ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Saint Seiya The Lost Canvas] The White Sky Memories

    ลำดับตอนที่ #13 : แตกต่าง

    • อัปเดตล่าสุด 17 พ.ย. 60


                    แพทริเซียและกลุ่มบ่าวรับใช้ก้าวไปตามทางเดินยาวซึ่งปูพรมอย่างดีไว้ตลอด นัยน์ตาสีม่วงของเด็กหญิงเหม่อมองหมู่เมฆดำนอกหน้าต่างบานใหญ่ตรงทางเดินอย่างเหนื่อยใจ

     

    ทำไมเรื่องมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้

    ฝนก็กำลังจะตก

    ส่วนฉันเองถึงให้ใช้เวทมนตร์หยุดฝนในตอนนี้ก็ยังไม่มีโอกาสมากพอที่จะทำด้วยซ้ำ

     

    แล้วตอนนี้อัศมิตาจะเป็นไงบ้างนะ

     

    ความวิตกกังวลฉาบทาทั่วนัยน์ตาทั้งสองข้าง ภาพเด็กชายตาบอดที่ถูกรุมทำร้ายอย่างไร้หนทางสู้เมื่อครั้งอยู่อินเดียฉายขึ้นมาในความคิด

    “แพทริเซีย...เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง กลุ่มชายเหล่านั้นลงมือทำร้ายเจ้าหรือไม่”เสียงโทรจิตของอัศมิตาที่เป็นห่วงจากใจจริงยิ่งทำให้ความรู้สึกผิดที่ปล่อยให้เขาดิ้นรนเข้าไปหาจนกระทั่งถูกทำร้ายพอกพูนขึ้นเป็นเท่าทวี

    “ไม่หรอก พวกเขายังคิดว่าฉันเป็นท่านแคลร์อยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ”แม้จะเป็นการโทรจิต ทว่าจังหวะการเน้นเสียงที่ประชดประชันเล็กน้อยทำให้เด็กชายรู้สึกไม่ต่างจากเวลาพูดคุยกันต่อหน้านัก “แล้วเธอล่ะอัศมิตา แผลที่โดนทำร้ายเมื่อตอนนั้นเป็นอะไรมากไหม”

    “เราเคยเจอการทุบตีเช่นเดียวกันในอินเดียมานับครั้งไม่ถ้วน...เช่นนั้นแล้วแผลเพียงเท่านี้จึงไม่รู้สึกเจ็บปวดมากนัก ขอเจ้าจงสบายใจเถิด”เสียงเล็กที่ดังขึ้นอย่างไร้เดียงสาก่อให้เกิดความรู้สึกหดหู่ขึ้นในใจของเด็กหญิง

     

    นับครั้งไม่ถ้วน...แผลเพียงเท่านี้...

    ความรุนแรงไม่ใช่เรื่องที่เด็กคนนึงสมควรจะรู้สึกชินกับมันเลย

     

    “เธอไม่เป็นอะไรแถมเข้มแข็งได้ก็ดีแล้วล่ะ...แต่ว่านะ สิ่งที่เธอโดนกระทำไม่ว่าจะที่อินเดียหรือที่นี่มันไม่ใช่สิ่งที่ควรปฏิบัติต่อมนุษย์ด้วยกันเอง อย่าไปซึมซับว่าความรุนแรงแบบนี้เป็นเรื่องปกติเลย”

    “เราเข้าใจแล้ว”

    เด็กหญิงคาดเดาได้ว่าใบหน้าเจ้าของโทรจิตเมื่อครู่คงหดหู่ไปถนัดตา”ฉันไม่ได้บอกว่าที่เธอทำมันผิดนะ...แค่อยากให้เธอเห็นถึงโทษของเรื่องพวกนั้นเอง”ความรู้สึกผิดปะปนในเสียงใสราวกระดิ่งลม

    “งั้นหรือ....”เสียงเล็กฟังดูราวกับกำลังครุ่นคิดบางสิ่ง”แพทริเซีย...เรามีบางสิ่งที่อยากจะถาม”

    เด็กหญิงเผลอพยักหน้า นัยน์ตาสีม่วงเงยขึ้นมองกลุ่มบ่าวรับใช้ก่อนจะถอนหายใจด้วยโล่งอกเมื่อพบว่าไม่มีใครผิดสังเกต”มีอะไรคาใจเธออยู่เหรอ”

    “เหตุใดกลุ่มชายเหล่านั้นจึงเรียกเจ้าว่าท่านแคลร์และพาตัวเจ้าออกมากัน...หรือว่านี่คือสิ่งที่เจ้าปิดบังเรามาโดยตลอด”

     

    เอาเถอะ อัศมิตาไม่เห็นตอนที่ฉันชนกับแคลร์เมื่อตอนนั้นนี่

     

    “ใช่ซะที่ไหนกันเล่า ฉันก็คือแพทริเซีย...ไม่เคยชื่อแคลร์หรอกนะ”เสียงที่ก้องดังในหัวของเด็กชายมีจังหวะคล้ายต้องการหยอกเย้า”ที่พวกนั้นเข้าใจผิดเพราะว่าฉันกับแคลร์ดันหน้าตาคล้ายกันแถมยังใส่ชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนเหมือนกันน่ะสิ”

    อัศมิตารู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินเสียงใสกล่าวเช่นนั้น“เป็นไปได้อย่างไร หากไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน...ย่อมมีรูปลักษณ์แตกต่างกันมิใช่หรือ”

    “นั่นล่ะที่ฉันสงสัย จะว่าเป็นฝาแฝดก็ไม่น่าใช่”นิ้วเรียวยกขึ้นม้วนปลายผมระหว่างใช้ความคิด

    “ฝาแฝดคือพี่น้องที่ถือกำเนิดในครรภ์พร้อมกันและมีรูปลักษณ์เหมือนกันมากใช่หรือไม่...แล้วเพราะเหตุใดตัวเจ้าจึงคิดว่านางมิใช่ฝาแฝดของเจ้ากัน”

    “ไม่ใช่ฝาแฝดทุกคู่หรอกนะที่จะหน้าตาเหมือนกัน”แพทริเซียอธิบายเรียบๆ”แต่ที่ฉันค่อนข้างมั่นใจว่าแคลร์ไม่ใช่แฝดฉันเพราะว่าตั้งแต่เกิดมาก็ไม่เคยมีใครพูดถึงเรื่องนี้เลย”

     

    แม้กระทั่งคนที่ไม่จำเป็นจะต้องปิดบังอะไรฉันก็ตาม

     

    “ที่สำคัญฉันยังสัมผัสพลังเวทจากตัวเธอไม่ได้เลยด้วย...ถ้าเราเป็นแฝดกันจริงก็ควรจะมีพลังเหมือนกันทั้งคู่สิ”ร่างเล็กแหงนมองโคมระย้าหรูหราที่อยู่ตำแหน่งเหนือศีรษะของเธอพอดิบพอดี”แถมทางนั้นเองก็คงจะยังไม่รู้เรื่องที่มีคนหน้าเหมือนกันมาก่อน ตอนที่เธอเห็นหน้าฉันเข้าก็ดูตกใจมากเลยล่ะ”

    “ถ้าเช่นนั้นเป็นไปได้หรือไม่ที่เจ้าและนางจะมีบรรพบุรุษคนเดียวกัน”เด็กชายตั้งข้อสันนิษฐาน

    “ก็เป็นไปได้นะ ฉันเองก็ไม่เคยรู้ว่าตัวเองจะมีญาติอยู่ที่ฝรั่งเศสนี่หรือเปล่าด้วย”พลันนัยน์ตาสีม่วงเงยขึ้นสบกับรูปภาพของหญิงสูงศักดิ์คนหนึ่งบนผนัง

     

    จริงสิ ปราสาทของตระกูลผู้ดีพวกนี้น่าจะมีภาพเขียนตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษเรียงกันเป็นแถบด้วยนี่นา

    อาจพอมีเบาะแสเรื่องนี้อยู่บ้างก็ได้

     

    เดี๋ยวก่อน เธอจะมาไล่ตามกระต่ายป่าสองตัวในเวลาเดียวกันไม่ได้นะแพทริเซีย

    เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือการหนีออกจากที่นี่แล้วกลับไปหาอัศมิตาไม่ใช่หรือไง

     

    “ยังไงก็ช่างเรื่องนั้นก่อนเถอะ แล้วตอนนี้เธอเป็นไงบ้าง...ถึงโรงแรมหรือยัง”เสียงใสเอ่ยถามอย่างไม่ค่อยจะนึกสบายใจเท่าใดนัก

    “เรายังกลับไปไม่ถึงสถานที่แห่งนั้น”ท่าทีเซื่องซึมถูกแสดงออกผ่านโทรจิตอย่างเห็นได้ชัด

    “เธอหลงหรือยังจำเส้นทางได้ไม่หมดสินะ ทำไมไม่ลองขอให้คนที่ผ่านไปผ่านมาแถวๆนั้นช่วยดูล่ะ”

    “เราพยายามแล้ว...แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะเดินหลบเลี่ยงออกจากเส้นทางของตัวเรา”น้ำเสียงของอัศมิตาสั่นเครือราวเด็กชายผู้หวาดกลัวการถูกทำร้ายได้ควบคุมตัวเขาอีกครั้ง”และเรายังได้ยินบทสนทนาเกี่ยวกับเรื่องที่เจ้าถูกพาตัวไปอีกด้วย”

     

    พวกมนุษย์...

