ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Saint Seiya The Lost Canvas] The White Sky Memories

    ลำดับตอนที่ #4 : ที่พัก

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 451
      24
      25 ธ.ค. 58

     
    เด็กหญิงผู้มีผิวคล้ำแดดอันเป็นเอกลักษณ์ของชาวทะเลทรายสาวเท้าตาม'เป้าหมาย'ไปติดๆ พลาง

    นึกบ่นตัวเอง เธอพลาดมาหลายครั้งแล้ว คราวนี้ล่ะจะพลาดไม่ได้ ถ้าหากทำพลาดก็หมายถึงปากท้อง

    ของตนและพี่สาว เป้าหมายคราวนี้คงจะเป็นชาวตะวันตกตามการคาดเดาของเธอจากลักษณะสีผิว

    และรูปร่างหน้าตาของสองคนนั้นที่ไม่เหมือนกับผู้คนแถบนี้ และเสื้อผ้าดีๆพวกนั้นก็คงแพงน่าดู

    เด็กหญิงถอนหายใจก่อนจะก้มลงมองชุดของเธอที่'เคย'เป็นสีขาวสะอาด แต่บัดนี้สีของชุดนั้นไม่เหลือ

    ความขาวเท่าใดนัก ถ้าพาลูกค้าท่าทางกระเป๋าหนักอย่างนี้ไปพักได้ก็คงจะดีมิใช่น้อย ถ้าโชคดีก็คง

    จะได้เงินค่าบริการก้อนใหญ่พอที่จะไปซื้อชุดสวยๆกับอาหารดีๆได้แน่ กำหมัดแน่นด้วยสีหน้ามุ่งมั่นที่จะ

    ต้องทำ'เป้าหมาย'ให้สำเร็จจนได้

     

     

       ทางด้านอัศมิตาเริ่มรู้สึกผิดสังเกตเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหนึ่งตามเขามาติดๆโดยไม่ลดละ ปกติ

    เสียงฝีเท้าที่เดินตามมาเฉยๆจะมีแวะดูของจนระยะห่างออกไปบ้าง แต่นี่ไม่ใช่ เหมือนกับเจ้าของ

    เสียงฝีเท้านี้มีเป้าหมายที่พวกเขาเสียมากกว่ามาเดินตลาดเพื่อซื้อของเป็นแน่ เขาจึงกระตุกแขนเสื้อ

    แพทริเซียเบาๆและเอ่ยเสียงกระซิบ"แพทริเซีย เราได้ยินเสียงฝีเท้าหนึ่งที่ตามมาติดๆโดยที่ไม่มี

    การลดละมาตั้งแต่เมื่อครู่แล้ว ขอเจ้าจงดูให้เราหน่อยว่ามีผู้ใดกำลังตามมาอย่างกระชั้นบ้าง"

    อัศมิตาได้แต่ภาวนาในใจว่าอย่าให้เป็นเรื่องร้ายๆอย่างที่มันอาจมีสิทธิ์เกิดขึ้นเลย แพทริเซียหมุนตัว

    กลับไปดูอย่างรวดเร็ว ทำให้เด็กหญิงผิวคล้ำที่มุ่งมั่นเร่งฝีเท้าตามทั้งสองคนมาเบรกไม่อยู่ และล้ม

    ก้นกระแทกอย่างจัง

    "โอ๊ย เจ็บๆๆ"ผู้ที่ล้มลงไปบ่นโอดโอย

    แพทริเซียมองดูอย่างพิจารณา เด็กหญิงผู้นั้นตัวเล็กและผอมบาง มีผิวคล้ำแดดซึ่งเหมือนกับ

    ชาวทะเลทรายทั่วไป ผมสั้นสีน้ำตาลอ่อน ดวงตาสีน้ำตาลเหลือบดำและมีเครื่องหน้าที่จัดได้ว่าดูดี

    เลยทีเดียว

    "เธอตามพวกเรามาทำไม"แพทริเซียเอ่ยถามและส่งสายตาคาดคั้นคำตอบจากอีกฝ่ายเนื่องจากคนๆนี้

    ดูท่าทางไม่ได้คิดที่จะทำร้ายหรือมีเจตนาไม่ดีเลย

    "เอ้อ..คือ..คือว่า"เด็กหญิงผู้นั้นอ้ำอึ้ง ด้วยสายตาของสาวน้อยผิวขาวคนนี้ทำให้เธอรู้สึกอึดอัดชอบกล

    แต่ก็ต้องพูดออกไปให้ได้

    "สนใจที่พักแบบโฮมสเตย์ไหมคะ?"

