คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #139 : ♡ Once Upon a Time (End)
Once Upon a Time
วันคืนผ่านไปอย่างแสนทรมานใจ
จุนแทบไม่ออกจากบ้านเพราะไม่กล้าพอที่จะแสดงให้ใครเห็นดวงตาบวมเป่งของตัวเอง
แม้แต่เพื่อนก็ยังไม่ได้เจอสักคน
คงจะมีแต่เจ้านกร้องเพลงเท่านั้นที่บินมาเกาะขอบหน้าต่างและได้พบกับจุนในยามเช้า
แต่ถึงอย่างนั้นการหายไปของจุนก็ทำให้ยอลไม่สามารถนิ่งนอนใจได้
ต้นโอ๊คของจุนกลับมาเปลี่ยนสีอีกครั้ง ใบโอ๊คแห้งเฉาร่วงโรยลงพื้นไร้ชีวา แตกละเอียดทันทีเมื่อถูกมือหนาของยอลหยิบขึ้นมาสำรวจมอง
ความสดใสของต้นโอ๊คนั้นหายไปอย่างทันตา ทำให้ยอลรับรู้ได้เลยว่าตอนนี้จุนคงกำลังเผชิญเรื่องบางอย่างอยู่ภายในใจ
ทั้งยังหายหน้าหายตาไม่ยอมมาดูแลต้นโอ๊คอย่างที่ควรจะทำ
“เจ้าไล่เขาไปอย่างนั้นเหรอ?”
“จะว่าแบบนั้นก็ได้..”
ยอลยืนกอดอกพิงประตู
หลังจากที่คิดได้ว่าตนควรเข้ามาหาจุนเพื่อถามถึงสารทุกข์สุขดิบบ้าง
เขาก็ได้ฟังความทุกข์ที่จุนกำลังเผชิญอยู่
อีกทั้งยังได้เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของเพื่อนตัวเล็กจนทำให้ตระหนักได้อย่างถ่องแท้ว่าจุนเสียน้ำตาไปมากแค่ไหนกับเรื่องที่เกิดขึ้น
ยอลเข้าใจในความหวังดีของจุนที่มีต่อเจ้ามนุษย์คนนั้น
แต่ดูเหมือนว่าร่างเล็กจะใจร้อนเกินไปหน่อย ทั้งยังตั้งความคิดของตัวเองให้เป็นใหญ่สุดโดยไม่ถามความสมัครใจของคริสเลยสักนิด
เรื่องทั้งหมดจึงบานปลายและสุดท้ายก็ต้องมาจบลงด้วยการเสียน้ำตาทั้งวันทั้งคืน
“ข้าว่าถ้าเจ้าบอกเขาไปตรงๆ ว่าเจ้ากำลังอุ้มลูกของเขาอยู่
เรื่องมันอาจจะไม่เป็นแบบนี้นะ เพราะเท่าที่ข้าสังเกต.. เจ้ามนุษย์นั่นก็ดูทั้งรักทั้งหวงเจ้า
ดูเหมือนว่าเขาเองก็อยากจะใช้ชีวิตอยู่กับเจ้าเหมือนกัน”
“แต่ที่นี่มันไม่ใช่โลกของเขา.. เขาเป็นมนุษย์นะ ยอลคงจะไม่เคยได้ยินเวลาที่เขาเล่าถึงความฝันที่เขาอยากจะทำบนโลกมนุษย์
ถ้าเจ้าได้ยิน.. เจ้าก็คงจะทำแบบข้านั่นล่ะ”
“แล้วเจ้าจะเลี้ยงลูกคนเดียวไหวเหรอ?
เจ้าจะบอกเขาอย่างไรว่าเหตุใดเขาจึงโตมาแบบไม่มีพ่อ”
“ก็แค่บอกว่าพ่อของเขาจากไปแล้วหรือยังไงก็ได้
ข้าทำได้อยู่แล้วล่ะ”
“พูดน่ะง่าย แต่ตอนทำจริงมันยากนะ”
“…”
“ข้าไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว
ถ้าเจ้าตัดสินใจแบบนี้ข้าก็จะไม่บังคับเจ้า”
“ขอบใจ”
“แต่ถ้าองค์รัชทายาทรู้เรื่อง.. เจ้าเตรียมรับมือได้เลย
พระองค์จะรับลูกเจ้าเป็นบุตรบุญธรรมอย่างแน่นอน พระองค์อาจเดินหน้าเต็มกำลังเพื่อสานความสัมพันธ์กับเจ้าและสร้างครอบครัว
ทั้งยังจะยกเจ้าเป็นคู่ครอง
เชื่อข้าเถอะว่าอย่างไรเสียพระองค์ท่านก็อยากได้เจ้าเป็นเมีย”
“…”
“หาแผนรับมือดีๆ ก็แล้วกัน
ข้าจะไปหามื้อเย็นมาให้เจ้ากิน จะได้มีแรงออกไปเดินพักผ่อนข้างนอกบ้าง
อุดอู้อยู่แต่ในบ้านน่ะไม่ใช่เรื่องดีหรอกนะ”
ยอลเทศนาใส่จุนไปแล้วกว่า 5 รอบ แต่ทุกครั้งที่ยอลเทศนา
เขามักจะทำให้จุนหยุดชะงักและคิดตามได้ทุกเมื่อ คล้ายกับว่าเขาเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้จุนกลับมามีสติและเผชิญโลกต่อ
ดังเช่นเรื่องของแอล เพราะสนิทกันมานานหลายปี
ทั้งสามเติบโตมาด้วยกันจนรู้นิสัย รักกันร้อยครั้งก็ทะเลาะกันร้อยครั้ง ยอลจึงรู้ดีว่าหากเรื่องของจุนกับคริสดังไปถึงหูองค์รัชทายาท
แน่นอนว่าพระองค์ต้องกลับมาทำความดีเพิ่มแต้มต่อเพื่อให้จุนรับตนเป็นคนรักเสียที
แอลยังคงรักจุนมาเสมอไม่เคยถอดใจ
ไอ้ที่หายหน้าหายตาไปจนไม่ค่อยได้มาเกี้ยวจุนบ่อยๆ ก็เพราะต้องเสด็จตามพระราชินี
บวกกับฝีพระโอษฐ์ไม่เก่งพอเท่าเจ้ามนุษย์จึงไม่ค่อยอยากมาให้ตัวเองเสียหน้า
ทั้งยังเกรงใจจุนด้วย ทว่านับจากนี้ไป.. แอลคงได้กลับมาทำหน้าที่เป็นองครักษ์พิทักษ์จุนอย่างเต็มตัว
เพราะเจ้ามนุษย์นั่นต้องกลับโลกของตน
ทางด้านของจุนเองก็ปล่อยให้หัวใจเหี่ยวเฉามาได้สองคืนแล้ว
แน่นอนว่าหมอนใบเขื่องเปียกน้ำตาจนต้องเอาออกมาตากทุกเช้า
เขาไม่ได้สะอึดสะอื้นฟูมฟายขนาดนั้น ทว่าสิ่งที่จุนเป็นคือการร้องไห้เงียบๆ
อยู่เพียงลำพังบนโต๊ะอาหาร
ข้างปลาตกถึงท้องอยู่ไม่กี่คำเพราะไม่มีความหิวหรืออยากสิ่งใด แต่ก็ต้องกินเพราะกลัวลูกน้อยจะหิว
กระทั่งยอลมาหาที่บ้านและบังคับให้จุนกินมื้อกลางวันจนครบทุกสำรับ
ตบท้ายด้วยการเทศนาอีกหนึ่งจบ จุนจึงตระหนักได้ว่าเขาละเลยร่างกายของตัวเองไปมากและเขาอาจทำให้ลูกน้อยตกอยู่ในอันตรายเพราะความประมาทของตน
จุนเฝ้าถามตัวเองว่าสิ่งที่เขาทำลงไปนั้นเป็นการดีแล้วใช่หรือไม่
เด็กหนุ่มคิดไปคิดมาหลายตลบ พยายามบอกตัวเองว่าที่ตัดสินใจนั้นถูกแล้ว
อย่างไรเสียมนุษย์กับอมนุษย์ก็ไม่ใช่ของคู่กันอยู่ดี
หากจะฝืนธรรมชาติก็รังแต่จะทำให้ทุกอย่างวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม
ทว่าปากก็ไล่เขาไปแล้ว
แต่เหตุใดใจยังคิดถึงทุกคืนวัน
“ป่านนี้จะทำอะไรอยู่นะ..”
สำหรับคริสแล้ว.. การจะข้ามผ่านแต่ละคืนนั้นก็ใช่ว่าเป็นเรื่องง่ายดั่งเดินข้ามสะพาน
หลังจากที่ออกมาจากบ้านของเจ้าภูติน้อยตัวนั้น
มนุษย์หนุ่มก็ทำได้เพียงแค่หนีมาปักหลักอยู่ที่ท้ายป่า
เฝ้ารอวันที่จะได้กลับออกไปอยู่บนโลกมนุษย์อีกครั้งแม้ใจจะไม่ได้อยากออกไปก็ตาม
หากแต่ที่นี่ไม่มีใครต้องการเขา เช่นนั้นจะอยู่ไปให้เจ็บใจทำไมกัน
ค่ำคืนที่ไม่มีจุนอยู่เคียงข้างช่างเงียบเหงาเสียเหลือเกิน
มนุษย์ร่างสูงยกแขนขึ้นก่ายหน้าผาก
ทบทวนดูว่าเหตุใดกันที่ทำให้พวกเขาเดินทางมาถึงจุดนี้
จุดที่เป็นทางแยกและต้องตัดสินใจเดินแยกจากกันแทนที่จะเลือกทางใดทางหนึ่งและเดินไปด้วย
เขาทำอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ..
