ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Saint Seiya The Lost Canvas] The White Sky Memories

    ลำดับตอนที่ #14 : ความลับ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 178
      7
      3 ธ.ค. 60

    ผู้หญิงคนนี้เป็นใครกัน

     

    แพทริเซียจมอยู่ในห้วงของความเป็นไปได้นับร้อยขณะมองรูปสตรีสูงศักดิ์ที่ใบหน้าละม้ายคล้ายตนไม่มีผิด ก่อนร่างเล็กจะเริ่มตั้งสติได้จากการสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆ

     

    ใจเย็นก่อนแพทริเซีย

    การที่รูปอยู่ในปราสาทหลังนี้คงเกี่ยวข้องกับแคลร์แน่ๆ ค่อยๆคิดก็ได้

     

    นัยน์ตาสีอเมทิสต์ฉายแววพินิจพิเคราะห์ไปยังหญิงสาวในภาพ

     

    สีที่ใช้วาดยังไม่เก่ามาก การแต่งตัวอยู่ในช่วงไม่ไกลจากยุคสมัยนี้เกินห้าสิบปี

    คงจะเป็นรุ่นย่าหรือยายลงมาล่ะนะ

     

    ไม่สิ ถึงข้อมูลพวกนี้จะน่าสนใจ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการกลับไปหาอัศมิตาอยู่ดี

     

    เรือนผมยาวสีม่วงสะบัดไปตามจังหวะการส่ายหัวเพื่อสลัดความคิดอื่นออกไปจากสมองขณะใช้สมาธิส่งโทรจิตไปยังอีกฝ่าย”เป็นอะไรหรือเปล่าอัศมิตา เงียบไปนานเลยนะ”

    พลันเด็กหญิงรู้สึกอ่อนแรงลงราวกับผ่านการวิ่งระยะไกลมานับวัน กล้ามเนื้อเจ็บปวดดุจถูกรัดพันด้วยหนามแหลมคมราวต้องการประท้วงการใช้แรงที่ผิดธรรมชาติในการทำลายหินเมื่อครู่ ร่างเล็กทรุดตัวลง เหงื่อที่ผุดพราวหยดลงบนพรมหรูหรา

    “ไม่คิดเลยแฮะ...ว่ามันจะล้าขนาดนี้”แพทริเซียพยุงร่างตนเองขึ้น ก้าวขาที่แข็งดุจหินไปทางเตียงสี่เสาช้าๆก่อนจะล้มแผ่ลงบนเตียงอย่างหมดสภาพ หน้าอกขยับขึ้นลงจากการหอบถี่ขณะสติเริ่มหลุดลอยด้วยเหนื่อยล้าอย่างหนัก

     

    “แพทริเซีย จำได้ไหม...”

     

    เสียงอ่อนโยนในหัวดังขึ้นราวกับลอยมาจากที่ไกลแสนไกลในส่วนลึกของความทรงจำ

     

     

    “จอมเวทอย่างเราไม่ใช่เผ่าพันธุ์ที่มีความแข็งแรงโดยธรรมชาติ...ถ้าเกิดใช้อะไรก็ตามที่ทำให้เกิดความแข็งแกร่งทางกายภาพขึ้น ร่างกายจะต้องแบกรับภาระยิ่งกว่ามนุษย์ และเมื่อมันสะสมมากเข้า....”

     

    จะเป็นยังไง....

     

    เด็กหญิงตั้งคำถามในหัวพร้อมความรู้ตัวเฮือกสุดท้ายที่ยังคงเหลืออยู่ พลันเปลือกตาตกลงคลุมเฉดสีม่วงสดใสช้าๆก่อนจมลงสู่ห้วงนิทราอันลึกล้ำ

     

     

     

    “แพทริเซีย...แพทริเซีย!เสียงเล็กร้อนรนเมื่อไม่ได้ยินเสียงใสดังขึ้นในหัวอีกหลังจากโทรจิตสั้นๆครั้งสุดท้าย มือผอมบางกำแผ่นไม้โทรจิตในกระเป๋ากางเกงแน่น เครื่องหน้างามแสดงออกถึงความเครียดอย่างไม่อาจปิดบัง

    “เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า...สีหน้าไม่ค่อยดีเลย”น้ำเสียงของเด็กหญิงสูงศักดิ์เปี่ยมล้นด้วยความเป็นห่วงขณะสังเกตได้ถึงสีหน้าของเด็กชายที่เปลี่ยนไปกะทันหัน

    “แพทริเซีย...”อัศมิตาเว้นจังหวะไปครู่หนึ่งเมื่อคิดได้ว่าเจ้าของชื่อกลัวความลับเรื่องเวทมนตร์จะหลุดออกสู่คนนอกมากเพียงใด

     

    ความกลัวไม่มีทางเกิดขึ้นโดยไร้สาเหตุ

    หากการพูดเรื่องเวทมนตร์ก่อให้เกิดความเดือดร้อนขึ้น...เราจักไม่พูด

    แม้ว่าท่านแคลร์อาจเป็นเครือญาติของเจ้าก็ตาม

     

    “เรากังวลเรื่องของแพทริเซียว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนางหรือไม่”เด็กชายเลือกตอบโดยเลี่ยงสาเหตุที่แท้จริงเอาไว้ ใบหน้าน้อยก้มลงยังทิศของพื้นหิน

    “ทำใจให้สบายเถอะ ข้าเชื่อว่านางต้องไม่เป็นอะไร”น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยเป็นเชิงปลอบประโลม”บางทีท่านพ่ออาจไม่ทันสังเกตว่านางไม่ใช่ข้าเสียอีก...”ประกายที่ฉาบอยู่บนนัยน์ตาสีม่วงให้ความรู้สึกราวกับจมดิ่งลงสู่ก้นมหาสมุทรที่ลึกสุดคณานับ

    เด็กชายสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างในน้ำเสียงของแคลร์กำลังแปรเปลี่ยนไป“เหตุใดท่านจึงกล่าวเช่นนั้น...แม้ท่านกับแพทริเซียจะคล้ายคลึงกัน ทว่าผู้ที่มีความผูกพันทางสายเลือดควรจะแยกแยะออกได้โดยง่ายมิใช่หรือ”

    “หากเป็นพ่อคนอื่นที่ใกล้ชิดกับลูกคงเป็นเช่นนั้น...แต่สำหรับข้า ความสัมพันธ์ของพวกเราคงเหมือนนายกับบ่าวเสียมากกว่า”ความขมขื่นราวกับถูกหนามทิ่มแทงหัวใจบังเกิดขึ้นในอก”ท่านพ่อห่างเหินกับข้ามาก...สิ่งที่ข้าต้องทำมีแค่เพียงปฏิบัติตัวอยู่ในโอวาท สง่างามแบบชนชั้นสูง และ....”

    อัศมิตานิ่งเงียบตั้งใจฟังสิ่งที่แคลร์กำลังพูดด้วยรู้สึกได้ว่าจิตใจของเด็กหญิงเต็มไปด้วยความเดียวดายเพียงใด

    “ท่านพ่อหวังมาตลอดว่าข้าจะเป็นคนเก่ง จึงพยายามฝึกฝนทั้งแรงกายและวิชาความรู้ให้มากที่สุด”ใบหน้างดงามเงยขึ้น นัยน์ตาที่จับจ้องไปยังฟ้าสีครามหมองหม่นด้วยสิ้นหวัง”ท่านชื่นชมเดเจลที่เป็นลูกชายของตระกูลลูมิแยร์มาก เขาเป็นเด็กอัจฉริยะที่สุดเท่าที่ตัวข้าเคยพบเจอ ทุกครั้งที่คิดว่าไล่ตามทัน...ก็จะพบว่าเขาอยู่อีกระดับแล้ว”

    “หากมีเรื่องไม่สบายใจอื่นใดโปรดเล่ามาเถิด”รอยยิ้มอ่อนโยนขับเน้นให้เครื่องหน้างามบริสุทธิ์ผุดผ่องคล้ายภาพเขียนเทวดาในโบสถ์

    แม้จะพบกันได้เพียงไม่นาน ความรู้สึกเชื่อใจอย่างแปลกประหลาดก็บังเกิดขึ้นราวกับบางอย่างที่หลบเร้นในตัวของเด็กชายได้กระตุ้นให้เธอปลดปล่อยความทุกข์โศกออกมาอย่างเต็มที่“ข้าไม่เคยทำได้ตามที่ท่านพ่อคาดหวัง ไม่เคยอยากเป็นอัจฉริยะหรือได้รับเกียรติยศสูงสุด...และท่านพ่อไม่เคยยอมรับในความเป็นตัวข้า”ความน้อยอกน้อยใจพุ่งพล่านขึ้นในอกขณะแคลร์พยายามควบคุมน้ำเสียงของตนให้สงบนิ่งที่สุด”สำหรับท่านพ่อ...ข้าคงเป็นเหมือนสิ่งของในตู้จัดแสดงหรูหราที่มีไว้เพียงเพื่อให้แขกที่ผ่านไปมาชื่นชมเท่านั้น”

    เด็กหญิงนิ่วหน้าลง ความละอายและผิดบาปเข้าครอบงำในใจอีกครั้ง”ข้ารู้ดีว่าสิ่งที่ข้าคิดไม่ใช่สิ่งที่สมควร ขอโทษที่ให้เจ้าได้ยินเรื่องเช่นนี้”ร่างเล็กพลันนึกถึงหนังสือเกี่ยวกับขนบธรรมเนียมของชาวตะวันออกที่ตนเคยอ่าน พลางรู้สึกว่าตนได้ละเมิดความเชื่อเรื่องความกตัญญูต่อบิดาไปเรียบร้อยแล้ว

     

    จากชื่อแล้วเจ้าคงมีเชื้อสายชาวตะวันออก

    คงจะไม่ชอบใจที่ตัวข้าพูดจาเช่นนั้นออกไป

     

    แต่ว่า ทำไมข้าถึงเล่าไปเสียขนาดนี้กัน

    ราวกับรู้สึกว่าเจ้าจะยอมรับฟังได้เสมอ....

