ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Saint Seiya The Lost Canvas] The White Sky Memories

    ลำดับตอนที่ #9 : ฝันร้าย

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 281
      17
      2 ม.ค. 60


            เสียงย่ำเดินนั้นมิได้หนักแน่นดังเช่นบุรุษ แต่ก็ไม่เป็นจังหวะราบเรียบสม่ำเสมอเคล้าเคลียกับเสียงสวบสาบของชายผ้าเช่นนางสนมกำนัล หากเป็นเสียงฝีเท้าที่ติดจะลงน้ำหนักส้นมากเกินไปเสียด้วยซ้ำ 

    เด็กชายตาบอดจดจำเสียงฝีเท้านั้นได้ว่าเป็นของผู้ใดจึงหยุดความคิดที่จะตอบแพทริเซียไว้เสีย เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงฝีเท้านั้นได้หยุดลง พร้อมกับเสียงเคาะประตูห้องที่ดังขึ้นมาแทน แม้จะไม่ดังมากนักแต่กลับถี่ระรัวราวเกิดเหตุด่วนเหตุร้ายขึ้นกะทันหัน 

    "คราวนี้ใครอีกล่ะเนี่ย"เสียงเล็กฟังดูไม่ค่อยไม่สบอารมณ์นัก แพทริเซียกระโดดลงจากเตียงด้วยความคล่องแคล่ว 

    ไม่เอาแม่สาวช่างตัดเสื้อลัทธิเทิดทูนองค์ชายนั่นอีกแล้วนะ 

    มือเล็กทั้งสองข้างผลักบานประตูให้เปิดออก พลันนัยน์ตาสีม่วงฉายแววประหลาดใจเมื่อเห็นเจ้าของเสียงเคาะประตูเมื่อครู่ยืนยิ้มระรื่นอยู่ 

    "เฟมิ!" 

    "อื้ม นี่เฟมิเอง ทำไมถึงต้องทำหน้าตกใจซะขนาดนั้น"เด็กหญิงผมสั้นหัวเราะคิกขณะเหลือบดูสีหน้าอีกฝ่าย 

    แพทริเซียกระแอมออกมาแก้ความขัดเขิน "เธอเล่นเคาะประตูอย่างกับมีไฟไหม้ เป็นใครก็ตกใจล่ะน่า" 

    "เฟมิตื่นเต้นนี่นา อุตส่าห์ไปถามห้องที่พวกเธออยู่จากพี่อาดิวาเชียวนะ พอรู้ก็รีบตรงมาที่นี่เลย"แขนผอมบางขยี้เรือนผมสีน้ำตาลอ่อนของตน 

    "เอาเถอะๆ เข้ามาก่อนสิ"เด็กสาวผิวขาวตอบตัดบท กวักมือเรียกเฟมิเข้ามาในห้องก่อนจะปิดประตูตามหลังอย่างรวดเร็วประดุจกลัวว่าจะมีใครเดินเข้ามาเพิ่ม 
    ทว่าเฟมิไม่ทันสังเกตกิริยานั้น นัยน์ตาคู่โตมองสำรวจไปรอบๆห้องด้วยความสนอกสนใจ 

    "กว้างจัง...."เสียงพึมพำเล็ดลอดออกมาจากลำคอ 

    กว้างเหรอ...แปลกแฮะ 

    "ฉันว่าเราสามคนมานั่งคุยกันที่เก้าอี้จะดีกว่าไหม เขาจะได้รู้เรื่องด้วย"แพทริเซียพยักเพยิดไปทางเด็กชายผมทองที่นั่งเล่นบนเตียง 

    "เอาสิ เฟมิเองก็อยากคุยกับอัศมิตาเหมือนกัน~~" โดยแทบไม่รอฟังคำตอบ ก้าวเดินของเด็กหญิงผมสีม่วงก็ได้มุ่งหน้าไปทางเตียงเสียแล้ว 

    ขณะทอดตามองเพื่อนที่กำลังใช้มือทั้งสองข้างคลำไปมาบนหมอนด้วยสีหน้ามีความสุข ความรู้สึกผิดได้แล่นวาบเข้ามาที่เด็กหญิงโดยเฉียบพลันจนเจ็บแปลบอยู่ลึกๆ 