ตลอดเวลาที่ผ่านมา.. จริงๆ
แล้วมีแค่เขาคนเดียวใช่ไหมที่กำลังรู้สึกแบบนั้น
นี่มันบ้าชะมัด.. ก้อนเนื้อในอกนั้นคอยแต่จะบีบรัดจนเจ็บจุกไปหมด
พยายามหาอะไรทำเพื่อฆ่าเวลาในแต่ละวันก็แล้ว
แต่สมองกลับพลันแต่จะคิดถึงรอยยิ้มสวยสดใสที่เคยเป็นแรงใจให้ตลอด
มาวันนี้รอยยิ้มนั่นกลับฆ่าเขาทั้งเป็น ทั้งยังใช้คำพูดลนหัวใจเผาไหม้จนมันเกือบจะหยุดเต้น
‘ข้าไม่เคยบอกว่ารักท่านเลยสักครั้ง’
ถ้าไม่รักกัน.. แล้วเหตุใดจึงทำร้ายกันเช่นนี้เล่า
เหตุใดจึงใช้ข้าเป็นสนามอารมณ์ เห็นข้าเป็นตุ๊กตาไร้หัวใจ นึกจะมาเล่นด้วยก็เล่น
นึกจะทิ้งก็โยนทิ้งอย่างไม่ใยดี ข้าเองก็เจ็บเป็นเหมือนกันนะ.. เจ้าภูติ
ค่ำคืนของคริสดับมืดสนิทลงไปพร้อมกับร่างกายที่เหนื่อยอ่อน
เปลือกตาปิดพับลงหากแต่เรียวคิ้วยังขมวดปมอยู่น้อยๆ กระเป๋าสะพายถูกใช้เป็นหมอนหนุนนอน
แม้จะไม่นุ่มเท่ากับตักของใครบางคน แต่อย่างไรก็ต้องทำตัวให้ชิน
- - - - - - - - - - - - - - - - -
หลังจากที่ระหกระเหินออกมาอยู่คนเดียว ณ ท้ายป่า
วันนี้ก็ครบ 7 วันอย่างพอดิบพอดี
นั่นหมายความว่าประตูมิติที่ทำให้คริสพลัดหลงเข้ามาปักใจอยู่ในต่างดินแดนคงจะถูกเปิดแล้ว
เช่นนั้นร่างสูงจึงตื่นแต่เช้าแต่ลุกขึ้นเก็บของทั้งหมดลงกระเป๋า
ผืนผ้าใบใหญ่ยาวหลายศอกถูกพับลงหลังจากที่มันถูกนำมากางออกและขึงไว้กับไม้เพื่อทำเป็นกระโจมนอนชั่วคราว
กองไฟถูกดับลง
เจ้ากระรอกบนต้นไม้มองดูภาพนั้นพร้อมกับเมล็ดถั่วในมือ
แน่นอนว่ามันเห็นชายผู้นี้มาปักหลักอยู่นานหลายวันแล้ว
มันพอจะทราบอยู่บ้างว่าชายผู้นี้เป็นใคร
แต่ไม่เข้าใจนักว่าเหตุจึงออกมานอนตรงนี้ทั้งๆ
ที่ชาวเมืองก็ลือกันสนั่นว่าชายผู้นี้คือคนของจุน ขณะที่มันกำลังสงสัย
สองหูของมันก็กลับได้ยินเสียงฝีเท้าเดินย่ำเข้ามาใกล้
มันจึงหันไปมองและพบว่าแฟร์รี่ผู้งดงามแต่ปีกหักกำลังเดินมาทางนี้
จุนเดินมาตามทางที่เจ้าพวกแมลงคาบข่าวมาบอกวันก่อน
พวกมันต่างฟ้องร้องว่าเห็นท่านมนุษย์มาอาศัยอยู่แถวนี้
จุนจึงใช้เวลาคิดอยู่นานพอสมควรว่าเขาควรจะเดินออกมาหาคริสดีหรือไม่
หากเห็นหน้าแล้วเผลอกลับใจขอร้องให้อยู่จะทำเช่นไร
เพราะเท่านี้ก็คิดถึงจนนอนร้องไห้แทบทุกคืนเป็นรัญจวน
“…” ขณะที่คริสกำลังก้มเก็บของ
เขามองเห็นข้อเท้าเรียวสวยกับรองเท้าถักคู่คุ้นตา
ร่างสูงจึงเงยหน้าขึ้นมามองและได้พบกับเจ้าของเปลวเพลิงที่จุดเผาหัวใจของเขาให้มอดไหม้
“ท่านราชินีรับสั่งให้ข้าไปส่งท่านที่ประตู
นางกลัวว่าท่านอาจหลงทางและกลับออกไปไม่ได้”
“หมายถึงแม่ย่าของเจ้าน่ะหรือ?”
“…”
“ข้าเดินไปเองได้ ขอบคุณสำหรับความหวังดี”
เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้นแล้วใบหน้าหวานจึงก้มลงงุดและถอดสีอย่างชัดเจน
ตอนนี้จุนทำอะไรไม่ถูกนอกจากปล่อยให้คริสเก็บของและตัวเองก็ได้แต่ยืนอยู่คนเดียวอย่างเก้ๆ
กังๆ ไม่กล้าจะเดินออกไป แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะเดินเข้าไปช่วยเขาคนนั้นเก็บของ
กลัวว่าจะไปเกะกะร่างสูงเปล่าๆ
มือทั้งสองไพล่หลังหากแต่มันกำลังถูกันไปมาอย่างประหม่า
อากาศวันนี้ค่อนข้างร้อนพอใช้ได้
แม้จะเป็นหน้าฝนแต่สายฝนนั้นไม่ได้มาเยือนนครน็อกซ์หลายวันแล้ว
มือขาวจึงยกขึ้นปาดเหงื่อ รู้สึกหนักศีรษะนิดหน่อยเพราะอากาศที่ไม่เป็นใจ
สุดท้ายจึงตัดสินใจนั่งลงบนโขดหินใกล้ๆ เพื่อรอให้คริสเก็บของให้เสร็จ
ซึ่งตลองเวลาที่คริสกำลังจัดการกับสัมภาระของเขาอยู่นั้น.. มันกลับไม่มีแม้แต่เสียงพูดคุย
สายตาที่มองมา มีเพียงแค่ความเงียบจนแสนจะอึดอัด
และแผ่นหลังที่เอาแต่หันให้เด็กน้อยเพื่อใช้เป็นฉากกั้นระหว่างพวกเขา เช่นนั้นจุนจึงมีเพื่อนเล่นเป็นแค่กระต่ายน้อยขนฟู
มือหนึ่งลูบไล้ขนมัน แต่ดวงตากลับจ้องมองชายคนนั้นอย่างโหยหา
กว่าจะเก็บของลงกระเป๋าจนครบก็ใช้เวลาอยู่หลายนาทีเช่นกัน
เมื่อกระเป๋าถูกผูกเชือกจนแน่นแล้วร่างสูงจึงยกมันขึ้นมาสะพายบนบ่าและเดินหนีคนตัวเล็กไปโดยไม่ส่งเสียงเรียกเลยสักนิด
แต่จุนนั้นเห็นคริสเดินออกไปพอดี เขาจึงอุ้มเจ้ากระต่ายลงจากตัก
ลุกขึ้นยืนและปัดขนมันออก
กึ่งวิ่งกึ่งเดินตามชายร่างสูงคนนั้นไปแม้เขาจะไม่ได้เรียกเลยก็ตาม
ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเงียบ
ตลอดทางที่กำลังเดินออกไปหาประตูบ้านั่นก็ไร้ซึ่งเสียงพูดคุย มีแต่เสียงฝีเท้าเท่านั้นที่ทำให้คริสรู้ว่าตอนนี้ตนไม่ได้เดินอยู่คนเดียว
แต่จุนกำลังเดินตามเขามาด้วยอีกคน ระยะห่างระหว่างพวกเขาถูกเว้นไปหลายหลา
พวกเขาเดินห่างกันราวกับว่าไม่เคยรู้จักกันด้วยซ้ำ
ผ่านกำแพงต้นสนมาก็แล้ว
ผ่านบ่อน้ำที่เคยลงเล่นด้วยกันก็แล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครเอ่ยปาก
ผิดกับในหัวใจที่อยากจะตะโกนกู่ร้องออกไป คริสเองก็อยากจะถามว่าเขาทำผิดอะไร?
หรือเขาเขายังพยายามไม่มากพอใช่หรือไม่จุนถึงได้ปฏิเสธความรักของเขาอย่างไม่ใยดี.. จุนเองก็อยากจะร้องบอกว่าเขาไม่ได้อยากให้คริสกลับไปเลย
ที่สำคัญ.. ในร่างกายของเขายังมีใครอีกคนหนึ่งที่กำลังจะลืมตาดูโลก
“ท่าน..”