     

    “ที่ท่านเล่ามาย่อมเป็นการดีแล้ว อย่างน้อยคงช่วยให้ตัวท่านผ่อนคลายจากความอึดอัดในใจได้แม้สักนิด”มือผอมบางยกขึ้นประทับหน้าอกซ้าย”แม้ตัวเราที่มิได้พบเหตุการณ์ทุกอย่างเช่นท่านจะไม่อาจกล่าวว่าเข้าใจความรู้สึกนั้นได้ ทว่าเราเองก็เคยประสบกับความเจ็บปวดจากความคาดหวังจากท่านแม่เช่นเดียวกัน”น้ำเสียงท้ายประโยคแผ่วลงเล็กน้อยเมื่อนึกถึงอดีตของตน

     

    “ตาน่ะเปิดขึ้นมาเป็นไหม เกิดมาเป็นตัวกาลกิณีแล้วยังอยากจะทำตัวให้ชาวบ้านเขาเห็นว่าแกพิการอีกหรือ”

     

    “แกไปจำคำพูดพวกนั้นมาเมื่อไหร่...ทุกวันนี้ยังต่ำไม่พอสินะ อยากจะชั่วยิ่งกว่านี้ใช่ไหม”

     

    “ลุกขึ้นมาอัศมิตา อย่าคิดว่าแกล้งสำออยตอนป่วยแล้วจะทำให้ข้าเห็นใจแกขึ้นมาได้ ต่อให้แกฝันไปสักกี่ชาติข้าก็จะไม่มีวันทำเช่นนั้นกับผู้ที่เกิดมาล้างผลาญชีวิตข้า”

     

    นัยน์ตาสีม่วงเหลือบมองความหม่นเศร้าของเด็กชายที่แสดงออกทางสีหน้าอย่างปิดไม่มิดด้วยแววเห็นใจระคนประหลาดใจเล็กน้อยที่ตัวเขาไม่มีท่าทีโกรธเคืองในสิ่งที่เธอพูด”คงเป็นจริงตามที่เจ้าว่า ตัวข้าเองก็รู้สึกดีขึ้นหลังจากที่ได้พูดไปแล้วเช่นกัน”

    “งั้นหรือ...”ใบหน้างามแย้มยิ้มราวเด็กน้อยที่สามารถช่วยแบ่งเบาภาระของผู้ใหญ่ได้”หากแพทริเซียยอมเปิดใจและพูดออกมาเช่นท่านก็คงจะดี...”เด็กชายพึมพำแผ่วเบาในลำคอ ทว่าไม่อาจรอดพ้นการได้ยินของแคลร์ได้

    “ที่เจ้าพูดเมื่อครู่หมายความว่ายังไง”นัยน์ตากลมโตฉายแววสงสัยใคร่รู้เมื่อได้ยินชื่อของเด็กหญิงผู้คล้ายตนราวฝาแฝด

    ความลำบากใจส่งผลให้ริมฝีปากเม้มลงเล็กน้อยขณะคิดหาวิธีบอกเรื่องให้อีกฝ่ายเข้าใจโดยไม่ทำให้เพื่อนของตนเดือดร้อน”เรากับแพทริเซียพบเจอกันที่อินเดียและได้ออกเดินทางด้วยกันมาสักพัก เรารู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งที่คอยรบกวนจิตใจนางอยู่บ่อยๆ ทว่าดูเหมือนแพทริเซียจะพยายามหลบเลี่ยงเรื่องนั้นอยู่เสมอแม้เราจะพยายามถามสักเพียงใด นางบอกไว้ว่าหากถึงเวลาที่เราพบกับทางเลือกสำคัญในชีวิต...จึงค่อยเล่าเรื่องราวให้ฟังทั้งหมด”

    “ฟังดูเหมือนนางไม่อยากให้เจ้ารู้เรื่อง...อย่างน้อยก็ในตอนนี้”เสียงใสเอ่ยขณะพิเคราะห์คำพูดของอัศมิตา”ข้าคิดว่าอาจเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ทำใจยอมรับได้ยากอย่างการพรากจากหรือไม่ก็...ความตาย”

    “โปรดอธิบายให้เราฟังได้หรือไม่ ท่านแคลร์”เสียงเล็กเอ่ยอย่างฉงนเล็กน้อยด้วยนึกตามสิ่งที่เด็กหญิงพูดไม่ทัน ร่างผอมบางเอียงคอเล็กน้อย

    “เมื่อคนที่ผูกพันมากตายจากไป ย่อมเหลือความอาลัยอาวรณ์อยู่”แคลร์อธิบายพลางครุ่นคิดถึงบางสิ่ง”ยิ่งผูกพันมากก็ยิ่งไม่อยากยอมรับความจริง จึงไม่อยากพูดถึงเรื่องความตาย...เพื่อให้ตัวเองไม่เจ็บปวด เพื่อระลึกถึงความทรงจำที่มีร่วมกันเสมือนยังมีชีวิตอยู่”แม้ริมฝีปากงามจะแย้มยิ้มแต่กลับเจือปนด้วยความเศร้าสุดลึกล้ำ

    อัศมิตาสัมผัสได้ว่าน้ำเสียงของเธอแปลกไป ไม่ใช่เพียงการเล่า แต่ดูราวกับออกมาจากประสบการณ์ที่แท้จริง“ท่านเคยประสบเหตุนี้กับตนเองแล้วงั้นหรือ”

    “ใช่ มันเกิดขึ้นกับคนที่ข้าผูกพันที่สุด คนที่เป็นเหมือนเพื่อนของข้าในบ้านหลังใหญ่อันแสนเดียวดาย”ประกายในดวงตาดูอิดโรยลงอย่างกะทันหัน

    ”เป็นความรู้สึกหลังท่านยายของข้าตายจากไป...”

     

     

     

    แพทริเซียลืมตาขึ้นมองเพดานช้าๆ ความเหนื่อยล้าถาโถมเข้ามาแทบจะในทันทีที่รู้สึกตัว เด็กหญิงค่อยๆลุกจากสัมผัสนุ่มของเตียงอย่างเชื่องช้าขณะหันมองแสงสว่างที่สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างบานใหญ่

     

    ยังรู้สึกแบบนี้อยู่เลย บ้าจริง

    นี่ฉันหลับไปนานแค่ไหนแล้วนะ

     

    ร่างเล็กก้าวไปยังประตูก่อนมือน้อยจะแง้มออกเป็นช่องพอให้เห็นทางเดินหน้าห้องได้ ใบหน้างดงามชะโงกผ่านช่องว่างออกไปและเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อไม่พบหญิงสาวผมดำคอยอยู่ที่ประตู ริมฝีปากงามเม้มลงขณะงับบานประตูใหญ่ลงให้สนิทด้วยกำลังระดมความคิดว่าตนควรทำเช่นไรต่อไป

     

    ถึงขนาดเขาไม่รอก็คงจะนานอยู่

    เอาเถอะ อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่มีคนคอยตามประกบแล้ว

    ได้เวลาคิดแล้วว่าจะต้องหนียังไง

     

    นัยน์ตาสีม่วงก้มลงมองตนเอง เด็กหญิงรู้สึกได้ว่าความล้าของกล้ามเนื้อแขนและขายังมากพอจะเรียกได้ว่าอยู่ในสภาพหมดแรง

     

    อีหรอบนี้คงทำเรื่องอย่างปีนป่ายหรือใช้ความคล่องแคล่วไม่ไหวแน่ๆ

    กว่าจะหายสนิทคงอีกสักพัก เผลอๆปฏิบัติการหลบหนีอาจต้องเลื่อนมาเป็นตอนกลางคืน

    ไม่น่าใช้ของที่เคยเรียนมาแต่ทฤษฎีเลย

     

    คิ้วเรียวมุ่นลงด้วยหัวเสียเล็กน้อยก่อนจะฉุกคิดถึงบางอย่างขึ้นได้

     

    จริงสิ อย่างน้อยฉันก็ยังพอมีแรงใช้เวทมนตร์ได้...ไปดูลาดเลาก่อนดีกว่า

    การที่คนรับใช้พูดแบบนั้นแปลว่าแคลร์เคยหนีออกมาได้หลายครั้งแล้ว

    พลังที่เรียกว่าคอสโมนั่นช่วยให้หลบออกมาได้หรือเปล่าก็ไม่แน่ใจ

     

    แต่มีโอกาสสูงมากที่จะมีเส้นทางลับซ่อนอยู่ในปราสาทหลังนี้....

     

    นิ้วเรียวยาวม้วนปลายผมดังเช่นเวลาปกติขณะวางแผนการคร่าวๆในหัวก่อนใบหน้างดงามจะถูกเติมเต็มด้วยความมุ่งมั่น เด็กหญิงตั้งสมาธินึกถึงคำร่ายคาถาขึ้น พลันบังเกิดร่างเทียมซึ่งนอนสงบนิ่งบนเตียงใหญ่ มองดูคล้ายกำลังหลับสนิท

     

    ร่างเทียมนี่ก็ใช่ว่าจะอยู่ได้ทั้งวัน คงต้องรีบหน่อยล่ะ

     

    ร่างเล็กรู้สึกถึงความเย็นดุจสัมผัสผิวน้ำขณะใช้พลังทำให้ร่างของตนล่องหนหายไป แพทริเซียเปิดประตูอย่างรวดเร็วและแผ่วเบาเมื่อไม่เห็นผู้ใดกำลังผ่านทางเดินบริเวณหน้าห้องก่อนจะรีบปิดบานประตูไม้ก่อนที่จะมีผู้ใดมาเห็น

     

    ถ้าเป็นเวลาปกติก็คงใช้เวทล่องหนหนีออกนอกตัวปราสาทได้

    แต่ถ้าถึงขนาดรู้สึกได้ว่าพลังเวทในตัวลดลงไปขนาดนี้คงไม่รอดแน่

     

    พลันภาพฝันร้ายในอดีตปรากฏชัดขึ้นในความทรงจำอีกครั้ง มือนุ่มเนียนจิกเล็บลงในฝ่ามือแน่นจนเลือดแทบไหล

