คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : เข้มแข็ง
มื้อเช้าในวันนี้ยังคงเป็นเช่นเคย
ทั้งความเอร็ดอร่อยของอาหาร
นางกำนัลที่ยืนรายล้อมรอบโต๊ะยกภาชนะเดินเรียงแถวจากไปเมื่อรับประทานเสร็จสิ้น
เหลือเพียงเด็กน้อยทั้งสองกับองค์สุลต่านเท่านั้น
"เป็นอะไรไปเล่าเจ้าหนู
เหตุใดจึงทำสีหน้าดูอึดอัดพิกล"เสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นราวกับบิดาเอ็นดูบุตร
"แพทริเซียได้คุยกับเราแล้วว่าอาจจะถึงเวลาที่ต้องไปแล้ว
หากรั้นอยู่ต่ออาจส่งผลให้การเดินทางช้ากว่าที่ควร"ความรู้สึกโหวงที่ต้องลาจากประเทศทะเลทรายก่อตัวเป็นความซึมเซาในน้ำเสียงใส
"งั้นหรือ
ข้าจะไปส่งพวกเจ้าด้วยก็แล้วกัน"
อัศมิตามีสีหน้าแช่มชื่นขึ้นเล็กน้อยก่อนชะงักเพราะแรงตีอย่างแผ่วเบาจากเด็กหญิงด้านข้าง
จริงด้วย....
หากองค์สุลต่านรู้เรื่องที่แพทริเซียใช้เวทมนตร์เข้า...อาจมีเรื่องเดือดร้อนเกิดขึ้นได้
"ขอบพระทัยเป็นอย่างยิ่ง
ทว่าหากพระองค์เสด็จไปด้วยอาจเป็นการเอิกเกริก..."เขาเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง"ซึ่งตัวเราอยากจากประเทศแห่งนี้ไปอย่างสงบเงียบเฉกเช่นตอนที่มาถึง...ต้องขออภัยด้วย"
หากเป็นเด็กคนอื่นย่อมดีใจที่ได้รับเกียรติจากข้า
เจ้านี่ช่างประหลาดดีเสียจริง
ร่างสูงสง่าหัวเราะลั่น"หากกล้าปฏิเสธข้าถึงเพียงนี้
ย่อมได้ ข้าจะไม่ไปส่งด้วยตัวข้าดังที่เจ้าปรารถนา"
"ขอขอบพระทัย...เช่นนั้นเราขออำลาพระองค์
ณ ตรงนี้"
"ขอให้พระองค์มีพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง
มีความสุขตลอดไป ขอบพระทัยที่ทรงมอบความช่วยเหลือแก่ชาวบ้าน
และขอบพระทัยที่พระองค์ทรงเอื้อเฟื้อต่อเรา"คำขอบคุณนั้นใสซื่อ
และบริสุทธิ์เท่าที่เด็กคนหนึ่งจะสามารถเอ่ยออกมาได้
"ขอให้พวกเจ้ารักษาตัวกันด้วย"สุลต่านกล่าวเรียบๆทว่าเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย"และเพื่อเป็นการอำลา
หากเจ้าปรารถนาสิ่งใดที่ข้าสามารถมอบให้ได้..จงเอ่ยออกมาเถอะ"
อัศมิตานิ่งสงบและใช้ความคิดอยู่ครู่ใหญ่"สิ่งที่ตัวเราปรารถนามีเพียงสองประการ
ประการแรก เราอยากที่จะไปยังตลาดที่อยู่บริเวณใกล้เคียงกับหมู่บ้านโฮมสเตย์แห่งนั้นก่อนออกจากประเทศนี้ไป
และประการที่สองนั้น......."
"จะไปแล้ว..จริงๆเหรอ"น้ำเสียงที่ร่าเริงอยู่เสมอกลับแผ่วเบาแทบถูกกลืนหายไปท่ามกลางเสียงของผู้คน
นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบดำสะท้อนแววอาวรณ์ขณะมองตามแผ่นหลังของเพื่อนทั้งสองที่เดินรุดหน้าไปก่อน
แม้เป็นเพียงไม่กี่วันที่ได้รู้จัก...แต่กลับรู้สึกใจหายเมื่อต้องแยกจาก
เจ้าของเรือนผมสีม่วงพยักหน้า"ตอนนี้หมู่บ้านโฮมสเตย์เริ่มการซ่อมแซมมาได้สักพักแล้ว
อีกอย่างพวกเราก็อยู่ที่นี่มาหลายวันแล้วด้วย"ท่าทีของเด็กหญิงผิวขาวที่หันหลังกลับมาไม่ได้บ่งบอกว่าเป็นเรื่องล้อเล่นแต่อย่างใด
ยิ่งย้ำเตือนความจริงในใจของเฟมิให้ชัดเจนกว่าเดิม
"เฟมิลืมไปเลยว่าแพทริเซียกับอัศมิตาต้องเดินทางกันต่อด้วยนี่นา"เธอฉีกยิ้ม
แม้พยายามจะกลบเกลื่อนด้วยความร่าเริง...ทว่าน้ำเสียงกลับฟังดูแปลกแปร่งอย่างประหลาด
"เฟมิ
รู้สึกไม่สบายใจหรือทุกข์ร้อนประการใด
เสียงของเจ้าจึงฟังดูผิดแปลกจากที่เคย..."เด็กชายตาบอดเดินมาทางต้นเสียงอย่างเชื่องช้า
ใบหน้าแสดงความห่วงใยที่มีต่อเพื่อนโดยไม่ปิดบัง
"หรือว่าใจหายที่พวกเราจะต้องไป"แพทริเซียพูดขึ้นราวกับรู้ทัน"สีหน้าเธอมันฟ้องอยู่น่ะ"
ถึงจะพยายามปิดบังไปก็คงไม่มีประโยชน์แล้วล่ะมั้ง
โดนจับได้แล้วนี่นา
"อื้ม เฟมิรู้สึกใจหายจริงๆนั่นล่ะ
ถ้าเกิดพวกเธอเดินทางไปต่อแล้วล่ะก็...เฟมิ..เฟมิคงจะคิดถึงพวกเธอมากๆ"
ฝ่ามือนุ่มขยี้เรือนผมสั้นสีน้ำตาลของอีกฝ่ายเบาๆ"ไม่เอาน่า
เฟมิที่ฉันรู้จักต้องร่าเริงกว่านี้สิ
พวกเราเองก็เป็นลูกค้าคนนึงของเธอนะ..ขืนถ้าเธอทำแบบนี้มีหวังใจหายเวลาลูกค้าออกจากโฮมสเตย์ไปทุกรอบได้เลยนา"
"ม..ไม่เหมือนกันสักหน่อย
เฟมิรู้สึกว่าทั้งสองคนเป็นเพื่อนที่ผ่านอะไรมาด้วยกันมามากกว่าลูกค้าคนอื่น
ทั้งกลุ่มโจร แล้วพวกเราก็ได้ใช้เวลาด้วยกันอีก"เด็กหญิงผิวคล้ำเม้มปากจนบางเฉียบ
พูดความจริงออกไปแล้ว
แต่ความรู้สึกที่คิดว่าตัวเองจะต้องเหงาถ้าขาดทั้งสองคนไป ยังไม่หายไปเลย....
"ยังไม่สบายใจอยู่อีกสินะ"นัยน์ตาสีม่วงที่มองมาทางเฟมิสะท้อนแววห่วงใย"ถ้างั้น..."
แพทริเซียเอ่ยพลางยื่นมือข้างที่ยังคงเป็นอิสระออกคว้าหมับเข้าที่มือของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วก่อนจะเดินนำทางเพื่อนทั้งสองมายังทิศทางที่ตนจำได้ดี
...ร้านขายน้ำ
จู่ๆก็มาลากกันแบบไม่บอกกล่าวแบบนี้เธอคิดจะทำอะไรกันแน่...แพทริเซีย
แม้จะไม่เข้าใจการกระทำของเด็กหญิงต่างชาติเท่าใดนัก
แต่เฟมิก็ยอมเดินตามโดยไม่แสดงท่าทีขัดขืน
"น้ำมะพร้าวสามที่ค่ะ!"เสียงของเธอดังกว่าปกติเล็กน้อยเพื่อดึงความสนใจจากชายหนุ่มที่ง่วนอยู่กับการจัดเรียงของด้านหลัง
"อ้าว!
