน้าอิ่มเอิบดูงดงามราวเทวดาจากสรวงสวรรค์จำแลงกายมาปรากฏ

    “ระดับต่อมาจะมีขนาดตัวประมาณเด็กตัวเล็กๆ พวกนี้จะหาเจอได้ยากกว่า แล้วปีกของพวกเขาก็จะสีจางกว่าพวกแรก...ถ้าจะให้อธิบายง่ายๆคือยิ่งระดับสูงขึ้นเท่าไหร่ ขนาดตัวก็จะยิ่งใกล้เคียงกับมนุษย์ผู้ใหญ่ สีของปีกก็จะยิ่งจางลงเรื่อยๆจนมาถึงระดับสูงสุด ราชินีแฟรี่ พวกเธอจะถือกำเนิดจากป่าที่เก่าแก่มากและกลายเป็นราชินีแห่งป่าทันที ขนาดตัวกับอายุหน้าตาของราชินีแฟรี่จะคล้ายกับมนุษย์หญิงสาวอายุยี่สิบกว่าๆ แต่หน้าตาจะงดงามจนถึงขั้นมีเรื่องเล่าว่าสามารถทำให้ผู้ชายที่เห็นเคลิบเคลิ้มหลงใหลไม่เป็นอันกินอันนอน แถมปีกของราชินีแฟรี่จะใสจนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า...มองดูคล้ายกับมนุษย์ไม่มีผิดเลยล่ะ”

    “เหตุใดราชินีของเผ่าพันธุ์อันเป็นจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติจึงมีลักษณะคล้ายมนุษย์งั้นหรือ”กลิ่นไอของสายลมยามค่ำคืนโชยระใบหน้าอย่างแผ่วเบาในขณะที่คิ้วเรียวเลิกขึ้นอย่างไม่เข้าใจ”ตามปกติแล้วหากอยู่ในสถานะสูงส่งเช่นนั้นจักย่อมมีสิ่งที่พิเศษกว่าผู้อื่นมิใช่หรือ”เด็กชายหวนนึกถึงเรื่องราวของระบบวรรณะ ทั้งเสื้อผ้าเนื้อดี สิทธิในการประกอบพิธีกรรม หรือแม้กระทั่งสิทธิ์ที่จะอุปโภคบริโภคน้ำในบริเวณต้นสายธารอันใสสะอาดของวรรณะพราหมณ์เป็นสิ่งที่ผู้เป็นมารดาย้ำเตือนเสมอเมื่อครั้งมีชีวิตอยู่

    “ความพิเศษของแต่ละเผ่าพันธุ์ก็ไม่ได้เหมือนกันหรอกนะ”นัยน์ตาสีอเมทิสต์เหลือบมองอีกฝ่ายด้วยความเอ็นดู”ฉันเองก็ไม่แน่ใจ แต่คิดว่าที่ราชินีแฟรี่เหมือนกับมนุษย์คงเป็นเพราะธรรมชาติพยายามสร้างให้จิตวิญญาณที่กำเนิดขึ้นคล้ายกับเผ่าพันธุ์ที่มีความเป็นกลางทางพันธุกรรมหรือไม่ก็เพื่อให้สามารถกลมกลืนเข้ากับสังคมมนุษย์ได้เวลาที่พวกเธออยากจะมาล่ะนะ...ถึงพลังของพวกระดับราชินีจะรุนแรงมากก็เถอะ”

    “เผ่าพันธุ์เป็นกลางทางพันธุกรรม...หมายความว่าอย่างไร”

    “ก่อนอื่นความหมายของพันธุกรรมคือลักษณะที่ถ่ายทอดจากบรรพบุรุษไปสู่ลูกหลาน เช่นการที่แอนน์เป็นมนุษย์...ถ้าเกิดเธอแต่งงานมีลูกขึ้นมา ลูกของแอนน์จะได้รับลักษณะที่ถ่ายทอดมาจากพ่อกับแม่ตัวเองอย่างละครึ่ง แล้วก็มีโอกาสที่จะแสดงลักษณะบางอย่างของบรรพบุรุษที่ถูกกดข่มไว้ในสายเลือดด้วย ทีนี้เผ่าพันธุ์อื่นที่มีรูปร่างหน้าตากับสติปัญญาใกล้เคียงหรือสูงกว่ามนุษย์จะมีพันธุกรรมพิเศษเพิ่มขึ้นมา พันธุกรรมพิเศษพวกนั้นจะเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดลักษณะพิเศษของเผ่าไว้”

