ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Saint Seiya The Lost Canvas] The White Sky Memories

    ลำดับตอนที่ #15 : ระลึก

    • อัปเดตล่าสุด 17 ธ.ค. 60


    ร่างผอมซูบซีดของเด็กหญิงวัยราวแปดขวบวิ่งลัดเลาะไปตามตรอกคับแคบอย่างผู้รู้เส้นทาง มือเล็กที่กร้านสากเกินวัยกำถุงเงินขนาดใหญ่ตัดกับสภาพเสื้อผ้าเก่ามอซอคล้ายผ้าขี้ริ้วไว้แน่น ขณะเรือนผมสีดำสนิทเหมือนถ่านปลิวไสวไปตามลมที่นำพากลิ่นเหม็นอับของสถานที่เสื่อมโทรมโชยขึ้นสู่จมูก

    ขโมย...จับนังเด็กนั่นไว้เสียงตวาดลั่นของชายหน้าดุผู้อยู่ในเครื่องแบบคนรับใช้ดังไล่หลังมา

     

    พวกแกต่างหากที่เป็นขโมย ดีแต่สูบเลือดสูบเนื้อจนผู้อื่นกำลังจะตาย

    พวกแกต่างหากที่บีบบังคับให้ข้าทำเช่นนี้เอง เงินถุงนี้ยังไม่เท่ากับที่รีดพวกเรามาตลอดชีวิตหรอก

     

    นัยน์ตาสีน้ำตาลทองเหลียวกลับไปมองหนทางเบื้องหลัง เมื่อตระหนักได้ว่าร่างกำยำนั้นไล่ประชิดเข้ามาเรื่อยๆ เด็กหญิงจึงตัดสินใจเลี้ยวหลบไปทางที่แคบจนไม่สามารถแม้กระทั่งเดินสวนกันอย่างสะดวก ก่อนจะกระโดดหลบเข้าไปอยู่ในกองขยะอย่างว่องไวราวกับแมว มือทั้งสองโกยขยะมาบดบังตัวพลางทำหน้าเบ้ด้วยได้กลิ่นอันไม่น่าพิสมัยของเศษอาหารและของเหลือทิ้งในกองใหญ่

    “นังแมวผีนั่นไวจริงๆ หายไปไหนของมันแล้วนะ”คิ้วคมขมวดมุ่นด้วยหัวเสียที่แผ่นหลังซึ่งเห็นอยู่ไวๆกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย

    “เจ้าไม่น่าทำแบบนั้น...”เสียงของสตรีสูงศักดิ์ดังขึ้นเบื้องหลังอย่างตำหนิ หญิงสาวผู้เดินตรงเข้ามาในตรอกดูราวไม่สนใจว่าผ้าราคาแพงที่ใช้ตัดชุดจะต้องเปรอะเปื้อนความสกปรก”เงินเพียงถุงเดียวไม่ทำให้ข้าเดือดร้อนได้ การที่เด็กวัยเพียงเท่านี้ออกขโมยด้วยตนเองคงมีเหตุที่จำเป็น”

    ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือกด้วยไม่ทันตั้งตัว“ท่านมาร์เซลีนไม่ควรเข้ามาในสถานที่ชั้นต่ำเช่นนี้นะขอรับ”

    “ไม่มีสถานที่ใดเป็นสถานที่ชั้นต่ำ จงอย่าใช้อคติของเจ้าในการมอง”เสียงนั้นเย็นเยียบดุจน้ำแข็งและหนักแน่นราวกับต้องการแสดงเจตนารมณ์ของตน”เจ้ากลับไปรอที่ถนนใหญ่ได้แล้ว จากนี้ข้าจะเป็นคนตามหาเด็กคนนั้นเอง”

    “ขอรับ...”ชายหนุ่มรับคำเสียงแผ่วก่อนเดินออกไปสู่เส้นทางเดิมที่ตนจากมา

    หญิงสาวตั้งสมาธิกำหนดใจให้แน่วแน่ก่อนเดินไปตามเส้นทางอย่างมั่นใจด้วยพลานุภาพของเวทมนตร์ที่ตนใช้ ขาเรียวยาวก้าวไปตามเส้นทางเล็กแคบก่อนนัยน์ตาสีม่วงสะดุดลงตรงกองขยะที่มีร่องรอยของการถูกรื้อค้นใหม่ๆ

    “เจ้าหลบอยู่ในนั้นใช่ไหมสาวน้อย ออกมาเถอะ ในนั้นเป็นที่สะสมของสิ่งที่ทำให้เจ็บป่วยเลยนะรู้ไหม”ร่างสูงย่อตัวลงให้อยู่พอดีกับระดับของขยะกองใหญ่

    “ข้าไม่สน ข้าอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด...และแข็งแรงพอที่จะไม่เจ็บป่วยง่ายๆ”เสียงหวานของเด็กหญิงผู้หลบซ่อนต่อล้อต่อเถียงอย่างไม่นึกเกรงกลัว”ถ้าข้าออกไปแล้วจะทำอะไร ลงโทษข้า...หรือแยกหัวข้าออกจากตัว”

    “ข้าไม่ทำเรื่องโหดร้ายรุนแรงเช่นนั้นกับเด็ก”มาร์เซลีนยืนยันมั่นคง”อย่างน้อยขอให้เจ้าออกมาจากกองขยะก่อน แล้วเราค่อยมาคุยกัน...”

    “ข้าไม่ออกไปหรอก...”เด็กหญิงยังคงดื้อดึง

    “ถ้าหากเจ้าไม่ยอม..ข้าคงต้องเข้าไปหาเองล่ะนะ”มือยาวเรียวพับชายลูกไม้รุ่มร่ามให้ไม่เกะกะก่อนจะเริ่มคุ้ยขยะออกเพื่อค้นหาตัวเด็กหญิงผู้ไม่ขยับด้วยรู้สึกประหลาดใจกับการกระทำของคนตรงหน้า

     

    ผู้หญิงคนนี้บ้าไปแล้วแน่ๆ

     

    “เจอตัวแล้ว”หญิงสาวเอ่ยขึ้นเมื่อคว้าแขนเล็กข้างหนึ่งเอาไว้ได้ก่อนจะดึงเป็นเชิงให้ลุกขึ้นยืน

    เด็กหญิงยอมลุกขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก มืออีกข้างกำถุงเงินไว้แน่นขณะก้าวพ้นจากกองขยะ”มาที่แบบนี้แล้วยังคุ้ยขยะหาหัวขโมยที่ไม่เต็มใจจะออกมาอีก ไม่กลัวความโสโครกติดไม้ติดมือไปบ้างหรือคะท่านหญิง”เสียงหวานกัดจิก

    “เศษอาหารและวัสดุพวกนี้เดิมทีย่อมมีประโยชน์กับคนมาแล้ว ข้าไม่เข้าใจว่าทำไมจึงต้องรังเกียจ แม้เลอะเทอะไปหากล้างมือก็กลับมาสะอาดได้เหมือนเดิม”รอยยิ้มผุดขึ้นขณะนัยน์ตาสีม่วงพินิจเด็กหญิงในชุดเก่าสีทึบทึม”เจ้าเองก็ดูไม่เหมือนผู้ที่ขโมยเป็นนิสัย จะช่วยบอกเหตุผลมาได้ไหมว่าทำไมถึงต้องทำแบบนี้”

    ประกายสีน้ำตาลทองในดวงตาของอีกฝ่ายวาวโรจน์ขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด”ก็เพราะพวกชนชั้นสูงยังไงล่ะที่ขูดภาษีขึ้นจนแม่ข้าต้องทำงานหนักเพื่อหาเงินมาจ่าย สุดท้ายสุขภาพของแม่ก็ทรุดโทรมและล้มป่วยลง”เสียงหวานอัดแน่นไปด้วยความคับแค้นใจ”เงินเก็บของแม่มีไม่มากพอค่ายาค่าหมอ แต่อาการของแม่หนักมาก...หากชักช้าก็คงถึงตาย ข้าถึงต้องหาเงินด้วยวิธีนี้”

    นัยน์ตาสีม่วงพลันดูสลดลงราวความรู้สึกผิดชโลมอาบไปทั่วจิตใจ”ถ้าอย่างนั้นพาแม่เจ้ามาหาหมอด้วยกันเถอะ ข้าจะเป็นคนจ่ายข้ารักษาให้”

    “ทำไมถึงคิดช่วยข้าล่ะ ข้าเป็นคนที่ขโมยเงินของท่านไปมิใช่หรือ”ความละอายเริ่มเข้าเกาะกุมในจิตใจจนเด็กหญิงลดสายตาลงมองพื้น

    “ตัวข้าเองอยากที่จะแก้ปัญหาความไม่เท่าเทียมเหล่านี้ให้หมดไป”มือเรียวยกขึ้นประทับบริเวณหัวใจคล้ายเป็นภาษากายแสดงความรู้สึก”ทุกๆคนควรเข้าถึงการได้รับอาหาร ความปลอดภัย การศึกษา และการรักษาพยาบาลยามเจ็บป่วย”

    “ฟังดูดี แต่มีชนชั้นสูงกี่คนล่ะที่คิดแบบท่าน”ร่างเล็กยักไหล่

    “เรื่องนั้นข้าเองก็กำลังพยายามอยู่ การจะปรับเปลี่ยนทัศนคติของพวกเขาได้ต้องใช้เวลา”หญิงสาวทอดมองเรือนผมสีดำของอีกฝ่ายที่ปล่อยสยายเคลียแผ่นหลัง”แต่ข้าเชื่อว่าสักวันผู้คนจะตระหนักถึงเรื่องนี้มากขึ้น”

    “อย่างไรก็ตามการช่วยเหลือนี้คงไม่ได้เป็นแบบให้เปล่า ต้องการอะไรจากข้า”แม้จะสัมผัสความอบอุ่นได้จากน้ำเสียงสง่า ทว่าเด็กหญิงยังไม่อาจละข้อสงสัยในใจไปได้

    “อืม...”หญิงสาวครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนจะส่งรอยยิ้มให้ร่างเล็กอย่างอ่อนโยน”ขอให้เจ้าเลิกการขโมยทรัพย์สินของผู้อื่นแล้วกัน ถ้าขัดสนหรืออยากหาเงินช่วยครอบครัวก็มาทำงานที่ปราสาทของข้าได้”

    ความดีใจบังเกิดขึ้นจนสัมผัสได้ถึงความร้อนผะผ่าวที่ขอบตา”ขอบคุณท่านมาก...”น้ำตาแห่งความปลื้มปิติไหลรินผ่านใบหน้า ขณะมือเล็กส่งเงินถุงอ้วนคืนให้แก่เจ้าของ

    “อย่าร้องไห้สิ เดี๋ยวแม่เจ้าจะตกใจเอานา”หญิงสาวผู้งดงามดั่งเทพธิดาย่อตัวลงปาดคราบน้ำตาบนใบหน้าน้อยก่อนจะทำทีเปลี่ยนเรื่อง”ข้าชื่อมาร์เซลีน ยินดีที่ได้พบเจ้า..”ร่างสูงถอนหายใจด้วยท่าทีคล้ายขัดเคืองตนเอง”ข้านี่เสียมารยาทจริง ทำไมไม่ถามชื่อเจ้าก่อนนะ”

    “แค่นี้ไม่ใช่การเสียมารยาท...”มือสองข้างยกขึ้นปรามอย่างตกอกตกใจขณะเครื่องหน้าแสดงถึงความรู้สึกวางตัวไม่ถูก

    “ข้าชื่อ...”

