ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Saint Seiya The Lost Canvas] The White Sky Memories

    ลำดับตอนที่ #12 : บังเอิญ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 213
      9
      3 พ.ย. 60

               "แพทริเซีย"อัศมิตาเอ่ยขึ้นหลังจากที่กัดขนมปังหอมกรุ่นในมือเข้าไปคำใหญ่"เหตุใดขนมปังก้อนนี้จึงได้มีความนุ่มและกลิ่นของเนยชัดเจนกว่าขนมปังที่เราได้เคยรับประทานมาแล้ว"

    "นี่เรียกว่าบริยอชน่ะ ได้ยินมาว่าใช้เนยเป็นส่วนผสมมากกว่าขนมปังขาวทั่วไป...ถือว่าใช้เยอะเลยล่ะถ้าเทียบกับปริมาณแป้ง"เด็กหญิงก้มลงกัดขนมปังของตนคำหนึ่งแล้วอธิบายต่อ"เพราะงั้นเนื้อแป้งของบริยอชเลยจะสีออกทองๆแล้วก็นุ่มกว่าขนมปังขาวที่เธอเคยกิน"

    ผู้ที่คิดค้นขึ้นมาคงปราดเปรื่องมากเป็นแน่แท้...บริยอชจึงได้มีรสชาติลึกล้ำเช่นนี้ ริมฝีปากน้อยๆแย้มยิ้มขึ้นด้วยเพลิดเพลินไปกับรสชาติอร่อยลิ้นและกลิ่นที่อบอวลไปทั่วปาก

    คนที่คิดอะไรใหม่ๆขึ้นมาได้ก็คงต้องลองผิดลองถูกมาหลายครั้งกว่าจะออกมาเป็นสิ่งที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันเสียงใสเอ่ยอย่างเหม่อลอยราวกับนึกถึงสิ่งอื่นอยู่ ก่อนจะทำทีเปลี่ยนเรื่องเพื่อกลบเกลื่อน

    แต่ว่านะ คราวหลังถ้าเธออยากกินอะไรก็บอกฉันมาตรงๆเลยก็ได้ ฉันซื้อให้อยู่แล้ว...แพทริเซียอมยิ้มเมื่อนึกถึงภาพของอัศมิตาขณะเดินผ่านร้านขนมปัง ใบหน้างดงามดุจรูปปั้นราวกับต้องมนตร์เสน่ห์กลิ่นหอมของขนมปังที่กำลังอบ เป็นเหตุให้ชะงักฝีเท้ายืนอยู่ตรงหน้าร้านจนเธอคาดเดาได้ว่าเด็กชายต้องการสิ่งใด

    .....และนั่นคือที่มาของบริยอชในมือ

    อัศมิตาเกือบสำลักเมื่อได้ยินสิ่งที่เธอพูด ก่อนจะตอบอ้อมแอ้มเหมือนเด็กน้อยที่กำลังสำนึกผิดแพทริเซีย เราขอโทษ...ขณะนั้นเราเพียงแต่ลืมตัวไปว่าอยู่กับเจ้า และได้แสดงพฤติกรรมเก่าเมื่อครั้งอยู่อินเดียไปเสียแล้ว

    พฤติกรรมเก่า?”

    ใบหน้างดงามพยักหน้าเล็กน้อยมีอยู่หลายคราที่เราได้กลิ่นหอมของเครื่องเทศและอาหารสดใหม่ ทว่าด้วยวรรณะของเราจึงไม่อาจแม้แต่ได้ลิ้มรสสิ่งเหล่านั้น ได้แค่เพียงสูดกลิ่นและนึกคิดเสมือนได้รับประทานจริง....เป็นเรื่องน่าอับอายใช่หรือไม่เสียงในช่วงท้ายประโยคสั่นเครือด้วยความเจ็บปวดเมื่อนึกถึงอดีตอันเลวร้ายของตน

    ไม่ใช่ซะหน่อย อย่างตอนที่เธอยืนอยู่หน้าร้านขนมปังก็เข้าใจได้นะว่ากลิ่นมันหอมน่ากินขนาดไหน เธอเองก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมามากเกินไปซะหน่อยเด็กหญิงเว้นช่วงไปครู่หนึ่งออกจะดูเหมือนลูกแมวซะด้วยซ้ำ

     

    ไอ้ลูกหมา

    จำใส่กะโหลกไว้ด้วยว่าค่าของจัณฑาลตาบอดเช่นแกไม่คู่ควรที่จะเรียกว่ามนุษย์

     

    ราวกับเดียรัจฉานอย่างนั้นหรือ....น้ำเสียงสั่นเครือเมื่อครู่ยิ่งหดหู่ลงกว่าเดิม ราวกับหยาดน้ำตาจะเอ่อล้นออกมาในไม่ช้า

    แพทริเซียนึกบ่นตัวเองในใจที่เลือกคำพูดซึ่งนำไปสู่การเข้าใจผิดฉันขอโทษที่ไม่คิดให้ดีก่อนว่าเธออาจเข้าใจผิดได้ จริงๆคำว่าลูกแมวไม่ได้เป็นคำที่ใช้ในการด่าว่ากัน...แต่เป็นการเปรียบเปรยถึงอะไรบางอย่างที่ดูน่ารักแล้วก็ใสซื่อ..ประมาณนี้น่ะเสียงใสที่อธิบายเจือปนไปด้วยความรู้สึกผิดบาป

    จริงหรือ...ตัวเราหลงเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าหมายความว่าเราดูน่ารังเกียจราวกับมิใช่มนุษย์เสียอีกเด็กชายถอนหายใจด้วยความโล่งอกขอโทษที่ทำให้เจ้าไม่สบายใจ หากมีโอกาส...ช่วยพาเราไปเล่นกับลูกแมวสักครั้งจะได้หรือไม่

    ได้สิ ไว้ถ้าเจอเมื่อไหร่จะต้องพาไปเล่นให้ได้เลยล่ะแพทริเซียตอบรับสั้นๆพร้อมรอยยิ้มแต่ว่านะ ขอให้เธอเชื่อใจฉันจะได้ไหม...ถึงฉันอาจมีพูดเล่นบ้าง แต่ก็จะไม่ใช้คำเหยียดหรือดูถูกเธอเด็ดขาด

     

    เพราะฉันรู้ดีว่าเวลาโดนเหยียดหยามด้วยเรื่องที่ไม่ใช่ความผิดของตัวเองมันเจ็บปวดยังไง...

     

    มือข้างที่จับอีกฝ่ายไว้บีบแน่นขึ้นเล็กน้อย แม้น้ำเสียงที่เด็กหญิงใช้จะฟังดูผ่อนคลาย ทว่าอัศมิตากลับสัมผัสได้ถึงคำวิงวอนที่แฝงอยู่ในประโยคนั้น“เรา...จะพยายามเข้มแข็งขึ้นและลดความหวาดระแวงของตนลงให้ได้”

     

    ไม่อยากเป็นเช่นนี้เลย

    ความอ่อนแอและขลาดเขลาของตัวเราทำให้เจ้าเดือดเนื้อร้อนใจอีกครั้งแล้ว

     

    ทั้งที่ตัวเรารู้ว่าความคิดแบบนี้รังแต่จะนำความเจ็บปวดมาสู่...แต่เพราะเหตุใดกัน

    การหักห้ามตนเองไม่ให้คิดเช่นนี้จึงเป็นเรื่องยากเสียเหลือเกิน

     

    “สีหน้าเธอมันฟ้องนะว่าคิดอะไรอยู่”เด็กหญิงปล่อยมือผอมบางชั่วครู่และวางมือลงบนศีรษะอีกฝ่ายอย่างนุ่มนวล”ฉันไม่รู้ทั้งหมดหรอกนะว่าเธอผ่านเรื่องอะไรมาบ้าง แต่ก็พอรู้ว่าอดีตพวกนั้นมันคงเป็นแผลที่ทำร้ายเธอมาตลอด เพราะงั้นการที่เธอยังเหลือความระแวงอยู่ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้”มือเล็กปัดปอยผมที่ตกลงมาปรกตาอีกฝ่ายแล้วจึงเริ่มลูบเรือนผมสีทองเบาๆ“แต่ว่าตลอดเวลาที่ผ่านมานี้เธอพยายามได้ดีมากเลยนะ ทั้งตอนที่เจรจากับสุลต่าน หรืออย่างตอนนี้เธอเองก็เริ่มกลั้นน้ำตาได้บ้างแล้วนี่นา”

    “แพทริเซีย...”ความรู้สึกอิ่มเอิบพลันบังเกิดขึ้นในใจหลังจากได้รับฟังข้อความเหล่านั้น แก้มเนียนเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อก่อนก้มลงกัดบริยอชและเคี้ยวอย่างรวดเร็วคำแล้วคำเล่าเพื่อซ่อนอาการขัดเขิน

     

    ขอบคุณมาก

     

    “บริยอชหมดลงเสียแล้ว...”อัศมิตาเอ่ยอย่างเซื่องซึมหลังกลืนบริยอชคำสุดท้ายเข้าไป เด็กชายยกมือผอมบางของตนขึ้นสูดกลิ่นจางๆของขนมปังที่ยังคงเหลืออยู่

    นัยน์ตาสีม่วงฉายแววเอ็นดูขณะมองการแสดงออกอันใสซื่อของคู่สนทนา”อยากทานบริยอชอีกเหรอ”