    ขนาดอัศมิตาเป็นมนุษย์ด้วยกันเองแท้ๆทำไมต้องหลบต้องเลี่ยงด้วย

    แค่เพราะความพิการหรือข่าวลือว่าเกี่ยวข้องกับแคลร์ก็ไม่ควรเป็นสิ่งที่ทำให้ละเลยความช่วยเหลือกับผู้ที่ต้องการไม่ใช่เหรอ

    เข้าใจล่ะ...ถ้างั้นรอบตัวเธอมีอะไรที่พอจะเป็นจุดสังเกตได้บ้างไหมแม้จะรู้สึกได้ถึงความขุ่นเคืองใจต่อมนุษย์ที่อัดแน่นอยู่เต็มอก แต่เด็กหญิงก็พยายามควบคุมให้เสียงในโทรจิตสุขุมและมั่นคงเพื่อปลอบโยนอีกฝ่ายไปในตัว”เช่นสัมผัสของอะไรสักอย่าง เสียงของผู้คน หรือกลิ่นของสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์”

    “สิ่งก่อสร้างที่อยู่บริเวณด้านหน้าของตัวเรานั้นไร้ซึ่งเสียงของผู้คนจากภายในและยังไม่มีกลิ่นใดที่โดดเด่นออกมานัก”เสียงเล็กเอ่ยราวกำลังพินิจพิเคราะห์อยู่”คงจะเป็นบ้านเรือนกระมัง”

    “ทางที่เราผ่านมามีบ้านคนเต็มไปหมดเลยนะ ไม่มีอย่างอื่นที่สังเกตได้ชัดกว่านี้บ้างเหรอ”คิ้วเรียวขมวดมุ่นเป็นปมเมื่อพยายามนึกถึงเส้นทางที่ตนใช้

    “ขอโทษด้วยแพทริเซีย...เราไม่พบสิ่งนั้นเลย”เสียงเล็กฟังดูหดหู่จับใจราวกับนึกโทษที่ตนเองไม่สามารถมองเห็นได้

    “ใจเย็นก่อนสิ มันก็ยังพอจะมีหวังอยู่นะ”แพทริเซียพยายามปลอบเด็กชายให้สงบลงแม้จะยังไม่แน่ใจว่าความหวังที่ตนพูดหมายถึงสิ่งใด

     

    ทำไงดีล่ะ

    ถ้าเป็นเวลาปกติปัญหานี้คงไม่เกิดขึ้นหรอก

    การจะบอกทางให้อัศมิตาในตอนที่ไม่เห็นว่าเขาอยู่ไหนมันแทบเป็นไปไม่ได้เลย

     

    นัยน์ตาสีม่วงจ้องเขม็งไปที่พื้นราวค้นหาบางสิ่ง เหงื่อกาฬผุดขึ้นบนใบหน้าคล้ายอยู่กลางแจ้งในวันแดดจัด ตัดกับบรรยากาศขมุกขมัวครึ้มฟ้าครึ้มฝนนอกหน้าต่าง ขณะฝีเท้าหยุดลงตรงหน้าประตูบานใหญ่ที่แกะสลักเป็นลวดลายวิจิตรตระการตา

    “ท่านแคลร์”เสียงของชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มที่เดินประกบข้างเธอมาตลอดเอ่ยอย่างนอบน้อม

    “มีอะไรหรือคะ”เสียงใสเปลี่ยนวิธีการพูดของตนให้นอบน้อมและสุภาพเรียบร้อยจนแม้กระทั่งตนเองยังรู้สึกแปลกหู

    มือหนาผายออกเป็นเชิงให้ร่างเล็กเดินนำหน้าเข้าไปก่อน“ท่านปิแยร์รอท่านอยู่ในห้องนี้แล้ว เชิญขอรับ”

     

    ต้องเข้าไปก่อนซะด้วย

    ได้ยินว่ามีแขกมา ก่อนอื่นคงไม่พ้นโดนเอ็ดเรื่องหนีออกจากบ้านแน่

    ให้ตายสิคุณหนูแคลร์ ลมอะไรหอบเรามาเจอกันวันนี้นะ

     

    เด็กหญิงทอดมองไปยังร่างสูงซึ่งยืนรออยู่ก่อนหน้า ใบหน้าที่คาดคะเนได้ว่าคงอยู่ในช่วงยี่สิบตอนปลายดูตึงเครียดราวอยู่ในพิธีของทางการ เรือนผมสีไม้แอชถูกมัดรวบเป็นหางม้าเคลียต้นคอ นัยน์ตาคมจับจ้องมายังตัวเธอด้วยแววไม่พอใจระคนเหนื่อยหน่าย

    “ขอบใจมากฌอง เจ้าไปได้แล้วล่ะ”ชายหนุ่มเอ่ยสั่งเสียงเรียบและรอจนกระทั่งคนรับใช้หนุ่มเดินออกไปจากบริเวณนั้นก่อนจะหันมาพูดด้วยน้ำเสียงของผู้ใหญ่สั่งสอนเด็ก”แคลร์ ลูกรู้ใช่ไหมว่าวันนี้ท่านอองรีจะมาที่นี่...และลูกจะต้องทำอะไรบ้าง”

     

    ไม่รู้เลยสักนิดเดียวค่ะ

     

    “ต้องขอโทษจริงๆค่ะ...ท่านพ่อ”เด็กหญิงก้มหน้าลงและมีท่าทีราวรู้สึกผิดจากก้นบึ้งของหัวใจ

    “งานการกุศลที่ลูกมารบเร้าพ่อตั้งหลายครั้งไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด”เฉดสีฮาเซลของดวงตาคู่นั้นสะท้อนแววเยียบเย็นดุจเคลือบยาพิษ”อย่างไรเสียชาวบ้านจนๆกับพวกพิการก็จะยังเป็นเช่นนั้น จะเหนื่อยยากดิ้นรนเพื่อคนเหล่านี้ไปทำไม”

     

    ไม่เห็นหัวชาวบ้านธรรมดาว่าอยู่ในฐานะเดียวกับตัวเองเลยสินะ

    ถ้าเป็นคนเดียวที่คิดต่างในครอบครัวขุนนางชั้นสูงแบบนี้....ฉันก็พอจะเดาได้แล้วล่ะว่าเธอคงรู้สึกยังไง

     

    “การที่รู้สึกอยากให้พวกเขาได้มีโอกาสเท่าเทียมกับผู้อื่นมันผิดด้วยหรือคะ”เธอตอบด้วยน้ำเสียงสุขุมนุ่มลึกผิดจากเด็กวัยเดียวกันขณะนึกถึงรอยยิ้มสดใสของอัศมิตา”คำสอนในพระคัมภีร์ก็ระบุไว้ว่าจงรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง...เช่นกัน”แม้จะรู้สึกขัดปากเล็กน้อยที่หยิบยกเรื่องศาสนาขึ้นกล่าวอ้าง ทว่าเด็กหญิงหวังว่าการกระทำเช่นนี้จะช่วยกระตุ้นเตือนให้ชายหนุ่มนึกถึงคำสอนในคัมภีร์ที่ตนนับถือได้

    เขาชะงักเล็กน้อย“ลูกนี่หัวรั้นเสียจริง แม้พระวัจนะในพระคัมภีร์เป็นสิ่งสำคัญ...ทว่าการรักษาหน้าตาของวงศ์ตระกูลก็เป็นสิ่งสำคัญมิใช่หรือ”คิ้วเข้มขมวดลง บรรยากาศโดยรอบเงียบเชียบจนราวกับอยู่ในชั้นศาล”เลิกคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องเช่นนี้เสีย หน้าที่ของลูกคือการไม่ทำเรื่องขายหน้าและปฏิบัติตามที่พ่อสอนอย่างเคร่งครัด”

     

    ความสัมพันธ์พ่อลูกอะไรอึดอัดจริง

    พวกชนชั้นสูงฝรั่งเศสเป็นแบบนี้กันเยอะไหมเนี่ย

     

    ใบหน้าสวยหมดจดของหญิงสาวใส่แว่นปรากฏขึ้นจากความทรงจำ เมื่อนึกถึงรอยยิ้มที่ได้รับมาทุกครั้งแม้กระทั่งการถกเถียงในหัวข้อเล็กน้อย รวมถึงการที่หญิงสาวยอมรับฟังข้อคิดเห็นแม้จะฟังดูไร้เหตุผลสักเพียงไหน หัวใจก็พลันบีบตัวจนเจ็บแปลบขณะหวนคิดถึงชะตากรรมสุดท้าย

    “ฉัน...”