     

     

    ใบหน้าขาวผุดผาดซีดลงจนแทบไม่ปรากฏสีเลือดเมื่อได้ยินคำถามจี้จุดของหญิงสาวร่างเล็ก ขณะกลืนน้ำลายเหนียวฝืดลงคอเพื่อรวบรวมสติ”ทำไมถึงถามคำถามแบบนี้”

    ”ท่าทางของท่านแปลกไปจากทุกที”นัยน์ตาสีน้ำตาลทองจับจ้องเด็กหญิงด้วยสายตาคล้ายผู้ล่าที่เพิ่งพบเหยื่ออันโอชะ”โดยปกติหากข้าถามเรื่องห้องของท่านมาร์เซลีนแล้ว สายตาของท่านแคลร์ที่มองมายังข้าจะเต็มไปด้วยความเคลือบแคลงเสมอ...แต่วันนี้กลับดูลนลานราวกับคิดวางแผนการบางอย่าง”

    “ทำเหมือนไม่ใส่ใจแต่เก็บซะละเอียดเลยนะ”เสียงใสเหน็บแนมเล็กน้อยขณะประกายสีม่วงเลื่อนไปยังรอยยิ้มหวานหมดจดราวใส่หน้ากาก”ยอมรับก็ได้ แล้วจะทำยังไงกับฉันต่อล่ะคะคุณมารี จับฉันไปให้ท่านปิแยร์เหรอ”

    “เปล่า ข้าจะไม่ทำแบบนั้น”มือที่มีร่องรอยของความกร้านสากเล็กน้อยจับไหล่ทั้งสองข้างของแพทริเซียไว้แน่น”ท่านแคลร์ไปที่ตรอกอีกแล้วใช่หรือไม่ เกิดอะไรขึ้น ทำไมท่านถึงปลอมตัวเป็นนาง”แม้จะยังครอบหน้ากากแห่งรอยยิ้มบนใบหน้าราวต้องการซ่อนเร้นความรู้สึก ทว่าประกายในดวงตาคู่สวยกลับสั่นระริกอย่างประหลาด

     

    หรือว่าเธอ....

    เป็นห่วงแคลร์อยู่

     

    “ไปคุยกันในห้องดีกว่า ขืนมีใครมาเห็นตอนนี้เดี๋ยวคุณอาจโดนข้อหาอู้งานเอานา”รอยยิ้มที่มิผิดแผกไปจากรอยยิ้มหนึ่งในความทรงจำผุดขึ้นบนใบหน้างดงามนั้น ก่อนเด็กหญิงจะยันร่างที่รู้สึกถึงกำลังวังชาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยให้ลุกยืนได้สำเร็จ

    “ให้ข้าช่วยเถอะ”หญิงสาวร่างเล็กรี่เข้าหา หมายช่วยพยุงเด็กหญิงไปยังห้องของมาร์เซลีน แต่ก็พลันผงะถอยเมื่อเห็นฝ่ามือของอีกฝ่ายยกขึ้นเป็นสัญลักษณ์เชิงห้ามปราม

    “ไม่ต้องหรอก แค่ช่วยเปิดประตูให้ก็พอ..ค่ะ”มือชุ่มเหงื่อยันผนังไว้เล็กน้อยเพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองล้มก่อนจะก้าวเดินอย่างเชื่องช้าคล้ายคนหมดแรงไปยังเป้าหมาย

    มารีตรงเข้าไปเปิดประตูหนาอย่างไม่ลังเล ครู่หนึ่งเด็กหญิงมั่นใจว่าสังเกตเห็นความเป็นห่วงฉาบชโลมบนสีหน้าก่อนเจ้าของเรือนผมสีดำจะหันหลังไปปิดประตูและกลับเป็นรอยยิ้มดูสุภาพเรียบร้อยเช่นเดิม

     

    ทำไมต้องทำตัวเหมือนสวมหน้ากากไว้เกือบตลอดเวลาด้วยนะ

     

    แพทริเซียที่สังเกตได้ถึงความผิดปกตินิ่วหน้าขณะหย่อนตัวลงบนเตียงหนานุ่มที่ตนเคยนอนหลับมาแล้วครั้งหนึ่ง

    “ตรงนี้ไม่มีใครแล้ว...จะบอกข้าได้หรือยังคะ”เสียงหวานที่เอ่ยถามแฝงไปด้วยความอยากรู้คำตอบแทบทนไม่ไหว

     

    ฉันควรจะทำยังไงดี

    รอยยิ้มนั่นไม่ได้ออกจากความรู้สึกจริงๆของเธอแน่ แต่แววตากับสีหน้าที่เห็นเมื่อตอนนั้นคงไม่ใช่เรื่องโกหก

     

    “ฉันชื่อแพทริเซีย...”เด็กหญิงเอ่ยเสียงเรียบเป็นการลองเชิง”เจอกับแคลร์เมื่อเช้านี้ที่ถนนใหญ่เพราะเธอวิ่งมาชนฉัน แล้วพวกคนที่มาตามตัวเธอเข้าใจผิดเลยจับฉันมาแทน ที่ฉันยังไม่บอกความจริงกับใครเพราะกำลังพยายามหาทางหนีแล้วก็สืบว่าทำไมแคลร์กับฉันหน้าตาเหมือนกัน”

    “ดูๆแล้วท่านเองก็หน้าตาคล้ายกับท่านมาร์เซลีนอยู่”มารีตั้งข้อสังเกตขณะมองใบหน้าของหญิงสาวในรูปเขียนสลับกับเด็กหญิงตรงหน้า”แล้วท่านใช้เวทมนตร์ได้ด้วยหรือเปล่า”

    แพทริเซียสะดุ้งเฮือกด้วยเจอคำถามที่ไม่คาดฝัน หญิงสาวอ่านสีหน้าตกตะลึงเชิงตั้งคำถามของเด็กหญิงออก

     

    ใช้ได้จริงๆด้วยสินะ

     

    “ท่านมาร์เซลีนเคยบอกกับข้าไว้ว่าตัวท่านมาจากตระกูลของจอมเวท”เสียงหวานตอบคำถามที่ยังไม่ได้ถูกเอ่ย ขณะมือเรียวลูบเรือนผมดำสนิทดุจถ่านไม้เผา”หากท่านเป็นญาติของท่านมาร์เซลีนก็คงจะมีความสามารถทางด้านเวทมนตร์คาถาเช่นเดียวกัน”

     

    ให้ตายสิ ทำไมถึงบอกเรื่องนี้ให้มนุษย์รู้กันล่ะ

    สถานะมารีเองก็คงไม่ได้เป็นเด็กที่ไม่แพร่งพรายให้ใครรู้แบบอัศมิตา หรือจำเป็นต้องใช้แบบคราวเฟมิด้วย

     

    เจ้าของเรือนผมสีม่วงพยักหน้ารับอย่างไม่เต็มใจนัก

    “ข้าเข้าใจล่ะ...”มารีเอ่ยเสียงเรียบ ประกายในดวงตาคมคล้ายนกเหยี่ยวฉายแววที่ไม่อาจอธิบาย”ท่านมีวิธีติดต่อกับท่านแคลร์ผ่านทางพลังของท่านหรือไม่”

     

    แม้เด็กหญิงคนนี้จะใช้เวทมนตร์ได้เหมือนกับท่าน

    ทว่าสภาพร่างกายที่เหนื่อยล้าอย่างหนักคงยากที่จะออกไปพ้นเขตปราสาทได้

     

    “คุณจะรู้ไปเพื่ออะไร...”แพทริเซียกดเสียงต่ำลง ความไม่ไว้วางใจปรากฏขึ้นผ่านสีหน้า

    “ข้าอยากจะขอความร่วมมือ”แผ่นอกขยับผ่อนลงตามจังหวะการหายใจก่อนรอยยิ้มบนใบหน้าจะเปลี่ยนไปชั่วครู่หนึ่งราวนักแสดงที่เผยโฉมแท้จริง งดงาม...ทว่ากลับดูเศร้าสร้อยในเวลาเดียวกัน”ตอนนี้ท่านแคลร์คงกำลังเสาะแสวงหาหนทางช่วยพวกเราต่อจากท่านมาร์เซลีน แม้นั่นจะเป็นต้นเหตุให้ท่านถูกเข้าใจผิด ทว่าหากท่านติดต่อกับท่านแคลร์ได้และพบว่านางต้องการกลับมาเมื่อใดโปรดบอกข้าเถิด”

    “ข้าจะช่วยจัดการเส้นทางของคนรับใช้ไม่ให้เป็นอุปสรรคเอง”

     

     

    เด็กหญิงร่างสูงจูงมืออัศมิตาให้ถอยหลบรถม้าคันใหญ่ที่วิ่งผ่านไปด้วยความเร็วไม่มากนัก นัยน์ตาสีม่วงมองตามหนังมันปลาบของม้าลากรถสีน้ำตาลพ่วงพีทั้งสองจนลับหลังไปก่อนเบนความสนใจของตนผ่านเลยบ้านเรือนที่ตั้งเป็นทิวแถวไปยังเบื้องหน้า

    “เสียงกีบเท้ากระทบพื้นหินและล้อรถ...”เด็กชายพินิจพิเคราะห์สิ่งที่ตนได้ยินเมื่อครู่”มีรถม้าผ่านมาอย่างนั้นหรือท่านแคลร์”