    ร่างเล็กพยักหน้าหงึกหงัก”ทว่าเจ้าไม่จำเป็นจะต้องกลับไปซื้อมาเพิ่มด้วยสาเหตุนี้...”ความเกรงอกเกรงใจถูกถ่ายทอดผ่านเสียงเล็กอย่างชัดเจน

     

    “ใจดีจังเลยนะ”

     

    จริงๆก็กะจะเก็บไว้เป็นเสบียงเผื่อหิวขึ้นมาอยู่หรอก

    แต่เอาเถอะ ยังไงก็หาซื้อใหม่ได้ตลอดนี่นา

     

    มือเล็กเปิดกระเป๋าหยิบบริยอชที่เก็บไว้แล้วแตะก้อนขนมปังลงบนฝ่ามือข้างที่ว่างอยู่ของเด็กชาย”เอ้านี่ พอดียังมีอยู่อีกน่ะ”

    เด็กชายก้มลงสูดกลิ่นของบริยอช นิ้วทั้งห้าไล้ไปตามพื้นผิวนั้นอย่างประหลาดใจ”บริยอช...ได้อย่างไรกัน บริยอชหมดไปตั้งแต่เมื่อครู่แล้วไม่ใช่หรือ”

    ”ฉันซื้อมาสามก้อนน่ะ ตอนแรกก็ซื้อเผื่อมีใครหิวขึ้นมาอีก...แต่ก็นับว่าได้เอาออกมาทันใจกว่าที่คิดล่ะนะ”เด็กหญิงหัวเราะคิกขณะใช้น้ำเสียงหยอกเย้า

    “งั้นหรือ...” เด็กชายบิขนมปังแยกออกมาเป็นชิ้นเล็กขนาดทานได้ภายในไม่กี่คำก่อนจะส่งกลับคืนให้แพทริเซีย”เราขอรับไว้เพียงเท่านี้ก็พอแล้ว อีกส่วนนั้นสมควรเป็นของเจ้า”

    “เอาไปแค่นี้จะพอแน่เหรอ หรือว่าไม่พอใจที่ฉันพูดก่อนหน้านี้”แพทริเซียเอ่ยเรียบๆด้วยกลัวว่าคำพูดของตนจะไปกระทบความรู้สึกของเด็กชายอีกครั้ง

    “ม..ไม่ใช่แบบนั้นเสียหน่อย”เด็กชายปฏิเสธอย่างร้อนรนด้วยกลัวเพื่อนจะเข้าใจเจตนาของตนผิดไป”เราได้ทานบริยอชไปก้อนหนึ่งแล้ว อีกทั้งเงินที่ใช้ซื้อบริยอชก็เป็นของเจ้า ดังนั้นเจ้าจึงควรที่จะได้รับส่วนที่มากกว่า...”

    “เธอนี่น้าอัศมิตา”นิ้วเรียวสวยจิ้มแก้มเนียนของฝ่ายตรงข้ามเบาๆ”อยู่มาด้วยกันขนาดนี้แล้วยังจะต้องเกรงใจกันอีก ยังไงบริยอชนี่มันก็แบ่งครึ่งได้อยู่แล้ว”มือเล็กฉีกบริยอชออกเป็นสองส่วนเท่ากันก่อนจะยื่นชิ้นหนึ่งให้กับเด็กชาย”เอ้า”

    “แต่ว่า....”

    “รับไปเถอะน่า ยังไงตอนนี้เราเป็นเพื่อนกันก็ต้องแบ่งกันให้ยุติธรรมสิ...จะให้ฉันเอาเปรียบเพื่อนตัวเองไม่ได้นา”เสียงใสหัวเราะคิกคัก

    รอยยิ้มปลื้มปิติผุดขึ้นบนใบหน้างดงามดั่งรูปสลัก มือผอมบางควานอากาศเล็กน้อยก่อนจะรับบริยอชนั้นมา”ขอบคุณ...ขอบคุณมาก แพทริเซีย”

     

    ยามที่เจ้าเอ่ยย้ำถึงมิตรภาพของพวกเรา...ก็รู้สึกราวกับได้รับการเติมเต็ม

    ความรู้สึกวิตกกังวลเมื่อครู่หายไปหมดสิ้น...คงไว้เพียงแต่ความมั่นคงในจิตใจ

    เป็นความยินดีที่มากกว่าการได้ลิ้มรสชาติลึกล้ำของบริยอชเสียอีก

     

     

     

    สายลมยามค่ำคืนเล็ดลอดผ่านช่องว่างบานหน้าต่างเข้าสู่ห้องพัก ส่งผลให้อากาศเย็นลงจนเด็กชายผู้มาจากประเทศเขตร้อนขนลุกซู่ ฟันในปากกระทบกันกึกกัก มือน้อยควานเปะปะหาผ้าห่มบนเตียงก่อนนำมาพันตัวรอบแล้วรอบเล่าจนเป็นก้อนกลมคล้ายดักแด้

    “นี่ แพทริเซีย”อัศมิตาหาเรื่องชวนคุยเพื่อเบนความสนใจของตนออกจากสภาพอากาศที่เย็นลงในยามค่ำคืน”ทั้งที่เรากับเจ้าน่าจะอยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกัน ทว่าเหตุใดตัวเจ้าจึงมีสติปัญญาและความคิดอ่านเหมือนผู้ใหญ่ไม่มีผิด”

    “อะไรทำให้เธอคิดแบบนั้นล่ะ”เสียงใสเอ่ยช้าๆ นัยน์ตาสีอเมทิสต์เงยขึ้นจากหนังสือเล่มหนาที่หยิบมาอ่านฆ่าเวลา พลันต้องหลบสายตากลับมาที่เดิมอีกครั้งเพื่อไม่ให้หลุดขำเมื่อเห็นสภาพอีกฝ่าย

    “เจ้าสามารถพูดคุยตอบโต้กับผู้ใหญ่ได้อย่างไม่ติดขัด เฉกเช่นเมื่อคราวเจรจากับเจ้าของที่พักแห่งนี้”อัศมิตาหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่แพทริเซียเข้าไปสอบถามข้อมูลเรื่องการเข้าพัก เสียงใสราวกระดิ่งเอ่ยอย่างฉะฉานและสุภาพตามวัยวุฒิของตน ในขณะที่ตัวเขาได้แต่เพียงยืนเฉยๆไม่กล้าพูดอะไรนักเสียด้วยซ้ำ”อีกทั้งความรู้ที่เจ้ามีและการตัดสินใจในสถานการณ์ยามคับขันของตัวเจ้าทำให้เราทั้งสองรอดพ้นจากภยันอันตรายมาได้”

    แก้มเนียนของเด็กหญิงแดงระเรื่อขึ้นเล็กน้อย ในใจรู้สึกขัดเขินอย่างแปลกประหลาด”ฉันไม่ได้เก่งกล้าสามารถขนาดนั้นหรอกนะ เรื่องการคุยกับพวกผู้ใหญ่นี่แค่ฝึกให้บ่อยๆจนไม่ประหม่าแล้วจะเป็นใครก็ทำได้ เธอเองยังมีแววจะทำได้ดีกว่าฉันตั้งเยอะ”

    ร่างเล็กถอนหายใจช้าๆก่อนห้วงความคิดจะฉายภาพเหตุการณ์ในอดีตขึ้นมาอีกครั้ง

     

    อีกอย่างนึง

    ถ้าการตัดสินใจในเวลาคับขันของฉันมันดีจริงๆ....เรื่องแบบนั้นคงจะไม่เกิดขึ้นมาหรอก

     

    “เราน่ะหรือทำได้ดีกว่าเจ้า”เสียงเล็กเอ่ยอย่างแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน คิ้วเรียวบนใบหน้างดงามได้รูปนั้นขมวดมุ่นเป็นปม”เรารู้สึกได้ว่าความกล้าในการสนทนามีอยู่เพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น...หลังจากความกล้านั้นหมดไปก็บังเกิดความรู้สึกมิกล้าจะพูดคุยขึ้นอีก”

    “อย่างน้อยเธอก็ยังมีทักษะบางอย่างที่ทำได้ดีมากอยู่นะ ในขณะที่ฉันเอง...ไม่รู้สิ ไม่ชินสักเท่าไหร่ล่ะมั้ง”ร่างเล็กยักไหล่เบาๆ น้ำเสียงปะปนไปด้วยรอยยิ้มขณะนัยน์ตาสีม่วงจ้องมองท่าทีฉงนสงสัยที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆของอีกฝ่าย

    “หมายถึงสิ่งใดกัน....”