สุดท้ายก็เป็นจุนที่เอ่ยเรียก
ร่างสูงจึงหยุดฝีเท้าในขณะที่ตรงหน้านั้นคือพุ่มไม้และเถาวัลย์ที่เลี้ยวลดเกาะกันเสมือนอุโมงค์นำทางให้พาออกไปจากดินแดนนี้
เป็นเพราะคริสเอาแต่หันหลังให้จุนมาตลอด
เขาจึงไม่รู้ว่าสภาพของจุนในเวลานี้เป็นเช่นใด ยามหันไปมองจึงได้ประจักษ์
ดูเหมือนว่าความสดใสจะหายไปจากจุนไม่น้อย ดวงตาบวมช้ำและแดงเสียจนน่ากลัว
คริสไม่รู้หรอกว่าร่างเล็กไปทำอะไรมา เหตุใดจึงตาบวมเช่นนั้น
เพราะเท่าที่เขาเข้าใจ.. จุนควรดีใจมากกว่าที่สามารถไล่เขาไปจากชีวิตได้
“มีอะไร?”
“ข้าแค่จะบอกว่า..”
“…”
“เดินรอดโพรงเถาวัลย์นั่นไปก็จะเป็นโลกมนุษย์แล้ว
ท่านห้ามหันหลังกลับมาอีกล่ะ”
“แน่นอน ข้าไม่มีทางกลับมาอยู่แล้ว ข้าจะออกไปใช้ชีวิตดั่งมนุษย์เช่นเดิมตามที่เจ้าต้องการ
อีกอย่างจะให้กลับมาทำไมก็ในเมื่อไม่มีใครต้องการข้า ที่นี่น่ะมีแต่คนใจร้ายใจดำจริงไหม?”
“อืม ก็คงจริง”
คำพูดประชดประชันนั่นทำหน้าที่เจาะแทงหัวใจของจุนให้เจ็บได้เป็นอย่างดี
เด็กน้อยจึงจำต้องเม้มปากและก้มหน้าไม่พูดอะไรต่อ มองเห็นภาพรางๆ
ของคริสเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ร่างสูงกำลังหันหลังกลับไป เขากำลังเดินออกไปแล้ว
และเขาจะไม่กลับมาอีก หลังจากนี้ชีวิตของจุนก็จะไม่มีคริสเข้ามาเกี่ยวข้องอีกแล้ว
คงมีแค่เขากับเจ้าตัวเล็กเท่านั้นที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน
ต่อไปนี้เวลามองหน้าเจ้าตัวเล็ก.. ก็คงจะต้องเห็นหน้าของคริสลอยมาให้ได้คิดถึงเป็นแน่แท้
เมื่อชายร่างสูงได้ก้าวเท้าไปไกลแล้ว
จุนจึงตัดสินใจที่จะกลับบ้านของตัวเองบ้าง
และนี่เป็นอีกครั้งที่ร่างเล็กปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอีกหน
มือขาวยกขึ้นปาดน้ำตาให้หายไปจากหน้าแก้ม เขาร้องไห้มาหลายวันแล้ว
ถึงเวลาที่ควรจะหยุดความรู้สึกเศร้าหมองพวกนนี้เสียที
หากแต่แสงแดดที่แยงตามานั้นทำให้เขาโงนเงนนิดหน่อย
ความรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะไม่เคยจางหายตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้
ขณะเดียวกันภาพตรงหน้าก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีดำกระพริบไหวไปมาจนประครองร่างตัวเองไม่ไหวจนเข่าอ่อน
มือเล็กพยายามยันพื้นเอาไว้เพื่อให้ตนไม่ล้ม
ทว่ากลับสู้พิษไข้ในร่างกายไม่ไหวจนในสุดก็ต้องปล่อยให้กายล้มลงไปนอนราบอยู่บนพื้น
ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะดับหายไปทันควัน
สองเท้าของคริสก้าวมาจนถึงโพรงเถาวัลย์แล้ว
ชายตัวสูงหยุดเดินเพราะในหัวของเขายังเอาแต่เกาะติดอยู่กับเหตุผลที่แท้จริงจากปากจุน
เขาอยากรู้ว่าเหตุใดจุนถึงไม่ต้องการเขาอีกต่อไปแล้ว เหตุใดจึงพูดว่าไม่รักกันทั้งๆ
ที่ที่ผ่านมา..
พวกเขากอดกันและจับมือกันทุกครั้งเวลาออกไปเดินเที่ยว
การกระทำทุกอย่างนั้นชัดเจนว่าพวกเขามีใจให้ซึ่งกันและกัน
แต่ทำไมจุนถึงสะบั้นรักกับเขาอย่างเด็ดขาดเช่นนี้
สุดท้ายก็ตัดสินใจหันกลับไปเพราะอยากจะฟังจากปากอีกทีให้แน่ชัด
แต่แล้วภาพของเด็กน้อยที่กำลังนอนฟุบอยู่บนพื้นก็ทำให้คริสใจหาย
ก้อนเนื้อในอกกระตุกวูบทันที
แต่แล้วก็เลือกที่จะวิ่งเข้าไปประคองเจ้าภูติน้อยให้ลุกขึ้นมาอยู่ในอ้อมแขน
“จุน! ได้ยินข้าไหม? จุน!...”
“…”
“จุน ทำใจดีๆ นะ ข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน”
- - - - - - - - - - - - - - - - -
ชายร่างสูงเดินทางกลับมาที่บ้านต้นไม้อีกครั้ง
ตลอดระยะเวลาของการอุ้มเจ้าภูติตัวน้อยกลับมาที่บ้านค่อนข้างสร้างความตื่นตระหนกให้ชาวเมืองไม่น้อย
กระทั่งได้วางคนตัวเล็กลงบนเตียงให้นอนราบ
ร่างสูงจึงยกมือขึ้นปาดเหงื่อและส่งนกร้องเพลงไปรายงานที่บ้านของเพื่อนสนิทของจุนทันที
ยอลใช้ปีกของเขานำพาตนและถุงเก็บสมุนไพรต่างๆ
มายังบ้านต้นไม้หลังน้อยของจุน เขาได้ฟังอาการคร่าวๆ
จากคริสและได้ความาว่าจุนไปหาร่างสูงที่ชายป่า
แต่กลับเป็นลมล้มพับลงและไม่ขานตอบสิ่งใดออกมาอีกจนถึง ณ บัดนี้
ยามยื่นมือไปอังแก้มสวย พบว่ามีความร้อนสูงแล่นพล่านไปทุกอณู ริมฝีปากที่เคยเป็นสีชมพูสดใสกลับซีดเผือด
ร่างกายของจุนทรุดโซมอย่างชัดเจน แต่คริสไม่สามารถหาสาเหตุได้ว่าเป็นเพราะอะไร
หากแต่ยอลนั้นดูเหมือนจะรู้ดีว่าสิ่งใดที่ทำให้จุนเป็นเช่นนี้
กระทั่งยอลประเมินอาการและใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดไปตามใบหน้าของจุนจนเรียบร้อยแล้ว
เขาจึงวางมือและขอให้คริสเดินออกไปคุยด้วยกันข้างนอกก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องทุกอย่างให้มนุษย์เจ้าของหัวใจของจุนได้ฟัง
“ข้าคิดว่าสิ่งที่จุนทำลงไปคงเพราะอยากจะปกป้องท่าน
หมายถึงถ้าท่านรู้ว่าจุนกำลังลูกของท่านอยู่
ท่านก็ต้องอยู่ที่นี่กับจุนและท่านจะไม่มีวันได้กลับออกไปยังโลกมนุษย์อีก
ซึ่งถ้าวันใดวันหนึ่งพวกท่านหมดรักกัน
ท่านก็จำต้องอยู่ที่นี่ต่อจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ จุนคงอยากให้ท่านไปมีชีวิตที่ดีกว่านี้ในโลกที่เป็นโลกของท่านจริงๆ”
ยอลเอ่ยขึ้นในขณะที่เขากำลังวางแขนลงบนราวระเบียงบ้าน
สายตาทอดมองออกไปยังท้องฟ้าและผืนดินข้างล่างซึ่งมีเหล่าแฟร์รี่และสัตว์มากมายที่พากันเดินกันอย่างขวักไขว่
“…”
“ท่านยังมีเวลาตัดสินใจนะ
กลุ่มดาวเปอร์ซีอัสจะปรากฏจนถึงช่วงยาม 3 ของวันพรุ่งนี้
ถ้าท่านจะกลับไปข้าก็ไปส่งท่านได้ แต่ถ้าถามใจข้า.. ข้าไม่อยากให้ท่านกลับหรอกนะ”
“ในเมื่อลูกข้าอยู่ที่นี่ ข้าก็ต้องอยู่ที่นี่นั่นล่ะ”
คริสตอบตามเจตนาแรกที่ตนประสงค์จะทำมาตั้งแต่แรก
“แล้วท่านทำใจได้หรือที่จะต้องทิ้งบ้านทิ้งเพื่อนที่เมืองมนุษย์มาอยู่กับจุน”
“ยังไงหน้าที่พ่อก็ต้องมาก่อนหน้าที่อื่นใด