    “ข้ารู้สึกเสียใจจริงๆค่ะ”เป็นครั้งแรกที่เด็กหญิงพูดกับปิแยร์ด้วยความรู้สึกจากใจจริง แม้ความรู้สึกในอกจะไม่ได้เกิดจากคำตำหนิของเขาแม้เพียงสักนิด

    ปิแยร์ถอนใจ ร่างสูงยังคงรักษาท่าทีเคร่งครัดในมารยาทเอาไว้แม้อยู่กับผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นลูกสาว”ไว้ค่อยพูดถึงเรื่องนี้ทีหลัง เราเสียเวลามามากพอแล้ว...ท่านอองรีกำลังรอลูกอยู่ เข้าไปเสีย”

    ชายหนุ่มก้าวยาวๆไปทางประตูสีขาวสะอาดบานใหญ่ตรงหน้า มือทั้งสองผลักบานประตูให้เปิดกว้างออกขนาดพอให้ตัวคนเดินผ่านเข้าไปได้ เผยให้เห็นห้องกว้างขนาดใหญ่ที่ดูราวกับเครื่องเรือนถูกขนย้ายออกไปชั่วคราวเพื่อจุดประสงค์บางอย่าง คงเหลือเพียงชุดเก้าอี้หรูหราบุผ้าหนานุ่มสำหรับรับแขกไว้ที่มุมหนึ่ง และก้อนหินขนาดใหญ่บริเวณกลางห้อง

     

    ไม่ยักรู้ว่าเดี๋ยวนี้เขานิยมเอาหินก้อนเบ้อเร่อมาแต่งบ้านกันแบบไม่แกะสลักด้วย

     

    คิ้วเรียวขมวดมุ่นด้วยงุนงงก่อนเก็บรักษากิริยาอาการให้สงบและก้าวเดินผ่านประตูไปอย่างช้าๆ

    ปิแยร์ที่เดินตามมาเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเป็นการเป็นงาน”ขอโทษที่ลูกสาวข้าไม่ได้เรื่องได้ราวจนแขกเช่นเจ้าต้องรอนานขนาดนี้...อองรี”

    นัยน์ตาสีฟ้าเทาของชายหนุ่มบนโซฟาฉายแววขบขันเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของคนร่างสูง”ไม่ต้องจริงจังเสียขนาดนั้นหรอก เป็นธรรมชาติของเด็กวัยนี้ที่จะมีอาการไม่เชื่อฟังพ่อแม่ของตน”เขาส่งรอยยิ้มอ่อนโยนมาทางเด็กหญิง”ขนาดเดเจลยังเคยแอบออกไปเที่ยวเล่นเหมือนกัน”

    “เดเจลเป็นเด็กที่ตั้งใจจนสามารถคว้าเกียรติยศมาให้ตระกูลลูมิแยร์ของเจ้าได้มิใช่รึ ไม่เหมือนกับลูกสาวข้าที่ไม่ยอมสนใจการฝึกแต่กลับไปมุ่งอยู่กับการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสจนพลาดโอกาสนั้นไป”เสียงทุ้มเย็นเฉียบดุจอากาศกลางคืนหิมะตก

    “การช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสก็เป็นสิ่งที่ควรกระทำ..หากนางอยากจะมาทางด้านนี้จริงข้าก็ไม่เห็นประโยชน์ที่จะรั้งตัวนางให้ทุกข์ทรมานกับการฝึกอยู่เปล่าๆ”เขายกแก้วไวน์ขึ้นจิบอย่างไม่นึกทุกข์ร้อน

    “เจ้ากำลังจะทำให้นางเสียนิสัย”แม้จะยังคงไว้ซึ่งความเคร่งระเบียบ ทว่ากลับได้ยินความขัดเคืองที่ปะปนกับน้ำเสียงอย่างชัดเจน

    “ข้าคิดว่าที่เจ้าเรียกมาในวันนี้มิได้มีจุดประสงค์เพื่อการตำหนินางให้ข้าฟังหรอกนะ”ชายหนุ่มยกมือขึ้นปราบก่อนจะพยักเพยิดอย่างมีความนัยไปที่หินใจกลางห้อง

    แววไม่เข้าใจปรากฏขึ้นบนนัยน์ตากลมโตของเด็กหญิง สายตาของเธอเลื่อนไปจับเรือนผมสีเขียวสดของเขาซึ่งชวนให้นึกถึงสีน้ำมันที่เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ของหญิงสาวร่างสูง

    เครื่องหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มผมสีไม้แอชแสดงอาการราวเพิ่งนึกถึงจุดประสงค์สำคัญขึ้นได้”แคลร์ ลูกรู้ใช่หรือไม่ว่าต้องทำสิ่งใดต่อไป”

     

    ใช่ แคลร์น่ะคงรู้ดี

    แต่ฉันไม่ใช่แคลร์สักหน่อย...จะไปรู้ได้ยังไง

     

    คงต้องเล่นละครไปก่อนจนกว่าจะหาทางหนีได้ล่ะนะ

     

    “ท่านพ่อกำลังพูดถึงสิ่งใดอยู่หรือคะ”แพทริเซียเลือกใช้โทนเสียงและสีหน้าที่ดูคลับคล้ายเด็กน้อยไร้เดียงสาเท่าที่ตนจะสามารถทำได้

    นัยน์ตาสีฮาเซลจ้องเขม็งราวกับจะสื่อถึงความไม่พอใจที่ต้องบอกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทว่าเสียงทุ้มกลับพูดอย่างราบเรียบกว่าที่เธอคิดเอาไว้”ใช้คอสโมของลูกทำลายหินก้อนนี้เฉกเช่นที่ฝึกมาเมื่อวันก่อนเสีย”

    เด็กหญิงผู้งดงามราวเทพธิดาแห่งราตรีสะกดความรู้สึกมิให้ออกมาทางสีหน้าขณะในหัวเต็มไปด้วยคำถามที่พวยพุ่งขึ้นดุจลาวาที่ไหลปริ่มจากปล่องภูเขาไฟ

     

    คอสโม..คืออะไร

    ไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วย

    เป็นคำที่ชนชั้นสูงแถบนี้ใช้เรียกเวทมนตร์เหรอ..ไม่สิ

    ถ้ารู้เรื่องของเวทมนตร์ก็น่าจะมีพลังนี่นา แต่ฉันสัมผัสมันจากทั้งสองคนไม่ได้เลย

     

    เกียรติยศที่เด็กชื่อเดเจลนั่นทำได้หมายความว่ายังไง

    แล้วก็คอสโมดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่แข็งแกร่งขึ้นจากการฝึก...แคลร์สามารถใช้มันทำลายหินได้

    แต่มันเป็นพลังแบบไหนกันล่ะ เสริมความแข็งแกร่งด้านกายภาพ...หรือแค่ผู้ใช้สามารถควบคุมมันได้ก็จะทำลายหินนี่แบบไม่เปลืองแรงคล้ายการใช้เวทมนตร์

     

    ฉันควรทำยังไงดี

     

     

     

    อากาศเย็น

    กลิ่นชื้นจากไอดินลอยขึ้นเด่นชัด

    อีกไม่นานฝนคงจะตกลงมาแล้วกระมัง

     

    เด็กชายตาบอดครุ่นคิดพลางก้าวช้าๆไปตามถนนยาวซึ่งปูหินไว้ตลอด แขนทั้งสองยื่นออกไปข้างหน้าเป็นเครื่องป้องกันมิให้ชนเข้ากับสิ่งกีดขวาง เสื้อที่เคยเป็นสีขาวสะอาดกลับมีรอยเปรอะเปื้อนจากการล้มลงบนพื้นและความพยายามดิ้นรนอันล้มเหลวก่อนมือขวาลดลงแตะแผ่นไม้บริเวณกระเป๋ากางเกงด้วยคะนึงหา

     

    แพทริเซีย...หากติดต่อไปตอนนี้รังแต่จะทำให้เจ้าเป็นห่วงเราเสียเปล่า

    เรารู้ตนเองดีว่าอ่อนแอและเป็นภาระแก่เจ้ามาตลอด เช่นนั้นจงวางใจเถิด

    แม้ไม่มีผู้ใดช่วยเหลือ ทว่าเราจะต้องหาหนทางกลับไปยังโรงแรมตามคำของเจ้าให้จงได้

     

    นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มเกือบดำของกลุ่มเด็กชายอายุราวสิบสองสิบสามปีมองภาพนั้นอย่างนึกขบขัน กระทั่งคนหนึ่งในกลุ่มเอ่ยขึ้นด้วยท่าทีไม่เป็นมิตร

    “เฮ้ย ไอ้บอด”

    อัศมิตาชะงักกึก เด็กชายหันไปทางต้นเสียงขณะความหวาดกลัวเข้าครอบงำในจิตใจ จากเสียงย่ำเท้าที่เข้ามาหาทำให้คาดคะเนได้ว่าสมาชิกในกลุ่มดังกล่าวคงไม่ต่ำไปกว่าห้าคน

    “เสื้อสวยดีนี่หว่า ปกติผู้ดีเขาเอาพวกไม่สมประกอบอย่างแกซุกไว้ในบ้านไม่ใช่รึ แล้วทำไมแกออกมาเดินเพ่นพ่านตัวเดียวได้ล่ะนี่”

    เด็กชายพยายามจะตอบ ทว่าเสียงในลำคอกลับเหือดแห้งไปจากความหวาดกลัวจนไม่สามารถเอ่ยเป็นคำพูดออกมาได้

