ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Saint Seiya The Lost Canvas] The White Sky Memories

    ลำดับตอนที่ #17 : ความรู้สึก

    • อัปเดตล่าสุด 5 ก.พ. 61


    โสตสัมผัสของอัศมิตารับรู้ถึงเสียงของกีบเท้าม้าที่กำลังลากเกวียนขนส่งผ่านถนนหินปูตรงหน้าพร้อมเสียงของเด็กวัยราวเจ็ดแปดขวบและหญิงสาวที่คล้ายถูกบางอย่างกั้นไว้จนไม่สามารถได้ยินชัดเจนนัก กลิ่นของสัตว์สี่เท้าลอยขึ้นปะปนกับอากาศเย็นสดชื่นของฤดูใบไม้ร่วง

    เสียงกระดิ่งแขวนดังกระทบประตูเมื่อถูกร่างหนึ่งผลักเปิดออก“ให้ตายเถอะ สุดท้ายก็หาไม่เจอจริงด้วย”แพทริเซียบ่นอุบอิบให้เด็กชายฟังหลังการเข้าไปสอบถามข้อมูลหนังสือจากเจ้าของร้าน

    “ใจเย็นลงก่อนเถิด หนังสือที่เจ้าต้องการมีเนื้อหาอย่างไร”เสียงเล็กเอ่ยถามเจื้อยแจ้วขณะเงยหน้าขึ้นยังทิศทางต้นเสียงของอีกฝ่ายด้วยตระหนักว่าเด็กหญิงเข้าออกร้านหนังสือตั้งแต่วันแรกๆที่มาถึงและล่วงเลยมาจนวันนี้

    “กะว่าจะลองหาตำราการแพทย์ที่เกี่ยวกับโรคและการรักษาดวงตามาลองอ่านดูน่ะ แต่ว่าตลอดเวลาที่เราไปตระเวนหากันก็มีแค่ไม่เจอ หรือเจอแต่เล่มที่ไม่ได้ช่วยอะไรได้มากเท่าไหร่”เสียงที่เอ่ยตอบเหม่อลอยคล้ายอยู่ในภวังค์ความคิด”ฉันคิดว่าความก้าวหน้าทางการแพทย์ของมนุษย์อาจจะไม่มากเท่าจอมเวท หรือไม่...ตำราดีๆก็คงจะอยู่ในโรงเรียนสอนแพทย์หมด”

    “โรคและการรักษาดวงตา...งั้นหรือ”อัศมิตารู้สึกเอะใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำที่เกี่ยวข้องกับตน จึงตัดสินใจเอ่ยถามขึ้นเพื่อความมั่นใจ”เหตุใดเจ้าถึงต้องการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้กัน”

    เสียงใสหัวเราะคิกเมื่อได้ยินคำถามตรงไปตรงมาจากเด็กชาย”ฉันพยายามหาทางรักษาให้เธอมองเห็นได้ตามที่เราเคยคุยกันเมื่อตอนนั้นไงล่ะ”เรือนผมสีทองพิสุทธิ์ถูกขยี้ไปมาด้วยความเอ็นดูดังเช่นเคย

    “เมื่อตอนนั้น...หมายความว่าเจ้ายังคงใคร่ครวญถึงคำพูดของเราอยู่งั้นหรือ”อัศมิตาเลิกคิ้วขึ้นพลางยื่นใบหน้าน้อยเข้าไปใกล้อีกฝ่าย ความกังวลเข้าแทรกในทรวงอกเมื่อคิดว่าตนเป็นสาเหตุที่ทำให้แพทริเซียต้องลำบากใจ”ห-หากความคิดชั่ววูบของเราสร้างความเดือดร้อนแก่เจ้า ขอจงโปรดอย่าได้เก็บมาใส่ใจให้ทุกข์ร้อนเถิด”

    “จริงๆเลยนะอัศมิตา เอาแต่โทษตัวเองอยู่ได้”เสียงใสเอ่ยตำหนิแกมเย้าหยอกขณะนิ้วเรียวยาวจิ้มลงบนเนื้อนุ่มของแก้มอีกฝ่าย”ฉันทำเรื่องทั้งหมดด้วยความเต็มใจ ถ้ามีทางรักษาเธออยู่ในหนังสือสักเล่มฉันก็จะทำอย่างสุดความสามารถที่ฉันมี...แต่ถ้าไม่มีก็ถือว่าฉันได้ความรู้มาสะสมเพิ่ม รอเวลาที่มีทุกอย่างมากพอจะค้นคว้าจริงจัง”

    “เราขอบคุณในความหวังดีที่ต้องการช่วยเหลือให้ความปรารถนาของเราเป็นจริง ทว่าความพิการที่เกิดขึ้นกับดวงตาทั้งสองข้างนี้จักมีหนทางที่ช่วยรักษาให้ทุเลาลงได้แน่หรือ”สายลมเย็นพัดเรือนผมสีทองให้ปลิวไปตามลม ใบหน้าครุ่นคิดซึ่งถูกสายลมพัดต้องดูดุจดั่งภาพวาดที่รังสรรค์โดยจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่

    “บอกตามตรง ฉันเองก็ไม่รู้หรอกนะ...แต่มีคนเคยบอกกับฉันไว้ว่าทุกๆอย่างมีโอกาสเป็นไปได้แม้กระทั่งการชุบชีวิต ขอแค่รู้วิธีการเท่านั้น”ใบหน้าน้อยเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีครามคล้ายคะนึงถึงบางสิ่งที่แสนไกล ก่อนรอยยิ้มที่งดงามและเศร้าสร้อยจะปรากฏขึ้นบนริมฝีปากสีชมพู

    “ถ้าเช่นนั้นหมายความว่าเรายังคงมีความหวังใช่หรือไม่...”นัยน์ตาสีฟ้าสดที่กลมโตคล้ายตุ๊กตาเงยขึ้นหาเด็กหญิงจนให้ความรู้สึกคล้ายถูกจ้องมองแม้เจ้าตัวจะไม่สามารถทำเช่นนั้นได้

    “ใช่แล้วล่ะ”แพทริเซียรับคำเรียบๆด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ก่อนคิ้วเรียวจะขมวดมุ่นด้วยงุนงงเมื่อมองไปยังเบื้องหน้า

    ผู้ที่ดูโดเด่นกว่าใครบนถนนสายยาวจนดึงดูดสายตาและเสียงซุบซิบของผู้คนตามหลังคือเด็กชายที่ดูโตกว่าแพทริเซียเล็กน้อยในชุดเช่นพวกผู้ดี มือข้างหนึ่งหอบหิ้วสัมภาระรุงรังคล้ายเป็นการย้ายถิ่นฐานไปยังที่แห่งใหม่ และร่างงองุ้มชราภาพเต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นซึ่งไม่สูงไปกว่าเด็กหญิงเดินตามมาไม่ห่างนัก

     

    เดี๋ยวนะ ปู่คนนั้นเผ่าอะไร

    คนแคระเหรอ

    ทำไมถึงมาเดินบนถนนกับมนุษย์กลางวันแสกๆได้ล่ะ

     

    นัยน์ตาสีฟ้าเข้มของเด็กชายจ้องตอบกลับมายังเด็กน้อยทั้งสอง และในชั่ววินาทีนั้นแพทริเซียพลันจำได้ว่าตนเคยเห็นเรือนผมสีเขียวจัดคล้ายผืนป่านี้จากที่ใด

     

    ตอนนี้เราก็ได้เจอคุณหนูเดเจลในคำร่ำลือกันแล้ว

     

    เดี๋ยวสิ ถ้าอย่างนั้น..อย่าบอกนะว่าข้างๆคือท่านเครสต์น่ะ

     

    “เซนต์แห่งอาเธน่าเหรอ...น่าสนใจเหมือนกันนี่”สายตาของแพทริเซียจ้องมองไปยังชายชราร่างเล็กอย่างพินิจพิเคราะห์ด้วยผมเผ้าและหนวดเครายาวรุงรังดูตัดกับเสื้อผ้าสะอาดเอี่ยมที่ร่างงองุ้มสวมใส่

    “เจ้ามองเห็นสิ่งใดอยู่หรือ”เด็กชายขยับจังหวะฝีเท้าเข้ามาใกล้ ใบหน้าที่แช่มชื่นขึ้นด้วยหายจากพิษไข้แสดงอาการงุนงง

    “เปล่าหรอก...ไม่มีอะไรมาก”แพทริเซียหัวเราะเบาๆเมื่อเห็นเด็กชายผมสีเขียวโบกไม้โบกมือข้างที่ว่างมาทางเธอเป็นการใหญ่ราวต้องการทักทายคนใกล้ชิด มือเรียวโบกกลับไปตามมารยาทที่พึงกระทำ

    “หากไม่เป็นการรบกวนจะช่วยบอกให้เราทราบได้หรือไม่”อัศมิตายังคงรบเร้า ขณะที่ตั้งสมาธิสำรวจเสียงจ้อกแจ้กจอแจของผู้คนที่สัญจรไปมาบนถนน

    “ก็ได้ ฉันคิดว่าเธออาจเคยได้ยินแคลร์คงพูดถึงเด็กผู้ชายที่ชื่อเดเจลมาบ้างแล้วใช่ไหม”เสียงใสเอ่ยถามก่อนนัยน์ตาสีม่วงจะเบนความสนใจมายังเด็กชายตาบอดและรอจนอีกฝ่ายพยักหน้าสั้นๆอีกครั้ง”ฉันเห็นเขาอยู่บนถนน...ดูจากสัมภาระแล้วคงกำลังจะเดินทางไกล แต่ไม่รู้ทำไมถึงโบกไม้โบกมือให้ฉันเหมือนเราเคยรู้จักกันมาก่อน”

    “เจ้าเคยพบหน้าคนผู้นี้จึงสามารถจดจำใบหน้าได้ใช่หรือไม่...อาจเป็นในตัวปราสาทเมื่อราวหลายวันก่อน”ใบหน้าน้อยที่งดงามไม่ผิดเพี้ยนจากรูปสลักกลับปรากฏสีหน้าใสซื่อเช่นเด็กไร้เดียงสาออกมายามพูดถึงเรื่องที่ตนได้เพียงแต่นึกจินตนาการ

    “ไม่เคยเจอตัวจริงหรอก แต่ตอนที่พ่อแคลร์จัดให้มีการทดสอบพลังคอสโมนั่นน่ะ...แขกที่มาหาก็คือคุณอองรีที่เป็นพ่อของเดเจลนี่แหละ”แพทริเซียมองตรงไปยังเด็กชายผมสีเขียวกับร่างงองุ้มที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ”ที่ฉันจำได้เพราะเค้าโครงหน้ากับสีผมของเดเจลเหมือนกับพ่อมาก”

    “งั้นหรือ...”เด็กชายกล่าวตอบเหม่อลอยคล้ายตกอยู่ในห้วงความคิดและค่อยๆลดเสียงของตนลงโดยไม่รู้ตัว คำแดกดันที่มารดาเคยกล่าวเปรียบเทียบตนกับผู้เป็นบิดาผุดขึ้นมาเป็นระยะ

    และในชั่วจังหวะหนึ่งที่ดูราวกับเวลารอบข้างคล้ายเฉื่อยชาลง การเคลื่อนไหวของแพทริเซียพาตัวเธอเข้าไปอยู่ในระยะที่สามารถสังเกตทุกอิริยาบถของเด็กชายชั้นสูงอย่างถนัดตา รอยยิ้มเจิดจ้าราวแสงตะวันที่มอบให้แก่เด็กหญิงต่างชาติถอดแบบมาจากผู้เป็นบิดาอย่างไม่มีผิดเพี้ยน เดเจลไม่ได้เอ่ยสิ่งใดกับเด็กน้อยทั้งสอง เพียงแต่ขยิบตาให้สาวน้อยอย่างมีความนัยบางอย่างเท่านั้น

     

    ให้ตาย

    เหมือนกับคุณอองรีย่อส่วนไม่มีผิดเลยนะ

    พนันได้เลยว่าโตไปความเจ้าเสน่ห์โดยธรรมชาตินี่คงจะดึงดูดสาวๆให้ละลายเหมือนหิมะโดนความร้อนแน่

