ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Saint Seiya The Lost Canvas] The White Sky Memories

    ลำดับตอนที่ #16 : ส่งต่อ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 183
      5
      3 ม.ค. 61

    ใบหน้าน้อยพลันเผือดซีดขณะเสียงเล็ดลอดแผ่วเบาหลุดลอดจากลำคอของเด็กชายตาบอด มือสองข้างขยี้เรือนผมสีทองอย่างไม่อยากเชื่อ”ไม่จริง เสียง...กะพรวน”

    “กะพรวนหรือ...ข้าไม่ได้ยินเสียงนั้นเลยนี่”แคลร์เหลียวซ้ายแลขวาไปโดยรอบ หวังจะเห็นต้นกำเนิดเสียงของสิ่งที่อัศมิตากล่าว

    “มิใช่เสียงกะพรวนจากภายนอก”เด็กชายซุกใบหน้าเคร่งเครียดลงระเหว่างฝ่ามือน้อยๆทั้งสองข้าง”แพทริเซียเคยกล่าวไว้ว่าหากเสียงกะพรวนดังขึ้นในหัวของผู้ที่ถือแผ่นไม้เมื่อใด...ก็ถือว่าแผ่นไม้นั้นได้หมดหน้าที่ตัวกลางถ่ายทอดโทรจิตไปแล้ว”

    คิ้วเรียวขมวดมุ่นเมื่อเริ่มเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น“แปลว่าจะไม่สามารถระบุตำแหน่งของข้ากับเจ้าให้แพทริเซียรู้ได้....”

    ใบหน้างดงามพยักลงช้าๆ”ขณะนี้มีเพียงแพทริเซียเท่านั้นที่สามารถส่งโทรจิตมายังเราได้โดยมิต้องใช้แผ่นไม้”สิ่งที่ฉาบชโลมอยู่ในการแสดงออกคือเด็กชายผู้ถูกความกังวลของตนเข้าครอบงำอีกครั้ง

     

    เหตุการณ์ทุกอย่างเปลี่ยนไป

    คงต้องอาศัยจังหวะและโอกาสเพิ่มมากขึ้นเป็นเท่าตัว

     

    แคลร์เอ่ยปลอบร่างเล็กอย่างแผ่วเบา”อย่าเพิ่งกังวลไปเลย ถึงแม้จะไม่สามารถติดต่อไปยังแพทริเซียได้ แต่อย่างน้อยพวกเราก็รู้ว่านางอยู่ที่ไหน”

    เมื่อไร้ซึ่งความรู้สึกอื่นเบี่ยงเบนความสนใจ อัศมิตาก็พลันตระหนักได้ว่าอาการปวดหัวของตนรุนแรงขึ้นเป็นเท่าทวี เด็กชายพยายามรักษาสีหน้าของตนให้เป็นปกติขณะเอ่ยตอบ”ขอบคุณท่านมากที่ช่วยเตือนสติเราไว้ และขอให้ท่านโปรดเร่งดำเนินการตามแผนจะได้หรือไม่”

    “ข้าเห็นด้วยกับเจ้า”มือนุ่มจับมือข้างซ้ายของอัศมิตาไว้เป็นแม่นมั่นก่อนจะดึงให้อีกฝ่ายลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูง

    แคลร์จูงอัศมิตาเดินออกจากกองใบไม้มาไม่ไกลนักขณะที่สายตาสอดส่ายมองหาตำหนิของพื้นหญ้าซึ่งสีอ่อนกว่าบริเวณรอบข้างเล็กน้อย สายลมโบกพัดให้เรือนผมที่นุ่มดุจแพรไหมปลิวไสวเมื่อเด็กหญิงก้าวขึ้นไปยืนบนพื้นหญ้าสีอ่อนและลงแรงย่ำเท้าสามครั้ง

    “อ-อันใดกัน”อัศมิตารู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนใต้พื้นที่ตนยืนอยู่ ก่อนร่างเล็กจะถูกดึงให้ถอยหลบฉากออกมา

    ด้วยได้รับแรงย่ำเท้าอันเป็นเงื่อนไขสำคัญ เสียงกึงกังจึงเป็นจุดเริ่มต้นการทำงานของกลไก แผ่นผืนหญ้าเมื่อครู่ถูกเลื่อนออกจากกันอย่างเชื่องช้าทีละนิด เผยให้เห็นขั้นบันไดไร้การตกแต่งทอดยาวลงไปจนมิอาจเห็นพื้นได้ถนัดจากด้านบน

    “เอาล่ะ ไปกันเถอะ”เท้าที่ถูกหุ้มด้วยรองเท้าอย่างดีกำลังจะเหยียบลงบนบั้นไดขั้นแรกเมื่อนัยน์ตาสีม่วงจับสังเกตได้ถึงอาการลนลานของเด็กชายตาบอด แคลร์หยุดชะงักกะทันหันจนหน้าเกือบคะมำ

    โสตสัมผัสของอัศมิตารับรู้ได้ถึงเสียงฝีเท้าหนักแน่นของบุรุษเพศ มือข้างที่ว่างกระชับกระเป๋าบนหัวไหล่ก่อนสะกิดเตือนผู้นำทาง”ท่านแคลร์ มีคนกำลังมา”

     

    ทำไมกัน

    โดยปกติแล้วพวกเขาจะไม่ผ่านมาด้านหลังปราสาทในเวลานี้

    ถ้าหากเรื่องเส้นทางลับรั่วไหลออกไปท่านพ่อคงจัดเวรยามเฝ้าเส้นทางไม่ให้ข้าหนีไปได้อีก

     

    “เร็วเข้า ลงมาก่อน”แม้สีเลือดบนแก้มผุดผาดจะซีดจางด้วยความหวั่นวิตก ทว่าแคลร์ยังคงมีสติเพียงพอที่จะแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า ขาเรียวยาวของเด็กหญิงร่างสูงก้าวนำลงมาสองสามขั้นขณะเลื่อนแขนมาข้างหน้าเป็นเชิงนำทาง”เจ้ารับรู้ได้จากเสียงใช่หรือไม่ เขาใกล้เข้ามาหรือยัง”

    เด็กชายตั้งสมาธิไปยังเสียงย่ำเท้าอันดังแว่วมาจากที่ไกลๆแข่งกับเสียงลมฤดูใบไม้ร่วงหวีดหวิว”เสียงย่ำเท้านั้นใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ทางลับนี้มีกลไกพิเศษใดสามารถซ่อนเร้นจากสายตาผู้คนหรือไม่”

    “กลไกของมันคือประตูที่ถูกพรางให้เข้ากับธรรมชาติ...แต่หากประตูปิดไม่ทันคงจะไม่สามารถช่วยอะไรได้”นัยน์ตาสีม่วงจ้องเขม็งไปยังกลไกโบราณที่ทำงานอย่างเชื่องช้าราวคนชราที่เรี่ยวแรงหดหาย เสียงกึงกังแผ่วค่อยที่ดังขึ้นอย่างเป็นจังหวะในเวลาเร่งรีบก้องสะท้อนอยู่ในศีรษะยิ่งกว่าครั้งใด ขณะประตูของเส้นทางลับค่อยๆเลื่อนปิดลงทีละนิด

    “อีกไม่นานบุรุษผู้นั้นคงจะมาถึงประตูนี้ในไม่ช้า”อัศมิตารู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นของเหงื่อกาฬที่ไหลลงมาทางฝ่ามือขณะที่จับสัมผัสได้ถึงเสียงฝีเท้าที่ก้าวเข้ามาเป็นจังหวะไม่เร่งรีบนัก

     

    ขอร้องล่ะ...

    ขอให้ทันเวลาทีเถอะ

     

    แคลร์รู้สึกได้ถึงจังหวะของหัวใจอันถี่ระรัวจนแทบหลุดออกจากอก ในใจพร่ำภาวนาถึงพระผู้เป็นเจ้าและทูตสวรรค์ทุกพระองค์เท่าที่ตนจะนึกออกให้ช่วยดลบันดาลความรอดให้แก่ผู้ร่วมแผนการทั้งหมด นัยน์ตาสีม่วงเหลียวหันกลับไปมองและพบว่าเงาของร่างหนึ่งกำลังเดินเลี้ยวมายังมุมปราสาทแห่งนี้

    เป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูเส้นทางลับด้านนอกปิดสนิทลงพอดี

     

    เด็กหนุ่มผมหยักศกสีน้ำตาลขมวดคิ้วเมื่อสิ่งที่พบตรงหน้ามีเพียงพื้นที่โล่งกว้างขนาดใหญ่ ใบหน้าตกกระขยับไปมาขณะสอดส่ายหาสิ่งที่อาจเป็นต้นตอของเสียงประหลาดเมื่อครู่ มือหนายกขึ้นปิดปากหาววอดด้วยความเหนื่อยล้า

    “นั่นมันเสียงอะไรกันนะ”

     

    ร่างเล็กในชุดกระโปรงสีฟ้าทรุดตัวลงนั่งกับพื้นหยาบของบันไดอย่างแทบไม่สนใจสมบัติผู้ดีที่พ่อของตนกำชับมาโดยตลอด ความรู้สึกหนักอึ้งในอกราวถูกยกออกไปแล้วเสียเปลาะหนึ่ง แพขนตาหนากะพริบลงสองสามครั้งเพื่อปรับสภาพสายตาให้คุ้นชินกับพื้นที่อันมีเพียงคบเพลิงเป็นแสงสว่างตามเส้นทางเป็นระยะ

    “เส้นทางนี้จะนำเข้าสู่ตัวปราสาทได้อย่างไรหรือ”เสียงเล็กเอ่ยถามอย่างใสซื่อขณะเงี่ยหูฟังการสะท้อนเสียงเพื่อสำรวจเส้นทางโดยคร่าว กลิ่นของความเก่าและฝุ่นละอองดังเช่นสถานที่ซึ่งไม่ได้ดูแลอย่างประณีตโชยเข้าสู่จมูก

    “ทอดยาวไปยังใต้ดินของปราสาทและเชื่อมกับด้านหลังรูปใหญ่”แคลร์อธิบาย เครื่องหน้าแสดงถึงกำลังใจที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยหลังจากผ่านอุปสรรคแรกมาได้

    เรือนผมสีทองพิสุทธิ์ขยับตามจังหวะการพยักหน้าแบบเด็ก ขณะคิ้วที่ขมวดมุ่นเป็นปมแสดงถึงข้อสงสัยที่บังเกิดขึ้นในใจ”ท่านแคลร์ เราพอจะทราบมาบ้างว่าการที่มนุษย์มองเห็นได้ย่อมต้องรับรู้ถึงแสง โดยในธรรมชาติจักมีดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ให้แสงสว่าง แต่ในเส้นทางใต้ดินเช่นนี้ท่านมองเห็นได้ด้วยวิธีใดหรือ”

    เสียงหัวเราะคิกถูกปล่อยออกมาอย่างแผ่วเบา ก่อนเด็กหญิงจูงมือร่างเล็กไปยังคบเพลิงใกล้ๆ มือนุ่มนำมือบอบบางให้แตะลงบนผิวหยาบของปลายไม้”คบเพลิงนี้เป็นสิ่งที่ช่วยนำทางข้าในความมืด โปรดระวังแตะโดนด้านบนที่จุดไฟเอาไว้ด้วย...”