    “ช่างเถอะ ข้าจะสงเคราะห์ให้แกได้เผ่นหนีกลับบ้านแทบไม่ทันเลยล่ะ”

    เด็กชายสัมผัสได้ว่าวัตถุที่ถูกขว้างมาเฉียดใบหน้าไปเพียงเส้นยาแดงผ่าแปด พร้อมเสียงหัวเราะสะใจที่ประสานขึ้นราวต้องการเย้ยหยัน ก่อนก้อนหินอีกราวสองสามก้อนจะถูกขว้างปามาทางเขาเป็นเชิงขับไล่

    “มันยังยืนนิ่งอยู่เว้ย คงต้องเล่นให้แรงกว่านี้ซะแล้ว”ผู้เป็นหัวโจกเอ่ยขึ้นพลางล้อเลียนอากัปกิริยาของเด็กชายไปในเชิงขบขัน และสั่งให้คนในกลุ่มเพิ่มความรุนแรงของการขว้างปาสิ่งของขึ้นอีก

    อัศมิตากัดริมฝีปากตนเองแน่นจนรู้สึกถึงรสเลือด ก่อนเด็กชายจะตัดสินใจกลับหลังหันและวิ่งอย่างรวดเร็วที่สุดเท่าที่สภาพร่างกายที่มีขีดจำกัดจะเอื้ออำนวย เท้าผอมบางสะดุดเข้ากับสิ่งของตามพื้นและช่องว่างระหว่างหินเสียหลายครั้งก่อนจะตั้งตัวขึ้นมาได้และวิ่งอย่างไม่คิดชีวิตก่อนที่กลุ่มเด็กเหล่านั้นจะตามมาทัน

     

    นี่มันอะไรกัน กลุ่มคนที่กระทำการรุนแรงเพื่อความสนุกเช่นนี้ยังมีอยู่ในยุโรปอย่างนั้นหรือ

    แล้วเหตุใดแพทริเซียที่มาจากยุโรปเช่นเดียวกันถึงพูดว่าตัวเรามีความเท่าเทียมได้เล่า

     

    ฝีเท้าของเด็กชายค่อยๆชะลอลงเมื่อไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของเด็กเหล่านั้นวิ่งตามมา ก่อนเด็กชายจะเริ่มสัมผัสได้ว่าตนอยู่ในตรอกแห่งหนึ่งที่เล็กแคบและทึบทึม กลิ่นเหม็นอับคละคลุ้งของสถานที่เสื่อมโทรมทำให้นึกถึงบ้านเกิดขึ้นมาอย่างประหลาด เสียงจี๊ดจ๊าดของหนูสะท้อนก้องไปทั่วโสตสัมผัส

     

    เราคงจะหลงทางเสียแล้ว

     

    “ที่นี่...ที่ใด”มือผอมบางยื่นออกควานเปะปะไปข้างหน้าจนกระทั่งสัมผัสกับพื้นผิวหยาบสากของกำแพงเก่าคร่ำคร่า เด็กชายจึงตัดสินใจค่อยๆเดินเลียบไปตามแนวกำแพงอย่างระมัดระวัง

     

    แม้จะห่างไกลแต่กลับทำให้เราหวนคิดถึงสถานที่ซึ่งได้จากมาอย่างน่าประหลาด

    หรือตัวเราจะเกิดมาเพื่อพบเจอกับสิ่งเช่นนี้กัน

     

    เครื่องหน้างดงามแสดงอาการเสียใจขณะครุ่นคิดถึงความเจ็บปวดของเด็กหญิงที่แฝงอยู่ในเสียงตะโกนก้องให้ปล่อยตัวเขาไป อัศมิตาสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงใสในโทรจิตเหล่านั้นพยายามปกปิดความอ่อนแอของตนมากเพียงไหนเพื่อให้ตัวเขาสบายใจ

     

    แพทริเซีย ขอโทษที่เป็นภาระแก่ตัวเจ้า

    หากไม่มีตัวถ่วงเช่นเราแล้วเจ้าคงใช้เวทมนตร์เพื่อหนีจากกลุ่มชายเหล่านั้นได้อย่างไม่ยากเย็น

    จริงดังที่ท่านแม่ว่า จัณฑาลพิกลพิการน่ารังเกียจเช่นตัวเราคงจะนำพาโชคร้ายมาสู่ผู้คน

     

    หยาดน้ำตาเอ่อล้นจนกระทั่งไหลผ่านแก้มขาวเนียนช้าๆ นิ้วผอมบางเอื้อมแตะรอยฟกช้ำจากการถูกทุบตี

     

    บางทีตัวเราอาจไม่มีค่าคู่ควรที่จะเดินทางกับเจ้าเสียด้วยซ้ำ

     

    เด็กชายรู้สึกถึงน้ำสองสามหยดที่กระทบลงบนศีรษะ มือซ้ายยื่นออกไปเบื้องหน้าเพื่อตรวจสอบสิ่งที่นึกสังหรณ์ก่อนได้รับคำตอบในอีกเสี้ยววินาทีโดยสายฝนที่กระหน่ำสาดเทลงมาอย่างไม่ทันตั้งตัว เสียงหยาดน้ำตกกระทบพื้นหินดังก้องไปทั่วตรอกแคบ

     

    คงต้องรีบหาที่กำบังฝนเสียก่อน

    หากป่วยไข้ขึ้นมารังแต่จะทำให้แพทริเซียเดือดร้อนเสียเปล่าๆ

     

    อัศมิตายังจำการเจ็บป่วยครั้งสุดท้ายได้ดีราวเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน อุณหภูมิร่างกายนั้นร้อนจัดดุจถูกไฟนรกเผาผลาญ ศีรษะปวดอย่างร้ายกาจราวถูกคีมบีบกะโหลก ของเหลวเหนียวข้นที่ไหลออกจากจมูกทำให้ได้รับฉายาตัวโสโครกจากผู้คนที่ได้พบเห็น อีกทั้งประสาทสัมผัสสำคัญอย่างการรับกลิ่นก็ไม่สามารถใช้งานได้เต็มที่

    ....นับเป็นสิ่งอันตรายอย่างยวดยิ่งสำหรับผู้ใช้ชีวิตในโลกมืดดังเช่นตัวเขา

     

    เด็กชายใช้ลำตัวที่เปียกชุ่มจากฝนเป็นเกราะกำบังกระเป๋าใบใหญ่ที่กอดไว้ มืออีกข้างทำหน้าที่เป็นเครื่องนำทางขณะสองเท้ารีบสาวไปข้างหน้าเพื่อเสาะหาสถานที่ซึ่งพอจะเป็นร่มเงาให้หลบจากฝนได้

    “บริเวณนั้น...”เสียงเล็กพึมพำในลำคอเมื่อประสาทหูรับรู้ถึงพื้นที่ซึ่งไร้เสียงหยดน้ำตกกระทบ แม้จะยังระมัดระวังการลื่นล้ม แต่อัศมิตาก็เร่งความเร็วขึ้นเพื่อที่จะไปให้ถึงจุดหมายโดยไว

    มือเล็กสัมผัสกับผนังอิฐของอาคารก่อนที่เด็กชายจะเดินไปตามแนวกำแพงจนพบทางเข้า เด็กชายรีบก้าวเข้าไปภายในขณะกลิ่นเหม็นรุนแรงของสถานที่ซึ่งถูกทิ้งร้างลอยขึ้นแตะจมูก เท้าผอมบางเหยียบลงบนเศษไม้แตกหักที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นส่วนหนึ่งของประตู อัศมิตารู้สึกราวกับมีสายตาคู่หนึ่งกำลังจับจ้องเขาอยู่

    “มาทำอะไรที่นี่หรือคะคุณชาย”เสียงแหบแห้งของหญิงชราเอ่ยทัก นัยน์ตาสีน้ำตาลฉายแววสนอกสนใจเมื่อเห็นเสื้อผ้าที่เด็กชายสวม

    แม้ในอกจะเต็มไปด้วยความหวั่นกลัวจากการถูกทำร้าย ทว่าเด็กชายตัดสินใจตอบแต่โดยดี”เราหลงทาง...”