    ฉันขอโทษนะอัศมิตา ไม่อยากจะรบกวนเวลาที่เธอมีความสุขเลยสักนิด...แต่ว่าบางทีถ้าเกิดได้ข้อมูลอะไรจากการคุยในครั้งนี้อาจทำให้เธอรู้สึกตัดสินใจง่ายขึ้น 

    ร่างเล็กส่ายหัวไล่ความคิดนั้นออกไปก่อนจะนั่งลงให้อยู่ในระดับเดียวกับอัศมิตา ฝ่ามือเอื้อมไปสัมผัสกับท่อนแขนของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบาเป็นเชิงให้สัญญาณแก่เขาว่าเธอต้องการจะพูดด้วย
    "เฟมิมาหาน่ะ ไปนั่งคุยด้วยกันที่เก้าอี้กลางห้องเถอะนะ" 

    "เราสามารถไปร่วมพูดคุยด้วยได้จริงๆน่ะหรือ!"เสียงของเด็กชายดังจนเกือบเป็นการตะโกน เขารู้อยู่แล้วว่าเสียงเดินที่ได้ยินเมื่อตอนนั้นเป็นของเฟมิ ทว่าเด็กชายไม่คาดคิดถึงว่าทั้งสองคนจะยินยอมให้เข้าไปร่วมในการสนทนา 

    "แน่นอนอยู่แล้วล่ะ เธอคิดว่าฉันจะใจร้ายขนาดกีดกันไม่ให้เธอได้พูดคุยกับคนอื่นเลยหรือไง หืม?"แพทริเซียขบขันกับท่าทีดีอกดีใจของเด็กชายตรงหน้าเสียจนอดไม่ได้ที่จะขยี้เรือนผมสีทองนั้นเบาๆ 

    "เปล่าเสียหน่อย เราคิดว่าเจ้าเป็นผู้ที่มีความใจกว้างและโอบอ้อมอารีมากๆต่างหาก" เฉดสีขาวผุดผ่องบนใบหน้านั้นเปลี่ยนเป็นแดงระเรื่อร้อนผะผ่าว เด็กหญิงหลบสายตาไปทางอื่นแม้รู้ว่าเด็กชายตรงหน้าจะมองไม่เห็น 

    "มาเถอะ"เด็กหญิงจับมือของอัศมิตาไว้แล้วค่อยๆเดินนำไปยังกลางห้องที่มีโต๊ะเก้าอี้ตั้งอยู่ 

    "ในที่สุดก็มากันสักที รู้ไหมว่าเฟมินั่งรอพวกเธอมานานแค่ไหน"เด็กหญิงพื้นเมืองกระเซ้าทันทีที่ทั้งสองนั่งลง 

    "ฉันขอโทษที่ใช้เวลามากไปหน่อย" 

    "แล้วคุยกันเรื่องอะไรอยู่เอ่ย หรือว่าจะกำลังจีบกันหวานชื่นล่ะเนี่ย"แววตาสีน้ำตาลเหลือบดำทอประกายวาวขึ้นอย่างมีเลศนัย 

    "จีบคือสิ่งใด?"เด็กชายหันไปทางต้นเสียงที่ฟังดูราวต้องการยั่วเย้าเล่น 

    "จีบน่ะ---" 

    "พอได้แล้วเฟมิ เธอเองก็อย่าพูดเรื่องแบบนี้บ่อยนักจะได้ไหม"แพทริเซียชักเริ่มเหนื่อยหน่ายกับการฟังบทสนทนานอกเรื่องนี้เต็มทน 

    สิ่งที่อยากจะรู้ที่สุดในตอนนี้ก็คือเรื่องนั้นต่างหาก....


