คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : แตกต่าง
แพทริเซียและกลุ่มบ่าวรับใช้ก้าวไปตามทางเดินยาวซึ่งปูพรมอย่างดีไว้ตลอด
นัยน์ตาสีม่วงของเด็กหญิงเหม่อมองหมู่เมฆดำนอกหน้าต่างบานใหญ่ตรงทางเดินอย่างเหนื่อยใจ
ทำไมเรื่องมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้
ฝนก็กำลังจะตก
ส่วนฉันเองถึงให้ใช้เวทมนตร์หยุดฝนในตอนนี้ก็ยังไม่มีโอกาสมากพอที่จะทำด้วยซ้ำ
แล้วตอนนี้อัศมิตาจะเป็นไงบ้างนะ
ความวิตกกังวลฉาบทาทั่วนัยน์ตาทั้งสองข้าง ภาพเด็กชายตาบอดที่ถูกรุมทำร้ายอย่างไร้หนทางสู้เมื่อครั้งอยู่อินเดียฉายขึ้นมาในความคิด
“แพทริเซีย...เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง
กลุ่มชายเหล่านั้นลงมือทำร้ายเจ้าหรือไม่”เสียงโทรจิตของอัศมิตาที่เป็นห่วงจากใจจริงยิ่งทำให้ความรู้สึกผิดที่ปล่อยให้เขาดิ้นรนเข้าไปหาจนกระทั่งถูกทำร้ายพอกพูนขึ้นเป็นเท่าทวี
“ไม่หรอก พวกเขายังคิดว่าฉันเป็น’ท่านแคลร์’อยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ”แม้จะเป็นการโทรจิต
ทว่าจังหวะการเน้นเสียงที่ประชดประชันเล็กน้อยทำให้เด็กชายรู้สึกไม่ต่างจากเวลาพูดคุยกันต่อหน้านัก
“แล้วเธอล่ะอัศมิตา แผลที่โดนทำร้ายเมื่อตอนนั้นเป็นอะไรมากไหม”
“เราเคยเจอการทุบตีเช่นเดียวกันในอินเดียมานับครั้งไม่ถ้วน...เช่นนั้นแล้วแผลเพียงเท่านี้จึงไม่รู้สึกเจ็บปวดมากนัก
ขอเจ้าจงสบายใจเถิด”เสียงเล็กที่ดังขึ้นอย่างไร้เดียงสาก่อให้เกิดความรู้สึกหดหู่ขึ้นในใจของเด็กหญิง
นับครั้งไม่ถ้วน...แผลเพียงเท่านี้...
ความรุนแรงไม่ใช่เรื่องที่เด็กคนนึงสมควรจะรู้สึกชินกับมันเลย
“เธอไม่เป็นอะไรแถมเข้มแข็งได้ก็ดีแล้วล่ะ...แต่ว่านะ
สิ่งที่เธอโดนกระทำไม่ว่าจะที่อินเดียหรือที่นี่มันไม่ใช่สิ่งที่ควรปฏิบัติต่อมนุษย์ด้วยกันเอง
อย่าไปซึมซับว่าความรุนแรงแบบนี้เป็นเรื่องปกติเลย”
“เราเข้าใจแล้ว”
เด็กหญิงคาดเดาได้ว่าใบหน้าเจ้าของโทรจิตเมื่อครู่คงหดหู่ไปถนัดตา”ฉันไม่ได้บอกว่าที่เธอทำมันผิดนะ...แค่อยากให้เธอเห็นถึงโทษของเรื่องพวกนั้นเอง”ความรู้สึกผิดปะปนในเสียงใสราวกระดิ่งลม
“งั้นหรือ....”เสียงเล็กฟังดูราวกับกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง”แพทริเซีย...เรามีบางสิ่งที่อยากจะถาม”
เด็กหญิงเผลอพยักหน้า นัยน์ตาสีม่วงเงยขึ้นมองกลุ่มบ่าวรับใช้ก่อนจะถอนหายใจด้วยโล่งอกเมื่อพบว่าไม่มีใครผิดสังเกต”มีอะไรคาใจเธออยู่เหรอ”
“เหตุใดกลุ่มชายเหล่านั้นจึงเรียกเจ้าว่าท่านแคลร์และพาตัวเจ้าออกมากัน...หรือว่านี่คือสิ่งที่เจ้าปิดบังเรามาโดยตลอด”
เอาเถอะ อัศมิตาไม่เห็นตอนที่ฉันชนกับแคลร์เมื่อตอนนั้นนี่
“ใช่ซะที่ไหนกันเล่า ฉันก็คือแพทริเซีย...ไม่เคยชื่อแคลร์หรอกนะ”เสียงที่ก้องดังในหัวของเด็กชายมีจังหวะคล้ายต้องการหยอกเย้า”ที่พวกนั้นเข้าใจผิดเพราะว่าฉันกับแคลร์ดันหน้าตาคล้ายกันแถมยังใส่ชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนเหมือนกันน่ะสิ”
อัศมิตารู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินเสียงใสกล่าวเช่นนั้น“เป็นไปได้อย่างไร
หากไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน...ย่อมมีรูปลักษณ์แตกต่างกันมิใช่หรือ”
“นั่นล่ะที่ฉันสงสัย จะว่าเป็นฝาแฝดก็ไม่น่าใช่”นิ้วเรียวยกขึ้นม้วนปลายผมระหว่างใช้ความคิด
“ฝาแฝดคือพี่น้องที่ถือกำเนิดในครรภ์พร้อมกันและมีรูปลักษณ์เหมือนกันมากใช่หรือไม่...แล้วเพราะเหตุใดตัวเจ้าจึงคิดว่านางมิใช่ฝาแฝดของเจ้ากัน”
“ไม่ใช่ฝาแฝดทุกคู่หรอกนะที่จะหน้าตาเหมือนกัน”แพทริเซียอธิบายเรียบๆ”แต่ที่ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าแคลร์ไม่ใช่แฝดฉันเพราะว่าตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยมีใครพูดถึงเรื่องนี้เลย”
แม้กระทั่งคนที่ไม่จำเป็นจะต้องปิดบังอะไรฉันก็ตาม
“ที่สำคัญฉันยังสัมผัสพลังเวทจากตัวเธอไม่ได้เลยด้วย...ถ้าเราเป็นแฝดกันจริงก็ควรจะมีพลังเหมือนกันทั้งคู่สิ”ร่างเล็กแหงนมองโคมระย้าหรูหราที่อยู่ตำแหน่งเหนือศีรษะของเธอพอดิบพอดี”แถมทางนั้นเองก็คงจะยังไม่รู้เรื่องที่มีคนหน้าเหมือนกันมาก่อน
ตอนที่เธอเห็นหน้าฉันเข้าก็ดูตกใจมากเลยล่ะ”
“ถ้าเช่นนั้นเป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าและนางจะมีบรรพบุรุษคนเดียวกัน”เด็กชายตั้งข้อสันนิษฐาน
“ก็เป็นไปได้นะ ฉันเองก็ไม่เคยรู้ว่าตัวเองจะมีญาติอยู่ที่ฝรั่งเศสนี่หรือเปล่าด้วย”พลันนัยน์ตาสีม่วงเงยขึ้นสบกับรูปภาพของหญิงสูงศักดิ์คนหนึ่งบนผนัง
จริงสิ
ปราสาทของตระกูลผู้ดีพวกนี้น่าจะมีภาพเขียนตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษเรียงกันเป็นแถบด้วยนี่นา
อาจพอมีเบาะแสเรื่องนี้อยู่บ้างก็ได้
เดี๋ยวก่อน เธอจะมาไล่ตามกระต่ายป่าสองตัวในเวลาเดียวกันไม่ได้นะแพทริเซีย
เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือการหนีออกจากที่นี่แล้วกลับไปหาอัศมิตาไม่ใช่หรือไง
“ยังไงก็ช่างเรื่องนั้นก่อนเถอะ
แล้วตอนนี้เธอเป็นไงบ้าง...ถึงโรงแรมหรือยัง”เสียงใสเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยจะนึกสบายใจเท่าใดนัก
“เรายังกลับไปไม่ถึงสถานที่แห่งนั้น”ท่าทีเซื่องซึมถูกแสดงออกผ่านโทรจิตอย่างเห็นได้ชัด
“เธอหลงหรือยังจำเส้นทางได้ไม่หมดสินะ
ทำไมไม่ลองขอให้คนที่ผ่านไปผ่านมาแถวๆนั้นช่วยดูล่ะ”
“เราพยายามแล้ว...แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเดินหลบเลี่ยงออกจากเส้นทางของตัวเรา”น้ำเสียงของอัศมิตาสั่นเครือราวเด็กชายผู้หวาดกลัวการถูกทำร้ายได้ควบคุมตัวเขาอีกครั้ง”และเรายังได้ยินบทสนทนาเกี่ยวกับเรื่องที่เจ้าถูกพาตัวไปอีกด้วย”
พวกมนุษย์...