     

    แล้วเรื่องเมื่อตอนนั้นมัน....เกิดขึ้นได้ยังไง

     

    เด็กหญิงกำลังเดินไปตามทางเดินอย่างเงียบเชียบราวกับแมวเมื่อได้ยินเสียงของอองรีและปิแยร์ดังแว่วลอดประตูไม้บานหนึ่ง เธอหยุดฝีเท้าลงเพราะได้ยินชื่อของบุคคลที่ตนกำลังสวมรอย พลันแพทริเซียเกิดความรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นในอกจึงตัดสินใจทำเรื่องที่ไม่เคยถูกบรรจุลงในหนังสือมารยาทผู้ดีเล่มไหน ปลายเล็บนิ้วชี้ขวาขูดกับไม้หนาขณะควบคุมพลังของตนให้ไหลไปยังบานประตู

    โสตสัมผัสค่อยๆจับเสียงของบุคคลทั้งสองได้อย่างแจ่มชัดขึ้นตามลำดับ

    “ตอนนี้แคลร์หลับไปเรียบร้อย นางคงเหนื่อยเกินที่จะไปสร้างเรื่องอีก”เสียงทุ้มปะปนด้วยความเหนื่อยหน่ายใจ

    “สร้างเรื่องหรือ พอเถอะน่าปิแยร์ นางยังเด็กอยู่เลยนะ”อีกเสียงที่นุ่มกว่าเอ่ยแย้ง”ถ้าเจ้าปิดใจอยู่เช่นนี้คงไม่มีวันสร้างความสนิทสนมกับลูกตัวเองได้”

    “ความสนิทสนมไม่ใช่สิ่งจำเป็น นางควรเรียนรู้ที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่เสียที”แพทริเซียแทบจะเห็นท่าทีทระนงเช่นชนชั้นสูงปรากฏขึ้นภายในน้ำเสียงวางภูมินั้น”หลังจากท่านมาร์เซลีนตายแคลร์ก็กลายเป็นเช่นนี้”

    “ฟังดูเหมือนเจ้ากำลังกล่าวโทษคนตายอยู่”เสียงนุ่มยังคงรักษาความสงบไว้ได้ตลอด”อย่างไรเสียท่านมาร์เซลีนก็เป็นคนเลี้ยงนางมาตลอดหลังลูอิสตาย ได้ยินว่าท่านมีแนวคิดเกี่ยวกับด้านการกุศล...หากแคลร์จะยึดแนวคิดเลียนแบบบุคคลที่ตนรู้สึกผูกพันที่สุดจึงไม่ใช่เรื่องแปลก”

    “ฟังดูเหมือนเจ้าเอ็นดูลูกสาวข้าเหลือเกินนะอองรี”ปิแยร์ไม่วายเหน็บแนมเล็กน้อย”หากข้ารู้ว่าท่านมาร์เซลีนจะมีอิทธิพลต่อความคิดของนางขนาดนี้...คิดว่าข้าจะปล่อยให้มันเกิดขึ้นหรือ”

    เสียงของแก้วที่กระทบพื้นโต๊ะอย่างแผ่วเบาทำให้คาดเดาได้ว่าไวน์ในแก้วหนึ่งแก้วใดคงพร่องปริมาณลงเล็กน้อย

    “ท่านมาร์เซลีนเป็นคนแปลกที่สุดเท่าที่ข้าเคยเจอ”เสียงขรึมเอ่ยอย่างไม่สบอารมณ์นัก”ตั้งแต่แนวคิดไปถึงความงามไม่สร่างซาแม้จะล่วงเข้าวัยกลางคน หากไม่ตายด้วยเรื่องเช่นนั้นเสียก่อนก็ดูคลับคล้ายพวกแม่มดพิลึก”

    เด็กหญิงรู้สึกราวอะไรบางอย่างเหนี่ยวเธอไว้ดุจต้องการให้รั้งรอ แพทริเซียนึกสัญญากับตนเองว่าเมื่อบทสนทนานี้สิ้นสุดลง ตัวเธอจะไม่หลงมัวเมาไปกับข้อมูลอื่นใดอีกนอกเหนือจากการคิดแผนหนีให้สำเร็จ

     

    ความคิดที่แตกต่าง

    เป็นต้นแบบให้แคลร์นึกอยากทำการกุศล

    แถมหน้าตาเหมือนพวกเรามาก

     

    บางทีท่านมาร์เซลีนที่ว่าอาจเป็นจอมเวทจริงๆ

     

    แพทริเซียตั้งสมาธินึกถึงหนังสือเล่มหนาว่าด้วยการสืบสายเลือดของจอมเวท หน้ากระดาษที่จารึกตัวอักษรไว้ปรากฏขึ้นในความทรงจำ

     

    “หากจอมเวทย์มีทายาทกับมนุษย์มากรุ่นเท่าใด โอกาสปรากฏลักษณะทางเวทมนตร์ในทายาทจะน้อยลงตามลำดับ”

     

    เพราะงั้นอาจเป็นเหตุผลที่ฉันสัมผัสพลังจากตัวแคลร์ไม่ได้

     

    เด็กหญิงนึกถึงใบหน้าซีดขาวด้วยตกใจของฝ่ายที่ล้มลงไปบนพื้น เป็นจังหวะที่ชายหนุ่มผู้เป็นแขกเอ่ยตอบคู่สนทนาพอดิบพอดี

    “ความสวยของสตรีที่แทบไร้วันโรยราก็เป็นสิ่งที่งดงามมิใช่หรือ”อองรีเอ่ยด้วยน้ำเสียงสบายอารมณ์”หากท่านมาร์เซลีนเป็นแม่มดจริงก็มิได้สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้ใด”

    “ยังคงมองโลกในมุมของบุรุษเจ้าเสน่ห์เหมือนเดิมนะเจ้านี่”เด็กหญิงแทบจะเห็นภาพดวงตาสีฮาเซลฉายแววเหนื่อยหน่ายที่โดนผู้เป็นสหายขัดแย้งในแทบทุกคำพูด”ข้าล่ะสงสัยจริงว่าเหตุใดผู้ที่ทำให้สตรีหลงรักได้แทบตลอดเวลาเช่นเจ้าจึงไม่คิดมีสัมพันธ์ซ้อนหลังแต่งงาน”

    “เพราะข้ารักเพียงอาลูเอตต์คนเดียว”เสียงนุ่มระรื่นขึ้นจนคล้ายการล้อเล่น”สิ่งที่สตรีผู้อื่นมีให้กับข้ามิใช่ความรักแต่เป็นความหลง พวกนางเข้ามาหาแม้ยังไม่รู้จักนิสัยใจคอข้าสักนิด”

    “อา...”เสียงตอบรับในลำคอดังอย่างไม่นึกกระตือรือร้นเท่าใดนัก”แล้วช่วงนี้นางเป็นเช่นไรบ้าง เดเจลกำลังจะไปบลูกราดในอีกไม่ช้ามิใช่หรือ”

    “ซึมลงไปเห็นได้ถนัดตา นางเฝ้าแต่กังวลว่าลูกจะป่วยไข้ไม่สบายหรืออย่างอื่นสุดแล้วแต่ที่จะคิดได้แม้เดเจลสัญญาว่าจะเขียนจดหมายมาหาบ่อยๆ”แพทริเซียสัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงที่ชายหนุ่มกำลังรู้สึกในขณะนี้

     

    บลูกราด...ดินแดนน้ำแข็งที่เป็นศูนย์รวมความรู้ของพวกมนุษย์น่ะเหรอ

    ถ้าได้ไปก็คงจะดีเหมือนกันนะ

     

    แต่ถ้าเซนต์ที่ว่านี่ต้องทดสอบพละกำลังเพื่อให้เป็น...จะไปที่นั่นทำไมล่ะ

     

    “ลูกเจ้าได้รับเกียรติถึงเพียงนั้นยังจะเสียใจอีกหรือ”คำพูดที่ออกมาแสดงให้เห็นว่าปิแยร์รู้สึกไม่เข้าใจความคิดของสตรีผู้ถูกกล่าวถึง

    “สตรีเป็นสิ่งละเอียดอ่อน ข้าเองก็ไม่เข้าใจนางไปเสียทุกเรื่องหรอก...แต่ถ้าเลือกที่จะใช้ชีวิตร่วมกันแล้วก็ต้องพยายาม”เสียงนุ่มเอ่ยราวหนุ่มเจ้าเสน่ห์ผู้ให้คำปรึกษาความรักกับเพื่อนก่อนจะเว้นไปครู่ใหญ่”พูดถึงเรื่องมีเสน่ห์แล้ว...จำท่านโยเซฟแห่งออสเตรียได้ใช่ไหม”

    “แน่ล่ะ ชายหนุ่มหล่อเหลาเจ้าเสน่ห์ที่หญิงสูงศักดิ์แทบทั้งยุโรปหมายปอง”เสียงทุ้มเอ่ยเสียดสีราวไม่นึกใส่ใจ”เห็นว่าแต่งงานไปแล้วไม่ใช่หรือ...กับผู้หญิงที่แสนงดงามคนนั้น”

    “มีลูกกันหลายคนแล้วด้วย”อองรีกล่าวเรียบๆ

    “ซึ่งมันคงไม่เกี่ยวกับสิ่งที่เจ้าต้องการจะสื่อ”อีกฝ่ายเร่งรัดเอาคำตอบ เด็กหญิงแทบเห็นภาพคิ้วเข้มขมวดลงอย่างนึกหงุดหงิด

    “ยังจำแม่สาวกิเซลา สนมผมน้ำตาลสุดสวยคนนั้นได้ไหม”เลศนัยถูกถ่ายทอดผ่านน้ำเสียงนุ่ม”ดูเหมือนท่านโยเซฟจะยังทิ้งนิสัยเจ้าสำราญของตนไม่ได้สักเท่าไร”

    “แต่งงานแล้วยังไม่คิดเลิกอีกหรือ”ปิแยร์แค่นเสียงแสดงความไม่เห็นด้วย”อย่าให้เป็นเหมือนอดีตกษัตริย์อ้วนตระกูลผมแดงที่เบื่อของเก่าจนเกิดเรื่องวุ่นไปทั่วก็แล้วกัน”

    “คงไม่ถึงขั้นนั้น อย่างไรเสียท่านหญิงเอกก็ยังเป็นสตรีที่งามยิ่งกว่า”เขาเว้นช่วงไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยต่อ”คงแค่นึกอยากฆ่าเวลาระหว่างที่นางตั้งครรภ์กระมัง”

     

    ถ้าข่าวลือนั่นเป็นความจริงก็คงเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัวมาก

     

    คิ้วเรียวขมวดลงด้วยนึกไม่ชอบใจในสิ่งที่ตนได้ยินเมื่อครู่

    “และเรื่องล่าสุดที่ข้ารู้มาเกิดขึ้นก่อนหน้านั้น”อองรีเอ่ยราวเปิดประเด็นถกวิชาการ”ท่านโยเซฟมีลูกชายกับสตรีคนหนึ่งนอกการสมรส”

    “ให้ข้าเดาคงเป็นสนมกำนัลสักคน...”