            "นี่เฟมิ ตอนที่เธอพูดว่าห้องนี้มันกว้างน่ะหมายความว่ายังไง ห้องที่พวกเธอพักไม่ได้กว้างเท่านี้เหรอ"แพทริเซียยิงประเด็นใส่ทันทีที่เฟมิเงียบลง 
    เด็กหญิงผิวคล้ำพยักหน้ารับ"ดูเหมือนว่าห้องพักฝั่งตะวันตกที่เฟมิกับพี่ชาลิเซ่พักอยู่จะเล็กแล้วก็หรูน้อยกว่าฝั่งนี้น่ะ"เธอหัวเราะแหะๆก่อนเสริม"แต่ก็ไม่ได้มากมายหรอก ยังไงก็กว้างและสบายกว่าห้องในบ้านเฟมิอยู่แล้วล่ะ" 

    นั่นไง สุลต่านต้องการจะติดสินบนจริงๆด้วย ถ้าแค่ความใจดีอย่างที่อัศมิตาว่ามาก็ควรให้ชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ได้พักในห้องที่ระดับดีกว่านี้ แขกต่างชาติน่ะควรจะไม่สำคัญมากไปกว่าประชาชนไม่ใช่หรือไง หรือแค่เพราะฐานะองค์ชายที่สุลต่านคิดว่าเขาเป็น สิ่งที่ได้ยินจากเฟมินั้นยิ่งตอกย้ำให้เชื่อมั่นในความคิดของตนยิ่งขึ้นไปอีก 

    พลันเสียงในหัวนั้นก็ดังขึ้นมาอีกครา เสียงที่ทำให้เธอสับสนมาโดยตลอด 

    ใช่แล้ว 

    พวกมนุษย์ที่มีนิสัยแบบนี้ยิ่งไม่ควรจะเชื่อใจ 

    "เฟมิว่านะ ถ้าได้เป็นลูกขององค์สุลต่านคงจะสบายน่าดู"เธอกล่าวทีเล่นทีจริง 

    "เราทั้งสองเพิ่งได้รับข้อเสนอ---" 

    "ม-ไม่มีอะไรหรอก ดูเหมือนสุลต่านจะเอ็นดูอัศมิตาเป็นพิเศษน่ะ"แพทริเซียแก้ตัวเป็นพัลวัน 

    "อ๊ะ! จริงด้วยสิ อัศมิตาเป็นเจ้าชายนี่นา เฟมิขอโทษนะที่ทำกิริยามารยาทไม่เหมาะสมไปบ้าง"เด็กหญิงผิวคล้ำนึกถึงเรื่องที่แพทริเซียกล่าวขณะเข้าเฝ้าองค์สุลต่านขึ้นมาได้ แม้ในความรู้สึกคนตรงหน้าจะอ่อนโยนและใสซื่อเกินกว่าจะเป็นผู้มีศักดิ์สูงตามคำที่ว่า 

    "โปรดเรียกขานและแสดงท่าทีกับเราตามเดิมเถิดเฟมิ การให้ความเคารพมากเกินไปจะทำให้อึดอัดเสียเปล่าๆ"เด็กชายจำต้องแสดงตนตามบทบาทที่ถูกวางไว้ด้วยตระหนักถึงความจริง หากมีใครรู้เข้า ไม่เฉพาะเขา แพทริเซียก็คงจะได้รับความเดือดร้อนไปด้วย 

    ไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น

    เฟมิตอบรับในลำคอ"เหมือนกับว่าการมาของพวกเธอจะเอาโชคมาด้วย โจรพวกนั้นโดนจับ หมู่บ้านของเฟมิเองก็ได้มีแหล่งน้ำใกล้ๆเพราะเธอเลยน้า~~" 

    "ถึงขนาดเป็นตัวนำโชคเชียว"เด็กหญิงต่างถิ่นแสร้งทำน้ำเสียงประหลาดใจเกินจริงจนแม้แต่อัศมิตายังหัวเราะก่อนพูดต่อ

    "ว่าแต่โจรกลุ่มนี้ออกปล้นมานานแค่ไหนแล้วล่ะ" 

    "ครั้งแรกเมื่อสามปีก่อน แต่ช่วงนี้เริ่มกลับมาถี่ๆจนลูกค้าที่ควรจะเข้ามาพักหายไปหมดเลย"น้ำเสียงที่ร่าเริงอยู่เสมอกลับดูขุ่นข้องเมื่อพูดถึง 

