คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : เรื่องเล่า
"แพทริเซีย...ในการเดินเรือครั้งนี้มีจุดหมาย ณ ที่ใดงั้นหรือ"อัศมิตาเอ่ยขึ้นขณะใช้ผ้าสีขาวซับเรือนผมที่เปียกชื้นจากการอาบน้ำ
ร่างเล็กที่หันหลังให้หมุนตัวกลับมาทางเด็กชาย"ประเทศฝรั่งเศสน่ะ"เจ้าของชื่อตอบเรียบๆพลางใช้หวีแปรงสางเส้นผมยาวสีม่วงอย่างประณีต
"ประเทศฝรั่งเศสนั้นเป็นอย่างไรบ้าง"อัศมิตาถามเสียงเจื้อยแจ้ว
แพทริเซียอดคิดไม่ได้ว่าหากดวงตาสีฟ้าคู่สวยสามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ
เธอคงจะเห็นแววใสซื่อที่มากมายกว่าเด็กคนไหนๆสะท้อนออกมาจากดวงตาคู่นี้เป็นแน่
เด็กหญิงควบคุมหวีให้ลอยหวือขึ้นจากมือไปตามเส้นทางที่กำหนดแล้วร่อนลงสู่โต๊ะไม้อย่างแผ่วเบา"เป็นประเทศที่มีอิทธิพลในยุโรปอีกประเทศเลยล่ะ ได้ยินมาว่าเป็นประเทศที่ให้ความสำคัญกับศิลปะกับความหรูหรามาก แถมราชวงศ์แล้วก็ขุนนางชั้นสูงของฝรั่งเศสเป็นผู้นำของค่านิยมความงามในยุโรปตอนนี้ด้วย"
แพทริเซียลูบเส้นผมนุ่มสลวยของตนระหว่างใช้ความคิด"แต่ก็เป็นแค่คำบอกเล่าที่เคยได้ยินมา...คงต้องรอไปถึงที่ฝรั่งเศสถึงจะได้รู้ว่าหรูหรายังไงล่ะนะ"
"เช่นนั้นแล้วเจ้าจึงสนใจประเทศแห่งนี้งั้นหรือ"น้ำเสียงของเด็กชายเต็มไปด้วยความสงสัยขณะพยายามจินตนาการบรรยากาศแห่งความหรูหรา
"ก็ไม่เชิง
ที่ฉันรู้สึกสนใจจริงๆก็คงเป็นวรรณกรรมกับประวัติศาสตร์ที่เคยได้อ่านมานั่นล่ะ
อย่างกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นคนทำให้จักรวรรดิแฟรงค์..เอ้อ
ฝรั่งเศสโบราณรวมเป็นหนึ่งเดียวได้
หรือเด็กสาวชาวบ้านที่กลายมาเป็นวีรสตรีผู้สร้างขวัญกำลังใจให้ฝ่ายฝรั่งเศสในการต่อสู้กับอังกฤษในยุคนั้น"นัยน์ตาสีม่วงส่องประกายราวอัญมณีขณะพูดถึงประวัติศาสตร์
เด็กหญิงมีท่าทีกระตือรือร้นขึ้นผิดหูผิดตาขณะแสดงถึงความรู้ที่มากยิ่งกว่าเด็กในวัยเดียวกันนัก
ก่อนจะฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ "อ๊ะ! ขอโทษนะอัศมิตา
เผลอพูดเรื่องพวกนี้อีกแล้วสิ"
"ข-ขอโทษเราด้วยเหตุอันใดกัน
สิ่งที่เจ้าเล่ามาเมื่อครู่นั้นเป็นเรื่องที่เราไม่เคยได้รู้มาก่อน
และประวัติศาสตร์เหล่านั้นก็มีความน่าสนใจมากเช่นกัน"ร่างเล็กแสดงอาการลนลานเมื่อได้ยินคำขอโทษของเพื่อนอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
"หากเจ้ามีความรู้ในเรื่องอื่นๆอีก...ช่วยเล่าให้เราฟังจะได้หรือไม่"เครื่องหน้าน้อยๆของเด็กชายแสดงอาการในเชิงเว้าวอน
"แปลกจังเลยนะ
ปกติคนอื่นๆเขาไม่ค่อยสนเรื่องพวกนี้กันสักเท่าไหร่...แต่ทำไมเธอถึงได้ดูไม่เบื่อเลยล่ะ"เด็กหญิงหัวเราะเล็กน้อยก่อนจะเอื้อมมือไปขยี้เรือนผมสีทองอย่างมันเขี้ยว
"เราไม่เคยมีโอกาสได้เล่าเรียนมาก่อนจึงไม่ค่อยมีความรู้เสียเท่าไรนัก...และปรารถนาที่จะมีโอกาสรับรู้ถึงเรื่องราวต่างๆเฉกเช่นผู้อื่นบ้าง"ลมหายใจถูกผ่อนออกมาช้าๆราวกับทอดถอนใจ"แม้เราจะรู้ดีว่าอาจเกินกำลังหรือไม่เกิดประโยชน์อันใดก็ตาม"แม้จะพยายามกลั้นไม่ให้หยาดน้ำตาหล่นลงบนใบหน้า
แต่ก็ไม่เป็นผล
ใบหน้าน้อยยังคงบิดเบี้ยวจากความรู้สึกเจ็บปวดเมื่อนึกถึงคำที่ผู้เป็นมารดาพร่ำก่นด่าอยู่ตลอด
"อยากเรียนงั้นหรือ...พูดอะไรไม่เจียมกะลาหัวนะไอ้ตัวไม่สมประกอบ"
"ใครเขาอยากจะสอนให้แกกันเล่า!
ในเมื่อเรียนแล้วแกก็ได้แค่รับรู้ อ่านหรือเขียนก็ไม่ได้"
"เกิดมาก็เป็นภาระแล้ว...อย่าริอาจเรียกร้องอะไรให้มันมากหน่อยเลย"
อัศมิตาสัมผัสได้ถึงไออุ่นจากอ้อมกอดของแพทริเซียที่ขยับเข้ามา
จึงปล่อยตัวให้เด็กหญิงกอดแนบแน่นขึ้น...กระทั่งได้ยินเสียงของจังหวะหัวใจ
"ไม่ได้ไร้ประโยชน์สักหน่อย"
เสียงใสราวกระดิ่งดังขึ้นเพื่อปลอบประโลม"การที่เธอมีความรู้ติดตัวไว้มากๆจะทำให้ใช้ชีวิตบนโลกใบนี้ได้ง่ายขึ้นนะ
และตามที่เคยสัญญาไว้....ถ้าเธออยากรู้อะไรล่ะก็
ฉันจะอ่านหรือเล่าให้ฟังเท่าที่จะทำได้เลยล่ะ"
"อีกอย่างนึง
ฉันเห็นแล้วว่าเธอพยายามที่จะกลั้นน้ำตาไว้"นัยน์ตาสีอเมทิสต์มองเด็กชายด้วยแววตาอ่อนโยน"นั่นก็ถือว่าเธอเข้มแข็งขึ้นมาแล้วนะ"
"แต่ครานี้ตัวเรายังคงไม่อาจหักห้ามน้ำตาไว้ได้เสียด้วยซ้ำ..."เสียงของเด็กชายหลุดลอดออกจากลำคออย่างแผ่วเบาด้วยรู้สึกผิดที่ไม่อาจอดกลั้นความรู้สึกตัวเองไว้ได้
"ความเข้มแข็งไม่ใช่การหักดิบหรือละทิ้งความอ่อนแอในตัวเอง”มือเล็กใช้ผ้าผืนบางซับน้ำตาบนใบหน้าของอีกฝ่าย”แต่เป็นการที่เธอควบคุมอารมณ์ของตัวเองได้
แล้วไม่ยอมแพ้ที่จะพยายามต่อไปต่างหาก...ซึ่งเธอทำได้ดีมากแล้วล่ะ"
ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ
เพราะว่าฉัน...จะเป็นกำลังให้กับเธอเอง
"งั้นหรือ..."ความรู้สึกปิติยินดีทำให้มุมปากทั้งสองของอัศมิตายกขึ้นเป็นรอยยิ้มอันบริสุทธิ์ดั่งรูปสลัก
"แน่นอน
และเพื่อเป็นรางวัลให้กับความพยายาม..."เด็กหญิงเปลี่ยนประเด็นเพื่อดึงความสนใจของอีกฝ่ายให้หลุดจากห้วงความคิด"ตอนนี้เธออยากจะให้ฉันเล่าอะไรให้ฟังบ้างไหม"
รอยยิ้มงดงามเมื่อครู่แย้มกว้างขึ้นด้วยอารมณ์ดีใจตามประสาเด็ก"เช่นนั้นโปรดเล่าถึงเรื่องที่เจ้าค้างคาไว้เมื่อครู่เถิด"
"จริงๆมันก็จบแล้ว...แต่จะพูดถึงเรื่องของอังกฤษต่ออีกสักหน่อยก็แล้วกัน"แพทริเซียอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทีของเด็กชายที่ดูสนอกสนใจเรื่องประวัติศาสตร์"ในช่วงต้นของศตวรรษนี้
ประเทศอังกฤษที่ฉันเล่าไป...ผนวกเข้ากับสกอตแลนด์ที่อยู่บนเกาะเดียวกันแล้วก็เปลี่ยนชื่อเป็นบริเตนใหญ่แล้วล่ะ"
"ศตวรรษคือช่วงเวลาหนึ่งร้อยปีใช่หรือไม่"อัศมิตาเอ่ยขึ้นช้าๆหลังจากนึกย้อนกลับไปในความทรงจำ"แล้วชื่อบริเตนใหญ่มีที่มาอย่างไรงั้นหรือ"
"เก่งมากอัศมิตา!
