ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Saint Seiya The Lost Canvas] The White Sky Memories

    ลำดับตอนที่ #10 : เข้มแข็ง

    • อัปเดตล่าสุด 30 เม.ย. 60


                     มื้อเช้าในวันนี้ยังคงเป็นเช่นเคย ทั้งความเอร็ดอร่อยของอาหาร นางกำนัลที่ยืนรายล้อมรอบโต๊ะยกภาชนะเดินเรียงแถวจากไปเมื่อรับประทานเสร็จสิ้น เหลือเพียงเด็กน้อยทั้งสองกับองค์สุลต่านเท่านั้น

    "เป็นอะไรไปเล่าเจ้าหนู เหตุใดจึงทำสีหน้าดูอึดอัดพิกล"เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นราวกับบิดาเอ็นดูบุตร

    "แพทริเซียได้คุยกับเราแล้วว่าอาจจะถึงเวลาที่ต้องไปแล้ว หากรั้นอยู่ต่ออาจส่งผลให้การเดินทางช้ากว่าที่ควร"ความรู้สึกโหวงที่ต้องลาจากประเทศทะเลทรายก่อตัวเป็นความซึมเซาในน้ำเสียงใส

     "งั้นหรือ ข้าจะไปส่งพวกเจ้าด้วยก็แล้วกัน"

    อัศมิตามีสีหน้าแช่มชื่นขึ้นเล็กน้อยก่อนชะงักเพราะแรงตีอย่างแผ่วเบาจากเด็กหญิงด้านข้าง

     

    จริงด้วย.... หากองค์สุลต่านรู้เรื่องที่แพทริเซียใช้เวทมนตร์เข้า...อาจมีเรื่องเดือดร้อนเกิดขึ้นได้

     

    "ขอบพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ทว่าหากพระองค์เสด็จไปด้วยอาจเป็นการเอิกเกริก..."เขาเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง"ซึ่งตัวเราอยากจากประเทศแห่งนี้ไปอย่างสงบเงียบเฉกเช่นตอนที่มาถึง...ต้องขออภัยด้วย"

     

    หากเป็นเด็กคนอื่นย่อมดีใจที่ได้รับเกียรติจากข้า

    เจ้านี่ช่างประหลาดดีเสียจริง

     

     ร่างสูงสง่าหัวเราะลั่น"หากกล้าปฏิเสธข้าถึงเพียงนี้ ย่อมได้ ข้าจะไม่ไปส่งด้วยตัวข้าดังที่เจ้าปรารถนา"

    "ขอขอบพระทัย...เช่นนั้นเราขออำลาพระองค์ ณ ตรงนี้"

    "ขอให้พระองค์มีพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง มีความสุขตลอดไป ขอบพระทัยที่ทรงมอบความช่วยเหลือแก่ชาวบ้าน และขอบพระทัยที่พระองค์ทรงเอื้อเฟื้อต่อเรา"คำขอบคุณนั้นใสซื่อ และบริสุทธิ์เท่าที่เด็กคนหนึ่งจะสามารถเอ่ยออกมาได้

    "ขอให้พวกเจ้ารักษาตัวกันด้วย"สุลต่านกล่าวเรียบๆทว่าเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย"และเพื่อเป็นการอำลา หากเจ้าปรารถนาสิ่งใดที่ข้าสามารถมอบให้ได้..จงเอ่ยออกมาเถอะ"

    อัศมิตานิ่งสงบและใช้ความคิดอยู่ครู่ใหญ่"สิ่งที่ตัวเราปรารถนามีเพียงสองประการ ประการแรก เราอยากที่จะไปยังตลาดที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับหมู่บ้านโฮมสเตย์แห่งนั้นก่อนออกจากประเทศนี้ไป และประการที่สองนั้น......."

     

    "จะไปแล้ว..จริงๆเหรอ"น้ำเสียงที่ร่าเริงอยู่เสมอกลับแผ่วเบาแทบถูกกลืนหายไปท่ามกลางเสียงของผู้คน นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบดำสะท้อนแววอาวรณ์ขณะมองตามแผ่นหลังของเพื่อนทั้งสองที่เดินรุดหน้าไปก่อน

     

    แม้เป็นเพียงไม่กี่วันที่ได้รู้จัก...แต่กลับรู้สึกใจหายเมื่อต้องแยกจาก

     

    เจ้าของเรือนผมสีม่วงพยักหน้า"ตอนนี้หมู่บ้านโฮมสเตย์เริ่มการซ่อมแซมมาได้สักพักแล้ว อีกอย่างพวกเราก็อยู่ที่นี่มาหลายวันแล้วด้วย"ท่าทีของเด็กหญิงผิวขาวที่หันหลังกลับมาไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นเรื่องล้อเล่นแต่อย่างใด ยิ่งย้ำเตือนความจริงในใจของเฟมิให้ชัดเจนกว่าเดิม

    "เฟมิลืมไปเลยว่าแพทริเซียกับอัศมิตาต้องเดินทางกันต่อด้วยนี่นา"เธอฉีกยิ้ม แม้พยายามจะกลบเกลื่อนด้วยความร่าเริง...ทว่าน้ำเสียงกลับฟังดูแปลกแปร่งอย่างประหลาด

    "เฟมิ รู้สึกไม่สบายใจหรือทุกข์ร้อนประการใด เสียงของเจ้าจึงฟังดูผิดแปลกจากที่เคย..."เด็กชายตาบอดเดินมาทางต้นเสียงอย่างเชื่องช้า ใบหน้าแสดงความห่วงใยที่มีต่อเพื่อนโดยไม่ปิดบัง

    "หรือว่าใจหายที่พวกเราจะต้องไป"แพทริเซียพูดขึ้นราวกับรู้ทัน"สีหน้าเธอมันฟ้องอยู่น่ะ"

     

    ถึงจะพยายามปิดบังไปก็คงไม่มีประโยชน์แล้วล่ะมั้ง

    โดนจับได้แล้วนี่นา

    "อื้ม เฟมิรู้สึกใจหายจริงๆนั่นล่ะ ถ้าเกิดพวกเธอเดินทางไปต่อแล้วล่ะก็...เฟมิ..เฟมิคงจะคิดถึงพวกเธอมากๆ"

    ฝ่ามือนุ่มขยี้เรือนผมสั้นสีน้ำตาลของอีกฝ่ายเบาๆ"ไม่เอาน่า เฟมิที่ฉันรู้จักต้องร่าเริงกว่านี้สิ พวกเราเองก็เป็นลูกค้าคนนึงของเธอนะ..ขืนถ้าเธอทำแบบนี้มีหวังใจหายเวลาลูกค้าออกจากโฮมสเตย์ไปทุกรอบได้เลยนา"

     "ม..ไม่เหมือนกันสักหน่อย เฟมิรู้สึกว่าทั้งสองคนเป็นเพื่อนที่ผ่านอะไรมาด้วยกันมามากกว่าลูกค้าคนอื่น ทั้งกลุ่มโจร แล้วพวกเราก็ได้ใช้เวลาด้วยกันอีก"เด็กหญิงผิวคล้ำเม้มปากจนบางเฉียบ

     

    พูดความจริงออกไปแล้ว แต่ความรู้สึกที่คิดว่าตัวเองจะต้องเหงาถ้าขาดทั้งสองคนไป ยังไม่หายไปเลย....

    "ยังไม่สบายใจอยู่อีกสินะ"นัยน์ตาสีม่วงที่มองมาทางเฟมิสะท้อนแววห่วงใย"ถ้างั้น..."

    แพทริเซียเอ่ยพลางยื่นมือข้างที่ยังคงเป็นอิสระออกคว้าหมับเข้าที่มือของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วก่อนจะเดินนำทางเพื่อนทั้งสองมายังทิศทางที่ตนจำได้ดี

    ...ร้านขายน้ำ

     จู่ๆก็มาลากกันแบบไม่บอกกล่าวแบบนี้เธอคิดจะทำอะไรกันแน่...แพทริเซีย

    แม้จะไม่เข้าใจการกระทำของเด็กหญิงต่างชาติเท่าใดนัก แต่เฟมิก็ยอมเดินตามโดยไม่แสดงท่าทีขัดขืน

    "น้ำมะพร้าวสามที่ค่ะ!"เสียงของเธอดังกว่าปกติเล็กน้อยเพื่อดึงความสนใจจากชายหนุ่มที่ง่วนอยู่กับการจัดเรียงของด้านหลัง

    "อ้าว! สาวน้อยคนนั้นนี่เอง"ร่างสูงที่หันกลับมาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงกระฉับกระเฉงเมื่อเห็นเด็กหญิงตรงหน้า"พักที่อียิปต์หลายวันเลยสิท่า ที่นี่เป็นยังไงบ้าง"