    “ผิดถนัด เรื่องเกิดขึ้นก่อนท่านโยเซฟจะกลับออสเตรียเป็นปี...ที่อินเดีย” ร่างเล็กที่ใช้เวทแอบฟังสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินข้อมูลนั้น แพทริเซียแทบทนรอเขาพูดต่อไม่ไหว”และถ้าเด็กคนนี้มีอยู่จริงก็คงอายุมากกว่าลูกๆของท่านหญิงเอกทุกคน น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับแคลร์ได้”

    ความตกตะลึงเป็นผลให้นัยน์ตาสีม่วงเบิกกว้างขึ้นเมื่อได้รับเบาะแสที่ตนไม่เคยคาดคิด

     

    โยเซฟ

    ออสเตรีย...ส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์

    ชนชั้นสูงรูปงาม...น่าจะมีอิทธิพลพอดู

    ลูกนอกสมรสอายุราวๆนี้ที่อินเดีย

     

    ดูท่าการเดินทางในครั้งนี้คงต้องเพิ่มออสเตรียลงไปในแผนด้วยแล้วสิ

     

    “เดือนหน้าก็จะมีฉลองครบรอบงานแต่งงานแล้ว...มองภายนอกดูรักกันดีเสียจริง”น้ำเสียงหมั่นไส้ถูกเอ่ยขึ้นจากปากของปิแยร์ขณะที่แพทริเซียรีบจดจำรายละเอียดไว้

     

    เดือนหน้างั้นเหรอ...พอไปถึงค่อยลองถามข่าวคราวเรื่องงานเลี้ยงดูแล้วกัน

    แต่เรื่องเจ้าชู้นั่นสิ การทิ้งลูกชายไปแต่งงานก็ยิ่งมีโอกาสที่จะเป็นเรื่องจริงซะด้วย

     

    ไม่เป็นไร อย่างน้อยถ้าท่านโยเซฟที่ว่านั่นเป็นพ่อจริง พอให้อัศมิตาได้พอรู้จักฐานะแล้วค่อยเลี่ยงออกมาก็ได้

    เด็กคนนั้นคงเจ็บปวดถ้าความจริงที่หลีกหนีมาตลอดถูกตอกย้ำลงไป พ่อนิสัยแบบนี้ต่อให้เจอลูกตัวเองจริงก็คงไม่อยากนับญาติด้วยเท่าไหร่หรอก

    เพราะงั้นฉันจะปกป้องเธอที่กำลังลุกออกจากอดีตเอง

     

    ริมฝีปากได้รูปแย้มขึ้นเป็นรอยยิ้มชวนมองขณะที่แก้มผุดผาดแดงระเรื่อด้วยสีเลือดฝาดเมื่อนึกถึงใบหน้างามที่ถูกระบายด้วยความบริสุทธิ์ดุจผืนผ้าขาว

     

     

    ฝีเท้าของเด็กหญิงร่างสูงนำเด็กชายตาบอดออกจากละแวกชุมชนเก่าโทรมพร้อมกับกลิ่นเหม็นอับที่จางหายไปตามกัน นัยน์ตาสีม่วงทอดมองบ้านเรือนบนถนนหินปูที่ดูสะอาดตากว่าทิวทัศน์ของตรอกเล็กแคบ

    “เรามาถึงถนนใหญ่กันแล้ว”

    “ขอบคุณท่านมาก”ริมฝีปากน้อยถูกยกเป็นรอยยิ้มใสซื่อ เสียงช่วงท้ายแผ่วค่อยลงเล็กน้อยขณะขบคิดในหัวว่าควรทำเช่นไร เป็นจังหวะประจวบเหมาะกับเสียงใสในหัวที่ก้องดังขึ้น

    “ขอโทษที่เงียบหายไปนานนะ”เสียงใสที่กังวานราวกระดิ่งลมบ่งบอกถึงความรู้สึกผิดที่อยู่ในจิตใจ

    “แพทริเซีย...”มือผอมบางกำแผ่นไม้โทรจิตในกระเป๋ากางเกงแน่นจนแคลร์รู้สึกผิดสังเกต เครื่องหน้าแสดงอาการดีอกดีใจอย่างหลงลืมที่จะปิดบัง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นความกังวลเมื่อนึกถึงความเป็นไปได้ที่อาจเกิดขึ้น”เหตุใดจึงไม่ตอบโทรจิตของเราอย่างนั้นหรือ มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับตัวเจ้าหรือไม่...เช่นการโดนจับได้ว่าเจ้าไม่ใช่ท่านแคลร์”

    “ใจเย็นก่อนสิ”เด็กหญิงปราม”ฉันหลับไปเพราะผลข้างเคียงจากการใช้เวทเสริมพลังร่างกายน่ะ...”

    “ร่างกาย?”อัศมิตาเอียงคอเล็กน้อยอย่างรู้สึกฉงน”ทว่าพลังของเวทมนตร์ที่เจ้ามีนั้นน่าจะทดแทนการใช้เรี่ยวแรงได้มิใช่หรือ”

    “ถ้าเป็นเวลาปกติมันก็ใช่อยู่หรอก แต่ว่าพ่อคุณหนูแคลร์คิดจะทดสอบอะไรไม่รู้...เอาหินก้อนเบ้อเร่อมาตั้งไว้กลางห้องแล้วบอกให้ทำลายทิ้งแถมบอกแค่ชื่อพลัง ฉันเลยนึกเรื่องเวทเสริมความแข็งแกร่งขึ้นมาได้ว่าอาจช่วยทำให้เรื่องนี้ดูเป็นได้ทั้งสองแบบ”ร่างเล็กสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเหนื่อยใจในน้ำเสียงนั้น

    “แปลกจริง...”เด็กชายพยายามจินตนาการภาพตามคำบอกเล่าของแพทริเซีย”เวทที่เล่าให้ฟังมีผลกระทบอื่นใดต่อตัวเจ้าอีกบ้างหรือไม่”

    “ไม่อยากจะยอมรับหรอก...แต่มันก็มีจริงๆ”อัศมิตาสัมผัสได้ว่าในใจของเธอเต็มไปด้วยคำตำหนิตัวเองจนนับไม่ถ้วน”ฉันมันบ้าเองที่ไปลองเวทที่ไม่เคยใช้เพราะประมาทคำเตือนในหนังสือ สุดท้ายก็เหนื่อยจนกล้ามเนื้อล้าแบบนี้เลยได้แค่หาทางวางแผนไปก่อน...แผนการหนีคงต้องเริ่มตอนกลางคืนแล้วล่ะ ขอโทษนะ”

    ริมฝีปากน้อยของเด็กชายเม้มแน่นลงด้วยลังเลก่อนตัดสินใจบอกออกไป“ในตอนนี้เราพบกับท่านแคลร์แล้ว”

    “จำได้ว่าคุณหนูแคลร์วิ่งหายไปไหนไม่รู้นี่ ไปเจอกันได้ยังไงเหรอ”ความประหลาดใจปรากฏชัดในเสียงโทรจิตที่ก้องสะท้อนทั่วศีรษะ

    “เราหนีจากกลุ่มเด็กที่ปาก้อนหินใส่จนพลัดหลงมาอยู่ในย่านคนยากไร้...”อัศมิตาละรายละเอียดเรื่องหญิงชราไว้”จากนั้นมีกลุ่มคนที่ต้องการชิงทรัพย์สินในกระเป๋าของเจ้า จังหวะที่เรากำลังอับจนหนทางอยู่...ท่านแคลร์ก็ช่วยเราออกมาได้”ประโยคสุดท้ายถูกเอ่ยอย่างชื่นชมราวนึกถึงเทพยดาบนสรวงสวรรค์

    “เธอโดนทำร้ายมาเหรอ เป็นอะไรมากหรือเปล่า”ความห่วงใยในน้ำเสียงของเด็กหญิงเป็นผลให้อัศมิตารู้สึกเจ็บแปลบขึ้นในอก

     

    ไม่ต้องการเป็นสาเหตุให้นางต้องวิตกกังวล

     

    “ก้อนหินที่พวกเราขว้างปาไม่ถูกตัวเรา เช่นนั้นแล้วบาดแผลบนกายนี้จึงมีเพียงเมื่อครั้งที่เจ้าถูกพาตัวไปเท่านั้น”นิ้วผอมบางเลื่อนไปแตะรอยแผลถลอกบริเวณข้อศอกซ้าย ขณะเด็กหญิงที่จับมือข้างนั้นเลิกคิ้วขึ้นด้วยสงสัยในกิริยาอาการแปลกประหลาด

     

    เป็นอะไรของเจ้ากันนะ ทำไมสีหน้าท่าทางเหมือนคุยกับใครสักคนอยู่

     

    แคลร์ตัดสินใจที่จะเงียบและเฝ้าดูเด็กชายตาบอดขณะฝีเท้าของทั้งคู่มุ่งหน้าต่อไปเรื่อยๆ