เธอเข้าใจถูกแล้วล่ะ"แพทริเซียกล่าวชมเด็กชายที่ยิ้มกว้างจนตาหยีพร้อมทั้งใช้มือขวาของตนจับมือของอีกฝ่ายไว้อย่างแนบแน่น
"อย่างตอนนี้ก็อยู่ในช่วงของศตวรรษที่18
เพราะเริ่มนับตั้งแต่ปี1701 จะหมดศตวรรษนี้ก็ปี1800เลย
ส่วนบริเตนใหญ่เป็นชื่อของเกาะที่ทั้งสองประเทศนี้ตั้งอยู่...แล้วก็เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดของหมู่เกาะบริเตนด้วย"เด็กหญิงอธิบายชัดถ้อยชัดคำราวกับอาจารย์ที่กำลังสอนลูกศิษย์
นัยน์ตาทั้งสองฉายแววสนุกสนานเมื่อเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่ายที่สนอกสนใจเป็นอย่างดี"มีอะไรสงสัยอีกบ้างไหม"
ร่างผอมบางส่ายหน้านิดๆเป็นคำตอบ"แล้วมีเรื่องอื่นๆที่สามารถเล่าให้เราฟังอีกหรือไม่
อะไรก็ได้"เสียงเล็กเอ่ยขึ้นเป็นเชิงร้องขอ
อัศมิตาเงยหน้าขึ้นตามต้นเสียงของเด็กหญิง แม้ดวงตาสีฟ้าคู่โตไม่อาจมองเห็น
แต่เมื่อรวมกับสีหน้าที่ซื่อตรงต่อความปรารถนาแล้วก็ทำให้ดูคลับคล้ายกับลูกแมวตัวน้อยที่อ้อนขออาหารไม่มีผิด
เด็กหญิงอมยิ้มกับภาพที่เห็นตรงหน้าพลางครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะเสนอตัวเลือก"จะเอาเป็นเรื่องอะไรดีล่ะ...ประวัติศาสตร์
เผ่าพันธุ์อื่นๆ นิทาน---"
"นิทานหมายถึงเรื่องราวและตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมาใช่หรือไม่"เด็กชายถามด้วยอาการตื่นเต้นขณะที่แก้มนวลเนียนเปลี่ยนเป็นสีแดงราวมะเขือเทศ
"จริงๆก็มีทั้งเรื่องที่สืบต่อกันมา
แล้วก็เรื่องที่แต่งขึ้นเพื่อความบันเทิงหรือให้คติสอนใจด้วย...ว่าแต่เธออยากฟังนิทานสินะ"แพทริเซียหัวเราะคิก"แต่ฉันไม่รู้จักนิทานอินเดียหรอกนะ...ถ้าจะเล่าให้เธอฟังได้ก็คงเป็นนิทานของทางฝั่งยุโรปนั่นล่ะ"เธอจบประโยคท้ายด้วยน้ำเสียงเย้าแหย่เล็กน้อย
"จะเป็นนิทานใดก็ได้
เราไม่มีปัญหา"เสียงอันใสซื่อไร้มลทินเอ่ยขึ้นอย่างดีอกดีใจ“เราเคยได้ยินเด็กคนอื่นๆพูดถึงนิทาน
จึงมีความต้องการที่ฟังนิทานมานานแล้ว
แต่ท่านแม่...."เด็กชายทำเสียงอึกอักเล็กน้อยราวกับลำบากใจ"ท่านแม่ไม่เคยเล่านิทานให้เราฟังแม้แต่ครั้งเดียว
อีกทั้งเราไม่สามารถที่จะอ่านหนังสือได้ ฉะนั้นแล้ว...ได้โปรดเถอะแพทริเซีย"
ทั้งการแสดงออกเวลาพูดถึงท่านแม่...ความหวาดผวาว่าตัวเองจะทำอะไรผิด...การใช้ประโยคขอร้องทั้งที่เป็นเรื่องเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าสิ่งที่คอยกัดกินเธอคงไม่ใช่แค่ผู้คนในสังคมรอบข้างแล้วล่ะ
สิ่งที่ฉาบอยู่บนนัยน์ตาสีม่วงคู่สวยคือประกายแห่งความเห็นอกเห็นใจ
มือเล็กลูบเรือนผมสีทองคำของอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล”เล่าให้ฟังแน่นอนอยู่แล้ว
นั่งรอฉันอยู่ตรงนี้ก่อนนะ”
เมื่อเห็นอัศมิตาพยักหน้าหงึกหงักอย่างว่าง่าย
ร่างเล็กจึงได้ลุกขึ้นตรงไปที่ชั้นเก็บหนังสือพร้อมกวาดสายตาหาหนังสือนิทานที่น่าสนใจ
กระทั่งไปสะดุดเข้ากับหนังสือเล่มหนึ่ง
ไหนๆจะไปฝรั่งเศสทั้งที เอาเป็นนิทานฉบับฝรั่งเศสเลยก็แล้วกัน
“นิทาน นิทาน นิทาน~”เด็กชายฮัมเพลงด้วยใบหน้าเปี่ยมล้นไปด้วยความดีอกดีใจ
แพทริเซียหัวเราะพรืดขณะเดินกลับมาที่โซฟา ร่างเล็กหย่อนตัวลงนั่งข้างเจ้าของเสียงฮัมเพลงเมื่อครู่”มาแล้วล่ะ”
มือน้อยๆสัมผัสบริเวณบ่าของแพทริเซียเป็นการสำรวจตำแหน่ง
ก่อนที่อัศมิตาจะกระเถิบเข้าใกล้แพทริเซียจนไหล่แนบชิดกัน”นิทานเรื่องนี้มีชื่อว่าอะไรงั้นหรือ”
“ซินเดอเรลลา”เด็กหญิงตอบเรียบๆ
นัยน์ตาจับจ้องไปยังชื่อเรื่องบนปกหนา”เป็นนิทานปรัมปราที่ได้รับความนิยมมากๆ
ฉันเคยอ่านเจอว่ามีนิทานที่มีโครงเรื่องแบบเดียวกันอีกเพียบเลยล่ะ
ฉบับเก่าแก่ที่สุดรู้สึกว่าน่าจะเป็นของกรีก...ตั้งแต่ก่อนคริสต์ศักราชซะอีก”
“ที่ฉันเลือกมาอ่านวันนี้ก็เป็นฉบับของนักเขียนฝรั่งเศสคนนึง...ที่ตอนจบค่อนข้างดีล่ะนะ”เสียงใสหัวเราะแผ่วเบาในลำคอ
นิ้วเรียวค่อยๆเปิดหนังสือด้วยความทะนุถนอม ก่อนกระแอมออกมาเล็กน้อย
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...”
“เป็นเวลากี่ปีงั้นหรือ”น้ำเสียงสงสัยใคร่รู้ของเด็กชายขัดขึ้น
“เป็นคำเปิดเรื่องของพวกเทพนิยายปรัมปราน่ะ...ช่วงเวลาในเรื่องก็สมมุติขึ้นเหมือนกัน”คำอธิบายของเธอเจือไปด้วยความเอ็นดู
“ขอเล่าต่อเลยแล้วกันนะ”
“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว...ภรรยาของเศรษฐีผู้มั่งมีคนหนึ่งได้ให้กำเนิดบุตรสาว
ต่อมาเด็กคนนั้นถูกตั้งชื่อว่าเอลลา”
“หากชื่อของนางคือเอลลา
เหตุใดนิทานเรื่องนี้จึงมีชื่อว่าซินเดอเรลลา....หรือว่าชื่อเรื่องจะมาจากสิ่งอื่นกัน”
“มาจากชื่อเอลลานั่นล่ะ..รอติดตามเหตุผลที่กลายเป็นแบบนั้นก่อนนะ”มือซ้ายของเธอกุมมือขวาของอีกฝ่ายไว้เบาๆพลางใช้สายตาพินิจพิเคราะห์
มือบางเหลือเกิน...เหมือนกับว่าจะหักได้ง่ายๆถ้าบีบแรงไป
เมื่อได้ยินเสียง”อื้อ”จากอีกฝ่ายเป็นการตอบรับ
เสียงใสจึงเริ่มอ่านต่อไป
“แต่โชคร้าย แม่ของเอลลาตายจากไปตั้งแต่เธอยังเด็ก พ่อของเอลลาจึงแต่งงานกับมาดามหม้ายผู้หนึ่งที่มีลูกติดสองคนเพราะอยากให้เอลลามีแม่”
“การแต่งงานจะเกิดขึ้นเมื่อผู้เป็นภรรยาตายจากไปอย่างนั้นหรือ”
“จริงๆการแต่งงานมีหลายสาเหตุนะ..เพราะรักกันจริงๆ
เพราะพ่อแม่เป็นคนจับคู่ให้...หรืออาจเป็นการเชื่อมอำนาจทางการเมืองระหว่างราชวงศ์ก็ได้”แพทริเซียเอามือเท้าคางระหว่างครุ่นคิด”แต่ในกรณีนี้ฉันคิดว่าการหาแม่ใหม่ให้เอลลาอาจเป็นแค่ส่วนนึง
มาดามหม้ายคงจะมีเสน่ห์หรือความรอบรู้มากพอที่จะให้เศรษฐีคนนั้นตกหลุมรักได้”
เด็กหญิงพลิกกระดาษไปยังหน้าถัดไป“ในตอนแรกแม่เลี้ยงปฏิบัติตัวต่อเอลลาเหมือนกับลูกสาวแท้ๆ
แต่เมื่อเศรษฐีตายจากไปอีกคน
แม่เลี้ยงและลูกสาวทั้งสองคนพากันใช้สมบัติที่ควรจะเป็นของเอลลา
กดขี่ใช้งานเธอราวกับทาส
เอลลาที่มักจะเนื้อตัวเปรอะเปื้อนจากการทำงานอยู่เสมอจึงถูกแม่เลี้ยงและลูกๆเรียกว่าซินเดอเรลลา...ที่แปลว่าสาวน้อยในเถ้าถ่าน”เสียงใสเล่าด้วยจังหวะนุ่มนวล”ความหมายที่จะสื่อก็คงเหมือนกับคำว่ายัยมอมแมมนั่นล่ะ”
มอมแมม
“เฮ้ย! ไอ้ตัวโสโครกตรงนั้นน่ะไปซะให้พ้นๆสิวะ
ข้าเหม็นสาบกลิ่นชั้นต่ำของแกจริงๆ”
“เนื้อตัวมอมแมมอย่างกับผ้าขี้ริ้วนะไอ้ลูกหมา...อา
ช่างเถอะ สวะอย่างแกก็เป็นได้แค่ผ้าเช็ดเท้าอยู่วันยังค่ำ”
เราเข้าใจดี
เข้าใจว่านางคงจะรู้สึกเช่นไร
“เป็นอะไรไปน่ะ”น้ำเสียงเป็นห่วงเป็นใยของเด็กหญิงถามขึ้นเมื่อเห็นสีหน้าของเด็กชายที่ใกล้จะร้องไห้เต็มทน
“เรา...เราสงสารเอลลา
นางมิได้ทำอะไรผิดมิใช่หรือ