    "เช่นนั้นแล้วชาวบ้านในละแวกนี้ไม่เดือดร้อนกันหมดหรือ"ในใจของเด็กชายเริ่มสับสน 

    สุลต่านที่ใจดีคนนั้น...เหตุใดถึงได้ปล่อยปัญหาคาเรื้อรังมานานถึงสามปี 

    "เดือดร้อนสิ! สามปีก่อนที่พ่อแม่เฟมิถูกฆ่าตายก็เป็นเพราะโจรกลุ่มนี้ หายไปได้สักพักจนทุกอย่างเริ่มดีขึ้นก็กลับมาปล้นต่อจนลูกค้าหายไปเกือบหมด"ความขุ่นข้องนั้นเพิ่มระดับกลายเป็นความโกรธ มือทั้งสองบีบแขนตนจนแน่นราวอยากระบายอารมณ์ทั้งหมดใส่ลงไป 

    "ใจเย็นๆก่อนเฟมิ พวกมันถูกจับไปแล้ว ตอนนี้สิ่งที่เธอสามารถทำได้เพื่อทดแทนอดีตพวกนั้นคือการฟื้นฟูที่นั่นขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เอาให้ลูกค้าเยอะจนก่อนหน้าที่จะมีโจรยังเทียบไม่ติด"แพทริเซียจับไหล่ผอมบางนั้นไว้ เงยขึ้นสบตาอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกบางอย่างที่สะท้อนอยู่ในแววตา 

    "ถ้าเฟมิใช้เวทมนต์แบบแพทริเซียได้ก็คงจะดี..."คำกล่าวนั้นทำเอาผู้ถูกพาดพิงสะดุ้งเฮือก

    "ตอนนี้ก็ได้แต่หวังว่าองค์สุลต่านจะช่วยเหลือหมู่บ้านของพวกเราอย่างที่คุณหัวหน้าทหารบอกไว้"เด็กหญิงผิวคล้ำถอนหายใจ 

    แม้ดวงตาทั้งสองจะมืดบอด แต่ประสาทหูที่ถูกพัฒนาขึ้นมาทดแทนทำให้เด็กชายสามารถเข้าใจเรื่องต่างๆได้เป็นอย่างดี น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวเคืองแค้นนั้นได้แสดงถึงสิ่งที่เฟมิต้องเผชิญมาก่อนหน้านี้ 

    สิ่งที่ทำให้ความร่าเริงสดใสดั่งดวงตะวันนั้นต้องแปรเปลี่ยนไปเป็นความทุกข์ทรมาน 

    ไม่ชอบเอาเสียเลย ไม่ต้องการให้ความรู้สึกเจ็บปวดที่เราเคยได้รับมาเกิดขึ้นกับผู้ใด 

    ยิ่งเป็นมิตรของเราอีกคนหนึ่งแล้ว.... จะต้องช่วยเหลือให้ได้


           ภาชนะใส่อาหารว่างเปล่าถูกนางกำนัลที่เคยยืนอยู่รอบโต๊ะเสวยจนถึงเมื่อสักครู่ยกออกไปทีละชิ้นสองชิ้นก่อนเดินแยกเป็นสองแถวอย่างชดช้อยราวเป็นฉากปิดการแสดงอะไรสักอย่าง 

    สุลต่านทรงนิ่งรอจนกระทั่งเรือนผมสีดำดุจถ่านไม้เผาของนางกำนัลท้ายแถวหายลับสายตาไป 

    "เอาล่ะ ได้เวลาที่พวกเจ้าจะต้องให้คำตอบแก่ข้าแล้ว"เสียงนั้นทรงอานุภาพและเปี่ยมไปด้วยบารมีสมเป็นผู้ปกครองแผ่นดิน 

    เพียงเท่านั้นก็มากพอที่จะทำให้ความหวาดหวั่นที่แพทริเซียมีเพิ่มเข้าไปอีกทวีคูณ เหงื่อผุดพราวทั้งที่อากาศในยามเย็นเช่นนี้มิได้ร้อนเสียเท่าใดนัก ผิดกับท่าทีนิ่งสงบของเด็กชายด้านข้างซึ่งทำให้รู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่ใช่น้อย 

    หากเป็นเวลาอื่นเขาก็ยังเป็นเพียงเด็กน้อยใสซื่อดุจผ้าขาวและขี้กลัวเสียยิ่งกว่าอะไรดี 