สาวน้อยคนนั้นนี่เอง"ร่างสูงที่หันกลับมาเอ่ยขึ้นด้วยเสียงกระฉับกระเฉงเมื่อเห็นเด็กหญิงตรงหน้า"พักที่อียิปต์หลายวันเลยสิท่า
ที่นี่เป็นยังไงบ้าง"
"มีเสน่ห์ต่างจากประเทศทางยุโรปไปอีกแบบค่ะ"เด็กหญิงเอ่ยตอบเจือหัวเราะแผ่วเบา
ถ้าไม่นับรวมการเสี่ยงตายกับกลุ่มโจรหรือการทำตัวเรียบร้อยต่อหน้าสุลต่านล่ะก็นะ
ร่างสูงพยักหน้า"ได้ข่าวว่ากลุ่มโจรที่ออกปล้นแถวนี้บ่อยๆถูกทางการจับไปแล้ว
ทีนี้คงปลอดภัยขึ้นไม่มากก็น้อย"เขาถอนหายใจด้วยท่าทีขี้เล่น"จะได้ค้าขายให้สบายใจเสียที"
เด็กชายตาบอดที่ยืนอยู่ด้านข้างแพทริเซียพยักหน้าหงึกหงัก"เรื่องที่กลุ่มโจรเหล่านั้นถูกจับไปแล้วเป็นความจริง
อีกทั้งองค์สุลต่านได้ประกาศปรับปรุงและซ่อมแซมความเสียหายของหมู่บ้านที่ได้รับผลกระทบเป็นที่เรียบร้อย"
"หืม...รู้ขนาดนี้ได้ยังไงกันล่ะนี่?"ชายหนุ่มผิวคล้ำแดดหรี่ตาลงด้วยความสงสัย
แหงล่ะ ก็เขาอยู่ในเหตุการณ์จริงตอนที่โจรบุกแถมเป็นคนพูดเรื่องหมู่บ้านกับสุลต่านเอง
ถ้าจะไม่รู้อะไรเลยก็แปลกแล้ว
ทว่ากลับมีเสียงหนึ่งดังขัดความคิดของแพทริเซียให้สะดุดลง
"ก็คืนที่โจรพวกนั้นออกมาทั้งสองคนพักที่บ้านเฟมิ...ก็เลยรู้เรื่องทั้งหมดน่ะสิ!"เด็กหญิงผิวคล้ำเอ่ยเสียงขุ่น"แล้วอีกอย่าง...เฟมิก็ยืนอยู่ตรงนี้ตั้งนานแล้ว
ไม่คิดจะทักกันบ้างเหรอพี่อาลี"
เจ้าของชื่อชะงักกึก"โทษทีๆ พี่ชายไม่ทันสังเกตเธอน่ะ"เขาหัวเราะแหะๆพลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนา"เอ้อ
แล้วที่เขาลือกันว่าคืนนั้นจู่ๆก็มีน้ำพุ่งออกมาจากใต้ดินในจังหวะที่กำลังสู้กันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า"
"จริงสิ! พอน้ำพุ่งขึ้นมานะ
พวกโจรที่ตั้งหลักไม่ทันก็ลอยไปตามน้ำจนโดนทหารลาดตระเวนจับได้หมดเลย"เด็กหญิงผิวคล้ำเล่าด้วยท่าทีออกรสออกชาติราวกับลืมความโหวงเหวงในอกเมื่อครู่ไปเสียสนิท
แพทริเซียหน้าชาวาบ
มือข้างที่จับมือเด็กชายตาบอดไว้บีบแน่นขึ้นด้วยความกังวลใจ
"แปลกดีจริง
ในทะเลทรายอย่างนี้ทำไมถึงมีน้ำพุ่งขึ้นมาทั้งที่ไม่มีร่องรอยมาก่อนเลย..อย่างกับมีใครตั้งใจให้เป็นแบบนั้น"น้ำเสียงทุ้มตั้งข้อสังเกต
"เฟมิว่าพระเจ้าคงประสงค์ให้คนไม่ดีพวกนี้ได้รับบทลงโทษแน่ๆ"นัยน์ตากลมจ้องไปทางเด็กหญิงผมสีม่วงด้วยประกายแฝงความรู้สึกขอบคุณ
ถึงยังไงเราก็สัญญากันแล้วนี่นา
เฟมิจะไม่บอกให้ใครรู้เรื่องนั้นได้อีกแน่นอน
เด็กหญิงหาทางเปลี่ยนเรื่องไม่ให้ชายหนุ่มตรงหน้าถามสิ่งใดที่ทำให้เพื่อนต้องเป็นกังวล"โธ่พี่อาลี
มัวแต่คุยเพลินไปแล้ว
สั่งน้ำมะพร้าวตั้งนานยังไม่ได้เลย"เฟมิพูดราวกับหยอกเย้าอีกฝ่ายเล่นดังที่เธอทำเป็นปกติ
ชายหนุ่มมีท่าทีราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ก่อนจะหันหลังกลับไปใช้มีดเฉาะมะพร้าว
ใส่หลอด แล้วจึงค่อยหันกลับมายื่นมะพร้าวให้แก่เด็กหญิงทั้งสอง"ฮะฮะ
ติดลมไปหน่อย ขอโทษที่ทำให้รอตั้งนาน"
"ทั้งหมดเท่าไหร่คะ"แพทริเซียยกกระเป๋าขึ้นเตรียมจะจ่ายเงิน
"ไม่ต้องหรอกๆ
ถือว่าเป็นการฉลองที่ตัวอันตรายถูกจับไปแล้ว แล้วก็เป็นการให้กำลังใจคนที่อยู่ในเหตุการณ์ระทึกนั่นด้วย"ร่างสูงยิ้มอย่างมีเลศนัยบางอย่างไปทางเด็กหญิงผิวคล้ำ
"ขอบคุณสำหรับน้ำใจที่มีให้พวกเราค่ะ"เด็กหญิงเจ้าของเรือนผมสีม่วงกล่าวอย่างสุภาพพร้อมรอยยิ้มเรียบๆทั้งที่ยังสงสัยกับรอยยิ้มของชายหนุ่มอยู่ไม่หาย
"การตลาดแจกของอีกแล้ว แต่ก็สมเป็นพี่ดี
ขอบคุณมากนะพี่อาลี"เฟมิหลิ่วตา"ไปกันเถอะแพทริเซีย"
เธอหันไปพยักหน้าให้เด็กหญิงผมยาวก่อนที่ทั้งสามจะเดินออกมาด้วยกัน
น้ำเสียงก้องกล่าวส่งท้ายก่อนแผ่นหลังเหล่านั้นจะหายลับสายตาไป"ขอให้โชคดี
รักษาตัวกันด้วยล่ะ!"
"นี่เฟมิ...เธอรู้จักกับคนขายน้ำคนนั้นด้วยงั้นสินะ"แพทริเซียเอ่ยถามหลังจากเงียบไปได้สักพัก
เรือนผมสีน้ำตาลตัดสั้นของเด็กหญิงด้านข้างขยับตามจังหวะการพยักหน้าอย่างกระตือรือร้น"ทำไมจะไม่รู้จัก
ตลาดที่นี่อยู่ใกล้บ้านเฟมิมาก
แล้วอีกอย่าง..."เธอขำพรืดออกมาราวกับกลั้นไม่อยู่"พี่อาลีน่ะหมายตาพี่ชาลิเซ่ไว้น่ะสิ"
อา พอเดาได้แล้วล่ะว่าทำไมถึงต้องยิ้มแบบนั้น
เจ้าของผมยาวอมยิ้มนิดๆ
เด็กชายที่ตั้งสมาธิกับการดื่มน้ำมะพร้าวเมื่อสักครู่เงยหน้าขึ้น"หมายตา?
หมายความว่าพี่อาลีทำเครื่องหมายไว้ที่ดวงตาของพี่ชาลิเซ่งั้นหรือ..?"
"ไม่ใช่แบบนั้น...คือยังไงดีล่ะ"มือคล้ำขยี้เรือนผมพลางครุ่นคิด
"ที่เฟมิใช้ก็หมายถึงพี่อาลีชอบพี่ชาลิเซ่นั่นแหละ
ถ้าอยากรู้อะไรเพิ่มก็ลองถามแพทริเซียดูแล้วกัน"
"เราเข้าใจแล้ว!