    “ถ้าเช่นนั้น...ที่เจ้าใช้เวทมนตร์ได้เป็นเพราะพันธุกรรมพิเศษในสายเลือดใช่หรือไม่”ความคิดเชื่อมโยงสิ่งที่เด็กหญิงเอ่ยกับความพิเศษของตัวเธอทำให้เด็กชายเอ่ยขึ้น สีหน้าของเด็กชายตาบอดบ่งบอกถึงความตื่นเต้นจากการรอคอยคำตอบของอีกฝ่าย

    “เธอนี่เก่งจังเลยนะอัศมิตา ถึงตัวฉันจะมี...บางอย่างที่แปลกออกไป แต่โดยรวมที่ใช้เวทมนตร์ได้ก็เพราะว่าได้รับถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ล่ะนะ”มือเรียวยกขึ้นขยี้ศีรษะที่ถูกปกคลุมด้วยเรือนผมสีทองที่นุ่มราวไหมทอ แววเอ็นดูฉายขึ้นเมื่อมองเด็กน้อยผู้ตื่นเต้นดีใจที่ตนเดาถูก

    ”เอาล่ะ ต่อมาก็จะเป็นการแต่งงานข้ามเผ่าพันธุ์ ในกรณีนี้คำว่าเป็นกลางทางพันธุกรรมจะหมายถึงเผ่าพันธุ์ที่ไม่ได้มีพันธุกรรมพิเศษ หรือก็คือมนุษย์นั่นแหละ เวลามนุษย์แต่งงานกับเผ่าพันธุ์อื่นเลยทำให้มีโอกาสที่จะได้ลักษณะพิเศษของเผ่าพันธุ์นั้นมาด้วยไม่มากก็น้อย เช่นพวกจอมเวทเลือดผสมครึ่งมนุษย์ที่ใช้พลังได้ ทีนี้ปัญหาจะเกิดขึ้นกับสองเผ่าพันธุ์ที่มีพันธุกรรมพิเศษที่ต่างกันเกินไปหรือขัดแย้งกันอยู่ โอกาสที่จะเกิดลูกก็มีน้อยลงไปด้วย...เช่นพวกมนุษย์อสูรสายมีปีกกับเงือก ถึงโอกาสที่จะเกิดความรักขึ้นมาระหว่างสองเผ่านี้จะน้อยก็เถอะ”

    “เรื่องราวของเผ่าพันธุ์...ช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก”เสียงของเด็กชายเอ่ยขึ้นราวกับต้องมนตร์สะกดจากเรื่องเล่าของแพทริเซีย หากดวงตาสีฟ้าสดใสสามารถใช้การได้เช่นผู้อื่น สิ่งที่สะท้อนอยู่ในเวลานี้คงเป็นความประทับใจอย่างสุดแสน

    “ใช่ไหมล่ะ จริงๆโลกใบนี้เต็มไปด้วยอะไรที่เราไม่รู้และรอวันค้นพบเต็มไปหมด”แพทริเซียยิ้มกว้าง ในอกเปี่ยมล้นด้วยความยินดีที่เด็กชายมีอารมณ์ร่วมไปด้วย”หรือเรื่องราวของพันธุกรรมที่ฉันเล่าให้เธอฟัง...ก็เคยมีคนบอกฉันว่าทางมนุษย์ยังไม่ค้นพบหลักการของมันเท่าไหร่”แพทริเซียหวนนึกถึงเสียงเรื่อยเย็นของหญิงสาวผมหยักศกในความทรงจำ

    ความง่วงที่เพิ่มขึ้นตามเวลาส่งผลให้เด็กชายหาววอดๆก่อนเครื่องหน้างามจะแสดงอาการขอโทษขอโพยเด็กหญิง

    ”จริงสินะ นี่มันก็เริ่มดึกแล้วด้วย”ร่างในชุดกระโปรงหัวเราะคิกคัก”เข้านอนกันดีกว่า...เดี๋ยวถ้าดึกเกินไปก็อาจเสียสุขภาพได้”มือนุ่มเนียนจับมืออีกฝ่ายไว้ก่อนจะเดินนำทางมายังเตียงใหญ่ แพทริเซียเลื่อนมือของเด็กชายให้สัมผัสกับหมอนที่หัวเตียงด้านหนึ่งก่อนที่ตนจะปีนขึ้นไปนอนยังอีกด้าน