    "ขอบพระทัยสำหรับไมตรีที่ท่านได้หยิบยื่นให้ต่อเรา"ด้วยจิตตั้งมั่นที่ต้องการจะช่วยเหลือเพื่อนของตนทำให้อัศมิตาลืมความกังวลทั้งหมดไปเสียสิ้น
    "ทว่าเราทั้งสองคงจะรับไว้ไม่ได้ ขอประทานอภัยเป็นอย่างยิ่ง" 

    นั่นมิได้เป็นสิ่งที่อยู่เหนือการคาดการณ์ขององค์สุลต่าน แต่พระองค์ก็ยังอดรู้สึกเสียดายมิได้ หากเด็กน้อยผู้นี้ยอมตกลง ความฉลาดของเขาจะช่วยในการชี้แนะแนวทางปกครองบ้านเมืองในภายภาคหน้าเป็นแน่ 

    แม้จะพอรู้ว่าเรื่องที่เด็กหญิงเล่าอาจเป็นคำลวงซึ่งอาจเพื่อปกปิดความจริง ทว่าเรื่องที่อัศมิตาเป็นเจ้าชายนั้นมีบางสิ่งที่ทำให้รู้ได้ว่าไม่ใช่เรื่องหลอกลวง 

    "ข้ายอมรับในการตัดสินใจของพวกเจ้า" 

    "ขอขอบพระทัย/ขอบพระทัยเพคะ" 

    อัศมิตาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจเอ่ยถาม"เราได้ยินจากเพื่อนของเราว่าโจรกลุ่มนี้ออกอาละวาดตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน เหตุใดจึงได้ลอยนวลจนกระทั่งถูกจับกุมเมื่อไม่นานมานี้งั้นหรือ" 

    มือใหญ่สวมแหวนทองประดับอัญมณีวูบวาบลูบเคราของตนช้าๆ"ในตอนนั้นพวกโจรก่อเหตุไม่ร้ายแรงเท่าใดนัก และเงียบหายไปเป็นเวลานานราวต้องการที่จะเลิกปล้นไปแล้ว" 
    คิ้วเรียวของเด็กหญิงขมวดมุ่นไปตามอารมณ์โดยไม่ได้ตั้งใจ ก่อนจะตีสีหน้ากลับมาเป็นปกติ 

    อะไรเนี่ย ถึงขั้นมีคนตายแล้วยังจะเรียกไม่ร้ายแรงได้อีก

    "ถึงกระนั้นก็สมควรเร่งตามจับกุม หากกลุ่มโจรได้เข่นฆ่าใครไปอีกย่อมเป็นเรื่องไม่ดีแน่"สายตาของสุลต่านวัยกลางคนขัดเคืองเล็กน้อยที่โดนต่อปากต่อคำถึงเพียงนี้

    "อย่างไรก็ตาม พวกมันได้ถูกจับกุมจนหมดแล้ว..."พระองค์เว้นช่วง จากถ้อยคำเหล่านี้ บางทีอัศมิตาอาจต้องการเสนอบางอย่าง
    "ที่หยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมา ประสงค์สิ่งใดกันเล่าเจ้าหนู" 

    "ร..เรา...ต้องการให้พระองค์ช่วยเหลือความเดือดร้อนของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ โปรดสร้างที่อยู่อาศัยของพวกเขาขึ้นมาใหม่อีกครั้งเพื่อให้เป็น..เอ่อ โฮมสเตย์ที่ดีเช่นเดิมจะได้หรือไม่"เสียงนั้นใสบริสุทธิ์ แม้จะตะกุกตะกักไปบ้างก็แสดงถึงเจตนารมณ์อันดีได้ครบดังปรารถนา 

    "ฮ่าฮ่าฮ่า ที่แท้ก็เป็นเรื่องนี้ ย่อมได้ ตัวข้าจะสร้างที่อยู่อาศัยแก่พวกเขาขึ้นใหม่แน่นอน" เพื่อชดเชยความละเลยในอดีต 

    "ขอบพระทัย...ขอบพระทัยแทนชาวบ้านทุกคนที่อาศัยในที่แห่งนั้นด้วย"ริมฝีปากน้อยๆแย้มยิ้มแสดงอาการดีอกดีใจ 