    "มีเสน่ห์ต่างจากประเทศทางยุโรปไปอีกแบบค่ะ"เด็กหญิงเอ่ยตอบเจือหัวเราะแผ่วเบา

    ถ้าไม่นับรวมการเสี่ยงตายกับกลุ่มโจรหรือการทำตัวเรียบร้อยต่อหน้าสุลต่านล่ะก็นะ

     

     ร่างสูงพยักหน้า"ได้ข่าวว่ากลุ่มโจรที่ออกปล้นแถวนี้บ่อยๆถูกทางการจับไปแล้ว ทีนี้คงปลอดภัยขึ้นไม่มากก็น้อย"เขาถอนหายใจด้วยท่าทีขี้เล่น"จะได้ค้าขายให้สบายใจเสียที"

    เด็กชายตาบอดที่ยืนอยู่ด้านข้างแพทริเซียพยักหน้าหงึกหงัก"เรื่องที่กลุ่มโจรเหล่านั้นถูกจับไปแล้วเป็นความจริง อีกทั้งองค์สุลต่านได้ประกาศปรับปรุงและซ่อมแซมความเสียหายของหมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบเป็นที่เรียบร้อย"

    "หืม...รู้ขนาดนี้ได้ยังไงกันล่ะนี่?"ชายหนุ่มผิวคล้ำแดดหรี่ตาลงด้วยความสงสัย

     

    แหงล่ะ ก็เขาอยู่ในเหตุการณ์จริงตอนที่โจรบุกแถมเป็นคนพูดเรื่องหมู่บ้านกับสุลต่านเอง ถ้าจะไม่รู้อะไรเลยก็แปลกแล้

    ทว่ากลับมีเสียงหนึ่งดังขัดความคิดของแพทริเซียให้สะดุดลง

    "ก็คืนที่โจรพวกนั้นออกมาทั้งสองคนพักที่บ้านเฟมิ...ก็เลยรู้เรื่องทั้งหมดน่ะสิ!"เด็กหญิงผิวคล้ำเอ่ยเสียงขุ่น"แล้วอีกอย่าง...เฟมิก็ยืนอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้ว ไม่คิดจะทักกันบ้างเหรอพี่อาลี"

    เจ้าของชื่อชะงักกึก"โทษทีๆ พี่ชายไม่ทันสังเกตเธอน่ะ"เขาหัวเราะแหะๆพลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา"เอ้อ แล้วที่เขาลือกันว่าคืนนั้นจู่ๆก็มีน้ำพุ่งออกมาจากใต้ดินในจังหวะที่กำลังสู้กันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า"

     "จริงสิ! พอน้ำพุ่งขึ้นมานะ พวกโจรที่ตั้งหลักไม่ทันก็ลอยไปตามน้ำจนโดนทหารลาดตระเวนจับได้หมดเลย"เด็กหญิงผิวคล้ำเล่าด้วยท่าทีออกรสออกชาติราวกับลืมความโหวงเหวงในอกเมื่อครู่ไปเสียสนิท

    แพทริเซียหน้าชาวาบ มือข้างที่จับมือเด็กชายตาบอดไว้บีบแน่นขึ้นด้วยความกังวลใจ

    "แปลกดีจริง ในทะเลทรายอย่างนี้ทำไมถึงมีน้ำพุ่งขึ้นมาทั้งที่ไม่มีร่องรอยมาก่อนเลย..อย่างกับมีใครตั้งใจให้เป็นแบบนั้น"น้ำเสียงทุ้มตั้งข้อสังเกต

    "เฟมิว่าพระเจ้าคงประสงค์ให้คนไม่ดีพวกนี้ได้รับบทลงโทษแน่ๆ"นัยน์ตากลมจ้องไปทางเด็กหญิงผมสีม่วงด้วยประกายแฝงความรู้สึกขอบคุณ

     

     ถึงยังไงเราก็สัญญากันแล้วนี่นา เฟมิจะไม่บอกให้ใครรู้เรื่องนั้นได้อีกแน่นอน

     

    เด็กหญิงหาทางเปลี่ยนเรื่องไม่ให้ชายหนุ่มตรงหน้าถามสิ่งใดที่ทำให้เพื่อนต้องเป็นกังวล"โธ่พี่อาลี มัวแต่คุยเพลินไปแล้ว สั่งน้ำมะพร้าวตั้งนานยังไม่ได้เลย"เฟมิพูดราวกับหยอกเย้าอีกฝ่ายเล่นดังที่เธอทำเป็นปกติ

    ชายหนุ่มมีท่าทีราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ก่อนจะหันหลังกลับไปใช้มีดเฉาะมะพร้าว ใส่หลอด แล้วจึงค่อยหันกลับมายื่นมะพร้าวให้แก่เด็กหญิงทั้งสอง"ฮะฮะ ติดลมไปหน่อย ขอโทษที่ทำให้รอตั้งนาน"

    "ทั้งหมดเท่าไหร่คะ"แพทริเซียยกกระเป๋าขึ้นเตรียมจะจ่ายเงิน

    "ไม่ต้องหรอกๆ ถือว่าเป็นการฉลองที่ตัวอันตรายถูกจับไปแล้ว แล้วก็เป็นการให้กำลังใจคนที่อยู่ในเหตุการณ์ระทึกนั่นด้วย"ร่างสูงยิ้มอย่างมีเลศนัยบางอย่างไปทางเด็กหญิงผิวคล้ำ

    "ขอบคุณสำหรับน้ำใจที่มีให้พวกเราค่ะ"เด็กหญิงเจ้าของเรือนผมสีม่วงกล่าวอย่างสุภาพพร้อมรอยยิ้มเรียบๆทั้งที่ยังสงสัยกับรอยยิ้มของชายหนุ่มอยู่ไม่หาย

    "การตลาดแจกของอีกแล้ว แต่ก็สมเป็นพี่ดี ขอบคุณมากนะพี่อาลี"เฟมิหลิ่วตา"ไปกันเถอะแพทริเซีย"

    เธอหันไปพยักหน้าให้เด็กหญิงผมยาวก่อนที่ทั้งสามจะเดินออกมาด้วยกัน น้ำเสียงก้องกล่าวส่งท้ายก่อนแผ่นหลังเหล่านั้นจะหายลับสายตาไป"ขอให้โชคดี รักษาตัวกันด้วยล่ะ!"

     

                   

     

    "นี่เฟมิ...เธอรู้จักกับคนขายน้ำคนนั้นด้วยงั้นสินะ"แพทริเซียเอ่ยถามหลังจากเงียบไปได้สักพัก

    เรือนผมสีน้ำตาลตัดสั้นของเด็กหญิงด้านข้างขยับตามจังหวะการพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น"ทำไมจะไม่รู้จัก ตลาดที่นี่อยู่ใกล้บ้านเฟมิมาก แล้วอีกอย่าง..."เธอขำพรืดออกมาราวกับกลั้นไม่อยู่"พี่อาลีน่ะหมายตาพี่ชาลิเซ่ไว้น่ะสิ" 

     

    อา พอเดาได้แล้วล่ะว่าทำไมถึงต้องยิ้มแบบนั้น

     

    เจ้าของผมยาวอมยิ้มนิดๆ เด็กชายที่ตั้งสมาธิกับการดื่มน้ำมะพร้าวเมื่อสักครู่เงยหน้าขึ้น"หมายตา? หมายความว่าพี่อาลีทำเครื่องหมายไว้ที่ดวงตาของพี่ชาลิเซ่งั้นหรือ..?"

    "ไม่ใช่แบบนั้น...คือยังไงดีล่ะ"มือคล้ำขยี้เรือนผมพลางครุ่นคิด "ที่เฟมิใช้ก็หมายถึงพี่อาลีชอบพี่ชาลิเซ่นั่นแหละ ถ้าอยากรู้อะไรเพิ่มก็ลองถามแพทริเซียดูแล้วกัน"

    "เราเข้าใจแล้ว! พี่อาลีถูกใจและมีความสนิทสนมกับพี่ชาลิเซ่นี่เอง"ใบหน้าน้อยนั้นแสดงความตื่นเต้นราวได้รับรู้ความจริงอันยิ่งใหญ่

    แม้เด็กหญิงทั้งสองจะรู้ว่าชอบในบริบทนี้มีความหมายใดก็ไม่คิดเอ่ยปากแย้งอัศมิตาไป

    แพทริเซียถอนหายใจเฮือกหนึ่ง"แล้วพี่อาลีเขาทำแบบนั้นบ่อยไหม...แจกเครื่องดื่มฟรีน่ะ"

    "บ่อยสิบ่อย อย่างเวลาเจอนักเดินทางที่ไม่ค่อยมีเงิน กับเด็กตัวเล็กๆ หรือเวลาเป็นห่วงใครอยู่ เฟมิเองเคยให้เงินไปหลายรอบแล้วพี่อาลีก็ไม่เคยรับเลย"

     

    ไม่แปลกหรอก กับน้องสาวคนที่ตัวเองชอบทั้งทีนี่นะ

     