พี่อาลีถูกใจและมีความสนิทสนมกับพี่ชาลิเซ่นี่เอง"ใบหน้าน้อยนั้นแสดงความตื่นเต้นราวได้รับรู้ความจริงอันยิ่งใหญ่
แม้เด็กหญิงทั้งสองจะรู้ว่าชอบในบริบทนี้มีความหมายใดก็ไม่คิดเอ่ยปากแย้งอัศมิตาไป
แพทริเซียถอนหายใจเฮือกหนึ่ง"แล้วพี่อาลีเขาทำแบบนั้นบ่อยไหม...แจกเครื่องดื่มฟรีน่ะ"
"บ่อยสิบ่อย
อย่างเวลาเจอนักเดินทางที่ไม่ค่อยมีเงิน กับเด็กตัวเล็กๆ หรือเวลาเป็นห่วงใครอยู่
เฟมิเองเคยให้เงินไปหลายรอบแล้วพี่อาลีก็ไม่เคยรับเลย"
ไม่แปลกหรอก
กับน้องสาวคนที่ตัวเองชอบทั้งทีนี่นะ
"แต่ว่า..."เสียงเล็กนั้นฟังดูราวกับชั่งใจอยู่ครู่หนึ่ง"แจกเยอะขนาดนี้มีกำไรบ้างไหม"
"เฟมิเองก็เคยถามคำถามนี้เหมือนกัน...ไม่เยอะหรอก
แต่พี่อาลีบอกว่าบางทีแค่ได้ให้ไปก็รู้สึกดีแล้วล่ะ"
ความสุขที่เกิดจากการให้คนอื่นงั้นเหรอ
นัยน์ตาสีม่วงทอดมองเด็กชายตัวเล็กอย่างอ่อนโยน
ก็พอจะเข้าใจความรู้สึกนั้นอยู่บ้างล่ะนะ
จากคำถามของแพทริเซียทำให้เธอฉุกคิดขึ้นมาได้"เฟมิขอถามหน่อยได้ไหมแพทริเซีย"เด็กหญิงพื้นเมืองเอ่ยหลังดูดน้ำมะพร้าวเข้าไปอึกใหญ่
แพทริเซียเห็นดังนั้นจึงพยักหน้าตอบรับเป็นเชิงให้อีกฝ่ายพูดต่อ
"ทำไมตอนที่เฟมิคุยกับพวกเธออยู่ถึงต้องลากไปซื้อน้ำกันเฉยๆแบบนั้น"
เสียงเล็กหัวเราะคิกราวกับรู้สึกสนุกอยู่ลึกๆ"ก็คิดว่าถ้าได้ดื่มอะไรอร่อยๆคงจะทำให้เธอรู้สึกสดชื่นขึ้นบ้าง"...ถึงการโดนชวนคุยขนาดนั้นจะไม่ได้คิดเผื่อไว้ก็เถอะนะ
"ไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลยนี่!"แก้มของเฟมิพองออกด้วยความรู้สึกเง้างอน
"ถึงยังไงความรู้สึกใจหายเมื่อตอนนั้นก็ทุเลาลงแล้วใช่ไหมล่ะ"เด็กหญิงผมยาวยักคิ้วแกมหยอก
"ก็ใช่..."เฟมิทำหน้ามุ่ยด้วยเหตุที่นึกหาถ้อยคำมาโต้ไม่ออก"แต่ว่านี่เป็นช่วงเวลาสุดท้ายที่เราสามคนจะได้อยู่ด้วยกันในตอนนี้...ถ้านึกถึงแล้วมันจะใจหายก็ไม่แปลกนี่นา"
"ไม่ใช่หรอกนะ"เจ้าของเส้นผมสีม่วงส่ายหัวเบาๆ
"เอ๋"
"เธอไปส่งพวกเราตอนที่เรือจะออกได้
และนั่นต่างหากคือช่วงเวลาสุดท้ายของจริงล่ะ"น้ำเสียงที่เอ่ยออกมามีความหนักแน่นราวมั่นใจว่าสิ่งที่พูดต้องเป็นไปได้อย่างแน่นอน
"แต่ว่าเฟมิยังต้องกลับไปที่พระราชวังอยู่
คงจะไม่ทัน..."เด็กหญิงผิวคล้ำก้มหน้าลงขณะพูดด้วยเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
"ไม่ต้องห่วง
ลองไปถามจากกองทหารลาดตระเวนที่อยู่แถวๆหมู่บ้านที่กำลังปรับปรุงได้เลย"แพทริเซียขยิบตาพร้อมกับรอยยิ้มซึ่งแฝงเลศนัยบางอย่างก่อนโน้มตัวลงกระซิบข้างหูอีกฝ่าย"ตอนหัวค่ำหลังจากตลาดเก็บ
ฉันกับอัศมิตาจะยืนรอห่างจากตลาดไปอีกหน่อย แล้วก็จะถือตะเกียงเป็นจุดสังเกต"
เด็กหญิงผิวขาวผละออกมายืนด้านข้างตามเดิม"เอาเป็นว่าแค่นี้แล้วกัน
ฉันจะให้เวลาเธอไปถามเพื่อความมั่นใจของตัวเองก่อน"เธอเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง
"ถ้างั้นฉันขอตัวก่อนนะ
ยังมีอีกหลายอย่างเลยที่อยากซื้อก่อนที่จะไป"ร่างเล็กจูงมือเด็กชายตาบอดเดินเข้าไปในฝูงชน
แม้ไม่เร็วเท่าการวิ่งแต่ก็เพียงพอให้คนที่ยืนนิ่งอึ้งตามไปไม่ทัน
"เดี๋ยวสิ!"เฟมิร้องออกมาแม้รู้ตัวว่าคงไม่ทันเสียแล้ว
อะไรของแพทริเซียกันนะ
ทำไมดูมั่นใจเหลือเกินว่าพวกทหารลาดตระเวนจะปล่อยให้กลับช้าได้
ไหนจะวิธีดึงความสนใจจากอาการใจหายนั่นอีก
ตามความคิดไม่ทันเลยสักนิด
"แพทริเซีย
พูดไปเช่นนั้นจะดีแล้วหรือ..."เสียงของเด็กชายที่ยืนเกาะแขนแพทริเซียเอ่ยขึ้นด้วยความกังวล"หากนางไม่มาจะเป็นเช่นไรเล่า?"
แพทริเซียสลับตะเกียงในมือไปไว้อีกข้าง
จากนั้นมือของเด็กหญิงที่ตัวโตกว่าก็ขยี้เรือนผมสีทองสุกปลั่งด้วยความเอ็นดู"ไม่หรอก
ยังไงเฟมิก็ต้องมาแน่นอน"นัยน์ตาสีม่วงทอดมองไปยังข้างหน้าอย่างเชื่อมั่น
ไม่นานเกินรอ
ร่างเล็กปราดเปรียวของเด็กหญิงผู้หนึ่งก็วิ่งตัดผืนทรายกว้างเข้ามาหาคนทั้งสองอย่างว่องไว
"อย่างที่แพทริเซียบอกจริงๆด้วย
พอไปถามพวกเขาก็ตอบว่าได้"เสียงร่าเริงของเฟมิเล่าระรัวอย่างดีใจ"แถมบอกว่าถ้าไปส่งกันเรียบร้อยก็แค่เดินกลับไปรอตรงหมู่บ้านที่มีกองทหารประจำอยู่ก็พอแล้ว"
"งั้นเหรอ..."แพทริเซียเผยรอยยิ้มบางๆที่ริมฝีปากก่อนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้"ว่าไปแล้วจากหมู่บ้านของเธอจะมองเห็นเรือที่กำลังแล่นผ่านคลองนี่ได้ไหม?"