    “ราตรีสวัสดิ์ แพทริเซีย”เสียงเล็กเอ่ยขึ้นขณะจัดผ้าห่มให้คลุมตัวเองมิดชิด

    “ฝันดี”เด็กหญิงเอ่ยตอบก่อนที่แพขนตายาวสวยจะเลื่อนลงปกคลุมดวงตาและดึงจิตวิญญาณให้หลุดลอยไปสู่ห้วงแห่งความสงบ

     

     

    นัยน์ตาสีอเมทิสต์เบิกกว้างขึ้นท่ามกลางความมืดของเวลาดึกสงัดหลังจากที่ถูกรบกวนจากความรู้สึกที่ตัวเธอสัมผัสได้ตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาในบริเวณใกล้หมู่บ้าน ทว่าในเวลานี้ความรู้สึกนั้นกลับรุนแรงขึ้นเป็นเท่าทวี บางอย่างในอกร่ำร้องให้เด็กหญิงก้าวเท้าออกไปเพื่อตามหาต้นตอของสิ่งนั้น

    ลูกไฟขนาดพอให้แสงนำทางได้ผุดจากฝ่ามือและลอยสูงขึ้นในระดับที่แพทริเซียสามารถมองเห็นทิวทัศน์โดยรอบได้ สายตาของเด็กหญิงเลื่อนไปจับจ้องใบหน้าของเด็กชายตัวน้อย เครื่องหน้าที่งดงามราวประติมากรรมชิ้นเอกจากธรรมชาติถูกขับเน้นให้งดงามยิ่งขึ้นเมื่อยามหลับใหล

    “ขอตัวก่อนนะ”เสียงแผ่วเบาหลุดลอดจากลำคอของเด็กหญิง ร่างเล็กลุกขึ้นจากที่นอนอย่างระมัดระวังที่จะไม่ให้เด็กชายรู้สึกตัวก่อนเดินไปยังประตูเพื่อไปยังทิศของต้นตอความรู้สึกนั้น

    สัมผัสของเวทมนตร์ล่องหนถูกร่ายอาบคลุมผิวกายตลอดไปจนถึงลูกไฟและแสงที่ปล่อยออกมาเพื่อมิให้เป็นที่ผิดสังเกตของผู้ที่อาจมาพบเจอ จามกนั้นแพทริเซียจึงย่องออกจากประตูไปอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบราวกับแมว

     

    พอจะรู้สึกได้แล้วล่ะว่าทำไมอัศมิตาถึงคิดว่าตรงนี้มันน่ากลัว

     

    เวลากลางดึกทำให้เสียงทุกอย่างชัดเจน เช่นเดียวกับเสียงลมครวญหวีดหวิวซึ่งมิได้สร้างความอภิรมย์ให้เด็กหญิงมากขึ้นแม้แต่น้อยนิด แม้จะรู้ว่าคงไม่มีวิญญาณร้ายตนใดอยู่แถวนี้ ทว่าบรรยากาศที่เปล่าเปลี่ยวทำให้ร่างในชุดกระโปรงเร่งฝีเท้าเพื่อไปยังพื้นที่อื่น

     

    แสง...?

     

    คิ้วเรียวเลิกขึ้นพร้อมกับเท้าที่พ้นมาจากบันไดขั้นสุดท้ายพอดิบพอดี ด้วยพอจะจำได้ว่าพื้นที่ต้นแสงเป็นบริเวณต้อนรับของโรงแรมแห่งนี้จึงไม่แปลกใจเท่าใดนัก ทว่าด้วยความที่เป็นเส้นทางผ่านไปยังเป้าหมายจึงทำให้เด็กหญิงมุ่งหน้าต่อไป และเมื่อระยะห่างน้อยลงเรื่อยๆ จึงทำให้แพทริเซียได้นินบทสนทนาจากร่างทั้งสองที่อยู่บริเวณเคาเตอร์ได้ถนัดตา

    “ตอนนี้ทุกอย่างกำลังดำเนินไปด้วยดี...แล้วท่านจะทำยังไงกับเรื่องนั้นต่อล่ะ”นัยน์ตาของหญิงสาวใบหน้าแหลมเสี้ยมจ้องมองเปลวไฟที่ปะทุเปรี๊ยะในเตาผิง”ก้างขวางคอนั่นน่ะถึงจะหายหัวไปแล้วแต่ก็มีโอกาสจะกลับมาได้เสมอ”