    “ความสุภาพของภาษาที่เธอใช้ไง”แพทริเซียเฉลย”ทั้งตอนที่เธอคุยกับฉันแบบธรรมดา หรือตอนที่เธอคุยกับสุลต่าน...ทุกอย่างมันเหมือนออกมาจากตัวเธอโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาแปลงคำในหัวให้ดูสุภาพขึ้นเลย”นิ้วเรียวยาวม้วนเรือนผมของตนเล่นระหว่างใช้ความคิด

    ริมฝีปากน้อยๆแย้มยิ้มอย่างชื่นอกชื่นใจในคำชมที่ได้รับ ก่อนจะซุกหน้าลงในฝ่ามือเพื่อปกปิดความขัดเขิน”ขอบคุณมากแพทริเซีย...ทว่าอันที่จริงแล้วตัวเรามิได้เป็นผู้ฝึกฝนใช้คำเหล่านี้ด้วยตัวเอง”

    “ท่านแม่ต่างหากที่เป็นผู้กวดขันเรื่องนี้แก่เราอยู่เสมอ...”รอยยิ้มเมื่อครู่หม่นลงเมื่อนึกถึงครั้งที่ตนเผลอจำคำพูดหยาบคายของเด็กในละแวกมาใช้โดยไม่รู้ความ รอยแผลที่ถูกตีจนเนื้อแตกราวกับหมุดตอกตรึงมิให้ตัวเขากล้าที่จะพูดคำเหล่านั้นเป็นครั้งที่สอง

    “ทำไมแม่เธอถึงดูยึดติดกับเรื่องการใช้คำให้มันสุภาพมากขนาดนี้กันนะ”แพทริเซียบ่นพึมพำ นัยน์ตาฉายแววไม่สบายใจเมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่ายดูกลับไปซึมเซาอีกครั้ง

    “ท่านแม่อยากให้เราฝึกไว้เผื่อว่าในอนาคตเราอาจได้เจอกับท่านพ่อ...”แม้ริมฝีปากจะยังพยายามคงไว้ซึ่งรอยยิ้ม แต่ร่างผอมบางกลับสั่นสะท้านด้วยแรงสะอื้น หยาดน้ำตาที่เริ่มไหลอย่างสุดจะกลั้นผ่านแก้มเนียนช้าๆ ทิ้งคราบไว้เป็นทาง”และท่านแม่ยังคงมีความหวังว่าท่านพ่อจะกลับมา...จวบจนกระทั่งสิ้นลมหายใจ”

    ริมฝีปากสีชมพูขยับเตรียมจะพูดปลอบแต่พลันรั้งไว้ เด็กหญิงลุกขึ้นจากเก้าอี้เดินไปยังเตียงก่อนจะค่อยๆกอดอีกฝ่ายจนร่างทั้งสองแนบชิดกัน ปล่อยให้ร่างกายได้สัมผัสแรงสะอื้นของอีกฝ่ายโดยมิได้พูดสิ่งใดออกไป

     

    อบอุ่นเหลือเกิน

    กลิ่นหอมของรัตติกาลจากกายนี้ช่วยเยียวยาจิตใจให้สงบลงได้อย่างน่าประหลาด

     

    “แพทริเซีย...เรามีเรื่องอยากจะร้องขอ”มือผอมบางเลื่อนเข้ากุมมือนุ่มเนียนขณะที่ใบหน้าน้อยซุกอยู่กับเรือนผมยาวของอีกฝ่าย เด็กชายสูดกลิ่นหอมของดอกไม้และความเย็นจากเส้นผมที่นุ่มละเอียดดุจไหมทอ

    “เรื่องอะไรเหรอ ว่ามาสิ”เสียงใสราวกระดิ่งเอ่ยยิ้มๆเมื่อเห็นเด็กชายดูผ่อนคลายจากความเสียใจได้ มือนุ่มหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับคราบน้ำตาบนใบหน้าเนียนนั้น

    อัศมิตากลืนน้ำลายเหนียวฝืดลงคอก่อนจะเอ่ยในสิ่งที่ตนลังเลใจที่จะพูดถึงมาตลอด

     

    “เราอยากให้เจ้าช่วยตามหาท่านพ่อ...จะได้หรือไม่”

     

    “ท่านพ่อ?”เสียงใสที่ทวนคำนั้นซ้ำฟังดูประหลาดใจมิใช่น้อย”ขอโทษที่ฉันถามแบบนี้นะ...แต่เท่าที่ฉันฟังมา พ่อเธอเป็นคนทิ้งเธอกับแม่ไปเอง การที่ทำแบบนั้นมีโอกาสเป็นไปได้สูงที่เขาจะไม่ได้รักหรือผูกพันกับเธอมาก”

    “...แล้วทำไมเธอถึงยังคงอยากจะตามหาพ่อตัวเองอยู่ล่ะ”

    คนตัวเล็กกว่าก้มหน้าลง”เราเพียงต้องการจะรู้ความจริงว่าท่านพ่อจากไปด้วยรังเกียจตัวเราที่ตาพิการดังที่ท่านแม่คอยบอกแก่เราอยู่เสมอหรือไม่ ซึ่งแท้ที่จริงท่านพ่ออาจจากไปด้วยสาเหตุอื่นเช่นธุระที่บ้านเกิดของตนก็ย่อมได้”จากความรู้สึกขมขื่นที่ปะปนในน้ำเสียงนั้นทำให้แพทริเซียรู้ว่าตัวเขาไม่ได้คิดว่าพ่อของตนจะจากไปด้วยสาเหตุอื่นจริง

     

    เพียงแต่พยายามบอกใจตนเองให้ยังคงความหวังไว้

    หวังว่าผู้ให้กำเนิดตนอีกคนจะยังมีความรักและเอาใจใส่ตนอยู่บ้าง

    แม้เพียงน้อยนิดก็ยังดี....

     

    “เข้าใจล่ะ เอาเป็นว่าฉันจะพยายามช่วยให้มากที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้แล้วกัน”แพทริเซียเจือความอบอุ่นลงไปในน้ำเสียงเพื่อให้เด็กชายสบายใจ ก่อนเสียงใสจะเริ่มจริงจังขึ้นในประโยคถัดมา”ก่อนอื่น เธอมีเบาะแสอะไรเกี่ยวกับพ่อเธอบ้าง”

    “เบาะแสหมายถึงสิ่งใดหรือ”คิ้วเรียวเลิกสูงขึ้นเมื่อได้ยินศัพท์ที่ตนไม่เข้าใจ ความคาดหวังคำอธิบายจากเด็กหญิงปรากฏบนใบหน้างาม

    “เบาะแสคือหลักฐาน ร่องรอย หรือข้อมูลที่ทำให้รู้คร่าวๆเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการหา”แพทริเซียอธิบายเรียบๆด้วยน้ำเสียงสงบและชัดถ้อยชัดคำ”แล้วตอนนี้เธอพอจะมีข้อมูลอะไรเกี่ยวกับพ่อไหม อย่างพวกชื่อ อายุ ที่อยู่ บ้านเกิดเมืองนอน หรือยศตำแหน่ง...”

    ภายใต้ท่าทีนิ่งสงบจากการใช้ความคิด เด็กชายพยายามดึงความทรงจำอันเลือนรางเกี่ยวกับบิดาของตนให้ออกมามากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ หัวใจที่เต้นแรงหวังเพียงแต่ข้อมูลเหล่านั้นจะเป็นประโยชน์ในการตามหาแม้สักเล็กน้อย

    “....ท่านแม่เคยบอกว่าใบหน้าของเราเหมือนท่านพ่อดังถูกแกะมาจากพิมพ์เดียวกัน”

    นัยน์ตาสีอเมทิสต์พินิจดูอีกฝ่ายโดยละเอียด ร่างกายที่ผ่ายผอมราวโครงกระดูกเดินได้เมื่อครั้งพบกันเริ่มมีน้ำมีนวล ขับเน้นให้เค้าโครงแห่งความสง่างามของเด็กชายเผยออกมาทีละนิดราวกับเพชรที่ถูกกะเทาะโคลนตม เมื่อผนวกกับเรือนผมสีทองบริสุทธิ์และนัยน์ตาสีฟ้าครามสดใสทำให้ภาพของชายหนุ่มผู้หล่อเหลาอย่างหาตัวจับยากปรากฏขึ้นในหัวอย่างขัดเจน

     แต่แล้วร่างเล็กก็ต้องขมวดคิ้วเมื่อมีความคิดหนึ่งแล่นเข้ามาในสมอง

     

    เดี๋ยวสิ เหมือน...ตรงไหนบ้างล่ะ

    รูปตา โครงหน้า แล้วก็อย่างอื่น มันอาจจะมีสักอย่างที่พ่อกับลูกมีไม่เหมือนกันก็ได้

    แต่ถึงจะถามอัศมิตาเพิ่มเรื่องนี้ก็คงตอบไม่ได้อยู่ดี

     

    ในยุโรปก็หามนุษย์ผมทองตาฟ้าได้เยอะแยะไป

    ....แถมการไปมีลูกที่อินเดียได้นั่นก็หมายความว่าจะอยู่ที่ไหนบนโลกก็ไม่แปลกทั้งนั้น

    เจองานหนักเข้าอีกแล้วสินะ....

     

     “เข้าใจล่ะ แล้วมีเรื่องอื่นที่เธอพอจะจำได้อีกบ้างไหม”น้ำเสียงที่เอ่ยถามขึ้นสงบนิ่งหากฟังโดยผิวเผิน ทว่าเด็กชายกลับสัมผัสได้ถึงความลำบากใจที่หลบเร้นอยู่ในส่วนลึก

     

    เบาะแสเรื่องใบหน้ามิอาจช่วยให้การตามหาง่ายลงอย่างนั้นหรือ....