    เราสามารถช่วยนางได้แล้ว 

    ทุกคนจะต้องปลอดภัย


           "เธอทำแบบนั้นได้ยังไง"แพทริเซียเอ่ยปากทันทีที่ทั้งสองอยู่ในห้องเพียงลำพัง นัยน์ตาสีม่วงสุกใสจ้องมองอีกฝ่ายดังไม่อยากเชื่อในเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านมาเท่าใดนัก 

    "แบบนั้นที่เจ้าพูดถึงคือเรื่องใด ถ้าเป็นการใช้ส้อม..เราได้ลองใช้ปลายโลหะถี่เป็นซี่นั้นเพื่อสำรวจว่าชิ้นเนื้ออยู่บริเวณไหน"ตอบไปตามประสาซื่อ เมื่อประกอบกับสีหน้าไม่รู้เรื่องรู้ราวทำให้เด็กหญิงนึกขำเสียจนคลายความเครียดที่มีอยู่ 

    "ไม่ใช่ หมายถึงเรื่องที่เธอสามารถโต้ตอบกับสุลต่านได้ถึงขนาดนั้นทั้งที่ไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน ตอนคุยกับพี่ชาลิเซ่ก็ยังทำท่าทางเหมือนกลัวเขาจับกินอยู่เลยนี่"เสียงใสปานกระดิ่งเอ่ยถามราวกับเป็นเรื่องเล่นๆแม้ปรารถนาจะรู้สาเหตุจนแทบทนไม่ไหว 

    "เรารู้สึกตั้งมั่นที่จะช่วยเฟมิและชาวบ้านเหล่านั้นจนลืมความกลัวในการเผชิญหน้าองค์สุลต่านเสียจนหมด"ถ้อยคำเรียบง่ายทว่าแฝงตัวตนออกมาอย่างชัดเจน 

    ความเมตตา ปรารถนาให้ผู้อื่นมีความสุข 

    เป็นเหตุผลเรียบง่ายที่จริงใจเสียยิ่งกว่าสิ่งใด 

    "สมเป็นเธอจริงๆนะเนี่ย"มือเล็กตบหลังอีกฝ่ายเป็นเชิงแกล้ง ซ่อนเร้นความอ่อนแอที่เผลอหลุดออกมาให้ซึมลึกกลับเข้าไปในอก 

    "ส่วนเรื่องพี่ชาลิเซ่นั้นเรามิได้คำนึงถึงเรื่องที่เจ้าว่าเสียหน่อย มนุษย์ย่อมไม่รับประทานเนื้อมนุษย์ด้วยกันเองมิใช่หรือ" 

    "ไม่แน่นะ อาจมีชาวเผ่าป่าเถื่อนที่ไหนสักเผ่าที่นิยมการกินเนื้อคนสดๆก็ได้ ถ้าโดนพวกนั้นจับไปคงจะแย่เลยล่ะ"เธอทำเสียงสูงๆต่ำๆฟังดูลึกลับ เด็กชายซึ่งความสามารถทางการได้ยินสูงกว่าปกติรู้สึกหวาดหวั่นเสียจนน้ำตาใกล้ร่วงเต็มทน 

    มองไม่เห็น ทว่ากลิ่นอายคาวเลือดที่คละคลุ้งย่อมจินตนาการได้ไม่ยากเสียเท่าไหร่ 

    "อย่างไรก็ตาม..น..เนื้อของเราคงจะไม่เอร็ดอร่อยนัก อีกทั้งร่างกายก็แทบจะไม่มีเนื้อ...ทานไป..ค..คงจะมิช่วยให้คลายหิวได้"อัศมิตาละล่ำละลัก ใบหน้าซีดลงจนแทบไม่เหลือสีสัน 

    "ฉันล้อเล่น ขอโทษที่ทำให้เธอกลัวนะ แต่ต่อให้มีเผ่าแบบนั้นอยู่จริง ยังไงก็ไม่มีวันพาเธอไปหาเผ่านั้นหรอก"แพทริเซียจับมือสั่นเทาคู่นั้นไว้ ปล่อยให้ความอบอุ่นจากตัวเธอส่งผ่านไปทางฝ่ามือ
    "ตอนนี้เธอปลอดภัย..จะไม่มีใครทำอันตรายแก่เธอแล้ว" 