     

    แต่การมาทักกันแบบนี้...ไม่แน่ว่าเดเจลอาจเข้าใจว่าฉันเป็นคุณหนูแคลร์ไปแล้วอีกคนก็ได้

     

    เวลาคล้ายกลับเป็นปกติแทบจะในทันทีที่เด็กหญิงจูงเด็กชายตาบอดพ้นออกมาจากจุดที่เดินสวนกัน นัยน์ตาสีม่วงลอบมองแผ่นหลังงองุ้มของร่างชราภาพที่ตนมั่นใจว่าเมื่อสักครู่สัมผัสได้ถึงไอเย็นประหลาดจากร่างนั้น

     

    “เจ้ารู้จักนางงั้นรึ”เสียงแหบพร่าของชายชราเอ่ยถามลูกศิษย์ในอนาคตของตน นัยน์ตาสีเข้มมองไปยังเด็กทั้งสองที่เดินห่างออกไปไกลมากพอจะไม่ได้ยินบทสนทนานี้

    เดเจลส่ายศีรษะเบาๆ“ท่านเองก็สังเกตได้ใช่ไหมขอรับว่านางไม่ใช่แคลร์”เจ้าของเรือนผมสีเขียวหันไปมองคู่สนทนาด้วยท่าทีนอบน้อม

    “กิริยาท่าทางแม้จะคล้ายคลึง แต่ก็มีจุดแตกต่างที่สังเกตได้”เครสต์ตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ทว่าแฝงไปด้วยความจัดเจนดังเช่นผู้ผ่านโลกมาอย่างยาวนาน”แล้วเหตุใดเจ้าจึงแสดงอาการทักทายนางดังว่ารู้จักกันเช่นนั้น”

    เด็กชายอมยิ้มเล็กน้อยเมื่อนึกถึงพลังบางอย่างที่ตนรู้สึกจากกายของผู้ที่ถูกกล่าวถึง นัยน์ตาสีม่วงคู่โตที่ฉายแววรอบรู้ดึงดูดให้เด็กชายรู้สึกอยากแลกเปลี่ยนข้อมูลด้วยหากว่าตนมีเวลามากกว่าในขณะนี้”ไม่รู้สิขอรับ...อาจเป็นเพียงสิ่งที่ข้าคิดไปเอง”

    แต่ข้ารู้สึกว่าสักวันอาจได้พบนางอีกครั้งในภายหน้า….”

     

     

    เสียงคลื่นซัดสาดกระทบเรือเป็นระยะดังเช่นดนตรีขับกล่อมจากธรรมชาติ พร้อมกลิ่นอายของท้องทะเลยามเที่ยงลอยปะปนกับกลิ่นสะอาดของตัวห้องคล้ายต้องการสร้างบรรยากาศการทานอาหารของเด็กน้อยทั้งสองให้รื่นรมย์ยิ่งขึ้น

    อัศมิตาใช้ปลายมีดในมือขวาของตนแตะลงบนชิ้นเนื้อสับปั้นก้อนเพื่อสำรวจตำแหน่งก่อนจะหั่นแห่งออกเป็นชิ้นพอดีคำ ส้อมในมืออีกข้างจิ้มลงไปบนชิ้นเนื้อและส่งเข้าปากอย่างรวดเร็วด้วยนาสิกสัมผัสถูกกระตุ้นจากความหอมอบอวลของอาหารปรุงสุกใหม่ สัมผัสนุ่มลิ้นและรสจากเครื่องเทศที่หมักอย่างลงตัวเป็นดั่งระเบิดที่กระจายความอร่อยไปทั่วปากจนเด็กชายตัดสินใจรีบเคี้ยวให้หมดก่อนเอ่ยขึ้น”แพทริเซีย รสชาติอาหารของเจ้ายังคงอร่อยเช่นเดิม”

    ความเอ็นดูบังเกิดขึ้นเมื่อเจ้าของชื่อมองไปยังเด็กชายตาบอด ประกายในดวงตาสีอเมทิสต์เปลี่ยนเป็นความอบอุ่นโดยไม่รู้ตัว”ไม่หรอก คราวนี้ก็ไม่ใช่ว่าฉันทำทั้งหมดนี่คนเดียวซะหน่อย”

    “หามิได้ การที่เราใส่สมุนไพรและเครื่องปรุงรสเป็นเพียงส่วนน้อยนิดของอาหารเท่านั้น”อัศมิตาเอ่ยอย่างเกรงอกเกรงใจเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในครัวที่ตนได้แต่เพียงหั่นสมุนไพรเล็กน้อยขณะรู้สึกถึงการจ้องมองจากเด็กหญิงผู้ยืนนวดเนื้อในชามด้านข้าง

    “รู้ไหมว่าถ้าอาหารปรุงไม่ดี...ต่อให้วัตถุดิบจะดีมาจากไหนก็มีสิทธิ์ออกมาไม่อร่อยได้เหมือนกัน”เสียงใสเอ่ยคล้ายผู้ใหญ่ที่ต้องการให้กำลังใจเด็กน้อย”เพราะงั้นการที่อาหารจานนี้อร่อยหมายความว่าเธอทำหน้าที่ส่วนของเธอได้สมบูรณ์แล้วล่ะ”มือเรียวยกส้อมที่จิ้มชิ้นเนื้อค้างไว้เข้าปาก

    ใบหน้าน้อยของเด็กชายแดงระเรื่อราวผลมะเขือเทศสุกเมื่อได้ยินถ้อยคำเชิงบวกจากปากอีกฝ่าย

    “คราวหลังเดี๋ยวฉันจะสอนเรื่องวิธีจัดการพวกเนื้อสัตว์ให้แล้วกันนะ”รอยยิ้มผุดขึ้นบนริมฝีปากสีชมพูดังเช่นผู้ที่กำลังพูดถึงเรื่องสนุก ตัดกับประกายของดวงตาที่สะท้อนความปรารถนาลึกๆในหัวใจ...ปรารถนาให้เด็กชายยังคงใช้ชีวิตอย่างปกติสุขได้แม้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอก็ตาม

    “ขอบคุณเจ้ามาก...แพทริเซีย”ใบหน้างดงามของเด็กชายดูคล้ายเทวดาตัวน้อยเมื่อเปี่ยมล้นไปด้วยความบริสุทธิ์ดุจผืนผ้าขาว

     

    ไม่รู้ว่าเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า

    แต่ฉันอยากมีชีวิตสงบสุขแบบนี้...ไปตลอด

     

     

     

    หลังจากที่ทั้งสองทานอาหารและช่วยกันล้างจานจนสะอาด เด็กหญิงร่างสูงก็วาดฝ่ามือไปข้างหน้าหนึ่งครั้งเพื่อใช้เวทมนตร์ควบคุมให้โต๊ะและเก้าอี้ถอยร่นไปจนรัศมีพื้นที่รอบตัวกว้างขึ้น

    เสียงเนื้อไม้เลื่อนไปตามพื้นทำให้อัศมิตาพอจะจินตนาการทิศทางการเคลื่อนไหวของวัตถุได้”เจ้ากำลังกระทำสิ่งใดอยู่กัน”

    “ทำพื้นที่ให้โล่งน่ะ”เสียงใสเอ่ยพลางครุ่นคิดถึงโทรจิตที่เด็กชายส่งมาเมื่อตอนที่อยู่ฝรั่งเศสก่อนความจริงจังจะปรากฏในน้ำเสียง”ฉันคิดว่าจะลองฝึกเวทมนตร์ให้เธอดู...”

    “ร-เราจักสามารถใช้เวทมนตร์ได้อย่างนั้นหรือ!”เสียงเล็กดังลั่นขึ้นด้วยตื่นเต้น เป็นผลให้นัยน์ตาสีฟ้าสดคล้ายตุ๊กตาเบิกกว้างขึ้นแม้ไร้แวว มือทั้งสองกำแน่นขณะสีหน้าซึ่งเก็บอาการไม่อยู่ดูราวกับอยากฟังเด็กหญิงพูดต่อจนใจแทบขาด

    “ก็ไม่แน่นะ บางทีอาจมีเลือดของจอมเวทแฝงอยู่ในสายตระกูลแล้วมาปรากฏในรุ่นเธอก็ได้...”แพทริเซียตอบเป็นเชิงหยอกเย้า”ถึงฉันรับประกันไม่ได้ว่าจะสำเร็จหรือเปล่าก็เถอะ”

    ใบหน้าของอัศมิตาดูหมองหม่นลงเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น เป็นผลให้เด็กหญิงผู้เฝ้าสังเกตต้องรีบเอ่ยต่อ

    “แต่ว่าไม่ลองก็ไม่รู้ จากที่เธอใช้โทรจิตได้แปลว่าอย่างน้อยเธอต้องมีพลังของบางอย่างอยู่แน่”นิ้วเรียวยาวม้วนปลายผมระหว่างใช้ความคิด”เอาล่ะ มาเริ่มกันเลยไหม”

    เด็กชายผงกหัวอย่างกระตือรือร้นคล้ายรอคอยช่วงเวลานี้มาอย่างเนิ่นนาน”เราจักต้องทำเช่นไรบ้าง แพทริเซีย”

    “เรื่องคำร่ายคงไว้ทีหลังได้...”เสียงที่ออกมาเป็นการพึมพำแผ่วเบาคล้ายต้องการพูดให้ตนเองได้ยินเพียงผู้เดียว”ลองเป็นเวทพื้นฐานง่ายๆก่อนดีกว่า”

    แพทริเซียควบคุมพลังส่วนหนึ่งให้ไหลลงมารวมกันที่ปลายมือขวาก่อนตั้งสมาธิถึงผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดขึ้น บังเกิดเป็นแสงสว่างเล็กๆสีเหลืองนวลลอยอ้อยอิ่งเหนือฝ่ามือเล็กน้อย”เอาล่ะ นี่คือเรื่องที่ฉันจะลองสอนให้เธอวันนี้”มือซ้ายที่ว่างอยู่เลื่อนมือเด็กชายตาบอดให้มาหยุดอยู่ตรงรูปร่างทรงกลมของกลุ่มแสงพอดิบพอดี

    อัศมิตาเลิกคิ้วขึ้น มือผอมบางควานเปะปะไปยังทิศทางของกลุ่มแสงเหลืองนวลก่อนจะรู้สึกถึงพลังงานบางอย่างที่ราวกับโอบรอบมือไว้ แม้มิอาจสัมผัสได้ถึงพื้นผิววัตถุใด ทว่าอุณหภูมิที่สูงกว่าอากาศเย็นสบายโดยรอบทำให้เด็กชายมั่นใจว่าต้องมีบางสิ่งอยู่ในมือของเด็กหญิง”สัมผัสนี้...อุณหภูมิที่เปลี่ยนไป เจ้าต้องการสอนเวทมนตร์สร้างความร้อนใช่หรือไม่”

    “เกือบถูกแล้ว”เสียงใสตอบกลั้วรอยยิ้มพร้อมยกมืออีกข้างขยี้เรือนผมสีทอง”ที่อยู่ในมือฉันคือเวทมนตร์แสงน่ะ”

     

    แม้เราจะเคยได้ยินเรื่องของแสงมานับพันครั้ง

    ทว่ากลับไม่เคยเข้าใจอย่างถ่องแท้

     

    ความสวยงามของแสงที่พวกเขามองเห็น...แตกต่างจากความมืดมิดอย่างไรกัน

     

    เด็กชายมีสีหน้าละอายลงเล็กน้อยขณะมีท่าทีอึกอักคล้ายหวาดกลัวคำตำหนิ ก่อนเสียงเล็กจะเอ่ยอ้อมแอ้มขึ้น”เราขอให้เจ้าอธิบายเกี่ยวกับแสงให้เราฟังจะได้หรือไม่”