     

    “ท่านแม่เคยบอกแก่เราไว้ว่าท่านพ่อมีกิริยาที่สง่างามราวกับราชนิกุลสูงศักดิ์...คงจะเป็นขุนนางหรือผู้มีเชื้อสายกษัตริย์กระมัง”

    “ราวกับ? อย่าบอกนะว่าแม่เธอมีลูกกับผู้ชายคนนั้นทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครน่ะ”ร่างเล็กยกมือกุมศีรษะที่ปวดแปลบขึ้นกะทันหันจากการได้ยินคำบอกเล่าเมื่อครู่

     “เราขอโทษ แพทริเซีย...เรื่องนั้นเราไม่อาจทราบได้”อัศมิตาเอ่ยอ้อมแอ้ม เครื่องหน้าน้อยๆที่ดูหมองลงแสดงถึงความรู้สึกผิดจากก้นบึ้งของจิตใจ

    “ไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองหรอกน่า”แพทริเซียพยายามทำน้ำเสียงให้สดชื่นที่สุดเท่าที่ตัวเธอจะทำได้ในขณะนี้ ก่อนจะขยี้เรือนผมสีทองของอีกฝ่ายอย่างเบามือ”ตอนที่พ่อหายตัวไปเธอเองก็คงยังเด็กมาก เพราะงั้นข้อมูลส่วนใหญ่ก็จะได้จากทางแม่...ซึ่งก็คงไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นไว้มาก จริงไหม เรามีข้อมูลอยู่น้อยก็ยังดีกว่าไม่รู้อะไรนี่นะ”

     

    ถึงจะได้เบาะแสมาเพิ่มอีกเรื่องนึงก็เถอะ แต่ผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายนั่นก็หาได้ทั่วยุโรปซะด้วย

    เอาแค่ขุนนางตระกูลใหญ่ๆหน่อยก็มีไม่รู้ตั้งเท่าไหร่แล้ว ไหนจะลูกท่านหลานเธอทั้งหลายอีก

     

    เอ้อ เว้นสการ์เล็ตไว้สักตระกูลแล้วกัน

     

    หรือในกรณีเลวร้ายกว่านั้น...ถ้าเรื่องความสูงศักดิ์เป็นการเข้าใจผิดล่ะก็

    เบาะแสนี้จะยิ่งทำให้เราออกห่างเป้าหมายยิ่งกว่าเดิม….

     

    “แพทริเซีย...ตอนนี้เรานึกออกอีกอย่างหนึ่ง”

    นัยน์ตาสีอเมทิสต์สุกใสที่กระพริบปริบๆฉายแววฉงนเล็กน้อยก่อนเลื่อนขึ้นจับจ้องใบหน้างดงาม

    “หากความทรงจำของเราถูกต้อง ชื่อของท่านพ่อคงจะเป็นโจเซฟ...หรือไม่ก็โยเซฟกระมัง”นิ้วผอมบางยกขึ้นจรดริมฝีปากซึ่งเม้มแน่นจากความกดดันที่พองโตอยู่ในใจ”จากชื่อเหล่านี้สามารถบ่งบอกถึงภูมิลำเนาของท่านพ่อได้บ้างหรือไม่”เจ้าของเรือนผมสีทองเงยศีรษะขึ้น ใบหน้าน้อยเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง

     

    นี่น่ะมันชื่อโหลสุดๆไปเลยไม่ใช่หรือไง

     

    เด็กหญิงลอบถอนหายใจเบาๆ”ชื่อนั่นน่ะมาจากในคัมภีร์ของศาสนาคริสต์ แล้วส่วนใหญ่มนุษย์ในยุโรปที่นับถือก็เอาชื่อจากในคำภีร์มาตั้งชื่อลูกตัวเองเลยมีคนชื่อซ้ำกันเต็มไปหมด เพราะงั้นฉันเลยไม่มั่นใจหรอกนะว่าอยู่แถบไหนของยุโรป”น้ำเสียงใสฟังดูราวกับขอโทษอีกฝ่ายอยู่ในที

    “หมายความว่ามิอาจตามหาท่านพ่อได้อย่างนั้นหรือ”หากนัยน์ตาสีฟ้าคู่สวยสามามารถสะท้อนแววออกมาดังเช่นปกติ สิ่งที่ฉาบชโลมอยู่ในขณะนี้คงเป็นความท้อใจเหลือประมาณ เด็กชายก้มหน้าลงราวคนหมดอาลัยตายอยาก เสียงที่ออกมาหดหู่เสียจนดึงคู่สนทนาให้ตกลงสู่ห้วงความรู้สึกผิดที่ก่อขึ้นในจิตใจ

    ร่างเล็กมีท่าทีลนลานเล็กน้อย”ม-ไม่ได้หมายความแบบนั้นซะหน่อย ฉันก็พอจะเดาอะไรบางอย่างจากเบาะแสที่ให้มาได้เหมือนกันนะ”

    “จริงหรือ”เด็กชายขยับเข้าใกล้เพื่อนของตนยิ่งขึ้น ก่อนมือผอมบางจะควานเปะปะและหยุดลงที่สัมผัสเนียนนุ่มจากมืออีกฝ่าย

    “อื้ม”เรือนผมสีม่วงของแพทริเซียขยับตามจังหวะการพยักหน้า”จากการที่เธอบอกว่าพ่อเธอหน้าตาเหมือนเธอมาก ฉันคิดว่าอย่างน้อยก็น่าจะมีผมกับตาสีเดียวกัน ซึ่งคนผมทองตาฟ้าส่วนมากจะเจอในแถบจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ขึ้นไปถึงยุโรปเหนือ เรื่องชื่อถ้าเป็นโจเซฟฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่ชื่อโยเซฟน่ะส่วนใหญ่เป็นสำเนียงของคนที่อยู่ในบริเวณจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์”

    เด็กชายนิ่งเงียบ ใบหน้าน้อยบ่งบอกให้รู้ความตั้งใจที่จะฟังเสียงใสนั้นกล่าวต่อจนจบ

    “ส่วนเรื่องความสูงศักดิ์ก็ขอลองเดาไว้ก่อนว่าเป็นพวกขุนนางหรือเชื้อสายราชวงศ์แถบนั้นล่ะนะ”แพทริเซียเอ่ยอย่างคนกำลังครุ่นคิด นิ้วเรียวยาวยกขึ้นม้วนปลายผมดังเช่นเวลาปกติที่นึกตรองสิ่งต่างๆ

     

    ปัญหาคือต่อให้ระบุได้คร่าวๆว่าน่าจะอยู่แถบไหน แต่ความเป็นมิตรของคนๆนั้นด้วยสิ

    ชนชั้นสูงหลายคนน่ะไม่ค่อยสนใจไยดีกับคนที่ตัวเองมองว่าต่ำกว่าอยู่แล้ว

    ยิ่งถ้าทิ้งแม่ของอัศมิตาด้วยเหตุผลงี่เง่าอย่างลูกเกิดมาตาบอดแบบนี้

     

    ถ้าเจอกันจริงๆไม่โดนเฉดหัวอย่างเย็นชาหรือโดนไล่ตะเพิดอย่างหมูหมาก็คงแปลกแล้วล่ะ....

     

    “เบาะแสเพียงเล็กน้อยแต่เจ้ากลับคาดการณ์ได้ถึงขนาดนี้ สุดยอดไปเลยแพทริเซีย”ริมฝีปากน้อยแย้มออกเป็นรอยยิ้มกว้างอย่างชื่นชม ชวนให้เจ้าของชื่อหวนนึกถึงภาพวาดเทวดาตัวน้อยตามโบสถ์ในตัวเมือง

    “ไม่เท่าไหร่หรอกน่า ถ้าเธออยู่กับฉันตั้งแต่เด็กก็คงรู้อะไรเยอะกว่าฉันด้วยซ้ำ”ประโยคในช่วงท้ายถูกเอ่ยออกมาอย่างผู้ที่กำลังเหม่อลอยก่อนจะรีบเปลี่ยนเรื่อง”เอาเถอะ ยังไงเราก็สามารถเที่ยวไปพลางตามหาไปพลางได้นี่นะ ไม่ต้องเครียดหรอก ทำใจให้สบายกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจะดีกว่า”

    “แพทริเซีย เราขอขอบคุณยิ่งนักสำหรับความช่วยเหลือในเรื่องนี้”เสียงเล็กเอ่ยคำขอบคุณออกมาอย่างบริสุทธิ์จนแพทริเซียรู้สึกเอ็นดูเด็กน้อยตรงหน้า

    “ไม่ต้องขอบคุณกันขนาดนั้นก็ได้ นี่ฉันเหมือนคนใจจืดใจดำที่จะไม่ช่วยกระทั่งเพื่อนตัวเองเลยหรือไง”เสียงเล็กกระเซ้าขณะใช้มือข้างที่ว่างจิ้มแก้มเนียนใสนั้นเบาๆ”อีกอย่างนี่มันก็ดึกแล้ว ฉันแนะนำว่าเราควรเข้านอนกันได้แล้วล่ะนะ พรุ่งนี้ยังอีกยาวไกล”

    “เราเข้าใจแล้ว”อัศมิตาพยักหน้าหงึกหงักก่อนปล่อยมือจากแพทริเซียและค่อยๆคลำหาหัวเตียงอย่างระมัดระวัง

    มือของแพทริเซียจับมืออีกฝ่ายเลื่อนไปหยุดลงที่บริเวณเป้าหมาย”หัวเตียงอยู่ตรงนี้”เด็กหญิงขยิบตาแล้วเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงมีเลศนัย”ขอส่วนแบ่งเป็นผ้าห่มสักนิดนะ”