    “เธอไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้วล่ะ”เด็กชายแทบจะได้ยินเสียงถอนหายใจโล่งอกผ่านโทรจิตของแพทริเซียก่อนเธอจะเว้นช่วงไปครู่ใหญ่

    ”จริงสิ เธอรู้สึกว่าแคลร์มีบางอย่างที่แปลกไปบ้างไหม...ประมาณว่าดูเหมือนมีพลังมากกว่ามนุษย์ธรรมดาน่ะ”

    “พลังพิเศษงั้นหรือ...”นิ้วมือน้อยๆยกขึ้นแตะริมฝีปากขณะครุ่นคิดถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา”เราติดใจในเรื่องความเร็วของท่านแคลร์ จริงอยู่ว่าการวิ่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้ความรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง...ทว่าเทียบกับเหตุการณ์เมื่อครั้งอยู่อียิปต์แล้ว ฝีเท้าของนางว่องไวจนเราเกือบตามไม่ทัน”

    “ฝีเท้าของเจ้าในเหตุการณ์นั้นก็รวดเร็วมากเช่นกัน...ไม่เช่นนั้นแล้วคงหลบหนีจากกลุ่มโจรทะเลทรายมิได้”อัศมิตาแก้ตัวเป็นพัลวันด้วยไม่ต้องการให้เด็กหญิงเก็บคำพูดของตนไปคิดมาก

    “นี่ อัศมิตา”เสียงใสของแคลร์ดังขึ้นขัดจังหวะด้วยอดรนทนความสงสัยต่อไปไม่ไหว”เจ้ามีสีหน้าท่าทางแปลกๆมาตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว...กำลังทำอะไรอยู่หรือ”

    ร่างผอมบางสะดุ้งโหยงสุดตัว เครื่องหน้างามฉายถึงความหวั่นวิตกเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตนทำสิ่งใดลงไป

     

    เราเผลอตัวแสดงอากัปกิริยาเฉกเช่นเวลาคุยกับแพทริเซียไปเสียแล้ว

     

    “แพทริเซีย เราขอโทษเจ้าด้วยความสัตย์จริง...”เสียงเล็กแสดงความสำนึกผิดจากก้นบึ้งของจิตใจ”จากการที่เราพลั้งแสดงพิรุธออกมาผ่านท่าทีจึงเป็นผลให้ท่านแคลร์เกิดความสงสัยเข้า ควรจะทำเช่นไรต่อไป”

    “เธอไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเป็นอย่างนั้นซะหน่อยนี่ อย่าโทษตัวเองไปเลย”คู่สนทนาเอ่ยปลอบผ่านโทรจิต”ฉันเองก็มีเรื่องที่สงสัยเกี่ยวกับแคลร์อยู่เหมือนกัน ใช้โอกาสนี้ลองถามเลียบๆเคียงๆไปก่อนอาจช่วยให้ได้ข้อมูลมากขึ้นก็ได้”

    “เรื่องใดที่เจ้าสงสัยหรือ...”

    อัศมิตารู้สึกได้ถึงความลำบากใจที่ผุดขึ้นเมื่อได้ฟังคำตอบของอีกฝ่าย

     

    จากท่าทีของแพทริเซียที่ผ่านมา หัวข้อนี้คงมิใช่เรื่องที่สามารถพูดกันโดยทั่วไปได้

    หวังเพียงแต่ผลลัพธ์ในครั้งนี้จะเป็นไปตามที่นางคาดการณ์ไว้

     

    ร่างเล็กของเด็กชายหันไปทางต้นเสียงด้านข้างก่อนเอ่ยปากด้วยจังหวะแผ่วค่อยพอให้ได้ยินเพียงสองคน”กรุณาขยับเข้ามาใกล้ตัวเรามากกว่านี้ได้หรือไม่ เรามีเรื่องบางอย่างที่สงสัย...แต่เกรงว่าหากเอ่ยให้ผู้อื่นได้ยินเข้าจะส่งผลไม่ดีตามมา”

    คิ้วเรียวเลิกสูงขึ้นด้วยแปลกใจขณะแคลร์ก้าวเข้าไปชิดเด็กชายในระยะของการกระซิบ”มีอะไรหรือ”

    ลมที่ผ่านออกมาพร้อมกับคำพูดของอัศมิตาส่งผลให้เด็กหญิงสูงศักดิ์รู้สึกจั๊กจี้บริเวณใบหูเล็กน้อย”ท่านเชื่อว่าเวทมนตร์คาถามีจริงหรือไม่”

    “ข้าเชื่อเช่นนั้น”ความประหลาดใจก่อตัวขึ้นเมื่อเสียงนั้นมิได้มีทีท่าจะรังเกียจแม้น้อยนิด แต่กลับสงบและอิ่มเอิบราวได้นึกถึงความทรงจำอันเปี่ยมสุข”เพราะท่านยาย...”ฟันขาวสวยเผลอกัดริมฝีปากของตนเมื่อรู้สึกตัวว่าได้พูดสิ่งที่ไม่ควรลงไป

     

    แย่ละสิ ข้าเผลอพูดไปจนได้

    อัศมิตาถามคำถามนี้ไปเพื่ออะไรกัน

    หรือจะรู้เรื่องของสายโลหิตทางฝั่งแม่ของข้า

     

    ไม่หรอก คงเป็นความบังเอิญเสียมากกว่า

     

    มือเนียนลูบปลายผมของตนเบาๆขณะรวบรวมสติเพื่อพูดต่อให้จบ”เพราะท่านยายเคยเล่าเกี่ยวกับตำนานต่างๆให้ฟังมากมายเมื่อครั้งท่านยังมีชีวิตอยู่ และหากพวกเขามีตัวตนอยู่จริง...ข้าก็ไม่คิดรังเกียจเพียงเพราะพวกเขาใช้พลังเวทได้”

     

    การเว้นช่วงจังหวะไปครู่ใหญ่

    น้ำเสียงในประโยคที่ถูกต่อจนจบเปลี่ยนไปเป็นความตกตะลึงระคนไม่มั่นใจ

    เสียงการเต้นของหัวใจที่รุนแรงขึ้นจนสังเกตได้

     

    ท่านกำลังปิดบังบางสิ่งไว้จริงๆ

     

     

    อัศมิตาหวนนึกถึงภาพของสตรีสูงศักดิ์ที่เพื่อนของตนเล่าให้ฟังเมื่อครู่

    “งั้นหรือ...”เสียงเล็กเอ่ยอย่างนุ่มนวลเช่นเคยด้วยพยายามทำให้บรรยากาศไม่ตึงเครียดจนเกินไปขณะเข้าประเด็น

    ”ท่านยายของท่านเป็นจอมเวทใช่หรือไม่”

    ใบหน้าขาวพลันซีดเผือดจนดูคล้ายหิมะกลางฤดูหนาว“จ-เจ้ารู้เรื่องนี้ได้อย่าง...”รอยยิ้มเล็กๆผุดขึ้นบริเวณมุมปากเมื่อนึกถึงบางสิ่งขึ้นได้ แววยอมแพ้ปรากฏอยู่ในดวงตาสีม่วง”เป็นจอมเวทเช่นกันใช่ไหม...แพทริเซียเพื่อนของเจ้า”

    “ท่านแคลร์ถามว่าเจ้าเป็นจอมเวทหรือไม่ เราควรตอบเช่นไร”ร่างเล็กแสดงอาการลนลานเมื่อถูกถามคำถามที่ไม่ได้เตรียมใจไว้ล่วงหน้า

    “ก่อนอื่น แคลร์แสดงท่าทียังไงกับคำถามที่ฉันให้เธอลองถามไปบ้าง”เสียงใสเปี่ยมไปด้วยความเอ็นดู หากเป็นในยามปกติ สัมผัสอบอุ่นที่ถูกวางลงบนเรือนผมสีทองพิสุทธิ์มักจะตามมาในไม่ช้า

    “เป็นดังที่เจ้าคาดการณ์ไว้ นางมิได้แสดงท่าทีรังเกียจเดียดฉันท์เวทมนตร์เลยแม้แต่น้อย และเราพบพิรุธในน้ำเสียงของท่านแคลร์ราวต้องการปกปิดถึงความเกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น”อัศมิตารายงานเจื้อยแจ้ว

    “แคลร์น่าจะรู้ว่าเวทมนตร์มีจริง อย่างน้อยก็จากผู้หญิงในรูปนั่น”จังหวะของการพูดฟังดูสุขุมขึ้นราวกำลังพินิจพิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้บางอย่าง”การพยายามปกปิดแบบนี้แปลว่าคงไม่ได้เห็นจอมเวทเป็นศัตรู คิดว่าปลอดภัยพอที่จะบอกได้”

    เด็กชายตกปากรับคำในโทรจิตก่อนจะเงยขึ้นเผชิญกับต้นเสียงที่อยู่ข้างกาย”ท่านเข้าใจถูกต้องแล้ว”

    เรือนผมนุ่มสลวยดุจเส้นไหมขยับไปตามจังหวะการส่ายหน้าเล็กน้อยราวกับไม่อยากเชื่อความจริงที่ตนเพิ่งรับรู้”ถ้าเช่นนั้นข้ากับแพทริเซียคงเป็นญาติกันจริง คิดว่าจะไม่มีโอกาสเจอญาติที่เป็นคนของทางฝั่งนั้นเสียแล้วหลังท่านยายจากไป”นัยน์ตากลมโตจับจ้องคู่สนทนา”เดาว่าท่าทางของเจ้าเมื่อครู่คงเกิดจากการติดต่อนางใช่หรือไม่”

    อัศมิตาประมวลผลคำในสมองเล็กน้อยก่อนจะพยายามเรียบเรียงให้อีกฝ่ายเข้าใจ”เป็นอย่างที่ท่านว่ามา”มือผอมบางล้วงไม้แผ่นเล็กออกจากกระเป๋ากางเกง”สิ่งนี้คืออุปกรณ์ช่วยในการโทรจิตสำหรับผู้ไร้พลังเวท หากแตะไว้กับตัวแล้วตั้งสมาธิ นึกคำที่ต้องการเอ่ยแล้วแผ่นไม้จักช่วยส่งคำพูดเหล่านั้นไปยังแผ่นไม้อีกแผ่นที่เป็นคู่”