    "รายละเอียดที่ตั้งและราคาล่ะ"แพทริเซียถามด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ถ้าหากมันคุ้มค่าพอเธอก็อาจจะลองไป

    พักดูสักคืนสองคืน แต่คงต้องให้พาไปดูสถานที่ก่อนจะตกลงจ่ายเงินเพราะยังมีความเสี่ยงที่จะถูกต้มตุ๋น

    และต่อให้ที่นั่นไม่ถูกใจเธอก็ยังสามารถพักในเรือของเธอเองได้ เด็กหญิงผมสั้นชี้ไปทางหมู่บ้านเล็กๆ

    ไม่ไกลจากตลาดมากนักพร้อมบอกราคาเสร็จสรรพ ซึ่งที่ตั้งอยู่ในทำเลพอใช้ได้ อีกทั้งราคาก็น่า

    พึงพอใจสำหรับเด็กน้อยต่างแดน แต่ตอนนีเธอไม่ได้เดินทางคนเดียวแล้ว จึงต้องปรึกษาคน

    ข้างกายก่อน

    "นี่ อัศมิตา เธออยากจะลองไปพักที่โฮมสเตย์ด้วยกันดูไหม"แพทริเซียพูดพร้อมอธิบายให้ฟังว่า

    โฮมสเตย์หมายถึงบ้านที่เจ้าของบ้านให้บริการห้องพักและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ และมีข้อดี

    คือได้สัมผัสวัฒนธรรมของพื้นที่อย่างใกล้ชิด อัศมิตารีบตอบตกลงในทันที เขาเองอยากจะเรียนรู้

    วัฒนธรรมแถบนี้เช่นเดียวกัน

    "ถ้างั้น.."แพทริเซียหันไปมองเด็กหญิงตรงหน้า"พาไปดูที่พักก่อนแล้วฉันถึงจะจ่ายเงินแล้วกันนะ"

    "เข้าใจแล้วค่ะ"เด็กหญิงผิวคล้ำตอบ หากเธอเรื่องมากไปกว่านี้อาจชวดโอกาสทองแบบนี้ไปเลยก็ได้

    หากเป็นในยามปกติเธอคงไม่ต้องออกมาดั้นด้นหาลูกค้าเองหรอก แต่ทว่าเพราะ'เรื่องนั้น'ทำให้ลูกค้า

    น้อยลงอย่างน่าใจหายเลยทีเดียว เด็กหญิงพื้นเมืองนำทางลูกค้าทั้งสองไปเรื่อยๆ แพทริเซียเริ่มอึดอัด

    กับบรรยากาศเงียบๆจึงเริ่มเปิดการสนทนา

    "นี่ เธอชื่ออะไรล่ะ"ถามด้วยความสงสัย ตั้งแต่คุยกันมานี่เธอยังไม่รู้ชื่ออีกฝ่ายเลย ถึงเป็นเจ้าบ้าน

    โฮมสเตย์ที่พักแค่คืนสองคืน จะถามชื่อสักหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก

    "เฟมิ..ค่ะ ท่านลูกค้า"ต่อให้ไม่สังเกตก็เห็นได้ชัดว่าเธอคงไม่คุ้นชินกับการใช้คำสุภาพเท่าไหร่

    แพทริเซียรับรู้ถึงสิ่งนั้นได้จึงเอ่ยขึ้น

    "ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้ ยังไงพวกเราก็รุ่นราวคราวเดียวกันแหละเนอะ ฉันแพทริเซีย ส่วนนี่

    อัศมิตา"เธอผายมือไปทางเด็กชายตาบอดที่เดินอยู่ข้างๆ

    "อืม..."เฟมิครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง"พวกเธอไม่ได้มาจากประเทศเดียวกันใช่ไหม แพทริเซียนี่คงจะเป็นทาง

    ยุโรปอยู่แล้วล่ะ ส่วนอัศมิตานี่ถ้าจะให้เฟมิเดา....ก็คงเป็นอินเดียแหละมั้ง" แพทริเซียพยักหน้ารับ

    "ใช่ อัศมิตามาจากอินเดีย ส่วนฉันก็มาจากโรมาเนียน่ะ"

    "โรมาเนีย ใช่ยุโรปตะวันออกหรือเปล่า"เฟมิถาม เธอเคยได้ยินเรื่องตำนานทางฝั่งโรมาเนียมาบ้าง

    "อื้ม"แพทริเซียตอบรับสั้นๆ อัศมิตาได้แต่เก็บงำความสงสัยเรื่องบ้านเกิดของเพื่อนเอาไว้ด้วยไม่กล้า

    เอ่ยปากถาม ใช้เวลาเดินไม่นานนักก็มาถึงบ้านของเฟมิซึ่งเป็นบ้านหลังน้อยทำด้วยอิฐทั้งหลัง ภายใน

    บ้านดูค่อนข้างสบาย แพทริเซียจูงเด็กชายตามเฟมิไปจนถึงห้องนั่งเล่น พลันมีเสียงเอ่ยทักขึ้น