    ความไม่เชื่อปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยเหี่ยวย่นจนกระทั่งสายตาของหญิงชราเลื่อนขึ้นมองนัยน์ตากลมโตสีฟ้าสดที่เหม่อลอยราวมิได้จับจ้องมายังคู่สนทนา ร่างที่ชราจนหลังงองุ้มค่อยๆขยับเข้ามาใกล้ มือหยาบสากที่เหี่ยวย่นและปูดโปนไปด้วยเส้นเอ็นจับมือของเด็กน้อยเอาไว้”นี่ท่านตาบอดอย่างนั้นหรือ”

    ร่างเล็กพยักหน้ารับอย่างแผ่วค่อย”ใช่แล้วท่านยาย นัยน์ตาของเราพิการแต่กำเนิด”มือผอมบางสัมผัสแขนเสื้อที่ชื้นแฉะจนลู่ลงแนบชิดหัวไหล่ ความเปียกชื้นของเสื้อส่งมาถึงเนื้อตัวจนสั่นสะท้านไปทั้งร่าง”เช่นนั้นท่านยายพอจะรู้หนทางไปยังโรงแรมใกล้ๆนี้หรือไม่”เสียงเล็กเสี่ยงถามด้วยเด็กชายสัมผัสได้ว่าหญิงชราไร้ซึ่งท่าทีหลบเลี่ยงตัวเขาดังเช่นผู้คนบนถนนใหญ่

     

    บางทีนางอาจพอนึกเห็นใจเราอยู่บ้างกระมัง

     

    “ต้องขอโทษด้วย ข้าไม่ออกไปที่ถนนใหญ่เสียนานแล้ว...ตำแหน่งสถานที่ก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลา คงมิสามารถจะช่วยท่านได้”หญิงชราเสริมต่อหลังเห็นสีหน้าของเด็กชายที่ดูราวกับความหวังสุดท้ายสูญสลายไปในพริบตา”ท่านถามถึงโรงแรม...เป็นชาวต่างชาติจำพวกบุตรของพ่อค้าไม่ก็นักเดินทางหรือ”

    “ท่านเข้าใจถูกแล้ว เรามิใช่คนฝรั่งเศส ในตอนนี้กำลังออกเดินทาง...”อัศมิตาละประโยคไว้ คำเตือนของแพทริเซียเรื่องการบอกข้อมูลสำคัญแก่คนแปลกหน้าดังขึ้นในหัว เขาจึงเบี่ยงประเด็นมายังอีกสิ่งหนึ่งที่ตนรู้สึกสงสัยนับตั้งแต่ย่างเท้าเข้ามาในตรอกแห่งนี้”อย่างไรก็ตามเพื่อนของเราได้กล่าวไว้ว่าฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีอิทธิพลต่อยุโรป เช่นนั้นจึงควรเป็นสถานที่ซึ่งความเจริญเข้าทั่วถึงมิใช่หรือ เหตุใดจึงยังหลงเหลือความแตกต่างเช่นนี้อยู่เล่า”

    คิ้วสีดอกเลาเลิกขึ้นเมื่อได้ยินข้อสงสัยที่ดูโตเกินวัย”แม้ในมหานครใหญ่ก็อาจพบความเหลื่อมล้ำได้เสมอ”เสียงแหบแห้งไอค่อกแค่กก่อนเอ่ยต่อ”ถนนใหญ่เป็นแหล่งอาศัยของชนชั้นกลางขึ้นไปจึงดูเจริญหูเจริญตา ส่วนผู้ใช้แรงงานเช่นเราจะอยู่ในมุมมืดเช่นนี้”

    ร่างเล็กนิ่งฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

    “นโยบายเก็บภาษีแย่ๆก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุ ชนชั้นสูงไม่เคยต้องเสียอะไร...ในขณะที่เงินของชาวบ้านธรรมดาถูกขูดรีดไปปรนเปรอให้พวกนั้นได้อยู่อย่างหรูหราฟู่ฟ่า”ความคับแค้นใจถูกถ่ายทอดออกมาผ่านน้ำเสียงที่สั่นเครือ”ช่วงนี้พอฝรั่งเศสเข้าร่วมสงคราม..อัตราภาษีที่ต้องเสียก็ยิ่งมากกว่าเดิม พวกบนถนนใหญ่ยังพอจะอยู่กันได้ แต่แรงงานระดับล่างแทบจะไม่เหลืออะไรแล้ว...ไม่เหลือแล้ว”ร่างงองุ้มสะอื้นฮัก น้ำตาไหลลงผ่านใบหน้าเหี่ยวย่นเป็นสาย

    อัศมิตาสะดุ้งเฮือกด้วยไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์จะดำเนินมาเช่นนี้”ท่านยาย เราขอโทษด้วย...เรามิได้มีเจตนาจะย้ำเตือนถึงเรื่องราวที่ทำให้ท่านเจ็บช้ำน้ำใจ”มือเล็กวางสัมภาระที่ถือมาลงกับพื้น ก่อนร่างเล็กย่อตัวลงและกอดหญิงชราไว้อย่างแนบแน่น หวังเพียงวิธีนี้จะทำให้นางสงบลงได้เฉกเช่นที่ตนเคยรู้สึก

     

    ในประเทศแห่งหนึ่งซึ่งมีคำบอกเล่าว่าเป็นสถานที่เจริญแล้วกลับมีโครงสร้างไม่ต่างกัน

    คนกลุ่มหนึ่งที่มีสถานะทางสังคมสูงกำหนดให้อีกกลุ่มอยู่ต่ำกว่าเพื่อผลประโยชน์และความพึงพอใจส่วนตน

     

    เด็กชายหวนนึกถึงเมื่อครั้งที่ตนอยู่อินเดีย น้ำนมที่ถูกสาดมาเพื่อขับไล่ตัวกาลกิณี ผู้คนที่ถอยหนีด้วยความเชื่อที่มิยอมให้เงาของจัณฑาลพาดผ่าน เสียงล้อเลียนถึงสถานะและความพิการยังคงแจ่มชัดราวกับผ่านไปไม่ถึงวัน

     

    โลกที่เต็มไปด้วยการกดขี่และแบ่งแยกชนชั้น

    จะทำเช่นไรให้ผู้ที่ถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้เงาได้หลุดพ้นจากความทุกข์

     

    แม้ประสาทสัมผัสอื่นที่ถูกพัฒนาขึ้นทดแทนการมองเห็นจะสัมผัสได้ว่าหญิงชราคนนี้มิได้สะอาดสะอ้านนัก ทว่าอัศมิตามิได้ใส่ใจถึงเรื่องนั้นด้วยคำนึงว่าครั้งหนึ่งตนเองก็มีสภาพไม่แตกต่างกัน อ้อมกอดของเขายังมิคลายลงจนกระทั่งเสียงของสายฝนที่กระหน่ำสาดเทค่อยๆซาลงตามลำดับ

    “ดูเหมือนสายฝนจะหยุดลงแล้ว เราคงรบกวนท่านยายเพียงเท่านี้...ขอบคุณสำหรับข้อมูลเหล่านั้นอย่างมาก”เด็กชายเอ่ยขึ้นเมื่อไม่ได้ยินเสียงเม็ดฝนกระทบพื้นอีกต่อไป รอยยิ้มแต่งแต้มให้ใบหน้าที่งดงามอยู่เดิมดูผุดผ่องไร้มลทินประดุจเทพยดาบนสรวงสวรรค์

     

    บางทีท่านทูตสวรรค์อาจจำแลงกายมาใกล้กว่าที่ข้าเคยคิดเสียอีก

     

    แม้จะเป็นเวลาเพียงไม่นานที่ได้พบเจอเด็กชาย ทว่าความรู้สึกที่ถูกเติมเต็มนั้นส่งผลให้รู้สึกใจหายอย่างประหลาดเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น”ท่านกำลังจะไปแล้วหรือ...คุณชาย”พลันเสียงท้องร้องโครกครากด้วยความหิวดังสะท้อนก้องไปทั่วอาคารร้าง หญิงชราอับอายเสียจนหน้าแดง

    อัศมิตาเหลียวหันมาทางต้นเสียงอย่างนึกเห็นใจ ราวกับภาพสะท้อนความทรงจำในอดีตของตนปรากฏขึ้นแจ่มชัดอยู่ตรงหน้า”ท่านยายหิวอย่างนั้นหรือ...โปรดรอสักครู่เถิด”ร่างเล็กควานหากระเป๋าที่ตนถือมาด้วยก่อนย่อตัวลงเปิดและใช้มือผอมบางค้นหาอาหารที่ถูกเก็บไว้ในกระเป๋าจนกระทั่งพบขนมปังก้อนหนึ่ง

     

    ขอโทษที่ถือวิสาสะค้นกระเป๋าของเจ้า

    เราเชื่อว่าผู้มีเมตตาอย่างเจ้าคงจะเข้าใจเหตุผลในครั้งนี้

    หากเจ้าอยู่กับตัวเราในตอนนี้อาจมอบสิ่งที่ดีกว่าให้แก่นางได้

     

    หรือถ้าหากเจ้าขุ่นเคืองในความไร้มารยาทของเรา...ก็จักขอเป็นผู้น้อมรับความผิดแต่เพียงผู้เดียว

     

    เด็กชายยื่นก้อนขนมปังไปยังทิศทางของหญิงชรา”ท่านสามารถทานสิ่งนี้ได้ใช่หรือไม่”เสียงเล็กแฝงไปด้วยความเป็นห่วงจากจิตใจที่แท้จริง

    ร่างงองุ้มลังเลเล็กน้อยก่อนจะรับขนมปังนั้นมาด้วยทนฤทธิ์ความหิวโหยที่กัดกินอยู่ในกระเพาะไม่ไหว”จากเครื่องแต่งตัวที่ดูมีราคาเช่นนั้น...ท่านคงมิได้อยู่ในระดับเดียวกับข้า แล้วทำไมถึงเอื้อเฟื้อแก่ข้าถึงเพียงนี้”เสียงแหบเปี่ยมล้นด้วยความตื้นตันใจ ก่อนหญิงชราจะทานขนมปังหมดด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อหากเทียบกับฟันฟางที่เหลือไม่มากนัก