    เขาพยักหน้าน้อยๆ รอยยิ้มที่ออกมาแม้งดงามทว่าเจือปนด้วยความหดหู่"ที่จริง สิ่งที่เรากลัวเมื่อพบกับพี่ชาลิเซ่เป็นครั้งแรกคือการถูกนางรังเกียจเดียดฉันท์ดังเช่นผู้คนในอินเดีย" 
    "เธอเป็นลูกค้า ใครจะไปรังเกียจลง แถมนิสัยของเธอน่ะทำให้พวกผู้ใหญ่ที่ไม่ยึดเรื่องวรรณะเอ็นดูอยู่แล้ว"แพทริเซียขยี้เรือนผมนุ่มสีทองด้วยความมันเขี้ยว
    "ถ้าเธอเอาความรู้สึกตั้งมั่นแบบที่เธออยากช่วยคนที่นี่มาใช้เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองบ้าง คนที่มารังแกเธออาจลดลงก็ได้" 

    "ระบบเรื่องวรรณะเป็นสิ่งที่อยู่คู่อินเดียมาโดยตลอด แพทริเซีย ตั้งแต่เกิดทุกคนจะถูกแบ่งด้วยสิ่งนั้น พวกที่รุมทำร้ายเรานั้นคงจะถูกเสี้ยมสอนมาให้ทำร้ายผู้ที่อยู่ในวรรณะต่ำต้อย กระทั่งท่านแม่เองยังย้ำเตือนถึงฐานะของตัวเราอยู่เสมอ...."เด็กชายสะอื้นฮัก หยาดน้ำใสรินไหลจากดวงตา สองมือกอดกุมตนเองดุจต้องการปกป้องร่างกายจากความทรงจำเลวร้าย 

    "เป็นเพราะตัวกาลกิณีเช่นแกทำชีวิตข้าตกอับ" 

    "หึ ดอกไม้เฉางั้นหรือ ช่างไร้ประโยชน์เหมือนดวงตาสองข้างของแกไม่มีผิด เอามาให้ข้าทำไมกัน" 

    "เศษซากอาหารเหล่านี้เหมาะกับพวกไม่สมประกอบเช่นแก อัศมิตา ทานเข้าไปเสีย" 

    "เฮ้ย มาดูนี่สิ ข้าว่าแถวนี้เหม็นกลิ่นสกปรกสาบสางจัณฑาลพิกลพิการเหลือทน" 

    ทั้งแรงจิกตี ตบ ดึง ต่อย กระชากที่เคยได้รับมาล้วนเป็นความเจ็บปวด 
    แม้เพียงนึกถึงยังรู้สึกดังถูกกระทืบให้จมลงไปจนแหลกเละ 

    ทว่ามีอ้อมแขนหนึ่งโอบกอดเขาไว้แนบแน่น ฉุดเขาขึ้นมาจากห้วงความคิดดำมืด มืออบอุ่นลูบหลังเพื่อปลอบประโลม 

    "แพทริเซีย" 

    "ขอโทษที่ทำให้เธอไม่สบายใจ ฉันไม่น่าถามเรื่องแบบนั้นเลย" 

    "มิใช่ความผิดของเจ้าเสียหน่อย เป็นเราเองที่คิดถึงเรื่องเลวร้ายขึ้นมา"เสียงที่ออกมาสั่นเครือปนสะอื้น 

    "ไม่เป็นไรนะ เรื่องมันผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไปเถอะ คิดถึงความสุขที่เธอมีในตอนนี้จะดีกว่า"แม้จะพูดออกไปเช่นนั้น ทว่าในอกเจ็บปวดรวดร้าวราวกับถูกมีดชำแหละออกเป็นหมื่นชิ้น 

    สิ่งที่เธอเห็นไม่ใช่เพียงแค่เด็กชายตาบอดตัวน้อยที่ร้องไห้ด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวทุกข์ทรมาน แต่เป็นภาพสะท้อนของตนเองเมื่อครั้งอดีต 

    อดีตที่ยากจะลืมเลือน


           แพทริเซียมองดูกองเพลิงขนาดมหึมาด้วยสายตาว่างเปล่า พลันเหลือบไปเห็นดอกไม้สีฟ้าอยู่ท่ามกลางเปลวเพลิงโหมกระหน่ำ มีอะไรบางอย่างทำให้เธอรู้ดีว่าหากปล่อยให้ดอกไม้นี้มอดไหม้ไป ทั้งชีวิต จิตวิญญาณ ความเชื่อมั่นที่มีอยู่จะสูญสลายหายไปจนหมดสิ้น 