    "กลับมาแล้วเหรอเฟมิ น้องพาใครมาด้วยล่ะจ๊ะ?"เจ้าของเสียงเป็นเด็กสาววัยราวๆสิบแปดปี หน้าตา

    ของเธอละม้ายคล้ายคลึงกับผู้เป็นน้อง

    "ลูกค้าค่ะ!"เฟมิตอบด้วยท่าทีภาคภูมิใจก่อนจะหันไปทางทั้งสองคน"นี่ชาลิเซ่ เป็นพี่สาวของเฟมิเอง"

    "แพทริเซียค่ะ"สาวน้อยผมยาวแนะนำชื่อพร้อมจับมือตามมารยาท อัศมิตานั้นรู้สึกได้ว่ามีสายตาจับจ้อง

    เขาอยู่ ด้วยความไม่มั่นใจในตนเองเป็นทุนเดิมจึงเข้าไปหลบหลังแพทริเซีย

    "ร..ร..เราชื่ออัศมิตา"เสียงของเขาแผ่วเบาและสั่นๆ บวกกับท่าทางตื่นกลัวทำให้ชาลิเซ่ยิ้มให้ด้วย

    ความเอ็นดู แต่ก็ประหลาดใจที่เขาไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง ทำให้เด็กสาวฉุกคิดขึ้นได้

    "มองไม่เห็นงั้นเหรอจ๊ะ?"เธอถามเด็กชายตาบอด

    "เราตาบอดแต่กำเนิด แล้วท่านจะรังเกียจเราหรือไม่"เด็กชายซุกตัวกับแพทริเซียแน่นขึ้นไปอีก

    ด้วยความกลัว ประสบการณ์ถูกทำร้ายไม่อาจเลือนหายจากใจเขาไปได้ง่ายๆ

    "ไม่หรอกจ้ะ ทำไมพี่จะต้องรังเกียจคนที่ไม่ได้ทำอะไรผิดล่ะจ๊ะ" เด็กชายแย้มยิ้มออกมาด้วย

    ความดีใจ อย่างน้อยเขาก็ได้รับรู้ว่ายังมีคนที่ไม่ได้เกลียดเขาอยู่อีก

    "เย็นป่านนี้แล้ว เดี๋ยวพี่จะไปทำอาหารมาให้จ้ะ เฟมิ น้องเองก็พาทั้งสองคนไปรอที่ห้องอาหารเลยนะ"

     

     

       หายไปไม่นาน เด็กสาวก็ยกเนื้อไก่ย่างกับแกงมาซาล่าแพะควันฉุยมาวางบนโต๊ะอาหาร กลิ่นหอมของ

    แกงอบอวลไปทั่ว แพทริเซียอธิบายรูปร่างหน้าตาของอาหารแต่ละอย่างให้เพื่อนตาบอดฟัง พร้อม

    บอกตำแหน่งของจานชามและอาหารต่างๆ อัศมิตาไม่รอช้า ตักแกงมาซาล่าเข้าปากใน

    ทันที

    "รสชาติอร่อย หอมเครื่องเทศมากๆ เนื้อในแกงก็นุ่มมากเลยด้วย"อัศมิตาชมไม่หยุดปากและกินอย่าง

    เอร็ดอร่อยจนแพทริเซียเอ่ยแซว

    "ช้าๆก็ได้ เดี๋ยวก็ติดคอหรอก"

    "เราขอโทษ...ต่อไปเราจะทานช้าๆแล้ว"อัศมิตามีท่าทางเสียความมั่นใจลงชัดเจนเสียจนจะร้องไห้

    อยู่แล้ว แพทริเซียเห็นท่าไม่ดีจึงรีบขอโทษเด็กชายแล้วบอกว่าตนเพียงแค่ล้อเล่น อัศมิตามีสีหน้า

    ดีขึ้นเล็กน้อย แพทริเซียก็เริ่มชวนเจ้าบ้านคุยเพื่อให้ไม่ให้เสียบรรยากาศ

    "แล้วนี่อยู่กันแค่สองคนงั้นเหรอคะ?" ชาลิเซ่ยิ้มเศร้าๆก่อนเอ่ยตอบ"จ้ะ พ่อแม่ของพวกเราถูกฆ่าตายเมื่อ

    สามปีก่อน" แพทริเซียเกิดรู้สึกสงสัยบางอย่างแต่ก็ไม่ได้ถามออกไปเพราะเกรงจะเป็นการเสียมารยาท

    จึงได้แค่เพียงส่งยิ้มให้เชิงให้กำลังใจเท่านั้น เมื่อทุกคนทานเสร็จสมาชิกในบ้านก็พากันนำจานชามไป

    ล้างก่อนที่ชาลิเซ่จะบอกให้เฟมิพาแขกไปยังห้องพัก เด็กหญิงผิวคล้ำเดินนำลูกค้าทั้งสองออกจาก