    มือเรียวยกขึ้นขยี้หน้าม้าด้วยนึกหัวเสียที่ไม่เคยอธิบายเรื่องของแสงให้เด็กชายฟัง ก่อนจะเอ่ยอธิบายด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ”ได้อยู่แล้ว เท่าที่ฉันจำได้นะ โดยทั่วไปแล้ว แสงเป็นพลังงานในรูปแบบนึงที่เดินทางในรูปแบบของคลื่น แต่ที่เราสามารถสัมผัสความร้อนจากแสงได้ หลักๆก็คือการที่แสงนั้นเกิดจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิง...อย่างตอนที่เธอจุดเทียนไขหรือคบเพลิง ส่วนวัตถุธรรมชาติที่ให้กำเนิดแสงได้ส่วนใหญ่จะมีอุณหภูมิสูงมากอยู่แล้ว...ยกตัวอย่างง่ายๆก็คือดวงอาทิตย์ไง”

    เด็กชายพยักหน้าด้วยพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่แพทริเซียบอก แม้จะรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ลึกล้ำเกินไปในขณะนี้”แล้วเช่นนั้นเจ้าพอจะทราบหรือไม่ว่าเพราะเหตุใดดวงตาของเราจึงไม่สามารถมองเห็นแสงได้”

    เด็กหญิงทำเสียงอืมในลำคอคล้ายครุ่นคิด เสียงใสเปลี่ยนเป็นจังหวะราบเรียบยิ่งขึ้นขณะลมทะเลโชยพัดต้องใบหน้าอ่อนๆ”ฉันบอกสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้หรอกนะ แต่คิดว่าปัญหาเรื่องนี้คงไม่ได้เกิดขึ้นที่ตาของเธอตรงๆ...อาจเป็นเส้นประสาทส่วนกลางหรือสมองก็ได้”

    “หมายความว่าอย่างไร...”นัยน์ตาสีฟ้าสดคู่โตเงยขึ้นยังทิศทางของต้นเสียง เป็นผลให้อีกฝ่ายอดคิดไม่ได้ว่าหากดวงตาทั้งสองข้างของเด็กชายเป็นปกติดี สิ่งที่สะท้อนอยู่ในขณะนี้คงเปี่ยมล้นไปด้วยความไม่เข้าใจเป็นแน่แท้

    “อธิบายง่ายๆคือระบบการมองเห็นจะมีอยู่สามส่วนใหญ่คือดวงตา เส้นประสาท และสมอง โดยที่ตาของเธอจะทำหน้าที่รับข้อมูลของแสงที่สะท้อนเข้ามา แล้วส่งข้อมูลผ่านเส้นประสาทต่อไปให้สมองประมวลผล...”นัยน์ตาสีม่วงเงยขึ้นเหลือบมองปฏิกิริยาของเด็กชายก่อนอธิบายต่อ

    ”สมมุติให้แสงเป็นคนกลุ่มนึงที่ต้องการจะเข้าเมืองก็แล้วกัน ดวงตาเป็นด่านรักษาการณ์ก่อนถึงตัวเมือง...ถ้าเกิดด่านสกัดไม่ให้เข้าหรือให้ผ่านเฉพาะบางคน จำนวนคนที่สามารถไปต่อได้ก็จะเหลือน้อยลง...”

    เด็กชายเอ่ยขัดขึ้นด้วยเสียงกระซิบคล้ายต้องการให้ถ้อยคำเลือนหายไปท่ามกลางสายลม“เรามีบางสิ่งที่ต้องการจะถาม...เหตุใดเจ้าจึงคิดว่าสาเหตุที่เราไม่สามารถมองเห็นได้มิเกิดจากดวงตากัน”

    “จำตอนที่เราเจอกันครั้งแรกได้ไหม ที่ตอนแรกฉันไม่รู้ว่าเธอตาบอดน่ะ...เพราะว่าดูจากภายนอกแล้วตาของเธอไม่มีอะไรผิดปกติ”มือเรียวลูบเส้นผมนุ่มสลวยของตนอย่างแผ่วเบา”ส่วนใหญ่ความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับดวงตาตรงๆมักจะสังเกตเห็นได้ชัด อย่างพวกต้อต่างๆหรือความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับกระจกตา...ส่วนที่เหมือนเนื้อเยื่อใสบางๆคลุมอยู่บนม่านตาน่ะ”

    “เป็นเช่นนั้นเอง...”อัศมิตาพึมพำกับตนเองคล้ายพยายามทำความเข้าใจคำพูดของแพทริเซีย

    “ต่อเลยนะ พอแสงผ่านด่านรักษาการณ์เข้ามาได้ เส้นประสาทก็เป็นเหมือนทางที่จะต้องผ่านไป...แต่ถ้าทางนั้นโดนหินถล่มปิด...จำนวนคนที่ผ่านไปต่อได้อาจน้อยลงหรือไม่มีเลย”แพทริเซียดับแสงดวงน้อยในมือลง”หรือถ้าเกิดเส้นทางเข้าเมืองยังปกติดี สมองคือคนที่ทำหน้าที่รายงานให้กับตัวเราที่เป็นผู้ปกครองเมืองได้รับรู้ ถ้ามีเหตุการณ์อะไรสักอย่างเกิดขึ้นกับคนหรือรายงาน ก็จะทำให้ผู้ปกครองเมืองไม่รู้ว่ามีนักเดินทางเข้ามาในเมืองแล้ว”

    “แสงสามารถผ่านดวงตาของเราได้แต่กลับถูกขัดขวางระหว่างเส้นทางหรือ แปลกจริง”คิ้วของเด็กชายขมวดมุ่น”หากสามารถทำให้สิ่งกีดขวางหายไปหรือรายงานนั้นถูกส่งมายังตัวเรา...จักทำให้เราสามารถมองเห็นเช่นผู้อื่นใช่หรือไม่”

    “ใช่แล้ว ฉันคิดว่าเรายังมีโอกาสรักษาเธอให้มองเห็นได้ถ้ารู้ถึงจุดของปัญหาแล้วก็วิธีแก้ไข...เพราะงั้นฉันจะพยายามหาตำราเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้มาศึกษาให้ละเอียดดู”แพทริเซียเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเชิงให้กำลังใจ”เอาล่ะ ตอนนี้ก็มาต่อเรื่องเวทมนตร์แสงที่ค้างกันไว้เมื่อกี้ดีกว่า”

    ร่างผอมบางมีอาการซึมเซาลงคล้ายไม่แน่ใจว่าตนจะทำได้หรือไม่ ใบหน้างดงามดุจองค์เทพเทวาแสดงท่าทีของความกดดันอย่างเห็นได้ชัดด้วยริมฝีปากที่เม้มลงทีละนิด”ตัวเราที่มิเคยมองเห็นแสงแม้เพียงสักครั้ง...จักสามารถใช้เวทมนตร์เพื่อสร้างมันขึ้นได้จริงหรือ”

    “ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้หรอกนะ”หากจะมีสิ่งใดใกล้เคียงแสงสว่างในความคิดของเด็กชายตาบอดมากที่สุดในเวลานี้ คงจะไม่พ้นเสียงใสดุจกระดิ่งลมที่คอยเอ่ยให้กำลังใจเสมอมา”ถึงเธอมองไม่เห็นก็ใช่ว่าจะตัดขาดกับแสงไปซะทุกอย่างซะหน่อย ลองจินตนาการถึงความรู้สึกที่กระทบผิวของเธอในตอนที่เธอออกมากลางแจ้ง อุณหภูมิ กลิ่นของไอแดด สิ่งที่แตกต่างกับตอนที่เธออยู่ในร่ม”

    เสียงของแพทริเซียคล้ายมีมนตราบางอย่างดุจสายน้ำไหลเย็นที่คอยปลอบประโลมอัศมิตาให้รู้สึกผ่อนคลายราวได้กลับไปอยู่ในอ้อมแขนของมารดาในความฝันอีกครั้ง ความซึมเซาที่มีมาแต่ก่อนเก่าเปลี่ยนเป็นลมหายใจที่ช้าและเป็นจังหวะสม่ำเสมอ

    “ตอนนี้ให้เธอตั้งสมาธิจดจ่ออยู่กับร่างกายของตัวเอง...ไปยังจุดพลังที่เธอเคยบอก ตั้งมั่นไว้ว่าเธอต้องการจะให้พลังของเธอไหลไปรวมกันที่ฝ่ามือข้างขวาเพื่อที่จะสร้างความร้อนและความอบอุ่นขึ้นมาด้วยพลังนี้”

    ร่างผอมบางพยายามทำตามคำบอกเล่าของอีกฝ่ายด้วยความเงียบเสียจนสามารถได้ยินการทำงานของอวัยวะภายในบางส่วนได้อย่างชัดเจน ทว่าแม้จิตของอัศมิตาจะเฟ้นหาความอบอุ่นของพลังที่ตนเคยพบสักเพียงใด....แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่าเสมือนปาฏิหาริย์ที่เคยเกิดขึ้นเป็นเพียงความฝัน ความกังวลเริ่มเข้าครอบงำอัศมิตาอีกครั้งราวงูที่เสียดแทงคมเขี้ยวทะลุหัวใจอย่างรวดเร็วและรุนแรง

     

    เหตุใดเราจึงมิสามารถสัมผัสถึงความอบอุ่นนั้นได้อีก

    เรายังพยายามรีดเค้นพลังออกมามิเพียงพอหรืออย่างไร

     

    เมื่อคิดดังนั้นอัศมิตาจึงพยายามนึกถึงความรู้สึกเมื่อครั้งตนป่วยหนักออกมา ทว่าไม่เป็นผลด้วยไร้ซึ่งความอบอุ่นที่ก่อตัวขึ้นกลางอกดังเช่นครานั้น ฟันซี่ขาวขบกันแน่นพร้อมเครื่องหน้าที่แสดงความบิดเบี้ยวด้วยนึกขุ่นเคืองที่ตนไร้ความสามารถจะสร้างสิ่งใดขึ้นมาดังคำของเด็กหญิงได้

    “แพทริเซีย...ขอโทษที่ทำให้เจ้าผิดหวัง ทว่าเราคงมิสามารถใช้เวทมนตร์ดังที่เจ้าปรารถนาได้”เสียงสั่นเครือถูกเปล่งจากลำคอขณะเด็กชายรู้สึกถึงความชื้นที่เพิ่มพูนขึ้นบนดวงตาทั้งสองข้าง แม้จะหักห้ามใจตนเองเพียงไร แต่หยาดน้ำตาก็ยังคงไหลลงมาตามใบหน้าราวต้องการแสดงอารมณ์ออกมาให้อีกฝ่ายเห็น

    ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร เธออาจฝึกไม่สำเร็จในวันนี้...แต่สักวันเธออาจทำสำเร็จก็ได้ หรือต่อให้เธอเป็นมนุษย์ธรรมดาที่ไม่มีพลังจริง ก็ไม่ได้ทำให้คุณค่าในตัวเธอลดลงไปสักนิดเลยนะคิ้วสีม่วงเคลื่อนตกลงขณะแพทริเซียนึกตำหนิตัวเองในใจก่อนจะใช้แขนเรียวยาวทั้งสองโอบรอบตัวเด็กชายเอาไว้”เอาเป็นว่าวันนี้เราหยุดเรื่องการสอนเวทมนตร์ไว้ก่อนดีกว่าไหม”

    เด็กชายพยักหน้าแผ่วค่อยด้วยรู้สึกอ่อนล้าเกินจะพูดสิ่งใด เสียงสะอื้นดังออกมาเป็นจังหวะแผ่วเบาด้วยพยายามเก็บกักเสียงมิให้เล็ดลอดออกมา

    ประกายในดวงตาของแพทริเซียเปลี่ยนเป็นความไม่สบายใจอีกครั้ง ก่อนเด็กหญิงจะใช้พลังเวทของตนควบคุมโต๊ะและเก้าอี้ที่ถอยร่นไปให้กลับมาอยู่ที่ตำแหน่งเดิม

     

    นี่ฉันแสดงท่าทีคาดหวังอะไรจนไปกดดันเธอหรือเปล่า

    หรือว่าน้ำเสียงที่พูดกับเธอมันสื่อว่าฉันอยากให้เธอทำมันจนเกินไป

     

    คราวหลังฉันคงต้องคิดให้ดีกว่านี้ก่อนจะพูด

     

    เสียงใสของเด็กหญิงลองดึงความสนใจของเด็กชายไปยังจุดอื่นโดยการเปลี่ยนเรื่อง”จริงสิ เธออยากไปเล่นกับเจ้าหมีน้อยหรือเปล่า”