เหตุใดแม่เลี้ยงจึงปฏิบัติตัวกับนางเช่นนี้....อาจเป็นเพราะแม่เลี้ยงคิดไปว่าเอลลาเป็นต้นเหตุให้เศรษฐีเสียชีวิตลงใช่หรือไม่”เสียงกระซิบเล็ดลอดออกจากลำคอขณะนัยน์ตาสีฟ้าสดชุ่มโชกไปด้วยน้ำตา
“แม่เลี้ยงคงจะไม่ชอบเอลลาที่เป็นลูกติดตั้งแต่แรกแล้ว...แค่รอโอกาสตอนที่พ่อของเธอตายไปเพื่อหาทางลดบทบาทเธอเท่านั้นล่ะ เพราะงั้นมันไม่ใช่ความผิดของเอลลาหรอกนะ”แพทริเซียสัมผัสความนุ่มของเส้นผมสีทองขณะลูบลงไปอย่างอ่อนโยน”มารอดูกันเถอะว่าการที่เอลลายอมลำบากมาตลอดจะทำให้เธอได้รับอะไรบ้าง”
“จนกระทั่งวันหนึ่ง
มีจดหมายจากพระราชวังเรียนเชิญหญิงสาวจากทั่วอาณาจักรให้ไปยังงานเต้นรำ
ซึ่งถูกจัดขึ้นเพื่อเป็นการหาคู่ครองให้กับเจ้าชาย...ซึ่งเป็นพระโอรสพระองค์เดียวของราชา
เมื่อพี่สาวทั้งสองรู้ข่าวเข้าก็ต่างพากันดีใจที่ตนอาจมีโอกาสได้เต้นรำและแต่งงานกับเจ้าชาย”เสียงใสอ่านต่อไป
นัยน์ตาจับจ้องที่ตัวหนังสือบรรทัดแล้วบรรทัดเล่า
“เอลลาเองก็เช่นกัน
เธอใฝ่ฝันที่จะเป็นอิสระจากงานบ้าน
ได้ใส่ชุดสวยๆออกไปเต้นรำกลางฟลอร์อันงดงามของพระราชวัง
แต่ว่าแม่เลี้ยงกลับกลั่นแกล้งและทำลายชุดที่เธอเตรียมไว้จนไม่สามารถไปงานเต้นรำได้
เอลลาผู้น่าสงสารจึงหนีไปร้องไห้คนเดียว
และในขณะที่เธอกำลังสิ้นหวังอยู่นั้นเอง....”เด็กหญิงใช้น้ำเสียงกดดันกระตุ้นให้ผู้ฟังลุ้นว่าจะเกิดอะไรต่อไป
อัศมิตากลืนน้ำลายเอื๊อก
“นางฟ้าประจำตัวของเอลลาก็ปรากฏออกมา!”แพทริเซียเร่งเสียงขึ้นกระทันหันพร้อมเสียงประกอบที่ดังขึ้นจากการใช้เวทมนตร์ของเธอ”นางเสกให้ชุดเก่าขาดมอมแมมของเอลลากลายเป็นชุดราตรีที่งดงามจนน่าตกตะลึง
รองเท้าเก่าๆถูกแทนที่ด้วยรองเท้าแก้วคู่สวย
และก่อนที่เอลลาจะออกเดินทางไปยังพระราชวัง...นางฟ้าประจำตัวก็ได้เตือนให้เธอกลับมาก่อนเที่ยงคืน
ไม่เช่นนั้นเวทมนตร์เหล่านี้จะหายไป”
“แต่ตัวเจ้าสามารถใช้เวทมนตร์ได้ทุกเวลามิใช่หรือ”ความสับสนในเงื่อนไขของการใช้เวทมนตร์ทำให้อัศมิตาเอ่ยปากถามขึ้น
“ที่ฉันเล่าไปเป็นแค่เงื่อนไขของนิทานที่ถูกใส่มาเพื่อความตื่นเต้นหรอกน่า
นางฟ้าตัวจริงคงไม่มีข้อจำกัดเรื่องนี้หรอก”เด็กหญิงอมยิ้มเป็นเชิงกลั้นหัวเราะขณะตอบ”ส่วนจอมเวทอย่างฉันใช้เวทมนตร์ได้ตลอดอยู่แล้ว”
“เมื่อเอลลาเข้าไปในพระราชวัง
สายตาทุกคู่จับจ้องเธอเป็นตาเดียว
ทั้งใบหน้าและชุดที่ทรงเสน่ห์ยิ่งกว่าใครทำให้ผู้ที่เห็นต้องตะลึงในความงดงาม
ไม่เว้นแม้กระทั่งเจ้าชายหนุ่ม...ที่ยังไม่ได้ขอใครเป็นคู่เต้นรำแม้แต่คนเดียว
เจ้าชายก้าวออกมาข้างหน้าและขอเอลลาเต้นรำ หลังจากที่เอลลาตกลง
ทั้งคู่ก็ได้เต้นรำกันตลอดคืน”เสียงเล็กเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง
“ขณะที่ช่วงเวลาในการเต้นรำดูราวกับชั่วนิจนิรันดร์
เสียงนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนก็ดังขึ้น เอลลานึกถึงคำเตือนของนางฟ้าได้จึงหนีออกมา
เธอรีบร้อนจนรองเท้าแก้วที่ใส่อยู่ข้างหนึ่งหลุดอยู่ตรงบันได
และเจ้าชายที่ไม่ได้ถามชื่อของเธอไว้จึงประกาศไว้ว่าจะแต่งงานกับหญิงสาวคนใดก็ตามที่สามารถใส่รองเท้าแก้วข้างนี้ได้”
“เจ้าชายผู้นั้นอาจไม่ได้ถามนามของนางไว้
ทว่าพระองค์ก็น่าจะจำลักษณะรูปร่างหน้าตาของเอลลาได้มิใช่หรือ...ยกเว้นพระองค์จะตาพิการเช่นเดียวกับเรา
การตามหานางด้วยวิธีเช่นนี้หากมีสตรีอื่นใส่รองเท้าของนางได้จะเกิดสิ่งใดขึ้น”อัศมิตารัวคำถามใส่แพทริเซีย
คิ้วของเด็กชายขมวดมุ่นเป็นปมด้วยความสงสัย
“ฉันเองก็ไม่รู้หรอกนะว่าทำไมเจ้าชายถึงจำหน้าเอลลาไม่ได้
อาจเป็นเพราะมีสมาธิกับการเต้นรำมาก..ไม่ก็มัวแต่ระวังไม่ให้ตัวเองเผลอเหยียบเท้าเอลลาล่ะมั้ง”เด็กหญิงพูดติดตลก”ที่เธอพูดมาก็มีเหตุผลนะ
ถ้าเกิดมีผู้หญิงคนอื่นใส่รองเท้าแก้วได้ก็คงจะได้แต่งกับเจ้าชายไปซะเฉยๆทั้งที่ตัวเองไม่ใช่คู่เต้นรำคืนนั้น
เพราะงั้นฉันเลยคิดว่าเท้าของเอลลาอาจเล็กกว่าเท้าของผู้หญิงรุ่นเดียวกันมากๆ”
“ใกล้จะจบเต็มทีแล้ว
ขอฉันอ่านต่อให้เสร็จเลยนะ”แพทริเซียว่าพลางพลิกหน้ากระดาษไปยังอีกด้าน
“เสนาบดีได้นำรองเท้าแก้วไปให้หญิงสาวทั่วอาณาจักรทดลองสวมบ้านแล้วบ้านเล่า
แต่กลับไม่มีใครใส่รองเท้าข้างนี้ได้เลยสักคน จนมาถึงบ้านของเอลลา
เมื่อลูกสาวทั้งสองได้ลองเรียบร้อยแล้ว แม่เลี้ยงก็โกหกว่าไม่มีหญิงสาวในบ้านอีก
และทำลายรองเท้าแก้วจนแหลกละเอียด
เหล่าเสนาบดีต่างพากันหมดหวังในการตามหาหญิงสาวปริศนา....ทว่าเอลลากลับหยิบรองเท้าแก้วอีกข้างหนึ่งที่ซ่อนไว้ขึ้นมาสวมให้พวกเขาได้ดู”นัยน์ตาสีอเมทิสต์เหลือบขึ้นมองเด็กชาย
มือน้อยๆทั้งสองของเขากำแน่น
อารมณ์ร่วมกับเรื่องราวถูกแสดงผ่านใบหน้าลุ้นระทึก
“เหล่าทหารและเสนาบดีต่างดีใจมากที่สามารถหาตัวหญิงสาวผู้นั้นพบ
พวกเขาจึงรีบแจ้งข่าวไปยังพระราชวัง....และจากนั้นเอลลาก็ได้แต่งงานกับเจ้าชายตามความปรารถนาที่จะเป็นอิสระจากบ้านหลังนี้
และทั้งสองก็ได้ครองรักกันตราบชั่วนิจนิรันดร์...จบแล้วล่ะ”มือเล็กทั้งสองค่อยๆปิดหนังสืออย่างทะนุถนอมก่อนจะวางลงบนตัก
“ชั่วนิจนิรันดร์...”อัศมิตาทวนคำช้าๆราวกับตกอยู่ในห้วงภวังค์
“มันเป็นประโยคจบแบบนึงของนิทานที่จบแบบมีความสุขน่ะ”แพทริเซียหัวเราะ”อันที่จริงเราก็รู้เรื่องราวแค่นั้น
แต่บางทีเรื่องราวหลังจากนั้น...อาจไม่ได้มีความสุขไปซะหมดก็ได้”
“หมายความว่าเอลลาจะต้องทุกข์ทรมานอีกกระนั้นหรือ”ใบหน้างดงามสื่ออารมณ์สงสารออกมาอย่างปิดไม่มิด
ด้วยกลัวว่าตัวละครที่ตนเอาใจช่วยมาตลอดเรื่องจะต้องกลับไปประสบชะตากรรมอันเลวร้ายซ้ำสอง
“อาจจะไม่ถึงขั้นทุกข์ทรมานหรอก
ฉันว่าถ้าจะมีก็คงเป็นการไม่เข้าใจกันบ้าง...ชีวิตที่ไร้การกระทบกระทั่งกับใครคงจะหายากน่าดู”ริมฝีปากสีชมพูคลี่ยิ้มออกเมื่อนึกถึงคำที่ตนเคยได้ยิน”เพราะว่าชีวิตน่ะ...มีทั้งความทุกข์และความสุขเกิดขึ้นสลับกันไปเป็นธรรมดา
ไม่มีความทุกข์หรือความสุขไหนที่คงอยู่ไปตลอดกาล”
เด็กชายพยักหน้าช้าๆราวกับต้องการซึมซับทุกคำพูดเมื่อครู่ให้เข้ามาในความทรงจำมากที่สุด
“ขอถามอะไรหน่อยสิ”เด็กหญิงเอ่ยขึ้นเรียบๆขณะสายตาเลื่อนไปยังใบหน้าของอีกฝ่าย”เธอคิดว่านิทานเรื่องซินเดอเรลลาให้ข้อคิดหรือสื่ออะไรให้เธอรับรู้บ้าง”
อัศมิตานิ่งใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยความมั่นใจเปี่ยมล้น”ข้อคิดคือการที่เอลลาอดทนต่อการงานจนทำให้นางฟ้าแม่ทูนหัวเห็นใจและเปิดโอกาสให้นางได้พบกับเจ้าชายใช่หรือไม่”
“ก็แค่บอกให้ผู้หญิงรู้จักเจียมตัว
ก้มหน้าก้มตาทำงาน...แล้วรอโอกาสกับเจ้าชายในฝันบินเข้ามาหาเองไม่ใช่เหรอ”
“ครั้งนึงฉันก็คิดอะไรคล้ายๆแบบนี้เหมือนกัน”ริมฝีปากสีชมพูแย้มยิ้มขึ้นเมื่อได้ยินคำตอบที่ชวนให้นึกถึงตนเองในอดีต”แต่ว่านะ...”