    ห้องทานอาหารก่อนที่จะกล่าวถาม

    "พวกเธอจะพักห้องเดียวกันใช่ไหม" แพทริเซียพยักหน้ารับ พลันสีหน้าของเฟมิก็พลันดูเจ้าเล่ห์ขึ้นมา

    ทันตา"แล้วพวกเธอทำ'เรื่องแบบนั้น'กันด้วยหรือเปล่า"เฟมิจงใจเน้นเสียงคำว่า'เรื่องแบบนั้น'อย่าง

    ชัดเจน เด็กหญิงผมสีม่วงหน้าแดงและเริ่มลนลาน

    "เฟมิ น..นี่เธอไปรู้เรื่องพวกนั้นมาจากไหนกันเนี่ย ฉันไม่ได้ทำเรื่องแบบนั้นแน่นอน พวกเรายังเด็กกัน

    อยู่เลยนะ"

    "เรื่องแบบนั้นที่พวกเจ้าว่าคืออะไรงั้นหรือ"อัศมิตาขัดขึ้น เขายังอ่อนต่อโลกมากมายนัก และแน่นอน

    ว่าเขาไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องรักใคร่เลยแม้แต่นิดเดียว

    "ก็..."เฟมิทำท่าจะพูด แต่ถูกแพทริเซียอุดปากไว้เสียก่อน

    "ไม่มีอะไรทั้งนั้นแหละ ช่างมันเถอะ"เธอรีบตอบตัดบทก่อนที่เฟมิจะเล่าเรื่อง'แบบนั้น'ให้อัศมิตาฟังชนิด

    เห็นภาพเลยทีเดียว อัศมิตาพยักหน้างงๆแต่ก็ไม่กล้าถามต่อ ทั้งสามไม่ได้พูดอะไรกันอีกจนเฟมิส่ง

    แพทริเซียและอัศมิตาเข้าห้องพัก แล้วเธอก็กลับไปนอนห้องตัวเอง

     

     

       ดึกสงัด เฟมิลืมตาตื่นขึ้น เธอเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงดาวทอประกายระยิบระยับสวยงาม

    ตัดกับท้องฟ้ายามกลางคืนช่างสวยงามนัก แต่สิ่งที่กำลังตรงเข้ามายังหมู่บ้านของเธอทำให้เฟมิต้อง

    ตกตะลึง  เสื้อผ้ากับท่าทางคุ้นเคยแบบนั้นมัน.... ไม่รอช้า เด็กหญิงถือตะเกียงวิ่งไปปลุกพี่สาวที่

    นอนหลับอยู่อีกห้องในทันใด ชาลิเซ่ตื่นขึ้นมาด้วยท่าทางงัวเงีย

    "อะไรหรือจ๊ะ ทำไมน้องถึงต้องลนลานแบบนั้น"

    "พี่คะ 'พวกนั้น'มันมากันอีกแล้ว"เธอพูดไปหอบไป ชาลิเซ่ตาสว่างขึ้นมาในทันที

    "ไม่ดีแล้ว! น้องต้องรีบไปปลุกแพทริเซียกับอัศมิตาแล้วพาทั้งสองคนไปห้องลับเลยนะจ๊ะ"พูดจบเธอก็

    หายไปในห้องลับที่อยู่ระหว่างชั้นหนังสือก่อนที่จะเตือนว่าเมื่อเฟมิไปปลุกเสร็จให้รีบไปที่ห้องลับ

    โดยด่วน เฟมิวิ่งต่อไปยังห้องพักของทั้งสองก่อนจะรีบปลุกแล้วอธิบาย

    "ทั้งสองคน มีเวลาไม่มากแล้ว รีบตามเฟมิมาเร็ว" แพทริเซียรีบตามไปอย่างงงๆ มือนึงคว้าเป้ใส่สิ่งของ

    ที่อยู่ข้างกายไม่เคยห่าง อีกมือก็จูงเด็กชายตาบอดที่ยังงัวเงียอยู่มาด้วย เฟมิรีบให้แพทริเซียกับ

    อัศมิตาตามมายังห้องลับใต้พื้นห้องนั่งเล่น

    "ฟังนะ มีโจรทะเลทรายมาบุกปล้นหมู่บ้านนี้ พวกเธอหลบอยู่ตรงนั้นไปก่อนแล้วอย่าส่งเสียงดัง

    ออกมานะ"เป็นดังที่แพทริเซียคาดการณ์เรื่องที่อาจจะมีโจรมาบุก ทั้งเรื่องที่คนขายน้ำเคยพูดเตือน

    ทั้งสาเหตุที่พ่อแม่ของเฟมิถูกฆ่าตาย เฟมิปิดประตูห้องลับจากด้านบน เอาพรมทับประตูไว้ดังเดิม