    เจ้าของชื่อพยักหน้าสั้นๆ พลันนึกขึ้นได้ว่าคู่สนทนาของตนไม่สามารถมองเห็นได้”ใช่ เจ้าเก่งมากๆที่สามารถรับรู้ได้ทั้งที่ตาบอดเช่นนี้”แคลร์เอ่ยด้วยความพิศวงในทักษะของเด็กชายตัวน้อย

    “คาดว่าคงเป็นเพราะโสตสัมผัสที่ถูกพัฒนาขึ้นมาแทนที่กระมัง”เสียงเล็กเอ่ยอย่างถ่อมเนื้อถ่อมตัวด้วยตระหนักถึงฐานะที่ต่างกันระหว่างตนกับเด็กหญิง”เรามีข้อสงสัยที่ต้องการจะถาม...รถม้ามีไว้ขนส่งสิ่งใดงั้นหรือ”

    “ส่วนใหญ่จะใช้บรรทุกคนรวมถึงสัมภาระและสินค้า มีทั้งระยะสั้นภายในเมืองและข้ามไปยังเมืองที่อยู่ห่างไกล”แคลร์อธิบายด้วยน้ำเสียงที่ชวนให้นึกถึงแพทริเซียอย่างแปลกประหลาด

    “ขอบคุณท่านมากที่ช่วยคลายข้อสงสัยแก่เรา”เสียงเล็กเอ่ยเจื้อยแจ้วพร้อมรอยยิ้มใสซื่อที่ปรากฏบนริมฝีปาก

     

    แปลกจริง เหตุใดถึงไม่รู้เรื่องนี้กัน

    หรือว่าจะไม่เคยนั่ง

     

    แคลร์หวนนึกถึงบรรยากาศชวนอึดอัดของรถม้าหรูหราที่ตนได้แต่นั่งเงียบเชียบท่ามกลางบทสนทนาของพวกผู้ใหญ่ในระหว่างการเดินทางไปงานสังคม

    “นี่ อัศมิตา”นิ้วเรียวสะกิดบ่าผอมบางของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา”เจ้าฟังเรื่องของข้าไปจนหมดแล้ว ลองเล่าเรื่องเกี่ยวกับตัวเองดูบ้างเถอะ”ความข้องใจเรื่องชื่ออัศมิตาอันเป็นภาษาตะวันออกผุดขึ้นระหว่างเอ่ยถาม

    “เรื่องของเราหรือ”คิ้วเลิกขึ้นขณะแพขนตาสีทองพิสุทธิ์เลื่อนเข้าปกคลุมดวงตา”ชีวิตของเรามิได้มีสิ่งใดที่แปลกประหลาดมากมายนัก...เกรงว่าท่านจะเกิดความรู้สึกเบื่อเสียก่อน”

    “ไม่ใช่แบบนั้นซี”เด็กหญิงส่ายหน้าให้กับความใสซื่อบริสุทธิ์ของเขา”หมายถึงความเป็นมาของตัวเจ้าต่างหาก”

    “เราเกิดที่ประเทศอินเดีย ท่านแม่อยู่ในวรรณะพราหมณ์ แต่เมื่อสมรสกับท่านพ่อที่เป็นชาวตะวันออกแล้วจึงเป็นการข้ามระหว่างวรรณะสูงกับผู้ไร้วรรณะ เช่นนั้นเราจึงอยู่ในวรรณะจัณฑาลซึ่งถือกันว่าต่ำต้อยกว่ามนุษย์อื่นใด”มือเล็กทาบเอาไว้ระดับอก เครื่องหน้าแสดงถึงความเศร้าหมองคล้ายเทวดาที่มองลงมายังโลกมนุษย์อย่างโศกสลดใจ

    “ต่ำต้อยกว่ามนุษย์อื่น...”นัยน์ตาสีม่วงฉายแววเห็นใจเมื่อได้ยินคำพูด”ที่อินเดียแบ่งแยกชนชั้นวรรณะจริงจังขนาดนั้นเชียวหรือ เจ้าคงจะผ่านเรื่องเลวร้ายมามาก”

    เด็กชายพยักหน้าน้อยๆพลันน้ำตาเริ่มไหลรื้นขณะดวงตาสีฟ้ากลมโตดุจอัญมณีลืมขึ้นอย่างเชื่องช้า“วรรณะจัณฑาลเช่นเราถูกปฏิบัติอย่างตัวเสนียดมาตลอด แม้เดินไปยังทิศทางใดก็จะถูกผู้คนประณามหยามเหยียด ต้องทำงานที่ไม่มีผู้ใดปรารถนา และมีกฎเกณฑ์ทางศาสนาซึ่งเป็นแนวปฏิบัติของสังคมได้ห้ามการชำระร่างกาย”

    ”แย่จริงๆ การที่ชนชั้นสูงอย่างพวกเราประเมินค่าชาวบ้านที่ไร้ยศถาบรรดาศักดิ์ว่าต่ำต้อยและขูดรีดพวกเขาฟังดูไม่สมควรอยู่แล้ว...”แม้จะเคยเห็นเรื่องราวการแบ่งชนชั้นจากหนังสือผ่านตามาบ้าง ทว่าเมื่อได้ฟังจากประสบการณ์จริงแล้วกลับสัมผัสได้ถึงความเลวร้ายเป็นเท่าทวี ความรู้สึกอึดอัดก่อขึ้นในทรวงอก”แต่การที่ถึงขนาดรังเกียจตอนเดินผ่านหรือไม่ให้อาบน้ำเลยสักครั้งมันโหดร้ายเกินไป”

     

    เราขอโทษเจ้าด้วย แพทริเซีย

    ในขณะนี้เราไม่อาจหยุดยั้งความอ่อนแอของตนได้เสียแล้ว

     

    “เรื่องเหล่านั้นเป็นสิ่งที่เราประสบมาจนกระทั่งได้พบกับแพทริเซีย”เด็กชายสัมผัสได้ถึงความอุ่นของหยดน้ำตาขณะใช้ข้อนิ้วปาดจากใบหน้า”นางเป็นคนแรกที่สอนให้เรารู้จักถึงความเป็นมนุษย์”

    “คนแรก...”แคลร์รู้สึกสะกิดใจเล็กน้อย ประกายของนัยน์ตาสีอเมทิสต์คล้ายต้องการตั้งคำถาม”แล้วครอบครัวของเจ้าล่ะอัศมิตา หรือว่าพวกเขาเองก็ปฏิบัติเช่นนั้นด้วย”

    ร่างผอมบางรู้สึกราวถูกปลายแหลมคมของมีดกรีดลงกลางอก สีหน้าแสดงถึงความเจ็บปวดอย่างเกินจะควบคุม”ท่านพ่อทอดทิ้งเรากับท่านแม่เมื่อครั้งเราอายุได้เพียงปีเศษ จากนั้นมาท่านแม่จึงเกลียดชังเราด้วยเป็นเหตุให้ท่านพ่อจากไป”

    ริมฝีปากสวยเม้มแน่น ความเจ็บปวดระคนเห็นอกเห็นใจปรากฏชัดขึ้นเมื่อได้ฟังเรื่องราวของอีกฝ่าย”อะไรเนี่ย แม้แต่คนเป็นแม่ยัง...”

    “ม-ไม่เป็นอันใด ตัวเรายอมรับสภาพการณ์เช่นนี้มานาน...และในตอนนี้เราได้ออกจากสถานที่แห่งนั้นแล้ว”มือเล็กปัดป่ายเป็นเชิงปฏิเสธด้วยไม่ต้องการให้ฝ่ายตรงข้ามเป็นห่วงเรื่องของตน”แพทริเซีย...คงจะเป็นทุกข์กับเรื่องราวในอดีตของนางมากกว่าเราเสียอีก”

     

    แม้จะรู้จักกันได้ไม่นาน

    แต่ข้าก็สามารถสัมผัสถึงความบริสุทธิ์ในจิตใจของเจ้าได้

     

    “อะ..”มือผอมบางยกขึ้นกุมศีรษะที่ปวดแปลบขึ้นกะทันหัน เป็นผลให้เท้าของเด็กชายสะดุดเข้ากับร่องแยกของถนนหินปูและรู้สึกได้ว่าร่างของตนกำลังจะร่วงกระทบพื้นในอีกไม่ช้า พลันสัมผัสได้ถึงแรงมหาศาลจากมือนุ่มของเด็กหญิงสูงศักดิ์ที่ฉุดรั้งแขนอีกข้างไว้ได้ทันก่อนที่ใบหน้าน้อยจะกระแทกพื้นเพียงอึดใจ

    “เป็นอะไรหรือไม่”

    อัศมิตายกมือขวานวดแผ่นอกที่ขยับขึ้นลงตามจังหวะการหายใจถี่กระชั้นจากความตื่นตระหนก“เรามิเป็นอันใด เพียงแต่รู้สึกปวดศีรษะเพียงเล็กน้อยเท่านั้น”

    “แน่ใจหรือ หากเจ้าไม่ไหวจริงควรกลับไปพักผ่อนที่โรงแรมตามที่แพทริเซียบอก...ตัวข้าพอจะรู้เส้นทางกลับไป”นัยน์ตาสีม่วงส่องประกายไม่สบายใจขณะสังเกตสีหน้าที่แสดงถึงความไม่สบายกายอย่างมิอาจปิดบังได้หมด สัมผัสของมือข้างที่คอยเกาะกุมเป็นเครื่องนำทางให้เด็กชายตาบอดบีบแน่นขึ้น

    “ยังคงไปต่อได้...ท่านแคลร์ ได้โปรด ช่วยนำทางเราไปหาแพทริเซียเถิด”ความดื้อรั้นภายใต้ท่าทียอมผู้คนปรากฏขึ้นเมื่อเด็กชายเลือกที่จะเดินตามแผนการลักลอบเข้าปราสาทต่อ โดยไม่สนความเจ็บปวดราวไฟเผาที่ประท้วงอยู่ในศีรษะ

     

    ถึงข้าจะอยากให้เจ้าพยายาม

    แต่เมื่อยามป่วยไข้เช่นนี้ควรจะรักษาตนให้ดีเสียก่อน

    เสื้อผ้าที่เปียกชุ่มโชกนั่น...คงจะมาจากการโดนฝนที่เทกระหน่ำลงมาเมื่อไม่นานมานี้

     