“อืม...ไม่รู้หรอกนะว่าคนเขียนเขาคิดยังไง
บางทีสิ่งที่เขาต้องการจะสื่ออาจเหมือนกับที่เธอพูดมาก็ได้”
“แต่ถ้ารีบไม่ตัดสินมัน
เปิดใจมองลงไปให้ลึก...จะเจออะไรหลายๆอย่างที่มากกว่านั้น”
“การรู้จักจังหวะ
โอกาส และรักษาความตั้งมั่นของตัวเองไว้ก็เป็นอีกประเด็นนึงเหมือนกัน”ร่างเล็กหงายหลังพิงโซฟาพลางยื่นมือออกไปสุดแขน”เหมือนกับการที่เอลลายอมอดทนทำงานหนักมาตลอด...ในตอนนี้เธออาจยังไม่มีโอกาสหรือความคุ้มค่ามากพอที่จะหนี
แต่พอนางฟ้าประจำตัวหยิบยื่นโอกาสให้เธอได้ไปงานเต้นรำ
และตัวเองทำรองเท้าแก้วหลุดไปข้างนึงจนเสนาอำมาตย์ตามหากันทั่วแล้ว
ในตอนสุดท้ายเธอก็ลุกขึ้นสู้กับสิ่งที่กดหัวมาตลอดด้วยการประกาศตัวว่าเป็นเจ้าของรองเท้าแก้วข้างนั้น
จนได้เป็นอิสระและได้แต่งงานกับเจ้าชายตามความฝันของตัวเองในที่สุด”
“เพราะงั้นเธอเองก็เหมือนกันนะอัศมิตา”แพทริเซียเอื้อมมือทั้งสองขึ้นจับบ่าผอมบางนั้น”ขอให้เธอเชื่อมั่นในสิ่งที่ตัวเธอปรารถนา
สักวันเมื่อโอกาสมาถึงก็ใช้มันสานต่อความฝันของเธอจนเป็นจริง...ฉันเชื่อว่าเธอต้องทำได้อยู่แล้ว”
“ร-เราจะพยายามให้เต็มที่”
รอยยิ้มไร้เดียงสาผุดขึ้นบนใบหน้าเจ้าของชื่อเมื่อครู่...ราวกับความรู้สึกในอกได้ถูกเติมเต็มจากน้ำเสียงเชื่อมั่นและความอบอุ่นจากมือทั้งสองข้างของเด็กหญิง
“แพทริเซีย...เรามีเรื่องสงสัยอย่างหนึ่ง”เด็กชายเอ่ยหลังจากเงียบไปพักใหญ่”แม่เลี้ยงนั้นเป็นบุคคลที่ใจร้ายกับผู้ที่ไม่มีสายเลือดเดียวกับตนใช่หรือไม่”
“ไม่ใช่หรอกนะ”แพทริเซียตอบกลับอย่างหนักแน่น”เรื่องอย่างนี้ก็แล้วแต่คน
บางคนก็อาจเกลียดลูกเลี้ยงตัวเองไม่แพ้แม่เลี้ยงในเรื่องซินเดอเรลลา
บางคนก็อาจเฉยๆไม่รักแล้วก็ไม่เกลียด แต่บางคนที่รักและห่วงใยคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันทางสายเลือดเลยเลยสักนิด--”เด็กหญิงชะงักไปชั่วครู่ก่อนจะต่อด้วยเสียงแผ่วค่อยลง”...ก็มีอยู่แล้ว”
เพราะเหตุใดกัน
น้ำเสียงของแพทริเซียจึงดูราวกับคิดถึงบางสิ่ง
แล้วเพราะเหตุใด...จึงต้องหักห้ามตัวเองราวกับหลุดปากพูดในสิ่งที่ไม่ควร
“แพทริเซีย
ช่วยเล่าเกี่ยวกับบิดามารดาหรือครอบครัวของเจ้าให้เราฟังหน่อยเถิด”เสียงเล็กฟังดูมั่นคงอย่างที่ไม่ค่อยได้ยินบ่อยเท่าใดนัก
”...จะเป็นสิ่งใดก็ได้”เขาเสริมท้ายหลังจากไม่ได้ยินเสียงตอบรับกลับมาจากอีกฝ่าย
จังหวะหายใจของแพทริเซียสะดุดกึกลงเล็กน้อย
ก่อนเด็กหญิงจะเปลี่ยนน้ำเสียงของตนให้ฟังดูปกติราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น”อยากรู้เรื่องในอดีตที่ผ่านมาของฉันงั้นเหรอ”
“ห-หากการพูดถึงเรื่องราวเหล่านั้นทำให้เจ้าไม่สบายใจ
จะไม่กล่าวถึงก็ย่อมไม่เป็นไร”อัศมิตาละล่ำละลักเนื่องด้วยกลัวว่าตนจะเป็นเหตุทำให้เพื่อนต้องทุกข์ร้อน
“แพทริเซีย...เป็นชื่อที่แม่ของฉันตั้งให้”
เสียงใสกล่าวยิ้มๆราวกับเล่าเรื่องสบายๆ”ตอนนี้ขอเล่าแค่นี้ก่อนแล้วกันนะ
เธอก็รู้ว่าฉันจะบอกเรื่องของฉันให้เธอฟังทั้งหมดได้เมื่อไหร่” หากเด็กชายมองเห็นได้คงพบว่านัยน์ตาคู่โตที่สดสวยราวกับอัญมณีฉายแววปวดร้าวอยู่ภายในลึกๆ
ขัดกับน้ำเสียงที่พยายามส่งผ่านรอยยิ้มให้ตัวเขาสบายใจ
ขอโทษที่ฉันอ่อนแอเอง
ขอโทษที่ไม่อยากจะพูดถึงอดีตของฉันในตอนนี้
“เจ้าจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เราฟังเมื่อถึงคราวที่ตัวเราต้องเลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง...ถูกหรือไม่”ท่าทีของร่างผอมบางดูตื่นเต้นแบบเด็กๆเมื่อเอ่ยออกมา
ราวกับหวังจะได้รับคำชมเมื่อตอบถูก
“ความจำดีเหมือนกันนะเธอนี่..ถูกแล้วล่ะ”เสียงใสเอ่ยหยอกเย้าพลางใช้นิ้วจั๊กจี้สีข้างของอัศมิตาจนหัวเราะคิกคัก
“นี่
แพทริเซีย”เสียงเรียกถูกเอ่ยออกมาหลังจากเด็กชายได้หยุดหัวเราะลง”ชื่อของเราก็ได้มาจากการที่ท่านแม่ตั้งให้เช่นเดียวกัน”
ก็คิดไว้บ้างแล้วล่ะ
ชื่อมาทางภาษาแถบอินเดียแบบนี้
คงไม่ใช่พ่อที่น่าจะเป็นชาวตะวันตกเป็นคนตั้งให้หรอก
“ตัวเรามีอีกชื่อหนึ่งที่ท่านพ่อเคยตั้งให้”ใบหน้าเล็กเงยขึ้นขณะหวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตของตน”ทว่าเราในตอนนั้นเยาว์วัยนัก...และหลังจากนั้นมาท่านแม่ก็ไม่เคยเรียกเราด้วยชื่ออื่นนอกเหนือไปจากอัศมิตา
เราจึงไม่อาจจดจำได้ว่าอีกชื่อนั้นเป็นอย่างไร”
พยายามลบชื่อที่เกิดจากผู้ชายคนนั้นไม่ให้อัศมิตาจำมันได้งั้นสินะ
“แล้วทำไมเธอถึงได้ชื่ออัศมิตางั้นเหรอ
มีความหมายอะไรพิเศษอยู่หรือเปล่า”เด็กหญิงเท้าคางขณะครุ่นคิด
ถ้าข้อสันนิษฐานของเธอเป็นจริง
มีความเป็นไปได้สูงที่ชื่อนี้จะมีความหมายหรือหรือสื่อถึงอะไรไปในเชิงดูถูกก็ได้
“ชื่อของเรามีที่มาจากคำว่าอัตตา
มีความหมายถึงการยึดมั่นถือมั่นในตัวตน”เสียงเล็กเอ่ยสิ่งที่เป็นเรื่องไม่กี่อย่างที่ผู้เป็นมารดาเคยสอน”และชื่ออัศมิตา...เป็นชื่อที่นำมาใช้ตั้งให้แก่สตรี”
“หา!”แพทริเซียอุทานขึ้นเบาๆก่อนจะเผลอหลุดปากถามออกไป”แล้วทำไมแม่เธอถึงเอาชื่อผู้หญิงมาตั้งชื่อให้ลูกชายตัวเองล่ะ”
อัศมิตานิ่วหน้าลงด้วยความรู้สึกเจ็บปวดที่แล่นเข้ามาเกาะกินในใจ”ท่านแม่...ท่านแม่บอกว่าการที่เราเกิดมาตาพิการและไม่สามารถทำประโยชน์อันใดได้
แม้จะเป็นเพศชายก็นับได้ว่าต่ำต้อยยิ่งกว่าสตรี....และไม่คู่ควรกับการใช้ชื่อที่แสดงความเป็นบุรุษเสียด้วยซ้ำ”หยาดน้ำเริ่มเอ่อคลอท่วมดวงตา
เด็กชายซบใบหน้าลงกับฝ่ามือขณะที่เนื้อตัวสั่นจากแรงสะอื้น
นี่มันแย่กว่าที่คิดไว้อีกนะเนี่ย
แม่อะไรใจร้ายเกินไปแล้ว...พูดแบบนี้กับลูกตัวเองได้ยังไง
ทั้งที่อัศมิตาพยายามแล้วแท้ๆ
แต่ที่เขาร้องไห้ขึ้นมาอีก….