    ใบหน้าของเด็กชายร้อนวาบเมื่อนึกขึ้นได้ว่าผ้าห่มกองอยู่ที่ฝั่งของตนเอง”ร..เราขอโทษที่เอาผ้าห่มมาไว้กับตัวจนหมด”มือผอมบางควานเปะปะก่อนจะส่งผ้าห่มผืนหนึ่งให้แพทริเซีย

    รอยยิ้มอบอุ่นฉาบชโลมบนริมฝีปากงามได้รูปของอีกฝ่าย”ผ้าห่มไม่ใช่บริยอชนะอัศมิตา ฉันรู้ว่าเธอหนาว...ห่มด้วยกันทั้งสองผืนเลยก็ได้นี่” นัยน์ตาสีอเมทิสต์มองอีกฝ่ายที่ยังมีท่าทีลังเลใจ”นอนลงไปเถอะน่า ฉันจะห่มผ้าให้เธอเอง”

    เมื่อรอจนกระทั่งร่างผอมบางของอีกฝ่ายนอนราบลงกับพื้นเตียงแล้ว มือเล็กก็ค่อยๆดึงผ้าห่มขึ้นคลุมตัวเขาอย่างเบามือ จากนั้นเด็กหญิงจึงเดินอ้อมไปอีกฝั่ง หย่อนตัวลงบนเตียงและห่มผ้าอย่างระมัดระวังอิริยาบถ ก่อนจะจมลึกสู่ห้วงนิทราในเวลาเพียงไม่นาน

     

     

     

    สัมผัสของบางสิ่งที่กำลังขยับไปมาปลุกเด็กหญิงให้ตื่นขึ้น ข้อนิ้วยาวเรียวถูรอบดวงตาเบาๆขณะกะพริบตาเพื่อปรับทัศนวิสัยให้คุ้นชินกับความมืด

     

    ขนาดมีแสงลอดมานิดหน่อยก็คงยังลำบากถ้าจะให้เดินไปไหนตอนนี้

    แล้วคนที่อยู่กับความมืดมาตลอดชีวิตจะต้องเข้มแข็งแค่ไหนกันนะ

     

    นัยน์ตาสีม่วงทอดมองไปยังเด็กชายตัวน้อยด้านข้าง ก่อนสะท้อนแววฉงนเมื่อเห็นร่างเล็กยกมือปัดป่ายไปมาราวกับกำลังหวาดกลัวบางสิ่ง

     

    แปลกแฮะ ปกติอัศมิตาไม่ใช่คนนอนดื้นอะไรนี่นา

     

    “ท่าน...แม่”เสียงเล็กที่สั่นเครือจากแรงสะอื้นฟังดูหวาดหวั่นอย่างสุดหัวใจ”เราขอโทษ...ที่เกิดมาเป็นเช่นนี้ ขอโทษที่...เป็นภาระให้ท่านต้องลำบาก”

     

    รู้สึกได้เลยว่าในใจของอัศมิตาโทษตัวเองมาตลอด สิ่งที่ปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กจากแม่คงมีอิทธิพลกับเธอมากจริงๆ

    ที่เกิดมาตาบอดก็ไม่ใช่ความผิดใครซะหน่อย...

     

    คนที่ทำเรื่องไม่น่าให้อภัยแบบฉันควรรู้สึกผิดไปจนตายต่างหากล่ะ...ไม่ใช่เด็กดีอย่างเธอ

     

    “ร..เราจะไม่ทำเรื่อง...ที่ส่งผลให้ท่านแม่...ต้องรู้สึกอัปยศอีก”คำที่ควรจะอบอุ่นสำหรับเด็กคนหนึ่งกลับถูกเอ่ยด้วยความหวาดกลัวราวกับตกอยู่ใต้อำนาจที่ไม่อาจแข็งขืน มือผอมบางทั้งสองข้างกอดตนเองไว้แน่นเป็นการปกป้องตนเอง”เช่นนั้นแล้วได้โปรดเถิด...ได้โปรดเมตตาเราด้วย อย่าทุบตีทำร้ายเราอีกเลย”

    ลมหายใจของเด็กหญิงผ่อนออกช้าๆ เธอขยับตัวไปทางอัศมิตาอย่างแผ่วค่อยก่อนยกแขนข้างหนึ่งโอบกอดเขาอย่างแนบแน่น ปล่อยให้ไออุ่นจากร่างกายถ่ายทอดไปยังเด็กชายผู้ตื่นกลัว

    ”ท่านแม่...”การเคลื่อนไหวของร่างเล็กผ่อนคลายลง ใบหน้าที่สะท้อนความทุกข์ทรมานเมื่อครู่กลับดูอิ่มเอิบราวได้รับความสุขอย่างหาประมาณมิได้ แพขนตาหนาเลื่อนลงซ่อนนัยน์ตาสีฟ้าเคยที่เบิกโพลงจากฝันร้าย

    แขนของเด็กชายตัวน้อยยกขึ้นโอบกอดผู้เป็นมารดาในความฝัน

     

    “....ขอให้ตัวเราได้สัมผัสความอบอุ่นเช่นนี้ตลอดไปได้หรือไม่”

     

     

     

     

    “ยิ้มไม่หุบมาตลอดเช้าเชียวนะ สงสัยเมื่อคืนต้องมีเรื่องอะไรดีๆเกิดขึ้นแน่เลย”แพทริเซียอดกระเซ้าไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางร่าเริงแจ่มใสของเด็กชาย

    อัศมิตาพยักหน้าตอบรับอย่างกระตือรือร้น”เราฝันถึงสัมผัสอันอบอุ่นจากอ้อมกอดของท่านแม่...”นัยน์ตาเหม่อลอยเงยขึ้นยังทิศทางของท้องฟ้า”แม้อ้อมกอดที่ได้รับเป็นเพียงมายา ทว่ากลับรู้สึกดีใจยิ่งนักที่ได้รับรู้สัมผัสนี้จากท่านสักครั้งในชีวิต....ราวกับฝันนี้สะท้อนความปรารถนาในใจของเราออกมา”

    “อัศมิตา...”ความเห็นใจถูกสะท้อนผ่านนัยน์ตาสีอเมทิสต์”นั่นสินะ เป็นฝันที่ดีมากเลย”

    “แพทริเซีย ถ้าหากเรามีโอกาสได้พบเจอท่านพ่อสักครั้ง เจ้าคิดว่าท่านพ่อจะยังคงเหลือความผูกพันฉันพ่อลูกกับตัวเราอยู่บ้างหรือไม่”เด็กชายหันกลับมาหาคู่สนทนา ใบหน้าน้อยๆเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง

    แม้จะรู้ถึงสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุด ทว่าความไม่ต้องการที่จะเห็นผู้ที่เติบโตมาอย่างขาดความอบอุ่นต้องเจ็บปวดอีกเป็นผลให้เด็กหญิงเลี่ยงที่จะพูดออกมาตามตรง”เรื่องนั้นฉันเองก็ยังตอบไม่ได้หรอก มันมีความเป็นไปได้ทั้งผูกพันแล้วก็ไม่ผูกพันนั่นล่ะ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...ขอให้เธออย่าเพิ่งน้อยใจจนกว่าจะได้เจอตัวจริงของพ่อเถอะนะ”

    “เรา...จะพยายามเข้มแข็งให้ได้”มือน้อยกำหมัดแน่น เครื่องหน้าแสดงความมุ่งมั่นออกมาเสียจนเด็กหญิงนึกอยากขยี้เรือนผมสีทองเป็นการหยอกเย้า

     

    แปลกจังนะ ทั้งที่เมื่อก่อนฉันเองก็ไม่ชอบให้มาทำแบบนี้แท้ๆ

    แต่ทำไมตอนนี้ถึงอยากทำพฤติกรรมแบบเดียวกันซะได้

     

    เด็กน้อยทั้งสองเดินต่อไปบนถนนโดยไร้ซึ่งบทสนทนาใดๆจนกระทั่งเด็กชายเป็นผู้ทำลายความเงียบขึ้น

    “แพทริเซีย...เราขอถามบางสิ่งกับเจ้าได้หรือไม่”เสียงเล็กที่เปล่งออกมาฟังดูสับสนคล้ายกำลังตรองว่าจะพูดต่ออย่างไรดี

    “ได้สิ มีอะไรเหรอ”

    นิ้วผอมบางยกขึ้นแตะริมฝีปากขณะประมวลผลคำพูดในหัวตนเอง“เจ้ามี เอ่อ...รูปลักษณ์เป็นเช่นไรบ้าง”

    คิ้วเรียวเลิกขึ้นจนแทบหายไปใต้เรือนผมสีม่วง ใบหน้าที่งดงามดุจเทพธิดาเปี่ยมล้นด้วยความสงสัย”เราก็อยู่ด้วยกันมาสักพักแล้ว ทำไมถึงเพิ่งมาถามเอาป่านนี้ล่ะ”

    “เรารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ค่อยจะดีเสียเท่าใดนัก”มืออีกข้างแตะแผ่นไม้โทรจิตที่อยู่ในกระเป๋ากางเกง ความรู้สึกกังวลพวยพุ่งขึ้นในอกราวกับต้องการเตือนถึงบางสิ่งที่อาจเกิดขึ้น

     