    ต้องหาทางเอาดอกไม้นี่ออกมาให้ได้ แต่ด้วยวิธีไหนล่ะ 

    เด็กหญิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง 

    ไม่รู้สึกถึงพลังเวทย์ในตัวเลย แบบนี้ต่อให้ร่ายไปคงจะเสียเวลาเปล่า 

    แขนเรียวปาดเหงื่อผุดพราวบนใบหน้า นัยน์ตามองสะเก็ดไฟที่ปะทุเปรี๊ยะขึ้นมาราวเป็นเสียงเชื้อเชิญให้เข้าไปใกล้กว่านั้น 

    เธอลังเล 

    หากไม่ยอมเสี่ยงเข้าไป ไม่นานดอกไม้นั้นคงถูกเผาจนไม่เหลือซาก แพทริเซียกลืนน้ำลายฝืดๆลงคอก่อนกลั้นใจก้าวไปสู่เปลวไฟร้อนระอุตรงหน้า 

    ทว่าจู่ๆกลับมีมือหยาบหนาผลักเด็กหญิงจากด้านหลังให้ล้มคะมำลงในกองเพลิง ความร้อนจากเปลวไฟลุกท่วมร่างเล็กในบัดดล 

    "ในนั้นคือจุดจบที่สมควรกับตัวแก นังปีศาจ"เสียงของอะไรบางอย่างเยาะหยันสะท้อนก้องในหู 

    มือเล็กยันร่างโซซัดโซเซเตรียมจะลุกหนี แต่ราวกับเปลวไฟที่ลุกไหม้อยู่รอบตัวรู้ทัน มันเปลี่ยนรูปร่างเป็นตรวนพันธนาการขาทั้งสองข้างเอาไว้ 
    "แกไม่มีทางหนีพ้นหรอก จงทรมานกับเปลวเพลิงนี้ไปชั่วนิจนิรันดร์เถอะ" 

    เด็กหญิงกัดฟันกรอด 
    บาปของตัวเองทำไมจะไม่รู้...แต่ตอนนี้ฉันยังตายไม่ได้ 

    ทันใดนั้นแพทริเซียก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนมหาศาล 

           ร่างเล็กสะดุ้งเฮือกที่ถูกกระชากออกจากความฝันโดยไม่ทันตั้งตัว รู้สึกถึงหัวใจที่เต้นถี่ระรัวในอก เหงื่อไหลซึมชื้นผิดกับสภาพอากาศโดยรอบ 
    "เป็นอะไรหรือเปล่าแพทริเซีย ไม่ค่อยสบายตัวงั้นหรือ"เด็กชายถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน มือคลำเปะปะตรงบริเวณไหล่ของอีกฝ่าย 

    "ไม่หรอก แค่ฝันดีสุดๆไปเลย" 

    "เราไม่คิดว่าสิ่งที่เจ้าฝันเป็นฝันดี แพทริเซีย เจ้าพึมพำว่าร้อนตั้งหลายหน อีกทั้งดิ้นมาโดนตัวเราราวกับทุรนทุรายอยู่ จึงตัดสินใจปลุกเจ้าขึ้นมา" เด็กหญิงหน้าชาวาบ"ยอมรับก็ได้ว่ามันคือฝันร้าย" 

    "ฝันเกี่ยวกับอะไรหรือ" 

    "โดนไฟเผาน่ะ"เธอละรายละเอียดอื่นไว้ด้วยไม่ต้องการเล่าให้รู้สึกแย่ไปมากกว่าเดิม

    "แต่ในความเป็นจริงคงไม่ส่งผลกระทบอะไรไปมากกว่าการต้องไปอาบน้ำล้างเหงื่ออีกรอบ"แพทริเซียติดตลกส่งท้ายพลางยิ้มเยาะตนเอง 

    สมควรแล้วล่ะ บางทีฝันร้ายคงเพราะไปทำให้คนอื่นนึกถึงเรื่องเลวร้ายไว้มากเลยโดนซะเองบ้าง
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×