    ใบหน้าที่เหมือนกับแพทริเซียราวฝาแฝดแสดงอาการไม่เห็นด้วยเมื่อเห็นอีกฝ่ายยังคงยืนกรานตามเป้าหมายแม้สภาพร่างกายจะเริ่มบอกเหตุแห่งการเจ็บป่วย เป็นจังหวะประจวบเหมาะกับเสียงของโทรจิตที่ก้องดังขึ้นในหัวอย่างพอดิบพอดี

    “ทางนั้นเป็นไงบ้าง”

    ถึงจะไม่เห็นด้วย ทว่าอาการที่ยังไม่หนักมากนักเป็นผลให้แคลร์ตัดสินใจว่าตนยังสามารถพาเด็กชายไปยังปราสาทด้วยกันได้”เรียบร้อยดี ตอนนี้ข้ากับอัศมิตากำลังมุ่งหน้าไปยังปราสาท”

    “ดีแล้วล่ะ ท่านแคลร์ช่วยบอกเส้นทางที่จะมาหน่อยได้ไหม เวลาก็ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว...พวกเราควรจะกำหนดเส้นทางกับจุดนัดเจอกันให้ละเอียด”เสียงใสของแพทริเซียฟังดูราวกับคิดอะไรบางอย่าง สงบนิ่ง คาดเดาไม่ได้คล้ายสายลมที่โชยพัดต้องใบหน้าของเด็กหญิงสูงศักดิ์ในเวลานี้

    เด็กหญิงร่างสูงตั้งสมาธิกำหนดให้โทรจิตของตนส่งไปยังแพทริเซียและอัศมิตาพร้อมกัน“ข้าจะใช้เส้นทางด้านหลังเพื่อลอบเข้ามาในเขตปราสาท ตรงบริเวณนั้นมีต—ช่องโหว่ที่ผู้ใหญ่ไม่ทันสังเกต และพื้นที่ใกล้ๆจะมีทางที่ข้าใช้แอบหนีออกจากปราสาทอยู่”แคลร์รู้สึกใจหล่นวูบไปอยู่แทบเท้าเมื่อตัวเองเกือบหลุดพูดถึงอุปสรรคสำคัญที่อาจส่งผลให้อัศมิตาไม่ได้เข้าร่วมแผนการดังใจหวัง

    เป็นโชคดีของเด็กหญิงสูงศักดิ์ที่ดูเหมือนว่าเสียงก้องจากโทรจิตจะไม่ทันได้สังเกต”มีจุดเสี่ยงหรือเปลี่ยนเส้นทางที่อาจจะต้องเจอกับพวกคนรับใช้กี่จุดคะ”

    “พอผ่านเส้นทางมาถึงในตัวปราสาทได้จะต้องขึ้นจากทางลับแรกมาที่ชั้นหนึ่ง แล้ววิ่งไปที่เส้นทางหลังรูปภาพที่อยู่คนละฝากของทางเดิน...อัศมิตา เจ้ายังวิ่งได้ใช่หรือไม่”แคลร์ถามเป็นเชิงเปิดโอกาสให้ตัดสินใจอีกครั้งขณะเหลือบสายตาไปยังเรือนผมสีทองของเด็กชายตัวน้อยตรงหน้า

    “เรา..ทำได้”เสียงเล็กในโทรจิตสั่นเครือเล็กน้อยด้วยเด็กชายพยายามกลบเกลื่อนร่องรอยความป่วยไข้ของตนไม่ให้แพทริเซียรู้

    “เส้นทางลับในตัวปราสาทเพียงแค่ลดโอกาสการถูกจับได้ลง หากมีบ่าวรับใช้จำนวนมากอยู่ในบริเวณนั้นอาจต้องเลี่ยงการใช้และอาศัยจังหวะขึ้นมาเรื่อยๆแทน อย่างไรก็ตาม สถานที่นัดพบของพวกเราคือบริเวณทางเดินของปราสาทในส่วนปีกที่ห้องของท่านยายตั้งอยู่ ตกลงหรือไม่”แคลร์กล่าวราวกับเป็นตัวแทนสรุปผลการประชุมครั้งสำคัญ แม้จะเป็นเพียงการส่งความคิดไปทางโทรจิต ทว่ากลับดูหนักแน่นและจูงใจให้เชื่อมั่นได้อย่างน่าประหลาด

    “ฉันไม่มีปัญหาอะไร”เจ้าของแผ่นไม้แกะสลักอีกแผ่นกล่าวตอบเรียบๆ”แต่อย่าลืมว่าถ้าเกิดอัศมิตาไม่ไหวขึ้นมา ก็ควรจะพาเขาไปพักก่อนเถอะนะคะ”แพทริเซียปิดท้ายด้วยความเป็นห่วงเจ้าของชื่อดังเช่นสมาชิกในครอบครัวรู้สึกต่อกัน

    แคลร์ลดสายตาลงมองใบหน้าที่งดงามราวกับรูปสลักของอัศมิตา พลันบังเกิดความรู้สึกอยากเป็นกำลังให้เมื่อเห็นถึงความมุ่งมั่นที่สลักอย่างเต็มเปี่ยมบนเครื่องหน้า“วางใจเถอะ เจ้ารออยู่ในห้อง พักฟื้นฟูพลังของตนให้เต็มที่...เมื่อใกล้จะไปถึงจุดหมายเมื่อไรพวกข้าจะเรียกเอง”

    “เข้าใจแล้วค่ะ...”แคลร์แทบจะเห็นการพยักหน้าของอีกฝ่ายลอยออกมาจากน้ำเสียงอ่อนแรงเล็กน้อยของแพทริเซีย

    แคลร์เบนความสนใจของตนมาอยู่ที่เส้นทางตรงหน้า หมู่ไม้สองข้างทางที่เปลี่ยนสีไปตามช่วงฤดูคล้ายภาพวาดที่บ่งบอกถึงการสิ้นสุดถนนใหญ่อันเป็นแหล่งอาศัยของเหล่าชนชั้นกลาง เห็ดป่าหลากสีที่งอกงามบริเวณโคนต้นไม้ดุจสีสันที่แต่งแต้มทิวทัศน์ธรรมชาติให้สวยงามระยับตา

    เกิดเสียงกรอบแกรบเมื่ออัศมิตาเหยียบลงบนกองใบไม้ที่ทับถมกัน แม้เท้าที่เคยเปลือยเปล่ามาตลอดจะถูกหุ้มด้วยรองเท้าในขณะนี้ ทว่าเด็กชายยังคงแยกแยะสัมผัสของพรมธรรมชาติออกจากถนนหินปูได้อย่างชัดเจน

    “เรามาถึงเขตป่าไม้แล้วอย่างนั้นหรือ”

    “ไม่เชิง นี่เป็นเส้นทางผ่านไปยังที่หมายเท่านั้น” เสียงใสหัวเราะเล็กน้อยราวเคยชินกับการสงวนมารยาท”ปราสาทที่ข้าอาศัยอยู่บนเนินเขา บางมุมที่วิวดีๆหน่อยก็จะเห็นเมืองข้างล่างได้ชัดเจนเลยล่ะ”

    แคลร์อมยิ้มเมื่อเห็นเด็กชายมีท่าทีตื่นเต้นกับสิ่งที่เธอบรรยายให้ฟังแม้ว่าดวงตาทั้งสองจะมืดบอดสนิท ใบหน้าที่เต็มเปี่ยมด้วยจินตนาการไม่ต่างอะไรไปจากผู้ที่มีสายตาปกติแม้แต่น้อย

    เสียงของโทรจิตจากเด็กหญิงผู้อยู่ห่างออกไปดังก้องในหัวของแคลร์ด้วยน้ำเสียงราวเพิ่งนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้”ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม ทำไมท่านถึงไม่ไว้ใจสาวใช้คนที่ชื่อมารีล่ะ”

    ภาพของหญิงสาวผมดำผุดขึ้นในความทรงจำ ทั้งรอยยิ้มหวานหมดจดที่คลับคล้ายการสวมหน้ากากในละครเวที การเข้าหามาร์เซลีนผู้เป็นยายมากอย่างผิดวิสัยหญิงรับใช้ทั่วไป สายตาแปลกประหลาดเวลามองมายังตัวเธอที่ยิ่งหนักข้อขึ้นหลังจากการเสียชีวิตที่ยากจะลืมเลือน แม้แคลร์สามารถเลือกที่จะไม่ตอบคำถามนั้นได้ ทว่าความขุ่นเคืองใจนั้นกลับทำให้เธอยอมเปิดปากออกไป

    “เพราะข้าคิดว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นสายให้กับท่านพ่อ”

     

     

     

    ทำไมเด็กคนนั้นต้องเหมือนกับท่านมาร์เซลีนขนาดนี้

     

     

    หญิงสาวผมสีดำทอดสายตามองผ่านกระจกหน้าต่างบานใหญ่ริมทางเดินไปยังเมืองเบื้องล่างที่ดูมีขนาดเล็กจ้อยคล้ายของเล่น ก่อนริมฝีปากบางจะยกเป็นรอยยิ้มที่ไม่อาจคาดเดาได้

    “คุณมารีคะ...”เด็กสาวผอมสูงเก้งก้างวัยราวสิบสามปีเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม สองมือถือกองผ้าสีแดงลวดลายหรูหราซึ่งถูกพับเป็นระเบียบเรียบร้อย

    “อ้าว ลูซี กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่”เจ้าของชื่อหันไปตามเสียงเรียกทัก สีหน้าเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสมบูรณ์แบบราวถูกตั้งค่าด้วยกลไกบางอย่าง

    “ข้าเพิ่งมาถึงเมื่อเช้านี่เองค่ะ คุณแม่ฝากของกลับมาเยอะแยะเลย...”ความรู้สึกบางอย่างก่อตัวขึ้นในอกของมารีเมื่อได้ยินคำแสดงความอบอุ่นจนเป็นผลให้มือข้างที่แนบลำตัวกำแน่นขึ้น ทว่าเด็กสาวผมสีบลอนด์เทาไม่ทันได้สังเกต”ไว้ข้าเสร็จงานวันนี้แล้ว คุณมารีก็มาทานด้วยกันสิคะ”