    “ตอนนี้ถึงจะยังหาตัวไม่เจอแต่ยังไงก็ต้องเจอ”ท่าทีของชายหนุ่มเรือนผมสีมะฮอกกานีผิดจากตอนเย็นราวคนละคน”ถ้าเจอเมื่อไหร่...ตัดตอนซะก็สิ้นเรื่อง”นัยน์ตาสีน้ำเงินจางที่สะท้อนแววแห่งความปรารถนา ไขว่คว้าสิ่งที่ต้องการมาครอบครองโดยไม่สนวิธีการทำให้แพทริเซียขนลุกวาบ

     

    ถ้าก้างขวางคอที่แม่แอนน์พูดถึงคือเวร่าล่ะก็...แปลว่าตอนนี้เธอกำลังตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวงแล้วล่ะ

    จากคำพูดนั่น...ความเป็นไปได้ที่เลวร้ายสุดคือเขาต้องการฆ่าก้างขวางคอทิ้ง แถมคงกล้าที่จะทำจริงด้วย

     

    “แล้วก็อย่าปริปากให้คนๆนั้นรู้เรื่องนี้เด็ดขาด”เสียงทุ้มนุ่มดุจแพรไหม ทว่าแฝงไปด้วยความอันตรายเต็มเปี่ยมจนแม้กระทั่งคู่สนทนายังหน้าถอดสี

    “ข้าไม่ไปบอกหรอกน่า”เจ้าของใบหน้าเจ้าเล่ห์ราวจิ้งจอกทำใจดีสู้เสือ”แต่ยังมีเรื่องที่คนอื่นๆที่เคยมาตัดไม้ที่ป่าแห่งนี้หายตัวไปโดยไร้ร่องรอย...ถึงจะเหลือเชื่อแต่ข้ายืนยันได้ว่ามันเป็นเรื่องจริง พวกเขาเคยมาพักที่นี่แล้วก็สาบสูญไป ไม่แม้กระทั่งมาเก็บสัมภาระที่ค้างอยู่ด้วยซ้ำ”

    “ไม่ใช่ฝีมือแม่นั่นหรอกเหรอ”ชายหนุ่มเอ่ยด้วยท่าทางสบายๆ

    “โอ๊ย ซื่ออย่างนั้นน่ะเหรอจะคิดวิธีดักโจมตีกันแบบนี้ได้ น่ากลัวจะเป็นฝีมือของต้นคำนานแถวนี้มากกว่า”หญิงสาวยิ้มเยาะบุคคลในคำกล่าวนั้น

    “แฟรี่มันก็แค่นิทานปรัมปราไร้สาระ”โธมัสแค่นเสียงอย่างดูถูก”ไว้พวกข้าถางป่าแห่งภูตพรายนั่นเรียบเมื่อไหร่ก็จะรู้ว่าพวกคนเฒ่าคนแก่น่ะคิดไปเองทั้งนั้น”

    เสียงเฮฮาดังขึ้นต่อไปท่ามกลางบทสนทนาที่มีแต่ความละโมบโลภมากของผู้ใหญ่ โดยที่ไม่มีผู้ใดรู้ถึงตัวตนของหญิงสาวปริศนาอีกผู้หนึ่งที่ยืนฟังเรื่องราวอยู่บริเวณหน้าประตูโรงแรมอีกด้าน ร่างสูงถอนหายใจด้วยนึกสังเวชในกิเลสอันไม่มีที่สิ้นสุดของมนุษย์พลางเงยหน้าขึ้นมองดวงดาราที่สุกสกาวเต็มท้องฟ้า

    เสียงเพรียกหาได้เตือนว่า พวกเรากลับมาอีกคนหนึ่ง...หลังจากที่ผ่านมาหลายขวบปี”ประกายในดวงตาคู่งามเปี่ยมล้นไปด้วยความยินดีอย่างหาที่เปรียบมิได้”เวลานี้ข้าคงจะต้องไปแล้ว พลังที่อ่อนเยาว์คงมิอาจต้านทานเสียงเพรียกหาได้...และอาจทำให้มนุษย์พวกนั้นรู้ตัว”กลุ่มแสงระยิบตาลอยขึ้นบดบังร่างของเธอไว้ก่อนจะหายไป

    “ยินดีต้อนรับ...พวกพ้องคนใหม่ของพวกเรา”


    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    กราบขออภัยสำหรับความล่าช้าในเดือนนี้จริงๆนะคะ เดือนต่อไปจะพยายามลงตามเวลาที่เราวางไว้ให้ได้ค่ะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×