    แล้วไปหาที่ซ่อน แพทริเซียร่ายเวทย์ที่ทำให้คนภายนอกมองไม่เห็นสภาพภายในห้องลับแล้วสร้าง

    ดวงไฟกลมที่ให้แสงสว่างแก่ห้องลับและทำให้เธอมองเหตุการณ์ภายนอกได้จากเพดานห้องลับที่มี

    รอยแตกพอมองลอดไปได้อย่างชัดเจน อัศมิตาเริ่มร้องไห้ด้วยความตื่นกลัว

    "โจรทะเลทราย..ฮึก..น่ากลัว..พวกเรา..ฮึก..จะถูกฆ่า..หรือไม่" แพทริเซียจับมืออัศมิตาแน่นขึ้นแล้วใช้

    นิ้วปาดน้ำตาให้

    "ไม่เป็นไรหรอกนะ เธอก็รู้นี่ว่าฉันทำอะไรได้"แม้จะเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นใจเพื่อทำให้อีกฝ่ายสบายใจ

    แต่แววตาของเธอกลับแสดงถึงความกังวลอยู่ไม่น้อย

    "นั่นสินะ ถ้าเป็นเจ้าคงต้องจัดการกลุ่มโจรได้แน่"อัศมิตายิ้มอย่างดีใจ ทันใดนั้นเอง ประตูบ้านก็ถูกเหวี่ยง

    เปิดดังปัง กลุ่มชายฉกรรจ์กลุ่มหนึ่งที่มีประมาณหกเจ็ดคนเดินเข้ามา จากหน้าตาและการแต่งกายแล้ว

    ดูยังไงก็คงไม่ใช่คนดีแน่ๆ ชายร่างสูงใหญ่ไว้หนวดเครารุงรังและมีแผลเป็นที่แก้มซ้ายร้องตะโกน

    สั่งคนที่เหลือซึ่งน่าจะเป็นลูกน้อง

    "มัวยืนรออะไรอยู่ ไปค้นของมีค่าในบ้านทั้งหมดมาสิวะ!"พูดจบก็นั่งลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่นอย่าง

    สบายอารมณ์ ยังไงซะมันก็คิดว่าทหารคงไม่ลาดตระเวนมาแถวนี้บ่อยมากนักอยู่แล้ว 

     

     

    45 นาทีผ่านไป

     

     

       แพทริเซียไม่สบอารมณ์นักเมื่อเห็นพวกโจรล้อมวงสังสรรค์กันในตัวบ้าน ในตอนแรกเธอคิดว่าพวก

    โจรคงแค่มากวาดของในบ้านไม่นานก็ไป แต่ทำไมถึงได้ปักหลักอยู่ที่นี่นานขนาดนี้ก็ไม่รู้ พวกมันจะ

    เอาที่นี่เป็นฐานที่มั่นใหม่เลยหรือไงกัน แต่เธอก็ยังไม่คิดที่จะทำอะไร 'พลัง'ของเธอน่ะเก็บไว้ใช้ใน

    ยามคับขันกว่านี้เสียจะดีกว่า ทันใดนั้นแพทริเซียรู้สึกถึงแรงกระตุกชายเสื้อจากคนที่จับมือเธอไว้

    "มีอะไรเหรอ"เธอหันไปกระซิบที่ข้างหูเขา

    "แพทริเซีย เราปวดปัสสาวะ"เสียงแผ่วเบาเล็ดลอดออกมาจากเด็กชายตัวน้อย ปวดฉี่ ในเวลาหน้าสิ่ว

    หน้าขวานแบบนี้เนี่ยนะ...
     แพทริเซียแทบจะกุมขมับกับคำขอของเด็กชาย เธอเริ่มมองรอบๆห้องลับ

    เพื่อสำรวจ มีโต๊ะอยู่ห้าหกตัวกับเสบียงอาหารและน้ำที่พอให้อยู่ไปได้ซักสองสามวัน จานชามกระเบื้อง

    ที่ทำให้เธอต้องระมัดระวังไม่ให้ไปชนแตก ที่นอนหมอนผ้าห่มครบ และของมีค่าบางส่วนที่คงจะเอามา

    ไว้หลบโจร ขาดก็แต่ห้องน้ำที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดในขณะนี้ และไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะขึ้นไปเข้า

    ห้องน้ำทางด้านบนเนื่องจากห้องลับนี้มีประตูเข้าออกเพียงทางเดียว ถ้าหากออกไปต้องถูกพวกนั้น

    จับได้เป็นแน่ เมื่อเป็นเช่นนี้เธอก็ไม่มีทางเลือก เธอจำต้องจูงมือพาอัศมิตาไปฉี่ที่มุมห้องลับพลาง