    รอยยิ้มจางๆผุดขึ้นบนใบหน้าเมื่อนึกถึงเสียงใสที่ดึงเขาขึ้นมาจากความมืดมิด”เรามิได้อยู่ในชาติตระกูลสูงมาแต่เดิม ทว่าด้วยจิตใจที่โอบอ้อมอารีของคนๆหนึ่งช่วยเราออกมาจากสถานที่แห่งนั้น...เช่นนั้นแล้วมิจำเป็นที่ท่านยายจะต้องใช้รูปประโยคสุภาพกับเรา”นัยน์ตาสีฟ้าสดใสดูราวกับทอดมองไปยังเบื้องหน้า”เพราะเคยประสบมาก่อนจึงพอจะเข้าใจว่าความหิวโหยและความอดอยากแร้นแค้นเป็นเช่นไร เมื่อเราพ้นออกจากสถานะนั้นแล้วจึงปรารถนาให้ผู้อื่นได้พ้นจากความทุกข์บ้าง...แม้เรื่องที่เราทำได้จะเป็นเพียงสิ่งเล็กน้อยก็ตามที”

    หญิงชรานิ่งอึ้งเล็กน้อยด้วยไม่เคยคาดคิดว่าจะได้ยินประโยคเช่นนี้ออกจากปากของเด็กชายตาบอดวัยไม่ถึงสิบขวบ”เจ้าช่างเป็นผู้ที่มีความคิดอ่านไกลเกินเด็กยิ่งนัก”เสียงแหบตัดสินใจเปลี่ยนรูปประโยคตามคำของเด็กชาย”ข้าเชื่อว่าสักวันหนึ่งเจ้าจะเติบใหญ่เป็นบุรุษผู้สง่างามและมีจิตใจที่บริสุทธิ์ยิ่งกว่าผู้ใด และเจ้าคงจะค้นพบหนทางที่จะช่วยคลี่คลายความทุกข์แก่ผู้คนได้ดังปรารถนา”

    แม้จะไม่มั่นใจนักว่าตนจะสามารถเป็นบุรุษที่สง่างามได้ดังคำกล่าว ทว่าความรู้สึกที่พองโตในอกส่งผลให้เด็กชายเอ่ยด้วยน้ำเสียงแจ่มใสราวท้องฟ้าในวันปลอดโปร่ง”ขอบคุณท่านยายสำหรับคำอวยพร”เสียงเล็กเว้นวรรคไปครู่หนึ่ง”เราคงต้องไปแล้ว หากไม่พยายามค้นหาทางกลับไปยังโรงแรมคงจะทำให้เพื่อนของเราต้องเป็นห่วง”เสียงเล็กแผ่วค่อยลงเล็กน้อยเมื่อนึกถึงเพื่อนที่ถูกพรากจากไป

    “ถ้าอย่างนั้นข้าขอเพียงคำถามสุดท้าย”เสียงแหบแห้งเอ่ยขณะเฝ้ามองเด็กชายควานหากระเป๋าขึ้นมาถือเตรียมพร้อม”ชื่อของเจ้าคืออะไรงั้นหรือ”

    แสงที่สาดส่องผ่านช่องประตูมายังตำแหน่งที่เด็กชายยืนอยู่ดูคล้ายกับรัศมีอันแผ่ออกจากร่างกาย”เราชื่ออัศมิตา”เสียงเล็กเอ่ยก่อนจะค่อยๆเดินไปยังทิศทางของช่องที่เคยเป็นประตู”ลาก่อนท่านยาย”ร่างเล็กโบกไม้โบกมือให้กับหญิงชราก่อนแผ่นหลังนั้นจะข้ามพ้นขอบประตูไป

    นางเฝ้ามองจนกระทั่งร่างเล็กหายลับจากสายตา ก่อนเปลือกตาบดบังสีน้ำตาลของนัยน์ตาช้าๆ หญิงชรายกมือขึ้นประสานระหว่างอกคล้ายกำลังสวดภาวนา

     

    อา ท่านทูตแห่งพระผู้เป็นเจ้า

    คราวนี้ท่านเลือกใช้ชื่อจากตะวันออกในการจำแลงกายในครั้งนี้อย่างนั้นหรือ

     

    ร่างเล็กก้าวไปตามถนนขรุขระที่มีน้ำฝนขังเป็นแอ่งอย่างระมัดระวัง แม้ว่าหลังฝนตกจะมีกลิ่นสดชื่นของไอดิน ทว่ามิอาจเอาชนะกลิ่นเหม็นอับอย่างร้ายกาจที่มีอยู่เดิมได้ ด้วยจดจ่ออยู่กับสิ่งรอบตัวทำให้ไม่ทันสัมผัสได้ถึงคนกลุ่มหนึ่งที่จ้องสัมภาระในมือตาเป็นมัน

    “เฮ้ย ไอ้หนู”เสียงแหบห้าวเอ่ยอย่างไม่เป็นมิตร ร่างกำยำของชายหนุ่มผมสีทรายก้าวไปขวางหน้าเด็กชายไว้ มือหนาโบกเรียกพรรคพวกราวสองสามคนให้โผล่มาดักทางหนี

    อัศมิตารู้สึกถึงอันตรายที่กำลังเข้ามา”พ-พวกท่านต้องการอะไร”

    “ท่าทางแกดูมีตังค์ดีนี่ เอาเถอะ วันนี้ข้าอารมณ์ดี จะยอมปล่อยแกไปก็ได้ถ้ายอมส่งกระเป๋านั่นมาให้น่ะ”เขาพูดเป็นเชิงข่มขู่ก่อนเสริมต่อเมื่อเห็นเด็กชายมีท่าทีราวต้องการขัดขืน”แต่ถ้าไม่ยอม...ผลที่ต่างกันก็แค่แกโดนเชือดทิ้งแล้วข้าค่อยเอาของในนั้นไป”

    เด็กชายกลืนน้ำลายเหนียวฝืดลงคอ ผิวขาวนวลเนียนซีดจนดูคล้ายกระดาษด้วยตื่นกลัว

    “รักษาชีวิตตัวเองไว้ก่อนเถอะน่า..อย่างน้อยต่อให้ไม่มีของแกก็ยังได้กลับไปเห็นหน้า หรือจะให้พูดว่าฟังเสียงพ่อแม่ดีล่ะ”เสียงนั้นหัวเราะลั่นจนคลับคล้ายเสียงคำราม มีดปลายแหลมในมือถูกกวัดแกว่งอย่างสบายอารมณ์

    อัศมิตากอดกระเป๋าไว้แนบอกราวกับจะไม่มีวันปล่อย เหงื่อผุดพราวบนใบหน้าด้วยตึงเครียดต่อสถานการณ์ปัจจุบัน

     

    ควรทำเช่นไรดี...เราไม่มีทางยอมให้สิ่งที่แพทริเซียไว้ใจให้เราถือต้องมาเสียไปเพราะเหตุนี้แน่

    ทว่าพวกเขาคงปิดล้อมเส้นทางของเราไว้หมดแล้ว

    ลำพังเพียงเราคนเดียวคงมิอาจเร่งความเร็วจนสามารถหลุดจากลงล้อมนี้ไปได้

     

    ขณะที่สถานการณ์กำลังตกลงสู่ความสิ้นหวังถึงขีดสุด ร่างเล็กของเด็กหญิงผู้หนึ่งวิ่งฝ่าวงล้อมเข้ามาอย่างรวดเร็วจนชายเหล่านั้นไม่ทันตั้งตัว

    “เร็วเข้า”เสียงคุ้นหูดังขึ้นพลางมือนุ่มเนียนคว้ามืออีกฝ่ายไว้ก่อนจะพาเด็กชายออกตัววิ่งลอดใต้แขนของชายอีกคนซึ่งไม่ได้ถือมีดไว้ด้วยความเร็วอันน่าเหลือเชื่อ ทิ้งไว้แต่เพียงความตกตะลึงของบุคคลเบื้องหลัง

     

    แพทริเซีย...?