    "แต่ว่า..."เสียงเล็กนั้นฟังดูราวกับชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง"แจกเยอะขนาดนี้มีกำไรบ้างไหม"

    "เฟมิเองก็เคยถามคำถามนี้เหมือนกัน...ไม่เยอะหรอก แต่พี่อาลีบอกว่าบางทีแค่ได้ให้ไปก็รู้สึกดีแล้วล่ะ"

     

    ความสุขที่เกิดจากการให้คนอื่นงั้นเหรอ

    นัยน์ตาสีม่วงทอดมองเด็กชายตัวเล็กอย่างอ่อนโยน

     

    ก็พอจะเข้าใจความรู้สึกนั้นอยู่บ้างล่ะนะ

    จากคำถามของแพทริเซียทำให้เธอฉุกคิดขึ้นมาได้"เฟมิขอถามหน่อยได้ไหมแพทริเซีย"เด็กหญิงพื้นเมืองเอ่ยหลังดูดน้ำมะพร้าวเข้าไปอึกใหญ่

    แพทริเซียเห็นดังนั้นจึงพยักหน้าตอบรับเป็นเชิงให้อีกฝ่ายพูดต่อ

    "ทำไมตอนที่เฟมิคุยกับพวกเธออยู่ถึงต้องลากไปซื้อน้ำกันเฉยๆแบบนั้น"

    เสียงเล็กหัวเราะคิกราวกับรู้สึกสนุกอยู่ลึกๆ"ก็คิดว่าถ้าได้ดื่มอะไรอร่อยๆคงจะทำให้เธอรู้สึกสดชื่นขึ้นบ้าง"...ถึงการโดนชวนคุยขนาดนั้นจะไม่ได้คิดเผื่อไว้ก็เถอะนะ

    "ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลยนี่!"แก้มของเฟมิพองออกด้วยความรู้สึกเง้างอน

    "ถึงยังไงความรู้สึกใจหายเมื่อตอนนั้นก็ทุเลาลงแล้วใช่ไหมล่ะ"เด็กหญิงผมยาวยักคิ้วแกมหยอก

    "ก็ใช่..."เฟมิทำหน้ามุ่ยด้วยเหตุที่นึกหาถ้อยคำมาโต้ไม่ออก"แต่ว่านี่เป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่เราสามคนจะได้อยู่ด้วยกันในตอนนี้...ถ้านึกถึงแล้วมันจะใจหายก็ไม่แปลกนี่นา"

     "ไม่ใช่หรอกนะ"เจ้าของเส้นผมสีม่วงส่ายหัวเบาๆ

    "เอ๋"

    "เธอไปส่งพวกเราตอนที่เรือจะออกได้ และนั่นต่างหากคือช่วงเวลาสุดท้ายของจริงล่ะ"น้ำเสียงที่เอ่ยออกมามีความหนักแน่นราวมั่นใจว่าสิ่งที่พูดต้องเป็นไปได้อย่างแน่นอน

    "แต่ว่าเฟมิยังต้องกลับไปที่พระราชวังอยู่ คงจะไม่ทัน..."เด็กหญิงผิวคล้ำก้มหน้าลงขณะพูดด้วยเสียงสั่นเครือเล็กน้อย

    "ไม่ต้องห่วง ลองไปถามจากกองทหารลาดตระเวนที่อยู่แถวๆหมู่บ้านที่กำลังปรับปรุงได้เลย"แพทริเซียขยิบตาพร้อมกับรอยยิ้มซึ่งแฝงเลศนัยบางอย่างก่อนโน้มตัวลงกระซิบข้างหูอีกฝ่าย"ตอนหัวค่ำหลังจากตลาดเก็บ ฉันกับอัศมิตาจะยืนรอห่างจากตลาดไปอีกหน่อย แล้วก็จะถือตะเกียงเป็นจุดสังเกต"

    เด็กหญิงผิวขาวผละออกมายืนด้านข้างตามเดิม"เอาเป็นว่าแค่นี้แล้วกัน ฉันจะให้เวลาเธอไปถามเพื่อความมั่นใจของตัวเองก่อน"เธอเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง

    "ถ้างั้นฉันขอตัวก่อนนะ ยังมีอีกหลายอย่างเลยที่อยากซื้อก่อนที่จะไป"ร่างเล็กจูงมือเด็กชายตาบอดเดินเข้าไปในฝูงชน แม้ไม่เร็วเท่าการวิ่งแต่ก็เพียงพอให้คนที่ยืนนิ่งอึ้งตามไปไม่ทัน

    "เดี๋ยวสิ!"เฟมิร้องออกมาแม้รู้ตัวว่าคงไม่ทันเสียแล้ว

     

    อะไรของแพทริเซียกันนะ ทำไมดูมั่นใจเหลือเกินว่าพวกทหารลาดตระเวนจะปล่อยให้กลับช้าได้

     ไหนจะวิธีดึงความสนใจจากอาการใจหายนั่นอีก ตามความคิดไม่ทันเลยสักนิด

     

     

    "แพทริเซีย พูดไปเช่นนั้นจะดีแล้วหรือ..."เสียงของเด็กชายที่ยืนเกาะแขนแพทริเซียเอ่ยขึ้นด้วยความกังวล"หากนางไม่มาจะเป็นเช่นไรเล่า?"

    แพทริเซียสลับตะเกียงในมือไปไว้อีกข้าง จากนั้นมือของเด็กหญิงที่ตัวโตกว่าก็ขยี้เรือนผมสีทองสุกปลั่งด้วยความเอ็นดู"ไม่หรอก ยังไงเฟมิก็ต้องมาแน่นอน"นัยน์ตาสีม่วงทอดมองไปยังข้างหน้าอย่างเชื่อมั่น

    ไม่นานเกินรอ ร่างเล็กปราดเปรียวของเด็กหญิงผู้หนึ่งก็วิ่งตัดผืนทรายกว้างเข้ามาหาคนทั้งสองอย่างว่องไว

    "อย่างที่แพทริเซียบอกจริงๆด้วย พอไปถามพวกเขาก็ตอบว่าได้"เสียงร่าเริงของเฟมิเล่าระรัวอย่างดีใจ"แถมบอกว่าถ้าไปส่งกันเรียบร้อยก็แค่เดินกลับไปรอตรงหมู่บ้านที่มีกองทหารประจำอยู่ก็พอแล้ว"

    "งั้นเหรอ..."แพทริเซียเผยรอยยิ้มบางๆที่ริมฝีปากก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้"ว่าไปแล้วจากหมู่บ้านของเธอจะมองเห็นเรือที่กำลังแล่นผ่านคลองนี่ได้ไหม?"

    "ถ้าเป็นเรือใหญ่ๆน่ะก็เห็นอยู่หรอก แต่ถ้าเป็นเรือที่ไม่ใหญ่มากก็ไม่ค่อยมีใครสังเกต ถามทำไมเหรอ"

    "เพราะว่าจะใช้เวทมนตร์กับเรือที่เราสองคนใช้เดินทางด้วยน่ะสิ กลัวว่าอาจผิดสังเกตคนแถวนั้นเอา"แพทริเซียตอบเรียบๆ

    "เวทมนตร์งั้นเหรอ!? เป็นเวทแบบไหน แล้วเรือทำอะไรได้บ้างล่ะ"เสียงที่ออกมาเกือบจะเป็นการตะโกน นัยน์ตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น

    "เบาๆหน่อยสิเฟมิ เราต้องไปกันแบบเงียบหน่อย จะให้ใครรู้ความลับเรื่องนี้เพิ่มไม่ได้"แพทริเซียจุ๊ปากอีกฝ่ายเพื่อปรามไม่ให้พูดสิ่งที่เธอคอยระวังมาตลอดดังไปกว่านี้

    "แหะๆ เฟมิขอโทษน้า~~"เด็กหญิงผิวคล้ำทำหน้าสำนึกผิดพลางเขกหัวตัวเองเบาๆ

    "เอาเถอะๆ ก่อนอื่นเธอต้องมายืนตรงนี้"นิ้วเรียวชี้ไปยังจุดที่จะสามารถบังแสงตะเกียงไม่ให้เล็ดลอดออกมาได้ เด็กหญิงร่างเล็กก้าวไปตามคำนั้น

    "แล้วต้องทำอะไรต่อบ้าง" เสียงเล็กเอ่ยพึมพำอะไรบางอย่างด้วยเสียงกระซิบก่อนที่เพื่อนทั้งสองจะรู้สึกถึงบางอย่างที่ให้สัมผัสเย็นราวสายน้ำอยู่วูบหนึ่งแล้วกลับเป็นปกติ