อีกอย่างข้าก็ไม่ได้อยากจะไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ที่ยอมเดินออกไปก็เพราะว่าจุนขอให้ไปต่างหาก
ข้าจะอยู่ที่นี่และจะไม่ขอกลับไปที่โลกมนุษย์อีก
แม้ว่าอยู่ที่นี่แล้วข้าจะเป็นตัวประหลาดก็ตาม”
“อีกหน่อยชาวเมืองก็คงชิน
เพราะบ้านของเบคคุก็มีมนุษย์อยู่เช่นกัน ข้าคิดว่าจุนคงเล่าเรื่อง บิดาผู้เป็นมนุษย์ของเบคคุ
ให้ท่านฟังแล้ว”
“ใช่ ภูติตาสีส้มตนนั้น.. ที่เป็นครึ่งแฟร์รี่ครึ่งคน”
“ลูกท่านก็จะต้องเกิดมาเป็นครึ่งแฟร์รี่ครึ่งคนเช่นกัน
แต่ไม่ว่าจะเกิดมาด้วยสายเลือดไหนข้าว่ามันย่อมไม่ต่างหรอก
พวกเจ้าต้องเลี้ยงลูกได้ดีอยู่แล้ว”
เบคคุ ครึ่งมนุษย์ครึ่งแฟร์รี่ตนเดียวในนครน็อกซ์
จุนเคยเล่าให้คริสฟังอยู่หนหนึ่งว่าที่ดินแดนนี้ก็มีมนุษย์หลงเข้ามาเช่นกัน
แล้วเขาก็ตกหลุมรักกับแฟร์รี่ภูเขาก่อนจะให้กำเนิดเบคคุ – เด็กหนุ่มตาสีส้มครึ่งมนุษย์ครึ่งแฟร์รี่
ซึ่งจุนเองก็ยังบอกอีกว่าแม้ว่าสายเลือดของเบคคุจะไม่เหมือนคนอื่นๆ
แต่เขาก็ดำรงชีวิตปกติมาตั้งแต่เล็กจนโต มีปีก มีงานปละหน้าที่ประจำตัว
มีเพื่อนมากมาย ชาวเมืองไม่เคยมองว่าเขาแปลกแยก
นั่นจึงทำให้คริสค่อนข้างสบายใจเพราะอย่างน้อยชาวเมืองแฟร์รี่ก็ไม่ได้รังเกียจมนุษย์มากมายขนาดนั้น
เว้นเสียแต่ว่าพวกมนุษย์จะมาทำให้ชาวเมืองไม่พอใจเข้าก่อน
“จุนน่ะคิดถึงท่านทุกวัน เอาเข้าจริงแล้วเขาก็ไม่ได้อยากให้ท่านจากไปไหนหรอก
เขาร้องไห้แทบทุกคืนเพราะเอาแต่คิดถึงท่านจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ
นั่นน่ะก็เป็นอีกสาเหตุนึงที่ทำให้เขาป่วยจนหน้ามืดเป็นลมเช่นนี้
ทำเป็นแกร่งได้แค่พริบตาเดียวก็กลับมาเป็นเด็กขี้แงเช่นเดิม”
“ข้าก็คิดอย่างนั้น”
“งั้นท่านก็เข้าไปดูแลเขาเถอะ
อย่าลืมให้กืนมื้อเย็นกับดื่มยาล่ะ
มีเจ้าตัวเล็กมาอยู่ในท้องเพิ่มอีกคนยิ่งต้องบำรุงให้มีกำลังเนื้อหนังมังสาบ้าง
นี่ก็ผอมจนไม่รู้จะผอมอย่างไรแล้ว”
“ข้าจะพยายาม
แต่ข้าคงต้องดัดนิสัยคนปากเก่งเสียหน่อย หวังว่าท่านคงจะเข้าใจข้านะ”
ยามนี้พระอาทิตย์คล้อยจนลับตา
ทั่วนครน็อกซ์ไร้ซึ่งแสงสว่างหากแต่แสงไฟจากบ้านเรือนนั้นทำให้ดินแดนแห่งนี้กลายเป็นเมืองแห่งแสงสีจนไม่สามารถละสายตาออกไปได้
เจ้าภูติน้อยที่หลับไปตั้งแต่ช่วงบ่ายนั้นคล้ายกับจะได้สติอีกหน
ร่างเล็กขยับกายอยู่บนเตียง อาการมึนหัววิ่งแล่นเข้ามาจนต้องหยีตา
จากนั้นจึงจำได้ว่าสัมผัสที่รองรับตัวของตนอยู่นั้นคล้ายจะเป็นเตียงที่บ้านต้นไม้
ดังนั้นเมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วเด็กน้อยจึงตระหนักได้ว่าตอนนี้ตนกำลังนอนอยู่ในบ้านหลังเดิม
เมื่อกวาดสายตาเพื่อสำรวจที่ทางอีกหน จุนก็กลับพบเห็นใครบางคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ปลายเตียงพลางมองมาทางเขา
“ท่าน…”
“…”
“ทำไมยังไม่กลับไปอีก?”
ยามสายตาได้สบมองกัน
ในใจของจุนกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย ทั้งเสียใจ คิดถึง ดีใจ
แต่ก็ไม่อยากจะเห็นหน้าในเวลาเดียวกัน
เช่นนั้นปากจึงเอ่ยถามด้วยถ้อยคำราวกับอยากไล่เขาให้ไปไกลๆ แต่ในใจนั้นอยากจะรั้งเอาไว้เหลือเกิน
“ยอลบอกให้ข้าอยู่ที่นี่เพราะลูกข้าต้องการพ่อ”
“…”
“มีอะไรจะแก้ตัวไหม?”
“ยอลบอกท่านหมดทุกอย่างเลยงั้นหรือ?”
“ใช่” น้ำเสียงนั้นออกจะเย็นชา
แต่สายตากลับน่ากลัวกว่า
เพราะมันมีแต่ความว่างเปล่าที่แสดงออกมาจนทำให้จุนไม่กล้าจะเอื้อนเอ่ยสิ่งใดต่อ
“เจ้านี่ใจร้ายชะมัด คิดจะพรากพ่อกับลูกให้จากกัน ใจร้ายเสียยิ่งกว่าแม่มดเสียอีก”
“…”
“แล้วก็ยังไม่ยอมคิดที่จะดูแลตัวเอง
ถ้าลูกข้าเป็นอะไรไป.. เจ้าต้องรับผิดชอบทั้งหมด”
“…” จู่ๆ
น้ำตาก็รื้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ขอบตาของจุนร้อนผ่าว ในขณะที่สายตาของคริสยังคงจ้องมองเด็กน้อยราวกับจะเค้นเอาเอาความรู้สึกผิดจากเด็กน้อยให้ได้
นั่นจึงทำให้ร่างสูงมองเห็นว่าตอนนี้จุนมีท่าทีเช่นไร
เด็กน้อยเอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าสบตา ริมฝีปากเม้มแน่น และถ้ามองไม่ผิดล่ะก็… จุนกำลังปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเปรอะแก้มสีสวย
“ข้าทำมื้อเย็นเอาไว้ให้แล้ว เจ้ารีบกินเสียเถอะ
ไม่อย่างนั้นลูกข้าอาจจะหิวจนไส้กิ่วไปหมด”
ร่างสูงลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้และเดินหนีไปทางห้องครัว
แต่แล้วใครบางคนก็รีบผุดลุกออกจากเตียงและวิ่งมากอดรั้งชายร่างสูงเอาไว้จากด้านหลัง
“ข้าขอโทษ” ชั่ววินาทีนั้นคริส ลอบยิ้ม
ออกมานิดหน่อย
แต่แน่นอนว่าเขาต้องการที่จะดัดนิสัยเจ้าภูติน้อยตามที่ที่ตนกล่าวไว้กับชานยอล
ดังนั้นร่างสูงจึงต้องทำนิ่ง ไม่ใส่ใจใยดีกับคำขอโทษนั้น
และใช้น้ำเสียงเรียบนิ่งข่มขวัญเด็กน้อยจนเจ้าตัวน้ำตาไหลออกมาราวกับเขื่อนแตก
“เก็บคำขอโทษของเจ้าเอาไว้เถอะ ข้าไม่อยากฟังนักหรอก”
พูดจบก็แกะมือน้อยๆ ออกก่อนจะเดินหนีไปอีกครั้ง
“ข้าก็แค่เป็นห่วงท่าน
กลัวท่านจะไม่สามารถอยู่บนโลกแบบนี้ได้
แล้วข้าก็ไม่มีทางล่วงรู้อีกเลยว่าประตูจะเปิดให้ท่านออกไปใช้ชีวิตดังเดิมได้อีกตอนไหน
ข้าก็แค่.. เป็นห่วงท่านจริงๆ”
“…” คริสทำเป็นหูทวนลมไปเสียเฉยๆ
แม้ว่าหัวใจของเขาจะได้ฟังถึงเหตุผลของจุนจริงๆ แล้วก็ตาม
มือหนาหยิบเอาจานอาหารมื้อเย็นที่พักเอาไว้ออกมาวางบนโต๊ะกินข้าวที่เขาสองคนเคยนั่งด้วยกัน
“กินเสร็จแล้วก็กินยาในหม้อนั่นเสีย ยอลเป็นคนต้มเอาไว้ให้ เขาบอกว่ามันจะช่วยบำรุงให้ลูกข้าแข็งแรง”
“…”
“แล้วก็เข้านอนให้มันเร็วๆ ด้วย
ลูกข้าไม่ค่อยจะชอบใจนักเวลามีคนพานอนดึก”
“…”
สายตาที่มองไปหาร่างเล็กนั้นช่างว่างเปล่าและไร้เยื่อใย
อะไรๆ ก็เอาแต่ห่วงลูกของตัวเอง
แต่ไม่เคยเอ่ยปากถามเด็กน้อยเลยสักนิดว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง
ยังมีอาการมึนหัวหรือรู้สึกตัวร้อนบ้างหรือไม่?