ขนาดอัศมิตาเป็นมนุษย์ด้วยกันเองแท้ๆทำไมต้องหลบต้องเลี่ยงด้วย
แค่เพราะความพิการหรือข่าวลือว่าเกี่ยวข้องกับแคลร์ก็ไม่ควรเป็นสิ่งที่ทำให้ละเลยความช่วยเหลือกับผู้ที่ต้องการไม่ใช่เหรอ
“เข้าใจล่ะ...ถ้างั้นรอบตัวเธอมีอะไรที่พอจะเป็นจุดสังเกตได้บ้างไหม”แม้จะรู้สึกได้ถึงความขุ่นเคืองใจต่อมนุษย์ที่อัดแน่นอยู่เต็มอก
แต่เด็กหญิงก็พยายามควบคุมให้เสียงในโทรจิตสุขุมและมั่นคงเพื่อปลอบโยนอีกฝ่ายไปในตัว”เช่นสัมผัสของอะไรสักอย่าง
เสียงของผู้คน หรือกลิ่นของสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์”
“สิ่งก่อสร้างที่อยู่บริเวณด้านหน้าของตัวเรานั้นไร้ซึ่งเสียงของผู้คนจากภายในและยังไม่มีกลิ่นใดที่โดดเด่นออกมานัก”เสียงเล็กเอ่ยราวกำลังพินิจพิเคราะห์อยู่”คงจะเป็นบ้านเรือนกระมัง”
“ทางที่เราผ่านมามีบ้านคนเต็มไปหมดเลยนะ
ไม่มีอย่างอื่นที่สังเกตได้ชัดกว่านี้บ้างเหรอ”คิ้วเรียวขมวดมุ่นเป็นปมเมื่อพยายามนึกถึงเส้นทางที่ตนใช้
“ขอโทษด้วยแพทริเซีย...เราไม่พบสิ่งนั้นเลย”เสียงเล็กฟังดูหดหู่จับใจราวกับนึกโทษที่ตนเองไม่สามารถมองเห็นได้
“ใจเย็นก่อนสิ มันก็ยังพอจะมีหวังอยู่นะ”แพทริเซียพยายามปลอบเด็กชายให้สงบลงแม้จะยังไม่แน่ใจว่าความหวังที่ตนพูดหมายถึงสิ่งใด
ทำไงดีล่ะ
ถ้าเป็นเวลาปกติปัญหานี้คงไม่เกิดขึ้นหรอก
การจะบอกทางให้อัศมิตาในตอนที่ไม่เห็นว่าเขาอยู่ไหนมันแทบเป็นไปไม่ได้เลย
นัยน์ตาสีม่วงจ้องเขม็งไปที่พื้นราวค้นหาบางสิ่ง
เหงื่อกาฬผุดขึ้นบนใบหน้าคล้ายอยู่กลางแจ้งในวันแดดจัด
ตัดกับบรรยากาศขมุกขมัวครึ้มฟ้าครึ้มฝนนอกหน้าต่าง
ขณะฝีเท้าหยุดลงตรงหน้าประตูบานใหญ่ที่แกะสลักเป็นลวดลายวิจิตรตระการตา
“ท่านแคลร์”เสียงของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มที่เดินประกบข้างเธอมาตลอดเอ่ยอย่างนอบน้อม
“มีอะไรหรือคะ”เสียงใสเปลี่ยนวิธีการพูดของตนให้นอบน้อมและสุภาพเรียบร้อยจนแม้กระทั่งตนเองยังรู้สึกแปลกหู
มือหนาผายออกเป็นเชิงให้ร่างเล็กเดินนำหน้าเข้าไปก่อน“ท่านปิแยร์รอท่านอยู่ในห้องนี้แล้ว
เชิญขอรับ”
ต้องเข้าไปก่อนซะด้วย
ได้ยินว่ามีแขกมา ก่อนอื่นคงไม่พ้นโดนเอ็ดเรื่องหนีออกจากบ้านแน่
ให้ตายสิคุณหนูแคลร์ ลมอะไรหอบเรามาเจอกันวันนี้นะ
เด็กหญิงทอดมองไปยังร่างสูงซึ่งยืนรออยู่ก่อนหน้า
ใบหน้าที่คาดคะเนได้ว่าคงอยู่ในช่วงยี่สิบตอนปลายดูตึงเครียดราวอยู่ในพิธีของทางการ
เรือนผมสีไม้แอชถูกมัดรวบเป็นหางม้าเคลียต้นคอ นัยน์ตาคมจับจ้องมายังตัวเธอด้วยแววไม่พอใจระคนเหนื่อยหน่าย
“ขอบใจมากฌอง
เจ้าไปได้แล้วล่ะ”ชายหนุ่มเอ่ยสั่งเสียงเรียบและรอจนกระทั่งคนรับใช้หนุ่มเดินออกไปจากบริเวณนั้นก่อนจะหันมาพูดด้วยน้ำเสียงของผู้ใหญ่สั่งสอนเด็ก”แคลร์
ลูกรู้ใช่ไหมว่าวันนี้ท่านอองรีจะมาที่นี่...และลูกจะต้องทำอะไรบ้าง”
ไม่รู้เลยสักนิดเดียวค่ะ
“ต้องขอโทษจริงๆค่ะ...ท่านพ่อ”เด็กหญิงก้มหน้าลงและมีท่าทีราวรู้สึกผิดจากก้นบึ้งของหัวใจ
“งานการกุศลที่ลูกมารบเร้าพ่อตั้งหลายครั้งไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด”เฉดสีฮาเซลของดวงตาคู่นั้นสะท้อนแววเยียบเย็นดุจเคลือบยาพิษ”อย่างไรเสียชาวบ้านจนๆกับพวกพิการก็จะยังเป็นเช่นนั้น
จะเหนื่อยยากดิ้นรนเพื่อคนเหล่านี้ไปทำไม”
ไม่เห็นหัวชาวบ้านธรรมดาว่าอยู่ในฐานะเดียวกับตัวเองเลยสินะ
ถ้าเป็นคนเดียวที่คิดต่างในครอบครัวขุนนางชั้นสูงแบบนี้....ฉันก็พอจะเดาได้แล้วล่ะว่าเธอคงรู้สึกยังไง
“การที่รู้สึกอยากให้พวกเขาได้มีโอกาสเท่าเทียมกับผู้อื่นมันผิดด้วยหรือคะ”เธอตอบด้วยน้ำเสียงสุขุมนุ่มลึกผิดจากเด็กวัยเดียวกันขณะนึกถึงรอยยิ้มสดใสของอัศมิตา”คำสอนในพระคัมภีร์ก็ระบุไว้ว่าจงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง...เช่นกัน”แม้จะรู้สึกขัดปากเล็กน้อยที่หยิบยกเรื่องศาสนาขึ้นกล่าวอ้าง
ทว่าเด็กหญิงหวังว่าการกระทำเช่นนี้จะช่วยกระตุ้นเตือนให้ชายหนุ่มนึกถึงคำสอนในคัมภีร์ที่ตนนับถือได้
เขาชะงักเล็กน้อย“ลูกนี่หัวรั้นเสียจริง
แม้พระวัจนะในพระคัมภีร์เป็นสิ่งสำคัญ...ทว่าการรักษาหน้าตาของวงศ์ตระกูลก็เป็นสิ่งสำคัญมิใช่หรือ”คิ้วเข้มขมวดลง
บรรยากาศโดยรอบเงียบเชียบจนราวกับอยู่ในชั้นศาล”เลิกคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้เสีย
หน้าที่ของลูกคือการไม่ทำเรื่องขายหน้าและปฏิบัติตามที่พ่อสอนอย่างเคร่งครัด”
ความสัมพันธ์พ่อลูกอะไรอึดอัดจริง
พวกชนชั้นสูงฝรั่งเศสเป็นแบบนี้กันเยอะไหมเนี่ย
ใบหน้าสวยหมดจดของหญิงสาวใส่แว่นปรากฏขึ้นจากความทรงจำ เมื่อนึกถึงรอยยิ้มที่ได้รับมาทุกครั้งแม้กระทั่งการถกเถียงในหัวข้อเล็กน้อย
รวมถึงการที่หญิงสาวยอมรับฟังข้อคิดเห็นแม้จะฟังดูไร้เหตุผลสักเพียงไหน หัวใจก็พลันบีบตัวจนเจ็บแปลบขณะหวนคิดถึงชะตากรรมสุดท้าย
“ฉัน...”