    "ความรู้สึกเมื่อครู่คืออะไรหรือ"อัศมิตาเอ่ยถามแผ่วเบา

    "เวลาใช้เวทล่องหนกับคนแบบตรงๆก็จะเป็นความรู้สึกแบบนี้ล่ะ"น้ำเสียงของแพทริเซียฟังดูปกติราวกับพูดถึงเรื่องพบเห็นได้ทั่วไป"ถึงตอนนี้ดูเหมือนเวลาปกติ แต่คนอื่นจะมองไม่เห็นพวกเราหรอก สบายใจได้"

    "สุดยอดไปเลย เราไปต่อกันเถอะ เฟมิอยากเห็นเรือของทั้งสองคนแล้วล่ะว่าจะเป็นไงบ้าง"ร่างเล็กเกือบเดินนำเพื่อนทั้งสองด้วยความตื่นเต้น

    "ไม่น่าตื่นเต้นขนาดนั้นหรอก แต่ฉันด้วยว่าควรเดินไปกันได้แล้ว"นัยน์ตาสีม่วงที่มองท่าทางตื่นเต้นของอีกฝ่ายดูราวกับกำลังรู้สึกสนุกอยู่ แล้วจึงเริ่มออกเดินพร้อมกับอัศมิตาพร้อมกวักมือเรียกให้เฟมิตามไป

     

    คงจะไม่ได้เจอกันอีกนานเลยสินะ เพราะงั้น ขอเล่นสนุกด้วยเป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน

     

    "แพทริเซีย ทำไมพวกเขาถึงยอมให้เฟมิกลับช้าง่ายขนาดนี้"ดวงตากลมโตของเฟมิที่เดินตามมาฉายแววเจ้าเล่ห์"หรือว่าแพทริเซียแอบไปเสกคาถาสะกดไว้ล่ะนี่"

     "ฉันไม่ได้ทำอย่างนั้นน่า"ริมฝีปากน้อยแย้มยิ้มเจือหัวเราะ

    "หรือแพทริเซียกำลังจะบอกว่าอัศมิตาเป็นคนเสกคาถาล่ะ"น้ำเสียงของเธอเริ่มเจ้าเล่ห์ขึ้นเรื่อยๆ

    เด็กชายตาบอดสะดุ้งโหยงราวร้อนตัว"ร..เราใช้เวทมนตร์ไม่ได้ จะไปเสกให้ทหารเหล่านั้นเชื่อฟังได้อย่างไร"

    "ฮะฮะฮะ รู้อยู่แล้วล่ะน่าว่าเธอไม่น่าจะใช้ได้"มือของต้นเสียงร่าเริงนั้นตบบ่าเล็กของอัศมิตาเบาๆ เขาลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก

    "ยังไงก็เถอะ การมีเวทมนตร์นี่ดีจังเลยน้า สารพัดประโยชน์ออกอย่างนี้"เด็กหญิงผิวคล้ำเอ่ยแซวแพทริเซีย มาดหมายว่าจะได้เห็นรอยยิ้มขบขันของอีกฝ่าย

    "ไม่ได้ดีอย่างที่เธอคิดไว้หรอกนะ"ปฏิกิริยาที่ได้รับกลับมาผิดคาด เด็กหญิงเดินช้าลงและจริงจังกว่าที่เคย ดูคล้ายกับผู้ใหญ่ที่กำลังตักเตือนอยู่ไม่มีผิด

    "แต่ว่าการที่แพทริเซียเสกน้ำขึ้นมาก็ทำให้จับโจรได้ด้วย เฟมิเองก็อยากจะมีพลังที่เอาไว้ปกป้องหมู่บ้านเหมือนกันนะ!"เฟมิเอ่ยแย้ง ทั้งๆที่มีพลังทำได้ถึงขนาดนี้ ทำไมถึงดูไม่ภูมิใจกับมันเลยล่ะ

    "ฟังนะ เวทมนตร์เป็นเหมือนดาบสองคม ถ้าเธอใช้มันได้หมายความว่าเธอจะต้องควบคุมพลังของตัวเองให้เป็น"น้ำเสียงของแพทริเซียในตอนนี้เยือกเย็นราวน้ำแข็ง นัยน์ตาสีม่วงราวกับอัญมณีฉายแววเศร้าอยู่ครู่หนึ่ง

    "หรือต่อให้ควบคุมเป็น ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้ทุกที่---"ร่างเล็กเริ่มตั้งสติได้ เธอสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ

     

    เกือบไป...ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ

    ยังรู้สึกใจร้อนตอนได้ยินคำนั้นอยู่เลย ต้องควบคุมมันให้ดีกว่านี้แล้วสิ

     "เฟมิไม่รู้หรอกว่าแพทริเซียผ่านอะไรมาบ้าง แต่ถ้าเกิดมีใครหรืออะไรทำให้เธอเสียความภูมิใจในสิ่งที่ตัวเธอเป็นอยู่ล่ะก็...เฟมิขอให้เธอเข้มแข็ง"นัยน์ตากลมคู่นั้นหันมาทางเด็กหญิงต่างชาติ ปรารถนาเพียงให้เธอรู้สึกดีขึ้น"เหมือนกับตอนที่แพทริเซียร่ายเวทที่ทำให้น้ำท่วม เฟมิพอจะเดาได้นะว่าเธอก็รู้ว่าเสี่ยงจะมีคนเห็น"

    "แต่เธอก็ยังทำเพื่อช่วยคนอื่นไม่ใช่หรือไง"

    เสียงใสหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อนึกถึงความบ้าบิ่นของตน เป็นอย่างที่เฟมิพูดไว้ ตัวเธอในตอนนั้นมุ่งมั่นที่จะช่วยโดยไม่ทันได้ฉุกคิดว่าจะมีใครแอบมองอยู่หรือไม่เสียด้วยซ้ำ"ขอบคุณมากเฟมิ ตอนนี้ฉันรู้สึกดีขึ้นแล้วล่ะ"

    เด็กหญิงมองออกไปยังผืนน้ำสีเข้มราวหมึกที่มีแสงจันทร์นวลส่องกระทบ ก่อนจะก้มลงมองจุดที่ตนยืนอยู่

     

    ระยะนี้คงใกล้พอจะเอาเรือลงน้ำได้พอดี

     

    แพทริเซียปล่อยมือออกจากอัศมิตาชั่วครู่ ร่างเล็กก้าวมายืนตรงหน้าบุคคลทั้งสองแล้วจึงค้อมตัวลงราวกับผู้เปิดการแสดงละคร

    "ยินดีต้อนรับสู่การแสดงเวทมนตร์ของแพทริเซีย"

    มือเรียวเปิดกระเป๋าก่อนที่จะหยิบสิ่งที่ดูเหมือนเรือของเล่นขนาดเท่าฝ่ามือออกมา เด็กหญิงใช้พลังของตนทำให้เรือลำน้อยลอยไปจากมือและตกกระทบผิวน้ำอย่างแผ่วเบา จากนั้นจึงท่องคาถาด้วยเสียงกระซิบขณะเรือเล็กขยายตัวขึ้นจนกลายเป็นเรือบ้านขนาดย่อม

    "ทั้งหมดก็ประมาณนี้น่ะนะ บอกแล้วว่าไม่น่าตื่นเต้นขนาดนั้น"ริมฝีปากสีชมพูส่งรอยยิ้มให้ผู้ที่ยืนดูเหตุการณ์มาโดยตลอด

    "ไม่น่าตื่นเต้น? แพทริเซีย นี่มันยิ่งกว่าน่าตื่นเต้นอีกนะ"น้ำเสียงแก่นแก้วเปี่ยมไปด้วยความพิศวงต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตน

    จะมีสักกี่คนกันล่ะที่ได้เห็นเรื่องมหัศจรรย์ขนาดนี้ต่อหน้าต่อตา

    "แต่เรือเล็กกว่าที่เฟมิคิดไปหน่อยนะ"เธอหยอกปิดท้าย

     "ก-การที่เลือกใช้เรือเล็กเช่นนี้เนื่องจากตัวเรามองไม่เห็น หากลำเรือมีพื้นที่กว้างขวางเกินไปอาจทำให้การจดจำตำแหน่งสิ่งของเป็นไปอย่างยากลำบาก"แม้ดวงตาสีฟ้าสดคู่สวยจะไม่อาจมองเห็น แต่สีหน้าของเด็กชายกลับแสดงถึงความต้องการช่วยเหลือไม่ให้เพื่อนของตนต้องเดือดเนื้อร้อนใจ

     "หากเป็นความต้องการขององค์ชาย หม่อมฉันก็ไม่กล้าขัดข้อง"เฟมิใช้น้ำเสียงเย้าหยอกให้ชัดเจนยิ่งขึ้นพลางกลั้นขำขณะมองท่าทีตอบสนองของอัศมิตา

    "น-นั่นเป็นเพียงการล้อเล่นงั้นหรือ"เด็กชายที่เริ่มรู้ตัวเกิดความรู้สึกร้อนผะผ่าวบริเวณใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดง

    "อ..อื้ม เฟมิแค่ล้อเล่นเฉยๆ"เสียงหัวเราะของเด็กหญิงพื้นเมืองหลุดออกมาอย่างสุดจะกลั้น

    ร่างผอมบางของเด็กชายเดินไปทางแพทริเซียอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเข้าไปหลบข้างหลังราวกับต้องการให้เด็กหญิงที่มีส่วนสูงมากกว่าช่วยกำบังให้พ้นจากสายตา ความรู้สึกเอ็นดูได้เกิดขึ้นขณะที่เฟมิมองภาพนั้น ทว่าเมื่อมองเลยไปถึงแผ่นไม้สีน้ำตาลของลำเรือก็ทำให้นึกถึงความรู้สึกใจหายที่มีอยู่ก่อน

    "แต่ยังไงทั้งสองคนก็จะไปกันแล้วใช่ไหม"

     

    เฟมิเข้าใจแล้วล่ะ ถ้าเกิดเฟมิทำท่าทางเสียใจล่ะก็...พวกเธอทั้งคู่คงจะรู้สึกไม่ดีแน่ๆ

     

    "นั่นสินะ ถ้าจะบอกลากันก็คงเป็นตรงนี้แล้วล่ะ"รอยยิ้มและแววตาอ่อนโยนของแพทริเซียที่ขับเน้นให้ใบหน้ายิ่งดูผุดผ่องราวเทพธิดาแห่งรัตติกาลนั้นราวกับต้องการบอกให้แสดงความรู้สึกได้ตามต้องการ

     

    ไม่ต้องห่วงหรอก เฟมิจะไม่ร้องไห้

    "ถ้าอย่างนั้นเฟมิขอให้แพทริเซียเข้มแข็ง ภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเธอมีอยู่"เด็กหญิงผิวคล้ำคว้าแพทริเซียไปกอดหมับแรงๆ

    "ขอบคุณ ขอให้ตัวเธอเองไม่ท้อที่จะฟื้นฟูโฮมสเตย์ขึ้นมาใหม่ด้วยแล้วกัน"เสียงของฝ่ายที่ถูกกอดฟังดูสุขุมและมั่นคงเกินกว่าวัย

    เฟมิพยักหน้าอย่างร่าเริง ร่างคล่องแคล่วนั้นผละตัวออกมาทางเด็กชายที่ยืนอยู่ด้านข้างก่อนจะกอดเขาด้วยท่าทีนุ่มนวลกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย"ขอให้อัศมิตาโตไปเป็นองค์ชายที่กล้าหาญ แล้วก็ทำหน้าที่ได้ดีจนเป็นที่รักของทุกคนเลย"

    "เราไม่อาจแน่ใจได้ว่าอนาคตของตัวเราจะเป็นเช่นไร แต่เราจะพยายาม"อัศมิตามีท่าทีเคอะเขินเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ

    "โปรดรักษาความสดใสร่าเริงของเจ้าให้คงอยู่กับตัวเสมอ เราหวังว่าจะไม่มีสิ่งใดเป็นสาเหตุให้เจ้าทุกข์ทรมานเช่นนั้นอีก"

    "ถ้าเป็นอย่างที่เธอว่าก็ดีสิ เอ้อ ได้มีลูกกับแพทริเซียเมื่อไหร่ก็ส่งข่าวมาบอกกันบ้างนะ"น้ำเสียงแก่นแก้วถูกดัดให้แฝงไว้ซึ่งความเจ้าเล่ห์แสนกลอย่างเปี่ยมล้น

    "เฟมิ!"แพทริเซียมีท่าทีเอือมระอา ขณะที่เจ้าของชื่อหัวเราะลั่น

    "ล้อเล่นน่า"

     

    จะทำให้เป็นหนึ่งในความทรงจำดีๆ

     

    เด็กหญิงผิวคล้ำหยุดหัวเราะแล้วจึงเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อนทั้งสอง"ขอบคุณสำหรับคำอวยพรของพวกเธอมาก"เธอยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวสะอาด

    "ขอให้โชคดีในการเดินทาง ถ้าพวกเธอมาอีกไม่ว่าจะเมื่อไหร่ล่ะก็มาพักที่บ้านเฟมิได้เลย จะไม่คิดเงินค่าที่พักด้วย!"

     "ถ้ามีโอกาสล่ะก็นะ"แพทริเซียขยิบตาพร้อมโบกมือให้กับเฟมิก่อนจะจับมือเด็กชายเพื่อเป็นสัญญาณให้เตรียมตัวออกเดิน

    "ลาก่อนเฟมิ"อัศมิตาหันมายิ้มให้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะค่อยๆก้าวเดินตามเด็กหญิงผมยาวที่เป็นผู้นำทาง

    ร่างปราดเปรียวของเด็กหญิงชาวอียิปต์กระโดดหย็องแหย็งโบกไม้โบกมือระหว่างที่แผ่นหลังของเพื่อนทั้งสองห่างออกไปทีละนิดกระทั่งเข้าไปในประตูเรือ นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบดำคู่โตจ้องมองเรือที่ล่องหนหายไป กระแสน้ำที่กระจายออกตามแนวเป็นตัวบ่งบอกว่าเรือได้เริ่มเคลื่อนที่ออกจากฝั่งไปเรื่อยๆจนลับสายตา

    เฟมิหันกลับมายังเบื้องหน้าและค่อยๆเผยรอยยิ้มออกมาด้วยความสุขใจเปี่ยมล้น

    คืนนี้เป็นคืนที่มหัศจรรย์ที่สุดเลยล่ะ

    ขอบคุณที่ให้โอกาสเฟมิได้เห็นเวทมนตร์อีกครั้ง

    ขอบคุณสำหรับมิตรภาพของทั้งสองคน ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่ทำให้เฟมิรู้สึกเข้มแข็งขึ้น

    เฟมิจะรออยู่ที่นี่ อยู่ตรงนี้ จนกว่าทั้งสองคนจะกลับมาสนุกด้วยกัน

    ไม่ว่าในตอนนั้นพวกเธอจะอยู่ในฐานะอะไรก็ตาม

     ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่างเลย...

     

    "ประการที่สองนั้น...ขอให้เฟมิเป็นผู้ที่ไปส่งเรากับแพทริเซียแต่เพียงผู้เดียว"

     

     

    "ไม่ได้เข้ามาตั้งหลายวัน คิดถึงมากเลย"เด็กหญิงมองกวาดไปรอบห้องนั่งเล่นอันแสนคุ้นเคย ร่างเล็กจูงเด็กชายตาบอดให้เดินตามมายังโซฟาก่อนจะทิ้งตัวลงบนเบาะหนานุ่ม

    อัศมิตาคลำลงบนเบาะผ้าเพื่อกะระยะให้แน่ใจแล้วจึงนั่งลงด้วยความระมัดระวัง"เรารู้สึกคิดถึงสถานที่แห่งนี้เช่นเดียวกัน ทว่าการลาจากพระราชวังทำให้เรารู้สึกอึดอัดพิกลนัก"

    "ฉันก็พอจะเข้าใจอยู่นะ พระราชวังนั่นใหญ่แถมสบายกว่าเรือลำนี้ไม่รู้กี่เท่า"เสียงเล็กเอ่ยทีเล่นทีจริง

    "เรามิได้ยึดติดกับความสบายเช่นนั้น การที่เจ้าช่วยเราให้พ้นจากฐานะอันถูกกดขี่เป็นสิ่งที่เราไม่คาดฝันว่าจะได้รับเสียด้วยซ้ำ"เด็กชายมีท่าทีเซื่องซึม

    "เราคิดถึงองค์สุลต่าน พี่โดวนีย่า พี่ชาลิเซ่ แล้วก็เฟมิ พวกเขาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ให้ความรู้สึกมั่นคง และไม่คิดที่จะทำร้ายเรา"

    มือเรียวลูบเส้นผมสีทองสุกปลั่งอย่างแผ่วเบา"มีการพบเจอก็ต้องมีการลาจากเป็นธรรมดา อย่าเศร้าไปเลย เก็บความรู้สึกแล้วก็ความทรงจำดีๆพวกนั้นไว้กับตัวก็พอแล้ว"น้ำเสียงอ่อนโยนของเด็กหญิงที่คอยปลอบประโลมแฝงไว้ซึ่งความเศร้าหมองอย่างน่าประหลาด

     

     ราวกับได้พบเหตุการณ์อันเป็นแผลลึกในจิตใจ

    "แพทริเซีย...เจ้าเองเคยพบเจอเหตุการณ์ลาจากมาก่อนงั้นหรือ"

    "แหงล่ะ--"เธอชะงักไปชั่วขณะ"อ๊ะ! คิดจะมาหลอกถามกันแบบนี้มันไม่ดีนะคะองค์ชาย บอกไปแล้วนี่ว่าฉันจะเล่าให้ฟังทั้งหมดถ้าท่านถึงเวลาที่ต้องเลือกทางเดินชีวิตตัวเองน่ะ"ความเศร้าเมื่อครู่ถูกกลบเกลื่อนด้วยน้ำเสียงเย้าหยอกร่าเริงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