นั่นจึงไม่แปลกเลยถ้าหากจุนจะรู้สึกน้อยอกน้อยใจจนเผลอทำปากคว่ำออกมา
เมื่อจัดการตั้งสำรับให้แม่ของลูกเสร็จสรรพแล้วคริสจึงเดินหนีไปทำธุระของตัวเอง
หยิบเอาถุงนอนจากในกระเป๋าออกมาปูไว้สำหรับการนอนพักผ่อนในคืนนี้
จากนั้นจึงหยิบเสื้อผ้าออกมาเตรียมตัวจะหนีไปอาบน้ำ
ทว่าก็กลับถูกเสียงหวานถามเรียกถามด้วยความคะนึงหา
จนทำให้คริสเผลอยิ้มออกมาอีกครั้งก่อนจะหันไปตอบ
“ท่านไม่นอนบนเตียงกับข้าหรือ?”
“ไม่ล่ะ ข้าไม่อยากเบียดเจ้า”
“แต่ถ้าท่านนอนกับพื้นท่านอาจจะปวดหลัง
ปวดเนื้อเมื่อยตัว นอนไม่สบาย หรืออาจจะนอนทับแขนตัวเองก็ได้” น้ำเสียงหวานยังคงสั่นเครือแม้ว่าจะพยายามบังคับเท่าไหร่ก็ตาม
มือเล็กยกขึ้นปาดน้ำมูกน้ำตาให้ละหายไปจากใบหน้า
“เวลาข้านอนบนเตียงเจ้าก็ชอบมานอนทับแขนข้าเหมือนกันนั่นล่ะ
แบบนั้นก็เจ็บตัวไม่ต่างกันหรอก” ร่างสูง
“…”
“ไปกินข้าวซะ ถ้าข้าอาบน้ำเสร็จเมื่อไหร่แล้วเจ้ายังกินไปไม่ถึงครึ่งล่ะก็.. น่าดูแน่”
เมื่อยืนคำขาดไปเช่นนั้นแล้วสีหน้าของเด็กน้อยก็กลับเจื่อนลงมากกว่าเดิม
อาการน้อยอกน้อยใจเองก็ตีตื้นขึ้นมาสุมอยู่ในอก
ไหนจะรู้สึกผิดที่ผลักไสไล่ส่งคริสไปแบบนั้น
ตอนนี้ในใจของจุนนั้นมีเป็นร้อยความรู้สึกจนมันแทบระเบิด
ในขณะที่อีกฝ่ายนั้นลอบยิ้มแล้วลอบยิ้มอีกเมื่อได้เห็นสีหน้าและแววตาสุดเว้าวอน
“เอ่อ.. ท่าน..”
“…”
“ท่านจะไม่กลับไปที่โลกมนุษย์แล้วใช่ไหม?
ถ้าท่านจะกลับไป.. ให้ยอลไปส่งก็ได้นะ”
“ข้าจะไม่กลับไปหรอก
ยังไงข้าก็ต้องอยู่กับลูกข้า”
“…”
“ไปกินข้าวกินปลาเสียที ลูกข้าหิวจะแย่อยู่แล้ว”
ข้าดีใจที่ท่านกลับมา
แต่เหตุใดความหม่นหมองยังคุกรุ่น
อาจเพราะคำก็ลูก.. สองคำก็ลูก.. สงสัยท่านคงจะหมดรักข้าจริงๆ แล้วสินะ ทั้งสายตาและคำพูด.. ดูเหมือนจะไม่ห่วงข้าเลยสักนิด..
- - - - - - - - - - - - - - - - -
อากาศของวันนี้ช่างยอดแย่เสียเหลือเกิน
ผืนเมฆเข้าปกคลุมทั่วทั้งนครน็อกซ์จนไร้ซึ่งแสงแดด ทั้งหมดนั้นอึมครึม ทั้งๆ
ที่จุนเองก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าวันนี้ต้องออกไปเดินสูดอากาศข้างนอกให้ได้
อีกทั้งต้นโอ๊คของเจ้าตัวก็ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดีเช่นไร เพราะเจ้าของนั้นทั้งป่วย
ซึม อารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าพายุฝนอันปรวนแปร เกรงว่าเจ้าต้นโอ๊คนั่นอาจจะไม่แข็งแรงจนล้มตายไปในที่สุด
มือเล็กยกขึ้นลูบต้นแขนเบาๆ
แม้เสื้อผ้าที่ตนใส่อยู่จะเป็นเสื้อแขนยาวคอสูงแล้วก็ตาม
แต่อากาศข้างนอกดูจะไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่
ทำเอาเด็กน้อยต้องดึงผ้าห่มมาคลุมตัวเอาไว้จนกลายเป็นก้อนดักแด้บนเตียงที่กำลังนั่งหันไปหันมาเพราไม่รู้ว่าจะทำสิ่งใดดีในยามนี้
ท้องก็อิ่มแล้ว เจ้าตัวเล็กเองก็คงจะหลับเพราะจุนไม่รู้สึกแพ้ท้องใดๆ
ตั้งแต่ยามสายแล้ว
ครั้นจะเอ่ยปากพูดคุยกับคนที่กำลังยืนปิดหน้าต่างอยู่แต่กลับไม่กล้าเอ่ยเอื้อนแม้แต่คำเดียว
คริสที่กำลังเดินปิดหน้าต่างจนกระทั่งครบทุกบานหันมามองเจ้าก้อนกลมบนเตียง
มุมปากกระตุกยิ้ม
รู้ดีว่าด้วยสภาพร่างกายที่ไม่ปกติของจุนกำลังทำให้ร่างเล็กรู้สึกหนาวไปทั้งกาย
เขาจึงตัดสินใจลุกไปปิดหน้าต่างให้
ทว่าบัดนี้คนทั้งสองกลับกลายเป็นเหมือนคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน
เพราะคริสเลี่ยงที่จะหยอกล้อกับจุน จำต้องทำหน้าขรึมเพื่ออยากจะดัดนิสัยคนดื้อ
คิดแล้วก็ยังโกรธไม่หาย.. มีอย่างที่ไหนกัน กำลังตั้งครรภ์อยู่แท้ๆ
แต่กลับไล่พ่อของลูกออกไปจากบ้าน
ฟุ่บ..
“อา! อะไรเนี่ย!? ท่าน.. ปล่อยข้านะ”
“อยู่นิ่งๆ เถอะ”
เมื่อแขนแกร่งตัดสินใจโอบกอดรัดเจ้าก้อนกลมบนเตียง
คนในผ้าห่มก็กลับดิ้นดุกดิกพยายามจะหนีออกจากอ้อมกอดนั้นเสียให้ได้
หากแต่ตนนั้นไร้ซึ่งเรี่ยวแรงต่อสู้ พยายามดันตัวเองออกมาก็แรง เตะขาใส่ก็แล้ว
แต่คริสก็ยังคงโอบรัดคนตัวเล็กเสียแน่น
“ปล่อยนะ! ท่านมากอดข้าทำไมกัน!?” น้ำเสียงอุดอู้ภายใต้ผ้าห่มเรียกถาม และการที่จุนเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในผ้าห่มนั้นทำให้เขามองไม่เห็นว่าใครบางคนกำลังยิ้ม
“หืม? ข้าไม่ได้จะกอดเจ้าสักหน่อย”
“แต่ที่ท่านกำลังทำอยู่น่ะมันเรียกว่ากอด
และท่านก็กำลังกอดข้าด้วย สมองเลอะเลือนไปแล้วหรือไง?”
“เจ้าต่างหากที่สมองเลอะเลือน ข้าเปล่าเสียหน่อย
เพราะที่ข้าทำอยู่นั้นถึงจะเรียกว่ากอดก็จริงแต่ข้าไม่ได้จะกอดเจ้า”
“…”
“ข้าจะกอดลูกข้าต่างหาก
เจ้าตัวเล็กคงหนาวเพราะคนเป็นแม่น่ะตัวผอมบาง
เนื้อหนังมังสาคงบางมาดจนไม่อาจทำให้ลูกข้าหายหนาวได้
เพราะอย่างนั้นข้าถึงอยากกอดเขาเอาไว้ ข้าไม่ได้จะกอดเจ้าเลย”
“ว่าอย่างไรนะ!? ท่านจะหาว่าข้าไม่ยอมดูแลลูกให้ดีหรือ?”
“ข้าเปล่าเจตนาจะพูดแบบนั้นนะ
เจ้าคิดเองเออเองแบบนี้ระวังจะเครียดเองเสียนะ”
“…” น่าโมโห!