“ข้ารู้สึกเสียใจจริงๆค่ะ”เป็นครั้งแรกที่เด็กหญิงพูดกับปิแยร์ด้วยความรู้สึกจากใจจริง
แม้ความรู้สึกในอกจะไม่ได้เกิดจากคำตำหนิของเขาแม้เพียงสักนิด
ปิแยร์ถอนใจ
ร่างสูงยังคงรักษาท่าทีเคร่งครัดในมารยาทเอาไว้แม้อยู่กับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกสาว”ไว้ค่อยพูดถึงเรื่องนี้ทีหลัง
เราเสียเวลามามากพอแล้ว...ท่านอองรีกำลังรอลูกอยู่ เข้าไปเสีย”
ชายหนุ่มก้าวยาวๆไปทางประตูสีขาวสะอาดบานใหญ่ตรงหน้า มือทั้งสองผลักบานประตูให้เปิดกว้างออกขนาดพอให้ตัวคนเดินผ่านเข้าไปได้
เผยให้เห็นห้องกว้างขนาดใหญ่ที่ดูราวกับเครื่องเรือนถูกขนย้ายออกไปชั่วคราวเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง
คงเหลือเพียงชุดเก้าอี้หรูหราบุผ้าหนานุ่มสำหรับรับแขกไว้ที่มุมหนึ่ง
และก้อนหินขนาดใหญ่บริเวณกลางห้อง
ไม่ยักรู้ว่าเดี๋ยวนี้เขานิยมเอาหินก้อนเบ้อเร่อมาแต่งบ้านกันแบบไม่แกะสลักด้วย
คิ้วเรียวขมวดมุ่นด้วยงุนงงก่อนเก็บรักษากิริยาอาการให้สงบและก้าวเดินผ่านประตูไปอย่างช้าๆ
ปิแยร์ที่เดินตามมาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน”ขอโทษที่ลูกสาวข้าไม่ได้เรื่องได้ราวจนแขกเช่นเจ้าต้องรอนานขนาดนี้...อองรี”
นัยน์ตาสีฟ้าเทาของชายหนุ่มบนโซฟาฉายแววขบขันเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของคนร่างสูง”ไม่ต้องจริงจังเสียขนาดนั้นหรอก
เป็นธรรมชาติของเด็กวัยนี้ที่จะมีอาการไม่เชื่อฟังพ่อแม่ของตน”เขาส่งรอยยิ้มอ่อนโยนมาทางเด็กหญิง”ขนาดเดเจลยังเคยแอบออกไปเที่ยวเล่นเหมือนกัน”
“เดเจลเป็นเด็กที่ตั้งใจจนสามารถคว้าเกียรติยศมาให้ตระกูลลูมิแยร์ของเจ้าได้มิใช่รึ
ไม่เหมือนกับลูกสาวข้าที่ไม่ยอมสนใจการฝึกแต่กลับไปมุ่งอยู่กับการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสจนพลาดโอกาสนั้นไป”เสียงทุ้มเย็นเฉียบดุจอากาศกลางคืนหิมะตก
“การช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสก็เป็นสิ่งที่ควรกระทำ..หากนางอยากจะมาทางด้านนี้จริงข้าก็ไม่เห็นประโยชน์ที่จะรั้งตัวนางให้ทุกข์ทรมานกับการฝึกอยู่เปล่าๆ”เขายกแก้วไวน์ขึ้นจิบอย่างไม่นึกทุกข์ร้อน
“เจ้ากำลังจะทำให้นางเสียนิสัย”แม้จะยังคงไว้ซึ่งความเคร่งระเบียบ
ทว่ากลับได้ยินความขัดเคืองที่ปะปนกับน้ำเสียงอย่างชัดเจน
“ข้าคิดว่าที่เจ้าเรียกมาในวันนี้มิได้มีจุดประสงค์เพื่อการตำหนินางให้ข้าฟังหรอกนะ”ชายหนุ่มยกมือขึ้นปราบก่อนจะพยักเพยิดอย่างมีความนัยไปที่หินใจกลางห้อง
แววไม่เข้าใจปรากฏขึ้นบนนัยน์ตากลมโตของเด็กหญิง สายตาของเธอเลื่อนไปจับเรือนผมสีเขียวสดของเขาซึ่งชวนให้นึกถึงสีน้ำมันที่เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ของหญิงสาวร่างสูง
เครื่องหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มผมสีไม้แอชแสดงอาการราวเพิ่งนึกถึงจุดประสงค์สำคัญขึ้นได้”แคลร์
ลูกรู้ใช่หรือไม่ว่าต้องทำสิ่งใดต่อไป”
ใช่ แคลร์น่ะคงรู้ดี
แต่ฉันไม่ใช่แคลร์สักหน่อย...จะไปรู้ได้ยังไง
คงต้องเล่นละครไปก่อนจนกว่าจะหาทางหนีได้ล่ะนะ
“ท่านพ่อกำลังพูดถึงสิ่งใดอยู่หรือคะ”แพทริเซียเลือกใช้โทนเสียงและสีหน้าที่ดูคลับคล้ายเด็กน้อยไร้เดียงสาเท่าที่ตนจะสามารถทำได้
นัยน์ตาสีฮาเซลจ้องเขม็งราวกับจะสื่อถึงความไม่พอใจที่ต้องบอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ทว่าเสียงทุ้มกลับพูดอย่างราบเรียบกว่าที่เธอคิดเอาไว้”ใช้คอสโมของลูกทำลายหินก้อนนี้เฉกเช่นที่ฝึกมาเมื่อวันก่อนเสีย”
เด็กหญิงผู้งดงามราวเทพธิดาแห่งราตรีสะกดความรู้สึกมิให้ออกมาทางสีหน้าขณะในหัวเต็มไปด้วยคำถามที่พวยพุ่งขึ้นดุจลาวาที่ไหลปริ่มจากปล่องภูเขาไฟ
คอสโม..คืออะไร
ไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วย
เป็นคำที่ชนชั้นสูงแถบนี้ใช้เรียกเวทมนตร์เหรอ..ไม่สิ
ถ้ารู้เรื่องของเวทมนตร์ก็น่าจะมีพลังนี่นา
แต่ฉันสัมผัสมันจากทั้งสองคนไม่ได้เลย
เกียรติยศที่เด็กชื่อเดเจลนั่นทำได้หมายความว่ายังไง
แล้วก็คอสโมดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งขึ้นจากการฝึก...แคลร์สามารถใช้มันทำลายหินได้
แต่มันเป็นพลังแบบไหนกันล่ะ เสริมความแข็งแกร่งด้านกายภาพ...หรือแค่ผู้ใช้สามารถควบคุมมันได้ก็จะทำลายหินนี่แบบไม่เปลืองแรงคล้ายการใช้เวทมนตร์
ฉันควรทำยังไงดี
อากาศเย็น
กลิ่นชื้นจากไอดินลอยขึ้นเด่นชัด
อีกไม่นานฝนคงจะตกลงมาแล้วกระมัง
เด็กชายตาบอดครุ่นคิดพลางก้าวช้าๆไปตามถนนยาวซึ่งปูหินไว้ตลอด
แขนทั้งสองยื่นออกไปข้างหน้าเป็นเครื่องป้องกันมิให้ชนเข้ากับสิ่งกีดขวาง
เสื้อที่เคยเป็นสีขาวสะอาดกลับมีรอยเปรอะเปื้อนจากการล้มลงบนพื้นและความพยายามดิ้นรนอันล้มเหลวก่อนมือขวาลดลงแตะแผ่นไม้บริเวณกระเป๋ากางเกงด้วยคะนึงหา
แพทริเซีย...หากติดต่อไปตอนนี้รังแต่จะทำให้เจ้าเป็นห่วงเราเสียเปล่า
เรารู้ตนเองดีว่าอ่อนแอและเป็นภาระแก่เจ้ามาตลอด เช่นนั้นจงวางใจเถิด
แม้ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือ
ทว่าเราจะต้องหาหนทางกลับไปยังโรงแรมตามคำของเจ้าให้จงได้
นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเกือบดำของกลุ่มเด็กชายอายุราวสิบสองสิบสามปีมองภาพนั้นอย่างนึกขบขัน
กระทั่งคนหนึ่งในกลุ่มเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีไม่เป็นมิตร