     

    ขอโทษนะ...ฉันในตอนนี้คงยังไม่พร้อมที่จะเล่าให้เธอฟังหรอก

     

    "เรามิได้มีเจตนาล่อลวงเพื่อเค้นความจริงจากเจ้าเสียหน่อย"เด็กชายร้อนรนด้วยเข้าใจว่าฝ่ายตรงข้ามตีเจตนาของตนผิดไป

    "และเรากับเจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องหลอกลวงเพื่อปกปิดฐานะตนเองอีก โปรดอย่าเรียกเราด้วยถ้อยคำห่างเหินเช่นนั้นเลย เราไม่อยากแสดงตัวเป็นเจ้าชายอีกแล้ว"อาการอึดอัดใจของอัศมิตาหลุดออกมาในช่วงท้ายประโยค

    "เธอไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นเจ้าชายแล้วล่ะ วางใจเถอะ"ริมฝีปากสีชมพูเผยรอยยิ้มบางๆขณะตบบ่าเล็กของอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู

    "สัญญากับเราได้หรือไม่"อัศมิตาชูนิ้วก้อยขึ้นก่อนจะยื่นมือผอมบางออกมาตรงหน้า

    "สัญญา"แพทริเซียเกี่ยวนิ้วก้อยของตนเข้ากับนิ้วก้อยของเด็กชาย

    "แพทริเซีย"อัศมิตาเรียกชื่ออีกฝ่ายหลังจากเงียบไปครู่ใหญ่"เจ้ามีความเห็นอย่างไรที่องค์สุลต่านบอกว่าเราจะต้องกล้าหาญและเข้มแข็งมากกว่าตอนนี้ได้"

    "หืม"เด็กหญิงใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะ"เธอหมายถึงหลังจากที่เธอขอให้เฟมิได้ไปส่งพวกเราสินะ"

    เขาพยักหน้า

     

    "เจ้านี่มันพิลึกดีจริง ทั้งที่ข้ามีทั้งทรัพย์สินเงินทองและบริวารมากมายที่มอบให้ได้ แต่เจ้ากลับต้องการเพียงเรื่องเท่านี้งั้นรึ"

    "ตั้งแต่ขึ้นครองตำแหน่งมา...มีเพียงเจ้าที่กล้าพอจะต่อล้อต่อเถียงกับข้า แต่นั่นก็เพียงเพราะต้องการช่วยหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง หึ ข้าเชื่อว่าคนอย่างเจ้าจะต้องโตไปเป็นผู้ปกครองที่กล้าหาญและเข้มแข็งกว่านี้ได้แน่"

    "ก็ตอนนั้นเธอยกประเด็นเรื่องโจรขึ้นมาต่อหน้าสุลต่านเลยนี่ ขนาดฉันเองยังไม่กล้าพอจะพูดเรื่องนี้เลย"เสียงเรียบนั้นแฝงความชื่นชมอยู่ในที

    "ที่เราทำลงไปเพียงเพื่อช่วยเหลือเฟมิ"เด็กชายก้มหน้าลงอย่างหดหู่ซึมเซา"หากเราเข้มแข็งเช่นนั้นจริงคงจะเก่งกล้าสามารถและมั่นใจในการกระทำกว่านี้เป็นแน่"

    "ความเข้มแข็งของแต่ละคนมันต่างกันไปนะ เธอไม่จำเป็นต้องกำหอกออกรบหรือมีการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่อลังการก็ได้"ทุกถ้อยคำที่เสียงใสกล่าวออกมาเต็มเปี่ยมด้วยความหนักแน่นมั่นคง

    "แค่เธอกล้าพอจะลุกขึ้นมาเรียกร้องเพื่อผู้อื่นด้วยความเชื่อมั่น...ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของความเข้มแข็งแล้ว"

    เด็กชายตาบอดมีท่าทีอ่อนลง หากแต่ยังคงดูสับสน"หากเป็นไปตามคำของเจ้า...หมายความว่าตัวเราเองก็เป็นผู้เข้มแข็งกระนั้นหรือ"

    "อาจจะไม่ได้เข้มแข็งแรงกล้าจนชัดเจน แต่เธอก็ได้เริ่มไปแล้วล่ะ"แพทริเซียยื่นมือเข้ากุมมือผอมบางของเขาไว้ ปล่อยให้ไออุ่นจากมือของตนส่งไปถึงอีกฝ่าย

    "เรายังสามารถเข้มแข็งมากกว่านี้ได้หากพยายาม..."อัศมิตางึมงำราวกับท่องจำอยู่

     "ถ้าเธอเริ่มโตขึ้น ความเข้มแข็งของเธอก็คงเพิ่มขึ้นด้วย เพราะงั้นอย่าฝืนตัวเองเกินไปล่ะ"

    "เราเข้าใจแล้ว"เด็กชายตัวเล็กยิ้มกว้างจนตาหยี

     

     เราจะต้องเข้มแข็งกว่านี้ให้ได้....สักวันหนึ่ง

     

     

    "แพทริเซีย เราจำได้ว่ามีตุ๊กตาตัวใหญ่อยู่ ณ ห้องนั่งเล่นแห่งนี้"สีหน้าชองอัศมิตาเปี่ยมไปด้วยความเกรงอกเกรงใจเมื่อเอ่ยออกมา"ช่วยนำทางเราไปจะได้หรือไม่"เขาเลื่อนมือของตนไปยังทิศที่เด็กหญิงนั่งอยู่

    "ทำไมจะไม่ได้ล่ะ"แพทริเซียจับมือผอมบางเป็นเชิงดึงให้ลุกขึ้นยืน"เธออยากเล่นตุ๊กตางั้นเหรอ"เสียงเล็กปิดท้ายอย่างสงสัย

    เด็กชายพยักหน้าตอบรับด้วยใบหน้าใสซื่อ"ใช่แล้ว เราอยากเล่นเนื่องจากรู้สึกชื่นชอบในผิวสัมผัสอันเป็นเส้นขนนุ่มมือของตุ๊กตานั้น"

    "ตอบได้สมเป็นเธอดีนะ"เด็กหญิงหัวเราะคิก เธอเดินนำมายังด้านขวามือของโซฟาก่อนจับมือของเด็กชายให้เลื่อนไปสัมผัสตุ๊กตาหมีตัวใหญ่

    "ถึงแล้วล่ะ"

    "ขอบคุณมากแพทริเซีย"เขาย่อตัวลงเล็กน้อยให้อยู่ในระดับเดียวกับตุ๊กตาหมีแล้วจึงโถมตัวเข้ากอดราวกับคิดถึงอย่างสุดหัวใจ

    "สายัณสวัสดิ์เจ้าหมีน้อย ไม่ได้พบกันเสียตั้งหลายวัน...เป็นอย่างไรบ้าง"มือบางลูบคลำขนปุยนุ่มบริเวณส่วนหัวของตุ๊กตา

    "ตุ๊กตาพูดตอบเธอไม่ได้หรอกนะ"แพทริเซียส่ายหน้าเจือขบขันในความใสซื่อของอัศมิตา

    "จะเป็นไปได้หรือไม่ถ้าเจ้าใช้เวทมนตร์ทำให้ตุ๊กตาพูดโต้ตอบกับเรา"เด็กชายยังไม่ลดละความพยายาม

    แพทริเซียถอนหายใจเฮือก"เวทมนตร์ไม่ได้เป็นคำตอบสำหรับทุกอย่างหรอกนะ มีอีกหลายเรื่องที่เวทมนตร์ทำไม่ได้"เธอพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนอัศมิตาคาดเดาอารมณ์ไม่ถูก"เท่าที่ฉันรู้มาจนถึงตอนนี้ การใช้เวทมนตร์ใส่ชีวิตลงไปเป็นเรื่องที่แทบไม่มีโอกาสทำได้"

     

     เพราะไม่อย่างนั้นฉันก็คง...