    นึกขอขมาเฟมิในใจ ถ้าออกไปได้เธอจะรีบมาทำความสะอาดให้อย่างแน่นอน เมื่ออัศมิตาทำธุระเสร็จ

    เธอก็จูงเขากลับมา แต่ในขณะที่เดิน มือของเขาข้างที่เป็นอิสระไปปัดเอาแจกันกระเบื้องร่วงลงพื้น

    แพทริเซียเห็นจึงรีบพุ่งเข้าไปคว้าก่อนที่แจกันจะตกแตก แต่ในขณะที่เธอถอนหายใจโล่งอกอยู่

    ด้วยความที่ไม่ทันระวังจึงชนเอาจานหล่นลงแตก ทำให้กลุ่มโจรที่นั่งดื่มเหล้าเฮฮาอยู่ด้านบนรู้สึก

    สงสัย

    "พวกแกได้ยินเสียงของหล่นแตกหรือเปล่าวะ"ชายร่างเล็กผู้มีปานดำใต้ตาขวาถามขึ้น

    "ไม่เห็นจะได้ยินเลยว่ะ แกคิดมากไปเองล่ะมั้ง"หัวหน้าโจรตอบด้วยใบหน้าที่แดงก่ำด้วยฤทธิ์เหล้า

    ด้วยความเมามายจึงทำให้ได้ยินอะไรไม่ดีนักจึงนับเป็นโชคดีของเด็กน้อยทั้งสอง แพทริเซียพร่ำ

    ขอโทษอัศมิตาที่เกือบทำให้ถูกจับได้กันเสียแล้ว

    "มิเป็นไรหรอก เจ้าเองก็เคยบอกเราว่าเรื่องผิดพลาดเป็นเพียงแค่เรื่องธรรมชาติของมนุษย์เท่านั้น"

    "แต่เมื่อตอนนั้นไม่ใช่สถานการณ์เสี่ยงตายแบบนี้"แพทริเซียเถียงด้วยน้ำเสียงกังวล เธอผ่านเรื่องราว

    มามากพอสมควรแล้ว ไอ้ครั้นจะมาพลาดตายเอาตรงนี้น่ะไม่ยอมเด็ดขาด

    "เราเข้าใจว่าเจ้าผ่านอะไรมามากมายนัก แต่ที่เจ้าทำสิ่งของหล่นแตกเมื่อครู่นั้นมิใช่ความผิดเจ้าหรอก

    ถ้าเจ้าไม่ได้เป็นผู้คว้าวัตถุที่มือของเราไปปัดนั้น เราเองก็จะเป็นผู้ทำของตกแตกเสียเองยังไงล่ะ"

    เป็นคำปลอบโยนที่ดูใสซื่อแต่ได้ผลดีเกินคาด แพทริเซียเริ่มสงบสติอารมณ์ลงได้

    "ฉันเองก็ต้องขอโทษที่เผลอทำอะไรสติแตกลงไปนะ"

     

     

       ทันใดนั้น เกิดลมแรงและก่อตัวเป็นพายุทรายที่พัดอย่างบ้าคลั่งรุนแรงจนทำให้กลุ่มทหารหลวง

    ที่ลาดตระเวนอยู่ต้องพากันควบม้าหาที่หลบพายุทรายมาเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง

    แม้ว่าหมู่บ้านแห่งนี้เป็นเพียงหมู่บ้านธรรมดาๆแต่ทว่าพวกเขาไม่มีทางเลือกมากนักในเวลาแบบนี้

    ต่อให้เป็นเพียงบ้านหลังเล็กๆก็ดีกว่าเจอพายุทรายตัวเปล่า จึงรีบแบ่งกลุ่มกันราวๆเจ็ดหรือแปดคน

    เข้าไปเคาะประตูแต่ละบ้านเพื่อขอหลบภัยจากพายุทราย โดยหัวหน้านำการลาดตระเวนได้ตรงมายัง

    บ้านของเฟมิและเคาะประตูรัวๆอย่างเร่งร้อน ทำให้กลุ่มโจรที่นั่งสังสรรค์อยู่มีอันหยุดชะงักลง

    "ใครมาเคาะประตูวะ กาซิม แกออกไปดูหน่อยเซ่"หัวหน้าโจรชี้นิ้วสั่งชายผู้มีปานใต้ตาขวา

    "ขอรับ ท่านฮัดซัน"กาซิมเดินออกไปอย่างหัวเสียที่โดนขัดจังหวะการนับพรัพย์สินในบ้าน แต่ไม่ได้พูด

    ออกไปเพราะเขารู้ว่าจะต้องโดนอะไรถ้าหากปากเสียไม่เข้าเรื่อง เขาค่อยๆแง้มประตูไม้เพื่อดูว่าใคร