“เฮ้ย ไอ้บอด”
อัศมิตาชะงักกึก
เด็กชายหันไปทางต้นเสียงขณะความหวาดกลัวเข้าครอบงำในจิตใจ
จากเสียงย่ำเท้าที่เข้ามาหาทำให้คาดคะเนได้ว่าสมาชิกในกลุ่มดังกล่าวคงไม่ต่ำไปกว่าห้าคน
“เสื้อสวยดีนี่หว่า ปกติผู้ดีเขาเอาพวกไม่สมประกอบอย่างแกซุกไว้ในบ้านไม่ใช่รึ
แล้วทำไมแกออกมาเดินเพ่นพ่านตัวเดียวได้ล่ะนี่”
เด็กชายพยายามจะตอบ
ทว่าเสียงในลำคอกลับเหือดแห้งไปจากความหวาดกลัวจนไม่สามารถเอ่ยเป็นคำพูดออกมาได้
“ช่างเถอะ ข้าจะสงเคราะห์ให้แกได้เผ่นหนีกลับบ้านแทบไม่ทันเลยล่ะ”
เด็กชายสัมผัสได้ว่าวัตถุที่ถูกขว้างมาเฉียดใบหน้าไปเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด
พร้อมเสียงหัวเราะสะใจที่ประสานขึ้นราวต้องการเย้ยหยัน
ก่อนก้อนหินอีกราวสองสามก้อนจะถูกขว้างปามาทางเขาเป็นเชิงขับไล่
“มันยังยืนนิ่งอยู่เว้ย
คงต้องเล่นให้แรงกว่านี้ซะแล้ว”ผู้เป็นหัวโจกเอ่ยขึ้นพลางล้อเลียนอากัปกิริยาของเด็กชายไปในเชิงขบขัน
และสั่งให้คนในกลุ่มเพิ่มความรุนแรงของการขว้างปาสิ่งของขึ้นอีก
อัศมิตากัดริมฝีปากตนเองแน่นจนรู้สึกถึงรสเลือด
ก่อนเด็กชายจะตัดสินใจกลับหลังหันและวิ่งอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่สภาพร่างกายที่มีขีดจำกัดจะเอื้ออำนวย
เท้าผอมบางสะดุดเข้ากับสิ่งของตามพื้นและช่องว่างระหว่างหินเสียหลายครั้งก่อนจะตั้งตัวขึ้นมาได้และวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตก่อนที่กลุ่มเด็กเหล่านั้นจะตามมาทัน
นี่มันอะไรกัน กลุ่มคนที่กระทำการรุนแรงเพื่อความสนุกเช่นนี้ยังมีอยู่ในยุโรปอย่างนั้นหรือ
แล้วเหตุใดแพทริเซียที่มาจากยุโรปเช่นเดียวกันถึงพูดว่าตัวเรามีความเท่าเทียมได้เล่า
ฝีเท้าของเด็กชายค่อยๆชะลอลงเมื่อไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของเด็กเหล่านั้นวิ่งตามมา
ก่อนเด็กชายจะเริ่มสัมผัสได้ว่าตนอยู่ในตรอกแห่งหนึ่งที่เล็กแคบและทึบทึม
กลิ่นเหม็นอับคละคลุ้งของสถานที่เสื่อมโทรมทำให้นึกถึงบ้านเกิดขึ้นมาอย่างประหลาด
เสียงจี๊ดจ๊าดของหนูสะท้อนก้องไปทั่วโสตสัมผัส
เราคงจะหลงทางเสียแล้ว
“ที่นี่...ที่ใด”มือผอมบางยื่นออกควานเปะปะไปข้างหน้าจนกระทั่งสัมผัสกับพื้นผิวหยาบสากของกำแพงเก่าคร่ำคร่า
เด็กชายจึงตัดสินใจค่อยๆเดินเลียบไปตามแนวกำแพงอย่างระมัดระวัง
แม้จะห่างไกลแต่กลับทำให้เราหวนคิดถึงสถานที่ซึ่งได้จากมาอย่างน่าประหลาด
หรือตัวเราจะเกิดมาเพื่อพบเจอกับสิ่งเช่นนี้กัน
เครื่องหน้างดงามแสดงอาการเสียใจขณะครุ่นคิดถึงความเจ็บปวดของเด็กหญิงที่แฝงอยู่ในเสียงตะโกนก้องให้ปล่อยตัวเขาไป
อัศมิตาสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงใสในโทรจิตเหล่านั้นพยายามปกปิดความอ่อนแอของตนมากเพียงไหนเพื่อให้ตัวเขาสบายใจ
แพทริเซีย ขอโทษที่เป็นภาระแก่ตัวเจ้า
หากไม่มีตัวถ่วงเช่นเราแล้วเจ้าคงใช้เวทมนตร์เพื่อหนีจากกลุ่มชายเหล่านั้นได้อย่างไม่ยากเย็น
จริงดังที่ท่านแม่ว่า
จัณฑาลพิกลพิการน่ารังเกียจเช่นตัวเราคงจะนำพาโชคร้ายมาสู่ผู้คน
หยาดน้ำตาเอ่อล้นจนกระทั่งไหลผ่านแก้มขาวเนียนช้าๆ นิ้วผอมบางเอื้อมแตะรอยฟกช้ำจากการถูกทุบตี
บางทีตัวเราอาจไม่มีค่าคู่ควรที่จะเดินทางกับเจ้าเสียด้วยซ้ำ
เด็กชายรู้สึกถึงน้ำสองสามหยดที่กระทบลงบนศีรษะ มือซ้ายยื่นออกไปเบื้องหน้าเพื่อตรวจสอบสิ่งที่นึกสังหรณ์ก่อนได้รับคำตอบในอีกเสี้ยววินาทีโดยสายฝนที่กระหน่ำสาดเทลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
เสียงหยาดน้ำตกกระทบพื้นหินดังก้องไปทั่วตรอกแคบ
คงต้องรีบหาที่กำบังฝนเสียก่อน
หากป่วยไข้ขึ้นมารังแต่จะทำให้แพทริเซียเดือดร้อนเสียเปล่าๆ
อัศมิตายังจำการเจ็บป่วยครั้งสุดท้ายได้ดีราวเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
อุณหภูมิร่างกายนั้นร้อนจัดดุจถูกไฟนรกเผาผลาญ
ศีรษะปวดอย่างร้ายกาจราวถูกคีมบีบกะโหลก
ของเหลวเหนียวข้นที่ไหลออกจากจมูกทำให้ได้รับฉายา’ตัวโสโครก’จากผู้คนที่ได้พบเห็น
อีกทั้งประสาทสัมผัสสำคัญอย่างการรับกลิ่นก็ไม่สามารถใช้งานได้เต็มที่
....นับเป็นสิ่งอันตรายอย่างยวดยิ่งสำหรับผู้ใช้ชีวิตในโลกมืดดังเช่นตัวเขา
เด็กชายใช้ลำตัวที่เปียกชุ่มจากฝนเป็นเกราะกำบังกระเป๋าใบใหญ่ที่กอดไว้
มืออีกข้างทำหน้าที่เป็นเครื่องนำทางขณะสองเท้ารีบสาวไปข้างหน้าเพื่อเสาะหาสถานที่ซึ่งพอจะเป็นร่มเงาให้หลบจากฝนได้
“บริเวณนั้น...”เสียงเล็กพึมพำในลำคอเมื่อประสาทหูรับรู้ถึงพื้นที่ซึ่งไร้เสียงหยดน้ำตกกระทบ
แม้จะยังระมัดระวังการลื่นล้ม
แต่อัศมิตาก็เร่งความเร็วขึ้นเพื่อที่จะไปให้ถึงจุดหมายโดยไว
มือเล็กสัมผัสกับผนังอิฐของอาคารก่อนที่เด็กชายจะเดินไปตามแนวกำแพงจนพบทางเข้า
เด็กชายรีบก้าวเข้าไปภายในขณะกลิ่นเหม็นรุนแรงของสถานที่ซึ่งถูกทิ้งร้างลอยขึ้นแตะจมูก
เท้าผอมบางเหยียบลงบนเศษไม้แตกหักที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของประตู อัศมิตารู้สึกราวกับมีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องเขาอยู่
“มาทำอะไรที่นี่หรือคะคุณชาย”เสียงแหบแห้งของหญิงชราเอ่ยทัก
นัยน์ตาสีน้ำตาลฉายแววสนอกสนใจเมื่อเห็นเสื้อผ้าที่เด็กชายสวม
แม้ในอกจะเต็มไปด้วยความหวั่นกลัวจากการถูกทำร้าย
ทว่าเด็กชายตัดสินใจตอบแต่โดยดี”เราหลงทาง...”