    กลิ่นไอร้อนและเสียงแตกปะทุเปรี๊ยะของไฟดึงอัศมิตาให้ตกลงสู่ห้วงภวังค์ความคิด”เปลวไฟ...ให้ความร้อน ให้ความอบอุ่น กระนั้นกลับมีพลังอำนาจอันสามารถแผดเผาสรรพสิ่ง”

     

    แพทริเซีย

    ชีวิตของเจ้าเปรียบดังเปลวไฟอันลุกโชนนี้หรือไม่

    ทั้งร่าเริงแจ่มใส เป็นตัวของเจ้าเอง

    และเป็นความอบอุ่นแรกที่เราได้พบ

     

    กระนั้นด้วยพลังอำนาจที่มีกลับทรงพลังจนมิกล้าแสดงให้มนุษย์ทั่วไปได้รู้

    เจ้ากลัวสิ่งใดอยู่กัน

    หากวันหนึ่งเราได้รับรู้เรื่องราวจากตัวเจ้าเอง...เราจะสามารถช่วยเหลือประการใดแก่เจ้าได้หรือไม่

     

    “—มิตา อัศมิตา”

    ร่างผอมบางรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนบริเวณหัวไหล่คล้ายต้องการดึงเขาให้กลับมายังปัจจุบันขณะ”มีสิ่งใดหรือ ท่านแคลร์”

    “ไปกันต่อดีไหม เจ้าเองก็อยากเจอแพทริเซียโดยเร็วที่สุดมิใช่หรือ”แคลร์เอ่ยด้วยน้ำเสียงละมุนละไมคล้ายพี่สาวที่กำลังพูดกับน้องชายตัวเล็ก แม้ไม่เห็นก็ยังสามารถรับรู้ถึงรอยยิ้มที่ประดับบนใบหน้านั้นได้

    “เราเห็นด้วยกับท่าน”เด็กชายตาบอดพลันระลึกถึงจุดประสงค์ของตนได้เมื่อฟังคำอีกฝ่าย ทว่าในใจยังคงเก็บเรื่องของเปลวอัคคีในห้วงภวังค์มาขบคิดต่อเล็กน้อย

     

     

    เสียงใสราวกระดิ่งลมดังก้องขึ้นในหัวของหญิงสาว“คุณมารีคะ จากการติดต่อกับทั้งสองคนเป็นครั้งสุดท้าย...ตอนนี้คิดว่าพวกเขาน่าจะลอบเข้าปราสาทมาได้สำเร็จแล้ว ฝากคุณมารีจัดการเรื่องคนรับใช้ตรงชั้นหนึ่งที่เป็นทางผ่านด้วย”จังหวะของการรายงานสถานการณ์สุขุมและมั่นคงจนมารีแทบไม่อยากเชื่อว่าออกมาจากเด็กหญิงวัยไม่ถึงสิบขวบ

    มารีเม้มริมฝีปากของตนเล็กน้อยก่อนจะเปลี่ยนกลับเป็นสีหน้าที่ถูกฉาบทาด้วยรอยยิ้มดังเดิมขณะร่างเล็กเดินลงบันไดมาถึงทางเดินชั้นแรกของปราสาท

     

    คงต้องรีบเสียหน่อยแล้ว

    อีกไม่นานท่านแคลร์คงจะมาถึงที่นี่ได้

     

    “ทุกๆคน ฟังข้าหน่อยได้ไหม”เสียงหวานประกาศก้องอย่างชัดถ้อยชัดคำ นัยน์ตาสีน้ำตาลทองคล้ายพญาอินทรีกวาดมองไปโดยรอบคล้ายเป็นเชิงขอร้องแกมออกคำสั่งให้คนรับใช้ทั้งหมดพักงานในมือของตนลงชั่วครู่

    “มีอะไรหรือคะคุณมารี”เด็กสาวรับใช้หน้าตาจิ้มลิ้มที่อยู่ใกล้ละแวกนั้นที่สุดสามสี่คนเอ่ยถามด้วยความฉงน ของประดับที่อยู่ในมือถูกวางคืนไว้ที่ตู้จัดแสดง

    รอยยิ้มหมดจดคลี่ออกจนคล้ายภาพวาดดอกไม้งามขณะที่หญิงสาวใช้ประสบการณ์ที่สั่งสมมานานแบ่งงานที่ส่งผลให้ต้องไปจากพื้นที่ทางเดินชั้นแรกให้กับคนใช้ทุกคนในบริเวณ

    “เรียบร้อยไปขั้นหนึ่ง”ความพึงพอใจในผลที่เกิดปรากฏชัดในเสียงหวาน สายตาคมทอดทองทางเดินกว้างใหญ่ที่เงียบเชียบลงในชั่วอึดใจ ขณะที่ความทรงจำบางอย่างผุดขึ้นในสมองอย่างเชื่องช้าราวตาน้ำไหลเอื่อย

     

    หญิงสาวในชุดสีดำคาดผ้ากันเปื้อนสะอาดเอี่ยมมองไปยังเบื้องหน้าอย่างไม่อยากทำใจยอมรับสิ่งที่คู่สนทนาเอ่ยขึ้น ประกายในดวงตาสั่นระริกขณะเสียงที่เอ่ยออกมาสั่นเครือยิ่งกว่า”ขอคุยอะไรด้วยเป็นครั้งสุดท้าย...หรือคะ โปรดอย่าพูดแบบนั้นเลย ข้าเชื่อว่าอาการของท่านจะต้องดี--”เสียงหวานหยุดเอ่ยเมื่อเห็นถึงความสงบนิ่งของอีกฝ่าย

    แม้จะอยู่ในสภาวะที่เรียกได้ว่าป่วยหนัก ทว่าความงดงามดุจภูตพรายของมาร์เซลีนกลับมิได้น้อยลงแม้เพียงนิด รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นดุจเป็นการยอมรับถึงมัจจุราชที่ย่างเท้าใกล้เข้ามา”ไม่หรอกมารี ข้าต่อสู้กับโรคร้ายมาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว วันนี้คงเป็นวันสุดท้ายที่ข้าจะมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้”

    ความจริงที่ถูกเอ่ยย้ำขึ้นตรงหน้าราวเป็นหมุดตอกตรึงความเจ็บปวดให้อัดแน่นเป็นเท่าทวีขึ้นในอก รอยยิ้มถูกลบไปจากใบหน้า เหลือเพียงแต่หญิงสาวผู้โศกเศร้ากับนัยน์ตาที่ค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

    “อย่าทำหน้าแบบนั้นเลย ความตายเป็นเรื่องธรรมชาติ”ร่างสูงยันตัวขึ้นจากเตียงด้วยท่าทีอ่อนล้า ขณะมืออบอุ่นวางลงบนศีรษะของอีกฝ่าย”ถึงข้าไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว...ขอให้เจ้ายังคงยืนหยัดความต้องการพัฒนาถิ่นฐานเกิดต่อไปจะได้หรือไม่”

    “ค่ะ”มารีรับคำด้วยลมที่ออกมาเพียงแผ่วเบา ลำคอแห้งผากจนมิอาจเอ่ยสิ่งใดไปมากกว่านี้

    “และอีกสิ่งหนึ่งที่ข้าอยากจะขอ...ฝากดูแลแคลร์ด้วยได้หรือไม่ นางเสียแม่ไปแล้ว และอีกไม่นานข้าคงจะตายตามไป”เสียงสง่างามเปี่ยมด้วยความห่วงหาอาวรณ์เมื่อเอ่ยถึงหลานรักผู้ถูกบังคับให้นั่งรถม้าไปยังงานเลี้ยง”แม้นางจะยังคงแสดงท่าทีไม่ไว้ใจตัวเจ้า แต่ข้ารู้ว่าสักวันหนึ่งนางจะเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดเอง”

    “ข้าสัญญา...”เสียงหวานสั่นด้วยแรงสะอื้นไห้”ต่อให้ท่านแคลร์จะคิดอย่างไร แต่ข้าจะปกป้องนางอย่างถึงทีสุดเท่าที่ชีวิตนี้จะทำได้”

    “ขอบคุณมากนะ”เสียงสง่าแผ่วค่อยลงราวกับดังมาจากสถานที่ไกลแสนไกล”เท่านี้ข้าก็ไม่มีสิ่งใดที่จะต้องเป็นห่วงอีกแล้ว...”

    “ท่านมาร์เซลีนคะ”มารีสังหรณ์ใจกับคำพูดนั้นเล็กน้อย”อย่างน้อยได้โปรดรอจนกระทั่งท่านแคลร์กลับมาจากงานเลี้ยงได้หรือไม่”

    “ข้าจะพยายาม”เสียงอ่อนโยนเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้มที่งดงามประดุจเทพธิดาบนสรวงสวรรค์”ขอโทษที่ข้าเอาเวลาทำงานของเจ้ามาใช้ในเรื่องเช่นนี้ หากเจ้ามีงานใดที่ค้างคาอยู่โปรดไปทำต่อเถอะ”

    “ไม่รู้ว่าสายเกินไปหรือไม่ แต่ข้าอยากจะขอบคุณสำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมา”เจ้าของเรือนผมสีดำสนิทก้มหน้าลงจนคล้ายเด็กๆ”ตลอดเวลามานี้ท่านเปรียบเหมือนแม่คนที่สองของข้ามาโดยตลอด”มารีเงยหน้าขึ้นพร้อมรอยยิ้มทั้งน้ำตา พาให้มาร์เซลีนหวนนึกถึงภาพของเด็กหญิงวัยแปดขวบเมื่อครั้งวันวาน

    “จริงสิ...ข้าขอให้เจ้ารักษารอยยิ้มบนใบหน้าของตนไว้เสมอ จะได้หรือไม่”

    “แน่นอนค่ะ”หญิงสาวผงกหัวสั้นๆสองสามครั้งเพื่อยืนยันความหนักแน่นเป็นเชิงปฏิญาณ”ข้าขอตัวก่อนนะคะ ท่านจะได้พักผ่อนต่อตามสบาย”ร่างเล็กทำความเคารพดังเช่นเวลาปกติก่อนก้าวออกจากประตูไป

    นัยน์ตาสีน้ำตาลทองมองลอดผ่านช่องว่างของบานประตูที่แง้มอยู่เป็นครั้งสุดท้าย มาร์เซลีนกลับขึ้นไปบนเตียงของตน ขณะแพขนตาสีม่วงเข้าปกคลุมดวงตา มองดูคล้ายภาพของราชินีสูงศักดิ์ในนิยายปรัมปรา

     

     

    หลังผ่านเส้นทางใต้ดินที่เชื่อมจากทางลับเข้ามาในตัวปราสาทได้แล้ว สิ่งที่อยู่เบื้องหน้าคือบันไดทอดยาวนำพาเด็กน้อยทั้งสองขึ้นสู่เส้นทางเบื้องบนอีกครั้ง เสียงหอบด้วยพิษไข้ปะปนความเหน็ดเหนื่อยดังขึ้นจากเด็กชายตาบอดขณะขึ้นบันไดไปได้ครึ่งทาง

    “อัศมิตา เจ้ายังคงไปต่อไหวแน่หรือ”ความเป็นห่วงถูกถ่ายทอดผ่านน้ำเสียงใสที่คล้ายคลึงกับแพทริเซียเป็นอันมาก นัยน์ตาสีม่วงสังเกตสีหน้าของเด็กชายที่เผือดซีดลงใต้แสงสว่างเรืองจากคบเพลิงโดยรอบ

    “ป-โปรดอย่ากังวลกับตัวเราเลย เราเคยผ่านอาการปวดศีรษะเช่นนี้มาก่อน”ความหนักแน่นปรากฏในเสียงที่เริ่มแปลกแปร่งจากอาการเจ็บป่วย พลันเด็กชายยกมือขึ้นกุมศีรษะที่ปวดราวถูกกดทับแน่น”สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้...ต้องไปพบ...แพทริเซีย”