    เอาเถอะ….สังหรณ์หรือเปล่าก็คงไม่ใช่เรื่องสำคัญเท่าไหร่ การบอกเรื่องนี้ให้ฟังอาจมีประโยชน์ขึ้นมาจริงๆก็ได้

    อีกอย่างนึงก็เพื่อความสบายใจของตัวเขาด้วยล่ะนะ

     

    “เข้าใจแล้ว อย่างน้อยการที่เธอพอจะรู้คร่าวๆว่าหน้าตาฉันเป็นยังไงก็คงช่วยเป็นเบาะแสได้ถ้าเราเกิดพลัดหลงกันขึ้นมานี่เนอะ”ริมฝีปากน้อยส่งยิ้มให้แม้รู้ว่าเด็กชายไม่อาจมองเห็น ก่อนเริ่มอธิบายด้วยน้ำเสียงจริงจังกว่าเดิม

    “ก่อนอื่นเธอก็คงจะรู้บ้างแล้วว่าในตอนนี้ฉันตัวใหญ่กว่าเธอ”

    “เราพอคาดการณ์ได้จากทิศทางของเสียงที่อยู่สูงกว่า...”ร่างเล็กเอ่ยด้วยท่าทีขัดเขินเล็กน้อย”อย่างไรเสียตัวเราที่แคระแกร็นถึงเพียงนี้คงมิอาจสูงไปกว่าเจ้าได้”

    “อย่าพูดอะไรแบบนั้นสิ เธอยังอายุไม่ถึงช่วงที่เด็กผู้ชายจะโตได้มากที่สุดซะหน่อย”มือนุ่มเนียนปัดปอยผมสีทองที่ตกลงมาปรกตาอีกฝ่าย”ถ้าเกิดถึงตอนนั้นแล้วบางทีเธออาจสูงขึ้นจนฉันเทียบไม่ติดก็ได้นะ”

    “งั้นหรือ...”แก้มขาวนวลเปลี่ยนเป็นสีแดงราวผลมะเขือเทศสุกเมื่อได้ฟังคำกล่าวนั้น

    “ใช่แล้ว”นัยน์ตาคู่สวยฉายแววเอ็นดูก่อนเว้นช่วงไประยะหนึ่ง”ขอพูดต่อจากที่ค้างไว้เลยแล้วกันนะ...เรื่องสีผิวของฉันก็คงเรียกได้ว่าขาวจนซีดไปหน่อยล่ะมั้ง”เสียงใสหัวเราะราวประชดตนเอง

    “ทว่าที่อินเดียส่วนใหญ่แล้วผู้ที่ผิวกายผุดผ่องมักจะอยู่ในวรรณะสูง...เช่นนั้นแล้วผิวขาวควรจะเป็นลักษณะที่ดีมิใช่หรือ”อัศมิตาเอ่ยขึ้นขณะนึกทบทวนความทรงจำเมื่อครั้งอดีต

     

    แต่เธอที่ขาวออกขนาดนี้ยังโดนเหยียดเป็นจัณฑาลเลยไม่ใช่หรือไง

     

    “มันก็ไม่เชิงว่าจะดีเสมอไปหรอกนะ”แพทริเซียถอนหายใจเฮือกใหญ่”คนที่ถูกมองว่าแปลกแยกส่วนใหญ่มักจะเป็นพวกที่ผิวขาวมากๆเหมือนกัน...”

    อัศมิตาที่นิ่งเงียบสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างในน้ำเสียงที่แปรเปลี่ยนไป

    “ช่างเถอะ”เด็กหญิงสั่นหัวเล็กน้อยเพื่อตั้งสมาธิก่อนกล่าวต่อ”ส่วนสีผมกับนัยน์ตาของฉันเป็นสีม่วงน่ะ”

    “สีม่วงนั้นเป็นอย่างไรบ้างหรือ”เด็กชายเอียงคอด้วยความสงสัย นัยน์ตากลมโตสีฟ้าดูราวกับกำลังจับจ้องคู่สนทนา

    ริมฝีปากได้รูปสวยเม้มลงเล็กน้อยขณะขบคิดแนวทางอธิบาย”ถ้าพูดโดยรวมๆก็มักจะเป็นสีที่สื่อถึงพลังอำนาจ มนตรา ความรู้ หรือสิ่งที่ไม่อาจเข้าใจได้ล่ะนะ”

    “ช่างเป็นสีที่เหมาะสมกับตัวเจ้าเหลือเกิน”อัศมิตาแย้มยิ้มขณะพยายามจินตนาการถึงสีม่วงตามที่อีกฝ่ายได้บอกมา

    “เหมาะสม..งั้นเหรอ”เสียงใสเอ่ยอย่างแผ่วเบาคล้ายต้องการไม่ให้เด็กชายได้ยิน

     

    “ดูสีผมแม่นั่นสิ พิลึกชะมัด”

     

    ไม่ได้ๆ เรื่องพวกนั้นผ่านมาตั้งนานแล้ว คิดถึงมันก็ไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมาหรอก

     

    ร่างเล็กสูดลมหายใจเข้าออกช้าๆเพื่อตั้งสติ“หรือถ้าจะให้เจาะจงที่สีผมกับตาของฉันเลย สีที่ใกล้เคียงที่สุดก็น่าจะเป็นอเมทิสต์...แร่อัญมณีชนิดนึง” เสียงเล็กรีบเสริมต่อเมื่อเห็นสีหน้าไม่เข้าใจของเด็กชาย”แต่ถ้าเทียบให้เข้าใจง่ายๆก็ประมาณสีของลูกพลัมหรือไม่ก็องุ่นน่ะ”

    เสียงกระซิบเล็ดลอดจากริมฝีปากสวยได้รูป“เป็นสีที่ประหลาดมากๆเลย...”นัยน์ตาสีม่วงก้มลงมองพื้นถนน ความรู้สึกราวถูกบางอย่างกระแทกจนจุกแผ่ซ่านเต็มอก

    อัศมิตาสัมผัสได้ว่าเสียงใสมิได้มีเค้าแววของการล้อเล่นดังเช่นเคย แต่กลับสะท้อนบาดแผลที่หลบเร้นในจิตใจ ส่งผลให้บังเกิดความรู้สึกที่มิอยากให้อีกฝ่ายต้องเผชิญความทุกข์ร้อนในใจขึ้น”เหตุใดจึงกล่าวว่าสีของเส้นผมและนัยน์ตาของเจ้าแปลกประหลาดอย่างนั้นหรือ”

    ร่างเล็กสะดุ้งก่อนหัวเราะแห้งๆกลบเกลื่อน”เกิดนึกถึงเรื่องสมัยก่อนที่เคยโดนมองว่าดูพิลึกขึ้นมาน่ะ ไม่มีอะไรมากหรอก”

    “เรารู้สึกได้ว่าเจ้ากำลังเจ็บปวดอยู่...เจ้าไม่จำเป็นต้องเก็บความรู้สึกนั้นไว้กับตัวเลย”ท่าทีของเด็กชายดูมั่นคงและสง่างาม ชวนให้แพทริเซียนึกถึงเมื่อครั้งที่เขาพูดเพื่อช่วยเหลือเฟมิเมื่อครั้งอยู่อียิปต์

    “ความรู้สึกแบบนี้บางทีก็จะมาเป็นพักๆนั่นล่ะ แล้วตอนนี้ก็ดีขึ้นแล้ว...ขอบคุณมากนะที่เป็นห่วง”แพทริเซียพยายามทำจิตใจและน้ำเสียงของตนให้สงบเท่าที่จะทำได้ มือเล็กลูบเรือนผมสีทองของเด็กชายตาบอดเบาๆ

    “แพทริเซีย เราดีใจจริงๆที่เจ้ารู้สึกดีขึ้น”ความอ่อนโยนถูกระบายแต่งแต้มจนเต็มใบหน้าของเด็กชาย”อย่างไรเจ้าก็คือตัวเจ้าผู้มั่นคงเสมอมา...”

     

    “ยังไงสีม่วงก็คือสีม่วง ไม่มีใครตัดสินคุณค่าของมันได้นอกจากตัวเจ้าของเอง”

     

    “รีกา...”เด็กหญิงตะลึงงันราวกับตกอยู่ในห้วงภวังค์

     

    “เมื่อครู่เจ้าพูดถึงสิ่งใดอยู่หรือ”ร่างผอมบางขยับเข้ามาใกล้ด้วยได้ยินสิ่งที่คู่สนทนาพูดไม่ชัดเจนนัก

    “ป-เปล่า ไม่มีอะไร”นัยน์ตาสีอเมทิสต์เบี่ยงหลบไปทางด้านข้างก่อนหาเรื่องเปลี่ยนประเด็น”จริงสิ ฉันยังไม่ได้พูดถึงเรื่องชุดเลยนี่นา”เสียงของเธอแจ่มใสขึ้นเป็นอย่างมากหลังจากได้ฟังประโยคเมื่อครู่

    แม้จะรู้สึกประหลาดใจกับหัวข้อสนทนาที่เปลี่ยนไปกะทันหัน แต่เด็กชายกลับรอคอยให้เสียงใสราวกระดิ่งลมของแพทริเซียเล่าเกี่ยวกับตัวเธอต่อไป