ก็เป็นเพราะตัวฉันไปถามอะไรแบบนั้นไม่ใช่เหรอ
แพทริเซียดึงร่างเล็กเข้ามากอดอย่างแนบแน่น
หวังให้ความรู้สึกอบอุ่นจากการกอดช่วยปลอบประโลมจิตใจที่กำลังเสียขวัญ”ขอโทษนะ...ขอโทษ
ฉันพูดอะไรไม่คิดออกไปเอง”เสียงกระซิบหลุดลอดจากลำคอ ทว่าดังพอที่เด็กชายจะได้ยิน ดวงตาสีม่วงคู่โตของเธอฉาบชโลมไปด้วยความรู้สึกผิดที่มีต่ออีกฝ่าย
“ไม่ใช่...ความผิดของเจ้า...เสียหน่อย”จังหวะของการพูดถูกคั่นเป็นพักๆด้วยเสียงสะอื้น”เราเป็นเช่นนี้เอง...ที่ท่านแม่พูดมานั้น..ไม่ผิด...ทั้งอ่อนแอ..และต่ำต้อย”
ครอบครัวเป็นแหล่งปลูกฝังทางความคิดที่สำคัญที่สุด
บาดแผลที่ได้รับจากตรงนี้อาจกินลึกจนต้องใช้เวลานานในการเยียวยา
แต่ว่า....
“เธอไม่ได้ต่ำต้อยไปกว่าใครหรอกนะ”มืออบอุ่นเสยเรือนผมสีทองคำที่ตกลงมาปรกใบหน้าเปื้อนน้ำตาของอีกฝ่าย”ไม่ว่าจะเป็นเพศไหน
มีเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ หรือสถานะทางสังคมเป็นยังไง...เรื่องพวกนี้ก็ไม่ใช่ของที่จะเอามาใช้วัดคุณค่าของชีวิตได้”
“ทว่าการที่เราเป็นจัณฑาล...ย่อมต่ำต้อยกว่าผู้อื่นอยู่แล้วมิใช่หรือ”เด็กชายมีท่าทีสงบลง
ทว่าเสียงที่เปล่งออกมายังคงความน้อยเนื้อต่ำใจในตัวเองอยู่บ้าง
“เรื่องจัณฑาลน่ะเป็นสถานะทางสังคมของความเชื่อท้องถิ่น
แต่ตอนนี้เธออกมาจากอินเดียแล้ว...เพราะงั้นเธอก็ไม่ใช่จัณฑาลอีกแล้วล่ะ”น้ำเสียงให้กำลังใจสะท้อนก้องไปทั่วโสตประสาทของอัศมิตา”ดูอย่างเฟมิ
พี่ชาลิเซ่ พวกนางกำนัลหรือว่าสุลต่านสิ...ไม่เห็นมีใครรังเกียจเธอเพราะเรื่องนี้เลย
ออกจะเอ็นดูด้วยซ้ำไป”
“อีกอย่างนึง...เวลาที่เธอแสดงความเข้มแข็งของตัวเองออกมาเพื่อปกป้องผู้อื่น
มันแสดงให้เห็นถึงความดีงามในจิตใจของตัวเธอที่ไม่อยากให้ใครเดือดร้อน”แพทริเซียอมยิ้มเล็กน้อยก่อนจะพูดประโยคถัดมา”ดูสง่างามมากเลยล่ะ...”
“เช่นนั้นเองสินะ”ในที่สุดริมฝีปากของผู้ที่จมอยู่กับความเจ็บปวดเมื่อครู่ก็เผยรอยยิ้มน้อยๆออกมาพร้อมกับแก้มที่เปลี่ยนเป็นสีระเรื่อเล็กน้อยจากการได้ยินคำชม
แม้ว่าแรงสะอื้นจากการร้องไห้เมื่อครู่จะยังไม่หมดไปเสียทีเดียว”แม้ตอนนี้เราจะยังทำได้ไม่ดีเสียเท่าไรนัก..แต่เราจะพยายาม..พยายามเข้มแข็งขึ้นให้จงได้”
“ดีแล้วล่ะ”เจ้าของเรือนผมสีม่วงหัวเราะเบาๆก่อนขยี้เรือนผมอีกฝ่ายเล่นอย่างเอ็นดู
”เธอมีอะไรที่อยากให้ฉันทำเป็นพิเศษบ้างไหมตอนนี้”แพทริเซียเอ่ยหลังจากเงียบไปได้พักใหญ่
มือง่วนอยู่กับการเล่นผมของอีกฝ่าย
“เพราะเหตุใดเจ้าจึงถามเราเช่นนี้งั้นหรือ”เสียงใสซื่อตั้งคำถามกลับ
“ฉันอยากจะทำอะไรขอโทษที่เผลอพูดไม่คิดไปน่ะสิ”
ศีรษะที่ถูกปกคลุมไปด้วยเรือนผมสีม่วงก้มลงไปเล็กน้อย
ความรู้สึกผิดปะปนอยู่ในน้ำเสียงมากพอที่เด็กชายจะสังเกตได้
“ไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใด
เรามิได้โกรธเคืองเจ้าในเรื่องนั้นอยู่แล้ว”มือทั้งสองคว้าเปะปะไปตามอากาศเล็กน้อยก่อนจะมาหยุดลงที่บ่าสองข้างของอีกฝ่ายด้วยพยายามเลียนแบบสิ่งที่ทำให้ตนเองเกิดความเชื่อมั่นขึ้นมาได้
เพื่อให้อีกฝ่ายเกิดความสบายใจ..
“ขอให้ฉันได้ทำอะไรหน่อยเถอะนะ...ไม่งั้นคงสบายใจไม่ลง”แพทริเซียยังคงยืนกรานเช่นเดิม
แม้ว่าจะแฝงความขี้เล่นมาในน้ำเสียงเล็กน้อย
“งั้นหรือ..”ใบหน้างดงามแสดงความลำบากใจออกมาอย่างไม่ปิดบัง”ถ้าเช่นนั้นโปรดบอกที่มาและความหมายของชื่อแพทริเซียแก่เราจะได้หรือไม่”
เด็กหญิงเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อยหลังจากได้ยินคำขอที่ไม่คาดคิด
แต่แล้วเธอก็ยิ้มออกมา “ได้สิ ด้วยความยินดีเลยล่ะ”
“ถ้าจำไม่ผิดคำแปลของชื่อฉันก็ประมาณว่าผู้สูงศักดิ์..หรูหรา...สง่างาม
อะไรประมาณนี้ล่ะมั้ง”เสียงใสหัวเราะพรืด”แต่อันที่จริงชีวิตฉันไม่ได้เป็นชนชั้นสูงอะไรหรอกนะ
ก็อยู่ในระดับชาวบ้านนั่นแหละ”
“แล้วเหตุใดท่านแม่ของเจ้าจึงเลือกชื่อนี้ให้แก่เจ้าอย่างนั้นหรือ”เด็กชายถามต่อด้วยอารมณ์ตื่นเต้นที่ได้รับรู้เรื่องราวของแพทริเซียขึ้นมาบ้าง
แพทริเซียถอนหายใจช้าๆ
ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เด็กชายตาบอดไม่อาจคาดเดาอารมณ์ถูก”ไม่รู้สิ...ฉันเองก็ไม่เคยได้ถามเหมือนกัน”
คิดถึง....