    “อย่างน้อยขอให้นั่งพักตรงนี้ก่อนเถอะ หากเจ้ารู้สึกดีขึ้นเมื่อไหร่ค่อยไปกันต่อ”แม้จะไม่แน่ใจนัก ทว่าแคลร์รู้สึกราวกับอุณหภูมิฝ่ามือของอัศมิตาสูงขึ้นเล็กน้อย”ข้าเชื่อว่าแพทริเซียไม่เป็นอะไร ทว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าก่อน...นางคงจะเป็นห่วงมากแน่ๆ”

    “เป็นห่วง...งั้นหรือ”อัศมิตามีท่าทีสลดลงเมื่อได้ยินประโยคหลัง ความลังเลผุดขึ้นบนใบหน้างดงามเล็กน้อยก่อนการตัดสินใจ จนในที่สุดความเหนื่อยล้าก็เป็นฝ่ายชนะ

    “ตกลง เราจะพักสักครู่หนึ่งก่อน”

    รอยยิ้มอ่อนโยนผุดขึ้นเมื่อเห็นเด็กชายยอมละวางการฝืนตนเองได้ แคลร์ค่อยๆย่อตัวลงนั่งบนบันไดขั้นหนึ่ง มือข้างที่ว่างเลื่อนมืออีกข้างของเด็กชายตาบอดให้สัมผัสพื้นผิวหยาบของบันไดเก่า

    มือเล็กคลำลงบนผิวสัมผัสหยาบสองสามครั้งเพื่อกะระยะก่อนหย่อนตัวลงนั่งอย่างเชื่องช้า อากาศที่ไม่ค่อยถ่ายเทนักของเส้นทางใต้ดินปะปนกับกลิ่นของความเก่าโชยขึ้นสู่จมูกของเด็กชาย ความเหนื่อยล้าที่ผ่านพ้นไปเมื่อเวลาผ่านไปได้สักพักและอาการปวดศีรษะที่ทุเลาลงส่งผลให้เด็กชายหันไปหาผู้นำทางด้วยรอยยิ้มที่สดชื่นขึ้นเล็กน้อย “ท่านแคลร์ ไปกันต่อเถิด”

    “อาการของเจ้าดีขึ้นแล้วสินะ...”อัศมิตารู้สึกถึงความโล่งอกในน้ำเสียงของเด็กหญิงที่ก้องสะท้อนไปทั่วบริเวณเงียบสงบ แคลร์ขยับตัวลุกขึ้นยืนก่อนที่มือข้างขวาจะฉุดเด็กชายตาบอดให้ลุกขึ้นตาม

    ใบหน้าน้อยพยักลงถี่ๆเพื่อแสดงความกระตือรือร้น”ถูกแล้ว ความเจ็บปวดที่ศีรษะของเราทุเลาลง ความเหนื่อยล้าจากการออกเดินนั้นได้หายไปแล้วเช่นเดียวกัน”

    “ดีจริง ถ้าอย่างนั้นเจ้าเองก็คงจะพร้อมเช่นกัน”มือข้างที่ว่างกำลงแน่น น้ำเสียงใสหนักแน่นชัดเจนขึ้นเมื่ออธิบายเส้นทางข้างหน้าแก่คู่สนทนาขณะขาเรียวยาวที่ถูกซ่อนใต้ชุดกระโปรงตัวสวยก้าวขึ้นบันไดไปทีละขั้นอย่างระมัดระวัง”เรามาถึงครึ่งทางแล้ว อีกนิดเดียวจะถึงด้านในตัวปราสาทบริเวณทางเดินชั้นแรก โดยปกติจะมีคนรับใช้คอยทำหน้าที่ของตัวเองอยู่บริเวณนั้นบ้าง แต่ยังพอจะมีซอกมุมให้หลบได้อยู่เป็นระยะ...หากข้าเขย่ามือข้างที่จับเจ้าอยู่หนึ่งครั้งหมายความว่าเจ้าจะต้องพร้อมให้ข้านำทางไปหลบทันที....”

    มือผอมบางยกขึ้นลูบศีรษะที่ถูกปกคลุมด้วยเส้นผมนุ่มสลวยของตน ก่อนร่างผอมบางพยายามก้าวขึ้นบันไดตามไปให้ทัน ด้วยจังหวะของขั้นบันไดที่สม่ำเสมอส่งผลให้เด็กชายคาดเดาระยะของขั้นต่อไปได้ไม่ยากนัก เครื่องหน้าแสดงถึงไฟแห่งความมุ่งมั่นอันถูกจุดขึ้นในจิตใจ”เราจักพยายามตามจังหวะการเคลื่อนไหวของท่านให้ทัน”

    แคลร์อมยิ้มเมื่อเห็นความตั้งใจจริงของเด็กชาย เสียงเล็กเริ่มทำการอธิบายต่อด้วยไม่ต้องการให้เสียเวลา”เส้นทางที่จะใช้ในแผนแรกต้องผ่านทางเดินเพื่อไปยังทางลับอีกเส้น วิธีนี้จะทำให้ไม่ต้องเสี่ยงไปกับการถูกพบเห็นบริเวณชั้นสอง แต่หากมีคนอยู่ที่ชั้นแรกมากคงเสี่ยงเกินไป แผนสองต้องอาศัยการหลบและเดินตามจังหวะไปยังบันไดที่อยู่ใกล้กว่า แต่โอกาสถูกพบเห็นก็จะมากตามไปด้วย เป้าหมายของเราคือไปพบกับแพทริเซียที่ห้องของท่านยาย”นัยน์ตาสีม่วงจ้องมองแผ่นไม้ใหญ่อันเป็นทางเชื่อมไปสู่ทางเดินด้วยประกายหวั่นวิตกเล็กน้อย”ใกล้จะถึงแล้ว ตรงบานประตูเป็นทางต่างระดับ...ขอให้เจ้ายกขาก้าวข้ามสูงๆเมื่อไปถึง”นัยน์ตาสีม่วงเลื่อนมองอัศมิตาที่แสดงความกังวลออกมาผ่านท่าทางออกมาอย่างแทบไม่ต้องสังเกต

     

    ลำพังแค่ตัวข้าเพียงคนเดียวคงมิใช่เรื่องยากเย็น

    แต่การที่พาอัศมิตามาด้วยคงจะต้องระแวดระวังตัวให้มากยิ่งขึ้น

     

    ความเงียบหลังจากประโยคสุดท้ายของเด็กหญิงสิ้นสุดลง เมื่อหลอมรวมเข้ากับเสียงฝีเท้าที่สะท้อนก้องไปทั่วโสตประสาทแล้วจึงเป็นบรรยากาศที่อึดอัดและกดดันสำหรับเด็กชายเสียจนรู้สึกถึงอาการปวดมวนท้องที่บีบให้กระอักกระอ่วนยิ่งขึ้น เด็กชายรู้สึกได้ว่าเนื้อตัวของตนกำลังกลับไปสั่นสะท้านด้วยความกลัวอีกครั้ง

     

    ใจเย็นลงก่อนเถิด

    หากมิสามารถสยบความกลัวของตนลง...จักช่วยเหลือแพทริเซียได้อย่างไร

     

    แพขนตาหนาเคลื่อนลงปิดนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยขณะเด็กชายสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆเพื่อกำหนดจิตของตนให้จดจ่ออยู่กับเป้าหมายของตน พลันความรู้สึกอบอุ่นประหลาดที่เคยเกิดขึ้นขณะปีนต้นไม้ก็พลันบังเกิดขึ้นอีกครั้งราวปาฏิหาริย์

    “เรามาถึงทางออกแล้ว ขอข้าดูลาดเลาก่อนสักครู่”แคลร์หยุดการเคลื่อนไหวของตนลงชั่วครู่เมื่อมาถึงบันไดขั้นบนสุด มือเล็กโน้มตัวไปทางแผ่นไม้และแง้มออกเป็นช่องเล็กพอให้มองลอดออกไปได้ เด็กหญิงทาบนัยน์ตาสีอเมทิสต์ลงกับช่องนั้นอย่างรวดเร็ว ก่อนดวงตาจะเบิกกว้างขึ้นด้วยประกายคล้ายไม่อยากเชื่อสิ่งที่เห็นตรงหน้า ”อะไรน่ะ...ทำไมถึง...”

    “เกิดอะไรขึ้นงั้นหรือท่านแคลร์”เด็กชายที่รู้สึกได้ถึงความผิดปกติในน้ำเสียงใสเอ่ยถามขณะมือขวาลูบแขนเสื้อชื้นเย็นอย่างแผ่วเบา

    “รีบไปกันเถอะ...”เด็กหญิงสูงศักดิ์รวบรัดตัดบทด้วยน้ำเสียงประหลาดใจระคนตื่นเต้นคล้ายเวลาที่แพทริเซียค้นพบความรู้ใหม่

    ด้วยแรงมหาศาลจากการฝึกพลังคอสโมมาโดยตลอด ความฝืดและหนักของแผ่นไม้จึงไม่เป็นปัญหาอันใดต่อการผลักเปิดกว้างออกเป็นช่องให้เด็กน้อยทั้งสองก้าวออกมาได้

    แม้จะยังไม่เข้าใจกับการแสดงออกของอีกฝ่ายนัก แต่ร่างผอมบางก็ยอมเดินตามหลังผู้นำทางมาแต่โดยดี ขาเล็กก้าวข้ามทางต่างระดับลงมายืนบนพื้นอย่างนุ่มนวลประหลาด

    อีกฟากหนึ่งของแผ่นไม้คือทางเดินยาวของปราสาทที่ถูกปูทับด้วยพรมหรูหราราคาแพง แสงสว่างสาดส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างบานใหญ่ ตกกระทบกับโคมระย้างดงามราวเทพนิยายทางด้านบนจนเป็นภาพที่งดงามยิ่ง อาภรณ์สีม่วงดอกไลแลคของสตรีงดงามบนรูปใหญ่ที่ถูกใช้เป็นประตูเข้าออกเส้นทางลับเป็นสิ่งสุดท้ายที่แคลร์จ้องมองก่อนจะปิดแผ่นไม้หนาลง

    “ไม่มีคนอยู่จริงๆ ทำไมล่ะ...ท่านพ่อสั่งประชุมพวกเขาอีกแล้วหรือไงกัน”เจ้าของเรือนผมสีม่วงเหลียวมองเส้นทางโดยรอบที่ไร้ผู้คนและเงียบเชียบจนน่าประหลาด ก่อนหน้าอกจะผ่อนลงจากการถอนหายใจแผ่วเบา”ไปกันต่อเถอะอัศมิตา โอกาสเช่นนี้คงไม่ได้หาง่ายนัก”

    ถึงเด็กหญิงจะยังไม่เห็นใครบนเส้นทางกว้าง ทว่าร่างเล็กเลือกที่จะจูงอัศมิตาเดินเลียบไปตามผนังฝั่งกำแพงที่มีตู้จัดแสดงของและรูปปั้นราคาแพงจากต่างแดนอยู่เป็นระยะ ซอกมุมที่มีขนาดพอให้เด็กอายุไม่เกินสิบขวบสองคนเข้าไปหลบได้สร้างความอบอุ่นใจให้แก่แคลร์ยิ่งขึ้น

     “เราคิดว่าอาจเป็นเพราะพลังของแพทริเซีย...จึงสามารถดลบันดาลให้ผู้คนหลีกเลี่ยงทางเส้นนี้”เด็กชายเอ่ยอ้อมแอ้มอย่างไม่แน่ใจนัก รอยยิ้มอบอุ่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าบริสุทธิ์ดั่งรูปสลักเมื่อนึกถึงเพื่อนของตน