     

     

     

    “แคลร์ การปล่อยให้แขกรอเป็นเรื่องที่เสียมารยาท”เสียงเคร่งเครียดเอ่ยขึ้นจากชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนโซฟาเมื่อเห็นว่าผู้เป็นลูกสาวยืนนิ่งอยู่นานสองนาน

    แพทริเซียถอนหายใจเฮือก นัยน์ตาจ้องเขม็งไปยังหินสีเทาก้อนใหญ่เบื้องหน้า

     

    ในเมื่อไม่มีเวลาพอจะมานึกหาข้อมูลเรื่องคอสโมนี่ก็ทำให้มันดูคลุมเครือไปเลยก็แล้วกัน

     

    เด็กหญิงตั้งสมาธิก่อนจะสร้างหมอกควันสีขาวขึ้นหนาทึบราวกับเป็นรัศมีพลังที่ปลดปล่อยออกจากตัว แล้วจึงนึกถึงคำร่ายเวทเสริมพลังในใจ ปล่อยให้พลังของตนไหลลงสู่แขนขวาจนเริ่มรู้สึกถึงความแข็งแกร่งอย่างประหลาด

     

    ถึงเคยอ่านเจอว่ามันอาจมีผลข้างเคียงทำให้กล้ามเนื้อล้า แต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นที่จะทำให้มันดูเป็นได้ทั้งสองแบบไปมากกว่านี้แล้วล่ะนะ

     

    ร่างเล็กก้าวถอยหลังออกไปเพื่อตั้งหลัก ก่อนจะพุ่งเข้าใส่ก้อนหินยักษ์ด้วยความเร็วสูง หมัดขวาเงื้อขึ้นและปะทะเข้ากับความแข็งของหินอย่างจัง มือเนียนนุ่มพยายามออกแรงสู้กระทั่งหินแข็งเกิดรอยร้าวเล็กๆที่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วจนในที่สุดก็แตกออกเป็นหินก้อนเล็กนับร้อยชิ้นและเศษที่กระจายเต็มพื้นที่บริเวณนั้น แพทริเซียเซถอยไปเล็กน้อย เด็กหญิงหอบด้วยเหนื่อยจากการออกแรงก่อนเงยหน้าขึ้นมองปฏิกิริยาของคนทั้งสอง

    ปิแยร์นิ่งอึ้ง นัยน์ตาสีฮาเซลแสดงความตกตะลึงราวกับจะสื่อว่าผลลัพธ์ครั้งสุดท้ายที่เห็นไม่ได้ออกมาเต็มที่ถึงเพียงนี้

     

    ตายละ ฉันทำเกินไปหรือเปล่า

    เกิดถ้าตัวจริงกลับมาคงไม่พ้นโดนเรียกให้แสดงอีกรอบแน่

     

    ตรงกันข้ามกับอองรีที่ดูตื่นเต้นเป็นพิเศษ สีฟ้าเทาของดวงตาสั่นระริกด้วยความอัศจรรย์ใจ”เยี่ยมไปเลยแคลร์ เจ้าเก่งขึ้นมาขนาดนี้ได้อย่างไร นี่ถ้าเจ้าแสดงฝีมือให้เห็นในตอนที่ทดสอบกันกับท่านเครสต์...คนที่ได้เป็นอควาเรียสเซนต์คนต่อไปคงไม่พ้นเจ้าเป็นแน่”

     

    อควาเรียสเซนต์?

    นักบุญแบบไหนกันน่ะ ไม่เห็นเคยได้ยินชื่อเลยคัดเลือกตามราศีเกิดหรือไงนะ

    แล้วการจะเป็นนักบุญนี่มันต้องทดสอบอะไรอย่างนี้ด้วยหรือไง

     

    “หากลูกตั้งใจจริงก็ทำได้มิใช่หรือ”เจ้าของเรือนผมสีไม้แอชกระแอมก่อนกล่าวด้วยท่าทีขัดเขินเล็กน้อยราวไม่ค่อยได้เอ่ยชมใครสักเท่าใดนัก”แต่ก็เริ่มช้าเสียจนพลาดเกียรติยศสูงสุดอย่างการเป็นโกลด์เซนต์รับใช้เทพีอาเธน่าไปเสียแล้ว”

     

    อะไรอีกล่ะเนี่ย

    ก็พอรู้มาบ้างหรอกว่าเผ่าพันธุ์เทพเจ้ามีอยู่จริง แต่อาเธน่านั่นอยู่มาตั้งแต่สมัยเทพนิยายเลยนะ ยังจะลงมายุ่งกับมนุษย์อีกเหรอ

    แล้วจะเอานักบุญไปทำอะไร หรือยังต้องการให้มาสรรเสริญคุณความดีแลกเกียรติยศในชื่อผู้รับใช้เทพเจ้า

    ที่สำคัญจะทำลายหินนั่นได้ก็ต้องใช้พลังมากเลย...บางทีอาจต้องการรวบรวมคนเก่งๆมาไว้กับตัว

     

    ไม่สิ ที่สำคัญกว่านั้นคือนี่ก็ปาเข้าไปศตวรรษที่18แล้ว แถมยังเป็นฝรั่งเศสอีก ไม่ใช่ว่ามนุษย์แถบนี้นับถือตรีเอกภาพกันหรือไง ทำไมชื่อของเทพเจ้ารุ่นเก่าถึงได้ออกมาในลักษณะที่ไม่ใช่แค่บทละคร กวี หรือนิทานปรัมปราล่ะ

     

    “แคลร์พยายามฝึกฝนจนสำเร็จขนาดนี้แล้ว อย่าใจร้ายกับลูกสาวตัวเองไปหน่อยเลย”ชายหนุ่มเจ้าของเรือนผมสีเขียวแก้ตัวแทนให้พลันขยิบตาให้เด็กหญิงอย่างมีเลศนัย”จำได้ไหมว่าที่ข้ามาเพราะมีเรื่องอื่นที่จะคุยด้วย ให้นางไปพักเถอะ”

    “เอาล่ะ เห็นแก่ที่ลูกทำได้ดีในวันนี้”ชายหนุ่มเห็นพ้องด้วย ร่างสูงเดินออกจากห้องมาส่งเด็กหญิงที่บริเวณทางเดิน

    “แล้วเรื่องการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสล่ะคะท่านพ่อ”แพทริเซียชิงถามในจังหวะที่ชายหนุ่มกำลังอารมณ์ดี หวังว่าเขาจะยอมให้เจ้าของชื่อที่เธอถูกเข้าใจผิดได้ทำตามความปรารถนาของตน

    “ไว้ถ้าลูกทำตามที่พ่อบอกอย่างเคร่งครัดจะลองคิดดูอีกที”แม้จะยังไม่ตอบรับ ทว่าท่าทีของปิแยร์กลับดูอ่อนลง ผิดจากตอนแรกที่ปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง

     

    อย่างน้อยก็ยังพอมีความหวังอยู่บ้างล่ะนะ

     

    สาวใช้ที่มารับช่วงต่อแทนฌองชื่อมารี หญิงสาวร่างเล็กราวเด็กแรกรุ่น เรือนผมสีดำมัดรวบเป็นมวยเรียบ นัยน์ตาสีน้ำตาลทองเงยขึ้นสบตาของเด็กหญิงหลังจากการแสดงความเคารพเล็กน้อย ก่อนที่หญิงสาวจะเดินนำหน้าไปยังทางเดินส่วนอื่นของปราสาท

     

    กว้างจังแฮะ

     

    เด็กหญิงหันมองทัศนียภาพโดยรอบ ทั้งศิลปะการตกแต่งหรูหราในแบบฝรั่งเศสและของสะสมต่างๆริมทางเดินดูละลานตาราวกับแม้จะใช้เวลาเดินชมทั้งวันก็คงไม่สาแก่ใจ ก่อนมือเล็กสัมผัสกับแผ่นไม้ข้างกระโปรงอย่างแผ่วเบาและนึกขึ้นได้ว่าตนลืมอะไรบางสิ่งไป

     

    จริงสิ ทำไมอัศมิตาเงียบหายไปเลยนะ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า

     

    นัยน์ตาสีม่วงฉายแววหงุดหงิดตนเองที่มัวแต่จดจ่อกับเรื่องตรงหน้าจนลืมนึกถึงเด็กชายไปเสียสนิท ฝีเท้าหยุดลงข้างประตูแกะสลักอย่างหรูหราบานหนึ่ง

    “ท่านแคลร์ต้องการแวะที่ห้องของท่านมาร์เซลีนดังเช่นทุกครั้งใช่ไหมคะ”เสียงหวานเอ่ยถามอย่างนอบน้อม

    “อ่า...เอ่อ ใช่ ขอเวลาสักพัก รอข้าอยู่ข้างนอกเถอะค่ะ”แพทริเซียทำทีเห็นด้วยก่อนจะผลักบานประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว มือเล็กรีบปิดบานประตูราวกับกลัวมีคนอื่นเดินตามเข้ามา

    ร่างเล็กถอนหายใจเฮือกก่อนชะงักกึกเมื่อทอดมองรูปที่แขวนอยู่กับผนังด้วยแทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น

    นัยน์ตาสีม่วงไล้ไปตามกรอบไม้แกะสลักก่อนที่จะมาหยุดลงที่ร่างของสตรีสูงศักดิ์ในภาพ ชุดสีชมพูอ่อนแม้จะดูคล้ายกับการแต่งตัวตามสมัยนิยมของฝรั่งเศสแต่กลับขับเน้นความงามของผู้สวมใส่ให้เลิศล้ำยิ่งยวด ผิวขาวผุดผาดกับเฉดสีม่วงของเรือนผมและนัยน์ตานั้นเหมือนกับตัวเธออย่างไม่มีผิดเพี้ยน

     

     

     

    ฝีเท้าของร่างเล็กที่พาเด็กชายตาบอดวิ่งลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยอย่างชำนิชำนาญลดความเร็วลงเมื่อคะเนว่าอยู่ไกลเกินระยะที่ชายกลุ่มนั้นจะตามมาได้ มือเล็กยันกำแพงหยาบด้านข้างก่อนหอบฮักปานจะขาดใจ”เราหนีมา...พ้นแล้ว”

    ร่างผอมบางของเด็กชายทรุดตัวลงนั่งด้วยเหนื่อยอ่อนไม่แพ้กัน ประสาทการรับกลิ่นสัมผัสได้ว่ากลิ่นเหม็นอับของพื้นที่รอบบริเวณจางลงไป ลมพัดโชยอ่อนๆช่วยให้เขารู้สึกสดชื่นขึ้นเล็กน้อย”ขอบคุณมาก...”เสียงเล็กเว้นช่วงเมื่อได้กลิ่นที่ไม่คุ้นเคยจากร่างเด็กหญิง แม้หอมหวนทว่าปะปนด้วยความฉุนประหลาด และเป็นกลิ่นที่แรงเกินกว่าจะเป็นความหอมธรรมชาติดังเช่นกลิ่นสบู่จากเรือนร่างของแพทริเซียในยามปกติ

     

    นางไม่ใช่แพทริเซียอย่างนั้นหรือ

     

    เด็กชายจมอยู่ในห้วงความคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนชื่อของต้นเหตุที่ทำให้แพทริเซียถูกเข้าใจผิดจะผุดขึ้นมาในสมอง”ท่านแคลร์...”