    “เจ้าหมีน้อยหรือ”เด็กชายเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทีที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อของตุ๊กตาตัวโปรด”ตกลง ช่วยนำทางเราไปหาเจ้าหมีน้อยจะได้หรือไม่”

    “ได้สิ”มือยาวเรียวข้างขวาเอื้อมมาแตะมือผอมบางของอีกฝ่ายเพื่อให้จับยึดไว้ก่อนเด็กหญิงจะก้าวเท้ายาวๆนำทางเด็กชายตาบอดออกจากห้องอาหารผ่านทางประตูที่เชื่อมไปยังห้องนั่งเล่น นัยน์ตาสีม่วงจับจ้องไปยังตุ๊กตาหมีตัวโตที่อยู่ด้านข้างของชั้นหนังสือ ขาเรียวยาวหยุดก้าวเดินเมื่ออยู่ตรงหน้าเป้าหมายของตน”ถึงแล้วล่ะ อัศมิตา” แพทริเซียจับมือของเด็กชายให้สัมผัสกับเส้นขนหนานุ่ม

    “ขอบคุณเจ้ามาก”แม้เด็กชายจะยังคงตัวสั่นขึ้นมาเป็นครั้งคราวจากแรงสะอื้นเมื่อครู่ ทว่าเครื่องหน้าบนใบหน้างดงามบริสุทธิ์แสดงความรู้สึกอิ่มเอมขึ้นมากขณะเด็กชายย่อตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกับตุ๊กตาหมีและซุกใบหน้าของตนเข้ากับเส้นขนนุ่มมือสีน้ำตาล กลิ่นสะอาดของตุ๊กตาที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีอบอวลไปทั่วจมูก

    นัยน์ตาสีอเมทิสต์มองออกไปยังมวลเมฆเทาครึ้มนอกหน้าต่างด้วยสายตาที่ไม่สามารถคาดเดาความคิดได้ถูก พลันร่างเล็กเบนความสนใจมายังเด็กชายที่เกาะติดตุ๊กตาหมีจนแทบตัวติดกัน”ไหนๆเราก็ใกล้จะถึงบริเตนใหญ่เข้าไปทุกทีแล้ว อยากจะฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับที่นี่บ้างไหม”

    “เรื่องเล่าหรือ”อัศมิตาเงยหน้าขึ้นยังทิศของแพทริเซียอย่างสนอกสนใจด้วยรู้ว่าสิ่งที่เด็กหญิงเล่ามักเป็นความรู้ที่หาไม่ได้โดยง่ายเสียเท่าใดนัก”เอาซี โปรดเล่ามาเถิด”

    “เอาเป็นเรื่องอะไรดี...”เด็กหญิงพึมพำคำถามกับตนเอง ก่อนเสียงใสจะเร่งดังขึ้นด้วยฉุกคิดถึงสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้”รู้แล้ว เธออยากลองฟังเรื่องคำสาปตระกูลสการ์เล็ตที่เป็นกษัตริย์ของบริเตนใหญ่ตอนนี้หรือเปล่า...ถึงเรื่องนี้มันจะนานแล้วก็อาจมีการเติมแต่งเข้าไปจนแทบจะกลายเป็นแค่ตำนานแล้ว” นัยน์ตาสีอเมทิสต์จ้องมองเด็กชายที่พยักหน้าหงึกหงักเป็นการตอบรับแล้วจึงเริ่มเล่าด้วยจังหวะเชื่องช้าและลึกล้ำคล้ายเล่านิทานปรัมปรา

    “วลีหลักที่เป็นหัวใจของคำสาปนี้ก็คือ...ขาวซีดดังซากร่างไร้วิญญาณ แดงฉานดุจโลหิตชโลมริน และอัคคีจักโหมกระหน่ำกลืนกินตัวตนเพื่อก้าวเข้าสู่สมรภูมิอีกครั้ง”

    “สีสันเกี่ยวข้องอันใดกับคำสาปนั้นกัน...และหากผู้ใดถูกเปลวไฟกลืนกินย่อมสิ้นชีวิตด้วยมิอาจทนความร้อนได้มิใช่หรือ”ร่างผอมบางเอียงคอน้อยๆด้วยไม่เข้าใจคำที่เด็กหญิงกล่าว

    “วรรคสุดท้ายเป็นคำเปรียบเปรยน่ะ มาลองฟังดีกว่าว่าที่มาของคำสาปนี้จะเป็นยังไง”ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อคล้ายกลีบกุหลาบแรกแย้มอมยิ้มขึ้นด้วยนึกเอ็นดูในความไร้เดียงสาของเด็กชายตรงหน้า

    ”เรื่องราวมันเริ่มขึ้นจากสงคราม การต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจปกครองอาณาเขตระหว่างฝ่ายของตระกูลสการ์เล็ต...กับฝ่ายตรงข้ามที่มีขุมกำลังมากกว่าหลายเท่า จนกระทั่งกระแสของสงครามดำเนินมาจนถึงจุดที่พวกเขากำลังจะพ่ายแพ้ ในระหว่างตั้งค่ายพักรบ กษัตริย์หนุ่มผู้ต่อสู้อย่างดุเดือดมาตลอดเริ่มที่จะท้อถอยต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ในใจเฝ้าภาวนาให้ฝ่ายของตนสามารถไปถึงชัยชนะอันริบหรี่นั้นได้...และแล้วความมุ่งมั่นนั้นก็ได้เรียกให้บางสิ่งออกมา”

    เด็กชายอ้าปากขึ้นคล้ายต้องการตอบ ทว่าริมฝีปากทั้งสองพลันประกบแน่นอีกครั้งเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนแทบไม่รู้จักเทพเจ้าและสัตว์วิเศษในตำราของทางตะวันตกแม้เพียงนิด

    “ผู้ที่อยู่ตรงหน้าคือสตรีสาวงดงามร่างสูงใหญ่ ใบหน้า เนื้อตัว และอาภรณ์ที่ปกปิดไม่มากนักล้วนถูกปกคลุมไปด้วยเกล็ดสีแดงของสัตว์เลื้อยคลาน มือและเท้าทั้งสองข้างเป็นกรงเล็บแหลมคม ในขณะปีกแผ่กว้างดูคล้ายผืนหนังที่ถูกยึดโครงด้วยกระดูก และเรือนผมเป็นลอนยาวมีสีแดงก่ำเช่นเดียวกับดวงตาซึ่งส่องประกายดุร้ายมายังชายหนุ่มที่นิ่งอึ้งไปด้วยความตกตะลึง”

    “นางจักทำร้ายหรือเข่นฆ่ากษัตริย์หนุ่มผู้นั้นหรือ”ร่างผอมบางตัวสั่นงันงกเมื่อจินตนาการเปรียบเทียบความแหลมคมของกรงเล็บกับแรงจิกของผู้เป็นมารดา พลันแขนสองข้างรั้งตุ๊กตาหมีแน่นขึ้นอย่างไม่รู้สึกตัว

    “เปล่าหรอก”เสียงใสเปลี่ยนมาใช้จังหวะการพูดแบบธรรมดาเพื่อตอบรับสั้นๆ พร้อมเรือนผมสีม่วงสะบัดเล็กน้อยตามจังหวะการส่ายหน้า”หญิงสาวปริศนาแนะนำตัวเองว่าเป็นเทพีจากแดนไกลที่สามารถช่วยให้กษัตริย์หนุ่มชนะสงครามครั้งนี้ได้โดยการทำพันธสัญญา และนางจะให้ความสามารถเกี่ยวกับไฟเป็นของแถมแฝงในสายเลือด แต่ข้อแลกเปลี่ยน...คือการที่กษัตริย์หนุ่มและสายเลือดจะต้องมีผิวกายขาวซีดกับเรือนผมสีแดงเข้มไปตลอดกาลเพื่อเป็นที่ระลึกถึงตัวนาง และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือสายเลือดของตระกูลนี้จะถูกฝังความกระหายเลือดที่ไม่เท่ากันในแต่ละคน หากปะทุขึ้นมาอย่างรุนแรงจะคลุ้มคลั่งแล้วก็เกิดความต้องการที่จะต่อสู้ ทำร้าย หรือถึงขั้นเข่นฆ่ากันเพื่อลดความคลุ้มคลั่งในอก แต่หากเก็บกดมันเอาไว้...นั่นหมายถึงความทรมานเกินจะบรรยายได้”

    เจ้าของเรือนผมสีทองนิ่วหน้าลงคล้ายไม่ชอบใจนักกับข้อเสนอของเทพีในเรื่อง”เหตุใดนางจึงเสนอเรื่องที่โหดร้ายเช่นนี้เล่า แล้วกษัตริย์หนุ่มผู้นั้นยอมรับการทำพันธสัญญาหรือไม่”

    “ฉันเองก็ไม่รู้เหตุผลที่แน่ชัดหรอกนะ แต่เคยได้ยินมาบ้างว่าเพราะพวกเทพเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีพลังมาก...เลยทำให้เทพหลายองค์เกิดความรู้สึกว่ามนุษย์กับเผ่าพันธุ์อื่นๆเป็นแค่มดแมลงที่จะบี้ให้ตายหรือปล่อยไปก็ได้ บางทีเธอคนนั้นอาจเห็นบรรพบุรุษของสการ์เล็ตเป็นเครื่องมือเล่นสนุกอย่างนึง หรือไม่ก็อยากใช้คำสาปนี้ทดสอบบางอย่าง”แพทริเซียเอ่ยพร้อมเสียงเรียบเย็นคล้ายแม่น้ำไหลเอื่อยที่เคยเล่าเรื่องคำสาปเหล่านั้นผุดขึ้นในความทรงจำ”ถามหน่อยสิ อัศมิตา ถ้าเธอเป็นกษัตริย์คนนั้น...เธอจะยอมทำพันธสัญญาด้วยหรือปฏิเสธไป”

    เสียงเล็กตอบอย่างแทบไม่ต้องใช้เวลาคิด”เราจักปฏิเสธและสู้ด้วยตนเองจวบจนถึงเวลาสุดท้าย หากเราเป็นกษัตริย์...แม้ตายไปย่อมมีคนขึ้นครองราชย์แทนที่ แต่การยอมรับคำสาปนั้นจักมีผลดีเช่นใดหากทำให้ชีวิตของผู้ไม่เกี่ยวข้องต้องมารับผลกรรมที่ตนมิได้ก่อ หากเราชนะสงครามเพียงหนึ่งแต่ต้องมาพบกับสงครามอีกนับร้อยภายในตระกูลย่อมมิใช่สิ่งที่ควรเลือก”ความหนักแน่นมั่นคงปรากฏในน้ำเสียงคล้ายต้องการยืนยันในเจตนารมณ์ มือผอมบางทั้งสองปล่อยจากตุ๊กตาชั่วคราวพร้อมกับการยืดตัวขึ้นขณะใบหน้างดงามเงยขึ้นยังทิศของเด็กหญิง

    ”ถ้ามนุษย์ส่วนใหญ่คิดแบบเธอได้ก็คงจะดี”ประกายของนัยน์ตาสีอเมทิสต์สั่นระริกเล็กน้อยอย่างชื่นชมกับภาพของเด็กชายตรงหน้าด้วยความสง่างามหมดจดและบริสุทธิ์คล้ายเชื้อพระวงศ์ปรากฏขึ้นให้เห็นอีกครั้ง

    ”แต่กษัตริย์หนุ่มองค์นี้คิดต่างจากเธอ ความต้องการชัยชนะในสงครามตรงหน้ามีมากกว่าเลยทำให้ยอมรับข้อเสนอของเทพีสาวไป...สีน้ำตาลเข้มของเส้นผมกลายเป็นแดงพร้อมกับสีผิวที่ขาวซีดเหมือนไม่เคยโดนแดดมาก่อนในชีวิต วันรุ่งขึ้นสถานการณ์ของสงครามก็เปลี่ยนไปจนแทบจะเรียกว่าพลิกกระดาน เพราะกษัตริย์หนุ่มที่อ่อนล้าจนแทบสิ้นเรี่ยวแรงเมื่อวันก่อนกลับมีกำลังวังชาและฝีมือร้ายกาจขึ้นมาก เขาควบม้าเข้าไปในดงศัตรูและฆ่าฟันพวกนั้นจนล้มตายเป็นใบไม้ร่วง...กระทั่งในที่สุดก็ไม่มีใครเข้ามาขัดขวาง กษัตริย์หนุ่มเข้าถึงหัวหน้าของอีกฝ่ายได้และบังคับให้คนผู้นั้นยอมจำนนกลับไป”