อารมณ์ของคนมีครรภ์พุ่งพล่านจนจุนเลือดขึ้นหน้า
เช่นนั้นจึงถีบเท้าเบี่ยงตัวออกแรงกว่าเดิมแต่ก็ยังคงสู้แรงอีกคนไม่ได้
มิหนำซ้ำยังจะเอาขามาเกี่ยวทับไม่ให้จุนดิ้นไปไหนได้อีก “อืออ! ข้าอึดอัดนะ!”
“ก็เจ้าเอาแต่ดิ้น
ทั้งยังมีผ้าห่มมาคลุมเกะกะไปหมดดูเอาสิ” จุนขมวดคิ้วแน่นจนทั้งคิ้วทั้งสองข้างแทบจะมาผูกรวมกันเป็นเส้นเดียวอยู่แล้ว
หากแต่อีกคนนั้นยิ้มเยาะอย่างชอบอกชอบใจ ยิ่งได้ฟังอีกคนส่งเสียงประท้วงในลำคอกลับยิ่งมองว่าน่าแกล้งเข้าไปอีก
“เอาผ้าออกสิ ข้าจะได้ห่มด้วย”
“อ.. เอาผ้าออกหรือ?”
“อืม.. ข้าจะได้กอดลูกถนัดๆ ด้วย”
สุดท้ายคริสก็ยังเป็นคริสที่มักจะชอบใช้คำพูดเย้าแหย่ให้จุนประสาทกินทุกที
แม้คนตัวเล็กจะขมวดคิ้วชั่งใจอยู่นิดหน่อย แต่เมื่อยามที่มือหนาจับดึงผ้าห่มออกจากลำตัวของจุนนั้นร่างเล็กกลับไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด
กระทั่งคริสจัดแจงผ้าห่มให้ใหม่ทั้งหมด ให้สองเรามาอยู่ใต้ผ้าผืนเดียวกัน
ให้ร่างกายได้อิงแอบแนบชิดหลังจากที่ห่างกันไปหลายวัน
ยามแขนแกร่งได้โอบรัดร่างเล็กเข้าแล้ว
ก็รู้สึกได้อย่างถ่องแท้ว่าจุนนั้นผอมลง
ผิวเนียนละเอียดของแม่นางไม้คนสวยบัดนี้ดูเหมือนจะสากมือขึ้น
คงเพราะภูมิคนท้องเปลี่ยนผิวจึงเปลี่ยน แต่สิ่งเดียวที่ยังไม่เปลี่ยนก็คือกลิ่นกาย
ยังหอมหวานรัญจวนใจเชิญชวนให้ขยับเข้าใกล้ทีละนิด.. ทีละนิด
“ถ้าง่วงก็หลับเสีย ถึงตอนเจ้าตื่นก็คงจะถึงเวลาของมื้อเย็นพอดี”
“ข้าไม่ง่วง
คงหลับไม่ลงหรอกถ้าหากยังถูกโอบรัดเช่นนี้”
“ข้าพูดกับลูก ไม่ได้พูดกับเจ้าเสียหน่อย”
“นี่! ท่านน่ะบ้าบอน่ารำคาญที่สุดเลย
ข้าไม่ให้กอดลูกแล้ว ข้าจะกอดของข้าเอง!” อีกคนว่าแรงแล้ว
แต่เจ้าตัวดื้อนั้นรั้นยิ่งกว่า เรื่องพูดจาประชนประชันนี้คริสก็เพิ่งจะเคยได้ประสบเองกับตัว
พอเจอเช่นนี้แล้วจึงเชื่อคำของยอลเลยทันที
‘เจ้าจุนน่ะ
ยามโกรธงอนทีน่ะยิ่งกว่าเด็ก 4 ขวบ
ชอบพูดจาประชดประชันใช่ย่อย เจ้าน่ะระวังไว้เถอะ
ยิ่งอุ้มครรภ์อยู่แบบนี้ยิ่งต้องระวังเลย อารมณ์คงแปรปรวนจนเจ้าอาจจะทนไม่ไหวก็ได้’
หึ..
จะพยศไปได้อีกนานแค่ไหนกันเชียว พนันได้เลยว่าแค่จูบเดียวก็คงหายงอนเป็นปลิดทิ้งแล้ว
“เจ้าอย่าดิ้นสิ
เดี๋ยวลูกเป็นอะไรไปแล้วจะทำยังไง
เจ้าไม่อยากเห็นหน้าลูกหรือถึงได้เอาแต่ออกแรงพยศใส่ข้าแบบนี้”
“ก็ท่านชอบแกล้งข้า”
“ข้าไม่ได้แกล้งเสียหน่อย” ว่าจบก็กระชับอ้อมแขนให้อยู่ในท่าที่กระชับสบายเพราะไม่ต้องการทำให้จุนอึดอัดไปมากกว่านี้
“แต่ถ้าเจ้าง่วง.. เจ้าจะนอนก็ได้แล้วข้าจะปลุกเอง
เมื่อเช้าเจ้าคงเหนื่อยเพราะอาเจียนตัวโยนอยู่นาน พักสักนิดเถอะ.. ข้าจะไม่กวนหรือแกล้งเจ้าอีก”
“ท่านแน่ใจนะ?”
“แน่ใจสิ”
จู่ๆ น้ำเสียงทุ้มก็กลับทำให้จุนรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอย่างพิลึก
เขาไม่ได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนและใจดีแบบนี้มานานแค่ไหนกันแล้วนะ
พอได้ยินแล้วจึงรู้ได้ทันทีว่าตนนั้นโหยหาคริสมากแค่ไหน
อยากจะหันไปกอดอีกคนให้รู้แล้วรู้รอดและบอกว่าขอโทษสำหรับทุกสิ่ง
แต่จุนก็ยังคงเป็นจุนที่ขี้ขลาดอยู่ดี ร่างเล็กจึงได้แต่นอนมองแจกันดอกไม้เปล่า
อันที่คริสเพิ่งจะเอาดอกไม้ไปทิ้งเมื่อเช้าเนื่องจากคนท้องเกิดแพ้กลิ่นดอกไม้และไม่ประทับใจของดอกกุหลาบเอาเสียเลย
จุนนอนมองแจกันทรงสูงอยู่เช่นนั้น
ศีรษะที่ใช้แขนของคริสเป็นที่หนุนนอนกลับผละออก แทนที่จะนอนบนท่อนแขงแกร่งต่อไป
ร่างเล็กกลับเอื้อมมือหาหมอนใบเล็กมาวางให้ต่ำจากตำแหน่งที่แขนของคริสวางอยู่
และใช้หมอนนั่นหนุนศีรษะแทน
“ทำไมไม่นอนบนแขนข้าล่ะ?”
“ยอลบอกว่าถ้านอนทับแขนนานๆ น่ะจะไม่ดี
เลือดท่านอาจจะหยุดเดินและเป็นอะไรไปก็ได้”
“กลัวข้าตายงั้นสิ?”
“…”
“…”
“อืม”
“…”
“ข้าไม่อยากให้ท่านตาย”
‘ข้าง้อคนได้เก่งที่สุดก็เท่านี้ล่ะท่านคริส
หวังว่าท่านคงจะรู้สึกถึงความในใจของข้านะ..’
- - - - - - - - - - - - - - - - -
นักกวีหลายคนกล่าวว่ายามเมื่อแก้วแตกไปแล้ว
อย่างไรเสียก็คงไม่มีทางกลับมาเป็นเช่นเดิมได้
ถึงจะกลับมาได้และสามารถคงอยู่ในรูปร่างเดิม แต่ก็ใช่ว่ารอยร้าวจะหายไป
คริสเคยเชื่อคำพูดเหล่านั้นจนกระทั่งมาถึงวันนี้ที่เขาตัดสินใจว่าจะไม่เชื่อในสิ่งที่คนอื่นกล่าวกันอีกแล้ว
เพราะคริสกำลังหลอมแก้วใบใหม่ขึ้นมาและพร้อมที่จะดูแลรักษาให้ดียิ่งขึ้น
จะไม่มีวันทำให้มันแตกและเสียรูปเสียร่างอีก
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ผ่านล่วงเลยมา 4 ปีแล้ว
คริสจากโลกมนุษย์มาอย่างยาวนานและไม่ได้กลับไปอีกเลย
ค่อนข้างใจหายนิดหน่อยที่ต้องจากเพื่อนทั้งสองไปตลอดกาลโดยไม่ได้ล่ำลากันแม้แต่คำพูดเดียว
แต่ก็นับว่าคุ้มค่าเสียเหลือเกินที่ได้มาติดอยู่ในนครมหัศจรรย์แห่งนี้
เพราะที่แห่งนี้มี จุน กับ เยริ
ชายร่างสูงเผยรอยยิ้มจางๆ
ในขณะที่กำลังกวาดลานข้างล่างซึ่งเต็มไปด้วยใบไม้ร่วงหล่น
แต่สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นยอลกำลังบินลงมาทางนี้ก่อนจะแตะเท้าลงบนพื้น
“อรุณสวัสดิ์ท่านคริส”
“อรุณสวัสดิ์ท่านน้าของเยริ”
“เรียกเสียเต็มยศเชียว ข้าเองก็เขินเป็นนะ”
ยอลหัวเราะเบาๆ “เยริคงตื่นแล้วใช่ไหม?”