     

    พลังของจอมเวททำได้ถึงขนาดนั้นเชียวหรือ

    ท่านยายไม่เคยบอกข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย

     

    แต่ก็อาจจะจริงอย่างที่เจ้าว่าก็เป็นได้

     

    คิ้วของเด็กชายเลิกขึ้นเมื่อโสตสัมผัสรับรู้ถึงเสียงของบานประตูที่ถูกแง้มออกช้าๆบริเวณทางเดินที่อยู่ห่างออกไป นิ้วของเด็กชายสะกิดเตือนก่อนน้ำเสียงร้อนรนถ่ายทอดผ่านริมฝีปาก”ท่านแคลร์...ท่านแคลร์”

    “เจ้าได้ยินเสียงหรือรับรู้สิ่งใดที่แปลกประหลาดออกไปสินะ”จากเหตุการณ์ที่ผ่านมาทำให้แคลร์รู้สึกได้ว่าประสาทสัมผัสอื่นของเด็กชายตาบอดผู้นี้ถูกพัฒนาจนสามารถรับรู้ได้แม้กระทั่งรายละเอียดที่ตนไม่สามารถสังเกตได้

    “เสียงเปิดประตู...มีคนกำลังออกมาบริเวณทางเดิน โปรดหาที่ซ่อนก่อนเถิด”อัศมิตาเริ่มแสดงท่าทีลนลานก่อนที่บานประตูจะเปิดออกอย่างไม่ทันขาดคำ

    ผู้เดินออกมาคือหญิงสาวผมดำร่างเล็กที่มีท่าทีคล้ายต้องการตรวจสอบดูในแต่ละห้อง นัยน์ตาสีน้ำตาลทองคล้ายพญาเหยี่ยวหันมาทางเด็กน้อยทั้งคู่ เกือบพอดีกับจังหวะที่แคลร์คว้าตัวอัศมิตาเข้าไปหลบหลังตู้ใบใหญ่ด้วยความเร็วเหนือมนุษย์

    เด็กหญิงร่างสูงรู้สึกราวกับลมหายใจขาดไปชั่วขณะ ดวงตากลมโตเหลือบมองออกมาจากหลังตู้เล็กน้อยเพื่อเฝ้าดูหญิงสาวรับใช้ที่ย่างสามขุมมาทางตู้ใหญ่ราวกับรู้ทัน ใบหน้าที่สวมหน้ากากรอยยิ้มตัดกับแววตานักล่าที่มุ่งตรงมายังเหยื่ออย่างน่าขนลุก

    เด็กชายอ้าปากคล้ายต้องการเอ่ยบางสิ่งขึ้น แต่กลับถูกสัมผัสของมือที่มีเหงื่อซึมชื้นปิดเอาไว้อย่างรวดเร็ว ขณะที่จังหวะหัวใจที่ดังก้องในหูรัวเร็วและชัดเจนกว่าครั้งไหนๆ...คล้ายคนที่กำลังตื่นกลัว

     

    เรารู้ว่าแผนการนี้ควรจักดำเนินอย่างเงียบเชียบที่สุด

    ทว่าเหตุใดท่านจึงมีความกลัวมากมายถึงเพียงนี้

    ผู้คนในปราสาทส่วนใหญ่เป็นบ่าวรับใช้ของท่านมิใช่หรือ.....

     

    เสียงฝีเท้าของมารียังคงตรงดิ่งมาที่ตู้ ขณะเด็กหญิงทำใจเผื่อไว้ครึ่งหนึ่งว่าจะโดนสาวใช้จอมรู้ทันจับได้เสียก่อนที่แผนการจะบรรลุผลนั้น ร่างเล็กก็หยุดลง ประกายในดวงตาที่จับจ้องมายังที่ซ่อนตัวของทั้งสองสั่นระริกเล็กน้อยก่อนที่ใบหน้าสวยเรียบจะเบือนหนีและเปลี่ยนทิศทางของตนขึ้นไปยังบันไดหรูโดยไม่ได้เหลียวหันกลับมามองเป็นครั้งที่สอง

    คำถามมากมายเกิดขึ้นในใจของเด็กหญิงผู้มองเห็นเหตุการณ์มาโดยตลอด ใบหน้างดงามแสดงถึงความไม่เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้น

     

    ทำไมกันล่ะ ทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงทิ้งโอกาสจับเราสองคนไป

    จากแววตา...นางต้องเห็นพวกเราแล้วแน่

     

    หรือว่าต้องการนำเรื่องนี้ไปบอกท่านพ่อโดยตรง

     

    แววในดวงตาสีน้ำตาลทองเฉียบคมที่สั่นระริกคล้ายเก็บซ่อนบางสิ่งผุดขึ้นจากความทรงจำเมื่อครู่

     

    เจ้าคิดอะไรอยู่...มารี

     

    “ตอนนี้เราคงไปกันต่อได้แล้ว”แคลร์รู้สึกได้ถึงความอ่อนแรงในเสียงของตน กล้ามเนื้อแข็งแรงดึงมือคู่สนทนาเป็นเชิงให้ลุกขึ้นยืน

    เด็กชายสัมผัสได้ว่าพลังความอบอุ่นที่อกเพิ่มพูนขึ้นเป็นเท่าทวี เปรียบดุจแสงสว่างที่มอบความกล้าหาญให้ในทุกก้าวเดินและคอยย้ำเตือนถึงเป้าหมายของตนในครั้งนี้ ชั่วขณะหนึ่ง อัศมิตารู้สึกราวกับว่าตนจะสามารถส่งคำพูดไปยังแพทริเซียได้อีกครั้ง ร่างผอมบางตั้งสมาธิ สูดลมหายใจเข้าออกช้าๆขณะก้าวเดินไปตามจังหวะของผู้นำทาง

    “แพทริเซีย....”

     

     

     

    โล่งอกไปที ท่านแคลร์ได้มาถึงปราสาทแล้ว

    จากโทรจิตที่แพทริเซียเคยส่งมาบอก เด็กผู้ชายคนนั้นคงจะเป็นอัศมิตา...

     

    มารีครุ่นคิดระหว่างเดินขึ้นชั้นสามเพื่อเตรียมตัวโยกย้ายตำแหน่งงานของคนที่เธอจัดให้กลับลงมายังชั้นอื่นๆให้ไม่เป็นอุปสรรคตามที่ตกลงแผนการไว้กับเด็กหญิงผู้มีใบหน้าคล้ายแคลร์ราวกับฝาแฝด เสียงหัวเราะหึถูกเปล่งออกมาอย่างแผ่วเบาเมื่อนึกถึงโอกาสที่เรื่องบังเอิญถึงเพียงนี้จะเกิดขึ้นได้

    หญิงสาวไม่อยากยอมรับถึงจังหวะการเคลื่อนไหวตึกตักในอกด้วยคอยภาวนาให้ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี มือที่มีร่องรอยความสากกร้านกำแน่นเมื่อนึกถึงคำสั่งเสียสุดท้ายของสตรีที่เปรียบเสมือนแม่อีกคน จังหวะของการก้าวรวดเร็วและแผ่วเบาราวกับแมวเมื่อร่างเล็กกำลังมุ่งหน้าไปยังทิศที่ตนตั้งใจ

    โดยที่มารีไม่ทันได้คาดคิด ประตูบานหนึ่งบริเวณทางเดินเปิดกว้างออกอย่างรวดเร็วโดยชายหนุ่มร่างสูงเจ้าของเรือนผมสีไม้แอช นัยน์ตาสีฮาเซลเงยขึ้นสบกับใบหน้าสวยหวานของหญิงสาวพอดิบพอดี“อ้าว มารี เจ้ามาพอดีเลย”

    “มีอะไรหรือคะ”หญิงสาวรู้สึกถึงความแข็งตึงจากกล้ามเนื้อใบหน้าขณะดึงรั้งรอยยิ้มของเธอให้เป็นปกติที่สุด ลำคอพลันแห้งผากเมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ของสิ่งที่จะเกิดขึ้น

    “ไปหยิบไวน์ในห้องเก็บใต้ดินมาซี เจ้ายังคงพอจำได้ว่าอองรีชอบไวน์แบบไหน”เสียงทุ้มออกคำสั่งเรียบๆโดยไม่ทันสังเกตถึงแววตาที่เปลี่ยนไปของอีกฝ่าย

     

    บ้าจริง

    หากข้าลงไปคงไม่สามารถกลับมาก่อนที่ท่านแคลร์จะขึ้นมาถึง

    ทำไมต้องมาเจอท่านปิแยร์ในเวลาแบบนี้

     

    มือเล็กกำแน่นจนเล็บแทบจิกเข้าไปในเนื้อพร้อมพยายามควบคุมไม่ให้เสียงของตนแสดงพิรุธใดออกมา”ข้ายังคงมีงานอื่นที่ยังคงไม่เสร็จสิ้น เช่นนั้นขอให้ลูซีเป็นผู้นำไวน์มาที่ห้องแทนได้หรือไม่”เสียงหวานเอ่ยถึงเด็กรับใช้ร่างผอมสูงขึ้น หวังให้ชายหนุ่มยอมคล้อยตามข้อคิดเห็นนี้

    “ไม่ นางยังเด็กนัก หากเลือกมาผิดแล้วจะทำเช่นไร”เสียงทุ้มยังคงวางไว้ซึ่งความเยือกเย็นและไว้ตัวตามแบบฉบับชองชนชั้นสูง”ข้าอนุญาตให้เจ้าวางงานที่ทำตอนนี้โดยจะไม่มีคำตำหนิใด”

    “ทว่า-”

    “เดี๋ยวนี้”ปิแยร์กดเสียงลง นัยน์ตาสีฮาเซลเรืองประกายดังเช่นเมื่อนายต้องการออกคำสั่งขั้นเด็ดขาดกับผู้รับใช้

    “ทราบแล้วค่ะ ข้าจะนำไวน์ขึ้นมาในอีกไม่ช้า”ร่างเล็กทำความเคารพชายหนุ่มด้วยใบหน้าที่ฉาบทาด้วยรอยยิ้มหมดจดไม่มีตำหนิ ตัดกับในอกที่ร้อนรุ่มดังไฟเผาเมื่อไม่สามารถบรรลุจุดประสงค์ได้ ฟันขาวถูกกัดกรอดขณะหญิงสาวหันหลังเดินลงบันไดกลับไปยังชั้นล่างอีกครั้ง มารีรู้สึกได้ว่านัยน์ตาคมคู่นั้นยังคงจับจ้องเธออย่างไม่ละวาง

     

    ขอโทษด้วย ท่านแคลร์

    ข้าคงไม่สามารถออกคำสั่งให้พวกเขาไปทำงานที่ชั้นอื่นได้ทัน

    ระวังตัวด้วย ขอให้ความสามารถที่ฝึกปรือมาตลอดช่วยเหลือท่านได้ในยามนี้

     

     

    “เหลือแค่ข้ามปีกนี้ไปยังอีกฟากก็จะไปถึงห้องของท่านยายได้แล้ว”เสียงใสราวกระดิ่งลมกระซิบให้กำลังใจเด็กชายตาบอด หลังจากที่ทั้งคู่เดินผ่านบันไดเล็กแคบอันเป็นเส้นทางลับเบื้องหลังรูปภาพวิวทิวทัศน์ชายฝั่งฝรั่งเศสมาจนถึงด้านหลังของรูปวาดวิวทิวทัศน์เขียวขจีของป่ารอบปราสาทในฤดูร้อน