ความไม่เชื่อปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นจนกระทั่งสายตาของหญิงชราเลื่อนขึ้นมองนัยน์ตากลมโตสีฟ้าสดที่เหม่อลอยราวมิได้จับจ้องมายังคู่สนทนา
ร่างที่ชราจนหลังงองุ้มค่อยๆขยับเข้ามาใกล้
มือหยาบสากที่เหี่ยวย่นและปูดโปนไปด้วยเส้นเอ็นจับมือของเด็กน้อยเอาไว้”นี่ท่านตาบอดอย่างนั้นหรือ”
ร่างเล็กพยักหน้ารับอย่างแผ่วค่อย”ใช่แล้วท่านยาย นัยน์ตาของเราพิการแต่กำเนิด”มือผอมบางสัมผัสแขนเสื้อที่ชื้นแฉะจนลู่ลงแนบชิดหัวไหล่
ความเปียกชื้นของเสื้อส่งมาถึงเนื้อตัวจนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง”เช่นนั้นท่านยายพอจะรู้หนทางไปยังโรงแรมใกล้ๆนี้หรือไม่”เสียงเล็กเสี่ยงถามด้วยเด็กชายสัมผัสได้ว่าหญิงชราไร้ซึ่งท่าทีหลบเลี่ยงตัวเขาดังเช่นผู้คนบนถนนใหญ่
บางทีนางอาจพอนึกเห็นใจเราอยู่บ้างกระมัง
“ต้องขอโทษด้วย ข้าไม่ออกไปที่ถนนใหญ่เสียนานแล้ว...ตำแหน่งสถานที่ก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา
คงมิสามารถจะช่วยท่านได้”หญิงชราเสริมต่อหลังเห็นสีหน้าของเด็กชายที่ดูราวกับความหวังสุดท้ายสูญสลายไปในพริบตา”ท่านถามถึงโรงแรม...เป็นชาวต่างชาติจำพวกบุตรของพ่อค้าไม่ก็นักเดินทางหรือ”
“ท่านเข้าใจถูกแล้ว เรามิใช่คนฝรั่งเศส
ในตอนนี้กำลังออกเดินทาง...”อัศมิตาละประโยคไว้
คำเตือนของแพทริเซียเรื่องการบอกข้อมูลสำคัญแก่คนแปลกหน้าดังขึ้นในหัว
เขาจึงเบี่ยงประเด็นมายังอีกสิ่งหนึ่งที่ตนรู้สึกสงสัยนับตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาในตรอกแห่งนี้”อย่างไรก็ตามเพื่อนของเราได้กล่าวไว้ว่าฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีอิทธิพลต่อยุโรป
เช่นนั้นจึงควรเป็นสถานที่ซึ่งความเจริญเข้าทั่วถึงมิใช่หรือ เหตุใดจึงยังหลงเหลือความแตกต่างเช่นนี้อยู่เล่า”
คิ้วสีดอกเลาเลิกขึ้นเมื่อได้ยินข้อสงสัยที่ดูโตเกินวัย”แม้ในมหานครใหญ่ก็อาจพบความเหลื่อมล้ำได้เสมอ”เสียงแหบแห้งไอค่อกแค่กก่อนเอ่ยต่อ”ถนนใหญ่เป็นแหล่งอาศัยของชนชั้นกลางขึ้นไปจึงดูเจริญหูเจริญตา
ส่วนผู้ใช้แรงงานเช่นเราจะอยู่ในมุมมืดเช่นนี้”
ร่างเล็กนิ่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ
“นโยบายเก็บภาษีแย่ๆก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุ
ชนชั้นสูงไม่เคยต้องเสียอะไร...ในขณะที่เงินของชาวบ้านธรรมดาถูกขูดรีดไปปรนเปรอให้พวกนั้นได้อยู่อย่างหรูหราฟู่ฟ่า”ความคับแค้นใจถูกถ่ายทอดออกมาผ่านน้ำเสียงที่สั่นเครือ”ช่วงนี้พอฝรั่งเศสเข้าร่วมสงคราม..อัตราภาษีที่ต้องเสียก็ยิ่งมากกว่าเดิม
พวกบนถนนใหญ่ยังพอจะอยู่กันได้ แต่แรงงานระดับล่างแทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว...ไม่เหลือแล้ว”ร่างงองุ้มสะอื้นฮัก
น้ำตาไหลลงผ่านใบหน้าเหี่ยวย่นเป็นสาย
อัศมิตาสะดุ้งเฮือกด้วยไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์จะดำเนินมาเช่นนี้”ท่านยาย
เราขอโทษด้วย...เรามิได้มีเจตนาจะย้ำเตือนถึงเรื่องราวที่ทำให้ท่านเจ็บช้ำน้ำใจ”มือเล็กวางสัมภาระที่ถือมาลงกับพื้น
ก่อนร่างเล็กย่อตัวลงและกอดหญิงชราไว้อย่างแนบแน่น
หวังเพียงวิธีนี้จะทำให้นางสงบลงได้เฉกเช่นที่ตนเคยรู้สึก
ในประเทศแห่งหนึ่งซึ่งมีคำบอกเล่าว่าเป็นสถานที่เจริญแล้วกลับมีโครงสร้างไม่ต่างกัน
คนกลุ่มหนึ่งที่มีสถานะทางสังคมสูงกำหนดให้อีกกลุ่มอยู่ต่ำกว่าเพื่อผลประโยชน์และความพึงพอใจส่วนตน
เด็กชายหวนนึกถึงเมื่อครั้งที่ตนอยู่อินเดีย
น้ำนมที่ถูกสาดมาเพื่อขับไล่ตัวกาลกิณี ผู้คนที่ถอยหนีด้วยความเชื่อที่มิยอมให้เงาของจัณฑาลพาดผ่าน
เสียงล้อเลียนถึงสถานะและความพิการยังคงแจ่มชัดราวกับผ่านไปไม่ถึงวัน
โลกที่เต็มไปด้วยการกดขี่และแบ่งแยกชนชั้น
จะทำเช่นไรให้ผู้ที่ถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้เงาได้หลุดพ้นจากความทุกข์
แม้ประสาทสัมผัสอื่นที่ถูกพัฒนาขึ้นทดแทนการมองเห็นจะสัมผัสได้ว่าหญิงชราคนนี้มิได้สะอาดสะอ้านนัก
ทว่าอัศมิตามิได้ใส่ใจถึงเรื่องนั้นด้วยคำนึงว่าครั้งหนึ่งตนเองก็มีสภาพไม่แตกต่างกัน
อ้อมกอดของเขายังมิคลายลงจนกระทั่งเสียงของสายฝนที่กระหน่ำสาดเทค่อยๆซาลงตามลำดับ
“ดูเหมือนสายฝนจะหยุดลงแล้ว
เราคงรบกวนท่านยายเพียงเท่านี้...ขอบคุณสำหรับข้อมูลเหล่านั้นอย่างมาก”เด็กชายเอ่ยขึ้นเมื่อไม่ได้ยินเสียงเม็ดฝนกระทบพื้นอีกต่อไป
รอยยิ้มแต่งแต้มให้ใบหน้าที่งดงามอยู่เดิมดูผุดผ่องไร้มลทินประดุจเทพยดาบนสรวงสวรรค์
บางทีท่านทูตสวรรค์อาจจำแลงกายมาใกล้กว่าที่ข้าเคยคิดเสียอีก
แม้จะเป็นเวลาเพียงไม่นานที่ได้พบเจอเด็กชาย
ทว่าความรู้สึกที่ถูกเติมเต็มนั้นส่งผลให้รู้สึกใจหายอย่างประหลาดเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น”ท่านกำลังจะไปแล้วหรือ...คุณชาย”พลันเสียงท้องร้องโครกครากด้วยความหิวดังสะท้อนก้องไปทั่วอาคารร้าง
หญิงชราอับอายเสียจนหน้าแดง
อัศมิตาเหลียวหันมาทางต้นเสียงอย่างนึกเห็นใจ
ราวกับภาพสะท้อนความทรงจำในอดีตของตนปรากฏขึ้นแจ่มชัดอยู่ตรงหน้า”ท่านยายหิวอย่างนั้นหรือ...โปรดรอสักครู่เถิด”ร่างเล็กควานหากระเป๋าที่ตนถือมาด้วยก่อนย่อตัวลงเปิดและใช้มือผอมบางค้นหาอาหารที่ถูกเก็บไว้ในกระเป๋าจนกระทั่งพบขนมปังก้อนหนึ่ง
ขอโทษที่ถือวิสาสะค้นกระเป๋าของเจ้า