“ตื่นแล้วล่ะ
แต่ก็คงกำลังอาบน้ำแต่งตัวอยู่กับแม่เขา เดี๋ยวข้าจะขึ้นไปตามให้นะ”
“งั้นข้าขอรออยู่ข้างล่างก็แล้วกัน”
“ได้สิ”
‘ท่านน้าของเยริ’ เสมือนเป็นฉายาใหม่ของยอลนับตั้งแต่วันแรกที่หนูน้อยนามว่าเยริได้ลืมตาดูโลก
ยอลผู้ซึ่งไม่เคยอยู่ใกล้ทารกมาก่อนก็ได้มาทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงช่วยจุนอีกแรง
อันที่จริงนั้นยังมีคนอีกมากมายที่คอยช่วยเป็นมือซ้ายและขวา
กระทั่งองค์ราชินีเองก็ลงมาช่วยเรื่องอาหารน้ำนมด้วยเช่นกัน ทั้งยังได้กลายเป็นท่านยายของเยริไปโดยปริยาย
นอกจากจะได้เป็นท่านน้าของเยริแล้ว
บัดนี้ยอลก็กำลังจะได้เป็นคุณครูของเยริ – ต้องคอยพร่ำสอนเรื่องต่างๆ
เพิ่มเติม
เพราะบางเรื่องนั้นทั้งจุนและคริสต่างก็ไม่มีความรู้ที่จะใช้สอนให้เด็กน้อยได้เรียนรู้เลย
ดังเช่น เรื่องของปีก
ประตูบ้านต้นไม้ถูกเปิดออกโดยผู้ที่เป็นหัวหน้าครอบครัว
สายตาของคริสเหลือบไปเห็นสองแม่ลูกที่ดูเหมือนจะเพิ่งจัดแต่งทรงผมให้เจ้าตัวเล็กเสร็จ
เยริในยามนี้อยู่ในชุดกระโปรงสีชมพูสวย มีรองเท้าสานที่ท่านพ่อถักทอให้สวม และก็ยังมีอีกเป็นร้อยๆ
คู่รออยู่ในตู้เพื่อให้เยริได้สวมใส่ในวันหน้า ผมยาวสลวยถูกรวบตึงให้กลายเป็นผมแกละสูงทั้งสองข้าง
ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กน้อยจะได้แม่มาค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว
โดยเฉพาะเรื่องของความสูง เพราะถ้าเทียบกับเด็กๆ ในนครแล้ว เยริคงจะเป็นเด็กหญิงที่ตัวเล็กที่สุด
ยามเข้าแถวรอรับขนมจาก ท่านลุง ทีไร เยริมักจะได้ยืนหน้าสุดทุกที
“เสร็จหรือยังแม่ลูก? ท่านน้ามารอแล้วนะ”
เมื่อเสียงของคนเป็นพ่อเอ่ยถาม เจ้าหญิงตัวน้อยจึงรีบหันมาและวิ่งมากระโจนกอดท่านพ่อขายาวทันที
เยริชอบให้ท่านพ่อโยนตัวเธอขึ้นฟ้าเหลือเกิน มันสนุกราวกับว่าเธอกำลังโบยบิน
ได้กางแขนกางขาสยายปีกท้าลม เพราะท่านพ่อนั้นช่างตัวสูงจึงทำให้เยริถูกโยนขึ้นไปในระดับที่สูงมากเช่นกัน
‘แต่วันนี้ท่านพ่อบอกว่าจะไม่โยนข้าขึ้นฟ้าแล้ว
เพราะนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.. ข้าต้องโบยบินด้วยตัวเอง’ เสียงเล็กๆ
ของเด็กหญิงคิดในใจ
“ยอลมาถึงแล้วอย่างนั้นหรือ?”
จุนเอ่ยถามพลางลุกขึ้นจากเตียง
“ใช่แล้วล่ะ เขารออยู่ข้างล่าง เจ้ากับลูกรีบลงไปเถอะ”
คริสตอบในขณะที่จุนเองก็พยักหน้ารับ
และปล่อยให้คนเป็นพ่ออุ้มเยริลงไปข้างล่างเองแทนที่จะเป็นเขาอุ้มก็ได้
หากแต่ในเวลานี้คริสขอไม่เสี่ยง
แม้กระทั่งจะเดินลงบันไดก็จะขอจับมือค่อยๆ ประคองจุนลงไป ต่อให้เขาจะทุลักทุเลเพราะต้องอุ้มเยริเอาไว้อีกมือด้วย
แต่อย่างน้อยก็ขอให้ได้จับมือประคอง เพราะท้องโตๆ
ของจุนนั้นเริ่มแก่ลงทุกวัน การจะให้เดินลงบันไดไปเสียเองก็กลัวจะพลัดลื่นตกลงมา
ถ้าเป็นอย่างนั้นคริสคงไม่ให้อภัยตัวเองเด็ดขาด
ใช่.. พวกเรากำลังจะมีน้องให้เยริ
และคาดว่าน่าจะมีต่ออีกหลายคนเพราะเยริบอกว่าอยากมีเพื่อนเอาไว้เล่นขายของด้วยกัน
ตัวเองจะเป็นแม่ค้าลูกพลับ และจะให้น้องๆ เป็นคนซื้อ
“ท่านน้าขา ~”
“มาแล้วเหรอเยริมน้อยของน้า”
ลักยิ้มของท่านน้าผุดขึ้นข้างแก้ม
เยริล่ะชอบเหลือเกินเวลาเอานิ้วน้อยๆ ไปจิ้ม
อีกทั้งท่านน้าก็ยังใจดีให้จิ้มได้ทุกครั้งไปแม้จะมีเสียงของท่านแม่คอยดุอยู่ใกล้ๆ
เสมอ บอกว่า ‘อย่าไปจิ้มแก้มท่านน้าแบบนั้น’
ปีกสีฟ้ามรกตเลื่อมระยิบระยับหยอกล้อกับแสงของดวงอาทิตย์ในยามสาย
และเป็นเพราะเยริยังตัวเล็กอยู่มากๆ จึงทำให้ปีกนั่นดูจะใหญ่ไม่พอดีตัวสักเท่าไหร่
แต่มันก็ไม่เคยสร้างปัญหาให้เด็กน้อยเลยสักครั้งเดียว
จุนจำได้ว่าวันที่เยริลืมตาดูครั้งแรก
เขาร้องไห้อยู่นานด้วยความดีใจที่ได้เห็นหน้าลูก ได้รู้ว่าลูกนั้นปลอดภัย
แต่ที่ทำให้โล่งใจอย่างสุดชีวิตก็คือการที่เยริเกิดมามีปีก
และเป็นปีกสีเดียวกับที่ตนเคยมี จุนเคยกังวลมาตลอดว่าถ้าหากเยริไม่มีปีกเหมือนเด็กคนอื่นๆ
เยริอาจจะกลายเป็นเด็กมีปมด้อยและมีเพื่อนน้อยเช่นตนก็ได้
แต่ตอนนี้ความกังวลใจในเรื่องนั้นได้หายไปแล้ว
สิ่งที่ทำให้จุนพะวงนั้นมีอยู่เรื่องเดียวคือเยริจะกล้าสยายปีกบินหรือไม่
ช่วงวัย 4 ขวบเป็นช่วงที่เหมาะสมแก่การหัดบิน
แต่เพราะเยริยังตัวเล็กมากๆ ไม่รู้ว่าบินขึ้นไปแล้วจะกลัวความสูงจนตกใจร้องไห้โยเยหรือไม่
ก็ได้แต่หวังว่าชานยอลจะทำให้เยริมีความทรงจำที่ดีกับการฝึกสยายปีกในครั้งแรก
และกล้าที่จะโบยบินออกไปท่องโลกกว้างอย่างอิสระแทนพ่อกับแม่
“ตื่นเต้นไหมเจ้าหลาน?
จะได้บินเป็นครั้งแรกโดยที่ไม่ต้องให้ท่านพ่อคอยอุ้มโยนขึ้นไปบนฟ้า”
“ตื่นเต้นสิท่านน้า ข้าจะได้บินเหาะไปไหนมาไหนเหมือนท่านน้าแล้ว”
“งั้นเราไปหาลานทุ่งกว้างๆ ฝึกบินกันนะ
ตอนนี้น้าจะพาอุ้มเจ้าบินต่ำๆ ไปเองก่อน ถึงลานเมื่อไหร่เจ้าต้องหัดบินเองโดยไม่มีน้าแล้วนะ”
“ได้เจ้าค่ะ หนูจะลองดู”
ความฉะฉานของเด็กวัย 4 ขวบทำให้ท่านน้าตกหลุมรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า
รอยยิ้มสดใสนั่นไม่เคยเหนื่อยเลยที่จะยิ้มออกมาเพื่อแผ่ความสดใสให้กับคนอื่นๆ
ได้มีความสุขไปตามๆ กัน
“เดี๋ยวพ่อกับแม่จะเดินตามไปนะเยริ
ลูกไปกับท่านน้าของลูกก่อนเลย”
“เจ้าค่ะ”
พูดจบแล้วก็ส่งเยริให้ชานยอลได้อุ้มแทน
ความหวังของวันนี้อยู่ที่ท่านน้าแต่เพียงผู้เดียว ครั้นจะให้ผู้เป็นท่านลุงคอยช่วยสอน
ก็เห็นว่าคงไม่ได้การ เพราะท่านลุงเองก็ติดงานราชการแผ่นดิน
ต้องไปเจรจากับสรรพสัตว์นานาพันธุ์ ต้องคอยดำเนินงานเพื่อให้บ้านเมืองสงบสุข
เช่นนั้นท่านลุงแอลจึงไม่ค่อยมีเวลาว่างให้เยริเสียเท่าไหร่
แต่ยามใดได้กลับมาหาก็มักจะมีของเล่นติดไม้ติดมือมาทุกที
เรียกได้ว่าของเล่นส่วนใหญ่ในบ้านนั้นมาจากความใจดีของท่านลุงล้วนๆ
ทั้งยังเป็นของเล่นชิ้นดีเพราะท่านลุงได้สั่งทำจากช่างไม้ยอดฝีมือทุกชิ้น
“เมื่อครู่นกร้องเพลงส่งสาส์นมาบอกว่าวันนี้แอลจะมากินมื้อเย็นกับเรานะ
เห็นบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับท่านด้วย”
จุนเอ่ยขึ้นในขณะที่เขากำลังคล้องแขนเดินไปกับคริสไปที่ทุ่งกว้าง
“คุยกับข้างั้นหรือ? มีธุระอะไรกัน?”