    “จะได้พบแพทริเซียแล้วอย่างนั้นหรือ”เสียงเล็กดังขึ้นอย่างดีอกดีใจคล้ายลืมตัวเมื่อนึกถึงเสียงและกลิ่นอายคุ้นเคยจากเพื่อนของตน ขณะนาสิกสัมผัสรับรู้ได้ถึงกลิ่นเฉพาะจากสถานที่อับลม

    “ใช่แล้วล่ะ”รอยยิ้มเล็กๆปรากฏบนใบหน้างดงามด้วยรู้สึกเอ็นดูอากัปกิริยาใสซื่อของเด็กชาย”แต่ก่อนอื่นข้าคงต้องดูลาดเลาเสียก่อนว่าควรจะเคลื่อนไหวเช่นไรต่อไป”แคลร์พูดพลางโน้มตัวไปทางประตู มือเล็กแง้มแผ่นไม้ออกเป็นช่องเล็กเพื่อให้มองดูสถานการณ์ภายนอกได้โดยไม่เป็นที่สังเกต

    “เราปรารถนาให้ปราศจากผู้คนดังเช่นทางที่ผ่านมา”อัศมิตาเอ่ยเจื้อยแจ้วแม้สังหรณ์ใจว่าเสียงฝีเท้าที่ตนได้ยินแว่วๆเมื่อครู่คงมิใช่เพียงแค่หูฝาดไป

    ”แย่จริง...”เสียงเล็กพึมพำในลำคอขณะดวงตาจับจ้องชุดเครื่องแบบสีดำของคนรับใช้ที่เดินผ่านไปมาเป็นระยะ ความกดดันอัดแน่นขึ้นในทรวงอกด้วยรู้ดีว่าหากตนคาดจังหวะผิดไปแม้เพียงนิดอาจนำมาซึ่งการถูกจับได้เสียก่อนจะไปถึงยังเป้าหมาย”พวกเขาอยู่ที่นี่กันเพียบเลย คงจะต้องระวังตัวให้มากขึ้น”จังหวะพูดของแคลร์เปลี่ยนไปเป็นคำเตือน ประกายสีอเมทิสต์ที่จับจ้องมาทางเด็กชายเต็มเปี่ยมด้วยความจริงจัง

    “เราควรทำเช่นไร...”เด็กชายเงยหน้าขึ้นหาต้นเสียง เห็นได้ชัดว่าใบหน้าน้อยนั้นเต็มเปี่ยมด้วยความวิตกกังวลจนไม่อาจปิดบัง

    “ข้าจะคอยดูช่วงจังหวะที่ไม่มีใครผ่านมา เมื่อข้าให้สัญญาณ...ขอให้เจ้าพร้อมที่จะออกจากเส้นทางลับนี้โดยทันที”เสียงใสเอ่ยก่อนกัดริมฝีปากสีชมพูแน่น นัยน์ตาจ้องเขม็งไปยังทางเดินอย่างใช้สมาธิ รอคอยจนกระทั่งแผ่นหลังกว้างของชายหนุ่มในชุดเครื่องแบบหายลับเข้าไปในประตูบานหนึ่ง

    เจ้าของเรือนผมสีทองพยักหน้าหงึกหงักขณะกลืนน้ำลายลงคอด้วยลุ้นระทึกเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น

    “ตอนนี้ล่ะ”

    รูปภาพขนาดใหญ่อันเป็นประตูเหวี่ยงเปิดออกอย่างรวดเร็วก่อนเด็กหญิงร่างสูงจะกระโดดลงมายืนกับพื้นด้วยความคล่องแคล่วดังที่ตนเคยทำ นัยน์ตาสีม่วงมองขึ้นไปหาเด็กชายที่ยังค้างคาตรงปากทางด้วยท่าทีลังเล “พื้นที่บริเวณนี้เป็นทางเรียบ ขอเพียงแค่เจ้าเพิ่มความยาวของการก้าวเท่านั้น”

    อัศมิตาคำนวณระยะห่างระหว่างขอบทางกับพื้นในหัวก่อนจะใช้ความพยายามก้าวลงมาอย่างรวดเร็วและระมัดระวังที่สุดด้วยไม่ต้องการเป็นภาระให้เด็กหญิง พลันศีรษะที่ปวดแปลบขึ้นมาส่งผลให้เด็กชายเซถลาไปก่อนจะรู้สึกถึงความแข็งแรงเกินวัยของมือที่ช่วยประคองไม่ให้ล้ม

    แคลร์จูงเด็กชายตาบอดตรงเข้าไปหลบบริเวณพื้นที่อับสายตาระหว่างตู้จัดแสดงใบหนึ่งกับกำแพง”อัศมิตา เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”ประกายความเป็นห่วงฉายขึ้นในดวงตาขณะเฝ้ามองร่างผอมบางที่ยกมือขึ้นกุมศีรษะ

    “อาการปวดศีรษะของเรา...กลับมาอีกครั้ง”เสียงเล็กหลุดจากลำคอผะแผ่ว อุณหภูมิร่างกายที่ดูเหมือนจะคงตัวแล้วกลับพุ่งสูงขึ้นอีกครั้งในความรู้สึกเจ้าของร่าง ขณะเด็กชายกัดฟันข่มอาการป่วยมิให้คนตรงหน้าสังเกตเห็น

    “หากไม่ไหว...จะกลับไปพักตรงทางลับก่อนหรือไม่”ความพยายามปิดบังของอัศมิตาเป็นอันไร้ผลเมื่อนัยน์ตากลมโตของอีกฝ่ายจับได้ถึงความผิดปกติในท่าที

    “มิเป็นอันใดมาก”เสียงเล็กที่แหบพร่าลงเล็กน้อยฝืนตอบแม้ใจจะพอคาดการณ์ได้ว่าสภาพของตนไม่ค่อยสู้ดีเท่าใดนัก”ขอให้ท่านช่วยนำทางแก่เราต่อไปได้หรือไม่”นัยน์ตาสีฟ้าเงยขึ้นราวต้องการยืนยันความมุ่งมั่นของตนผ่านทางสีหน้า

     

    ทำไม...ถึงมีความมุ่งมั่นที่จะไปหานางเพียงนี้

    ความอบอุ่นแรกที่เคยพูดถึงสำคัญจนเป็นแรงผลักดันให้แก่เจ้าอย่างมหาศาลเลยงั้นหรือ

     

    ถึงในใจของแคลร์จะไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าใดนัก ทว่าด้วยความพยายามของเด็กชายทำให้เด็กหญิงร่างสูงอดเห็นใจไม่ได้”ก็ได้ เรามาถึงนี่กันแล้ว เหลืออีกเพียงไม่นานก็จะถึงห้องของท่านยาย...ข้าจะช่วยเหลือเจ้าเอง”

    พลันอดีตในคืนแห่งความทรงจำเมื่อราวสองเดือนก่อนปรากฏขึ้นในความคิดของเด็กหญิง ร่างเล็กจำได้ว่าตนกระวนกระวายนับเวลารอคอยมากเพียงใดเพื่อให้งานเลี้ยงของผู้ใหญ่จบลง ฝีเท้าและความรวดเร็วของม้าเชื่องช้าราวกับทากเมื่อเทียบกับความปรารถนาที่จะได้กลับไปพบผู้เป็นยายอีกครั้ง สุดท้ายเรื่องราวทั้งหมดจึงสิ้นสุดด้วยความรู้สึกแหลกสลายเมื่อสัมผัสถูกร่างไร้วิญญาณที่เย็นชืด ใบหน้างดงามมีรอยยิ้มประดับอยู่จางๆดังเช่นผู้ที่จบชีพลงอย่างไร้ซึ่งสิ่งคั่งค้างในจิตใจ

     

    ไม่สิ...ข้าพอเข้าใจว่าความรู้สึกนั้นเป็นเช่นไร

    แม้แพทริเซียจะยังคงมีชีวิตอยู่ดี ทว่าการต้องรอคอยจนกว่าจะได้พบอีกครั้งคงทรมานไม่ต่างกัน

     

    “ขอบคุณท่านมาก...”รอยยิ้มบนริมฝีปากน้อยๆอ่อนแรงไม่ต่างไปจากผู้ป่วยรายอื่น แต่ยังคงไว้ซึ่งแรงปรารถนาดีต่อผู้คน

    ร่างเล็กเหลียวไปมองทางเดินอีกครั้ง ประกายในดวงตาจับจ้องไปยังเด็กสาวผมสีน้ำตาลที่กำลังทำความสะอาดโดยไม่ได้สนใจต่อสิ่งรอบข้าง”ไปกันต่อเถอะ...”เสียงกระซิบแผ่วเบาเอ่ยเป็นเชิงให้สัญญาณ

    ก้าวแล้วก้าวเล่า ราวกับเวลาผ่านไปนานแสนสุดคณานับจากมุมมองมืดสนิทของเด็กชายตาบอดขณะที่อาการป่วยเริ่มกลืนกินความเฉียบคมของประสาทสัมผัสไปอย่างช้าๆ  แม้กระทั่งคำพูดของเด็กหญิงผู้นำทางก็ดูราวกับลอยมาจากที่ไกลแสนไกล ใจความที่จับได้มีเพียงคำบอกกล่าวให้หยุดหรือไปต่อ

    อัศมิตาไม่แน่ใจนักว่าเกิดสิ่งใดขึ้น ทว่าร่างกายที่ควรหนักอึ้งจากพิษไข้กลับยังคงก้าวต่อไปได้ด้วยความรู้สึกอันอบอุ่นในอก ความมุ่งมั่นในใจคล้ายเป็นแสงสว่างนำไปสู่ปลายทางที่ตั้งใจ

     

    แพทริเซีย

     

    “แพทริเซีย...เราใกล้จะถึงแล้ว”

    เด็กชายรู้สึกถึงสัมผัสดึงรั้งอย่างเร่งรีบจากเด็กหญิงร่างสูงจึงก้าวไปตามทิศทางและย่อตัวลงแต่โดยดี เป็นจังหวะฉิวเฉียดกับส้นรองเท้าสีดำที่โผล่ออกมานอกชายกระโปรงผ่านพ้นไป

    แคลร์แทบทรุดตัวลงพร้อมกับถอนหายใจโล่งอก บันไดที่ทอดยาวลงไปข้างล่างเป็นเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่าระยะทางที่ต้องไปต่อเหลือเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น ”เข้มแข็งเข้าไว้อัศมิตา เรามาถึงครึ่งทางแล้ว” เสียงใสกล่าวแก่เด็กชายที่กำลังสูดจมูกฟืด

    เด็กหญิงรอคอยจนกระทั่งสาวใช้ร่างสูงเผลอหันหลังไปอีกฟากก่อนจะจูงอัศมิตารี่เข้าไปหลบหลังรูปปั้นอัศวินด้วยความเร็วเหนือมนุษย์ ในขณะที่ทุกอย่างกำลังจะเป็นไปได้ด้วยดี เด็กชายตาบอดก็เริ่มรู้สึกถึงอาการคัดจมูกคล้ายต้องการจาม พร้อมกับที่เด็กหญิงเห็นถึงสัญญาณนั้นพอดิบพอดี

    “จามตรงนี้ไม่ได้นะ ถ้าหากจามตรงนี้ลูซีจะต้องสังเกตแน่”เสียงใสที่กระซิบผะแผ่วคล้ายลอยล่องอยู่ข้างหูจากมุมของเด็กชาย

    อัศมิตาตระหนักถึงความจริงข้อนั้นได้จึงพยายามสะกดกลั้นไว้ ทว่าไม่เป็นผลเมื่อเสียงเล็กเริ่มคัดจมูกจนไม่อาจต้านทานไหว “ฮ..ฮ...”