"ถ้าเป็นเรือใหญ่ๆน่ะก็เห็นอยู่หรอก
แต่ถ้าเป็นเรือที่ไม่ใหญ่มากก็ไม่ค่อยมีใครสังเกต ถามทำไมเหรอ"
"เพราะว่าจะใช้เวทมนตร์กับเรือที่เราสองคนใช้เดินทางด้วยน่ะสิ
กลัวว่าอาจผิดสังเกตคนแถวนั้นเอา"แพทริเซียตอบเรียบๆ
"เวทมนตร์งั้นเหรอ!? เป็นเวทแบบไหน
แล้วเรือทำอะไรได้บ้างล่ะ"เสียงที่ออกมาเกือบจะเป็นการตะโกน
นัยน์ตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตื่นเต้น
"เบาๆหน่อยสิเฟมิ
เราต้องไปกันแบบเงียบหน่อย
จะให้ใครรู้ความลับเรื่องนี้เพิ่มไม่ได้"แพทริเซียจุ๊ปากอีกฝ่ายเพื่อปรามไม่ให้พูดสิ่งที่เธอคอยระวังมาตลอดดังไปกว่านี้
"แหะๆ เฟมิขอโทษน้า~~"เด็กหญิงผิวคล้ำทำหน้าสำนึกผิดพลางเขกหัวตัวเองเบาๆ
"เอาเถอะๆ
ก่อนอื่นเธอต้องมายืนตรงนี้"นิ้วเรียวชี้ไปยังจุดที่จะสามารถบังแสงตะเกียงไม่ให้เล็ดลอดออกมาได้
เด็กหญิงร่างเล็กก้าวไปตามคำนั้น
"แล้วต้องทำอะไรต่อบ้าง"
เสียงเล็กเอ่ยพึมพำอะไรบางอย่างด้วยเสียงกระซิบก่อนที่เพื่อนทั้งสองจะรู้สึกถึงบางอย่างที่ให้สัมผัสเย็นราวสายน้ำอยู่วูบหนึ่งแล้วกลับเป็นปกติ
"ความรู้สึกเมื่อครู่คืออะไรหรือ"อัศมิตาเอ่ยถามแผ่วเบา
"เวลาใช้เวทล่องหนกับคนแบบตรงๆก็จะเป็นความรู้สึกแบบนี้ล่ะ"น้ำเสียงของแพทริเซียฟังดูปกติราวกับพูดถึงเรื่องพบเห็นได้ทั่วไป"ถึงตอนนี้ดูเหมือนเวลาปกติ
แต่คนอื่นจะมองไม่เห็นพวกเราหรอก สบายใจได้"
"สุดยอดไปเลย เราไปต่อกันเถอะ
เฟมิอยากเห็นเรือของทั้งสองคนแล้วล่ะว่าจะเป็นไงบ้าง"ร่างเล็กเกือบเดินนำเพื่อนทั้งสองด้วยความตื่นเต้น
"ไม่น่าตื่นเต้นขนาดนั้นหรอก
แต่ฉันด้วยว่าควรเดินไปกันได้แล้ว"นัยน์ตาสีม่วงที่มองท่าทางตื่นเต้นของอีกฝ่ายดูราวกับกำลังรู้สึกสนุกอยู่
แล้วจึงเริ่มออกเดินพร้อมกับอัศมิตาพร้อมกวักมือเรียกให้เฟมิตามไป
คงจะไม่ได้เจอกันอีกนานเลยสินะ เพราะงั้น
ขอเล่นสนุกด้วยเป็นครั้งสุดท้ายก็แล้วกัน
"แพทริเซีย ทำไมพวกเขาถึงยอมให้เฟมิกลับช้าง่ายขนาดนี้"ดวงตากลมโตของเฟมิที่เดินตามมาฉายแววเจ้าเล่ห์"หรือว่าแพทริเซียแอบไปเสกคาถาสะกดไว้ล่ะนี่"
"ฉันไม่ได้ทำอย่างนั้นน่า"ริมฝีปากน้อยแย้มยิ้มเจือหัวเราะ
"หรือแพทริเซียกำลังจะบอกว่าอัศมิตาเป็นคนเสกคาถาล่ะ"น้ำเสียงของเธอเริ่มเจ้าเล่ห์ขึ้นเรื่อยๆ
เด็กชายตาบอดสะดุ้งโหยงราวร้อนตัว"ร..เราใช้เวทมนตร์ไม่ได้
จะไปเสกให้ทหารเหล่านั้นเชื่อฟังได้อย่างไร"
"ฮะฮะฮะ
รู้อยู่แล้วล่ะน่าว่าเธอไม่น่าจะใช้ได้"มือของต้นเสียงร่าเริงนั้นตบบ่าเล็กของอัศมิตาเบาๆ
เขาลอบถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
"ยังไงก็เถอะ การมีเวทมนตร์นี่ดีจังเลยน้า
สารพัดประโยชน์ออกอย่างนี้"เด็กหญิงผิวคล้ำเอ่ยแซวแพทริเซีย
มาดหมายว่าจะได้เห็นรอยยิ้มขบขันของอีกฝ่าย
"ไม่ได้ดีอย่างที่เธอคิดไว้หรอกนะ"ปฏิกิริยาที่ได้รับกลับมาผิดคาด
เด็กหญิงเดินช้าลงและจริงจังกว่าที่เคย
ดูคล้ายกับผู้ใหญ่ที่กำลังตักเตือนอยู่ไม่มีผิด
"แต่ว่าการที่แพทริเซียเสกน้ำขึ้นมาก็ทำให้จับโจรได้ด้วย
เฟมิเองก็อยากจะมีพลังที่เอาไว้ปกป้องหมู่บ้านเหมือนกันนะ!"เฟมิเอ่ยแย้ง
ทั้งๆที่มีพลังทำได้ถึงขนาดนี้ ทำไมถึงดูไม่ภูมิใจกับมันเลยล่ะ
"ฟังนะ เวทมนตร์เป็นเหมือนดาบสองคม
ถ้าเธอใช้มันได้หมายความว่าเธอจะต้องควบคุมพลังของตัวเองให้เป็น"น้ำเสียงของแพทริเซียในตอนนี้เยือกเย็นราวน้ำแข็ง
นัยน์ตาสีม่วงราวกับอัญมณีฉายแววเศร้าอยู่ครู่หนึ่ง
"หรือต่อให้ควบคุมเป็น
ก็ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้ทุกที่---"ร่างเล็กเริ่มตั้งสติได้
เธอสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ
เกือบไป...ไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ
ยังรู้สึกใจร้อนตอนได้ยินคำนั้นอยู่เลย
ต้องควบคุมมันให้ดีกว่านี้แล้วสิ
"เฟมิไม่รู้หรอกว่าแพทริเซียผ่านอะไรมาบ้าง
แต่ถ้าเกิดมีใครหรืออะไรทำให้เธอเสียความภูมิใจในสิ่งที่ตัวเธอเป็นอยู่ล่ะก็...เฟมิขอให้เธอเข้มแข็ง"นัยน์ตากลมคู่นั้นหันมาทางเด็กหญิงต่างชาติ
ปรารถนาเพียงให้เธอรู้สึกดีขึ้น"เหมือนกับตอนที่แพทริเซียร่ายเวทที่ทำให้น้ำท่วม
เฟมิพอจะเดาได้นะว่าเธอก็รู้ว่าเสี่ยงจะมีคนเห็น"
"แต่เธอก็ยังทำเพื่อช่วยคนอื่นไม่ใช่หรือไง"
เสียงใสหัวเราะออกมาเบาๆเมื่อนึกถึงความบ้าบิ่นของตน
เป็นอย่างที่เฟมิพูดไว้ ตัวเธอในตอนนั้นมุ่งมั่นที่จะช่วยโดยไม่ทันได้ฉุกคิดว่าจะมีใครแอบมองอยู่หรือไม่เสียด้วยซ้ำ"ขอบคุณมากเฟมิ
ตอนนี้ฉันรู้สึกดีขึ้นแล้วล่ะ"
เด็กหญิงมองออกไปยังผืนน้ำสีเข้มราวหมึกที่มีแสงจันทร์นวลส่องกระทบ
ก่อนจะก้มลงมองจุดที่ตนยืนอยู่
ระยะนี้คงใกล้พอจะเอาเรือลงน้ำได้พอดี
แพทริเซียปล่อยมือออกจากอัศมิตาชั่วครู่
ร่างเล็กก้าวมายืนตรงหน้าบุคคลทั้งสองแล้วจึงค้อมตัวลงราวกับผู้เปิดการแสดงละคร
"ยินดีต้อนรับสู่การแสดงเวทมนตร์ของแพทริเซีย"
มือเรียวเปิดกระเป๋าก่อนที่จะหยิบสิ่งที่ดูเหมือนเรือของเล่นขนาดเท่าฝ่ามือออกมา
เด็กหญิงใช้พลังของตนทำให้เรือลำน้อยลอยไปจากมือและตกกระทบผิวน้ำอย่างแผ่วเบา
จากนั้นจึงท่องคาถาด้วยเสียงกระซิบขณะเรือเล็กขยายตัวขึ้นจนกลายเป็นเรือบ้านขนาดย่อม
"ทั้งหมดก็ประมาณนี้น่ะนะ
บอกแล้วว่าไม่น่าตื่นเต้นขนาดนั้น"ริมฝีปากสีชมพูส่งรอยยิ้มให้ผู้ที่ยืนดูเหตุการณ์มาโดยตลอด
"ไม่น่าตื่นเต้น? แพทริเซีย
นี่มันยิ่งกว่าน่าตื่นเต้นอีกนะ"น้ำเสียงแก่นแก้วเปี่ยมไปด้วยความพิศวงต่อสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตน
จะมีสักกี่คนกันล่ะที่ได้เห็นเรื่องมหัศจรรย์ขนาดนี้ต่อหน้าต่อตา
"แต่เรือเล็กกว่าที่เฟมิคิดไปหน่อยนะ"เธอหยอกปิดท้าย