    กล้ามเนื้อบนใบหน้าเจ้าของรอยยิ้มหมดจดแข็งตึงอย่างน่าประหลาดราวกับต้องใช้ความพยายามมากขึ้นเพื่อรักษารอยยิ้มนั้นไว้”จ้ะ เจ้ายังคงเป็นเด็กใจดีดังเช่นเคยเลย”

    “งั้นข้าไปก่อนนะคะ”รอยยิ้มสดใสดังเช่นแสงแดดในวันอากาศดีถูกมอบให้กับฝ่ายตรงข้าม ความเบิกบานอารมณ์เป็นผลให้ขายาววิ่งจากไปอย่างกระโดกกระเดกคล้ายม้าดีดกะโหลก

     

    ถ้าท่านปิแยร์มาเห็นท่าทางแบบนั้นเข้าคงไม่ชอบใจแน่ๆ

     

    หญิงสาวใช้ปลายนิ้วสัมผัสความสากกร้านของฝ่ามืออันเป็นร่องรอยเลือนรางถึงอดีตในวัยเยาว์ ก่อนจะเลื่อนไปยังผ้าที่มีเศษฝุ่นเกาะเล็กน้อยจากการเช็ดถูทำความสะอาดของในตู้ใบใหญ่

     

    นานแค่ไหน...ที่ข้าอยู่รับใช้ในปราสาทหลังนี้มา

     

    ร่างเล็กกำลังหันไปยังตู้จัดแสดงฝั่งกระจกที่ของภายในยังไม่ได้รับการเช็ดฝุ่นออก ขณะที่ภายนอกหน้าต่างเกิดสายลมพัดผ่านอย่างต่อเนื่อง เป็นผลให้ใบไม้สีส้มทองร่วงหล่นจากลำต้นและปลิวไปตามสายลมอย่างอิสระ

     

    โรยรา

    ไม่ต่างไปจากชีวิตคน

     

    ความทรงจำในฤดูใบไม้ร่วงเมื่อครั้งหลายปีก่อนไหลประดังเข้ามาในหัวดั่งสายน้ำหวนคืนย้อนกลับ

     

    “เป็นอะไรไปน่ะมารี”สายตาของผู้ชักชวนให้เด็กสาวมาทำงานก้มลงมองร่างเล็กที่งอตัวสั่นเทิ้มเพราะสะอื้นไห้ นัยน์ตาสีม่วงเปี่ยมไปด้วยความเป็นห่วงเป็นใย

    นัยน์ตาสีน้ำตาลทองที่บัดนี้บวมและแดงก่ำจากการร้องไห้อย่างหนักเงยขึ้นหาต้นเสียง“ท่านหาข้าเจอตลอดเลย”

    “เล่ามาหน่อยได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”หญิงสาวย่อตัวลงให้อยู่ในระดับเดียวกับอีกฝ่าย ชายกระโปรงสีชมพูคล้ายขนมเค้กลู่ลงตามการขยับ”เจ็บป่วยไม่สบายตรงไหน หรือว่ามีใครรังแกเจ้า”

    เรือนผมสีดำดุจถ่านไม้เผาขยับตามจังหวะการส่ายหน้าเล็กน้อย ก่อนเสียงหวานจะพูดอู้อี้แทรกเสียงสะอื้นฮักของตน”ข้าไม่มีแม่แล้ว...”พลันน้ำตาที่ดูเหมือนเหือดแห้งก็กลับเอ่อล้นท่วมความเศร้าโศกในดวงตานั้นอีกครั้ง”ข้าเพิ่งได้รับจดหมายจากท่านหมอ...แม่เสียไปได้สองสามวันก่อนหน้านี้”

    ริมฝีปากบางถูกกัดเพื่อควบคุมไม่ให้เสียงของตนดังลั่นจนบ่าวรับใช้อื่นเอะใจ ประกายในดวงตาของเด็กสาววัยสิบสี่แสดงถึงความโหยหาอย่างประหลาดขณะเจ้าตัวพยายามข่มไว้ไม่ให้สังเกตเห็น

    “ข้าเสียใจกับเรื่องนั้นด้วยจริงๆ”อ้อมแขนอบอุ่นของหญิงสาวนามมาร์เซลีนโอบกอดร่างเล็กไว้อย่างต้องการปลอบประโลม ขณะสัมผัสถึงแรงสั่นสะเทือนจากตัวของอีกฝ่าย”ร้องออกมาเถอะ ต่อให้หมดน้ำตาก็ยังดีกว่าจะต้องเก็บความเศร้าไว้คนเดียวนะ”

    “ขอโทษ...ที่ท่านต้องมารับรู้เรื่องนี้”เด็กสาวสะอื้นจนตัวโยน”ข้ามันอ่อนแอ...”

    “ถ้ารู้ว่าตัวเองอ่อนแอ...พอผ่านพ้นเรื่องนี้ไปก็ต้องเข้มแข็งขึ้นให้ได้”น้ำเสียงของมาร์เซลีนราวกับมีเวทมนตร์สะกดให้ความปวดร้าวในอกทุเลาลง”แม้ข้าอาจทดแทนแม่ของเจ้าให้ไม่ได้ แต่หากมีเรื่องอะไรทุกข์ใจ...ก็บอกมาเถอะนะ”ความอ่อนโยนปรากฏขึ้นในรอยยิ้มขณะมือนุ่มลูบลงไปบนศีรษะของเด็กสาว

    คล้ายความอบอุ่นจากผู้เป็นมารดา

     

    หญิงสาวใช้ข้อมือปาดหยาดน้ำตาร้อนผ่าวที่ผุดขึ้นบนดวงตาก่อนที่จะสวมหน้ากากแห่งรอยยิ้มดังเช่นปกติ

     

    ข้าคิดถึงท่านเหลือเกิน

    ท่านมอบสิ่งต่างๆให้ข้าจนไม่อาจทดแทนไหว

    มีเพียงสิ่งนี้ที่ข้าอาจพอช่วยสานต่อได้

     

     

     

    ลวดลายรูปแจกันและดอกไม้ที่แผ่ขยายออกไปโดยรอบของโต๊ะทำงานฝาพับดึงดูดความสนใจของร่างเล็กไว้ แม้จะเป็นเพียงความรู้สึก ทว่าบางอย่างทำให้แพทริเซียนึกสังหรณ์ใจถึงเบาะแสความเกี่ยวข้องระหว่างมาร์เซลีนและตัวเธอ

    “ท่านแคลร์ ขอฉันดูของในโต๊ะทำงานของท่านมาร์เซลีนจะได้ไหม”

    “ได้สิ”เสียงใสจากอีกฝ่ายฟังดูแปลกใจเล็กน้อย”ตอนท่านยายยังอยู่ข้าเคยมาเล่นหาของบ่อยๆ แต่ตอนนี้คงจะไม่มีอะไรที่เป็นของสลักสำคัญมากอยู่ในนั้นแล้ว”

    เด็กหญิงส่งคำขอบคุณผ่านไปทางโทรจิตขณะก้าวอย่างระมัดระวังไปยังเส้นทางของเป้าหมาย แพทริเซียลูบพื้นผิวของไม้หนาอย่างแผ่วเบา ความมันเงาไร้ฝุ่นบ่งบอกถึงการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีแม้เจ้าของจะลาจากโลกนี้ไปแล้ว

    “เอาล่ะ”นัยน์ตาสีม่วงพินิจมองโต๊ะใหญ่อย่างพิจารณาพร้อมยกแผ่นไม้ส่วนเขียนหนังสือที่ถูกพับเก็บไว้ลง ปรากฏลิ้นชักใส่ของเล็กๆด้านหน้าพื้นที่ทำงานขึ้นทั้งด้านซ้ายขวา แพทริเซียเปิดลิ้นชักออกสำรวจทีละชั้นขณะที่ความผิดหวังสะท้อนในแววตาเมื่อพบเพียงร่องรอยว่าครั้งหนึ่งเคยมีสิ่งของวางอยู่ภายในเท่านั้น เป็นผลเช่นเดียวกับลิ้นชักใหญ่สองชั้นล่าง

     

    แคลร์คงพูดถูก

    ไม่มีของอะไรเหลือไว้แล้วจริงๆ เก็บเรียบหมดเลย

    เหลือแค่ที่เดียวแล้วที่ยังไม่ได้หา....

     

    แพทริเซียเบนสายตาไปยังความหวังสุดท้าย...ลิ้นชักชั้นแรกใต้พื้นที่วางของ

    มือเล็กดึงห่วงจับโลหะให้เลื่อนออก เผยให้เห็นพื้นที่โล่งภายในที่ไร้ซึ่งสิ่งใดนอกจากซองจดหมายเพียงสองฉบับและฝุ่นที่จับอยู่บนพื้นผิวเล็กน้อย

     

    ดูเหมือนใครก็ตามที่ทำความสะอาดห้องน่าจะไม่ได้ยุ่งกับของในลิ้นชักนี้ล่ะนะ

     

    แพทริเซียหยิบจดหมายทั้งสองขึ้นมาอย่างทะนุถนอมพลางพินิจดูเนื้อกระดาษของซองจดหมายที่ยังไม่ทันเปลี่ยนเป็นสีเหลืองดังเช่นตำราเก่าคร่ำคร่า ส่วนผนึกซองด้านหลังถูกละลายปิดไว้ด้วยครั่งและประทับตราลงด้านบน

    ma soeur jumelle”ความประหลาดใจปรากฏอยู่ในเสียงใสราวกระดิ่งลมพร้อมเลิกคิ้วเรียวขึ้นขณะอ่านข้อความภาษาฝรั่งเศสซึ่งถูกเขียนด้วยลายมือเป็นระเบียบเรียบร้อยบนหน้าซองฉบับหนึ่ง

     

    ฝาแฝดผู้หญิง...งั้นเหรอ

     

    เด็กหญิงไม่รอข้า เธอวางจดหมายอีกฉบับหนึ่งไว้บนโต๊ะก่อนเปิดอีกหนึ่งซองจดหมายอย่างระมัดระวังให้เกิดความเสียหายโดยน้อยที่สุด มือนุ่มเนียนดึงแผ่นกระดาษขาวซึ่งถูกพับอย่างประณีตซ่อนอยู่ในซองจดหมายขึ้นคลี่อ่านในใจ

     

    Ma soeur jumelle

     

    นัยน์ตาสีอเมทิสต์หรี่ลงเมื่อพบว่าบรรทัดถัดมาถูกเขียนด้วยภาษาโรมาเนียอันเป็นภาษาแม่

     