    แรงของการจามส่งผลให้ศีรษะที่ถูกปกคลุมด้วยเรือนผมสีทองโขกดังโป๊กกับเกราะวาววับสีเงินเข้าอย่างจังก่อนที่มือผอมบางจะทันได้ยกขึ้นมาปิดปากของตน ส่งผลให้เด็กสาวผอมเก้งก้างสะดุ้งโหยงและหันมายังทิศทางที่เด็กน้อยทั้งสองหลบซ่อนตัว เรือนผมสีบลอนด์เงินขยับไปตามจังหวะการมองซ้ายทีขวาทีด้วยต้องการหาต้นเสียง

    “ท่านแคลร์...เราขอโทษ”เด็กชายกระซิบ ใบหน้าเงื่องหงอยดูคลับคล้ายลูกแมวตัวน้อยที่กลัวจะถูกต่อว่า

    “นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า...แต่ลูซีดูเหมือนจะรู้ตัวแล้ว ต้องรีบไปต่อ”เจ้าของชื่อเอ่ยเสียงเครียด มือข้างที่จับอัศมิตากำแน่นขึ้นโดยไม่รู้ตัว แคลร์เฝ้ารออย่างอดทนให้เด็กสาวที่สะบัดหัวอย่างมึนงงหันกลับไปทำงานต่ออีกครั้ง “ตอนนี้ล่ะ”

    กำลังแขนแข็งแกร่งดึงอัศมิตาให้ออกตัววิ่งไปยังที่ซ่อนใหม่ เท้าผอมบางทั้งสองพยายามเร่งตามความเร็วของผู้นำทาง ทว่าด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนล้าจากพิษไข้เป็นผลให้ไม่สามารถขยับร่างกายได้ดังใจนึก ปลายเท้าขวาลงน้ำหนักลงไปบนพื้นพรมนุ่มผิดจังหวะจนร่างเล็กล้มคะมำลงใกล้กับจุดที่เด็กสาวรับใช้ยืนอยู่พอดิบพอดี

    นัยน์ตาสีเทาซีดกระพริบมองร่างตรงหน้าปริบๆด้วยงุนงง”หนูน้อย เจ้าเป็นใคร...เข้ามาที่นี่ได้ยังไง”เสียงของเธอแผ่วเบาคล้ายกระซิบก่อนจะดังลั่นขึ้นด้วยประหลาดใจเมื่อสายตาเลื่อนไปยังเด็กหญิงในชุดกระโปรงสีฟ้าที่ยืนนิ่งอึ้ง ใบหน้าขาวผุดผาดซีดเผือดคล้ายคนตกใจจนไม่สามารถขยับไปไหนได้”อ้าว! ท่านแคลร์ ออกมาจากห้องตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะ แล้วเด็กคนนี้เป็นใคร”

    ประตูไม้เนื้อดีที่อยู่ห่างออกไปจากบริเวณบันไดไม่มากนักเหวี่ยงเปิดออกด้วยแรงของชายหนุ่มผมสีไม้แอชที่สีหน้าบ่งบอกถึงความไม่พึงพอใจอย่างยิ่ง”เอะอะอะไรกัน ลูซี ข้าบอกไปแล้วมิใช่หรือว่าต้องการคุยในบรรยากาศเงียบสงบ”นัยน์ตาคมปลาบมองเด็กสาวร่างผอมสูงเก้งก้างอย่างคาดโทษ

    “ข้าต้องขออภัยด้วยจริงๆค่ะ ท่านปิแยร์...”เด็กสาวก้มหน้าลง น้ำเสียงแสดงความรู้สึกผิดออกมาให้อีกฝ่ายได้รับรู้

    คิ้วคมขมวดลงเมื่อเห็นลูกสาวของตนที่กำลังช่วยพยุงร่างผอมบางของเด็กชายผู้หนึ่งให้ลุกขึ้น”แคลร์ ลูกไม่ควรพาคนอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาในปราสาท ไม่ว่าจะเป็นคนที่ลูกสนิทชิดเชื้อมากแค่ไหน...”เสียงทุ้มขาดช่วงไปเมื่อเห็นใบหน้าของเด็กชายตัวน้อยถนัดตา ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาดผุดขึ้นมาในหัว

     

    อะไรกัน...

    เรื่องนี้ไม่น่าจะ...

     

    อัศมิตาสัมผัสได้ถึงอาการสั่นเกร็งไปทั่วร่างเมื่อได้ยินเสียงทรงอำนาจของบุคคลเบื้องหน้า ความหวาดกลัวจะถูกทำร้ายแล่นเข้ามาในสมองอีกครั้ง ทว่าความรู้สึกที่คอยหล่อเลี้ยงไออุ่นที่แผ่ไปทั่วร่างยังคงไม่จางหายไปจากจิตวิญญาณ เด็กชายจมอยู่กับห้วงความคิดถึงผู้ที่เป็นเป้าหมายหนึ่งเดียวที่ตนปรารถนาที่จะพบเจอมากที่สุดในเวลานี้

     

    แพทริเซีย ขอโทษด้วย

    เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นด้วยความดื้อรั้นและเบาปัญญาของตัวเราเอง

     

    ชั่วขณะหนึ่งเมื่อจิตมุ่งมั่นต่อแรงปรารถนาของตนจนถึงขีดสุด เด็กชายก็ได้รับรู้ถึงสัมผัสของบางสิ่งที่ราวกับห้วงอันลึกล้ำอย่างหาประมาณมิได้ ห้วงที่ก่อพลังงานอบอุ่นในอกให้เพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆคล้ายต้องการหนุนนำให้เจ้าของร่างไขว่คว้าทุกสิ่งได้ดังใจ อัศมิตาจึงตัดสินใจที่จะรวบรวมสมาธิของตนอีกครั้ง

    แคลร์เบิกตากว้างขึ้นอย่างตกตะลึงด้วยสัมผัสถึงพลังอันคุ้นเคย”ไม่อยากเชื่อเลย...” เสียงใสพึมพำแผ่วเบา แม้สังหรณ์ใจเล็กน้อยมาตั้งแต่เมื่อครั้งปีนต้นไม้ ทว่าพลังในครั้งนี้มากมายจนทำให้ประสาทสัมผัสที่ถูกฝึกฝนมาจับสังเกตถึงความแตกต่างได้อย่างชัดเจน

    เด็กชายภาวนาให้คำพูดของตนส่งไปถึงเป้าหมาย ก่อนกำหนดจิตตั้งมั่นไปยังแพทริเซีย ใบหน้างดงามในยามนี้มองดูสง่าคล้ายเชื้อสายกษัตริย์แต่เก่าก่อน

    “ตอนนี้คงมิอาจไปหาเจ้าได้ ด้วยท่านพ่อของท่านแคลร์พบเจอเราทั้งคู่เข้าเสียแล้ว”

     

     

    แพทริเซียสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงของโทรจิตที่ดังก้องขึ้นในหัวอย่างแจ่มชัดไม่ผิดกับเวลาที่อำนาจของแผ่นไม้โทรจิตยังไม่หมดลง เด็กหญิงร่างสูงที่เรี่ยวแรงฟื้นฟูจนเกือบจะกลับมาเป็นปกติลุกขึ้นยืนขณะครุ่นคิดด้วยประหลาดใจ

     

    โทรจิตจริงๆเหรอเนี่ย

    ตอนแรกนึกว่ากังวลจนคิดไปเองซะอีก

     

    เด็กหญิงหวนนึกถึงเสียงในหัวก่อนหน้านี้ที่ดังขึ้นอย่างไม่ชัดเจนนักคล้ายกับอาการหูแว่ว จนเด็กหญิงนึกว่าเป็นอีกหนึ่งผลกระทบของเวทมนตร์เสริมพลังกาย

     

    แต่มนุษย์ธรรมดาจะใช้โทรจิตได้ยังไง

    ไม่สิ ไม่ใช่เวลาที่จะมาคิดเรื่องนี้

    ถ้าโทรจิตที่ว่ามาเป็นเรื่องจริงก็คงไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องแกล้งทำตัวเป็นแคลร์อีก

     

     การไปคุยให้รู้เรื่องคงจะเป็นวิธีที่แก้ปัญหาได้ดีที่สุด

     

    แพทริเซียตรงไปทางประตูห้องและใช้สองมือผลักเปิดออกอย่างเร่งรีบ ขาเรียวยาวเร่งจังหวะการเดินของตนให้เร็วที่สุดเท่าที่ตนจะทำได้ก่อนเลี้ยวพ้นหัวมุมไปยังทิศทางของห้องซึ่งเป็นสถานที่สุดท้ายซึ่งเธอได้ยินปิแยร์กับอองรีคุยกันด้วยคาดคะเนว่าจะมีความเป็นไปได้มากที่อัศมิตาจะอยู่บริเวณนั้น

    และแล้วก็เป็นไปตามคาดเมื่อเด็กหญิงก้าวเข้ามาบนเส้นทางที่ทอดผ่านประตูไม้หนาในความทรงจำ นัยน์ตาสีม่วงมองไปยังอัศมิตาที่ถูกจับจ้องด้วยสายตาไม่ไว้วางใจจากชายหนุ่มชนชั้นสูง พลันความรู้สึกเป็นห่วงบังเกิดขึ้นจนร่างเล็กกัดฟันเร่งฝีเท้าให้ไปถึงกลุ่มคนที่ยืนคุยกันอยู่ด้วยเวลาเพียงไม่นาน

    “รอก่อน...ค่ะ ข้าพอจะอธิบายเรื่องให้ฟังได้”เสียงใสเอ่ยอย่างเหนื่อยหอบปานจะขาดใจ แผ่นอกขยับขึ้นลงเป็นจังหวะรวดเร็วจากการหายใจที่ถี่กระชั้นขึ้น

    ปิแยร์เบนสายตาไปยังเด็กหญิงผู้มาใหม่ แววตกตะลึงอย่างแทบไม่อยากเชื่อปรากฏขึ้นเมื่อสังเกตถึงใบหน้า สีของเรือนผม นัยน์ตา และชุดที่คล้ายคลึงกันจนแทบจะแยกไม่ออก”แคลร์...สองคน มันเกิดอะไรขึ้น อธิบายเรื่องทั้งหมดมาซะ”

    “แพทริเซีย...”เด็กชายตาบอดก้าวเข้าไปหาเพื่อนของตนด้วยความดีอกดีใจ ก่อนที่ร่างผอมบางจะไอออกมาด้วยอาการที่เห็นว่าป่วยได้อย่างชัดเจน รอยยิ้มกว้างผุดขึ้นจากใบหน้าอ่อนล้าซีดเซียว

    เจ้าของชื่อส่งสายตาตำหนิไปยังผู้มีรูปลักษณ์เหมือนกับตนอย่างแทบไม่ผิดเพี้ยน” ฉันก็บอกไปแล้วว่าถ้าเกิดอัศมิตาไม่ไหวหรือเป็นอะไรขึ้นมาก็ให้พากลับไปที่โรงแรมก่อน แล้วทำไมถึงพามาที่นี่แถมไม่ยอมบอกให้ฉันรู้ถึงอาการป่วยของเขาตั้งแต่ก่อนหน้าที่แผ่นไม้จะหมดพลังล่ะคะคุณหนูแคลร์”