    ที่มาเคาะประตูเอาตอนนี้ แต่ก็ต้องผงะเมื่อพบทหารหลวง จึงรีบส่งสัญญาณมือบอกพรรคพวกแทน

    ที่จะใช้เสียงเพื่อไม่ให้ทหารรู้ตัว ฮัดซันเมื่อเห็นสัญญาณมือนั้นก็แทบจะหายเมาเป็นปลิดทิ้ง และทำ

    ท่าทางบุ้ยใบ้ให้กลุ่มโจรทุกคนทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของบ้านซะเอง กาซิมจึงรีบเปิดประตูก่อนที่ทหาร

    เหล่านั้นจะสงสัยขึ้นมา

    "พวกท่านมีธุระอะไรกับบ้านหลังนี้งั้นหรือขอรับ"

    "ขอพวกเราเข้าไปพักก่อนได้หรือเปล่า พายุทรายกำลังจะมา"กาซิมชะโงกหัวออกไปดูก็พบพายุทราย

    ดังที่พวกทหารว่า เขาสบถในใจอย่างหัวเสีย แผนการที่เขาวางไว้เสียดิบดีพังครืนไม่เป็นท่า และจำ

    ต้องปั้นหน้ายิ้มเชื้อเชิญให้พวกนั้นเข้ามาในบ้าน

    "พวกเจ้าทำอะไรกันดึกดื่น ไม่หลับไม่นอนกันหรือไง"หัวหน้าทหารเริ่มรู้สึกผิดสังเกตที่ขณะนี้ดึก

    มากแล้วคนในบ้านยังมานั่งล้อมวงเฮฮากินเหล้ากันอีก

    "เอ่อ..แค่ดื่มฉลองกันนิดหน่อยหลังงานแต่งน้องชายขอรับ" หัวหน้าทหารยังสงสัยว่าทำไมคนพวกนี้

    ถึงหน้าคุ้นๆแต่เพราะสถานการณ์ที่ไม่เอื้ออำนวยจึงไม่ได้สังเกตอะไรมากนักเพราะพายุทรายพัดมา

    ถึงบ้านหลังนี้แล้ว ทุกคนรีบช่วยกันปิดประตูหน้าต่างเพื่อกันลมเข้าบ้าน แต่ลมก็ยังผ่านเข้ามาได้ทาง

    รอยแตกแถวๆผนังบ้านอยู่ดี ทั้งทหารและโจรจึงช่วยกันหาไม้ ผ้า และพรมมาอุดรอยแตกกัน

    จ้าละหวั่น กระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะเริ่มปลิวว่อนไปมา ลมหอบฝุ่นทรายเข้ามาในบ้านปริมาณมหาศาล

    จนแทบจะเข้าตาของผู้เฝ้าดูเหตุการณ์ข้างใต้ ในที่สุดด้วยความร่วมมือของทั้งสองฝ่าย รอยแตกทั้งหมด

    ก็ถูกอุด เป็นจังหวะเดียวกับที่พายุทรายได้เคลื่อนตัวห่างออกไปจากบ้านหลังนี้

     

     

       หัวหน้าทหารถอนหายใจอย่างโล่งอกที่เหตุการณ์ผ่านไปได้เสียที เขาหยิบขวดน้ำในย่ามขึ้นมากระดก

    ด้วยความกระหายน้ำยิ่ง แต่ทว่าขณะที่เขากำลังจะเก็บขวดน้ำนั้นเอง กระดาษสองใบได้ปลิวออกมา

    จากย่าม เมื่อพลิกขึ้นมาดูก็พบว่าเป็นใบประกาศจับของโจรกลุ่มหนึ่งที่หัวหน้ามีแผลเป็นที่แก้มซ้าย

    และรองหัวหน้ามีปานดำใต้ตาขวา หัวหน้าทหารเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มคนในบ้านซึ่งมีท่าทางแปลกๆ

    ตั้งแต่เขาขอเข้าไปแล้ว พบว่าตรงกับคำบรรยายในประกาศจับทุกประการ อีกอย่างชาวบ้านธรรมดา

    ในเวลาป่านนี้ก็น่าจะหลับไปหมดแล้ว เมื่อคิดได้ดังนี้เขาจึงประกาศด้วยเสียงอันดัง

    "ในนามขององค์สุลต่าน พวกเราขอจับแกด้วยข้อหาบุกปล้นสดมภ์ชาวบ้าน ทำให้แผ่นดินต้อง

    เดือดร้อน"

    ฮัดซันหัวเราะด้วยเสียงอันดังก่อนจะคำรามตอบด้วยเสียงเย้ยหยันคล้ายจะล้อเลียน"เออ รู้แล้วสินะ

    ทำเป็นพูดว่าพวกข้่าทำให้แผ่นดินเดือดร้อน องค์สุลต่านสุดที่รักของแกเคยสนใจปัญหาอดอยาก