ร่างเล็กถอนใจเฮือกเมื่อได้ยินความคิดในหัวของตนที่ดังขึ้นมาเช่นนี้อีกครั้งหนึ่ง
พอได้แล้วแพทริเซีย
หยุดคิดถึงเรื่องพวกนี้ซะที
เธอจะต้องเข้มแข็งไม่ใช่หรือไง
เธอยังมีคนที่จะต้องปกป้องอยู่ไม่ใช่หรือไง
ถ้าเธอยังอ่อนแออยู่แบบนี้แล้วจะไปช่วยอะไรใครได้
แพทริเซียทอดมองไปยังเด็กชายที่ผล็อยหลับไประหว่างเล่นตุ๊กตา
สายลมเย็นปะปนกับไอทะเลโชยเข้ามาผ่านบานหน้าต่างที่เปิดอ้าออก
ทำให้เรือนผมของคนทั้งคู่พัดปลิวราวกับผืนผ้าไหมที่โบกไสว
ริมฝีปากระเรื่อแย้มขึ้นเป็นรอยยิ้มเมื่อเห็นว่ามือทั้งสองของเขายังคงกอดตุ๊กตาตัวนั้นไว้อย่างแนบแน่น
ชอบมันขนาดนั้นเลยเหรอ
เธอนี่แปลกคนดีนะเนี่ย
พลันเด็กหญิงเห็นภาพทับซ้อนในอดีตตอนที่ตนกำลังกอดตุ๊กตาตัวโปรดโดยมีหญิงสาวร่างสูงยืนมองอยู่ไม่ห่าง
เธอจำได้...แม้กระทั่งว่าประกายของนัยน์ตาหลังกรอบแว่นนั้นเป็นเช่นไร
หยุดเอาเรื่องในปัจจุบันแบบนี้ไปผูกกับอดีตสักที…
มือขาวเนียนกำแน่น
แน่นเสียจนเล็บแทบจิกลึกเข้าไปในเนื้อขณะพยายามตอบโต้กับความคิดที่อยู่ในหัวตัวเอง
เสียงตึกตักของหัวใจที่อยู่ในอกบีบตัวแรงขึ้นจนเธอสามารถได้ยินอย่างชัดเจน
ฉันไม่อยากทำเรื่องผิดพลาดลงไปอีกแล้ว
ได้โปรด...ให้ฉันผ่อนคลายจากความรู้สึกนี้บ้าง
ชั่วขณะหนึ่ง
แพทริเซียนึกไปถึงภาพของห้องอีกห้องหนึ่งบนเรือลำนี้...ห้องที่เธอเก็บซ่อนเอาไว้และพยายามที่จะลืมเลือนเรื่องราวเกี่ยวกับมันมาโดยตลอด
อยากเข้าไปอีกสักครั้ง
เด็กหญิงลังเล
ใจหนึ่งยังคงไม่อยากที่จะก้าวเข้าไปอีก
แต่อีกใจก็รู้ตัวดีว่าหากเธอยังลดความคิดเช่นนี้ลงไปไม่ได้คงจะไม่ดีแน่
ก็คงมีแต่จะต้องเข้าไปสินะ
อย่างน้อยสิ่งที่อยู่ในห้องก็คงช่วยให้ความคิดแบบนี้หยุดไปได้บ้าง
ร่างเล็กลุกขึ้นจากเก้าอี้และสอดมันกลับเข้าไปเบาๆ
ฝีเท้าที่ย่องออกจากห้องแผ่วเบาราวกับแมวป้องกันมิให้เด็กชายสะดุ้งตื่น
เธอลงบันไดมาอย่างเชื่องช้าก่อนจะหยุดเดินเมื่อเท้าทั้งสองเหยียบลงบนพื้นห้องนั่งเล่น
ตรงนั้นไงล่ะ
นัยน์ตาสีอเมทิสต์เพ่งพิศไปยังส่วนที่ควรจะเป็นผนังไม้ว่างเปล่า
สองเท้าสาวเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
“ถ้าอัศมิตารู้เรื่องเข้า...จะทำหน้าแบบไหนกันนะ”เด็กหญิงพึมพำพลางวางมือลงบนผนังไม้และเริ่มใช้สมาธิของตน
พลันมีแสงสว่างวาบขึ้นมาเมื่อผนังไม้กลายมาเป็นบานประตูสีน้ำตาลขนาดกลางๆ
เธอเอื้อมมือไปหาลูกบิดประตู
ก่อนจะชะงักชั่วครู่และเปิดอย่างรวดเร็วราวกับลูกบิดนั้นทำจากเหล็กหลอมที่พร้อมจะทำให้มือเธอพองและไหม้เกรียมได้ทุกเมื่อ
สภาพภายในถูกจัดเตรียมไว้สำหรับเป็นห้องนอนอีกห้องหนึ่ง
โทนสีเขียวขจีราวผืนป่าที่ใช้ในการตกแต่งสอดรับกับเตียงนอนสีขาวสะอาดและข้าวของเครื่องใช้ภายในห้องที่มีเสน่ห์อย่างน่าประหลาด
ตู้หนังสือที่เรียงชิดติดกันที่ผนังฝั่งหนึ่งเต็มไปด้วยหนังสือเล่มหนาหลากภาษาและหนังสือทำมืออีกหลายเล่ม
ทั่วทั้งห้องถูกประดับประดาไปด้วยภาพเขียนสี ทั้งภาพของวิวทิวทัศน์ อาหาร อุปกรณ์
สัตว์ต่างๆ และรวมไปถึงภาพของเด็กผู้หญิงร่างเล็กในชุดประจำถิ่นของแถบโรมาเนีย
ใช่แล้ว...ภาพของตัวเธอเอง
แพทริเซียก้าวเข้าไปในห้อง
สูดลมหายใจเข้าออกขณะกวาดสายตาไปรอบๆ แม้บรรยากาศของห้องจะชวนให้ผ่อนคลายเพียงใด แต่กลับไม่สามารถทำให้ความอึดอัดที่ก่อตัวภายในอกของเธอคลายลงได้
“ไม่ได้เข้ามานานแล้ว..สินะ”เสียงกระซิบผะแผ่วหลุดจากลำคอ
ร่างเล็กหันกลับไปปิดประตูก่อนจะเดินไปรอบๆห้องราวกับต้องการซึมซับบรรยากาศ
เธอเงยหน้าขึ้นมองภาพที่ตนเคยนั่งเป็นแบบท่ามกลางทุ่งดอกไม้ป่า
จำได้ว่าคนๆนั้นตั้งใจวาดมันขนาดไหน
เหมือนกับใส่จิตวิญญาณของตัวเองลงไปในภาพวาด
สีหน้า
แววตา รายละเอียดของชุด หรือแม้กระทั่งดอกไม้ที่อยู่รอบๆ
รายละเอียดทุกอย่างถูกใส่ใจและประสานเป็นภาพที่สื่ออารมณ์ได้ดีกว่าใคร...
ยิ่งนึกถึง...ก็ยิ่งรู้สึกเจ็บปวด
ผมยาวสีม่วงสะบัดไปตามจังหวะการส่ายหน้าของเธอ
แพทริเซียก้มหน้าลงเล็กน้อยเพื่อป้องกันไม่ให้ตนเองได้มองไปที่ภาพวาดไหนอีก
พลางสะดุดสายตาเข้ากับกล่องใบหนึ่งบนโต๊ะไม้ที่อยู่ทางด้านซ้ายมือ
ความรู้สึกเจ็บปวดเพิ่มขึ้นราวกับมีมือมาบีบรัดหัวใจแน่น
ริมฝีปากสีชมพูเม้มจนบางเฉียบขณะใคร่ครวญว่าตนควรจะเปิดมันออกอีกครั้งดีหรือไม่
...และสุดท้ายเด็กหญิงก็ค่อยๆเปิดฝากล่องด้วยมือสั่นเทา
ภายในมีสร้อยเส้นหนึ่ง
ตัวจี้เป็นพระอาทิตย์ที่เจียระไนมาจากทับทิมเม็ดโต ตกแต่งโดยรอบด้วยอัญมณีหลากสีเสมือนเป็นดาวบริวาร
การจัดแต่งองค์ประกอบและประกายที่เปล่งออกมาเมื่อยามอัญมณีเหล่านี้ต้องแสงสว่างทำให้กล่าวได้ว่าจี้ชิ้นนี้คงจะมีราคาสูงยิ่ง
ตัดกับสายสร้อยที่เป็นสายหนังธรรมดาอย่างที่หาพบได้ทั่วไป
...และเป็นสิ่งสุดท้ายที่เธอได้รับมาจากคนๆนั้น
แพทริเซียนึกย้อนกลับไปยังครั้งแรกที่เธอได้เห็นจี้ของสร้อยเส้นนี้
“จี้นั่น...”
“สวยใช่ไหมล่ะ...”
“สวยดี
แต่ว่าทำไมต้องซ่อนไว้ข้างใต้เสื้อให้คนเห็นแต่สายสร้อยหนังด้วย”
“เราต้องรู้จักระวังตัวนะแพทริเซีย
ถ้าเกิดมีคนเห็นว่าของนี้มีค่าอาจเกิดอันตรายขึ้นได้
แล้วฉันก็ไม่อยากจะทิ้งมันไว้ในบ้านตลอด...เพราะมันเป็นของสำคัญอีกชิ้น”
“ของสำคัญ..?”
“มันมีคุณค่าทางจิตใจกับฉันมากๆยังไงล่ะ
อันที่จริงมีจี้ที่เข้าชุดกันเป็นรูปจันทร์เสี้ยวด้วย”
“ไม่เห็นมีจี้แบบนั้นอยู่เลย”
“ไม่ได้อยู่ที่นี่หรอก...เพราะมันอยู่กับคนๆนึง---”
“ซึ่งคนที่เป็นเจ้าของคงจะมีความสำคัญไม่น้อยเลย”
“ถูกต้องแล้วล่ะ”
“สักวันนึง
สัญญาว่าจะพาไปเจอกับเจ้าของจี้อีกอัน...เธอคงจะชอบคนๆนั้นแน่”
แต่ตอนนี้ก็รักษาสัญญาไว้ไม่ได้แล้วนี่นา...
ขอบตาของเด็กหญิงร้อนผ่าว
มือขวากำจี้ไว้แน่นขณะความรู้สึกที่อดกลั้นมานานถูกถ่ายทอดผ่านคำพูด ทั้งที่ตัวเธอรู้ดีว่าอาจไม่เกิดประโยชน์อันใดขึ้นเลยก็ตาม
“เป็นยังไงบ้าง
สบายดีหรือเปล่า”น้ำลายเหนียวฝืดถูกกลืนลงคอไป”ตอนนี้ฉันสบายดี หลังจากวันนั้นก็ได้ไปเจอเรื่องอะไรมาตั้งเยอะแยะ”แม้จะพยายามคงน้ำเสียงและรอยยิ้มไว้
แต่ประกายในดวงตากลับสั่นไหวราวกับใกล้แตกสลาย
”ได้เจอเด็กคนนึงที่น่าสนใจมากๆด้วย
เป็นเด็กที่ใสซื่อเหมือนกับผ้าขาวจริงๆเลยล่ะ...แต่ลึกๆข้างในคงบอบช้ำน่าดู
ถ้าเป็น...”เสียงใสที่แผ่วลงจนเกือบเรียกได้ว่ากระซิบ
ราวกับว่าจิตใจภายในจมสู่ห้วงความรู้สึกอันลึกล้ำ”...คงจะช่วยเยียวยาให้เด็กคนนั้นกลับมามั่นใจในตัวเองได้อีกครั้งแน่”
รู้สึกเจ็บปวดอยู่ในอก
เหมือนกับว่าโดนมีดแทงซ้ำไปมาไม่รู้จบ
ทั้งที่บอกให้อัศมิตาพยายามเข้มแข็ง
แต่ตัวเองอ่อนแอถึงขนาดนี้
“แล้วก็นะ”น้ำเสียงของแพทริเซียเต็มไปด้วยความโศกเศร้าขมขื่น”ฉันขอโทษที่ทำให้เกิดเรื่องนั้นขึ้นมา
ขอโทษที่ทำให้ต้องผิดหวัง ขอโทษที่---”เด็กหญิงหยุดชะงักเมื่อมองเห็นชายกระโปรงของตนเปลี่ยนสภาพไปเป็นผ้าเนื้อบางเบาสีน้ำเงินที่มีลวดลายของดวงดาวนับร้อยพันอยู่ภายใน และรู้สึกได้ถึงพลังที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล
สิ่งที่กลัวที่สุด
สิ่งที่ทำให้ประกายหลังแว่นตาของคนๆนั้นเปลี่ยนเป็นความตกตะลึงได้
ไม่เอาอีกแล้ว....ไม่อยากให้มันเกิดขึ้นอีก
แพทริเซียทรุดตัวลง
มือทั้งสองกอดกุมตัวเองไว้แน่นราวกับจะไม่มีวันปล่อย เด็กหญิงสูดหายใจเข้าลึกๆ
พยายามนึกถึงเรื่องที่ทำให้ตนเองรู้สึกผ่อนคลาย
ซึ่งไม่ง่ายนักที่จะทำในขณะที่ความรู้สึกในใจเต็มไปด้วยความเจ็บปวดร้าวรานดังเช่นในขณะนี้
จนกระทั่งเวลาได้ล่วงเลยมาสักพักใหญ่
ชายกระโปรงของแพทริเซียกลับมามีสีดังเดิม
พลังในตัวที่เพิ่มขึ้นมาอย่างผิดปกติก็ได้เลือนหายไป ทำให้เธอถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอกพลางปาดเหงื่อที่ผุดพราวบนใบหน้า
เฮ้อ
เกือบไปแล้วสิ
แต่เอาเถอะ
อย่างน้อยก็ได้รู้ว่าต้องควบคุมตัวเองให้ดีกว่านี้
...แล้วก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างล่ะนะ
ร่างเล็กก้มลงเก็บสร้อยที่ตกอยู่ข้างตัวก่อนจะนึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
เธอใช้นิ้วชี้ขวาหมุนอัญมณีสีน้ำเงินที่ใหญ่รองลงมาจากทับทิมไปทางทิศตามเข็มนาฬิกาสามรอบ
และทันใดนั้นภาพของดอกไม้สีขาวที่บานคว่ำลงก็ปรากฏออกมา
“นี่ไง ถ้าทำแบบนี้แล้วจะมีภาพของดอกสโนว์ดรอปขึ้นมาด้วย”
“สโนว์ดรอปเหรอ”
“ดอกไม้สีขาวที่บานขึ้นมาเป็นพวกแรกๆตอนช่วงสิ้นสุดฤดูหนาวนั่นล่ะ
เป็นสัญลักษณ์ของความหวัง ความบริสุทธิ์ แล้วก็การเกิดใหม่”
“แค่บานขึ้นมาก่อนก็ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับความหวังเลยนี่”
“สโนว์ดรอปเป็นสิ่งที่บอกให้รู้ว่าความเหน็บหนาวกำลังจะผ่านไป
และผู้คนจะได้กลับไปสู่ความมีชีวิตชีวาในฤดูใบไม้ผลิอีกครั้ง ก็เลยกลายเป็นสัญลักษณ์ของความหวัง....”