    “สังเวยชะตาชีวิตของตนและเลือดเนื้อเชื้อไขเพียงเพื่อชนะการสงครามครั้งเดียวหรือ...เหตุใดกษัตริย์หนุ่มจึงเลือกสนองความต้องการของตนเช่นนั้น”เรือนผมสีทองพิสุทธิ์เลื่อนปรกใบหน้าที่ก้มลงอีกครั้งขณะเสียงเล็กพึมพำแสดงความไม่เห็นด้วยอย่างชัดเจน ใบหน้างามเผยความสงสารที่แล่นเข้าตรึงอยู่ในอกราวหมุดแหลมเมื่อจินตนาการถึงความทรมานจากผลของคำสาป

     

    จริงๆเลย เธอชอบเอาแต่คิดว่าตัวเองไม่มีความรู้หรือความสามารถอยู่ได้

    แต่คำถามแบบนี้น่ะแสดงให้เห็นว่าตัวเธอมีความคิดที่รอวันงอกเงยเต็มไปหมด

    สักวันนึงถ้าเธอได้พัฒนาทักษะตัวเองจนเต็มที่...ก็คงจะค้นพบหลายอย่างที่ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำไป

     

    ใบหน้าทรงเสน่ห์ราวเทพธิดาแห่งราตรีถูกระบายด้วยรอยยิ้มภาคภูมิใจคล้ายเห็นสมาชิกในครอบครัวของตนเติบโตขึ้น”ฉันไม่สามารถเข้าใจความคิดของเขาได้หมดหรอกนะ แต่คิดว่าบางทีการที่กษัตริย์คนนั้นถือว่าตัวเป็นผู้ใหญ่หรือผู้นำอาจทำให้เกิดความยึดมั่นในศักดิ์ศรีแล้วก็ตัวตนของตัวเองจนไม่เห็นถึงผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น”เสียงใสเว้นช่วงไปพักหนึ่งก่อนเอ่ยเล่าต่อ

    ”หลังจากจบศึกสงครามครั้งนั้นได้ไม่นาน กษัตริย์หนุ่มผู้นั้นก็ได้แต่งงานกับเทพีสาวผู้จำแลงกายเป็นมนุษย์ นางให้กำเนิดเด็กหญิงและเด็กชายหลายคนซึ่งเติบโตเป็นกษัตริย์กับนักรบผู้เข้มแข็ง และก่อนที่นางจะกลับไปยังดินแดนอันแสนไกลนั้น เทพีสาวได้มอบหนทางบรรเทาคำสาปเบื้องต้นไว้...คือการฝึกฝนและซ้อมการต่อสู้อยู่เสมอ และคำสั่งสุดท้ายคือการให้เริ่มสืบสายการครองราชย์ตามลำดับอายุโดยไม่เกี่ยงหญิงชาย ได้ยินมาว่าทุกวันนี้ตระกูลสการ์เล็ตยังรักษาการปฏิบัตินี้ไว้อย่างเคร่งครัดด้วยนะ”

    เสียงฟ้าร้องครั่นครืนเกิดขึ้นภายนอกหน้าต่างขณะที่เม็ดฝนเริ่มเทลงมาจากเมฆสีเทาเบื้องบนราวม่านบดบังทัศนวิสัย สายลมพัดพาหยดน้ำตกกระทบหน้าต่างดังเปาะแปะ อุณหภูมิของอากาศลดต่ำลงพร้อมกับกลิ่นไอความชื้นลอยสูงขึ้นสู่นาสิกสัมผัสของเด็กน้อยทั้งสอง

    “จบแล้วล่ะ...”เสียงใสเอ่ยคล้ายพิธีกรที่กล่าวปิดงานแสดงสำคัญ”ถามหน่อยสิ อัศมิตา...เธอคิดว่าเรื่องราวของคำสาปนี้ให้อะไรกับเธอบ้าง”

    “ชัยชนะในเรื่องมิได้มาจากพรให้เปล่า...เช่นนั้นแล้วจักต้องไตร่ตรองเสียก่อนว่าสิ่งที่ทำจักกระทบต่อผู้อื่นอย่างไรบ้าง”เสียงเล็กยังคงยืนกรานความคิดของตนขณะซุกใบหน้าเข้ากับพื้นผิวอบอุ่นของตุ๊กตาหมีตัวยักษ์

    “ฉันเองก็คิดแบบนั้น...ถ้ากษัตริย์หนุ่มคำนึงถึงผลกระทบต่อสายเลือดและยอมที่จะแพ้ไป คำสาปก็คงไม่เกิดขึ้น”แพทริเซียกล่าวด้วยจังหวะอ่อนโยน เสียงใสคล้ายเครื่องดนตรีราวกับโอบล้อมเด็กชายไว้อย่างน่าประหลาด”ผลของคำสาปสร้างวีรบุรุษผู้กล้าหาญในสนามรบได้ก็จริง แต่ก็สร้างฆาตกรฆ่าคนเพื่อต้องการที่จะบรรเทาความร้อนรุ่มในใจของตัวเองเหมือนกัน อย่างเรื่องราวของพระนางบ้าเลือด...ลูกสาวของกษัตริย์ที่ตัดขาดดินแดนนี้จากศาสนจักรคาทอลิก เธอพยายามฟื้นฟูคาทอลิกขึ้นมาอีกครั้ง...แถมสั่งประหารคนของนิกายอังกฤษไปตั้งมาก นอกจากนั้นพวกที่ถูกคำสาปรุนแรงแต่ไม่ต้องการฆ่าใคร...หลายคนต้องจบชีวิตลงด้วยน้ำมือตัวเอง”

    “โหดร้าย...ยิ่งนัก”ริมฝีปากน้อยๆของเด็กชายเม้มลง พลันความทรมานหลั่งไหลเข้ามาในหัวอย่างไม่รู้สาเหตุ...ราวกับได้อยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เสียงโลหะตีกระทบและชำแรกเข้าสู่ผิวเนื้อปะปนกับเสียงกรีดร้องบ้าคลั่งคล้ายสัตว์ป่าดังก้องสะท้อนไปมาในดวงจิต

     

    อันใดกัน

    เสียงกรีดร้องเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร...ทั้งที่เรามิเคยได้พบเจอพวกเขาสักครั้ง

    ทรมาน...อึดอัดจนแทบมิอาจหายใจได้

     

    ร่างผอมบางตกตะลึง นัยน์ตาสีฟ้าไร้แววแข็งค้างราวรูปสลักขณะเม็ดเหงื่อซึมชื้นผุดขึ้นบนใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีขาวซีดแทบไร้เลือดฝาด ก่อนสิ่งที่ได้รับรู้ในหัวเหล่านั้นจะเลือนหายไปราวไม่เคยมีสิ่งใดเกิดขึ้น

    แพทริเซียสังเกตถึงความผิดปกตินั้นได้จึงย่อตัวให้อยู่ในระดับเดียวกับเด็กชาย มือข้างขวาเอื้อมไปแตะหัวไหล่ของอีกฝ่ายเป็นเชิงเรียกสติ”นี่ อัศมิตา เธอเป็นอะไรหรือเปล่า...หรือว่าที่ไม่สบายเมื่อตอนนั้นจะยังไม่หายดี”

    เรือนผมสีทองส่ายไปตามจังหวะการขยับของใบหน้าขณะที่เด็กชายส่งยิ้มอ่อนล้าราวคนหมดแรงให้แก่เพื่อนของตน”เรารู้สึกราวกับว่าสามารถสัมผัสความทรมานของพวกเขาได้ เสียงกรีดร้อง...โลหะก้องกระทบ กลิ่นคาวโลหิตคละคลุ้งไปทั่ว...”

    “งั้นเหรอ...”ความเครียดถูกส่งผ่านน้ำเสียงของเด็กหญิงขณะที่ใช้ความคิดเพื่อพิจารณาคำบอกเล่าอย่างละเอียด

    “จงอย่าได้เป็นกังวลเถิด บางทีสิ่งที่เกิดขึ้นในศีรษะเมื่อครู่อาจมาจากจินตนาการของตัวเราเอง”เด็กชายโบกมือเปะปะลนลานเมื่อสัมผัสความรู้สึกของแพทริเซียผ่านทางน้ำเสียงได้ แผ่นอกราวถูกบีบรัดแน่นขึ้นพร้อมกับความคิดว่าตนเป็นผู้ทำให้อีกฝ่ายต้องกังวลสะท้อนก้องซ้ำไปมาในศีรษะ”ช่วยเล่าความคิดเห็นของเจ้าที่ค้างไว้เมื่อครู่ต่อได้หรือไม่”

     

    รู้สึกว่าสัมผัสความทรมานได้เหรอ แปลกจัง

    ถ้าเป็นคนที่เคยเจอกันยังพอจะเข้าใจอยู่หรอก

    แต่นี่คือเรื่องเล่าในหนังสือ...แถมจินตนาการคงไม่ถึงขั้นมีกลิ่นคาวเลือดด้วย

     

    ถ้างั้นทำไมถึงพูดเหมือนอยู่ในเหตุการณ์เลย

    เอาเถอะ...ไว้ค่อยศึกษาเรื่องนี้ทีหลังก็ได้

     

    “ได้สิ ถ้าเธอต้องการล่ะนะ...”เสียงใสเปลี่ยนมาใช้จังหวะการพูดที่อบอุ่นขึ้นเป็นการปลอบประโลม มือเรียวทั้งสองข้างจับแขนของตุ๊กตาหมีที่ถูกปกคลุมด้วยขนปุยให้อยู่ในท่าโอบกอดเด็กชายเอาไว้ขณะรู้สึกถึงอุณหภูมิห้องที่ลดต่ำลง”จริงๆฉันน่ะพูดจบแล้ว ขอเล่าความคิดเห็นน่าสนใจจากคนที่บอกเรื่องนี้ให้ฉันฟังก็แล้วกัน”

    “อบอุ่น...”เด็กชายสัมผัสได้ถึงความอุ่นของขนนุ่มที่โอบกอดไว้ท่ามกลางไอเย็นชื้นของสภาพอากาศโดยรอบ เปลือกตาค่อยๆเคลื่อนคลุมเฉดสีฟ้าสดของดวงตาอย่างเชื่องช้า ท่าทีของร่างผอมบางสงบลงด้วยความรู้สึกปลอดภัยก่อตัวขึ้นเป็นเกราะป้องกันความรู้สึกกังวลเอาไว้ ก่อนศีรษะที่ถูกปกคลุมด้วยเรือนผมสีทองจะหันไปทางแพทริเซียคล้ายรอฟัง

    เสียงใสกระแอมเล็กน้อยขณะที่ความรู้สึกอึดอัดผุดขึ้นเมื่อนึกถึงความทรงจำของตน”ก่อนอื่น....”