    “ข้าขอดูหน่อยได้ไหม”เสียงใสที่คล้ายกับแพทริเซียราวฝาแฝดเอ่ยถาม

    “เรื่องนั้น...”ความลำบากใจก่อตัวขึ้นในอกของเด็กชาย”แพทริเซีย เราบอกเรื่องที่เจ้าเป็นจอมเวทรวมทั้งเรื่องของอุปกรณ์ช่วยในการโทรจิตกับท่านแคลร์ไปแล้ว และตอนนี้นางกำลังขอดูแผ่นไม้นั้น...เจ้าจะอนุญาตหรือไม่”

    “เอาสิ ฉันเองก็มีเรื่องอยากถามแคลร์อยู่ตั้งหลายเรื่องเหมือนกัน”

    “แต่หากแผ่นไม้ออกห่างจากตัวไปแล้ว เราจะมิสามารถส่งโทรจิตพูดคุยกับเจ้าได้มิใช่หรือ”เสียงเล็กเอ่ยอย่างหม่นหมอง ความรู้สึกคล้ายกำลังจะถูกทอดทิ้งส่งผลให้เครื่องหน้างามแสดงอาการเศร้าซึม

    แม้จะพยายามปกปิดไว้ ทว่าเสียงของแพทริเซียก็ยังเจือความขบขันเล็กน้อย“อย่าห่วงไปเลยน่า เรื่องนั้นเธอแค่แตะแผ่นไม้พร้อมกันกับแคลร์ก็จะใช้โทรจิตมาหาฉันได้ทั้งคู่แล้วล่ะ”

    “เราเข้าใจแล้ว...”ร่างผอมบางถอนหายใจโล่งอกก่อนยื่นไม้แผ่นเล็กออกไปยังทิศทางเสียงของแคลร์

    มือขาวเนียนรับวัตถุจากอัศมิตาก่อนพินิจดูลวดลายวิจิตรที่ถูกแกะสลักอยู่บนแผ่นไม้ สีฟ้าสดใสของลูกแก้วดูราวกับหมอกหมุนวนอ้อยอิ่ง”เป็นผลงานที่สวยมากเลย..”เด็กหญิงสูงศักดิ์พึมพำในลำคอ

    “สวัสดีคุณหนูแคลร์ ยินดีที่พวกเราได้คุยกันเป็นครั้งแรก”เจ้าของเรือนผมสีม่วงสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงที่เหมือนตนไม่มีผิดเพี้ยนก้องดังขึ้นในหัว”แต่คิดว่าอัศมิตาคงจะบอกชื่อฉันให้ท่านรู้ไปแล้วสินะ...”

    “แพทริเซีย..ใช่ไหม”แคลร์ตั้งสมาธิก่อนการเอ่ยถามครั้งแรกผ่านโทรจิต”ข้าขอโทษจริงๆ สำหรับเรื่องวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับพวกเจ้า”

    “อย่างน้อยก็ผ่านมาได้จนถึงตอนนี้ล่ะนะ”แม้จะรู้สึกถึงความขุ่นเคืองในน้ำเสียงของแพทริเซีย แต่ก็สัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายไม่นึกโกรธเธอจริงจังนัก”ถ้าจะขอโทษจริงๆ ฉันอยากให้ท่านขอโทษอัศมิตาจะดีกว่า...เด็กคนนั้นได้แผลเพราะพวกคนที่มาตามท่านขวางไม่ให้เข้าถึงตัวท่านแคลร์ของพวกเขา”

    “ข้าได้ขอโทษเขาไปแล้ว...”แคลร์เอ่ยคล้ายสารภาพบาปในโบสถ์”ข้าไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องจะต้องเข้ามาพัวพันกับการที่ข้าแอบหนีออกมา...”

    “เอาเถอะ เรื่องมันแล้วก็แล้วไป...ดูเหมือนว่าท่านจะไม่ใช่พวกหัวดื้อที่ยืนกรานว่าตัวเองถูกเสมอ ฉันเองก็ต้องขอโทษด้วยที่ใช้คำไม่เหมาะสมกับฐานะของท่าน”เสียงของแพทริเซียอ่อนลงราวยอมอภัยให้กับเรื่องราวในครั้งนี้”ส่วนอัศมิตา คิดว่าเขาคงไม่นึกโกรธท่านหรอก”แคลร์จับได้ถึงความรู้สึกเอ็นดูของคู่สนทนาในช่วงท้ายของประโยค

    “จริงอย่างที่เจ้าว่า”นัยน์ตากลมโตสีอเมทิสต์เหลือบมองใบหน้ายิ้มแย้มใสซื่อของเด็กชาย”แต่เจ้าไม่ต้องเคร่งครัดเรื่องการใช้คำสุภาพกับข้าก็ได้ ข้าไม่คิดถือสาหาความหรอก”ก่อนเด็กหญิงชะงักกึกเมื่อความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในหัว

     

    วันนี้ท่านพ่อต้องการให้ข้าแสดงคอสโมต่อหน้าท่านอองรีมิใช่หรือ

    นี่ก็คงเลยเวลานัดมานานโข

    ท่านพ่ออาจเข้าใจว่าแพทริเซียเป็นข้าและบังคับให้นางใช้คอสโมไปแล้ว

    ถ้าเช่นนั้นอย่างน้อยก็ผ่านมาได้หมายความว่าอย่างไร

     

    ความหวั่นวิตกพวยพุ่งขึ้นมากระแทกจนเด็กหญิงรู้สึกราวแผ่นอกถูกรัดจนแน่น“ขอโทษที่ข้าเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน แต่เรื่องนี้สำคัญมาก...ท่านพ่อได้ให้เจ้าทำการทดสอบพลังอะไรบ้างหรือไม่”

    “พลังคอสโมใช่ไหม...ที่ให้ทำลายหินก้อนใหญ่ๆ ตอนนี้เรียบร้อยไปแล้วล่ะ”

    “ได้อย่างไรกัน...ท่านยายเคยบอกกับข้าไว้ว่าจอมเวทเป็นเผ่าที่ร่างกายอ่อนแอกว่ามนุษย์ หากจะเสริมแรงกายจะเกิดผลกระทบอย่างใหญ่หลวงนี่”เสียงของแคลร์ในโทรจิตดังลั่นราวไม่อยากเชื่อ มือขาวที่เกือบยกขึ้นมาแสดงท่าทางประกอบตามปกติถูกยั้งไว้ได้ทัน

    “ก่อนที่จะตอบ ขอถามอะไรหน่อยสิ”จังหวะการพูดของแพทริเซียสุขุมขึ้นคล้ายกำลังครุ่นคิด”ยายของท่านชื่อว่ามาร์เซลีนแล้วก็เป็นจอมเวทใช่ไหม”

    “ข้าไม่รู้ว่าเจ้าไปรู้มาจากที่ใด แต่ว่า...ใช่ ท่านยายเป็นจอมเวท ข้ามีเลือดของจอมเวทอยู่หนึ่งในสี่ เรื่องนี้เป็นที่รู้กันทางฝั่งท่านยาย ท่านแม่ และข้า ส่วนท่านพ่อไม่รู้เรื่องนี้”แคลร์เว้นช่วงไปครู่หนึ่ง”หรือทางฝั่งเจ้าจะมีการบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับท่านยายด้วย”

    “เปล่า ฉันเองก็เพิ่งรู้ตัวว่ามีญาติอยู่ที่นี่ตอนได้เจอท่านกับห้องของท่านมาร์เซลีนแล้ว แค่ยังไม่แน่ใจว่าท่านมาร์เซลีนเกี่ยวข้องเป็นอะไรกับท่าน”อีกฝ่ายตอบปฏิเสธทันควัน”บ้านเกิดของฉันอยู่ที่โรมาเนีย...แถบทรานซิลเวเนีย ไกลจากฝรั่งเศสอยู่นะ”

    “ทรานซิลเวเนีย...ที่ตอนนี้อยู่ในการปกครองของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ใช่ไหม”แคลร์นึกถึงความรู้ในหนังสือที่ตนเคยอ่าน

    “ตามทฤษฎีก็คงใช่ แต่บริเวณที่ฉันอยู่ค่อนข้างไกลจากอิทธิพลพวกนั้นพอสมควร...ชาวบ้านยังนับถือออร์ทอดอกซ์กันอยู่เลย”น้ำเสียงของแพทริเซียฟังดูราวไม่ใส่ใจนักเมื่อพูดถึงเรื่องบ้านเกิดของตน”ยังไงก็เถอะ สกุลเดิมของท่านมาร์เซลีนคือเดเนบหรือเปล่า”

    “ท่านยายเคยบอกกับข้าไว้เช่นนั้น”แคลร์เอ่ยตอบขณะใบหน้าอ่อนโยนของผู้เป็นยายปรากฏขึ้นในความทรงจำ”ท่านเคยให้ข้าดูสัญลักษณ์ประจำตระกูล เป็นรูปหงส์ขาวที่อยู่บนแผ่นกระดาษหนังสือ...สัญลักษณ์แสดงตัวตนของจอมเวท แล้วเจ้าถามเรื่องนี้ไปทำไมกันหรือ”

    “แค่ลองถามดูให้แน่ใจน่ะ”เสียงของเด็กหญิงเรียบเฉยราวพยายามกลบเกลื่อนสิ่งที่อยู่ในใจ”ในเมื่อท่านตอบสิ่งที่ฉันสงสัยไปแล้ว ก็คงถึงคราวที่ฉันจะอธิบายบ้าง...”