"ก-การที่เลือกใช้เรือเล็กเช่นนี้เนื่องจากตัวเรามองไม่เห็น
หากลำเรือมีพื้นที่กว้างขวางเกินไปอาจทำให้การจดจำตำแหน่งสิ่งของเป็นไปอย่างยากลำบาก"แม้ดวงตาสีฟ้าสดคู่สวยจะไม่อาจมองเห็น
แต่สีหน้าของเด็กชายกลับแสดงถึงความต้องการช่วยเหลือไม่ให้เพื่อนของตนต้องเดือดเนื้อร้อนใจ
"หากเป็นความต้องการขององค์ชาย
หม่อมฉันก็ไม่กล้าขัดข้อง"เฟมิใช้น้ำเสียงเย้าหยอกให้ชัดเจนยิ่งขึ้นพลางกลั้นขำขณะมองท่าทีตอบสนองของอัศมิตา
"น-นั่นเป็นเพียงการล้อเล่นงั้นหรือ"เด็กชายที่เริ่มรู้ตัวเกิดความรู้สึกร้อนผะผ่าวบริเวณใบหน้าที่เปลี่ยนเป็นสีแดง
"อ..อื้ม เฟมิแค่ล้อเล่นเฉยๆ"เสียงหัวเราะของเด็กหญิงพื้นเมืองหลุดออกมาอย่างสุดจะกลั้น
ร่างผอมบางของเด็กชายเดินไปทางแพทริเซียอย่างระมัดระวัง
ก่อนจะเข้าไปหลบข้างหลังราวกับต้องการให้เด็กหญิงที่มีส่วนสูงมากกว่าช่วยกำบังให้พ้นจากสายตา
ความรู้สึกเอ็นดูได้เกิดขึ้นขณะที่เฟมิมองภาพนั้น ทว่าเมื่อมองเลยไปถึงแผ่นไม้สีน้ำตาลของลำเรือก็ทำให้นึกถึงความรู้สึกใจหายที่มีอยู่ก่อน
"แต่ยังไงทั้งสองคนก็จะไปกันแล้วใช่ไหม"
เฟมิเข้าใจแล้วล่ะ
ถ้าเกิดเฟมิทำท่าทางเสียใจล่ะก็...พวกเธอทั้งคู่คงจะรู้สึกไม่ดีแน่ๆ
"นั่นสินะ
ถ้าจะบอกลากันก็คงเป็นตรงนี้แล้วล่ะ"รอยยิ้มและแววตาอ่อนโยนของแพทริเซียที่ขับเน้นให้ใบหน้ายิ่งดูผุดผ่องราวเทพธิดาแห่งรัตติกาลนั้นราวกับต้องการบอกให้แสดงความรู้สึกได้ตามต้องการ
ไม่ต้องห่วงหรอก เฟมิจะไม่ร้องไห้
"ถ้าอย่างนั้นเฟมิขอให้แพทริเซียเข้มแข็ง
ภูมิใจกับสิ่งที่ตัวเธอมีอยู่"เด็กหญิงผิวคล้ำคว้าแพทริเซียไปกอดหมับแรงๆ
"ขอบคุณ
ขอให้ตัวเธอเองไม่ท้อที่จะฟื้นฟูโฮมสเตย์ขึ้นมาใหม่ด้วยแล้วกัน"เสียงของฝ่ายที่ถูกกอดฟังดูสุขุมและมั่นคงเกินกว่าวัย
เฟมิพยักหน้าอย่างร่าเริง
ร่างคล่องแคล่วนั้นผละตัวออกมาทางเด็กชายที่ยืนอยู่ด้านข้างก่อนจะกอดเขาด้วยท่าทีนุ่มนวลกว่าเมื่อครู่เล็กน้อย"ขอให้อัศมิตาโตไปเป็นองค์ชายที่กล้าหาญ
แล้วก็ทำหน้าที่ได้ดีจนเป็นที่รักของทุกคนเลย"
"เราไม่อาจแน่ใจได้ว่าอนาคตของตัวเราจะเป็นเช่นไร
แต่เราจะพยายาม"อัศมิตามีท่าทีเคอะเขินเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ
"โปรดรักษาความสดใสร่าเริงของเจ้าให้คงอยู่กับตัวเสมอ
เราหวังว่าจะไม่มีสิ่งใดเป็นสาเหตุให้เจ้าทุกข์ทรมานเช่นนั้นอีก"
"ถ้าเป็นอย่างที่เธอว่าก็ดีสิ เอ้อ
ได้มีลูกกับแพทริเซียเมื่อไหร่ก็ส่งข่าวมาบอกกันบ้างนะ"น้ำเสียงแก่นแก้วถูกดัดให้แฝงไว้ซึ่งความเจ้าเล่ห์แสนกลอย่างเปี่ยมล้น
"เฟมิ!"แพทริเซียมีท่าทีเอือมระอา
ขณะที่เจ้าของชื่อหัวเราะลั่น
"ล้อเล่นน่า"
จะทำให้เป็นหนึ่งในความทรงจำดีๆ
เด็กหญิงผิวคล้ำหยุดหัวเราะแล้วจึงเงยหน้าขึ้นสบตาเพื่อนทั้งสอง"ขอบคุณสำหรับคำอวยพรของพวกเธอมาก"เธอยิ้มกว้างจนเห็นฟันขาวสะอาด
"ขอให้โชคดีในการเดินทาง
ถ้าพวกเธอมาอีกไม่ว่าจะเมื่อไหร่ล่ะก็มาพักที่บ้านเฟมิได้เลย
จะไม่คิดเงินค่าที่พักด้วย!"
"ถ้ามีโอกาสล่ะก็นะ"แพทริเซียขยิบตาพร้อมโบกมือให้กับเฟมิก่อนจะจับมือเด็กชายเพื่อเป็นสัญญาณให้เตรียมตัวออกเดิน
"ลาก่อนเฟมิ"อัศมิตาหันมายิ้มให้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะค่อยๆก้าวเดินตามเด็กหญิงผมยาวที่เป็นผู้นำทาง
ร่างปราดเปรียวของเด็กหญิงชาวอียิปต์กระโดดหย็องแหย็งโบกไม้โบกมือระหว่างที่แผ่นหลังของเพื่อนทั้งสองห่างออกไปทีละนิดกระทั่งเข้าไปในประตูเรือ
นัยน์ตาสีน้ำตาลเหลือบดำคู่โตจ้องมองเรือที่ล่องหนหายไป
กระแสน้ำที่กระจายออกตามแนวเป็นตัวบ่งบอกว่าเรือได้เริ่มเคลื่อนที่ออกจากฝั่งไปเรื่อยๆจนลับสายตา
เฟมิหันกลับมายังเบื้องหน้าและค่อยๆเผยรอยยิ้มออกมาด้วยความสุขใจเปี่ยมล้น
คืนนี้เป็นคืนที่มหัศจรรย์ที่สุดเลยล่ะ
ขอบคุณที่ให้โอกาสเฟมิได้เห็นเวทมนตร์อีกครั้ง
ขอบคุณสำหรับมิตรภาพของทั้งสองคน
ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่ทำให้เฟมิรู้สึกเข้มแข็งขึ้น
เฟมิจะรออยู่ที่นี่ อยู่ตรงนี้
จนกว่าทั้งสองคนจะกลับมาสนุกด้วยกัน
ไม่ว่าในตอนนั้นพวกเธอจะอยู่ในฐานะอะไรก็ตาม
ขอบคุณสำหรับทุกๆอย่างเลย...
"ประการที่สองนั้น...ขอให้เฟมิเป็นผู้ที่ไปส่งเรากับแพทริเซียแต่เพียงผู้เดียว"
"ไม่ได้เข้ามาตั้งหลายวัน คิดถึงมากเลย"เด็กหญิงมองกวาดไปรอบห้องนั่งเล่นอันแสนคุ้นเคย
ร่างเล็กจูงเด็กชายตาบอดให้เดินตามมายังโซฟาก่อนจะทิ้งตัวลงบนเบาะหนานุ่ม
อัศมิตาคลำลงบนเบาะผ้าเพื่อกะระยะให้แน่ใจแล้วจึงนั่งลงด้วยความระมัดระวัง"เรารู้สึกคิดถึงสถานที่แห่งนี้เช่นเดียวกัน
ทว่าการลาจากพระราชวังทำให้เรารู้สึกอึดอัดพิกลนัก"
"ฉันก็พอจะเข้าใจอยู่นะ
พระราชวังนั่นใหญ่แถมสบายกว่าเรือลำนี้ไม่รู้กี่เท่า"เสียงเล็กเอ่ยทีเล่นทีจริง
"เรามิได้ยึดติดกับความสบายเช่นนั้น
การที่เจ้าช่วยเราให้พ้นจากฐานะอันถูกกดขี่เป็นสิ่งที่เราไม่คาดฝันว่าจะได้รับเสียด้วยซ้ำ"เด็กชายมีท่าทีเซื่องซึม
"เราคิดถึงองค์สุลต่าน พี่โดวนีย่า
พี่ชาลิเซ่ แล้วก็เฟมิ พวกเขาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ให้ความรู้สึกมั่นคง
และไม่คิดที่จะทำร้ายเรา"
มือเรียวลูบเส้นผมสีทองสุกปลั่งอย่างแผ่วเบา"มีการพบเจอก็ต้องมีการลาจากเป็นธรรมดา
อย่าเศร้าไปเลย เก็บความรู้สึกแล้วก็ความทรงจำดีๆพวกนั้นไว้กับตัวก็พอแล้ว"น้ำเสียงอ่อนโยนของเด็กหญิงที่คอยปลอบประโลมแฝงไว้ซึ่งความเศร้าหมองอย่างน่าประหลาด
ราวกับได้พบเหตุการณ์อันเป็นแผลลึกในจิตใจ
"แพทริเซีย...เจ้าเองเคยพบเจอเหตุการณ์ลาจากมาก่อนงั้นหรือ"
"แหงล่ะ--"เธอชะงักไปชั่วขณะ"อ๊ะ!