    ขอโทษที่ไม่ได้เขียนถึงมาตั้งนาน โครีนา หวังว่าตอนนี้เธอจะสบายดี จริงๆฉันมีคำถามในหัวที่อยากจะถามเธอเต็มไปหมดจนไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง แต่ว่าก่อนอื่นลูกสาวของเธอ...มาร์กาเรตาใช่ไหม ตอนนี้คงจะโตเป็นสาวงามแล้ว

     

    นี่มัน...ชื่อของแม่นี่นา ถ้างั้นคุณมาร์เซลีนก็คือ

     

    นัยน์ตาสีม่วงสั่นระริกเมื่อได้ค้นพบความจริง ขณะรอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นบนริมฝีปากได้รูปเหมาะเจาะนั้น

     

    ฉันล่ะอยากเห็นหน้าหลานตัวเองสักครั้งมากๆเลย ไม่อยากจะอวดหรอกนะ ฉันเองก็ได้ลูกสาวเหมือนกัน ชื่อลูอิส เธอเป็นเด็กน่ารัก เสียดายที่เธอตายไปเมื่อหลายปีก่อนหลังจากแคลร์...หลานสาวของฉันเพิ่งเกิดได้ไม่นาน เด็กน้อยที่น่าสงสาร ปิแยร์พ่อของเด็กคนนั้นก็เข้าตำรามนุษย์ชนชั้นสูงเจ้ากี้เจ้าการที่เธอเคยบ่นให้ฉันฟังตอนเรายังเด็ก ไม่อยากจะยอมรับเลยว่าหลังจากที่ฉันแต่งงานออกมาจากเดเนบแล้วก็แทบไม่เคยมีโอกาสได้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดเลยสักครั้ง ตอนนี้โลกแห่งการเรียนรู้ที่ไม่เคยหยุดนิ่งคงจะพัฒนาไปไกลจนฉันตามไม่ทันแล้วล่ะสิเนี่ย...ฮะฮะ

    ทางฝั่งมนุษย์ที่ฝรั่งเศสก็มีเหตุการณ์หลายอย่างเกิดขึ้นเหมือนกัน ฉันได้เรียนรู้อะไรๆมามากเลย ทั้งเรื่องที่เด่นชัดอย่างมารยาทชนชั้นสูงที่ต้องวางตัวให้สง่างามจนน่าอึดอัด(ไม่เหมือนกับจอมเวทอย่างเราที่ตระกูลใหญ่ไม่ได้พิเศษกว่าชาวบ้านเขานัก) การแต่งตัวหรูหราจนบางทีดูตลกแปลกๆ ใส่น้ำหอมกลบกลิ่นแทนการอาบน้ำ แต่เรื่องที่แฝงตัวอยู่...คือการแบ่งชนชั้นเพื่อแสวงหาผลกระโยชน์จนก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียมในสังคมขึ้น ถ้าเรื่องมันเป็นแบบนี้ต่อไปสักวันคงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงจากสิ่งที่สะสมในหมู่ชนชั้นล่างแน่ๆ พวกเขาเหมือนเป็นผู้อยู่เบื้องหลังแต่กลับได้รับการปฏิบัติอย่างโหดร้าย ถูกเหยียดหยาม ถูกขูดรีดภาษีเพื่อค่าใช้จ่ายฟุ้งเฟ้อด้านบน นั่นทำให้ฉันฉุกคิดขึ้นมาได้ว่าถ้าเกิดพวกเขาได้รับโอกาส ได้รับการศึกษาและปัจจัยพื้นฐานอย่างเท่าเทียมก็จะทำให้มีบุคลากรคุณภาพมาช่วยในการพัฒนาประเทศได้...คงต้องเริ่มที่ทัศนคติของคนชั้นสูงทั้งหลายก่อน น่าเสียดายที่ฉันคงไม่มีโอกาสได้เห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ แต่ฉันเชื่อว่าคนที่ฉันฝากฝังเรื่องนี้ไว้จะต้องสานต่อได้

     

    ลายเส้นของตัวอักษรในช่วงสุดท้ายดูแปลกไปราวกับถูกเขียนเพิ่มด้วยมือสั่นเทาเล็กน้อย มีรอยยับคล้ายถูกแรงกดนิ้วขณะถือขึ้นอ่าน

     

    เอาล่ะ พูดมาเยอะแล้ว สุดท้ายก็ยังไม่กล้าส่งไปหาเธออยู่ดี ขอโทษที่ทำให้เธอไม่พอใจในวันนั้น เรื่องการแต่งงานก่อนเกณฑ์ของจอมเวทก็ด้วย เธอเองก็คงโกรธที่ฉันไม่ยอมไปหาเหมือนกัน มาพูดตอนนี้คงจะสายไปแล้วใช่ไหม ถ้าเลือกได้ฉันเองก็อยากเกิดมาเป็นฝาแฝดกับเธออีกนะ แต่ไม่รู้ว่าเธอจะยังอยากเห็นตัวฉันอีกหรือเปล่า

     

    ด้วยความคิดถึง

    มาร์เซลา

     

    คิ้วเรียวขมวดเป็นปมด้วยงุนงงขณะสายตาเลื่อนมาถึงชื่อผู้ส่งในบรรทัดสุดท้าย

     

    ทำไมคุณมาร์เซลีนถึงใช้ชื่อมาร์เซลาล่ะ

    ที่ใช้ภาษาโรมาเนียก็คงเพราะไม่อยากให้ใครรู้เนื้อหาในจดหมายก่อน

    แต่ทำไมถึงเขียนหน้าซองด้วยภาษาฝรั่งเศสกันนะ

     

    แพทริเซียสูดกลิ่นจางๆของกระดาษขณะที่พับเก็บตามรอยเดิมและสอดจดหมายกลับเข้าไปในซอง ด้วยพลังเวทที่เริ่มฟื้นฟูขึ้นมาเพียงพอที่จะใช้เวทเล็กน้อยได้ เด็กหญิงจึงกำหนดสมาธิให้พลังเวทของตนช่วยยึดปลายด้านบนให้ทับกับส่วนซองด้านล่างจนสนิท เป็นการปิดผนึกจดหมายซ้ำอีกครั้ง

    เสียงใสพึมพำในลำคอขณะวางจดหมายกลับไปยังที่เดิม“เรียบร้อย ต่อไปก็...”เด็กหญิงชะงักเมื่อพลิกเห็นชื่อที่ถูกเขียนบนหน้าจดหมายอีกซอง

     

    ถึงแคลร์ที่รัก...งั้นเหรอ

    แปลกแฮะ

    ทั้งที่ดูเป็นคู่ยายหลานที่สนิทกันดีแท้ๆ ทำไมไม่ยื่นให้ตั้งแต่ก่อนตายเลยล่ะ

     

    แพทริเซียสำรวจจดหมายซึ่งไร้ร่องรอยการเปิดอ่านก่อนตัดสินใจส่งโทรจิตไปยังผู้เป็นเจ้าของจดหมายที่แท้จริงในเวลานี้

    “ฉันเจอจดหมายในลิ้นชักสองฉบับ ท่านแคลร์รู้เรื่องนี้บ้างหรือเปล่า”

    “ไม่เลย ตั้งแต่ท่านยายเสียไป...ข้าก็ไม่ได้เปิดดูลิ้นชักของโต๊ะตัวนั้นอีก นึกว่าคนที่เข้ามาทำความสะอาดจะไม่เหลืออะไรไว้ให้แล้ว”เสียงที่เหมือนกันราวฝาแฝดฟังดูงุนงงเล็กน้อยเมื่อได้ฟังเรื่องราวจากอีกฝ่าย”จดหมายพวกนั้นเขียนถึงใครบ้าง”

    “ฉบับแรกเขียนถึงฝาแฝด ส่วนอีกฉบับที่ฉันไม่ได้เปิดเขียนถึงท่าน”เสียงใสตอบเรียบๆ”ท่านมาร์เซลีนเคยเหมือนจะมีความลับที่ไม่ได้บอกท่านอยู่บ้างไหม”

    “แปลกจริง ปกติท่านยายกับข้าเปิดใจคุยกันตลอด”แม้เด็กหญิงต่างชาติไม่เห็นใบหน้าก็พอคาดเดาได้ว่าขณะนี้คู่สนทนากำลังตกอยู่ในความสับสน”วันที่ท่านยายจากไป ข้าก็ได้รับคำสั่งเสียจากท่านแม้ว่าจะต้องไปงานเลี้ยงเต้นรำจนทำให้พลาดโอกาสอยู่เคียงข้างท่านในช่วงเวลาสุดท้าย เมื่อข้ากลับมาถึงปราสาท...ท่านยายก็จากไปแล้ว”เสียงท้ายประโยคสั่นเครืออย่างคับแค้นใจในตัวเอง

    ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจผุดขึ้นเมื่อได้ฟังเรื่องราวที่สายเกินกาล“ฉันเสียใจด้วยจริงๆ...การไม่อยู่ในช่วงวาระสุดท้ายของคนที่ตัวเองผูกพันที่สุดเป็นเรื่องเลวร้ายมาก ถ้างั้นจะเก็บไว้รอท่านกลับมาเปิดเองน่าจะดีกว่า”

    “เจ้าเปิดอ่านก่อนเถอะ ข้าคงยังไม่สามารถข่มใจตนเองให้อ่านสิ่งที่ท่านยายเขียนได้ในเวลานี้”เสียงอ่อนระโหยสะท้อนก้องในหัวแพทริเซีย”หากได้ความอย่างไรก็นำมาบอกข้าด้วยแล้วกัน”

    ทรวงอกของเด็กหญิงผ่อนลงจากการถอนหายใจเล็กน้อยด้วยนึกถึงความรู้สึกของผู้สูญเสียดังที่เคยเกิดขึ้นกับตนในอดีตได้ขณะเปิดจดหมายซึ่งถูกครั่งประทับปิดไว้อย่างเบามือ พลันนัยน์ตาเบิกกว้างขึ้นเมื่อหยิบแผ่นกระดาษที่อยู่ภายในออกอ่านไล่สายตาไปตามตัวอักษรอย่างรวดเร็ว

    รอยยิ้มจางผุดขึ้นบนริมฝีปาก ส่งผลขับเน้นใบหน้างดงามให้โดดเด่นยิ่งขึ้นจนคล้ายภูตพราย