     

    เด็กหญิงกำมือแน่น พยายามสลัดความคิดนั้นให้หลุดไป

     

    ไม่สิ แพทริเซีย เธอมีคนที่ต้องดูแล..เธอจะต้องเข้มแข็งกว่านี้

    "ไม่อาจทำให้เจ้าหมีน้อยส่งเสียงพูดคุยออกมาได้งั้นหรือ"เด็กชายดูซึมลงไปถนัดตา เขาก้มใบหน้าที่ใกล้จะร้องไห้เต็มทนลงไปแนบกับตุ๊กตาหมี

    "เอาอย่างนี้ดีไหม เพื่อเป็นการชดเชยที่ฉันทำเรื่องนั้นไม่ได้...ฉันจะให้เธอเป็นนายของเจ้าหมีน้อย จะได้เล่นกับมันให้เต็มที่ไปเลยไงล่ะ"แพทริเซียพยายามหาหนทางแก้ไขเมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่าย

    "จริงหรือ..?"อัศมิตาเงยหน้าขึ้นมาทางต้นเสียงอย่างมีความหวัง

    "แล้วฉันจะโกหกทำไม...ก็ต้องจริงอยู่แล้วสิ"เสียงใสเจือไปด้วยความขบขัน

    เด็กชายรีบใช้ข้อนิ้วปาดน้ำตาสองสามหยดที่ไหลลงมาก่อนหน้านี้ด้วยใบหน้าดีใจ นัยน์ตาสีม่วงฉายแววเอ็นดูขณะมองเด็กชายที่โผเข้าซุกตุ๊กตาหมีจนแนบแน่นและคลำไปยังส่วนต่างๆอย่างสงสัยใคร่รู้ ก่อนที่เด็กหญิงจะเบนความสนใจมายังตู้หนังสือด้านข้าง

     

    ได้กลับมาอ่านหนังสือต่อหลังจากเรื่องยุ่งๆพวกนั้น..ก็ถือว่าเป็นการผ่อนคลายอย่างนึงล่ะนะ

     

    เธอกวาดสายตาไปตามสันหนังสือที่เรียงเป็นระเบียบเรียบร้อย พิจารณาว่าจะหยิบเล่มไหนขึ้นมาอ่าน กระทั่งสะดุดเข้ากับหนึ่งในสันหนังสืออันคุ้นตาที่สุด มือเล็กดึงหนังสือเล่มนั้นออกมาอย่างทะนุถนอม

    เด็กหญิงพลิกหน้ากระดาษไร้รอยยับอย่างแผ่วเบา จดจ่ออยู่กับเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านตัวอักษร นัยน์ตาสีม่วงไล่ไปตามบรรทัดอย่างรวดเร็ว เสียงเดียวที่รับรู้คือการพลิกกระดาษไปยังอีกหน้าหนึ่ง

     "แพทริเซีย กำลังทำอะไรอยู่งั้นหรือ"เด็กชายเอ่ยขึ้นเมื่อรู้สึกว่าเพื่อนของตนเงียบไปนานผิดปกติ

    "แพทริเซีย..."น้ำเสียงของเขาฟังดูกังวลยิ่งขึ้นเมื่อไร้ซึ่งการขานตอบ

    "มีอะไรเหรอ"สายตาของผู้ที่เพิ่งหลุดจากห้วงภวังค์หันกลับไปทางอีกฝ่าย

    "เจ้านิ่งเงียบไม่พูดอะไรเสียตั้งนาน...หรือว่ากำลังโกรธเราอยู่"ท่าทีซึมเซาแสดงออกมาเมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ที่ความเงียบจะหมายถึงการโกรธ

    แพทริเซียหัวเราะคิก"โกรธ? ฉันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องโกรธเธอนะ มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ"เด็กหญิงขยี้เรือนผมนุ่มของอัศมิตาอย่างเอ็นดู"ฉันแค่อ่านหนังสืออยู่น่ะ แล้วบางทีเวลาอ่านเพลินๆก็เป็นแบบนี้อยู่หลายครั้งเหมือนกัน"

    "หนังสือ?"ร่างเล็กย่อตัวลงนั่งด้านข้างเด็กชายแล้วจึงยื่นหนังสือไปสัมผัสมือของเขาอย่างแผ่วเบา"นี่ไง...แต่ว่าช่วยจับเบาๆหน่อยนะ"เสียงขี้เล่นแฝงคำขอร้องแนบท้าย

    อัศมิตาควานเปะปะเล็กน้อยก่อนรับหนังสือมา นิ้วทั้งห้าไล้ปกสีน้ำตาลไปจนถึงสันหนา ขณะใช้อีกมือแตะขอบกระดาษด้านข้างด้วยสงสัยใคร่รู้"หนังสือนั้น...มีลักษณะเช่นนี้เองหรือ"ความตื่นเต้นดีใจของเด็กชายผู้ไม่เคยสัมผัสหนังสือถูกถ่ายทอดผ่านใบหน้ายิ้มแย้มจนแก้มปริ

    ด้วยไม่ทันระวัง หนังสือเล่มหนาหลุดจากมือที่กำลังสำรวจและหล่นลงตามแรงโน้มถ่วง ทว่าอัศมิตาคว้าหน้าปกและกระดาษบางส่วนไว้ทันก่อนที่ตัวเล่มจะตกกระทบหน้าตัก

    เขาหันใบหน้าซีดเผือดไปทางแพทริเซีย"พ...แพทริเซีย ร...เราขอโทษ"เสียงระริกเล็ดลอดมาจากลำคอของเด็กชาย

    "ด-เดี๋ยวสิ เป็นอะไรน่ะ ฉันไม่โกรธเพราะแค่เธอทำหนังสือตกหรอกนะ"เธอพยายามปลอบเด็กชายผู้เสียขวัญให้สงบลง

    ความรู้สึกผิดที่มีต่ออีกฝ่ายกดทับจนอัศมิตารู้สึกถึงหัวใจที่เต้นระรัวในอก"แต่เราเป็นผู้ทำให้หนังสือเล่มนั้นแยกออกจากกัน...และไม่รู้กระทั่งวิธีซ่อมแซมเสียด้วยซ้ำ"

    "ม...ไม่ใช่อย่างที่เธอคิด..ซะหน่อย"เสียงเล็กตะกุกตะกักจากการกลั้นหัวเราะ"ถ้าแรงของเธอยังไม่ถึงขั้นทำให้กระดาษหลุดออกมาก็ไม่เรียกว่ามีอะไรเสียหายหรอก"

    อัศมิตาถอนหายใจโล่งอก"ไม่รู้สึกโกรธงั้นหรือ..."

    "เลิกทำตัวเหมือนกลัวฉันทีเถอะน่า ไม่ได้เตรียมจะระเบิดอารมณ์ใส่เธออยู่ตลอดซะหน่อย"เด็กหญิงยกมือขึ้นกุมขมับ

    "เอาเถอะ ยังไงฉันก็ไม่ได้โกรธเธอหรอก"

    เจ้าของนัยน์ตาสีม่วงหาเรื่องเปลี่ยนประเด็นเมื่อเห็นท่าทีหดหู่ของเด็กชาย"ถามหน่อยสิ เธอคิดว่าหนังสือน่ะ..เป็นยังไงบ้าง"

    "เป็นหน้ากระดาษที่ถูกนำมาเรียงร้อยเข้าด้วยกันโดยมีสันยึดมิให้หลุดออก...ถูกหรือไม่"เด็กชายเอ่ยช้าๆหลังรวบรวมความคิดอยู่ครู่หนึ่ง"ท่านแม่เคยบอกกับเราว่าหากอ่านหนังสือได้ จะทำให้รู้ข้อมูลอีกหลายเรื่อง"ถ้อยคำในช่วงสุดท้ายเจือปนไปด้วยความขมขื่น

     

    "คนเช่นแก...แค่เรียนเขียนอ่านยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ"

    "มันไม่มีถูกหรือผิดหรอก ฉันแค่ถามความคิดเห็นของเธอเฉยๆ"แพทริเซียใช้มือสางเส้นผมสีทองของอีกฝ่าย" แต่ว่ามันก็จริงที่การอ่านหนังสือทำให้ได้รับความรู้"

    "เช่นนั้นแล้ว...การอ่านหนังสือต้องทำเช่นไร"น้ำเสียงของอัศมิตาไม่ได้เปี่ยมไปด้วยความใสซื่อดังเช่นปกติ หากแต่แสดงถึงความปรารถนา

    ...ปรารถนาอย่างสุดหัวใจ

    เด็กหญิงนึกย้อนกลับไปเมื่อตอนยังอยู่ที่พระราชวังกลางทะเลทราย

     

    ในตอนนั้นก่อนที่จะร้องไห้...เหมือนอัศมิตาจะพูดเกี่ยวกับท่านแม่ด้วย มาคราวนี้อีก

    ชักจะรู้สึกว่า'ท่านแม่'น่าจะมีอะไรมากกว่าที่คิดไว้แล้วสิ

    "ฉันขอโทษนะ...แต่ว่าการที่จะอ่านหนังสือได้ อย่างน้อยเธอต้องรู้จักระบบตัวอักษรกับไวยากรณ์ของภาษาที่ใช้ในการเขียนหนังสือเล่มนั้นก่อน"นัยน์ตากลมโตสะท้อนแววรู้สึกผิด ราวกับจำเป็นต้องทรยศต่อความคาดหวังของคนตรงหน้า"แล้วสิ่งที่จำเป็นอีกอย่าง...ก็คือการมองเห็น"

    "งั้นหรือ..."