คิดจะมาหลอกถามกันแบบนี้มันไม่ดีนะคะองค์ชาย
บอกไปแล้วนี่ว่าฉันจะเล่าให้ฟังทั้งหมดถ้าท่านถึงเวลาที่ต้องเลือกทางเดินชีวิตตัวเองน่ะ"ความเศร้าเมื่อครู่ถูกกลบเกลื่อนด้วยน้ำเสียงเย้าหยอกร่าเริงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ขอโทษนะ...ฉันในตอนนี้คงยังไม่พร้อมที่จะเล่าให้เธอฟังหรอก
"เรามิได้มีเจตนาล่อลวงเพื่อเค้นความจริงจากเจ้าเสียหน่อย"เด็กชายร้อนรนด้วยเข้าใจว่าฝ่ายตรงข้ามตีเจตนาของตนผิดไป
"และเรากับเจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องหลอกลวงเพื่อปกปิดฐานะตนเองอีก
โปรดอย่าเรียกเราด้วยถ้อยคำห่างเหินเช่นนั้นเลย เราไม่อยากแสดงตัวเป็นเจ้าชายอีกแล้ว"อาการอึดอัดใจของอัศมิตาหลุดออกมาในช่วงท้ายประโยค
"เธอไม่จำเป็นต้องทำตัวเป็นเจ้าชายแล้วล่ะ
วางใจเถอะ"ริมฝีปากสีชมพูเผยรอยยิ้มบางๆขณะตบบ่าเล็กของอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู
"สัญญากับเราได้หรือไม่"อัศมิตาชูนิ้วก้อยขึ้นก่อนจะยื่นมือผอมบางออกมาตรงหน้า
"สัญญา"แพทริเซียเกี่ยวนิ้วก้อยของตนเข้ากับนิ้วก้อยของเด็กชาย
"แพทริเซีย"อัศมิตาเรียกชื่ออีกฝ่ายหลังจากเงียบไปครู่ใหญ่"เจ้ามีความเห็นอย่างไรที่องค์สุลต่านบอกว่าเราจะต้องกล้าหาญและเข้มแข็งมากกว่าตอนนี้ได้"
"หืม"เด็กหญิงใคร่ครวญอยู่ชั่วขณะ"เธอหมายถึงหลังจากที่เธอขอให้เฟมิได้ไปส่งพวกเราสินะ"
เขาพยักหน้า
"เจ้านี่มันพิลึกดีจริง
ทั้งที่ข้ามีทั้งทรัพย์สินเงินทองและบริวารมากมายที่มอบให้ได้
แต่เจ้ากลับต้องการเพียงเรื่องเท่านี้งั้นรึ"
"ตั้งแต่ขึ้นครองตำแหน่งมา...มีเพียงเจ้าที่กล้าพอจะต่อล้อต่อเถียงกับข้า
แต่นั่นก็เพียงเพราะต้องการช่วยหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง หึ
ข้าเชื่อว่าคนอย่างเจ้าจะต้องโตไปเป็นผู้ปกครองที่กล้าหาญและเข้มแข็งกว่านี้ได้แน่"
"ก็ตอนนั้นเธอยกประเด็นเรื่องโจรขึ้นมาต่อหน้าสุลต่านเลยนี่
ขนาดฉันเองยังไม่กล้าพอจะพูดเรื่องนี้เลย"เสียงเรียบนั้นแฝงความชื่นชมอยู่ในที
"ที่เราทำลงไปเพียงเพื่อช่วยเหลือเฟมิ"เด็กชายก้มหน้าลงอย่างหดหู่ซึมเซา"หากเราเข้มแข็งเช่นนั้นจริงคงจะเก่งกล้าสามารถและมั่นใจในการกระทำกว่านี้เป็นแน่"
"ความเข้มแข็งของแต่ละคนมันต่างกันไปนะ
เธอไม่จำเป็นต้องกำหอกออกรบหรือมีการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่อลังการก็ได้"ทุกถ้อยคำที่เสียงใสกล่าวออกมาเต็มเปี่ยมด้วยความหนักแน่นมั่นคง
"แค่เธอกล้าพอจะลุกขึ้นมาเรียกร้องเพื่อผู้อื่นด้วยความเชื่อมั่น...ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของความเข้มแข็งแล้ว"
เด็กชายตาบอดมีท่าทีอ่อนลง
หากแต่ยังคงดูสับสน"หากเป็นไปตามคำของเจ้า...หมายความว่าตัวเราเองก็เป็นผู้เข้มแข็งกระนั้นหรือ"
"อาจจะไม่ได้เข้มแข็งแรงกล้าจนชัดเจน
แต่เธอก็ได้เริ่มไปแล้วล่ะ"แพทริเซียยื่นมือเข้ากุมมือผอมบางของเขาไว้
ปล่อยให้ไออุ่นจากมือของตนส่งไปถึงอีกฝ่าย
"เรายังสามารถเข้มแข็งมากกว่านี้ได้หากพยายาม..."อัศมิตางึมงำราวกับท่องจำอยู่
"ถ้าเธอเริ่มโตขึ้น
ความเข้มแข็งของเธอก็คงเพิ่มขึ้นด้วย เพราะงั้นอย่าฝืนตัวเองเกินไปล่ะ"
"เราเข้าใจแล้ว"เด็กชายตัวเล็กยิ้มกว้างจนตาหยี
เราจะต้องเข้มแข็งกว่านี้ให้ได้....สักวันหนึ่ง
"แพทริเซีย
เราจำได้ว่ามีตุ๊กตาตัวใหญ่อยู่ ณ ห้องนั่งเล่นแห่งนี้"สีหน้าชองอัศมิตาเปี่ยมไปด้วยความเกรงอกเกรงใจเมื่อเอ่ยออกมา"ช่วยนำทางเราไปจะได้หรือไม่"เขาเลื่อนมือของตนไปยังทิศที่เด็กหญิงนั่งอยู่
"ทำไมจะไม่ได้ล่ะ"แพทริเซียจับมือผอมบางเป็นเชิงดึงให้ลุกขึ้นยืน"เธออยากเล่นตุ๊กตางั้นเหรอ"เสียงเล็กปิดท้ายอย่างสงสัย
เด็กชายพยักหน้าตอบรับด้วยใบหน้าใสซื่อ"ใช่แล้ว
เราอยากเล่นเนื่องจากรู้สึกชื่นชอบในผิวสัมผัสอันเป็นเส้นขนนุ่มมือของตุ๊กตานั้น"
"ตอบได้สมเป็นเธอดีนะ"เด็กหญิงหัวเราะคิก
เธอเดินนำมายังด้านขวามือของโซฟาก่อนจับมือของเด็กชายให้เลื่อนไปสัมผัสตุ๊กตาหมีตัวใหญ่
"ถึงแล้วล่ะ"
"ขอบคุณมากแพทริเซีย"เขาย่อตัวลงเล็กน้อยให้อยู่ในระดับเดียวกับตุ๊กตาหมีแล้วจึงโถมตัวเข้ากอดราวกับคิดถึงอย่างสุดหัวใจ
"สายัณสวัสดิ์เจ้าหมีน้อย
ไม่ได้พบกันเสียตั้งหลายวัน...เป็นอย่างไรบ้าง"มือบางลูบคลำขนปุยนุ่มบริเวณส่วนหัวของตุ๊กตา
"ตุ๊กตาพูดตอบเธอไม่ได้หรอกนะ"แพทริเซียส่ายหน้าเจือขบขันในความใสซื่อของอัศมิตา
"จะเป็นไปได้หรือไม่ถ้าเจ้าใช้เวทมนตร์ทำให้ตุ๊กตาพูดโต้ตอบกับเรา"เด็กชายยังไม่ลดละความพยายาม
แพทริเซียถอนหายใจเฮือก"เวทมนตร์ไม่ได้เป็นคำตอบสำหรับทุกอย่างหรอกนะ
มีอีกหลายเรื่องที่เวทมนตร์ทำไม่ได้"เธอพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบจนอัศมิตาคาดเดาอารมณ์ไม่ถูก"เท่าที่ฉันรู้มาจนถึงตอนนี้
การใช้เวทมนตร์ใส่ชีวิตลงไปเป็นเรื่องที่แทบไม่มีโอกาสทำได้"
เพราะไม่อย่างนั้นฉันก็คง...