    “ฉันไม่ค่อยได้ใส่ชุดนี้หรอกนะ”มือน้อยลูบลงบนเนื้อผ้าเบาๆ”มันเป็นชุดกระโปรงสีฟ้าอ่อนที่ดูหรูจนไม่เข้ากับตัวฉันสักเท่าไหร่...เพราะกลัวจะเก่าเร็วเลยพยายามรักษาสภาพมันไว้ตลอด”แพทริเซียหวนนึกถึงเมื่อครั้งได้รับชุดกระโปรงตัวนี้เป็นของขวัญวันเกิด

    รอยยิ้มใสซื่อผุดขึ้นบนใบหน้าของอัศมิตา“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าจึงเลือกใส่ในวันนี้เล่า...มีสิ่งใดพิเศษอย่างนั้นหรือ”

    “แค่อยากลองแต่งให้เข้ากับบรรยากาศของประเทศที่มีอิทธิพลด้านการแต่งตัวไปทั่วยุโรปอย่างฝรั่งเศสดูเฉยๆน่ะ”เด็กหญิงหัวเราะคิกคักก่อนจะหมุนไปรอบๆอย่างลืมตัวและชนเข้ากับใครบางคนโดยไม่ทันระวัง เป็นผลให้อีกฝ่ายเซถลาจนล้มกระแทกลงกับพื้น

    ”ขอโทษค่ะ เป็นอะไรมากหรือเ---”เสียงใสชะงักค้างไปชั่วครู่หนึ่งเมื่อเห็นเด็กหญิงคนนั้นเงยหน้าขึ้น สีของเรือนผมและนัยน์ตาคู่นั้นเหมือนเธออย่างไม่มีผิดเพี้ยน ชุดกระโปรงสีฟ้าที่ดูหรูหรากว่าเล็กน้อยมีรอยเปื้อนจากการหกล้ม

    เด็กหญิงปริศนาเองก็มีทีท่าตกใจไม่แพ้กัน ร่างเล็กลุกขึ้นปัดฝุ่นออกจากกระโปรงก่อนเหลียวไปมองข้างหลังและรีบวิ่งหายไปก่อนที่แพทริเซียจะทันเอ่ยถามสิ่งใดออกมา

    “อ-อ้าว ไปซะแล้วสิ”

    “เราได้ยินเสียงของเจ้าชนเข้ากับใครบางคน เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือไม่”ใบหน้างดงามดั่งรูปสลักฉาบชโลมด้วยความรู้สึกเป็นห่วง

    “เปล่าหรอก ที่กระเด็นไปน่ะไม่ใช่ฉันแต่เป็นเด็กคนนั้นต่างหาก”แพทริเซียถอนหายใจ”อะไรของเขากันนะ ทำไมต้องรีบซะขนาดนั้น...อย่างกับวิ่งหนีใครมาอย่างนั้นแหละ”คิ้วเรียวขมวดมุ่นเป็นปมขณะนึกทบทวนเหตุการณ์เมื่อครู่

     

    แปลกแฮะ ฉันไม่เห็นจะจำได้เลยว่าตัวเองมีฝาแฝดหรืออะไรแบบนั้น

    ตอนที่ชนกันฉันก็สัมผัสพลังเวทจากตัวเธอไม่ได้ด้วย

    แต่ทำไมเด็กคนนั้นถึงหน้าตาเหมือนฉันขนาดนี้กันนะ

     

    ที่สำคัญทำไมเธอถึงดูรีบมาก...อย่างกับกำลังหนีจากอะไรอยู่อย่างนั้นแหละ

     

     

     

    “แพทริเซีย เราขอถือกระเป๋าให้เจ้าได้หรือไม่”เด็กชายเอ่ยขึ้นหลังจากที่ทั้งสองเงียบไปพักใหญ่

    “หืม ทำไมล่ะ”นัยน์ตาสีม่วงเหลือบมองอีกฝ่ายอย่างนึกฉงน

    “เรารู้สึกว่าอยากช่วย..”อัศมิตาก้มหน้าลงอย่างขัดเขินพลางนึกหาคำพูดที่เหมาะสม”..แบ่งเบาภาระของเจ้า”

    “ของแค่นี้ไม่เป็นภาระหรอกน่า”เสียงใสเจือปนไปด้วยความรู้สึกเอ็นดูก่อนเสริมขึ้นเมื่อเห็นท่าทีเว้าวอนราวกับลูกแมวขออาหารของอีกฝ่าย”เอาเถอะ ในเมื่อเธออยากช่วยล่ะก็...ฉันจะไม่ปฏิเสธความหวังดีแล้วกัน”มือนุ่มเนียนยื่นกระเป๋าให้เด็กชาย

    “แพทริเซีย ขอบคุณเจ้ามาก”สิ่งที่สะท้อนออกมาจากเครื่องหน้าน้อยๆคือความรู้สึกอิ่มเอมที่ได้คิดว่าตนสร้างประโยชน์ให้แก่อีกฝ่ายได้

    “ฉันต่างหากที่ควรขอบคุณเธอ”เด็กหญิงยกมือขึ้นลูบเรือนผมสีทองอย่างนุ่มนวล”การช่วยคนอื่นเป็นเรื่องดี...แต่ว่าเธอไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้นเพื่อสร้างคุณค่าให้กับตัวเองหรอกนะ ยังไงเธอก็มีคุณค่าที่ไม่มีอะไรมาลบล้างได้ในตัวเองอยู่แล้ว”

    “งั้นหรือ...”แก้มขาวนวลเนียนเปลี่ยนเป็นสีระเรื่อ ริมฝีปากน้อยคลี่ออกให้เห็นรอยยิ้มจางๆ

    “เดี๋ยวก่อนสิ..”เด็กหญิงพึมพำในลำคอขณะจ้องมองไปยังกลุ่มชายฉกรรจ์เบื้องหน้าที่มีท่าทีราวกับตามหาบางสิ่งอยู่ เสื้อผ้าที่สะอาดเรียบร้อยเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ทำให้คาดเดาได้ว่าคงจะเป็นบ่าวรับใช้ของขุนนางสักคนหนึ่ง

    แพทริเซียหวนนึกถึงเด็กหญิงที่วิ่งชนกับเธอก่อนหน้านี้

     

    ถ้าเกิดว่าเธอเป็นลูกขุนนางที่หนีออกมาทำอะไรสักอย่าง...พวกนี้ก็คงจะเป็นคนที่ออกมาตามหา

     

    เด็กหญิงเผลอบีบมืออีกฝ่ายแน่น แม้อากาศจะเย็นสบายแต่กลับรู้สึกได้ว่ามีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นบนใบหน้า”อัศมิตา ฉันว่าเราเลี่ยงไปทางอื่นจะดีกว่านะ”

    “เหตุใดเจ้าจึงกล่าวเช่นนั้น--”อัศมิตาเอ่ยขึ้น เป็นจังหวะเดียวกับที่หนึ่งในกลุ่มชายเหล่านั้นเหลือบมาเห็นแพทริเซียเข้าพอดี

    “พบตัวท่านแคลร์แล้ว!”เขารี่เข้ามาด้วยความเร็วที่เด็กหญิงมิอาจหนีได้พ้น แขนแข็งแรงทั้งสองล็อคตัวแพทริเซียไว้จนดิ้นไปไหนไม่ได้ ก่อนที่ชายฉกรรจ์ทั้งกลุ่มจะตรงเข้ามาหาเด็กน้อยทั้งสอง

     

    เด็กคนนั้นชื่อแคลร์สินะ ฉันเชื่อแล้วว่าลางสังหรณ์เธอแรงดีจริงๆเลยล่ะอัศมิตา

     

    “พวกคุณจับผิดคนแล้วค่ะ ฉันชื่อแพทริเซีย...แล้วก็ไม่ใช่คนฝรั่งเศสด้วย”เสียงใสพยายามอธิบายเรื่องราวแก่กลุ่มคนตรงหน้า

    “ข้ออ้างเช่นเดิมใช้ไม่ได้ผลหรอกนะขอรับท่านแคลร์...พวกเรารู้แล้วว่าวันนี้ท่านใส่ชุดสีฟ้าไม่ผิดแน่”ชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มเกือบดำเอ่ยอย่างอ่อนใจ ประกายในดวงตาบ่งบอกให้รู้ว่าคำพูดของเธอไม่ได้รับความเชื่อถือ

     

    ให้ตายสิแม่คุณ เล่นหนีออกมาเที่ยวบ่อยๆหรือยังไง

    รู้ไหมว่าตอนนี้กำลังมีคนเดือดร้อนจากสิ่งที่เธอทำอยู่น่ะ...

     

    “ใช่แล้วขอรับ”ชายหนุ่มอีกคนที่ดูจะมีอายุอ่อนกว่ากล่าวเสริม”อีกทั้งวันนี้จะมีแขกมาเยือน...ท่านปิแยร์คงร้อนใจอย่างมากหากท่านไม่ยอมกลับตอนนี้นะขอรับ”

    แพทริเซียถอนหายใจขณะพยายามรวบรวมความคิด“ฉันไม่ใช่แคลร์จริงๆนะคะ เธอคนนั้นชนกับฉันแล้วก็วิ่งหายไปแล้ว”

    “กลับไปเสียแต่โดยดีเถอะขอรับท่านแคลร์”ชายคนแรกกล่าวเสริมอย่างไม่มีทีท่าว่าจะยอมฟังสิ่งที่เธอบอกแม้แต่นิดเดียว

     

    ทำไงดีล่ะ...