    “ก่อนอื่นขอบอกก่อนเลยนะว่าฉันไม่รู้จักพลังที่เรียกว่าคอสโม เพราะงั้นตอนที่ท่านปิแยร์สั่งให้ทำลายหินต้องแก้สถานการณ์กันสดๆ”แคลร์แทบจะเห็นท่าทีเหนื่อยใจออกจากคำพูดเหล่านั้น”...เลยใช้เวทเสริมพลังให้แขนมีแรงมากขึ้นจนต่อยหินแตกได้ แต่ท่านปิแยร์ก็ดูอึ้งๆไปเหมือนกัน คอสโมมันให้ผลลัพธ์ที่ต่างออกไปเหรอ”

    “ท่านพ่อดูอึ้งๆ?...”เสียงใสเอ่ยด้วยความงุนงง”หรือว่าเจ้าทำมันแตกได้ในครั้งเดียวน่ะ ครั้งสุดท้ายที่ข้าซ้อมยังต้องปล่อยตั้งสามหมัดกว่าจะร้าวจนแหลกหมดก้อน”

    “ฉันขอโทษ...”เสียงในโทรจิตของอีกฝ่ายเปลี่ยนเป็นความรู้สึกผิดอย่างถนัดตา

    “ไม่เป็นไรหรอก ข้าตั้งใจซ้อมอีกหน่อยก็คงทำอย่างที่เจ้าทำได้แล้ว”แคลร์รีบแก้ตัวเมื่อสังเกตได้ถึงความรู้สึกแย่ของอีกฝ่าย

    “เดี๋ยวข้าจะพูดถึงเรื่องคอสโมต่อเลยแล้วกัน คอสโมเป็นพลังที่เกิดขึ้นได้จากการฝึกฝนจนจิตสามารถรับรู้ถึงห้วงจักรวาลภายในตัวเองและเปลี่ยนเป็นพลังในการป้องกันหรือทำลายอะตอมได้ด้วยความมุ่งมั่นของผู้ใช้ ประกอบกับการฝึกฝนร่างกายจนเกิดความแข็งแกร่ง”

    “ฟังดูเป็นพลังที่แข็งแกร่งดีนะ”เสียงใสเอ่ยคล้ายกำลังจินตนาการตามคำบอกเล่า

    “แล้วการที่เจ้าใช้พลังเวทฝืนขีดจำกัดต่อร่างกายจนสามารถทำลายก้อนหินได้ในหมัดเดียวไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อตัวเจ้าบ้างเลยหรือ”แคลร์เอ่ยถามด้วยเป็นห่วงเมื่อนึกถึงคำบอกเล่าของผู้เป็นยาย

    “ฉันประมาทว่ามันคงไม่ส่งผลมากเลยลองใช้ดู ตอนแรกเหมือนว่ามันจะไม่เป็นไรอยู่หรอกนะ แต่หลังจากนั้นไม่นานกล้ามเนื้อทั้งตัวก็เกิดล้าแถมปวดอย่างกับใช้แรงมาทั้งวัน แล้วฉันก็สลบไปเลย”แพทริเซียเล่าเป็นเชิงจิกกัดตัวเอง

    “แล้วท่านพ่อไม่ตามพวกบ่าวรับใช้กับแพทย์มาดูอาการเจ้าหรือ”คิ้วเรียวเลิกขึ้นอย่างเต็มไปด้วยความสงสัย

    “มันเกิดขึ้นหลังจากที่ฉันออกจากห้องทดสอบเรื่องพลังคอสโมน่ะ บังเอิญฉันเดินเหม่อไปหน่อยก็เลยหยุดอยู่ตรงหน้าประตูตรงทางเดิน สาวใช้ที่ชื่อมารีเลยถามว่าจะแวะห้องของท่านมาร์เซลีนหรือเปล่า ฉันอยากหาเวลาวางแผนการหนีเงียบๆก็เลยเข้าไป”เสียงใสอธิบายเรียบๆ”แล้วทุกอย่างมันก็เริ่มต้นขึ้นเร็วจนแทบไม่ทันตั้งตัว”

    “มารี...หมายถึงมารี เลอเปอที ผู้หญิงตัวเล็กผมสีดำคนนั้นใช่ไหม”

     

    รู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ทำไมกันนะ

     

    “มีอะไรผิดปกติเกี่ยวกับผู้หญิงคนนั้นหรือเปล่า”แคลร์คาดเดาจากน้ำเสียงว่าแพทริเซียคงพอจะสัมผัสถึงความแคลงใจในตัวของเธอได้

    “เปล่าหรอก ไม่มีอะไร...”

    “แล้วท่านแคลร์ชอบแวะที่ห้องของยายอย่างที่เธอคนนั้นบอกจริงเหรอ...”เสียงใสของอีกฝ่ายตั้งข้อสงสัยที่ทำให้แคลร์รู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างกะทันหัน

    “ใช่ ตั้งแต่สมัยเด็ก...ท่านเป็นคนที่เข้าใจข้ามาโดยตลอด ทุกๆครั้งที่ข้าอึดอัดใจจากบทบาทของชนชั้นสูง ท่านยายก็จะสามารถทำให้ข้าสบายใจได้เสมอ”แคลร์เอ่ยอย่างขมขื่นขณะความทรงจำแสนสุขในอดีตผุดขึ้นมาดุจต้องการเยาะเย้ยความเป็นจริงในปัจจุบัน”ตอนนี้ท่านจากไปแล้ว...ยังที่ไกลแสนไกล”

    “ฉันเสียใจนะที่ได้ยินเรื่องนั้น ท่านมาร์เซลีนคงเป็นคนสำคัญสำหรับท่านมาก”เสียงของเด็กหญิงฟังดูราวกำลังเอ่ยคำอำลาหน้าหลุมฝังศพจนสัมผัสได้ว่าตัวเธอกำลังครุ่นคิดถึงบางสิ่งที่คลับคล้ายกันอยู่

    “ถ้าท่านยายยังมีชีวิตอยู่และได้เจอญาติฝ่ายจอมเวทของตนอีกครั้งคงดีใจมาก...”รอยยิ้มจางๆปรากฏขึ้นบนริมฝีปากสีชมพูเมื่อนึกถึงความอบอุ่นจากฝ่ามือของผู้เป็นยาย เวทมนตร์และแสงสีน่าอัศจรรย์อันเป็นที่รู้กันเพียงสองคนเป็นดั่งสิ่งล้ำค่าที่ไม่อาจลืมเลือน

    “ถ้าได้เจอจริงๆ ฉันก็คงรู้สึกดีใจไม่ใช่น้อยเลยล่ะ”แคลร์รู้สึกได้ถึงรอยยิ้มจากประโยคนั้น ก่อนแพทริเซียจะเปลี่ยนเรื่องราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้”ว่าแต่ ตอนนี้ท่านกำลังพาอัศมิตาไปที่โรงแรมหรือเปล่า...”

    “โรงแรม? เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องของโรงแรมสักนิด...เลยวางแผนไว้ว่าจะพาเขาไปที่ปราสาทกับข้าด้วย”นัยน์ตาสีม่วงทอดมองไปยังถนนหินปูเบื้องหน้าที่นำไปสู่เส้นทางแยกห่างจากตัวเมือง ตรงไปสู่ปราสาทของตระกูลโคลีน

    “ขอฉันคุยกับอัศมิตาหน่อยจะได้ไหม”เสียงของแพทริเซียมีเค้าลางแห่งความขมุกขมัวคล้ายผู้ปกครองที่กำลังจะเริ่มต้นการเทศนา”เอาแผ่นไม้ไปไว้ในมือข้างที่จับอัศมิตาอยู่ ให้มือเขาโดนแผ่นไม้ด้วย ทีนี้เราก็จะคุยโทรจิตกันสามคนได้แล้ว”

    “ข้าเข้าใจแล้ว แต่อย่าตำหนิเขารุนแรงนักเลย”แคลร์ถอนหายใจเฮือกก่อนใช้มือข้างที่ถือแผ่นไม้สะกิดบ่าผอมบางของเด็กชายตาบอดพอให้เรียกร้องความสนใจได้

    “ท่านแคลร์คุยกับนางเรียบร้อยแล้วงั้นหรือ”เจ้าของเรือนผมสีทองพิสุทธิ์เงยหน้าขึ้นยังทิศที่รู้สึกถึงการสัมผัส

    “แพทริเซียบอกว่าจะขอคุยกันแบบสามคน ขอให้เจ้ารับแผ่นไม้ไปไว้ในมือข้างซ้าย..ให้มือของข้ากับเจ้าได้สัมผัสแผ่นไม้ทั้งคู่”มือเรียวปล่อยจากมือของอีกฝ่ายชั่วครู่ ก่อนเด็กหญิงเปลี่ยนวัตถุไปข้างถนัดของตนแล้วยื่นมือกลับไปหาเด็กชาย

    อัศมิตาควานอากาศเปะปะอยู่ชั่วครู่ก่อนสัมผัสถูกมือนุ่มของเด็กหญิงสูงศักดิ์ เด็กชายรีบจับมือในลักษณะที่สัมผัสถูกพื้นผิวขรุขระของแผ่นไม้อย่างไม่รอช้า”ตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง แพทริเซีย”

    “ก็ดีล่ะนะ”เสียงใสตอบอย่างใช้ความพยายามในการอดกลั้นความรู้สึกบางอย่างไว้”แต่เธอคิดอะไรของเธออยู่ถึงได้ไม่บอกให้คุณหนูแคลร์ช่วยพาไปส่งที่โรงแรม”

    “ท...ท่านแคลร์ชักชวนให้เราไปหาเจ้าด้วยกัน”เด็กชายตอบอ้อมแอ้มด้วยสัมผัสได้ถึงคำตำหนิในน้ำเสียงนั้น

    “เพราะงั้นเลยอยากมาที่ปราสาทนี่แทนการรออยู่เฉยๆสินะ...”อัศมิตาแทบได้ยินเสียงถอนหายใจเฮือกด้วยเหนื่อยหน่ายผ่านโทรจิต”เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นท่านแคลร์ช่วยอธิบายมาหน่อยได้ไหมว่าอะไรเป็นสิ่งที่ทำให้ท่านมั่นใจว่าจะลอบเข้าปราสาทกับเด็กผู้ชายตาบอดได้โดยที่ไม่โดนจับไปซะก่อน”