    ของชาวบ้านหรือเปล่าล่ะ พวกข้าเลยไม่มีจะกินจนต้องหาปล้นอย่างนี้ไงเล่า ไอ้พวกหมารับใช้สุลต่าน

    จะไปเข้าใจอะไร้"

    "หุบปากไปเลย ไอ้พวกโจร!"หัวหน้าทหารชักดาบออกมาด้วยสุดจะทนที่ถูกเหยียดหยาม แล้วพุ่ง

    เข้าไปฟันอีกฝ่าย แต่หัวหน้าโจรร่างใหญ่ใช้ดาบรับไว้ได้ก่อนจะใช้มืออีกข้างที่ว่างอยู่ต่อย

    หัวหน้าทหารเสียจุก ทหารและโจรที่เหลือตรงเข้าต่อสู้กันอย่างไม่คิดชีวิต เหตุการณ์ชุลมุนวุ่นวาย

    ไปหมด

     

     

      อัศมิตาที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยถามสาวน้อยผู้เฝ้ามองเหตุการณ์มาตลอด"แพทริเซีย เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ

    เมื่อครู่เราได้ยินเสียงลมพัดรุนแรงมาก และในตอนนี้ก็มีเสียงเหมือนคนต่อสู้กัน เสียงเหล็ก

    กระทบกันนั่นก็ด้วย"

    "เสียงลมคือพายุทราย แล้วเสียงสู้กันก็ดูเหมือนจะมีกองโจรอีกกลุ่มมาแล้วดันแตกคอกันเองก็เลย

    สู้กันไงล่ะ"แพทริเซียตอบเช่นนั้นเพราะเธอไม่รู้ว่านั่นคือทหารลาดตระเวนเนื่องจากเธอไม่เข้าใจภาษา

    ท้องถิ่นแถวนี้ และเหมือนว่าตอนแรกๆทั้งสองฝ่ายจะคุยดีๆกันด้วย

    "โจรทะเลาะกัน? เหตุใดพวกนั้นไม่สามัคคีกันล่ะ"อัศมิตาเลิกคิ้วสูงด้วยความงุนงง "ปกติแล้วมนุษย์เรา

    ควรมีความสามัคคีไม่ใช่หรือไงกัน" คำถามของเขาทำให้แพทริเซียหลุดหัวเราะพรืดออกมา

    เธอกลั้นหัวเราะพลางตอบคำภามอย่างยากเย็น"ฟ..ฟังนะ มนุษย์ควรมีความสามัคคีก็จริงอยู่..แต่ว่า

    ถ้าสามัคคีกันทำสิ่งไม่ดีผู้คนที่เดือดร้อนก็จะเพิ่มมากขึ้น และต่อให้กลุ่มโจรสามัคคีกันจริงก็ไม่มีวัน

    สามัคคีได้ตลอดไปหรอกนะ"

    อัศมิตาพยักหน้าหงึกๆ"เราเข้าใจแล้ว ต้องสามัคคีทำในสิ่งดีๆเท่านั้น กลุ่มโจรไม่มีวันสามัคคีกันได้

    และสิ่งไม่ดีต้องทำอย่างโดดเดี่ยวห้ามสามัคคีกับใคร ถูกหรือไม่" สีหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ

    กับคำตอบของเขาทำให้แพทริเซียหลุดขำออกมาอีกรอบ

    "ไม่ใช่นะ ไม่ควรทำสิ่งไม่ดี แล้วก็ความสามัคคีของกลุ่มโจรอยู่ได้ไม่นานต่างหาก"

    "เข้าใจแล้ว..."อัศมิตาตอบเสียงแผ่ว แต่ทว่าจู่ๆก็มีดาบเล่มหนึ่งปักทะลุมายังห้องใต้ดิน เฉียดใบหน้า

    ของแพทริเซียไปเพียงนิดเดียว และสถานการณ์การต่อสู้ข้างบนดูเหมือนจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

    ข้าวของในบ้านแตกหักเสียหายเป็นจำนวนมาก "สถานการณ์ข้างบนเริ่มไม่ดีแล้วสิ ขืนถ้าเป็นแบบนี้

    อีกไม่นานห้องลับได้พังลงมาแน่"แพทริเซียเปรยขึ้นด้วยความกังวล

    "แล้วจะทำยังไงกันดีล่ะ"

    แพทริเซียหันกลับไปมองอัศมิตาแล้วจับมือเขาไว้แน่น"ถ้าถึงตอนนั้นเราก็คงต้องออกจากห้องลับนี่

    วิ่งให้เร็วที่สุด เธอเชื่อใจฉันหรือเปล่า" อัศมิตายิ้มกว้าง"เชื่อสิ..เราเชื่อเจ้าแน่นอน" 

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×