     

    “ถึงราชวงศ์สการ์เล็ตที่มีรูปลักษณ์ตามที่ว่าจะคงอยู่มาถึงตอนนี้ แต่ฉันจะไม่ขอยืนยันนะว่าเรื่องของเทพีองค์นี้เป็นจริงแค่ไหน...ถ้าเราละประเด็นเรื่องอภินิหารพลังเทพเอาไว้ ฉันคิดว่ายังมีอีกประเด็นที่ซ่อนอยู่”นัยน์ตาหลังกรอบแว่นของหญิงสาวร่างสูงสะท้อนแววเหม่อลอยราวหลุดเข้าสู่ห้วงภวังค์

    “เอาแต่พูดเรื่องเข้าใจยากอยู่นั่นแหละ”เสียงใสของเด็กหญิงวัยห้าขวบบ่นอุบอิบ

    “เถอะน่า คราวนี้จะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆเอง”หญิงสาวขยิบตาเป็นเชิงหยอกเย้าพร้อมกับรอยยิ้มที่คลี่ออกเล็กน้อย”ก่อนอื่นให้เทียบเชิงสัญลักษณ์แทนสการ์เล็ตเป็นมนุษย์ ส่วนฝ่ายตรงข้ามก็คือศัตรูคู่แค้นหรือสิ่งที่เธอไม่ชอบใจ”

    ร่างเล็กในชุดพื้นถิ่นโรมาเนียนิ่งลงคล้ายพยายามตามความคิดของอีกฝ่ายให้ทัน ความจริงจังผิดแปลกจากเด็กวัยเดียวกันปรากฏบนใบหน้า“ถ้างั้นเทพีนั่นล่ะคืออะไร”

    “สีแดง...เกล็ดของสัตว์ป่า ฉันว่าเทพีนั่นคงจะหมายถึงสัญชาตญาณดิบที่ขับเคลื่อนให้มนุษย์ดำเนินไปตามแรงขับในใจตัวเอง เพราะงั้นคำสาปก็คือ...”เสียงนุ่มเย็นราวแม่น้ำชะลอจังหวะลงด้วยต้องการให้เด็กหญิงเอ่ยคำตอบออกมาเสียก่อน

    “ความโกรธ...หรือเปล่า”เสียงใสเอ่ยเรียบๆหลังจากนิ่งไปชั่วครู่เพื่อคำนวณความเป็นไปได้ นัยน์ตาสีอเมทิสต์ส่องประกายคล้ายนกฮูกที่จับจ้องเหยื่อยามราตรี”อธิบายความเชื่อมโยงของเรื่องพวกนี้ให้หน่อยสิ”

    “อาฮะ นั่นแหละคือสิ่งที่ฉันคิดอยู่”ศีรษะที่ปกคลุมด้วยเรือนผมหยักศกยาวถึงเอวพยักลงก่อนเสียงนุ่มเอ่ยอย่างแผ่วเบา”ถ้าให้ดึงเข้าเรื่องเลย ประเด็นที่ซ่อนไว้คือการถูกชักนำโดยความรู้สึกด้านลบ”

    “อย่างเวลาที่รู้สึกเหมือนกับเป็นปฏิปักษ์กับใครสักคนมากๆ แน่นอนว่าเธอจะพยายามเพื่อให้ความรู้สึกแย่ๆในหัวของเธอมันหายไป และในจังหวะนั้นสิ่งที่เข้ามาคือสัญชาตญาณดิบที่คอยกระซิบให้เธอก้าวไปตามเส้นทาง...ตามการตอบสนองส่วนที่เป็นสัตว์ป่า นั่นก็คือความโกรธ แค้นเคือง หรืออาจต้องการจะทำลายทุกอย่างให้สิ้นซาก”

    “ก็เคยโกรธคนนะ แต่ฉันไม่เห็นจะอยากทำลายล้างอะไรเลยนี่”แพทริเซียเถียงขณะหายใจเข้าลึกๆ สูดกลิ่นไอหอมของสมุนไพรที่ลอยมาจากทิศของคู่สนทนาเข้าไปเต็มปอด

    “เพราะว่าความไม่พอใจของเธอยังอยู่ในระดับที่ค่านิยมยังกดไว้ไม่ให้กระทบกับสัญชาตญาณดิบได้...”หญิงสาวเอ่ยอย่างแช่มช้าทว่านุ่มลึกและชัดเจน”แต่ถ้าวันไหนเธอเจอเรื่องที่กระทบกระเทือนจิตใจมากเข้า สิ่งนั้นก็จะมาหาเธอและกระตุ้นอารมณ์ในทางลบให้หนักกว่าเดิม”นัยน์ตาของเธอสะท้อนแววหม่นหมองดังผู้เล่านิทานที่จมเข้าไปในอารมณ์ของเรื่องราว

    เจ้าของเรือนผมสีม่วงมิได้เอ่ยสิ่งใดออกมา คล้ายหยุดรอเพื่อที่จะให้อีกฝ่ายพูดจนจบ

    “แต่การรับความโกรธมามันจะดีจริงๆเหรอ ถึงพลังของสารที่หลั่งออกมาจากอารมณ์นั้นจะช่วยให้เธอชนะสิ่งที่ไม่ชอบใจมาได้ ในเรื่องก็แสดงถึงทายาทที่ทุกข์ทรมานเพราะผลของคำสาป...ถ้าเป็นโลกจริงก็เปรียบได้เหมือนกับการที่เธอเลือกจะระเบิดความโกรธออกมา ถึงสิ่งที่เธอไม่ชอบใจอาจยอมถอยไป แต่อาจทำให้ผู้บริสุทธิ์ คนที่ไม่เกี่ยวข้อง หรือคนที่เธอรักที่สุดต้องเจ็บปวด....”

     

    “...เพราะงั้นเรื่องราวของกษัตริย์ผมแดงที่เลือกรับความโกรธนั้นมาถึงเป็นบทเรียนสำคัญ...ว่าต่อให้ทุกอย่างจะเลวร้ายลงแค่ไหน ก็อย่าปล่อยให้สัญชาตญาณดิบครอบงำเธอจนปลดปล่อยความบ้าคลั่งออกมา”รอยยิ้มจางๆผุดขึ้นบนริมฝีปากได้รูปสวยขณะเด็กหญิงสรุปความทรงจำในอดีตให้ชัดเจนยิ่งขึ้น

    “เป็นแง่มุมที่เรามิเคยคาดคิดมาก่อนเลย”ความประทับใจถูกถ่ายทอดผ่านน้ำเสียงกระตือรือร้นพร้อมใบหน้างดงามราวเทวดาตัวน้อยเงยขึ้นหาต้นเสียง พวงแก้มขาวเนียนเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ”ผู้ที่กล่าวเรื่องนั้นแก่เจ้าคงจะมีสติปัญญาลึกล้ำมากเป็นแน่แท้”

    “ก็คงจะเป็นแบบนั้นล่ะนะ”นัยน์ตาที่เหม่อมองไปยังเบื้องหน้าสะท้อนแววคะนึงหา ก่อนความรู้สึกอิ่มเอิบปะปนกับความเจ็บปวดราวถูกหนามรัดรึงจะปรากฏขึ้นในอกแทบพร้อมกัน เสียงเม็ดฝนที่ตกกระทบลำเรือราวกับเร่งบรรยากาศหม่นมัวให้เพิ่มพูนเป็นเท่าทวี

     

    ถึงจะเคยรู้สึกว่าตอนที่พูดเรื่องนี้มีอะไรแฝงอยู่ในน้ำเสียงของคนๆนั้น

    แต่กลับไม่คิดเอะใจเลย

     

    สุดท้ายแล้วฉันก็ทำตามที่บอกไม่ได้...น่าผิดหวังจริงๆ

     

     

     

     

    เสียงครั่นครืนจากพายุฝนซัดกระหน่ำเข้ามาอย่างไม่มีทีท่าว่าจะหยุดหย่อนในขณะที่เด็กหญิงพลิกกระดาษหนังสือไปยังอีกหน้า แม้นัยน์ตาสีอเมทิสต์จะหยุดลงบนตัวอักษรละตินที่จารึกเป็นสารานุกรมเผ่าพันธุ์ ทว่าสมาธิของเด็กหญิงยังคงจมจ่อมอยู่กับความคิดเกี่ยวกับผู้ที่จากไป ริมฝีปากสีชมพูนุ่มดุจกลีบกุหลาบฉีกเป็นรอยยิ้มคล้ายเยาะหยันตนเองขณะรู้สึกราวกับประตูลับนั้นจะกวักมือเรียกเชื้อเชิญให้ตนก้าวเข้าไปยังสถานที่แห่งอดีตอีกครั้ง

     

    อย่างกับว่าพอเริ่มครั้งแรกได้แล้วครั้งที่สองจะผ่อนคลายลงอย่างนั้นแหละ

     

    เด็กหญิงเลื่อนสายตาไปยังเพื่อนของตน ร่างผอมบางกำลังงีบหลับสนิทในท่าเอนพิงตุ๊กตาหมีตัวโปรด ใบหน้าที่งดงามราวเทพเทวาจากสวรรค์แย้มยิ้มกว้างดุจไร้ซึ่งความกังวลใดจะพรากจากไปได้ พลันแพทริเซียหันเบือนหนีไปทางอื่นด้วยความรู้สึกปั่นป่วนอยู่ภายในพร้อมกับมือทั้งสองที่ปิดหนังสือลง จอมเวทตัวน้อยปล่อยให้พลังของตนไหลไปรวมกันที่หนังสือ ก่อนจะควบคุมให้พลังนั้นนำพาหนังสือกลับไปไว้ยังที่เดิม

    “ขอเวลาหน่อยนะ...”เสียงใสกระซิบแผ่วเบาราวเสียงภูตลมด้วยคาดการณ์ว่าเด็กชายจะยังไม่ตื่นขึ้นในระหว่างที่เธอหายตัวไป

    สายลมเย็นพัดต้องใบหน้าราวกับเร่งเร้าให้เด็กหญิงก้าวเข้าไปอีกครั้ง ร่างเล็กถอนหายใจก่อนหันกลับมาทางเป้าหมายของตนอย่างรวดเร็ว ขาเรียวยาวสาวไปหากำแพงก่อนจะใช้พลังเวทของตนเผยให้เห็นประตูไม้ที่ซ่อนอยู่ พลันมีบางสิ่งผุดขึ้นในความคิดของเด็กหญิงและเร่งให้การสูบฉีดเลือดเร็วขึ้นตามอารมณ์

     

    เอาล่ะ

     

    เครื่องหน้าของแพทริเซียแสดงอาการคล้ายคลึงกับเด็กเล็กที่เตรียมใจก่อนการทำแผล พร้อมกับมือสั่นเทาที่เอื้อมหาลูกบิด ร่างเล็กสูดหายใจเข้าจนลำตัวตั้งตรง เปิดประตูออกและแทรกตัวเข้าทางช่องว่างอย่างรวดเร็วราวกับกลัวตนเองจะเปลี่ยนใจได้ทุกเมื่อ

     

    ไม่ไกลกันนัก อัศมิตาที่จมอยู่ในห้วงนิทราเมื่อครู่ค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นอย่างเชื่องช้า เผยดวงตาสีฟ้าสดที่อยู่ภายใต้ สายลมที่พัดต้องใบหน้าบวกกับกลิ่นไอชื้นของทะเลและอาการสะลึมสะลือทำให้เด็กชายตาบอดไม่แน่ใจว่าตัวเองกำลังอยู่ในความฝันหรือโลกจริง ขณะเดียวกันเสียงเปิดประตูก็พลันดังขึ้นพร้อมกับความรู้สึกว่ามีบางสิ่งก้าวผ่านเข้าไป

     

    เสียงประตูหรือ เราจำได้ว่าพื้นที่บริเวณนั้นเป็นเพียงกำแพงธรรมดา

    เช่นนั้นแล้วสิ่งที่เราได้ยินคงจะเป็นเพียงความฝันกระมัง

     

    เมื่อคิดได้ดังนั้นอัศมิตาจึงไม่คิดที่จะค้นหาสิ่งใดต่อ ร่างผอมบางขยับตัวเล็กน้อยพอให้อยู่ในท่าสบายก่อนเปลือกตาทั้งสองข้างจะปิดสนิทลงและผล็อยหลับไปอีกครั้ง

     

    แพทริเซียสูดกลิ่นไอชวนผ่อนคลายของสมุนไพรในห้องอย่างเชื่องช้า แม้ความรู้สึกผิดต่อเรื่องราวในอดีตจะยังคงไม่เลือนหายไปจากใจ ทว่าเด็กหญิงกลับไม่รู้สึกอึดอัดเท่าครั้งแรกที่เธอเข้ามานับตั้งแต่หญิงสาวผู้นั้นจากไป ราวกับความอบอุ่นในวันวานแทรกซึมอยู่ในบรรยากาศอีกครั้ง พลันบทสนทนาในอดีตถูกดึงออกจากลิ้นชักแห่งความทรงจำของตน

     

    “ฉันคิดว่าสิ่งที่แปลกประหลาดอย่างนึงบนโลกใบนี้ก็คืออารมณ์ล่ะมั้งนะ ไม่จำเป็นต้องถามหาเหตุผล...ตัวเธอก็ยังสามารถรับรู้ได้ว่าคิดยังไงกับสิ่งนั้น ถึงแต่ละคนจะมีการตอบสนองทางอารมณ์ที่เป็นพื้นฐานอยู่ แต่มันก็สามารถเปลี่ยนแปลงหรือแตกย่อยไปได้หลายรูปแบบเหมือนกัน”

    “หมายความว่าไง...”