    “ข้ารู้เส้นทางลับในปราสาท...เพราะอย่างนั้นจึงสามารถแอบหนีออกมาได้โดยที่พวกเขาไม่ทันสังเกต”น้ำเสียงของแคลร์เปลี่ยนไปเป็นเชิงโน้มน้าวให้แพทริเซียใจอ่อน

    “แล้วเส้นทางพวกนั้นมันอันตรายไหม มีจุดที่จะต้องออกไปเจอคนในปราสาทตรงๆบ้างหรือเปล่า...ที่สำคัญถ้าโดนจับได้แล้วอัศมิตาจะไม่โดนทำร้ายแบบคราวก่อนใช่ไหม”เสียงเล็กฟังดูราวกำลังชั่งใจ แต่ยังไม่ยอมลดราวาศอก

    “เส้นทางที่ข้าใช้เป็นเส้นทางสำหรับลอบเข้าออกปราสาท ความเสี่ยงขึ้นอยู่กับตำแหน่งที่นัดเจอกันอีกที อาจพบเจอพวกเขาบ้างแต่ข้าคิดว่าคงพาอัศมิตาเลี่ยงหลบมาได้”เสียงใสพูดด้วยจังหวะงามสง่าและมั่นคงดั่งมารยาทของชนชั้นสูง”ตัวข้าที่เป็นบุตรสาวของผู้เป็นใหญ่ในปราสาทหลังนี้ขอสัญญาว่าแม้จะโดนจับได้ แต่ข้าจะไม่ให้พวกเขาทำอันตรายต่ออัศมิตาได้อีก”

     

    ข้าขอโทษที่ไม่ได้พูดออกไป จริงๆมีบางช่วงที่น่าจะเป็นอุปสรรคที่ท้าทายต่อตัวอัศมิตาเป็นอย่างมาก

     

    นัยน์ตาสีม่วงจับจ้องไปยังใบหน้าที่งดงามราวเทพยดาตัวน้อย รอยยิ้มที่ดูคล้ายได้รับพรจากสรวงสวรรค์เมื่อได้ยินคำพูดของเธอในตอนนั้นปรากฏชัดขึ้นจากสมอง

     

    แต่ข้าอยากให้เขาได้ลองพยายามดูสักครั้ง

    รู้ไหมแพทริเซีย เด็กคนนั้นปรารถนาที่จะไปหาเจ้ามาก

     

    “ถ้าคุณหนูรับรองขนาดนั้นก็คงไม่เป็นไร”ฝ่ายตรงข้ามเริ่มคล้อยตามเหตุผลที่ถูกให้ไว้”แล้วอัศมิตาล่ะ เธออยากจะไปด้วยหรืออยากกลับไปรอที่โรงแรม”

    “เจ้าช่วยเหลือเรามานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ขอโอกาสให้เราได้ช่วยเหลือเจ้าสักครั้งเถิด”เสียงเล็กฟังดูสุขุมและมั่นคงเกินวัย”และเจ้าบอกแก่เราว่ากล้ามเนื้อล้าจนไม่สามารถหนีออกมาได้ในขณะนี้ การทำตามแผนที่ท่านแคลร์วางไว้อาจช่วยให้เจ้าได้ออกจากการสวมบทบาทได้เร็วกว่าเก่ามิใช่หรือ”

     

    เรารู้ตนดีว่าความพิการของตัวเราปิดกั้นประสาทการรับรู้ที่สำคัญมากอย่างหนึ่งของมนุษย์

    การทำเรื่องเสี่ยงอันตรายยอมลำบากกว่าผู้ที่มีสายตาเป็นปกติ

    เจ้าเองคงจะเป็นห่วงเรื่องนั้นเช่นกัน

     

    ทว่าเราปรารถนาที่จะลองกระทำสักครั้ง...เพื่อที่จะช่วยเจ้าให้จงได้

     

    “ก็ได้ ฉันยอมแพ้”เสียงใสเจือปนไปด้วยความขี้เล่นเชิงจิกกัดตนเองเล็กน้อย ก่อนจะกำชับด้วยเสียงเข้มงวดผิดจากเมื่อครู่ราวคนละคน”แต่ถ้าเกิดว่าอัศมิตาดูจะไม่ไหวขึ้นมาจริงๆ อย่างน้อยก็ขอให้พาเขาไปส่งที่โรงแรมก่อนเถอะนะคะคุณหนู”

    เด็กน้อยทั้งคู่ตกปากรับคำ ก่อนริมฝีปากน้อยของอัศมิตาจะแย้มออกเป็นรอยยิ้มเมื่อไฟแห่งความมุ่งมั่นลุกโชนขึ้นในอก

    โดยไม่ทันสังเกตถึงความรู้สึกปวดที่เริ่มแทรกขึ้นมาในศีรษะทีละน้อย

     

     

     

     

    หลังจากเบาะแสเรื่องท่านโยเซฟอะไรนั่นก็ไม่มีข้อมูลอย่างอื่นที่น่าสนใจเลยแฮะ

    เรื่องสัพเพเหระของพวกชนชั้นสูงก็ไม่เกี่ยวข้องกับฉันด้วยสิ

     

    แพทริเซียถอนหายใจขณะก้มลงมองมือของตนเอง เด็กหญิงรู้สึกได้ว่าขีดจำกัดของเวทล่องหนในตอนที่มีพลังเหลือในตัวเพียงน้อยนิดเช่นนี้คงจะหมดลงในอีกไม่ช้า

     

    ให้ตายเถอะ แคลร์ยังไม่เท่าไหร่ แต่อัศมิตาก็จะร่วมด้วยเนี่ยนะ

    ฉันไม่เคยคิดจะปิดกั้นความสามารถเขาเลยนะ แต่เรื่องแบบนี้มัน...

     

    “ฉันดีใจที่เธอไม่ได้คิดเหมือนกับฉันไปซะทุกอย่าง ความขัดแย้งที่สร้างสรรค์เป็นหนทางสู่การพัฒนานะรู้ไหม...”เสียงเย็นดุจแม่น้ำที่ไหลเอื่อยผุดขึ้นจากความทรงจำราวต้องการเตือนสติ

     

    ใช่ เรื่องนั้นฉันรู้ดี แต่ว่าการเริ่มจากอะไรที่มันดูปลอดภัยกว่านี้คงจะดีกว่า

     

    เด็กหญิงหวนนึกถึงภาพสุดท้ายของเหตุการณ์ในอดีต ....เหตุการณ์ที่ยังมีอิทธิพลต่อความคิดของตัวเธอมาจนถึงปัจจุบัน

     

    ยังไงตอนนี้ฉันก็ยอมแพ้สองคนนั้นไปแล้วด้วย

    แถมเวทนี่คงอยู่ได้อีกไม่นาน

    กลับไปตั้งหลักที่ห้องเดิมก่อนน่าจะดีกว่า

     

    แพทริเซียถอนเวทแอบฟังที่ร่ายใส่ประตูพลางลุกขึ้นยืน ก่อนจะหันหน้ากลับไปยังทิศที่ตนจากมา ร่างเล็กค่อยๆก้าวเดินไปตามทางเดินปูพรมหรูหราเหล่านั้นอย่างระมัดระวังด้วยคำนึงถึงความเหนื่อยที่พุ่งสูงขึ้นจนราวจะกระแทกอกให้จุกได้ แต่แล้วความประหลาดใจก็ได้บังเกิดขึ้นเมื่อเลี้ยวมาถึงอีกเส้นทาง ด้วยทางเดินกว้างบริเวณที่ผ่านหน้าห้องของมาร์เซลีนนั้นไร้ผู้คนอื่นใดนอกจากมารี สาวใช้ร่างเล็กผู้กำลังทำความสะอาดของจัดแสดงหรูหรา

     

    ชักสังหรณ์ใจยังไงไม่รู้

    ไหนจะการที่แคลร์พูดถึงชื่อของเธอขึ้นมาอีก

     

    พลันเด็กหญิงรู้สึกถึงความเย็นดุจสายน้ำฉาบชโลมบนผิวกายอันเป็นสัญญาณสิ้นสุดของเวทล่องหนที่ตัวเธอทำได้ในขณะนี้ ร่างเล็กสาวเท้าเข้าไปหลบบริเวณด้านข้างของตู้ใหญ่ ก่อนที่เวทจะคลายออก เผยให้บุคคลอื่นสามารถเห็นร่างของตัวเธอได้

    “เอ นั่นเสียงอะไรกัน”เสียงหวานของหญิงสาวเอ่ยตั้งคำถามลอยๆ ก่อนร่างบอบบางจะมุ่งหน้ามาทางต้นเสียงที่ตนได้ยินและชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเห็นเด็กหญิงเรือนผมสีม่วงนั่งอยู่บนพื้นด้วยท่าทีหมดสภาพ

    “ก่อนหน้านี้ไม่นานข้าเพิ่งไปตรวจห้องของท่านมาร์เซลีนมา ท่านยังหลับอยู่เลยมิใช่หรือคะ”แพทริเซียสัมผัสได้ถึงความไม่ชอบมาพากลใต้เสียงหวานและรอยยิ้มที่นุ่มดุจแพรไหม

    “ข้าเพิ่งตื่น...พอไม่เห็นเจ้ายืนเฝ้าหน้าประตูตรงๆจึงแอบออกมา”แม้ในใจจะหวั่นวิตก แต่เด็กหญิงรู้ดีว่าในสถานการณ์เช่นนี้การไม่หลุดพิรุธใดออกมาถือเป็นสิ่งสำคัญ จึงพยายามทำน้ำเสียงของตนให้ฟังดูเป็นธรรมชาติที่สุด

    “เข้าใจแล้วค่ะ”นัยน์ตาสีน้ำตาลทองวาวโรจน์ขึ้นคล้ายพญาอินทรีที่กำลังจับจ้องเหยื่อ ร่างเล็กในชุดสาวใช้ย่อตัวลงอยู่ในระดับเดียวกับเด็กหญิงตรงหน้า ก่อนจะโน้มตัวเข้าไปใกล้เพื่อกระซิบด้วยเสียงอันแผ่วเบา

     

    ”ท่านน่ะ...ไม่ใช่ท่านแคลร์ ถูกต้องไหมคะ”

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×