“ถ้าสามารถเข้มแข็ง อดทน และรักษาความหวังในจิตใจของตัวเองไว้ได้ไม่ว่าต้องเผชิญหน้ากับเรื่องเลวร้ายแค่ไหน
สักวันเมื่อโอกาสมาถึง
ความมั่นคงที่มีจะนำพาผู้คนไปสู่ความหวังได้...เหมือนกับดอกสโนว์ดรอปยังไงล่ะ”
แพทริเซียถอนหายใจ
สายตาจับจ้องไปยังทับทิมเม็ดโตที่อยู่ตรงกลาง
อยากรู้เหมือนกันนะว่าเจ้าของจี้อีกอันจะเป็นคนแบบไหน
สองมือถือสายสร้อยไว้ก่อนจะวางลงในกล่องอย่างทะนุถนอม
หลังจากนั้นเด็กหญิงจึงได้ปิดฝากลับลงไปให้อยู่ในสภาพเดิม ร่างเล็กเตรียมหมุนตัวกลับเพื่อที่จะเดินออกทางประตู
พลันสายตาก็ได้เหลือบไปเห็นกล่องไม้น่ารักที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากกล่องใส่สร้อยคอเท่าใดนัก
ลืมไปได้ยังไงเนี่ย
“ช็อกโกแลตร้อนหอมละมุนดีจริง”เสียงเล็กเอ่ยเจื้อยแจ้ว
คราบสีน้ำตาลจากเครื่องดื่มเปื้อนรอบขอบปากที่ยิ้มกว้างอย่างสุขใจ
“ปากเปื้อนหมดแล้วนะเธอเนี่ย”แพทริเซียหัวเราะคิกพลางใช้ผ้าซับรอบริมฝีปากของอีกฝ่ายจนสะอาด”ชอบช็อกโกแลตร้อนเหรอ”
อัศมิตาพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น”ช็อกโกแลตร้อนมีกลิ่นอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ
อีกทั้งมีรสชาติผสมผสานระหว่างความหวานและความขมอย่างลงตัว...เราจึงรู้สึกชื่นชอบเครื่องดื่มชนิดนี้ยิ่งนัก”ความใสซื่อในตัวถูกถ่ายทอดผ่านคำบรรยายที่ตรงไปตรงมาสมกับวัย
“ดีแล้วล่ะ
ถ้ารู้ว่าเธอชอบอะไรฉันจะได้ทำมาให้อีก”เสียงใสกล่าวตอบเรียบๆแต่แฝงความหยอกเย้าอยู่ในที
“เราจะได้ดื่มช็อกโกแลตร้อนอีกจริงๆน่ะหรือ”เสียงของอัศมิตาดังขึ้นจากความตื่นเต้น
แม้ดวงตามืดบอดมิอาจสะท้อนอารมณ์ออกมาได้
แต่กลับช่วยขับเน้นให้รอยยิ้มไร้เดียงสาดูบริสุทธิ์ยิ่งขึ้นไป
ก่อนที่เด็กชายจะชะงักไปสักครู่ราวกับนึกขึ้นได้ว่าตนลืมบางสิ่ง”ขอบคุณมากแพทริเซีย”
“ยังไงเราก็เป็นเพื่อนกันอยู่แล้วน่า
ไม่ต้องเครียดเรื่องคำขอบคุณขนาดนั้นหรอก”มือเล็กขยี้เส้นผมสีทองด้วยอารมณ์มันเขี้ยวก่อนที่จะเหลือบไปเห็นกล่องไม้ที่ถูกวางไว้บนเก้าอี้ตัวข้างๆ
เกือบลืมพูดถึงเรื่องนี้ไปเลยแฮะ
“จริงสิ
ฉันมีของจะให้เธอด้วย”แพทริเซียเอี้ยวตัวหยิบกล่องไม้ใบเล็กขึ้นมาวางบนโต๊ะ”คิดว่าบางทีเจ้านี่อาจมีประโยชน์ขึ้นมาตอนเราต้องไปอยู่ต่อหน้าคนอื่นก็ได้”
เด็กชายที่เงี่ยหูตั้งใจฟังนับตั้งแต่ได้ยินเสียงกล่องไม้กระทบโต๊ะมุ่นคิ้วลงเล็กน้อยด้วยความสงสัย“จะมอบสิ่งของอะไรแก่เรางั้นหรือ”
“อืม
ว่ายังไงดีล่ะ...มันเป็นอุปกรณ์อย่างนึงที่ช่วยในเรื่องของการโทรจิตน่ะ”นิ้วเรียวเกี่ยวเส้นผมสีม่วงขึ้นมาระหว่างใช้ความคิด
“โทรจิตหมายถึงการใช้จิตของตนในการสื่อสารกับผู้อื่นแทนคำพูดใช่หรือไม่”อัศมิตาเอ่ยออกมาช้าๆราวกับไม่ค่อยแน่ใจในคำพูดของตนเสียเท่าใดนัก”ทว่าเราไม่อาจใช้เวทมนตร์ได้
จะสามารถทำเช่นนั้นได้อย่างไร”
“ถ้าฉันจำไม่ผิด...มนุษย์ธรรมดาที่ไม่ได้มีสายเลือดหรือพลังอะไรพิเศษยังรับรู้โทรจิตที่ตั้งใจสื่อสารด้วยได้นะ
แค่สื่อสารตอบกลับมาไม่ได้เท่านั้นเอง”เด็กหญิงเว้นช่วงไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อ”ประมาณนี้ล่ะ”
“เป็นไงบ้าง
ได้ยินหรือเปล่า”
เด็กชายสะดุ้งโหยง
อะไรกัน
ราวกับว่าเสียงเมื่อครู่ไม่ได้ส่งผ่านจากปากของนาง...แต่กลับดังขึ้นในหัวของเราอย่างชัดเจน
“สุดยอดไปเลย...”เสียงเล็กพึมพำออกมาอย่างตกตะลึง
“ทว่าเจ้าสามารถใช้โทรจิตได้ด้วยตัวเอง...เช่นนั้นอุปกรณ์ที่ว่าจะทำให้เกิดประโยชน์ในด้านใดเล่า”
“มันเป็นอุปกรณ์ที่มีไว้ฝึกให้คุ้นเคยกับการใช้โทรจิตสื่อสารเบื้องต้นก่อนที่จะเริ่มใช้พลังเวทในการโทรจิตจริง”เด็กหญิงอธิบายเรียบๆ”แค่ใครสักคนมอบพลังเวทให้
มันก็ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการติดต่อกันทางจิตได้ในระยะนึงแล้ว...เคยได้ยินมาว่าจอมเวทย์หลายคนเอาไปใช้ติดต่อสื่อสารในเวลาที่พลังของตัวเองไม่พอที่จะส่งต่อโทรจิตไปตรงๆ”เธอเว้นช่วงไประยะหนึ่ง
“เพราะงั้นฉันเลยคิดว่ามันอาจจะเป็นตัวช่วยให้เธอใช้โทรจิตสื่อสารกับฉันได้...”
“เราจะสามารถใช้โทรจิตได้อย่างนั้นหรือ!”แก้มของเด็กชายเปลี่ยนเป็นสีแดงราวมะเขือเทศด้วยอารมณ์ตื่นเต้นดีใจ
“ก็ต้องลองดูล่ะนะ”
มือนุ่มเนียนค่อยๆปลดตัวล็อกของกล่องใบน้อย
เผยให้เห็นแผ่นไม้สองแผ่นที่ถูกแกะสลักเป็นลวดลายงดงามประหลาดตา
นิ้วชี้ของเธอลูบลูกแก้วสีใสตรงกลางของแผ่นไม้ทั้งสองอย่างแผ่วเบา
“นี่ไง”แพทริเซียหยิบแผ่นไม้ที่วางอยู่ทางด้านซ้ายขึ้นแตะหลังฝ่ามือของเด็กชาย
อัศมิตารับวัตถุนั้นมา
นิ้วผอมบางค่อยๆไล้ไปทั่วทั้งแผ่นไม้เป็นการสำรวจ”พื้นผิวไม่เรียบเสมอกัน...
แล้ววัตถุนูนแข็งบริเวณด้านบนแผ่นไม้คือสิ่งใด”
“ที่มันไม่เรียบก็เพราะว่าเป็นงานแกะสลักน่ะ...ก็คือการใช้เครื่องมือทำให้พื้นผิวที่ต้องการเกิดลวดลายหรือร่องรอยขึ้นตามที่ต้องการ
อย่างแผ่นไม้นี่ก็เป็นงานแกะสลักเพื่อความสวยงาม”นัยน์ตาสีอเมทิสต์ฉายแววเอ็นดู”ส่วนวัตถุนูนแข็งที่เธอว่าก็คือลูกแก้ว”
“งั้นหรือ...”เด็กชายพยักหน้าช้าๆสีหน้าบ่งบอกถึงการพยายามทำความเข้าใจ”แล้วการใช้โทรจิตต้องทำเช่นไรบ้าง...”