เด็กหญิงกำมือแน่น
พยายามสลัดความคิดนั้นให้หลุดไป
ไม่สิ แพทริเซีย
เธอมีคนที่ต้องดูแล..เธอจะต้องเข้มแข็งกว่านี้
"ไม่อาจทำให้เจ้าหมีน้อยส่งเสียงพูดคุยออกมาได้งั้นหรือ"เด็กชายดูซึมลงไปถนัดตา
เขาก้มใบหน้าที่ใกล้จะร้องไห้เต็มทนลงไปแนบกับตุ๊กตาหมี
"เอาอย่างนี้ดีไหม
เพื่อเป็นการชดเชยที่ฉันทำเรื่องนั้นไม่ได้...ฉันจะให้เธอเป็นนายของเจ้าหมีน้อย
จะได้เล่นกับมันให้เต็มที่ไปเลยไงล่ะ"แพทริเซียพยายามหาหนทางแก้ไขเมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่าย
"จริงหรือ..?"อัศมิตาเงยหน้าขึ้นมาทางต้นเสียงอย่างมีความหวัง
"แล้วฉันจะโกหกทำไม...ก็ต้องจริงอยู่แล้วสิ"เสียงใสเจือไปด้วยความขบขัน
เด็กชายรีบใช้ข้อนิ้วปาดน้ำตาสองสามหยดที่ไหลลงมาก่อนหน้านี้ด้วยใบหน้าดีใจ
นัยน์ตาสีม่วงฉายแววเอ็นดูขณะมองเด็กชายที่โผเข้าซุกตุ๊กตาหมีจนแนบแน่นและคลำไปยังส่วนต่างๆอย่างสงสัยใคร่รู้
ก่อนที่เด็กหญิงจะเบนความสนใจมายังตู้หนังสือด้านข้าง
ได้กลับมาอ่านหนังสือต่อหลังจากเรื่องยุ่งๆพวกนั้น..ก็ถือว่าเป็นการผ่อนคลายอย่างนึงล่ะนะ
เธอกวาดสายตาไปตามสันหนังสือที่เรียงเป็นระเบียบเรียบร้อย
พิจารณาว่าจะหยิบเล่มไหนขึ้นมาอ่าน
กระทั่งสะดุดเข้ากับหนึ่งในสันหนังสืออันคุ้นตาที่สุด
มือเล็กดึงหนังสือเล่มนั้นออกมาอย่างทะนุถนอม
เด็กหญิงพลิกหน้ากระดาษไร้รอยยับอย่างแผ่วเบา จดจ่ออยู่กับเรื่องราวที่ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านตัวอักษร
นัยน์ตาสีม่วงไล่ไปตามบรรทัดอย่างรวดเร็ว
เสียงเดียวที่รับรู้คือการพลิกกระดาษไปยังอีกหน้าหนึ่ง
"แพทริเซีย
กำลังทำอะไรอยู่งั้นหรือ"เด็กชายเอ่ยขึ้นเมื่อรู้สึกว่าเพื่อนของตนเงียบไปนานผิดปกติ
"แพทริเซีย..."น้ำเสียงของเขาฟังดูกังวลยิ่งขึ้นเมื่อไร้ซึ่งการขานตอบ
"มีอะไรเหรอ"สายตาของผู้ที่เพิ่งหลุดจากห้วงภวังค์หันกลับไปทางอีกฝ่าย
"เจ้านิ่งเงียบไม่พูดอะไรเสียตั้งนาน...หรือว่ากำลังโกรธเราอยู่"ท่าทีซึมเซาแสดงออกมาเมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ที่ความเงียบจะหมายถึงการโกรธ
แพทริเซียหัวเราะคิก"โกรธ? ฉันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องโกรธเธอนะ
มั่นใจในตัวเองหน่อยสิ"เด็กหญิงขยี้เรือนผมนุ่มของอัศมิตาอย่างเอ็นดู"ฉันแค่อ่านหนังสืออยู่น่ะ
แล้วบางทีเวลาอ่านเพลินๆก็เป็นแบบนี้อยู่หลายครั้งเหมือนกัน"
"หนังสือ?"ร่างเล็กย่อตัวลงนั่งด้านข้างเด็กชายแล้วจึงยื่นหนังสือไปสัมผัสมือของเขาอย่างแผ่วเบา"นี่ไง...แต่ว่าช่วยจับเบาๆหน่อยนะ"เสียงขี้เล่นแฝงคำขอร้องแนบท้าย
อัศมิตาควานเปะปะเล็กน้อยก่อนรับหนังสือมา
นิ้วทั้งห้าไล้ปกสีน้ำตาลไปจนถึงสันหนา
ขณะใช้อีกมือแตะขอบกระดาษด้านข้างด้วยสงสัยใคร่รู้"หนังสือนั้น...มีลักษณะเช่นนี้เองหรือ"ความตื่นเต้นดีใจของเด็กชายผู้ไม่เคยสัมผัสหนังสือถูกถ่ายทอดผ่านใบหน้ายิ้มแย้มจนแก้มปริ
ด้วยไม่ทันระวัง
หนังสือเล่มหนาหลุดจากมือที่กำลังสำรวจและหล่นลงตามแรงโน้มถ่วง
ทว่าอัศมิตาคว้าหน้าปกและกระดาษบางส่วนไว้ทันก่อนที่ตัวเล่มจะตกกระทบหน้าตัก
เขาหันใบหน้าซีดเผือดไปทางแพทริเซีย"พ...แพทริเซีย
ร...เราขอโทษ"เสียงระริกเล็ดลอดมาจากลำคอของเด็กชาย
"ด-เดี๋ยวสิ เป็นอะไรน่ะ
ฉันไม่โกรธเพราะแค่เธอทำหนังสือตกหรอกนะ"เธอพยายามปลอบเด็กชายผู้เสียขวัญให้สงบลง
ความรู้สึกผิดที่มีต่ออีกฝ่ายกดทับจนอัศมิตารู้สึกถึงหัวใจที่เต้นระรัวในอก"แต่เราเป็นผู้ทำให้หนังสือเล่มนั้นแยกออกจากกัน...และไม่รู้กระทั่งวิธีซ่อมแซมเสียด้วยซ้ำ"
"ม...ไม่ใช่อย่างที่เธอคิด..ซะหน่อย"เสียงเล็กตะกุกตะกักจากการกลั้นหัวเราะ"ถ้าแรงของเธอยังไม่ถึงขั้นทำให้กระดาษหลุดออกมาก็ไม่เรียกว่ามีอะไรเสียหายหรอก"
อัศมิตาถอนหายใจโล่งอก"ไม่รู้สึกโกรธงั้นหรือ..."
"เลิกทำตัวเหมือนกลัวฉันทีเถอะน่า
ไม่ได้เตรียมจะระเบิดอารมณ์ใส่เธออยู่ตลอดซะหน่อย"เด็กหญิงยกมือขึ้นกุมขมับ
"เอาเถอะ
ยังไงฉันก็ไม่ได้โกรธเธอหรอก"
เจ้าของนัยน์ตาสีม่วงหาเรื่องเปลี่ยนประเด็นเมื่อเห็นท่าทีหดหู่ของเด็กชาย"ถามหน่อยสิ
เธอคิดว่าหนังสือน่ะ..เป็นยังไงบ้าง"
"เป็นหน้ากระดาษที่ถูกนำมาเรียงร้อยเข้าด้วยกันโดยมีสันยึดมิให้หลุดออก...ถูกหรือไม่"เด็กชายเอ่ยช้าๆหลังรวบรวมความคิดอยู่ครู่หนึ่ง"ท่านแม่เคยบอกกับเราว่าหากอ่านหนังสือได้
จะทำให้รู้ข้อมูลอีกหลายเรื่อง"ถ้อยคำในช่วงสุดท้ายเจือปนไปด้วยความขมขื่น
"คนเช่นแก...แค่เรียนเขียนอ่านยังทำไม่ได้ด้วยซ้ำ"
"มันไม่มีถูกหรือผิดหรอก
ฉันแค่ถามความคิดเห็นของเธอเฉยๆ"แพทริเซียใช้มือสางเส้นผมสีทองของอีกฝ่าย"
แต่ว่ามันก็จริงที่การอ่านหนังสือทำให้ได้รับความรู้"
"เช่นนั้นแล้ว...การอ่านหนังสือต้องทำเช่นไร"น้ำเสียงของอัศมิตาไม่ได้เปี่ยมไปด้วยความใสซื่อดังเช่นปกติ
หากแต่แสดงถึงความปรารถนา
...ปรารถนาอย่างสุดหัวใจ
เด็กหญิงนึกย้อนกลับไปเมื่อตอนยังอยู่ที่พระราชวังกลางทะเลทราย
ในตอนนั้นก่อนที่จะร้องไห้...เหมือนอัศมิตาจะพูดเกี่ยวกับท่านแม่ด้วย
มาคราวนี้อีก
ชักจะรู้สึกว่า'ท่านแม่'น่าจะมีอะไรมากกว่าที่คิดไว้แล้วสิ
"ฉันขอโทษนะ...แต่ว่าการที่จะอ่านหนังสือได้
อย่างน้อยเธอต้องรู้จักระบบตัวอักษรกับไวยากรณ์ของภาษาที่ใช้ในการเขียนหนังสือเล่มนั้นก่อน"นัยน์ตากลมโตสะท้อนแววรู้สึกผิด
ราวกับจำเป็นต้องทรยศต่อความคาดหวังของคนตรงหน้า"แล้วสิ่งที่จำเป็นอีกอย่าง...ก็คือการมองเห็น"
"งั้นหรือ..."