    นัยน์ตาสีม่วงหลบไปคล้ายไม่กล้าสบตากับผู้ที่ตนก่อปัญหามาให้นานัปการ ด้วยสายตาของผู้เป็นพ่อหันมาทางตัวเธอจึงทำให้ไม่กล้าเอ่ยอะไรออกไป ในใจหวังเพียงอยากขอโทษแพทริเซียนับพันนับหมื่นครั้งผ่านทางโทรจิตขณะเหลือบมองเด็กหญิงผู้กำลังเล่ารายละเอียดเหตุการณ์ให้ชายหนุ่มฟังโดยละรายละเอียดบางส่วนเอาไว้

     

    ไม่เล่าเรื่องการโทรจิตออกไปด้วยหรือ

    ที่ท่านยายเคยบอกว่าจอมเวทมักจะรักษาความลับของตนไว้คงจะเป็นจริง

     

    “เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว”เสียงทุ้มเอ่ยด้วยท่าทีทระนงขึ้นเมื่อพบว่าเด็กหญิงตรงหน้ามิได้สืบเชื้อสายขุนนางมาโดยตรง”ต้องขออภัยแทนคนของข้าที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่เจ้า สำหรับความผิด...ข้าจะทำการลงโทษบุคคลพวกนี้ในภายหลัง”

    “เอ่อ...เรื่องลงโทษไม่ต้องรุนแรงนักก็ได้ค่ะ แต่ตักเตือนไม่ให้ทำแบบนี้อีกก็พอ”แม้จะขุ่นเคืองกลุ่มคนรับใช้ที่กระทำการลงไม้ลงมือกับเด็กชายตาบอด ทว่าแพทริเซียไม่ต้องการสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นโดยไร้เหตุผลจำเป็น

    ปิแยร์พยักหน้าอย่างเห็นได้ชัดว่าไม่ใส่ใจความคิดเห็นของเธอนัก ก่อนเอ่ยเรียกลูกสาวของตน”แคลร์ มานี่ซิ”

    เด็กหญิงสะดุ้งเล็กน้อย ขาเรียวยาวก้าวเข้าไปอย่างสำรวมกิริยาคล้ายกลัวจะถูกต่อว่า

    “ในฐานะที่ลูกเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด...ขอโทษพวกเขาซะ”แม้โสตสัมผัสของอัศมิตาจะถูกลดทอนความเฉียบคมลงจากพิษไข้ แต่เด็กชายกลับสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของชายหนุ่มต้องการให้แคลร์ขอโทษตามมารยาทเท่านั้น

    “ข้าขอโทษพวกเจ้าจริงๆที่ทำให้พวกเจ้าต้องมาเจอเรื่องเช่นนี้”น้ำเสียงใสนั้นยังคงรักษาไว้ซึ่งความจริงใจเปี่ยมล้นไม่ต่างไปจากครั้งแรกของการพบกัน ประกายในดวงตาจ้องมองอย่างปรารถนาที่จะให้คู่สนทนาได้รับรู้ถึงความหมายที่ซ่อนอยู่

    “เท่านี้เรื่องทุกอย่างก็จบลงแล้ว ข้าเกรงว่าพวกเจ้าจะใช้เวลาโดยเสียเปล่าหากยังอยู่ในสถานที่แห่งนี้”น้ำเสียงทุ้มเอ่ยด้วยจังหวะเย็นชา นัยน์ตาสีฮาเซลหรี่ลงคล้ายเจอสิ่งไม่น่าอภิรมย์

     

    พอรู้ว่าไม่ใช่ลูกสาวก็ออกปากไล่ทันทีเลยนะ ให้ตาย

    ฉันพยายามช่วยแล้วนะแคลร์

    แต่ดูท่าคงจะมีศึกหนักจากพ่อเธอรออยู่นี่สิ

     

    “เข้าใจแล้วค่ะ ถ้าอย่างนั้นขอตัวลาไปก่อนนะคะ”แพทริเซียทำการแสดงความเคารพเล็กน้อยตามมารยาท ก่อนมือเรียวจะจับมือที่ร้อนดุจเปลวไฟของเด็กชาย คิ้วเรียวขมวดลงก่อนเตรียมจะออกเดิน

    โดยไม่คาดคิด แคลร์พุ่งตัวเข้ามาหาทั้งสองด้วยความเร็วที่ยวดยิ่งเกินกว่ามนุษย์ธรรมดาเช่นปิแยร์จะมองได้ทัน แขนแกร่งดึงร่างผู้เป็นญาติและเด็กชายตาบอดเข้าไปใกล้ ก่อนเสียงใสจะกระซิบอย่างแผ่วเบาให้ได้ยินกันเพียงสามคนด้วยภาษาแม่ของเธออย่างรวดเร็ว”ขอบคุณมาก ถ้ามีโอกาสเราคงได้เจอกันอีกครั้ง”

    แม้อัศมิตาจะไม่แน่ใจในความหมายของคำเหล่านั้นด้วยอาการปวดศีรษะที่ทำให้จับใจความได้ไม่ถนัดนัก ทว่าอารมณ์ซึ่งถูกถ่ายทอดออกมาทำให้พอเข้าใจเจตนาของผู้พูดได้ ขณะแพทริเซียผู้เข้าใจในภาษาฝรั่งเศสเป็นอย่างดีอมยิ้มเล็กน้อยก่อนกล่าวตอบด้วยภาษาเดียวกัน”ฉันก็หวังว่าอย่างนั้น แล้วก็...ขอให้ท่านทำตามความตั้งใจของท่านมาร์เซลีนให้ได้”

    “ข้าจะไม่ละทิ้งความมุ่งมั่นนี้”เสียงใสกระซิบตอบ ชาเรียวยาวใต้ชุดกระโปรงก้าวถอยไปพร้อมเสียงกระซิบครั้งสุดท้าย”มีเรื่องหนึ่งที่ข้ายังไม่เคยบอกเจ้า ชื่อของท่านยายก่อนที่จะแต่งงานก็คือ...มาร์เซลา” และก่อนที่แพทริเซียจะทันได้เอ่ยสิ่งใด ร่างของอีกฝ่ายก็กลับไปยืนยังตำแหน่งข้างชายหนุ่มร่างสูงดังเดิม

    อองรีเดินออกมาจากห้องเมื่อได้ยินเสียงพูดคุยทางด้านนอกและสังเกตได้ว่าเจ้าของปราสาทหายไปนานผิดปกติ พลันนัยน์ตาสีเทาสะดุดเข้ากับเด็กชายเรือนผมสีทองที่หันใบหน้ามาในทิศที่มองเห็นได้อย่างเต็มตา นัยน์ตาสีฟ้าอความารีนไม่ผิดแผกไปจากนัยน์ตาอีกคู่หนึ่งที่เคยเห็นในความทรงจำ

     

    ไม่จริงน่า

    ทำไมเด็กคนนี้ถึงได้

     

    แพทริเซียจ้องมองท่าทีของชายหนุ่มด้วยสายตาที่ไม่อาจคาดเดาความรู้สึกได้

     

     

    “แพทริเซีย”เสียงอันแหบพร่าด้วยพิษไข้เอ่ยเรียกเพื่อนของตน โสตสัมผัสรับรู้ถึงเสียงของสายฝนที่กระหน่ำสาดเทลงมาอย่างไม่หยุดยั้ง กลิ่นไอดินปะปนกับกลิ่นอับเล็กน้อยของสถานที่โชยขึ้นสู่จมูก

    “มีอะไรเหรอ”ร่างเล็กเงยหน้ามองเด็กชายตาบอด มือทั้งสองชูผ้าขาวสะอาดขึ้นจากถังไม้ใส่น้ำก่อนบิดผ้าเปียกชื้นให้แห้งหมาดพอจะเช็ดตัวได้โดยไม่มีน้ำหยดเป็นทางตามหลัง

    ในตอนนั้น...ท่านแคลร์เอ่ยสิ่งใดออกมาหรืออัศมิตาหวนคิดถึงประโยคที่ตนไม่อาจได้ยินอย่างชัดเจนในเวลานั้น พลันร่างผอมบางจามออกมาดังลั่น น้ำมูกใสไหลลงมาจากรูจมูกขณะที่พยายามสูดกลับเข้าไป

    “ไม่มีอะไรมากหรอก เป็นประโยคบอกลาจำพวกไว้เจอกันใหม่นั่นแหละ”แพทริเซียเอ่ยอย่างไม่ต้องการบอกความคิดของตนให้อีกฝ่ายทราบ ผ้าสะอาดอีกผืนบริเวณหัวเตียงถูกหยิบขึ้นซับจมูกของอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา”ว่าแต่เธอเถอะ ป่วยหนักขนาดนี้ทำไมไม่บอกฉันหรือกลับมาพักที่โรงแรม”เสียงเรียบเย็นเมื่อครู่กลับจริงจังเข้มงวดขึ้นคล้ายผู้ปกครองดุบุตรหลานของตน

    “แพทริเซีย ขอโทษด้วย เราเพียงแต่รู้สึกเป็นห่วงเจ้าเท่านั้น”เสียงเล็กยืนยันคำตอบของตน แม้ความละอายใจจะปะทุขึ้นในอกเมื่อสัมผัสได้ว่าในน้ำเสียงของฝ่ายตรงข้ามอัดแน่นไปด้วยความเป็นห่วงไม่ผิดแผกจากคนในครอบครัว”ได้โปรด...อภัยให้เราเถิด”ร่างของเด็กชายสั่นสะท้านด้วยหวั่นเกรง แรงทุบตีและคำสาปแช่งด่าทอจากผู้เป็นแม่ผุดขึ้นในความทรงจำอีกครั้ง

    เด็กหญิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆฉันไม่ได้จะฟาดเธอด้วยเรื่องนี้หรอกนะ วางใจเถอะ ทำร้ายกันไปก็ไม่ได้อะไรขึ้นมา มีแต่จะทำให้เรื่องมันแย่ลงด้วยซ้ำ กระดุมเสื้อของอีกฝ่ายถูกปลดออกอย่างชำนิชำนาญ ไม่นานสัมผัสความนุ่มของผ้าที่เปียกชื้นด้วยน้ำอุ่นก็แตะบริเวณหลังมือและเช็ดย้อนรุขุมขนขึ้นมาตามแนวแขน

    ”ขอให้เธออย่าฝืนตัวเองได้ไหม ฉันรู้ว่าเรื่องสายตาไม่ได้จำกัดการพัฒนาความสามารถของมนุษย์ แต่ถ้ามีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้วสภาพร่างกายเธอป่วยจนไม่ไหวก็พักก่อนเถอะ เกิดเป็นอะไรขึ้นมามันจะไม่ดีกับเธอเองนะ”

    อัศมิตาพยักหน้าช้าๆ นัยน์ตาเลื่อนลอยหันมาทางเด็กหญิง ขณะความดีใจบังเกิดขึ้นในอกด้วยได้ยินเหตุผลที่ไม่เกี่ยวข้องกับความพิการของตน”เข้าใจแล้ว เราจักพยายามมิทำให้เจ้าต้องรู้สึกเป็นกังวลอีก”เสียงเล็กเว้นวรรคไปชั่วครู่ขณะรู้สึกถึงเนื้อผ้าที่เช็ดขึ้นมาถึงไหล่”แพทริเซีย...เราขอให้เจ้าอย่าห่างเราไปจะได้หรือไม่”

    ความรู้สึกผิดคล้ายหนามจำนวนนับไม่ถ้วนทิ่มแทงอก ภาพของเด็กชายที่ถูกรุมทำร้ายเพียงเพราะต้องการเข้ามาหาตัวเธอยังคงติดตรึงอยู่ในความคิด ขณะแพทริเซียพยายามดึงรั้งความอบอุ่นในน้ำเสียงของตน “ได้สิ ฉันจะไม่กลัวจนต้องทิ้งเธอไปอีก จะคอยอยู่ข้างๆ....”