    “ขอโทษด้วย ฉันคิดว่าท่านมาร์เซลีนคงอยากให้หลานเป็นคนอ่านจดหมายฉบับนี้ด้วยตัวเองมากกว่า”

     

     

     

    สัมผัสของใบไม้ใต้เท้าหนาแน่นขึ้นเมื่อเด็กน้อยทั้งสองเปลี่ยนเส้นทางจากถนนมาสู่ผืนป่าเหลืองส้ม ทิวทัศน์งดงามตามฤดูกาลคล้ายถูกจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่รังสรรค์ปั้นแต่งอย่างพิถีพิถัน สายตาของเด็กหญิงกวาดมองไปรอบๆอย่างอัศจรรย์ใจ

    “สวยจริง ข้าอยากมีโอกาสได้วาดรูปสถานที่แห่งนี้สักครั้ง”เสียงของแคลร์ฟังดูคล้ายล่องลอยอยู่ในห้วงฝัน

    “ท่านสามารถวาดรูปได้ด้วยอย่างนั้นหรือ”อัศมิตาเงยหน้าขึ้นตามทิศทางของเสียงขณะนึกถึงคุณสมบัติของช่างจิตรกรรมที่ตนเคยได้ยินเมื่อครั้งสมัยอยู่อินเดีย

    “ได้สิ อย่างที่เล่าให้ฟังว่าท่านพ่อให้ข้าฝึกหนักเพื่อแข่งกับเป้าหมายให้ได้”เสียงใสแสดงความท้อแท้ใจเมื่อนึกถึงเรื่องของตน”ทั้งมารยาท วาดรูป งานฝีมือ ความรู้ ปรัชญา บทกวี ทุกอย่างต้องออกมาดีที่สุดเพื่อที่จะเป็นหน้าเป็นตาแก่วงศ์ตระกูล”

    “ท่านคงต้องเผชิญกับความเหน็ดเหนื่อยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา...”เสียงเล็กเอ่ยขึ้นอย่างเห็นอกเห็นใจราวกับดูดซับความรู้สึกของเด็กหญิงไว้เช่นฟองน้ำ

    แคลร์มีความรู้สึกว่าอุณหภูมิในมือของฝ่ายตรงข้ามสูงขึ้น เด็กหญิงจึงหยุดเดินลงชั่วครู่ด้วยความประสงค์จะวัดไข้ มือเล็กเสยเรือนผมสีทองของอีกฝ่ายขึ้นก่อนจะวางลงบนหน้าผากได้รูปสวย

    “ยังไม่ถึงกับร้อนจัดแต่ก็เริ่มอุ่น”มือเล็กถูกถอนไปจากหน้าผากของเด็กชาย”ถ้าเกิดว่าเส้นทางข้างหน้ามีอุปสรรคอย่างการปีนป่ายหรือวิ่งไปมาเพื่อหลบคนจะไหวแน่หรือ”

    แม้ความกังวลที่เต้นตึกตักอยู่ในอกจะถูกอีกฝ่ายแทงใจดำเข้าอย่างจัง ทว่าเด็กชายยังคงยืนยันที่จะพยายามต่อไป”ไหว เราจะต้องไปหาแพทริเซียให้ได้”

    นัยน์ตาสีม่วงสะท้อนแววเป็นห่วงขณะที่เสียงก้องจากโทรจิตดังขึ้นขัดจังหวะในหัว

    “ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตอนที่ทดสอบเรื่องพลังคอสโม ท่านปิแยร์กับท่านอองรีพูดถึงเรื่องอควาเรียสเซนต์กับเทพีอาเธน่าด้วย หมายความว่ายังไงเหรอคะ”

    “ท่านพ่อพูดเรื่องนั้นอีกแล้วหรือ”แคลร์ตอบกลับไปอย่างอ่อนล้าขณะจูงมืออัศมิตาให้ข้ามผ่านรากไม้ใหญ่ที่ขวางทาง”เซนต์คือนักรบในนามของแปดสิบแปดกลุ่มดาว...มีหน้าที่หลักคือปกป้องอาเธน่าและรักษาความสงบสุขของโลก แบ่งเป็นสามระดับใหญ่ๆคือบรอนซ์เซนต์ ซิลเวอร์เซนต์ และสุดท้ายคือโกลด์เซนต์”

    “แล้วอควาเรียส...เป็นหนึ่งในโกลด์เซนต์สินะ แบ่งตามราศีเกิดใช่ไหม”เสียงใสฟังดูสุขุมรอบคอบขึ้นในเวลาคิดวิเคราะห์

    แคลร์เผลอพยักหน้าหนึ่งครั้ง ทว่าด้วยเพราะป่ากว้างแห่งนี้ไร้ซึ่งผู้คนจึงไม่คิดสนใจ”ใช่ คุณสมบัติหนึ่งของโกลด์เซนต์คือการมีวันเกิดตรงกับตำแหน่งราศีที่ตัวเองประจำอยู่ และเพราะเป็นเซนต์ระดับสูงสุด ผู้ที่ดำรงตำแหน่งนี้มักถูกเลือกสรรให้ฝึกกับโกลด์เซนต์คนอื่นมาก่อนหน้า...และการคัดเลือกผู้ที่จะดำรงตำแหน่งอควาเรียสคนต่อไปเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้”

    “ดูอลังการดี ที่ว่าคัดเลือกตามราศีน่ะ...ท่านเองก็อยู่ในราศีกุมภ์เหมือนกันเหรอ”แคลร์สัมผัสได้ถึงความอัศจรรย์ใจในน้ำเสียงของแพทริเซีย”ฉันเกิดวันที่สิบหกเดือนกุมภาพันธ์”

     

    ข้าไม่เคยคิดมาก่อนเลย

    ว่าความบังเอิญบนโลกจะซ้ำซ้อนกันได้ถึงเพียงนี้

     

    “ข้าเกิดวันที่สิบเอ็ดเดือนเดียวกัน แปลกจริง นอกจากใบหน้าแล้ว...วันเกิดของพวกเรายังใกล้เคียงกันอีกด้วย”น้ำเสียงอมยิ้มถูกส่งผ่านไปทางโทรจิต

    “นั่นสินะ”น้ำเสียงของคู่สนทนาแฝงไปด้วยรอยยิ้มจางๆก่อนจะเปลี่ยนไปยังอีกประเด็น“แล้วจากที่ท่านปิแยร์พูด..คนที่มาคัดเลือกใช่ท่านเครสต์หรือเปล่า”

    “ถูกต้อง และคนที่ได้เป็นอควาเรียสเซนต์คนต่อไปคือเด็กผู้ชายจากตระกูลลูมิแยร์ที่แก่กว่าข้าหนึ่งปี”ใบหน้างดงามถูกฉาบทาด้วยความไม่สบายใจจนคล้ายพระจันทร์อันหลบเร้นในเมฆ”ท่านพ่อโกรธมากที่ข้าทำไม่ได้ และยิ่งเกลียดความคิดเรื่องที่จะเข้าไปช่วยเหลือผู้ยากไร้เข้าไปอีก...จนหลายครั้งข้าเกิดความรู้สึกน้อยใจท่าน...และท้อแท้ในการสืบต่อเจตนารมณ์ของท่านยายขึ้นมา”

    “การไม่ได้เป็นเซนต์อควาเรียสไม่ใช่ความผิดของท่านหรอกนะ ฉันเชื่อว่าท่านคงพยายามเต็มที่แล้ว”เสียงจากในโทรจิตดังขึ้นอย่างปลอบประโลม อบอุ่น และอ่อนโยนเกือบจะเท่ากับในความทรงจำ”ในเมื่อผลออกมาอย่างนี้ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้ แต่ทักษะต่างๆที่ท่านฝึกมาก็ยังติดตัวอยู่และอาจได้ใช้ประโยชน์ในอนาคตไม่ใช่หรือไง”

    เด็กหญิงร่างสูงมองไปยังเส้นทางเบื้องหน้าอันใกล้เข้าไปถึงเป้าหมายแรกของแผนการขึ้นทีละนิดด้วยสายตาที่ราวกับบางสิ่งถูกเติมเต็ม

    “ต่อให้วันนี้ท่านจะต้องอดทนกับทุกอย่างที่ยังไม่เป็นใจให้ท่านสืบต่อความคิดของท่านมาร์เซลีน แต่รักษาความมุ่งมั่นในใจไว้เถอะ สักวันนึงเมื่อผ่านบททดสอบจิตใจพวกนั้นมาได้ก็จะเป็นสิ่งที่ทำให้ท่านแข็งแกร่งและยืนหยัดต่อสู้เพื่อเป้าหมายที่ต้องการ”

    “ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ผลักดันให้ก้าวไปข้างหน้าขอให้ทำเต็มที่.....”

    “.......ในฐานะของตัวเจ้าเอง”

    ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินประโยคที่คล้ายคลึงกับสิ่งที่มาร์เซลีนผู้ล่วงลับเคยกล่าวไว้ ก่อนจะรู้สึกถึงความร้อนผ่าวบริเวณขอบตา”....เจ้าทำให้ข้าคิดถึงท่านยายขึ้นมา”

    ร่างเล็กหันไปกล่าวเตือนแก่เด็กชายตาบอดก่อนก้มหัวหลบกิ่งของต้นไม้ที่อยู่ใกล้เคียงระยะศีรษะ มือเนียนข้างที่เป็นอิสระแหวกม่านใบไม้สีส้มแดงด้านหน้าออกให้เห็นพื้นที่เบื้องหน้า ต้นไม้โดยรอบดูบางตาเล็กน้อยล้อมรอบกำแพงอาณาเขตปราสาทที่ถูกดูแลจนใหม่เอี่ยมคล้ายสร้างเสร็จไม่นาน ก่อนเด็กหญิงจะหยุดลงตรงหน้าต้นไม้ใหญ่ซึ่งอยู่เกือบชิดขอบกำแพง ลำต้นและกิ่งก้านดูแข็งแรงพอจะรับน้ำหนักได้

    “เรามาถึงแล้วอย่างนั้นหรือ ต้องทำเช่นไรต่อไป”เจ้าของเรือนผมสีทองผู้มีใบหน้างดงามราวรูปสลักเอ่ยถามผู้นำทาง