เราเข้าใจดี
การที่เกิดมาด้วยดวงตาพิการนับว่าเป็นเคราะห์กรรม
ตัวเราที่มีสภาพเช่นนี้ส่งผลให้ท่านพ่อจากไป
ไม่อาจเขียนหรืออ่าน
ไม่อาจใช้ชีวิตเทียบเท่าคนปกติ
แต่ว่า
"แพทริเซีย..."เด็กชายเอ่ยขณะหยาดน้ำตาที่คลอเริ่มไหลลงผ่านแก้มขาว"...เราอยากมองเห็น"
"เราอยากมองเห็น"ประโยคนั้นสะท้อนก้องซ้ำไปมาในหัวขณะทอดมองเด็กชายที่กำลังหลับสนิท
แม้เด็กหญิงจะอธิบายให้เขาสบายใจขึ้นแล้วว่าหากต้องการที่จะเรียนรู้เรื่องราวในหนังสือ
เธอก็สามารถอ่านข้อความให้ฟังได้
แต่ตัวเธอเองก็พอจะเข้าใจความรู้สึกของอัศมิตาที่คิดว่าตนแปลกแยกจากคนอื่น
และปรารถนาที่จะเป็นดังเช่นคนปกติ
ถ้าการที่เธอมองเห็นจะทำให้เธอมั่นใจและทำตามสิ่งที่เธอต้องการได้
ฉันจะพยายามหาทางช่วยเธอด้วยอีกแรงก็แล้วกัน
แพทริเซียหันกลับมายังหน้าหนังสือที่เปิดค้างไว้ก่อนจะไล่สายตาไปตามตัวหนังสือกลมมนอันคุ้นเคย"สมุนไพรห้ามเลือด...สมุนไพรสมานแผล"ร่างเล็กถอนหายใจเฮือกใหญ่"ไม่มีอะไรที่ดูพอจะช่วยรักษาอาการตาบอดตั้งแต่เกิดบ้างหรือไงนะ"
เด็กหญิงพึมพำกับตัวเองหลังจากค้นหาในหนังสือที่เกี่ยวกับสมุนไพรเพื่อการรักษาไปเล่มแล้วเล่มเล่าจนเป็นกองหนังสือขนาดย่อม
ไม่เคยคิดว่าจะได้กลับมาเปิดหนังสือเกี่ยวกับสมุนไพรได้เร็วขนาดนี้แฮะ
นัยน์ตาสีอเมทิสต์มองหน้าปกหนังสือทำมือที่อยู่ด้านบนของกอง
ตั้งแต่ชื่อหนังสือซึ่งถูกเขียนด้วยลายมืออันเป็นเอกลักษณ์ ภาพวาดรูปต้นสมุนไพร
อักษรตัววีที่มุมปกด้านล่าง
คิดถึง...
แพทริเซียสะดุ้งเฮือก
ดึงตัวเองออกจากห้วงความคิดที่เกือบจมลึกลงสู่อดีต
"พอแค่นี้ก่อนดีกว่า"เด็กหญิงที่ลุกขึ้นยืนปิดหนังสือลงอย่างนุ่มนวล
เธอรวบรวมสมาธิ ควบคุมให้หนังสือทั้งหมดให้ลอยกลับเข้าตำแหน่งเดิมบนชั้น
แพทริเซียเดินไปยังอีกฝั่งของเตียง ร่างเล็กค่อยๆหย่อนตัวลงอย่างนุ่มนวลด้วยเกรงเด็กชายตาบอดจะรู้สึกตัว นิ้วเรียวดีดเป็นเสียง
เป๊าะแผ่วเบาเพื่อดับแสงสว่างจากลูกบอลไฟ
ก่อนที่เธอจะปล่อยตัวเองให้เข้าสู่ห้วงนิทรา
เด็กหญิงเปิดเปลือกตาขึ้นช้าๆ
ภาพที่เห็นเบื้องหน้าคือทุ่งดอกไม้สีฟ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา
สายลมอ่อนพัดเส้นผมยาวตรงให้ปลิวไปตามแรง และก่อนที่เธอจะชื่นชมทัศนียภาพโดยรอบ
เด็กหญิงรู้สึกถึงความอบอุ่นอันคุ้นเคยจากฝ่ามือที่วางลงบนศีรษะ
“นี่...”
เจ้าของฝ่ามือเมื่อครู่ก้าวมายืนตรงหน้าเธอ
ทั้งชุดของชาวโรมาเนียท้องถิ่น และเรือนผมหยักศกยาวถึงเอว
แพทริเซียยังคงบอกได้ว่าหญิงสาวร่างสูงผู้นี้ไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเลยสักนิด
แต่ว่า...ทำไม
ทำไมประกายวิบวับหลังแว่นตาถึงเปลี่ยนเป็นความเศร้าโศก....เหมือนบีบให้หัวใจต้องทุกข์ทรมาน
ทำไมรอยยิ้มที่เคยดูสนุกสนานกลับอ่อนโยนลง...จนน่าอึดอัด
ทำไมถึงหันหลังให้แล้วเดินหนีไป
ทั้งที่คิดถึงมากกว่าใครแล้วแท้ๆ
ขาทั้งสองเร่งฝีเท้าอย่างสุดกำลัง มาดหมายพียงตามแผ่นหลังของหญิงสาวเบื้องหน้าให้ทัน
ทว่าแม้จะเร่งสักเพียงใด แต่ดูราวกับหญิงสาวจะห่างออกไปจนไม่สามารถเข้าใกล้ได้อีก
ทำไมถึงเข้าใกล้ไม่ได้เลยล่ะ.....
หรือว่ายังโกรธเรื่องนั้นอยู่สินะ...เข้าใจแล้ว
เพราะฉันเองก็ยังไม่เคยให้อภัยตัวเองได้เลย
จะไม่ขอให้อภัย จะไม่ขอให้หายโกรธ
ขอแค่ได้พูดคำนี้เท่านั้น
“ขอโทษ...”เสียงผะแผ่วหลุดลอดจากลำคอ
หยาดน้ำตาไหลรินราวกับระบายความอัดอั้นทั้งหมดที่อัดแน่นในอก
หญิงสาวหันกลับมาทางเด็กหญิง สีหน้าดูราวกับข่มความเจ็บปวดในอกอยู่ชั่วครู่ก่อนแย้มยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
“ตอนนี้คงต้องไปแล้ว ขอให้เธอเข้มแข็ง แพทริเซีย”น้ำเสียงอบอุ่นที่ถูกเปล่งออกมาอย่างมั่นคง
ทำให้รู้สึกสงบลงราวกับอยู่ท่ามกลางผืนป่าเขียวขจี“อย่าลืมว่าจะเผ่าพันธุ์ไหนก็มีทั้งคนดีและไม่ดีปะปนกัน...ไม่ควรตัดสินด้วยคนไม่กี่คนที่ได้เจอ”
“และประเมินสถานการณ์ทุกครั้งก่อนที่จะทำอะไรลงไป... ความประมาทเล็กน้อยอาจส่งผลร้ายแรงเกินคาดคิดได้
”
แพทริเซียลืมตาตื่นขึ้นจากความฝัน
ก่อนพบว่าแก้มของตนเปียกชื้นจากหยาดน้ำตา
แย่ล่ะ เผลอร้องไห้ออกมาจริงๆงั้นเหรอเนี่ย
เด็กหญิงมองออกไปที่กรอบประตู เวลานี้ไร้ซึ่งร่างสูงที่ยืนอย่างสบายอารมณ์ดังเช่นวันวาน
คนที่อยู่ในห้องกับเธอมีเพียงอัศมิตาที่ลุกขึ้นนั่งด้วยท่าทีงัวเงีย
“อรุณสวัสดิ์นะอัศมิตา เมื่อคืนหลับสบายไหม”แพทริเซียเอ่ยทัก
พยายามทำน้ำเสียงร่าเริงกลบเกลื่อนความรู้สึกที่ค้างอยู่จากความฝัน
“อรุณสวัสดิ์เช่นกันแพทริเซีย”เด็กชายหันไปทางต้นเสียงแล้วคลี่ยิ้มให้”เราหลับสนิทดี
แล้วตัวเจ้าล่ะเป็นเช่นไรบ้าง”
“ก็ดี...ล่ะนะ”
ถึงต้องรู้สึกผิดแค่ไหน ถึงจะเป็นแค่ความฝันที่ไม่มีทางเป็นจริงได้
การที่ได้กลับมาเจออีกครั้งก็ทำให้รู้สึกขอบคุณ ขอบคุณมากๆ
ถ้าอยากให้เข้มแข็ง...ก็จะพยายาม เพื่อปัจจุบันที่เหลืออยู่
จะไม่ทำผิดพลาดแบบนั้นอีก....จะเก็บมันไว้เป็นบทเรียน
เพื่อทดแทนสิ่งที่เสียไปในวันนั้น...เพื่อที่จะก้าวต่อไป
ความคิดเห็น