เราเชื่อว่าผู้มีเมตตาอย่างเจ้าคงจะเข้าใจเหตุผลในครั้งนี้
หากเจ้าอยู่กับตัวเราในตอนนี้อาจมอบสิ่งที่ดีกว่าให้แก่นางได้
หรือถ้าหากเจ้าขุ่นเคืองในความไร้มารยาทของเรา...ก็จักขอเป็นผู้น้อมรับความผิดแต่เพียงผู้เดียว
เด็กชายยื่นก้อนขนมปังไปยังทิศทางของหญิงชรา”ท่านสามารถทานสิ่งนี้ได้ใช่หรือไม่”เสียงเล็กแฝงไปด้วยความเป็นห่วงจากจิตใจที่แท้จริง
ร่างงองุ้มลังเลเล็กน้อยก่อนจะรับขนมปังนั้นมาด้วยทนฤทธิ์ความหิวโหยที่กัดกินอยู่ในกระเพาะไม่ไหว”จากเครื่องแต่งตัวที่ดูมีราคาเช่นนั้น...ท่านคงมิได้อยู่ในระดับเดียวกับข้า
แล้วทำไมถึงเอื้อเฟื้อแก่ข้าถึงเพียงนี้”เสียงแหบเปี่ยมล้นด้วยความตื้นตันใจ
ก่อนหญิงชราจะทานขนมปังหมดด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อหากเทียบกับฟันฟางที่เหลือไม่มากนัก
รอยยิ้มจางๆผุดขึ้นบนใบหน้าเมื่อนึกถึงเสียงใสที่ดึงเขาขึ้นมาจากความมืดมิด”เรามิได้อยู่ในชาติตระกูลสูงมาแต่เดิม
ทว่าด้วยจิตใจที่โอบอ้อมอารีของคนๆหนึ่งช่วยเราออกมาจากสถานที่แห่งนั้น...เช่นนั้นแล้วมิจำเป็นที่ท่านยายจะต้องใช้รูปประโยคสุภาพกับเรา”นัยน์ตาสีฟ้าสดใสดูราวกับทอดมองไปยังเบื้องหน้า”เพราะเคยประสบมาก่อนจึงพอจะเข้าใจว่าความหิวโหยและความอดอยากแร้นแค้นเป็นเช่นไร
เมื่อเราพ้นออกจากสถานะนั้นแล้วจึงปรารถนาให้ผู้อื่นได้พ้นจากความทุกข์บ้าง...แม้เรื่องที่เราทำได้จะเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยก็ตามที”
หญิงชรานิ่งอึ้งเล็กน้อยด้วยไม่เคยคาดคิดว่าจะได้ยินประโยคเช่นนี้ออกจากปากของเด็กชายตาบอดวัยไม่ถึงสิบขวบ”เจ้าช่างเป็นผู้ที่มีความคิดอ่านไกลเกินเด็กยิ่งนัก”เสียงแหบตัดสินใจเปลี่ยนรูปประโยคตามคำของเด็กชาย”ข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะเติบใหญ่เป็นบุรุษผู้สง่างามและมีจิตใจที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าผู้ใด
และเจ้าคงจะค้นพบหนทางที่จะช่วยคลี่คลายความทุกข์แก่ผู้คนได้ดังปรารถนา”
แม้จะไม่มั่นใจนักว่าตนจะสามารถเป็นบุรุษที่สง่างามได้ดังคำกล่าว
ทว่าความรู้สึกที่พองโตในอกส่งผลให้เด็กชายเอ่ยด้วยน้ำเสียงแจ่มใสราวท้องฟ้าในวันปลอดโปร่ง”ขอบคุณท่านยายสำหรับคำอวยพร”เสียงเล็กเว้นวรรคไปครู่หนึ่ง”เราคงต้องไปแล้ว
หากไม่พยายามค้นหาทางกลับไปยังโรงแรมคงจะทำให้เพื่อนของเราต้องเป็นห่วง”เสียงเล็กแผ่วค่อยลงเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเพื่อนที่ถูกพรากจากไป
“ถ้าอย่างนั้นข้าขอเพียงคำถามสุดท้าย”เสียงแหบแห้งเอ่ยขณะเฝ้ามองเด็กชายควานหากระเป๋าขึ้นมาถือเตรียมพร้อม”ชื่อของเจ้าคืออะไรงั้นหรือ”
แสงที่สาดส่องผ่านช่องประตูมายังตำแหน่งที่เด็กชายยืนอยู่ดูคล้ายกับรัศมีอันแผ่ออกจากร่างกาย”เราชื่ออัศมิตา”เสียงเล็กเอ่ยก่อนจะค่อยๆเดินไปยังทิศทางของช่องที่เคยเป็นประตู”ลาก่อนท่านยาย”ร่างเล็กโบกไม้โบกมือให้กับหญิงชราก่อนแผ่นหลังนั้นจะข้ามพ้นขอบประตูไป
นางเฝ้ามองจนกระทั่งร่างเล็กหายลับจากสายตา
ก่อนเปลือกตาบดบังสีน้ำตาลของนัยน์ตาช้าๆ
หญิงชรายกมือขึ้นประสานระหว่างอกคล้ายกำลังสวดภาวนา
อา ท่านทูตแห่งพระผู้เป็นเจ้า
คราวนี้ท่านเลือกใช้ชื่อจากตะวันออกในการจำแลงกายในครั้งนี้อย่างนั้นหรือ
ร่างเล็กก้าวไปตามถนนขรุขระที่มีน้ำฝนขังเป็นแอ่งอย่างระมัดระวัง
แม้ว่าหลังฝนตกจะมีกลิ่นสดชื่นของไอดิน
ทว่ามิอาจเอาชนะกลิ่นเหม็นอับอย่างร้ายกาจที่มีอยู่เดิมได้
ด้วยจดจ่ออยู่กับสิ่งรอบตัวทำให้ไม่ทันสัมผัสได้ถึงคนกลุ่มหนึ่งที่จ้องสัมภาระในมือตาเป็นมัน
“เฮ้ย ไอ้หนู”เสียงแหบห้าวเอ่ยอย่างไม่เป็นมิตร
ร่างกำยำของชายหนุ่มผมสีทรายก้าวไปขวางหน้าเด็กชายไว้
มือหนาโบกเรียกพรรคพวกราวสองสามคนให้โผล่มาดักทางหนี
อัศมิตารู้สึกถึงอันตรายที่กำลังเข้ามา”พ-พวกท่านต้องการอะไร”
“ท่าทางแกดูมีตังค์ดีนี่ เอาเถอะ วันนี้ข้าอารมณ์ดี
จะยอมปล่อยแกไปก็ได้ถ้ายอมส่งกระเป๋านั่นมาให้น่ะ”เขาพูดเป็นเชิงข่มขู่ก่อนเสริมต่อเมื่อเห็นเด็กชายมีท่าทีราวต้องการขัดขืน”แต่ถ้าไม่ยอม...ผลที่ต่างกันก็แค่แกโดนเชือดทิ้งแล้วข้าค่อยเอาของในนั้นไป”
เด็กชายกลืนน้ำลายเหนียวฝืดลงคอ ผิวขาวนวลเนียนซีดจนดูคล้ายกระดาษด้วยตื่นกลัว
“รักษาชีวิตตัวเองไว้ก่อนเถอะน่า..อย่างน้อยต่อให้ไม่มีของแกก็ยังได้กลับไปเห็นหน้า
หรือจะให้พูดว่าฟังเสียงพ่อแม่ดีล่ะ”เสียงนั้นหัวเราะลั่นจนคลับคล้ายเสียงคำราม มีดปลายแหลมในมือถูกกวัดแกว่งอย่างสบายอารมณ์
อัศมิตากอดกระเป๋าไว้แนบอกราวกับจะไม่มีวันปล่อย
เหงื่อผุดพราวบนใบหน้าด้วยตึงเครียดต่อสถานการณ์ปัจจุบัน
ควรทำเช่นไรดี...เราไม่มีทางยอมให้สิ่งที่แพทริเซียไว้ใจให้เราถือต้องมาเสียไปเพราะเหตุนี้แน่
ทว่าพวกเขาคงปิดล้อมเส้นทางของเราไว้หมดแล้ว
ลำพังเพียงเราคนเดียวคงมิอาจเร่งความเร็วจนสามารถหลุดจากลงล้อมนี้ไปได้
ขณะที่สถานการณ์กำลังตกลงสู่ความสิ้นหวังถึงขีดสุด
ร่างเล็กของเด็กหญิงผู้หนึ่งวิ่งฝ่าวงล้อมเข้ามาอย่างรวดเร็วจนชายเหล่านั้นไม่ทันตั้งตัว
“เร็วเข้า”เสียงคุ้นหูดังขึ้นพลางมือนุ่มเนียนคว้ามืออีกฝ่ายไว้ก่อนจะพาเด็กชายออกตัววิ่งลอดใต้แขนของชายอีกคนซึ่งไม่ได้ถือมีดไว้ด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ
ทิ้งไว้แต่เพียงความตกตะลึงของบุคคลเบื้องหลัง
แพทริเซีย...?