    “อย่างการที่เธอมีความสุขเวลาอ่านหนังสือ แต่ถ้าหนังสือสักเล่มไปผูกเข้ากับความทรงจำที่เลวร้ายเข้าล่ะ...มันก็มีโอกาสที่เธอจะเลิกอ่านหรือใช้เวลาทำใจกว่าจะกลับมาอ่านหนังสือเล่มนั้น หรือความเป็นไปได้ที่เลวร้ายที่สุดก็คือการที่เธอไม่อยากจะอ่านหนังสือเล่มไหนอีก”

    “ทั้งไม่แน่นอน....ทั้งสามารถสั่งให้ทำอะไรไม่สมเหตุสมผลได้”

    “ถึงอย่างนั้น อารมณ์ก็เป็นของขวัญล้ำค่าอย่างนึงที่ธรรมชาติได้มอบให้เผ่าพันธุ์ส่วนใหญ่ ไม่เคยสมบูรณ์แบบ...แต่ก็เป็นเหตุผลที่ทำให้มันเป็นสิ่งสวยงาม”

     

    ริมฝีปากของเด็กหญิงผู้งดงามราวภูตพรายแย้มออกเป็นรอยยิ้มขณะที่ประกายสีอเมทิสต์ในดวงตาทั้งสองสั่นระริก”นั่นสินะ ฉันเองก็กำลังคิดอยู่เลยว่าถ้าเกิดสนใจวิชาการแพทย์แต่แรกก็คงจะดี”แพทริเซียกระซิบอย่างเจ็บปวดคล้ายตำหนิตนเองให้ผู้ที่จากไปฟัง ความรู้สึกปรารถนาให้หญิงสาวผู้นั้นกลับมาสอนปรากฏในความคิดชั่วขณะหนึ่ง ขณะในอกถูกบีบรัดจากความโหยหา

    ก่อนสายตาจะไปสะดุดเข้ากับภาพวาดที่ตัวเธอไม่ได้สังเกตในการมาครั้งแรก ดอกไม้สีชมพูขนาดใหญ่ตรงกลางมีลักษณะคล้ายผีเสื้อกลางคืนกำลังกางปีกโผบิน รายละเอียดของกลีบดอกไม้รวมถึงหยดน้ำที่เกาะอยู่ถูกวาดขึ้นอย่างประณีตจนดูคล้ายภาพจริง

     

    “ดอกฟาแลนนอปซิสน่ะ เป็นดอกไม้ที่ขึ้นในเขตอากาศร้อนอย่างแถบเอเชียอาคเนย์ ไม่ใช่พืชพื้นถิ่นแถวนี้หรอกนะ”หญิงสาวเอ่ยตอบพร้อมเลื่อนจานสีที่ถูกผสมเข้ามาใกล้ เตรียมแต่งเติมสีสันลงบนภาพ”คราวนี้จะใช้เป็นสีชมพูแล้วกัน”

    “ดอกไม้ที่วาดมีความหมายแฝงอะไรหรือเปล่าเนี่ย หืม”เด็กหญิงตัวน้อยอดหยอกไม่ได้เมื่อสังเกตรอยยิ้มที่ระบายอยู่บนใบหน้าของอีกฝ่าย

    “ฟาแลนนอปซิสในภาษาดอกไม้หมายถึงความรักชั่วนิรันดร์ ก็เท่านั้นล่ะ...”ในจังหวะที่เสียงเย็นดุจสายธารนั้นเอ่ยขึ้น เด็กหญิงสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ นัยน์ตาหลังกรอบแว่นของหญิงสาวผมหยักศกเงยขึ้นมองท้องฟ้าคล้ายคะนึงถึงบางสิ่ง

     

    “อยากรู้จังเลยว่ารักนิรันดร์ที่ว่าคือใครกันนะ”แพทริเซียมีสีหน้าแช่มชื่นขึ้นเล็กน้อยขณะที่สีเลือดฝาดปรากฏบนแก้มขาวเนียนอีกครั้ง ชั่วขณะหนึ่ง ภาพของเด็กหนุ่มผมสีน้ำตาลผู้เคยมารักษาตัวในบ้านใหญ่ได้ปรากฏขึ้นในความทรงจำ ทั้งกล่องสัมภาระแปลกประหลาดและสีหน้าที่คล้ายคนวิตกกังวลเกือบตลอดเวลาทำให้เธอยังคงจดจำเอกลักษณ์ไว้ได้ เด็กหญิงหวนนึกถึงรอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาที่ดูราวกับพบบางสิ่งที่ขาดหายระหว่างที่เขาสนทนากับหญิงสาว

     

    หรือว่าจะเป็นเด็กผู้ชายคนนั้น....ดูท่าทางเขาจะปลื้มเธออยู่เหมือนกัน

    ไม่สิ ยังไงเธอก็อายุมากกว่าเขาตั้งหลายปีนี่นา คงไม่ได้ชอบกลับหรอก

     

    เด็กหญิงยังคงครุ่นคิดเรื่องดังกล่าวอยู่เป็นการกล่อมเกลาจิตใจของตนขณะเดินสำรวจไปรอบห้อง ด้วยใจหนึ่งมิอยากให้ความเศร้าโศกครอบงำตนจนพลังปะทุขึ้นมาดังเช่นคราวก่อน จนกระทั่งความสนใจของเด็กหญิงกลับไปอยู่ตรงกล่องที่ใส่วัตถุแห่งความทรงจำอีกครั้ง ทันใดนั้นแพทริเซียก็รู้สึกราวกับว่าผนึกบางอย่างในความคิดถูกปลดออก

     

    “มีทั้งสร้อยพระอาทิตย์กับพระจันทร์แล้ว อย่าบอกนะว่ามีสร้อยหรืออะไรสักอย่างเกี่ยวกับดาวอยู่ด้วยน่ะ”

    แม้เป็นเพียงชั่ววินาทีสั้นๆ แต่เด็กหญิงก็สังเกตได้ว่านัยน์ตาหลังกรอบแว่นเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย

    ”นั่นสินะ ถ้าจะมีคงเป็นเบื้องหลังของความรู้ล่ะมั้ง....”

     

    “เดี๋ยวนะ หรือว่าจะเป็น...”เด็กหญิงระลึกถึงกำไลประดับอัญมณีวงหนึ่งในภาพที่ยังวาดไม่เสร็จ เธอจำได้ว่าท่าทีของหญิงสาวดูแปลกไปราวกับต้องการเก็บซ่อนมิให้เธอได้เห็นภาพนั้น อีกทั้งตัวเธอยังไม่เคยเห็นสิ่งที่หน้าตาเหมือนกันในกล่องสะสมอัญมณีของหญิงสาวแม้เพียงครั้งเดียว”ถ้าใช่ล่ะก็ ตามนิสัยคนๆนั้นแล้ว...ภาพไม่น่าจะอยู่ในที่เสี่ยงจะเจอได้ง่ายอย่างบ้านใหญ่ ถ้าอย่างนั้นที่ปลอดภัยที่สุดในตอนนั้นคงจะเป็นที่นี่”

     

    ถ้าอย่างนั้นเบื้องหลังความรู้ที่ว่าอาจเป็นคำใบ้

    แต่มันที่ไหนกันล่ะ

     

    ร่างเล็กเริ่มลงมือสำรวจรอบห้องอย่างจริงจัง ในหัวใช้ความคิดอย่างหนักเพื่อพิจารณาว่าเบื้องหลังความรู้มีโอกาสเป็นที่ใดได้บ้าง ทว่าแม้จะหาในที่ใดก็ยังคงไร้วี่แววของภาพวาดปริศนาเช่นเดิมจนกระทั่งเด็กหญิงเริ่มมีความคิดที่จะยอมแพ้”ให้ตายเถอะ นี่ถ้ามีหนังสือหรือบันทึกที่จดสถานที่ซ่อนไว้คงจะดี”พลันเด็กหญิงสูดหายใจเฮือกเมื่อรู้สึกราวกับแสงสว่างฉายขึ้นในความคิด

     

    จริงสิ ความรู้ถูกบันทึกในหนังสือ

    แต่ว่าภาพนั้นคงไม่ใด้อยู่หลังหนังสือเล่มใดเล่มนึงแน่

    เพราะงั้นสถานที่ซ่อนที่เป็นไปได้ก็คือ....

     

    เด็กหญิงจ้องมองไปยังชั้นหนังสือเบื้องหน้าด้วยสายตามุ่งมั่นก่อนพลังเวทจะถูกรวบรวมและควบคุมให้ชั้นหนังสือใหญ่ทั้งสองเลื่อนไปจนชิดแนวกำแพง และเป็นดังที่คาดไว้ ภาพวาดปริศนานั้นถูกซ่อนไว้ด้านหลังของชั้นหนังสือในยามปกติ

    “เจอแล้ว”แพทริเซียคุมความตื่นเต้นในน้ำเสียงไว้ไม่อยู่ ขาเรียวยาวทั้งสองข้างก้าวเดินไปยังทิศทางของเป้าหมายราวกับถูกมนตราสะกด

    รายละเอียดของภาพนั้นสมจริงจนราวกับผู้วาดทุ่มเทจิตวิญญาณของตนลงไปในผืนภาพ ขนที่ดูนุ่มมือของปีกขนาดใหญ่ที่ดูราวกับภาพวาดของเทวดาหรือนางฟ้าในความเชื่อของคริสต์ศาสนา ทว่ากลับเป็นสีดำสนิทและโอบล้อมวัตถุสองสิ่งไว้ หนึ่งคือกำไลสีทองสุกปลั่งที่มีอัญมณีเล็กๆส่องประกายคล้ายดวงดาวประดับอยู่เป็นระยะ และอีกสิ่งหนึ่งคือดอกสโนว์ดรอปที่วางอย่างสงบนิ่งเคียงข้างกัน

    “สโนว์ดรอปเหรอ หมายถึงอะไร---”ภาพบนผืนผ้าใบเปลี่ยนไปทันทีก่อนที่เด็กหญิงจะพูดจบราวกับถูกตั้งค่าไว้เป็นรหัสผ่าน ภาพที่ถูกวาดไว้เลือนหายไปอย่างไร้ร่องรอย ปรากฏภาพของเด็กหนุ่มอายุราววัยรุ่นตอนต้นผู้หนึ่งขึ้นมาแทนที่ เรือนผมหยักศกสีดำตัดสั้น แม้เสื้อผ้าจะดูมอซอเล็กน้อย ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้าและประกายในดวงตาสีเหล็กแทบจะเรียกได้ว่าอ่อนโยนที่สุด และที่สวมอยู่บริเวณข้อมือข้างขวาคือกำไลทองประดับอัญมณีดังเช่นที่เห็นในภาพก่อนหน้า

    นัยน์ตาสีอเมทิสต์เบิกกว้างเมื่อพบว่าสิ่งที่ซ่อนอยู่ไม่เป็นไปตามที่คิด

     

    ในที่สุดก็ได้เจอกับดวงดาวสักทีนะ

    แต่ว่าคนๆนี้เป็นใครกัน ทำไมเธอคนนั้นถึงไม่เคยบอกหรือพูดถึงเขาตรงๆเลย

     

    แล้วแววตาเจ็บปวดที่ผุดขึ้นมาในหลายๆครั้งตอนเธอวาดภาพมันหมายความว่ายังไงกันแน่

     

     

     

    “แพทริเซีย...เรามีบางสิ่งที่ต้องการจะถาม”อัศมิตาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มั่นคงและแน่วแน่ผิดไปจากทุกครั้ง ท่วงทีมั่นคงและสง่างามดังเช่นเชื้อกษัตริย์แสดงออกมาอย่างชัดเจน