    จะดิ้นหนีก็คงไม่พ้น ไหนจะอัศมิตาที่วิ่งเร็วไม่ค่อยจะได้อีก

     

    เด็กชายที่นิ่งเงียบมาตลอดหาจังหวะแทรกขึ้นสำเร็จ”เราเป็นพยานให้ได้ว่าเกิดเหตุการณ์เช่นนั้นจริง และแพทริเซียอยู่กับเรามาก่อนที่จะขึ้นฝั่งที่ฝรั่งเศสนี้เสียอีก”

    “เจ้าหนูนี่มันตาบอดมิใช่หรือ”นัยน์ตาสีเทาคมกริบของชายหนุ่มร่างสูงฉายแววประดุจหมาป่า”ท่านแคลร์ยังไม่ล้มเลิกงานอดิเรกพรรค์นี้อีกหรือขอรับ ท่านก็รู้ว่าพวกคนตาบอดน่ะเหมือนปศุสัตว์...แม้ช่วยอุปถัมภ์ก็ไม่ได้ทำประโยชน์อะไรมาก”ชายหนุ่มแกะมือผอมบางออกจากมือของเด็กหญิงอย่างรวดเร็ว ก่อนจะผลักร่างของเด็กชายจนล้มเมื่อเขาพยายามเข้าไปหาแพทริเซียอีกครั้ง

     

    งานอดิเรก..อุปถัมภ์?

    หมายความว่าไงกันน่ะ....

    “เอามือสกปรกของแกออกไปจากท่านแคลร์ซะ แล้วข้าจะไม่เอาความใดๆกับเจ้า”เสียงทุ้มเยือกเย็นประดุจคมมีดที่พร้อมเชือดเฉือนให้ตกตายไปหากไม่ยอมปฏิบัติตามคำนั้นทำให้เด็กชายหวนนึกถึงอดีตที่เคยถูกรังเกียจเดียดฉันท์เมื่อครั้งอยู่อินเดีย หยาดน้ำเริ่มเอ่อคลอท่วมนัยน์ตามืดบอด

    “แพทริเซีย...”ร่างเล็กยันตัวลุกขึ้นก่อนจะใช้ความพยายามฝ่าเข้าไปหาเพื่อนของตนอีกครั้ง

     

    หรือว่าฉันควรจะใช้เวทมนตร์งั้นเหรอ....

     

    ภาพของความทรงจำในอดีตผุดขึ้นในหัวของเด็กหญิงราวกับน้ำพุ มือเล็กกำแน่นจนแทบจิกลึกเข้าไปในเนื้อเมื่อนึกขึ้นได้ว่าการใช้เวทมนตร์ต่อหน้ามนุษย์จำนวนมากในครั้งสุดท้ายมีผลลัพธ์เป็นเช่นไร

     

    เสียงก่นด่าสาปแช่งถึงเหยื่อผู้บริสุทธิ์

    เปลวไฟโหมกระหน่ำ

    ร่างที่เต็มไปด้วยเลือดและบาดแผล

     

    ความทรมานทั้งหมด...

     

    เพราะฉัน...เพราะเวทมนตร์นั่น

     

    นัยน์ตาสีม่วงอ่อนล้ามองไปยังกลุ่มชายฉกรรจ์ที่เริ่มเปลี่ยนจากการผลักเป็นทุบตีเพื่อมิให้เด็กชายเข้าถึงตัวเธอได้ ก่อนกัดริมฝีปากแน่นจนเลือดแทบไหลเมื่อเห็นว่าคนที่มุงดูอยู่โดยรอบไม่มีความคิดที่จะเข้าไปช่วยเหลือเด็กชายแม้แต่นิด

     

    ถึงการใช้เวทมนตร์อาจช่วยเปิดโอกาสให้ได้ แต่ถ้าพลาดก็คงจะยิ่งแย่ไปกันใหญ่แน่

    ยิ่งอยู่กลางถนนกลางวันแสกๆแบบนี้

    ฉันไม่มีวันยอมให้เกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นอีกแล้ว ไม่มีวัน

     

    “ก็ได้ ฉันนี่แหละแคลร์!”เสียงใสตะโกนลั่น นัยน์ตาแดงก่ำเลี่ยงที่จะมองไปยังเด็กชายโดยตรง”แล้วฉันก็จะยอมไปกับพวกคุณ...”

    “หากท่านว่าง่ายๆอย่างนี้เสียตั้งแต่แรกก็คงจะดี...”

    “แต่เด็กคนนี้ไม่ได้ทำอะไรผิด...เพราะงั้นหยุดทำร้ายเขาเดี๋ยวนี้นะ”แพทริเซียพูดเป็นเชิงออกคำสั่ง ขณะชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีเทาถอยกลับมายืนประกบข้างเด็กหญิงอีกครั้ง

    “แพทริเซีย...”เสียงเล็กเอ่ยอย่างแทบไม่เชื่อหู

     

    “ฉันขอโทษจริงๆนะอัศมิตา”เสียงที่สะท้อนก้องในศีรษะของเขาแฝงไปด้วยความเจ็บปวดอย่างชัดเจน”ที่เธอต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ก็เพราะฉันแท้ๆเลย”

    “เหตุใดเจ้าจึงไม่ใช้เวทมนตร์อย่างนั้นหรือ”ความรู้สึกราวหัวใจถูกบีบรัดไปด้วยความรู้สึกผิดกดแน่นลงเมื่อพบว่าเสียงของอีกฝ่ายที่ดังขึ้นในหัวไร้ซึ่งความขุ่นเคืองหรือกล่าวโทษแต่อย่างใด

    “เพราะตอนนี้คนพลุกพล่านมากแถมยังเป็นกลางวันแสกๆ ถ้าเกิดพลาดขึ้นมาแล้วคงไม่ใช่เฉพาะฉัน แต่เธอเองก็จะโดนทำร้ายไปด้วย”

     

    “ไปกันได้แล้วขอรับท่านแคลร์”ชายหนุ่มร่างกำยำปล่อยตัวเด็กหญิงให้เป็นอิสระ ทว่าเขาและกลุ่มบ่าวรับใช้ก็ยังคงตามประกบอยู่ไม่ห่าง

    “เข้าใจแล้ว”

     

    “ก่อนอื่นในตอนนี้เธอคงยังตามฉันมาไม่ได้หรอกนะ มันเสี่ยงที่เธอจะโดนทำร้ายเกินไป....”เด็กหญิงเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง “ลองนึกเส้นทางเท่าที่จำได้หรือถามทางใครสักคนแล้วกลับไปรอที่โรงแรมก่อนนะ จะหาทางหลบคนพวกนี้แล้วออกมาหาเธอให้ได้เลยล่ะ”

     

    “ฉันสัญญา”

     

     

     





    “นี่มันอะไรกัน”หญิงสาวเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครืออย่างแทบไม่อยากเชื่อกับสภาพสิ่งที่เห็นตรงหน้า นัยน์ตากวาดมองสภาพอดีตหมู่บ้านที่ดูราวกับถูกคลื่นยักษ์ซัดสาดกวาดล้างบ้านเรือนและชีวิตผู้คนจนย่อยยับ

     

    มันเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้ยังไง

    แล้วทั้งสองคนจะยังปลอดภัยอยู่หรือเปล่า

    ต้องรีบแล้ว...

     

    นิ้วเรียวยาวเกี่ยวสายสร้อยสีเงินขึ้นจนจี้บุษราคัมที่ถูกเจียระไนเป็นพระจันทร์เสี้ยวโผล่พ้นอกเสื้อ หญิงสาวแตะลงบนเพชรพลอยที่ล้อมรอบดวงจันทร์บุษราคัมอย่างแผ่วเบา นัยน์ตาสะท้อนแววร้อนใจจนแทบอยู่ไม่สุข

     

    รอก่อนนะ ฉันจะต้องหาเธอกับแพทริเซียจนเจอให้ได้

     

    “สวัสดีแม่สาวน้อย”เสียงยียวนของชายหนุ่มดังขึ้นเบื้องหลัง นิ้วชี้ขวาหมุนหมวกท็อปแฮทเล่นอย่างสบายอารมณ์

    หญิงสาวสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงที่เธอสัมผัสตัวตนไม่ได้จนกระทั่งเมื่อครู่ ร่างสูงตั้งท่าเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้ที่อาจเข้ามา

    “คุณเป็นใคร”

    “โว้วๆ ข้าไม่ได้จะมาสู้กับเจ้า”ชายหนุ่มยกมือปรามก่อนจัดแต่งหูกระต่ายบนอกเสื้อให้เข้าที่”ข้าเป็นใครไม่สำคัญหรอก เจ้ากำลังออกตามหาคนอยู่ไม่ใช่หรือไง...ถ้าหากว่าข้ามีเบาะแสนั้นล่ะ”นัยน์ตาคู่นั้นฉายแววดุจจิ้งจอกเจ้าเล่ห์

    ร่างสูงยังไม่ลดการป้องกันตัว ทว่าความอยากรู้ในสิ่งที่ชายหนุ่มพูดเมื่อครู่ทำให้เธอหลุดปากออกไป”ต้องการจะสื่ออะไรกันแน่คะ”

    รอยยิ้มเจ้าเล่ห์แสนกลที่สุดฉีกกว้างขึ้นราวกับเป็นลางบอกเหตุ....

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×