“แคลร์ การปล่อยให้แขกรอเป็นเรื่องที่เสียมารยาท”เสียงเคร่งเครียดเอ่ยขึ้นจากชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟาเมื่อเห็นว่าผู้เป็นลูกสาวยืนนิ่งอยู่นานสองนาน
แพทริเซียถอนหายใจเฮือก
นัยน์ตาจ้องเขม็งไปยังหินสีเทาก้อนใหญ่เบื้องหน้า
ในเมื่อไม่มีเวลาพอจะมานึกหาข้อมูลเรื่องคอสโมนี่ก็ทำให้มันดูคลุมเครือไปเลยก็แล้วกัน
เด็กหญิงตั้งสมาธิก่อนจะสร้างหมอกควันสีขาวขึ้นหนาทึบราวกับเป็นรัศมีพลังที่ปลดปล่อยออกจากตัว
แล้วจึงนึกถึงคำร่ายเวทเสริมพลังในใจ
ปล่อยให้พลังของตนไหลลงสู่แขนขวาจนเริ่มรู้สึกถึงความแข็งแกร่งอย่างประหลาด
ถึงเคยอ่านเจอว่ามันอาจมีผลข้างเคียงทำให้กล้ามเนื้อล้า แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นที่จะทำให้มันดูเป็นได้ทั้งสองแบบไปมากกว่านี้แล้วล่ะนะ
ร่างเล็กก้าวถอยหลังออกไปเพื่อตั้งหลัก
ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ก้อนหินยักษ์ด้วยความเร็วสูง
หมัดขวาเงื้อขึ้นและปะทะเข้ากับความแข็งของหินอย่างจัง มือเนียนนุ่มพยายามออกแรงสู้กระทั่งหินแข็งเกิดรอยร้าวเล็กๆที่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วจนในที่สุดก็แตกออกเป็นหินก้อนเล็กนับร้อยชิ้นและเศษที่กระจายเต็มพื้นที่บริเวณนั้น
แพทริเซียเซถอยไปเล็กน้อย
เด็กหญิงหอบด้วยเหนื่อยจากการออกแรงก่อนเงยหน้าขึ้นมองปฏิกิริยาของคนทั้งสอง
ปิแยร์นิ่งอึ้ง นัยน์ตาสีฮาเซลแสดงความตกตะลึงราวกับจะสื่อว่าผลลัพธ์ครั้งสุดท้ายที่เห็นไม่ได้ออกมาเต็มที่ถึงเพียงนี้
ตายละ ฉันทำเกินไปหรือเปล่า
เกิดถ้าตัวจริงกลับมาคงไม่พ้นโดนเรียกให้แสดงอีกรอบแน่
ตรงกันข้ามกับอองรีที่ดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ
สีฟ้าเทาของดวงตาสั่นระริกด้วยความอัศจรรย์ใจ”เยี่ยมไปเลยแคลร์
เจ้าเก่งขึ้นมาขนาดนี้ได้อย่างไร
นี่ถ้าเจ้าแสดงฝีมือให้เห็นในตอนที่ทดสอบกันกับท่านเครสต์...คนที่ได้เป็นอควาเรียสเซนต์คนต่อไปคงไม่พ้นเจ้าเป็นแน่”
อควาเรียสเซนต์?
นักบุญแบบไหนกันน่ะ ไม่เห็นเคยได้ยินชื่อเลย…คัดเลือกตามราศีเกิดหรือไงนะ
แล้วการจะเป็นนักบุญนี่มันต้องทดสอบอะไรอย่างนี้ด้วยหรือไง
“หากลูกตั้งใจจริงก็ทำได้มิใช่หรือ”เจ้าของเรือนผมสีไม้แอชกระแอมก่อนกล่าวด้วยท่าทีขัดเขินเล็กน้อยราวไม่ค่อยได้เอ่ยชมใครสักเท่าใดนัก”แต่ก็เริ่มช้าเสียจนพลาดเกียรติยศสูงสุดอย่างการเป็นโกลด์เซนต์รับใช้เทพีอาเธน่าไปเสียแล้ว”
อะไรอีกล่ะเนี่ย
ก็พอรู้มาบ้างหรอกว่าเผ่าพันธุ์เทพเจ้ามีอยู่จริง
แต่อาเธน่านั่นอยู่มาตั้งแต่สมัยเทพนิยายเลยนะ ยังจะลงมายุ่งกับมนุษย์อีกเหรอ
แล้วจะเอานักบุญไปทำอะไร
หรือยังต้องการให้มาสรรเสริญคุณความดีแลกเกียรติยศในชื่อผู้รับใช้เทพเจ้า
ที่สำคัญจะทำลายหินนั่นได้ก็ต้องใช้พลังมากเลย...บางทีอาจต้องการรวบรวมคนเก่งๆมาไว้กับตัว
ไม่สิ ที่สำคัญกว่านั้นคือนี่ก็ปาเข้าไปศตวรรษที่18แล้ว
แถมยังเป็นฝรั่งเศสอีก ไม่ใช่ว่ามนุษย์แถบนี้นับถือตรีเอกภาพกันหรือไง
ทำไมชื่อของเทพเจ้ารุ่นเก่าถึงได้ออกมาในลักษณะที่ไม่ใช่แค่บทละคร กวี
หรือนิทานปรัมปราล่ะ
“แคลร์พยายามฝึกฝนจนสำเร็จขนาดนี้แล้ว
อย่าใจร้ายกับลูกสาวตัวเองไปหน่อยเลย”ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเขียวแก้ตัวแทนให้พลันขยิบตาให้เด็กหญิงอย่างมีเลศนัย”จำได้ไหมว่าที่ข้ามาเพราะมีเรื่องอื่นที่จะคุยด้วย
ให้นางไปพักเถอะ”
“เอาล่ะ เห็นแก่ที่ลูกทำได้ดีในวันนี้”ชายหนุ่มเห็นพ้องด้วย
ร่างสูงเดินออกจากห้องมาส่งเด็กหญิงที่บริเวณทางเดิน
“แล้วเรื่องการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสล่ะคะท่านพ่อ”แพทริเซียชิงถามในจังหวะที่ชายหนุ่มกำลังอารมณ์ดี
หวังว่าเขาจะยอมให้เจ้าของชื่อที่เธอถูกเข้าใจผิดได้ทำตามความปรารถนาของตน
“ไว้ถ้าลูกทำตามที่พ่อบอกอย่างเคร่งครัดจะลองคิดดูอีกที”แม้จะยังไม่ตอบรับ
ทว่าท่าทีของปิแยร์กลับดูอ่อนลง ผิดจากตอนแรกที่ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง
อย่างน้อยก็ยังพอมีความหวังอยู่บ้างล่ะนะ
สาวใช้ที่มารับช่วงต่อแทนฌองชื่อมารี หญิงสาวร่างเล็กราวเด็กแรกรุ่น
เรือนผมสีดำมัดรวบเป็นมวยเรียบ
นัยน์ตาสีน้ำตาลทองเงยขึ้นสบตาของเด็กหญิงหลังจากการแสดงความเคารพเล็กน้อย ก่อนที่หญิงสาวจะเดินนำหน้าไปยังทางเดินส่วนอื่นของปราสาท
กว้างจังแฮะ
เด็กหญิงหันมองทัศนียภาพโดยรอบ
ทั้งศิลปะการตกแต่งหรูหราในแบบฝรั่งเศสและของสะสมต่างๆริมทางเดินดูละลานตาราวกับแม้จะใช้เวลาเดินชมทั้งวันก็คงไม่สาแก่ใจ
ก่อนมือเล็กสัมผัสกับแผ่นไม้ข้างกระโปรงอย่างแผ่วเบาและนึกขึ้นได้ว่าตนลืมอะไรบางสิ่งไป
จริงสิ ทำไมอัศมิตาเงียบหายไปเลยนะ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า
นัยน์ตาสีม่วงฉายแววหงุดหงิดตนเองที่มัวแต่จดจ่อกับเรื่องตรงหน้าจนลืมนึกถึงเด็กชายไปเสียสนิท
ฝีเท้าหยุดลงข้างประตูแกะสลักอย่างหรูหราบานหนึ่ง
“ท่านแคลร์ต้องการแวะที่ห้องของท่านมาร์เซลีนดังเช่นทุกครั้งใช่ไหมคะ”เสียงหวานเอ่ยถามอย่างนอบน้อม
“อ่า...เอ่อ ใช่ ขอเวลาสักพัก
รอข้าอยู่ข้างนอกเถอะค่ะ”แพทริเซียทำทีเห็นด้วยก่อนจะผลักบานประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว
มือเล็กรีบปิดบานประตูราวกับกลัวมีคนอื่นเดินตามเข้ามา
ร่างเล็กถอนหายใจเฮือกก่อนชะงักกึกเมื่อทอดมองรูปที่แขวนอยู่กับผนังด้วยแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น
นัยน์ตาสีม่วงไล้ไปตามกรอบไม้แกะสลักก่อนที่จะมาหยุดลงที่ร่างของสตรีสูงศักดิ์ในภาพ
ชุดสีชมพูอ่อนแม้จะดูคล้ายกับการแต่งตัวตามสมัยนิยมของฝรั่งเศสแต่กลับขับเน้นความงามของผู้สวมใส่ให้เลิศล้ำยิ่งยวด
ผิวขาวผุดผาดกับเฉดสีม่วงของเรือนผมและนัยน์ตานั้นเหมือนกับตัวเธออย่างไม่มีผิดเพี้ยน
ฝีเท้าของร่างเล็กที่พาเด็กชายตาบอดวิ่งลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยอย่างชำนิชำนาญลดความเร็วลงเมื่อคะเนว่าอยู่ไกลเกินระยะที่ชายกลุ่มนั้นจะตามมาได้
มือเล็กยันกำแพงหยาบด้านข้างก่อนหอบฮักปานจะขาดใจ”เราหนีมา...พ้นแล้ว”
ร่างผอมบางของเด็กชายทรุดตัวลงนั่งด้วยเหนื่อยอ่อนไม่แพ้กัน
ประสาทการรับกลิ่นสัมผัสได้ว่ากลิ่นเหม็นอับของพื้นที่รอบบริเวณจางลงไป
ลมพัดโชยอ่อนๆช่วยให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นเล็กน้อย”ขอบคุณมาก...”เสียงเล็กเว้นช่วงเมื่อได้กลิ่นที่ไม่คุ้นเคยจากร่างเด็กหญิง
แม้หอมหวนทว่าปะปนด้วยความฉุนประหลาด
และเป็นกลิ่นที่แรงเกินกว่าจะเป็นความหอมธรรมชาติดังเช่นกลิ่นสบู่จากเรือนร่างของแพทริเซียในยามปกติ
นางไม่ใช่แพทริเซียอย่างนั้นหรือ
เด็กชายจมอยู่ในห้วงความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนชื่อของต้นเหตุที่ทำให้แพทริเซียถูกเข้าใจผิดจะผุดขึ้นมาในสมอง”ท่านแคลร์...”