“อ๊ะ! รอเดี๋ยวนะ”ร่างเล็กสะดุ้งเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนลืมบางสิ่ง”ขอแผ่นไม้อันที่อยู่กับเธอหน่อย”
เด็กชายยื่นไม้แผ่นเล็กไปทางต้นเสียง
แพทริเซียรับมันไว้อย่างนุ่มนวลก่อนที่จะวางลงข้างแผ่นไม้อีกชิ้นในกล่อง
เด็กหญิงวางมือลงบนก่อนแผ่นไม้ทั้งสองก่อนที่จะควบคุมให้พลังส่วนหนึ่งของตนไหลเข้าไป
ทันใดนั้นลูกแก้วที่อยู่ตรงกลางก็พลันเกิดหมอกหมุนวนขึ้นราวกับตอบรับพลังนั้น
แล้วจึงค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีฟ้าสดใสราวน้ำทะเล
“เสร็จแล้วล่ะ”มือเล็กส่งแผ่นไม้กลับคืนแก่อีกฝ่าย”อยากจะลองใช้โทรจิตดูเลยไหม”เสียงใสถามต่อ
แม้ว่าแทบจะรู้คำตอบได้จากสีหน้าอีกฝ่าย
“แน่นอนว่าเราตกลง...”น้ำเสียงของเด็กชายหนักแน่นขึ้นเพื่อยืนยันความชัดเจนในเจตนารมณ์
“เอาล่ะ
ถ้างั้นเรามาลองทดสอบกันดูเลย”ประกายในดวงตาของแพทริเซียสั่นระริกด้วยความตื่นเต้น”ฉันจะขึ้นไปบนชั้นสองก่อน
ให้ระยะทางมันห่างกันสักหน่อยน่ะ...แล้วเดี๋ยวจะบอกกับเธอทางโทรจิตว่าต้องทำยังไงบ้าง”
“เราเข้าใจแล้ว”เด็กชายกำมือแน่น
ใบหน้างดงามแย้มยิ้มขึ้นด้วยอารมณ์ดีใจ
แพทริเซียลูบเรือนผมสีทองเบาๆ
ร่างเล็กของเธอลุกขึ้นจากโซฟาก่อนจะขึ้นบันไดไปหยุดอยู่ที่หน้าประตูห้องนอนของตน
“ยังได้ยินฉันอยู่ใช่ไหม
จะสอนวิธีการตอบกลับโทรจิตล่ะนะ...ให้กำหนดไว้ในใจว่าจะส่งคำพูดอะไรมาถึงฉันบ้าง”เสียงใสดังขึ้นในหัวของอัศมิตาอย่างชัดถ้อยชัดคำ”ไม่ต้องห่วงหรอก
ก็เหมือนกับการพูดทั่วไป ฉันจะรู้เฉพาะความคิดที่เธออยากให้ฉันรู้นั่นล่ะ”
เด็กชายสูดหายใจเข้า
ก่อนจะรวบรวมสมาธิเพื่อกำหนดให้จิตของตนส่งถ้อยคำไปยังแพทริเซีย”ทำเช่นนี้ใช่หรือไม่”
เราทำได้
เราสามารถส่งโทรจิตได้
“เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่สามารถสื่อสารด้วยวิธีเช่นนี้ได้...ขอบคุณ...ขอบคุณมากแพทริเซีย”
“ไม่ต้องเกร็งหรือตั้งใจขนาดนั้นก็ได้น่า
ทำตัวปกติเหมือนเวลาพูดกันก็พอ”แม้จะเป็นการส่งกระแสจิตถึงกันโดยตรง
แต่เสียงที่ได้ยินจากประโยคเมื่อครู่ยังคงกลั้วรอยยิ้มดังเช่นปกติ”แต่เธอเองก็เรียนรู้ไวดีนะเนี่ย..ขนาดแค่ฟังวิธียังทำได้เลยทันทีแบบนี้น่ะ”
“ค-คงไม่ใช่กระมัง
เป็นเพราะคำอธิบายของเจ้าละเอียดและเข้าใจง่ายเสียมากกว่า”
“โยนความดีความชอบให้คนอื่นตลอดเลย
เธอนี่น้า”เสียงใสเปลี่ยนเป็นเชิงเย้าหยอก”แต่ยังไงฉันก็รู้สึกขอบคุณเธอมากนะที่ฟังเรื่องที่ฉันพูดด้วยความเต็มใจที่จะรับข้อมูลจริงๆ
แล้วก็ไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องน่าเบื่อไปซะก่อน”
“เราต่างหากที่ต้องขอบคุณเจ้า
แพทริเซีย
ความรู้ที่เจ้าบอกเล่าแก่เราไม่ใช่เรื่องที่เราจะสามารถค้นคว้าได้เองเสียด้วยซ้ำ
ในเรื่องที่เราไม่เข้าใจ...เจ้าก็เป็นผู้ที่คอยชี้แนะอยู่เสมอ
อีกทั้งเรื่องของโทรจิตนี้หาใช่ว่ามนุษย์จะสามารถมีโอกาสรับรู้ได้โดยทั่วไป
การที่เจ้ายอมเปิดเผยเช่นนี้ย่อมเป็นการเปิดโลกทัศน์แก่เรายิ่งนัก”คำขอบคุณของเด็กชายบริสุทธิ์ใจและซื่อตรงที่สุดอย่างที่เด็กคนหนึ่งจะสามารถกล่าวออกมาได้
แก้มของแพทริเซียเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อหลังได้ฟังคำกล่าวนั้น
“งั้นเหรอ...”
“เอาเถอะ
ตอนนี้พอก่อนก็แล้วกัน ยืนตรงนี้นานๆชักจะเมื่อยแล้ว”เธอทำทีเปลี่ยนเรื่องก่อนจะเดินลงมาด้านล่างแล้วทิ้งตัวลงบนเบาะหนานุ่มของโซฟา
แม้จะแปลกใจที่ถูกเด็กหญิงตัดบทไปกะทันหัน
แต่อัศมิตาก็เอ่ยขึ้นเมื่อได้ยินเสียงของเธอกลับมานั่งข้างเขาอีกครั้ง”แพทริเซีย
การสื่อสารด้วยวิธีโทรจิตเป็นสิ่งที่สะดวกสบายกว่าที่เราคิดนัก”
“นั่นสินะ
มันสะดวกตรงที่สื่อสารหรือปรึกษากันในใจได้ในเรื่องที่พูดกันต่อหน้าคนอื่นลำบาก
แต่อุปกรณ์นี่ก็มีข้อเสียเหมือนกัน”แพทริเซียเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ”เพราะว่าอุปกรณ์นี้ทำหน้าที่เป็นตัวกลางโดยอาศัยพลังเวท
ฝ่ายที่พลังน้อยกว่าก็จะมีพลังเวทที่อยู่ในแผ่นไม้ช่วยให้ส่งโทรจิตไปหาอีกฝ่ายได้
แต่ถ้าเกิดเวลาผ่านไปสักระยะแล้วยังไม่มีการมอบพลังเพิ่ม
คนที่ไม่มีพลังก็จะไม่สามารถใช้โทรจิตได้...แต่มันก็มีข้อสังเกตอยู่นะ”
“ข้อสังเกตงั้นหรือ”
“ถ้าพลังในแผ่นไม้หายไป
สีของลูกแก้วตรงกลางจะจางลง
แล้วก็จะมีเสียงคล้ายๆกระพรวนดังขึ้นในหัวของคู่สนทนาทั้งสองคน...เคยได้ยินเสียงกระพรวนใช่ไหม”เด็กหญิงก้มหน้าลงเล็กน้อย
น้ำเสียงจริงจังกว่าที่เคย
“เป็นเสียงดังกรุ๋งกริ๋งยามกระทบวัตถุอื่นหรือเมื่อต้องลมถูกหรือไม่”คิ้วเรียวขมวดลงเล็กน้อยขณะพยายามนึกหาคำตอบ
“ใช่แล้วล่ะ”เด็กหญิงลูบเรือนผมสีทองของอีกฝ่ายอย่างทะนุถนอม”จริงๆเราก็คงไม่ต้องแยกกันนานถึงขั้นพลังเวทในแผ่นไม้หมดเกลี้ยงหรอก
แต่ก็อยากให้เธอรู้ไว้..เพราะว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น”น้ำเสียงตอนท้ายในประโยคราวกับแฝงไว้ด้วยความนัยบางอย่าง
“หมายความว่าอย่างไร”เด็กชายถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
“อย่างที่เคยบอกไป
ไม่ใช่ทุกคนหรอกนะที่คิดว่าเวทมนตร์เป็นสิ่งสวยงามหรือน่าอัศจรรย์...”แพทริเซียพยายามควบคุมน้ำเสียงของตนให้เป็นปกติที่สุด
ทว่าอัศมิตากลับสัมผัสได้ถึงความรู้สึกที่ซ่อนอยู่
ความปวดร้าว
เจ้าเองก็คงจะผ่านเรื่องราวบางอย่างมาเช่นเดียวกัน...ฉะนั้นแล้ว
“เราเชื่อว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดีดังเช่นเหตุการณ์ที่ผ่านมา”น้ำเสียงนุ่มนวลเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นคงราวต้องการเป็นหลักให้อีกฝ่ายได้เกิดความเชื่อมั่น
อัศมิตาค่อยๆขยับไปหาอีกฝ่ายก่อนใช้มือทั้งสองจับบ่าของแพทริเซียเอาไว้
หวังเพียงแค่สิ่งที่ตนกระทำจะช่วยเหลือให้อีกฝ่ายรู้สึกดีขึ้นได้
อบอุ่น
เหมือนกับตอนที่อัศมิตาพยายามพูดเพื่อช่วยเหลือชาวบ้านในตอนนั้นไม่มีผิด
“ฉันเองก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้น”ริมฝีปากสีชมพูยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ
นัยน์ตาสีอเมทิสต์มองเหม่อพ้นผืนน้ำสีครามสุดลูกหูลูกตาไปยังแผ่นดินที่ค่อยๆใกล้เข้ามาทีละนิด
เพราะฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน
ไม่รู้ว่ามนุษย์แต่ละคนคิดอะไรอยู่กันแน่
ไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไง
จะเชื่อใจใครได้
แต่อย่างน้อยการที่เธอยังอยู่กับฉัน
ก็ทำให้มีกำลังใจมากขึ้นแล้วล่ะ...
ความคิดเห็น