    ริมฝีปากสีชมพูระเรื่อเม้มลงอย่างอึดอัดใจจะอธิบายก่อนจะเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้าชัดถ้อยชัดคำ”ก่อนอื่นเราจะต้องปีนต้นไม้ต้นนี้ข้ามกำแพงไปอีกฝั่งที่เป็นบริเวณของปราสาท จุดนี้เป็นจุดที่การเฝ้าระวังน้อยที่สุดแล้วในเวลากลางวัน ข้างล่างเป็นกองใบไม้สูง...ถึงร่วงลงไปก็ไม่เป็นอะไรมาก”เด็กหญิงจับมือข้างที่ว่างของอัศมิตาให้สัมผัสกับพื้นผิวหยาบสากของต้นไม้

    อัศมิตากลืนน้ำลายเหนียวฝืดลงคอด้วยความหวาดเสียงขณะเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ”เราปีนต้นไม้ไม่เป็น”

    “ลองพยายามดูก่อนเถอะอัศมิตา ข้าจะสอนวิธีแล้วก็คอยระวังให้เจ้าเอง”เด็กหญิงเบนสายตาของตนไปยังลำต้นที่มีขนาดพอเหมาะแก่การปีน”แต่ถ้าเจ้าไม่ต้องการปีนหรือปีนไม่ได้จริง ข้าจะพาเจ้าไปส่งที่โรงแรมเอง”

    ความคิดในหัวของอัศมิตาตีกันอยู่ชั่วครู่ก่อนจะสรุปออกมาเป็นคำพูดอย่างไม่มั่นคง

    “ตกลง เราจะ..ปีน”

    “ต่อจากนี้ข้าอาจไม่ได้จับมืออัศมิตาในท่าเดิมตลอดเวลา เพราะฉะนั้นจึงจะขอคืนแผ่นไม้นี้ให้เขาก่อน”แคลร์ส่งคำพูดของตนให้ปลายทางได้รับทราบ

    “เอาเถอะ เข้าใจแล้ว”แพทริเซียตอบรับสั้นๆ

    แคลร์ดึงมือของตนออกพร้อมแผ่นไม้อย่างนุ่มนวล นัยน์ตาสีม่วงไล้ไปตามลวดลายแกะสลักสวยงามเป็นครั้งสุดท้ายก่อนส่งคืนให้เด็กชาย”เจ้าเก็บสิ่งนี้ไว้ก่อนเถอะ หากถือไปด้วยขณะปีนคงลำบาก”

    มือผอมบางควานเปะปะและรับแผ่นไม้กลับมาใส่ลงในกระเป๋ากางเกงดังเดิมขณะโสตสัมผัสตั้งใจฟังการอธิบายของเด็กหญิงสูงศักดิ์อย่างละเอียด รู้สึกถึงจังหวะหัวใจที่เต้นโครมครามราวกับจะหลุดออกจากอกด้วยหวั่นวิตก

    “เข้าใจสิ่งที่ข้าอธิบายหรือเปล่า”เสียงที่คล้ายคลึงกับแพทริเซียราวฝาแฝดเอ่ยถาม

    เด็กชายพยักหน้าสั้นๆด้วยรู้สึกว่าริมฝีปากของตนแห้งผากเกินกว่าจะกล่าวสิ่งใดออกมาได้ ขณะแคลร์ที่ปีนขึ้นไปยังจุดหมายกิ่งแรกตามที่ตกลงกันไว้ว่องไวและเงียบเชียบราวกับแมว เท้าผอมบางก้าวออกมาข้างหน้าพลางรู้สึกได้ว่าทุกอณูในร่างกายสั่นระริก ผิวกายที่พลันซีดลงจนคล้ายหิมะขาวพร้อมเหงื่อผุดพราวบนใบหน้าตัดกับอากาศเย็นสบายโดยรอบ ร่างบอบบางสูดหายใจเข้าออกช้าๆเป็นการตั้งสมาธิ ปล่อยให้คำแนะนำของแคลร์และความมุ่งมั่นของตนเป็นเครื่องนำทาง

     

    เรามิได้ทำเช่นนี้ด้วยความคึกคะนอง

    หากแต่ต้องการช่วยแพทริเซียผู้เป็นเพื่อน

     

    เช่นนั้นแล้วอย่าได้หวาดกลัวไปเลย เราจักต้องปฏิบัติตามเป้าหมายของตนให้จงได้

     

    เมื่อความมุ่งมั่นบังเกิดขึ้นในใจจนถึงขีดสุดก็พลันบังเกิดสิ่งแปลกประหลาดขึ้น อัศมิตารู้สึกถึงห้วงของบางสิ่งที่ล้ำลึกแทรกผ่านออกมาจากกาย ร่างหนักอึ้งเมื่อครู่กลับรู้สึกผ่อนคลายลง เท้าที่เหยียบปลายรากเพื่อดันตัวขึ้นไปไร้ซึ่งอาการสั่นเทาดังเช่นครู่ก่อน

    แม้ดวงตาสีฟ้าสดจะยังคงไม่สามารถมองเห็นได้เช่นเดิม ทว่าบางสิ่งที่เกิดขึ้นในตัวส่งผลให้เด็กชายรู้สึกราวกับจะสามารถคาดเดาตำแหน่งสิ่งต่างๆได้ มือและขาทั้งสองประสานกันอย่างน่าตกใจสำหรับเด็กตาบอดที่เพิ่งปีนต้นไม้เป็นครั้งแรก ก่อนที่มือผอมบางจะวางลงไปบริเวณรอยต่อของลำต้นและกิ่งใหญ่

    “เจ้าปีนไวจนข้าไม่อยากจะเชื่อเลย”แคลร์เอ่ยขณะดึงตัวอัศมิตาขึ้นนั่งบนกิ่งใหญ่ที่ตนนั่งอยู่ก่อน

    “เรารู้สึกราวกับบางสิ่งบันดาลให้สามารถรู้ตำแหน่งของวัตถุต่างๆได้ดีกว่าในเวลาปกติ”เสียงเล็กตอบอ้อมแอ้มอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก

    แม้จะรู้สึกสังหรณ์ใจในสิ่งที่เด็กชายพูด ทว่าแคลร์มิได้เอ่ยสิ่งใดเกี่ยวกับเรื่องนั้นออกไป”ต่อไปจะเป็นกิ่งที่อยู่เหนือหัวของพวกเราในตอนนี้”แคลร์เลื่อนมือของเด็กชายไปยังทิศทางของกิ่งไม้ก่อนจะอธิบายวิธีการและจบด้วยน้ำเสียงมั่นคง”...สุดท้ายข้าจะนั่งอยู่บนกำแพงแล้วยื่นมือมาทางเจ้า ขอให้จับมือข้าไว้แน่นๆแล้วข้าจะช่วยให้เจ้าขึ้นมาบนกำแพงได้”

    อัศมิตาพยักหน้ารับขณะรอจังหวะแคลร์ปีนขึ้นไปยังกิ่งไม้ก่อนที่เด็กหญิงจะกระโดดจากไม้กิ่งใหญ่สู่กำแพงอย่างรวดเร็วและพูดให้สัญญาณ“ขึ้นมาได้เลย”

    เด็กชายจับกิ่งไม้เหนือหัวไว้แน่นก่อนสองแขนใช้แรงดันดันร่างตัวเองขึ้นไปนั่งได้สำเร็จด้วยบางสิ่งที่เป็นพลังอยู่ในจิตใจขณะนี้ ร่างผอมบางค่อยๆกระเถิบไปทางปลายกิ่งกระทั่งพบความนุ่มของมือที่ยื่นมาอีกฝั่งจึงจับมือข้างนั้นไว้แน่น ปล่อยให้เด็กหญิงดึงตัวเขาขึ้นมาสู่พื้นผิวหยาบของกำแพงสูง

    “เหลือแค่ลงจากกำแพงก็จะถึงในบริเวณของปราสาทแล้ว”แคลร์เอ่ยพลางเบนสายตาไปยังใบไม้สีส้มกองใหญ่ที่อยู่อีกฟากของกำแพง ขณะหมุนตัวมายังทิศทางของปราสาท

    เด็กชายมีท่าทีไม่แน่ใจอยู่ชั่วครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม“ข-ขอให้ท่านลงไปพร้อมกันได้หรือไม่”

    “หันมาทางตรงข้ามกับตัวเจ้าในตอนนี้ก่อน”นัยน์ตาสีอเมทิสต์มองเด็กชายที่ยกขาแต่ละข้างข้ามผ่านแนวกำแพงอย่างระมัดระวังก่อนจับมือบอบบางนั้นไว้”พอข้านับเสร็จให้กระโดดลงไปพร้อมกัน...หนึ่ง...สอง...สาม”

    เด็กน้อยทั้งคู่กระโดดลงไปบนกองใบไม้ ขณะอัศมิตารู้สึกได้ถึงหัวใจที่หล่นวูบราวกับจะร่วงลงไปกองที่ข้อเท้าพร้อมกับบางสิ่งที่เป็นเหมือนพลังอบอุ่นอยู่ในอกก็พลันมลายไปพร้อมกัน ทิ้งไว้เพียงกลิ่นของป่าและเศษฝุ่นโชยจากกองใบไม้ที่รองรับ มือเล็กสัมผัสแขนเสื้อแห้งหมาดเบาๆ

    แคลร์ลุกขึ้นปัดเศษฝุ่นและใบไม้ออกจากชุดกระโปรงตัวสวยที่มีรอยเลอะเทอะหลายจุด”บางครั้งข้าเองก็รู้สึกสนุกกับการได้ทำอะไรแผลงๆเช่นนี้....”

    ขณะเด็กชายผู้มีรอยยิ้มระบายอยู่บนใบหน้ากำลังจะเอ่ยตอบก็พลันได้ยินเสียงกรุ๋งกริ๋งดังก้องขึ้นในหัว

     

    ลูกกระพรวนงั้นหรือ

    เหตุใดกัน....

     

    ความตกตะลึงเข้าครอบคลุมทั้งใบหน้าเมื่อตระหนักถึงความจริงข้อหนึ่งที่ผู้เป็นเจ้าของแผ่นไม้เคยกล่าวถึงเมื่อครั้งก่อนถึงแผ่นดินฝรั่งเศส

     

    “ถ้าพลังในแผ่นไม้หายไป สีของลูกแก้วตรงกลางจะจางลง แล้วก็จะมีเสียงคล้ายๆกระพรวนดังขึ้นในหัวของคู่สนทนาทั้งสองฝ่าย....”

     

    การสื่อสารของเรากับแพทริเซียได้หายไปครึ่งหนึ่งเสียแล้ว....

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×