นัยน์ตาสีม่วงเบิกกว้างอย่างตกตะลึง
เสียงใสที่คล้ายกันราวฝาแฝดเอ่ยขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ”จ-เจ้ารู้จักชื่อข้าได้อย่างไร
แม้ผู้หญิงที่มากับเจ้าจะหน้าตาเหมือนข้ามาก แต่ตัวข้าและนางก็คงไม่รู้จักกันทั้งคู่มิใช่หรือ”สองมือจับมือขวาของเด็กชายแน่นราวกับจะหยุดการหมุนเวียนเลือดในมือนั้นเสียให้สนิท
อัศมิตาเริ่มสัมผัสถึงความแตกต่างของเด็กหญิงทั้งสองได้มากขึ้นทีละน้อยด้วยว่าแม้มือของแคลร์จะยังคงนุ่มเนียนสมเป็นชนชั้นสูง
ทว่ากลับให้สัมผัสที่สากกร้านกว่าแพทริเซีย”หลังจากที่ท่านหายไปแล้ว
เรากับแพทริเซียไปพบกับกลุ่มคนรับใช้ที่มาตามตัวท่านโดยบังเอิญ
และแพทริเซียถูกพาตัวไปเพราะเขาเหล่านั้นเข้าใจว่านางคือท่าน”เครื่องหน้างามฉายแววโศกสลดเมื่อคิดถึงเรื่องที่ตนไม่สามารถช่วยเหลือเด็กหญิงได้
แพทริเซียสินะ
อย่างน้อยก็ได้รู้จักชื่อของเจ้าแล้ว
สายตาของแคลร์สำรวจไปทั่วร่างกายของเด็กชายก่อนจะฉายแววรู้สึกผิดเมื่อจับจ้องไปยังเสื้อขาวที่มีรอยสกปรกจากการล้มลงบนพื้น
รอยช้ำตามเนื้อตัวตรงที่ไม่ถูกบดบังจากเสื้อผ้าเปียกชื้น
และรอยถลอกบริเวณข้อศอกกับเข่าทั้งสองข้าง”โดนพวกเขาทำร้ายมาใช่หรือไม่...ข้าขอโทษ”เสียงใสสะท้อนความละอายใจที่มีอยู่อย่างเต็มอกจนเด็กชายสัมผัสได้แม้มองไม่เห็นการแสดงออกทางสีหน้า
“ร-เรามิถือโทษอันใด พวกเขาเหล่านั้นต่างก็เพียงแค่ทำหน้าที่ของตน”เรือนผมสีทองพิสุทธิ์ขยับตามจังหวะการส่ายหน้า
เสียงเล็กของเด็กชายประหลาดใจด้วยมิคาดคิดว่าเด็กหญิงชนชั้นสูงจะขอโทษอย่างตรงไปตรงมา”ทว่าเราขอทราบบางเรื่องได้หรือไม่...ในตอนที่แพทริเซียถูกล้อมเอาไว้
เราได้ยินเสียงของคนรับใช้คนหนึ่งบอกว่าท่านมีแขก
แล้วเหตุใดท่านจึงออกจากบ้านของตนในเวลาเช่นนี้งั้นหรือ”
แม้จะรู้ดีว่าเด็กชายตาบอดตรงหน้ามิได้มีเจตนาจะย้ำเตือนความผิดของเธอ
ทว่าความรู้สึกสำนึกในสิ่งที่ทำกลับตีกระแทกจนจุกอก”ข้ามาลงพื้นที่เพื่อสำรวจปัญหาชุมชนที่กลุ่มแรงงานอาศัยอยู่”เสียงใสดุจกระดิ่งเอ่ยถึงภาพโดยรวมด้วยต้องการมิให้ตนเองต้องคิดถึงสาเหตุบางข้อ
“โปรดเล่าต่อเถิด”ใบหน้าน้อยสะท้อนความสนอกสนใจราวเด็กน้อยที่ได้ฟังนิทานเรื่องโปรด
“เรื่องนี้เกิดจากความไม่ชอบใจเล็กๆน้อยๆของข้าเอง
ทุกคนรอบตัวข้าใช้ชีวิตหรูหราอย่างที่เขาว่ากันว่าเป็นของขึ้นชื่อของฝรั่งเศส
ทั้งงานเลี้ยงเต้นรำที่จัดขึ้นเป็นประจำ การพบปะสังสรรค์และเรื่องอื่นๆก็ถูกจัดแต่งอย่างอลังการ”มือของเด็กหญิงขยับประกอบการพูดแม้จะรู้ว่าเด็กชายมองไม่เห็น”ในช่วงนี้ฝรั่งเศสเข้าร่วมและสนับสนุนสงครามหลายสมรภูมิ
ภาษีที่คนทั่วไปจ่ายแพงขึ้นในขณะที่พวกเรายังใช้ชีวิตอย่างสุขสบายและมองราวกับเป็นคนละชนชั้น
ทั้งที่เราทั้งหมดก็เป็นมนุษย์ด้วยกัน”เสียงใสคล้ายต้องการระบายสิ่งที่เก็บกดให้ใครสักคนฟัง
แม้เด็กชายจะระลึกได้ว่าแพทริเซียมิได้อยู่กับตนในขณะนี้
ทว่าลักษณะบางประการในคำพูดของแคลร์กลับคล้ายคลึงกับสิ่งที่ตนเคยได้ยินจากเพื่อนอย่างน่าประหลาด
“เพราะฉะนั้นข้าถึงอยากจะเป็นคนที่เริ่มการกระทำในอีกแง่มุม
อยากจะลองใช้ความรู้ความสามารถของตนเองช่วยเหลือให้พวกเขาได้สัมผัสกับความสุข
แรกๆอาจเป็นเพียงการช่วยเหลือฝ่ายเดียว
แต่ข้าเชื่อว่าในสักวันจะต้องเท่าเทียมกันได้”มือนุ่มกำชายกระโปรงสีฟ้าของตนแน่น”หรือหากข้าทำไม่สำเร็จ
อย่างน้อยก็ได้สร้างแนวคิดที่อาจจุดประกายให้ใครสักคนลุกขึ้นมาสานต่อในอนาคต”เสียงใสหนักแน่นราวกล่าวสุนทรพจน์กลางที่ประชุม
ความรู้สึกปิติยินดีอย่างเปี่ยมล้นบังเกิดขึ้นในใจของอัศมิตาเมื่อรับรู้ว่ายังมีผู้ที่ตระหนักถึงเหล่าคนที่ถูกเหยียบย่ำอยู่ในหมู่ชนชั้นสูง”เราเชื่อว่าท่านจะต้องทำเป้าหมายของตนให้สำเร็จได้แน่
ขอได้โปรดมุ่งมั่นต่อไปเพื่อพวกเขาด้วยเถิด”รอยยิ้มงดงามระบายลงบนริมฝีปาก
นัยน์ตากลมโตสีฟ้าที่เงยขึ้นตามต้นเสียงดูราวกำลังจับจ้องเด็กหญิงเมื่อประกอบกับความหวังที่ฉาบชโลมบนใบหน้า
“ขอบคุณเจ้ามากที่ให้กำลังใจ”มือเล็กแตะแผ่นหลังผอมบางอย่างแผ่วเบา”แต่ก่อนอื่นข้าคงต้องแก้ไขเรื่องที่ผิดพลาดของตนเสียก่อน
เจ้า...เอ่อ”เสียงใสชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนยังไม่รู้ชื่อของอีกฝ่าย
“นามของเราคืออัศมิตา”เสียงเล็กเอ่ยอย่างนุ่มนวลคลับคล้ายถูกฝึกมารยาทของชนชั้นสูงมาก่อน
แคลร์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อที่ฟังดูตะวันออกผิดหน้าตา
ก่อนรอยยิ้มจางๆจะผุดขึ้นบนใบหน้า
“ไปหาแพทริเซียด้วยกันเถอะนะ”
อัศมิตาพยักหน้ารับด้วยใจยินดีราวได้รับพรจากสรวงสวรรค์ขณะคิดได้ว่าความวิตกกังวลเรื่องแพทริเซียกำลังจะถูกคลี่คลายในอีกไม่ช้า
นิ้วผอมบางแตะแผ่นไม้โทรจิตที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของตน
ได้โปรดรอเราก่อนเถิด แพทริเซีย...
ความคิดเห็น