    “....และจะปกป้องเธอด้วยพลังทั้งหมดที่มี ฉันสัญญา”

     

    กระเป๋าใส่สัมภาระถูกเปิดออกหลังจากเช็ดเนื้อตัวให้เด็กชายจนเสร็จ ความรู้สึกที่แสดงบนใบหน้างดงามบวกกับอุณหภูมิร่างกายที่ลดลงเป็นผลให้เด็กหญิงเบาใจขึ้นเล็กน้อย มือเรียวค้นกระเป๋ากุกกักเพื่อค้นหาของที่ตนพกติดตัวไว้ไม่ห่าง รอยยิ้มผุดขึ้นบนริมฝีปากสีชมพูระเรื่อขณะหยิบกล่องใบเล็กซึ่งถูกแบ่งเป็นหลายช่องสำหรับใส่ยาออกจากกระเป๋า

    “กินยานี่แล้วก็นอนเถอะนะ ร่างกายของเธอต้องการการพักผ่อน”แพทริเซียปลดสลักกล่องออก นิ้วมือเรียวสวยหยิบยาสีน้ำตาลรูปร่างกลมออกมาหนึ่งเม็ด จากนั้นจึงเอี้ยวตัวไปหยิบแก้วน้ำที่ตั้งอยู่บนโต๊ะข้างเตียงแตะหลังมือของอีกฝ่าย

    อัศมิตารับแก้วมาอย่างระมัดระวังด้วยคำนึงถึงน้ำหนักของเหลวที่อยู่ภายในก่อนอ้าปากรอเด็กหญิงป้อนยาให้ มองดูคล้ายลูกนกกำลังรออาหารจากแม่ และชั่วขณะที่ลิ้นสัมผัสได้ถึงรสขมของเม็ดกลมในปาก มือผอมบางก็จิบน้ำตามเข้าไปจนรู้สึกถึงความสดชื่นขึ้นเล็กน้อย

    ประกายพึงพอใจสะท้อนอยู่ในดวงตาสีอเมทิสต์ ก่อนที่เด็กหญิงจะนึกถึงเรื่องแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ได้”นี่ อัศมิตา ก่อนที่ฉันจะออกจากห้องไปเจอเธอตรงทางเดิน ฉันรู้สึกเหมือนกับว่ามีเสียงเหมือนโทรจิตดังขึ้นในหัว...เธอเป็นคนส่งไปหรือเปล่า”น้ำเสียงใสสะท้อนความไม่เข้าใจ

    ใบหน้างดงามดั่งรูปสลักพยักลงช้าๆเป็นคำตอบขณะที่มือผอมบางลูบผ้าชุบน้ำที่ถูกวางไว้บนหน้าผาก”เราคาดว่าจะเป็นเช่นนั้น”

    “แล้วเธอใช้วิธีไหนส่งโทรจิตล่ะ”คิ้วเรียวขมวดมุ่นหนักขึ้นไปเมื่อได้รับคำยืนยันของเด็กชายด้วยไม่เคยได้ยินเรื่องที่มนุษย์ธรรมดาสามารถใช้โทรจิตได้ มือผอมบางปิดกล่องยาอย่างแผ่วค่อยและหย่อนลงไปในกระเป๋าดังเดิม

    “ในขณะที่กำลังไปหาเจ้า เรากลับรู้สึกว่าความมุ่งมั่นของตัวเราบันดาลให้เกิดสิ่งแปลกประหลาดคล้ายความอบอุ่นในอกอันค่อยๆแผ่ไปทั่วร่าง เปรียบดุจสิ่งที่ทำให้เราก้าวต่อไปได้แม้ถูกพิษไข้รุมเร้าจนแทบไม่เหลือสติ...และชั่วขณะหนึ่งที่พลังนั้นเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ความคิดที่ว่าเราสามารถทำสิ่งใดก็ตามให้เป็นจริงได้พลันผุดขึ้นในหัว เราจึงเลือกสิ่งที่ปรารถนาที่สุดในขณะนั้น”เสียงใสเล่าอย่างซื่อตรง ใบหน้างดงามที่เปี่ยมล้นไปด้วยความจริงจังนั้นทำให้เชื่อได้ว่าอัศมิตากำลังกล่าวเรื่องจริงทุกประการ

    “งั้นเหรอ”

     

    โทรจิต

    ความอบอุ่นในอก

    เรื่องพวกนี้ไม่น่าจะเป็นไปได้สำหรับมนุษย์ธรรมดานี่นา ทำไมล่ะ

     

    ไม่สิ อัศมิตาอาจไม่ใช่มนุษย์สายเลือดแท้ก็ได้

    ฉันก็ไม่เคยเจอพวกเลือดแฝงตัวจริงด้วย บางทีพลังของคนกลุ่มนี้อาจซ่อนอยู่ลึกจนไม่สามารถสัมผัสได้เหมือนพวกเลือดบริสุทธิ์หรือเลือดผสม

     

    แพทริเซียไตร่ตรองเล็กน้อยก่อนเอ่ยความคิดที่ผุดขึ้นในศีรษะเมื่อครู่ ประกายของนัยน์ตาสีอเมทิสต์ไร้ซึ่งการหยอกล้อเล่น แต่กลับจริงจังและหนักแน่นกว่าที่เคย

    “ฉันคิดว่าเธออาจมีพลังเวทอยู่ก็ได้”

     

     

    หลังการถูกอบรมชุดใหญ่จากผู้เป็นพ่อ แคลร์ก็ได้มีเวลาว่างมากพอที่จะคลายข้อสงสัยที่แพทริเซียทิ้งไว้ เด็กหญิงตรงดิ่งไปที่ห้องของมาร์เซลีนก่อนจะปิดประตูให้สนิท มือทั้งสองเปิดผนึกของซองจดหมายที่วางคว่ำหน้าอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือด้วยใจเร่งร้อน ก่อนความรู้สึกคล้ายถูกโอบกอดอีกครั้งจะปรากฏขึ้นเมื่อเห็นลายมือที่คุ้นเคย

     

    ถึงแคลร์ที่รัก

    ในตอนที่เจ้าได้อ่านจดหมายฉบับนี้ ยายก็คงจะไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้แล้ว นี่เลยเป็นข้อความสุดท้ายที่ยายอยากจะส่งมอบให้เจ้า แม้ว่าจะมีอีกหมื่นพันข้อความที่ไม่สามารถใช้ตัวอักษรเขียนแทนได้หมด

     

    ยายคิดว่าเจ้าอาจรู้สึกเจ็บปวดหลังจากความตายของยาย ใช่ มันเป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกเสียใจกับความสูญเสียที่เกิดขึ้น แต่ขอให้เจ้าร้องจนหมดน้ำตาและเข้มแข็งเข้าไว้ ยายรู้ว่าแคลร์คนเก่งจะต้องเข้าใจความหมายแน่ คนเราตายไปก็แต่ตัว สิ่งที่เคยทำไว้ต่างหากที่จะถูกกล่าวถึงไปตลอดกาล เพราะงั้นยายไม่ได้หายไปไหน แต่จะอยู่ในทุกคำพูด ทุกความคิด ทุกการกระทำที่แคลร์ยังคงจำได้เสมอ

     

    นิ้วเรียวยาวปาดหยดน้ำที่ไหลรินออกจากดวงตาขณะความรู้สึกละอายใจเกิดขึ้นเมื่อสายตาไล่ช้าๆไปตามข้อความทีละบรรทัด

     

    ยายรู้ว่าเจ้าคงระแวงมารีมาตลอดเพราะการแสดงออกของนาง ทว่าใบหน้าไม่ใช่สิ่งที่จะตัดสินความดีงามของบุคคล และรอยยิ้มของนางที่เจ้าแคลงใจเกิดขึ้นเพียงเพราะนางไม่ต้องการเปิดเผยความรู้สึกเจ็บปวดของตนให้ผู้ใดรู้ จริงๆแล้วมารีเป็นคนที่ยายชักชวนเข้ามาในปราสาทแห่งนี้เอง ยายได้เรียนรู้ปัญหาของชนชั้นล่างจากนางมามากมาย เพราะงั้นบางทีอาจเรียกได้ว่านางเป็นครูคนหนึ่งของยาย แผนการที่เราวางกันไว้ก็ได้นางเป็นผู้ช่วยเบื้องหลังมาโดยตลอด

    นี่เป็นเพียงความเห็นแก่ตัวเล็กๆ แต่ขอให้เจ้าช่วยร่วมมือกับมารีเพื่อสานต่อเรื่องการช่วยเหลือผู้คนที่ไม่ได้รับโอกาสต่อไปได้หรือไม่ ยายเชื่อว่านางเองคงยินดีที่จะช่วยเหลือเจ้าต่อไปเช่นกัน

     

    สิ่งที่ยายจะบอกก่อนที่จดหมายฉบับนี้จะสิ้นสุดลงคือคำขอบคุณที่ยายได้มีช่วงเวลาที่สุดแสนวิเศษกับของขวัญล้ำค่าที่สุดอีกชิ้นของยาย แคลร์ เจ้าเป็นเด็กที่เข้มแข็ง กล้าหาญ และมีจิตใจดีที่สุดคนหนึ่งเท่าที่ยายเคยรู้จัก หากไม่มีเจ้า...ชีวิตของยายคงอ้างว้างมากหลังจากที่แม่ของเจ้าตายไป เจ้าเป็นเสียงหัวเราะ ความสุข ทำให้ยายรู้สึกว่าได้สิ่งที่ขาดหายไปคืนกลับมา หวังว่าถ้ามีโอกาสเราคงจะได้พบกันอีกครั้ง

    ปล.ที่ยายใส่จดหมายฉบับนี้ไว้ในลิ้นชักเพราะรู้ว่าเจ้าจะต้องมาพบเข้าสักวันแน่นอน

     

    ด้วยรักและห่วงใย

    มาร์เซลีน

     

    รอยยิ้มจางๆผุดขึ้นขณะเด็กหญิงรู้สึกราวกับเสียงอันอ่อนโยนได้กลับมาพูดคุยกับเธออีกครั้ง ความรู้สึกที่ราวกับเป็นช่องโหว่ในจิตใจได้ถูกโอบกอดไว้อย่างแนบแน่น

     

    ขอบคุณมาก แต่เข้าใจผิดแล้ว ท่านยาย

    ข้าไม่ใช่คนเข้มแข็งหรือกล้าหาญ เป็นเพียงคนขี้ขลาดที่เกือบยอมแพ้เพราะคำพูดของท่านพ่อ

    จดหมายฉบับนี้ก็ไม่ใช่ข้าที่หาพบ

     

    แต่ตอนนี้ข้าตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ท้อถอยอีกเป็นครั้งที่สอง

     

    ประกายของดวงตาสีม่วงที่มองไปยังภาพเหมือนของหญิงสาวซึ่งถูกแขวนไว้ในกรอบเปี่ยมไปด้วยความสุขดังเช่นวันวานของตนอีกครั้ง

     

    วันนี้ข้าได้เจอเพื่อนใหม่สองคน

    พวกเขาดีกับข้ามากแม้เรื่องวุ่นวายทั้งหมดจะเกิดขึ้นเพราะข้า

    ข้าอยากให้ท่านยายได้เจอพวกเขามากๆ แพทริเซียน่ะเหมือนกับท่านยายยิ่งกว่าข้าเสียอีก

     

    และถ้ามีโอกาสอีกครั้งข้าอยากจะขอบคุณพวกเขาสำหรับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนี้

    ขอบคุณที่ทำให้ข้าพบสิ่งที่ขาดหายไปอีกครั้ง.....

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×