    “มีอะไรเหรอ...”แพทริเซียนิ่งไปเล็กน้อยขณะรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นที่แผ่ออกจากใบหน้าที่งดงามราวรูปสลักนั้น

    “ในประเทศอินเดียหรือแม้กระทั่งระหว่างการเดินทางนี้ เราได้พบเจอผู้คนมากมายที่ต้องประสบด้วยความทุกข์โศกทั้งสาเหตุจากตัวเองและผู้อื่น”อัศมิตาหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีต เสียงก่นด่าสาปแช่งวรรณะต้อยต่ำเช่นจัณฑาล เรื่องราวของกลุ่มโจรที่สร้างความเดือดร้อนมานานหลายปี ความแตกต่างระหว่างผู้ถูกขูดรีดและชนชั้นสูง รวมไปถึงเรื่องราวความเจ็บปวดที่ยังเป็นปริศนาของเด็กหญิงตรงหน้า

    “เราเคยประสบความทุกข์โศกมาก่อน เช่นนั้นจึงทราบถึงความทุกข์ทรมานนั้นดีและเกิดความปรารถนาที่จะให้พวกเขาได้พ้นจากความทุกข์โศกทั้งปวง เจ้าพอจะทราบหนทางใดที่สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้หรือไม่”

    นัยน์ตาสีอเมทิสต์ฉายแววปลื้มปิติเมื่อได้ยินเรื่องที่ก้าวล้ำเกินวัยจากเด็กชายตาบอดวัยยังไม่ถึงสิบขวบ”นั่นสินะ พวกเราเกิดมาบนโลกพร้อมกับความทุกข์ มีคนมากมายบนโลกนี้ที่ต้องเจอกับความทุกข์หรืออะไรแย่ๆ แต่การช่วยทุกคนบนโลกให้พ้นจากความทุกข์คงเป็นเรื่องยากน่าดู วิธีช่วยเหลือพวกเขาที่ฉันรู้คือการใช้หัวใจเติมเต็มเป็นรายคน ซึ่งวิธีนี้อาจไม่สามารถช่วยคนได้เป็นบริเวณกว้าง หรืออีกวิธีนึงคือการหาทางแก้ปัญหาให้กับพวกเขาไปเลยแบบที่แคลร์กำลังทำ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าปัญหาในใจพวกเขาจะหายไปทั้งหมดอยู่ดี”

    น้ำเสียงที่กล่าวตอบไปแสดงถึงความคาดหวังและเชื่อมั่นจากก้นบึ้งของหัวใจ”แต่อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น วันนึงเธออาจค้นพบวิธีที่ว่าและสามารถช่วยทุกคนจากความทุกข์ก็ได้ ไม่ว่าจะยังไงขอให้เธอเชื่อมั่นในตัวเองและอย่ายอมแพ้ที่จะทำความปรารถนานี้ให้เป็นจริงเถอะนะ”มือนุ่มเนียนจับมือผอมบางทั้งสองข้างไว้ หวังเพียงแต่ความรู้สึกของตนจะส่งไปถึง”สงบใจ เข้มแข็ง และกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความกลัวของตัวเอง”

    อัศมิตารู้สึกราวกับคำพูดของเด็กหญิงเป็นแสงจันทร์ที่สาดส่องความอบอุ่นลงมาท่ามกลางค่ำคืนอันมืดมิด รอยยิ้มบริสุทธิ์ดุจเทพยดาตัวน้อยที่ประดับบนใบหน้าเหมือนรัศมีที่ช่วยให้บรรยากาศรอบข้างดูงามตายิ่งขึ้น”จริงหรือ เช่นนั้นเราจักพยายามและแสวงหาหนทางนั้นให้จงได้”

     

     

    กลิ่นไอสดชื่นของผืนป่าอบอวลไปทั่วเส้นทางที่เด็กน้อยทั้งสองผ่านมา ขณะที่แพทริเซียเอี้ยวตัวเพื่อตรวจดูของในกระเป๋าอีกครั้ง เสียงสวบสาบราวกับมีการเคลื่อนตัวแทรกผ่านใบไม้ก็ดังขึ้นในโสตสัมผัสของอัศมิตา

    ศีรษะของเด็กชายหันขวับไปตามเสียงก่อนน้ำเสียงสั่นเทาเอ่ยขึ้นด้วยความรู้สึกวิตกกังวลเข้าครอบงำ“แพทริเซีย เราคาดว่ามีบางสิ่งหลบซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ทางด้านขวา”

    “ไหนดูซิ”เจ้าของชื่อตอบรับก่อนจูงเด็กชายตาบอดเดินสำรวจรอบพุ่มไม้หนา นัยน์ตาสีอเมทิสต์กวาดมองโดยรอบอย่างระแวดระวังจนกระทั่งสะดุดสายตาเข้ากับแมวสีส้มขนฟูหนา”ฉันว่าเจอตัวการของเสียงที่เธอได้ยินแล้วล่ะ...เป็นแมวตัวนึง”

    “แมวงั้นหรือ...”เด็กชายเก็บความตื่นเต้นในน้ำเสียงไว้ไม่อยู่ แก้มขาวผุดผาดเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อพร้อมกับรอยยิ้มถูกฉายขึ้นบนใบหน้า มือผอมบางบีบเด็กหญิงแรงขึ้นอย่างลืมตัว”ขอให้เราได้เล่นกับเจ้าแมวตัวนี้จะได้หรือไม่”นัยน์ตาสีฟ้าสดแม้จะมืดบอดสนิท ทว่าเมื่อประกอบกับเครื่องหน้าแล้วกลับยิ่งแสดงอาการเว้าวอนมากขึ้น

    เจ้าเหมียวไม่รอแม้กระทั่งให้เด็กหญิงอนุญาต ร่างของมันตรงเข้ามาคลอเคลียขาของเด็กชายแทบจะทันทีที่สังเกตเห็น เสียงร้องเหมียวเบาๆดังขึ้นเมื่อร่างผอมบางนั้นย่อตัวลงและใช้มือคลำเปะปะไปทั่วเพื่อสำรวจ

    “นุ่มเหลือเกิน แมวเป็นเช่นนี้เองหรือ”ความปลื้มปิติพาดผ่านใบหน้าขณะที่มือผอมบางข้างที่เป็นอิสระไล้ขนนุ่มฟูของสัตว์สี่เท้าเบาๆ

    “ขนดูสะอาดเรียบร้อยดี คงจะเป็นแมวมีเจ้าของหลงมาล่ะมั้ง...”แพทริเซียตั้งข้อสังเกตขณะมองภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าด้วยสายตาเอ็นดู”แต่มันน่าจะชอบเธออยู่เหมือนกัน...ให้ฉันสอนวิธีอุ้มให้ไหม”

    ไวเท่าความคิด เด็กชายเอ่ยตกลงโดยแทบจะทันที

    “ก่อนอื่นปล่อยมือจากฉันก่อนนะ แล้วสอดมือของเธอทั้งสองข้างไว้ใต้ขาหน้าแมว...ยกมันขึ้นมาตรงๆให้ยืนสองขา แล้วก็ให้เอาแขนข้างใดข้างนึงสอดไปที่ด้านหลังขาหน้าแล้วโอบรอบลำตัวแมวไว้ ส่วนมืออีกข้างที่เหลือให้ประคองไว้ที่ขาหลังมัน...จะทำให้มันรู้สึกปลอดภัยมากขึ้นน่ะ”เสียงใสของเด็กหญิงอธิบายอย่างเป็นงานเป็นการเฉกเช่นเวลาเล่าเรื่องน่าสนใจในยามปกติ ทว่าสิ่งที่เพิ่มมาจนสัมผัสได้คือความอบอุ่นที่เจือปน

    “เช่นนี้ใช่หรือไม่”เด็กชายพยายามทำตามคำของเพื่อน สัมผัสความนุ่มของขนแมวทำให้เสียงเล็กหัวเราะขึ้นอย่างอารมณ์ดี”เจ้าแมวตัวนี้นุ่มนิ่มเหลือเกิน แพทริเซีย สัมผัสของเนื้อราวกับของเหลวที่ถูกหุ้มไว้ด้วยเส้นขนและกระดูกไม่มีผิดเพี้ยน...ช่างเป็นสิ่งมีชีวิตที่น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก”

    “นั่นสินะ...”มือนุ่มเนียนยื่นไปลูบศีรษะของแมวที่ซุกแผ่นอกของเด็กชายอย่างแผ่วเบา เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงตะโกนก้องของเด็กหญิงผู้หนึ่งดังขึ้น

    “จินเจอร์! เจ้าอยู่ไหนกัน จินเจอร์”ร่างเก้งก้างของเด็กหญิงที่ดูโตกว่าเด็กน้อยทั้งสองราวสองสามปีวิ่งเข้ามาในเส้นทางอย่างร้อนรน เรือนผมสีบลอนด์เกือบแดงที่ถูกมัดรวบไว้ลวกๆสะบัดไปตามจังหวะการหันหน้าไปรอบทิศ

    “นั่นเจ้าของแมวหรือเปล่านะ เอามันไปหาเธอดูไหม...”แพทริเซียก้มลงมองแมวขนฟูที่อยู่ในอ้อมแขนของเด็กชายตาบอด มันเงยดวงตาสีเขียวอมเหลืองขึ้นมามองราวกับรู้ทัน

    “สิ่งที่สูญหายจักควรถูกส่งคืนมือเจ้าของ....”แม้จะรู้ว่าควรทำสิ่งใด ทว่าเด็กชายอดรู้สึกเสียดายไม่ได้ที่โอกาสได้เล่นกับเจ้าแมวมีน้อยนิดเสียเหลือเกิน

    ความรู้สึกเห็นใจปรากฏขึ้นเมื่อเห็นท่าทีของเด็กชายตาบอดดูราวกับเสียของชิ้นใหม่ไป”เอาอย่างนี้แล้วกันนะ ระหว่างที่เราเอาตัวมันไปถามเขา ฉันจะให้เธอเป็นคนอุ้ม...แล้วเราก็จะคล้องแขนกันแทนการจับมือไปก่อน แต่ถ้าเกิดมันไม่ใช่จินเจอร์ที่ผู้หญิงคนนั้นตามหา เธอก็จะได้เล่นกับมันต่อไง”

    “เราเข้าใจแล้ว...”เด็กชายยังคงมีท่าทีเซื่องซึมเล็กน้อย แม้ในใจจะรู้สึกดีขึ้นแล้วก็ตาม วงแขนผอมบางที่ประคองขาหลังสัตว์สี่เท้าสัมผัสได้ว่าผ้าที่ห่อหุ้มแขนของเด็กหญิงสอดเข้ามา

    แพทริเซียนำทางอย่างระมัดระวังและเชื่องช้ายิ่งขึ้นด้วยอยู่ในท่าที่ไม่ถนัดนัก และในทันทีที่กลับสู่ทางหลัก เสียงใสได้ร้องเรียกเด็กหญิงผู้วิ่งวุ่นไปทั่ว”ขอโทษนะ แมวตัวนี้ใช่จินเจอร์ที่เธอกำลังหาอยู่หรือเปล่า”

    เด็กหญิงร่างสูงชะงักกึกก่อนจะรี่เข้ามาหาเด็กน้อยทั้งสองด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ”ใช่ ขอบคุณพวกเจ้ามาก ข้าตามหามันทั้งวันเลย หมู่นี้มันชอบหนีออกมาบ่อยๆ---”นัยน์ตาสีฟ้าเทาเบิกกว้างขึ้นราวกับตระหนักถึงความจริงบางอย่างขึ้นมาได้ก่อนจะเลื่อนขึ้นมองเจ้าของเรือนผมสีทองพิสุทธิ์

    “แปลกจริง ทั้งที่มันไม่เคยยอมให้ข้าอุ้มเลยสักครั้ง แต่ทำไมมันถึงได้ยอมให้เจ้าอุ้มแต่โดยดีกัน....”




    ----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

    Hint:โกลด์เซนต์โผล่มาแล้ว หนึ่งคน สองคน เอ เหมือนจะยังมีอีกคนนึงนะ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×