     

    เราเข้าใจดี การที่เกิดมาด้วยดวงตาพิการนับว่าเป็นเคราะห์กรรม

    ตัวเราที่มีสภาพเช่นนี้ส่งผลให้ท่านพ่อจากไป

     

     ไม่อาจเขียนหรืออ่าน ไม่อาจใช้ชีวิตเทียบเท่าคนปกติ

    แต่ว่า

     "แพทริเซีย..."เด็กชายเอ่ยขณะหยาดน้ำตาที่คลอเริ่มไหลลงผ่านแก้มขาว"...เราอยากมองเห็น"

     

     

    "เราอยากมองเห็น"ประโยคนั้นสะท้อนก้องซ้ำไปมาในหัวขณะทอดมองเด็กชายที่กำลังหลับสนิท แม้เด็กหญิงจะอธิบายให้เขาสบายใจขึ้นแล้วว่าหากต้องการที่จะเรียนรู้เรื่องราวในหนังสือ เธอก็สามารถอ่านข้อความให้ฟังได้

    แต่ตัวเธอเองก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของอัศมิตาที่คิดว่าตนแปลกแยกจากคนอื่น และปรารถนาที่จะเป็นดังเช่นคนปกติ

     

    ถ้าการที่เธอมองเห็นจะทำให้เธอมั่นใจและทำตามสิ่งที่เธอต้องการได้ ฉันจะพยายามหาทางช่วยเธอด้วยอีกแรงก็แล้วกัน

     

    แพทริเซียหันกลับมายังหน้าหนังสือที่เปิดค้างไว้ก่อนจะไล่สายตาไปตามตัวหนังสือกลมมนอันคุ้นเคย"สมุนไพรห้ามเลือด...สมุนไพรสมานแผล"ร่างเล็กถอนหายใจเฮือกใหญ่"ไม่มีอะไรที่ดูพอจะช่วยรักษาอาการตาบอดตั้งแต่เกิดบ้างหรือไงนะ"

    เด็กหญิงพึมพำกับตัวเองหลังจากค้นหาในหนังสือที่เกี่ยวกับสมุนไพรเพื่อการรักษาไปเล่มแล้วเล่มเล่าจนเป็นกองหนังสือขนาดย่อม

     

    ไม่เคยคิดว่าจะได้กลับมาเปิดหนังสือเกี่ยวกับสมุนไพรได้เร็วขนาดนี้แฮะ

     

    นัยน์ตาสีอเมทิสต์มองหน้าปกหนังสือทำมือที่อยู่ด้านบนของกอง ตั้งแต่ชื่อหนังสือซึ่งถูกเขียนด้วยลายมืออันเป็นเอกลักษณ์ ภาพวาดรูปต้นสมุนไพร อักษรตัววีที่มุมปกด้านล่าง

     

    คิดถึง...

     

     แพทริเซียสะดุ้งเฮือก ดึงตัวเองออกจากห้วงความคิดที่เกือบจมลึกลงสู่อดีต

    "พอแค่นี้ก่อนดีกว่า"เด็กหญิงที่ลุกขึ้นยืนปิดหนังสือลงอย่างนุ่มนวล เธอรวบรวมสมาธิ ควบคุมให้หนังสือทั้งหมดให้ลอยกลับเข้าตำแหน่งเดิมบนชั้น

    แพทริเซียเดินไปยังอีกฝั่งของเตียง ร่างเล็กค่อยๆหย่อนตัวลงอย่างนุ่มนวลด้วยเกรงเด็กชายตาบอดจะรู้สึกตัว นิ้วเรียวดีดเป็นเสียง

    เป๊าะแผ่วเบาเพื่อดับแสงสว่างจากลูกบอลไฟ ก่อนที่เธอจะปล่อยตัวเองให้เข้าสู่ห้วงนิทรา

     

     

    เด็กหญิงเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ ภาพที่เห็นเบื้องหน้าคือทุ่งดอกไม้สีฟ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา สายลมอ่อนพัดเส้นผมยาวตรงให้ปลิวไปตามแรง และก่อนที่เธอจะชื่นชมทัศนียภาพโดยรอบ

    เด็กหญิงรู้สึกถึงความอบอุ่นอันคุ้นเคยจากฝ่ามือที่วางลงบนศีรษะ

    “นี่...”

    เจ้าของฝ่ามือเมื่อครู่ก้าวมายืนตรงหน้าเธอ

     

    ทั้งชุดของชาวโรมาเนียท้องถิ่น และเรือนผมหยักศกยาวถึงเอว

     

    แพทริเซียยังคงบอกได้ว่าหญิงสาวร่างสูงผู้นี้ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเลยสักนิด

    แต่ว่า...ทำไม

     

    ทำไมประกายวิบวับหลังแว่นตาถึงเปลี่ยนเป็นความเศร้าโศก....เหมือนบีบให้หัวใจต้องทุกข์ทรมาน

    ทำไมรอยยิ้มที่เคยดูสนุกสนานกลับอ่อนโยนลง...จนน่าอึดอัด

    ทำไมถึงหันหลังให้แล้วเดินหนีไป

    ทั้งที่คิดถึงมากกว่าใครแล้วแท้ๆ

     

    ขาทั้งสองเร่งฝีเท้าอย่างสุดกำลัง มาดหมายพียงตามแผ่นหลังของหญิงสาวเบื้องหน้าให้ทัน ทว่าแม้จะเร่งสักเพียงใด แต่ดูราวกับหญิงสาวจะห่างออกไปจนไม่สามารถเข้าใกล้ได้อีก

     

    ทำไมถึงเข้าใกล้ไม่ได้เลยล่ะ.....

    หรือว่ายังโกรธเรื่องนั้นอยู่สินะ...เข้าใจแล้ว

    เพราะฉันเองก็ยังไม่เคยให้อภัยตัวเองได้เลย

    จะไม่ขอให้อภัย จะไม่ขอให้หายโกรธ

    ขอแค่ได้พูดคำนี้เท่านั้น

    “ขอโทษ...”เสียงผะแผ่วหลุดลอดจากลำคอ หยาดน้ำตาไหลรินราวกับระบายความอัดอั้นทั้งหมดที่อัดแน่นในอก

     

    หญิงสาวหันกลับมาทางเด็กหญิง สีหน้าดูราวกับข่มความเจ็บปวดในอกอยู่ชั่วครู่ก่อนแย้มยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน

    “ตอนนี้คงต้องไปแล้ว ขอให้เธอเข้มแข็ง แพทริเซีย”น้ำเสียงอบอุ่นที่ถูกเปล่งออกมาอย่างมั่นคง ทำให้รู้สึกสงบลงราวกับอยู่ท่ามกลางผืนป่าเขียวขจี“อย่าลืมว่าจะเผ่าพันธุ์ไหนก็มีทั้งคนดีและไม่ดีปะปนกัน...ไม่ควรตัดสินด้วยคนไม่กี่คนที่ได้เจอ”

     

    “และประเมินสถานการณ์ทุกครั้งก่อนที่จะทำอะไรลงไป... ความประมาทเล็กน้อยอาจส่งผลร้ายแรงเกินคาดคิดได้ ”

     

    แพทริเซียลืมตาตื่นขึ้นจากความฝัน ก่อนพบว่าแก้มของตนเปียกชื้นจากหยาดน้ำตา

     

    แย่ล่ะ เผลอร้องไห้ออกมาจริงๆงั้นเหรอเนี่ย

     

    เด็กหญิงมองออกไปที่กรอบประตู เวลานี้ไร้ซึ่งร่างสูงที่ยืนอย่างสบายอารมณ์ดังเช่นวันวาน คนที่อยู่ในห้องกับเธอมีเพียงอัศมิตาที่ลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทีงัวเงีย

    “อรุณสวัสดิ์นะอัศมิตา เมื่อคืนหลับสบายไหม”แพทริเซียเอ่ยทัก พยายามทำน้ำเสียงร่าเริงกลบเกลื่อนความรู้สึกที่ค้างอยู่จากความฝัน

    “อรุณสวัสดิ์เช่นกันแพทริเซีย”เด็กชายหันไปทางต้นเสียงแล้วคลี่ยิ้มให้”เราหลับสนิทดี แล้วตัวเจ้าล่ะเป็นเช่นไรบ้าง”

    “ก็ดี...ล่ะนะ”

     

    ถึงต้องรู้สึกผิดแค่ไหน ถึงจะเป็นแค่ความฝันที่ไม่มีทางเป็นจริงได้

    การที่ได้กลับมาเจออีกครั้งก็ทำให้รู้สึกขอบคุณ ขอบคุณมากๆ

     

    ถ้าอยากให้เข้มแข็ง...ก็จะพยายาม เพื่อปัจจุบันที่เหลืออยู่

    จะไม่ทำผิดพลาดแบบนั้นอีก....จะเก็บมันไว้เป็นบทเรียน

    เพื่อทดแทนสิ่งที่เสียไปในวันนั้น...เพื่อที่จะก้าวต่อไป

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×