    นัยน์ตาสีม่วงเบิกกว้างอย่างตกตะลึง เสียงใสที่คล้ายกันราวฝาแฝดเอ่ยขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อ”จ-เจ้ารู้จักชื่อข้าได้อย่างไร แม้ผู้หญิงที่มากับเจ้าจะหน้าตาเหมือนข้ามาก แต่ตัวข้าและนางก็คงไม่รู้จักกันทั้งคู่มิใช่หรือ”สองมือจับมือขวาของเด็กชายแน่นราวกับจะหยุดการหมุนเวียนเลือดในมือนั้นเสียให้สนิท

    อัศมิตาเริ่มสัมผัสถึงความแตกต่างของเด็กหญิงทั้งสองได้มากขึ้นทีละน้อยด้วยว่าแม้มือของแคลร์จะยังคงนุ่มเนียนสมเป็นชนชั้นสูง ทว่ากลับให้สัมผัสที่สากกร้านกว่าแพทริเซีย”หลังจากที่ท่านหายไปแล้ว เรากับแพทริเซียไปพบกับกลุ่มคนรับใช้ที่มาตามตัวท่านโดยบังเอิญ และแพทริเซียถูกพาตัวไปเพราะเขาเหล่านั้นเข้าใจว่านางคือท่าน”เครื่องหน้างามฉายแววโศกสลดเมื่อคิดถึงเรื่องที่ตนไม่สามารถช่วยเหลือเด็กหญิงได้

     

    แพทริเซียสินะ

    อย่างน้อยก็ได้รู้จักชื่อของเจ้าแล้ว

     

    สายตาของแคลร์สำรวจไปทั่วร่างกายของเด็กชายก่อนจะฉายแววรู้สึกผิดเมื่อจับจ้องไปยังเสื้อขาวที่มีรอยสกปรกจากการล้มลงบนพื้น รอยช้ำตามเนื้อตัวตรงที่ไม่ถูกบดบังจากเสื้อผ้าเปียกชื้น และรอยถลอกบริเวณข้อศอกกับเข่าทั้งสองข้าง”โดนพวกเขาทำร้ายมาใช่หรือไม่...ข้าขอโทษ”เสียงใสสะท้อนความละอายใจที่มีอยู่อย่างเต็มอกจนเด็กชายสัมผัสได้แม้มองไม่เห็นการแสดงออกทางสีหน้า

    “ร-เรามิถือโทษอันใด พวกเขาเหล่านั้นต่างก็เพียงแค่ทำหน้าที่ของตน”เรือนผมสีทองพิสุทธิ์ขยับตามจังหวะการส่ายหน้า เสียงเล็กของเด็กชายประหลาดใจด้วยมิคาดคิดว่าเด็กหญิงชนชั้นสูงจะขอโทษอย่างตรงไปตรงมา”ทว่าเราขอทราบบางเรื่องได้หรือไม่...ในตอนที่แพทริเซียถูกล้อมเอาไว้ เราได้ยินเสียงของคนรับใช้คนหนึ่งบอกว่าท่านมีแขก แล้วเหตุใดท่านจึงออกจากบ้านของตนในเวลาเช่นนี้งั้นหรือ”

    แม้จะรู้ดีว่าเด็กชายตาบอดตรงหน้ามิได้มีเจตนาจะย้ำเตือนความผิดของเธอ ทว่าความรู้สึกสำนึกในสิ่งที่ทำกลับตีกระแทกจนจุกอก”ข้ามาลงพื้นที่เพื่อสำรวจปัญหาชุมชนที่กลุ่มแรงงานอาศัยอยู่”เสียงใสดุจกระดิ่งเอ่ยถึงภาพโดยรวมด้วยต้องการมิให้ตนเองต้องคิดถึงสาเหตุบางข้อ

    “โปรดเล่าต่อเถิด”ใบหน้าน้อยสะท้อนความสนอกสนใจราวเด็กน้อยที่ได้ฟังนิทานเรื่องโปรด

    “เรื่องนี้เกิดจากความไม่ชอบใจเล็กๆน้อยๆของข้าเอง ทุกคนรอบตัวข้าใช้ชีวิตหรูหราอย่างที่เขาว่ากันว่าเป็นของขึ้นชื่อของฝรั่งเศส ทั้งงานเลี้ยงเต้นรำที่จัดขึ้นเป็นประจำ การพบปะสังสรรค์และเรื่องอื่นๆก็ถูกจัดแต่งอย่างอลังการ”มือของเด็กหญิงขยับประกอบการพูดแม้จะรู้ว่าเด็กชายมองไม่เห็น”ในช่วงนี้ฝรั่งเศสเข้าร่วมและสนับสนุนสงครามหลายสมรภูมิ ภาษีที่คนทั่วไปจ่ายแพงขึ้นในขณะที่พวกเรายังใช้ชีวิตอย่างสุขสบายและมองราวกับเป็นคนละชนชั้น ทั้งที่เราทั้งหมดก็เป็นมนุษย์ด้วยกัน”เสียงใสคล้ายต้องการระบายสิ่งที่เก็บกดให้ใครสักคนฟัง

    แม้เด็กชายจะระลึกได้ว่าแพทริเซียมิได้อยู่กับตนในขณะนี้ ทว่าลักษณะบางประการในคำพูดของแคลร์กลับคล้ายคลึงกับสิ่งที่ตนเคยได้ยินจากเพื่อนอย่างน่าประหลาด

    “เพราะฉะนั้นข้าถึงอยากจะเป็นคนที่เริ่มการกระทำในอีกแง่มุม อยากจะลองใช้ความรู้ความสามารถของตนเองช่วยเหลือให้พวกเขาได้สัมผัสกับความสุข แรกๆอาจเป็นเพียงการช่วยเหลือฝ่ายเดียว แต่ข้าเชื่อว่าในสักวันจะต้องเท่าเทียมกันได้”มือนุ่มกำชายกระโปรงสีฟ้าของตนแน่น”หรือหากข้าทำไม่สำเร็จ อย่างน้อยก็ได้สร้างแนวคิดที่อาจจุดประกายให้ใครสักคนลุกขึ้นมาสานต่อในอนาคต”เสียงใสหนักแน่นราวกล่าวสุนทรพจน์กลางที่ประชุม

    ความรู้สึกปิติยินดีอย่างเปี่ยมล้นบังเกิดขึ้นในใจของอัศมิตาเมื่อรับรู้ว่ายังมีผู้ที่ตระหนักถึงเหล่าคนที่ถูกเหยียบย่ำอยู่ในหมู่ชนชั้นสูง”เราเชื่อว่าท่านจะต้องทำเป้าหมายของตนให้สำเร็จได้แน่ ขอได้โปรดมุ่งมั่นต่อไปเพื่อพวกเขาด้วยเถิด”รอยยิ้มงดงามระบายลงบนริมฝีปาก นัยน์ตากลมโตสีฟ้าที่เงยขึ้นตามต้นเสียงดูราวกำลังจับจ้องเด็กหญิงเมื่อประกอบกับความหวังที่ฉาบชโลมบนใบหน้า

    “ขอบคุณเจ้ามากที่ให้กำลังใจ”มือเล็กแตะแผ่นหลังผอมบางอย่างแผ่วเบา”แต่ก่อนอื่นข้าคงต้องแก้ไขเรื่องที่ผิดพลาดของตนเสียก่อน เจ้า...เอ่อ”เสียงใสชะงักเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนยังไม่รู้ชื่อของอีกฝ่าย

    “นามของเราคืออัศมิตา”เสียงเล็กเอ่ยอย่างนุ่มนวลคลับคล้ายถูกฝึกมารยาทของชนชั้นสูงมาก่อน

    แคลร์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อที่ฟังดูตะวันออกผิดหน้าตา ก่อนรอยยิ้มจางๆจะผุดขึ้นบนใบหน้า

    “ไปหาแพทริเซียด้วยกันเถอะนะ”

    อัศมิตาพยักหน้ารับด้วยใจยินดีราวได้รับพรจากสรวงสวรรค์ขณะคิดได้ว่าความวิตกกังวลเรื่องแพทริเซียกำลังจะถูกคลี่คลายในอีกไม่ช้า นิ้วผอมบางแตะแผ่นไม้โทรจิตที่อยู่ในกระเป๋ากางเกงของตน

     

    ได้โปรดรอเราก่อนเถิด แพทริเซีย...

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×