“ข้าก็ไม่รู้ นกร้องเพลงไม่ได้บอกอย่างชัดเจน
บอกแค่ว่าแอลจะเข้ามา”
“อย่างนั้นเหรอ?” คริสเม้มปากเป็นเส้นตรง
ไม่แน่ใจนักว่าท่านลุงของเยริต้องการจะคุยเรื่องใดกัน
เพราะที่ผ่านมาตลอดหลายปีของการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ก็ใช่ว่าเขาทั้งสองจะสนิทกันมากขึ้น
แอลก็ยังคงเป็นแอลที่ไม่สันทัดกับมนุษย์เช่นเดิม
คริสก็ยังคงเป็นคริสที่มักจะคอยหึงหวงจุนตลอดยามมีแอลเข้ามาใกล้ นั่นจึงทำให้ร่างสูงอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องสำคัญของแอลคือเรื่องใดกัน
“ข้าว่าเราตามลูกไปกันเถอะ
ข้าอยากเห็นเยริออกโบยบินแล้ว”
“ได้สิ ค่อยๆ เดินนะ”
“รู้แล้วน่า ไม่เห็นต้องประคองกันขนาดนี้เลย”
จุนเผยรอยยิ้มบางๆ พลางขมวดคิ้วนิดหน่อย เขาไม่ชินเลยสักนิดเวลาที่ร่างสูงมาคอยดูแลประคับประคองกันจนถึงขนาดนี้
แม้ว่านี่จะเป็นท้องที่สองแล้วก็ตามเถอะ
เพราะดูเหมือนว่านับวันคริสกลับยิ่งสามารถทำให้จุนตกหลุมรักซ้ำๆ เคอะเขินซ้ำๆ
ได้ทุกวี่ทุกวัน
“ก็ข้ากลัวเจ้าจะสะดุดนี่”
แต่ก็นั่นล่ะหนา.. เพราะรัก
เพราะห่วงจึงได้ยอมทำทุกอย่างเพื่อจุนเช่นนี้ ยอมแม้กระทั่งละทิ้งชีวิตในโลกมนุษย์
ทิ้งศักดินาและความฝันมาเริ่มต้นใหม่ในโลกแห่งนี้
เพียงเพราะแค่ต้องการใช้ชีวิตอยู่กับใครคนหนึ่งก็เท่านั้น
“ข้ารักเจ้านะจุน”
“อะไรกัน? ทำไมจู่ๆ ท่านก็พูดแบบนี้ล่ะ?”
“ก็แค่อยากบอกน่ะ”
“ก็บอกทุกคืนอยู่แล้วนี่”
- - - - - - - - - - - - - - - - -
กิจกรรมของวันนี้จบลงไปด้วยความโล่งใจ
เจ้าหญิงน้อยขวัญใจของท่านน้าสามารถบินในระดับต่ำๆ ได้แล้วโดยมีท่านพ่อและท่านแม่คอยช่วยให้กำลังใจอยู่ข้างสนาม
ปีกของเจ้าหญิงน้อยกระพือบินอย่างตั้งอกตั้งใจ กระทั่งปีกน้อยๆ นั่นเริ่มออกบินได้อย่างคล่องแคล่ว
กำลังใจทั้งสามจึงเผยรอยยิ้มออกมาและอดไม่ได้ที่จะดึงเจ้าตัวน้อยเข้ามากอด
ช่วงเวลาค่ำคือช่วงเวลาของอาหารมื้อเย็น
จุนได้เตรียมสำรับมากมายเอาไว้ให้กับเพื่อนสนิทอย่างยอลเพื่อเป็นการตอบแทนที่ช่วยเหลือเยริมาตลอด
ทั้งยังทำสำรับพิเศษสำหรับแอลเพื่อต้อนรับการกลับมาหลังจากที่ออกไปว่าราชการอยู่ต่างเมืองนานหลายเดือนจนไม่ได้พบกันเลย
“ให้ข้ากับยอลล้างจานเถอะ เจ้าไปพักซะ ขืนยืนนานๆ
คงไม่ดีเสียเท่าไหร่”
เสียงขององค์รัชทายาทเอ่ยทักก่อนจะขยับเข้ามาช่วยเพื่อนตัวเล็กและตัวสูงล้างจาน
“ไม่เป็นไรหรอก ท่านน่ะออกไปหาท่านคริสเถอะ
สงสัยคงกำลังพาเยริดูดาวอยู่ข้างนอกบ้าน
ท่านบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับเขาไม่ใช่หรือ?”
จุนหามาถามพลางส่งชามใบเขื่องให้ยอลช่วยล้างอีกแรง
“อ่า.. ข้าเกือบลืมไปแล้วเชียว”
“ท่านไปเถอะ อีกเดี๋ยวข้าก็คงล้างเสร็จแล้ว
ท่านไม่ต้องช่วยหรอก”
“ก็ได้ ถ้าของหวานเสร็จเมื่อไหร่ล่ะก็เรียกข้าด้วยแล้วกัน”
“แน่นอน ข้าจะให้ยอลออกไปเรียกนะ”
แอลพยักหน้ารับและปล่อยให้เพื่อนทั้งสองช่วยกันจัดการจานชามกันต่อไป
ส่วนตนนั้นกวาดสายตามองหาสองพ่อลูกที่หายจากโต๊ะอาหารไปตั้งแต่ครึ่งชั่วยามก่อน
มือหนาเปิดประตูไม้ก่อนที่สายลมจากด้านนอกจากจะเข้ามาประทบกับใบหน้าและพบว่าคริสกำลังอุ้มเยริเดินไปมา
เจ้าหญิงน้อยหลับคอพับคออ่อน แก้มเบียดไหล่ท่านพ่อจนยู่ยี่ไปหมด
สายตาของคริสหันมามององค์รัชทายาท ในขณะที่แอลนั้นเผยรอยยิ้มออกมา
“หลับเสียแล้วหรือเจ้าตัวน้อยของลุง?”
“หลับตั้งแต่สิบนาทีแรกที่ออกมาแล้วล่ะ
สงสัยคงจะฝึกบินหนักไปหน่อย”
“ข้าก็ว่าอย่างนั้น” แอลพูด
“จะว่าไปนี่มันไม่ยุติธรรมเลย ข้าขอให้จุนบอกเยริว่าให้เรียกข้าว่าท่านอาก็พอ
เพราะข้ายังไม่อยากเป็นลุง เหตุใดภรรยาของเจ้าจึงทำหูทวนลมไม่ยอมสอนเยริเช่นนั้น”
“ก็ท่านอายุมากกว่าจุนจริงๆ นี่นา
จะให้เรียกท่านอาก็คงจะกระไรอยู่”
“แต่ข้าไม่อยากเป็นลุงนี่”
“งั้นข้าจะคอยบอกเยริให้ก็แล้วกัน
ถ้าเยริยอมเรียกตามก็ถือว่าเป็นโชคดีของท่าน”
“ขอบใจ” แอลพยักหน้า
“ว่าแต่ท่านมีอะไรจะคุยกับข้าหรือ?
เห็นจุนบอกว่าเป็นเรื่องสำคัญด้วย”
“ใช่
เป็นเรื่องสำคัญและเป็นเรื่องที่เจ้าคงตั้งตารอคอยที่จะได้ฟังมาตลอด”
“มีเรื่องอะไรงั้นหรือ?”
“พรุ่งนี้หมู่ดาวเปอร์ซิอัสจะปรากฏ
ประตูมิติจะถูกเปิดออกตามกฎของธรรมชาติ นั่นแปลว่าเจ้าจะสามาถกลับไปยังบ้านของเจ้าได้”
“นี่ท่านกำลังจะบอกให้ข้ากลับไปใช้ชีวิตในโลกมนุษย์ดังเดิมแล้วให้ทิ้งจุนไว้ที่นี่งั้นหรือ?
ประหลาดคนนัก นึกยังไงถึงมาพูดเรื่องนี้กับข้า”
ดูเหมือนว่าคริสกำลังลมออกหูนิดหน่อย คิ้วของเขาเริ่มขมวดขึ้นมาเล็กๆ
ทั้งยังจ้องแอลตาเขม็ง
“เจ้าควรฟังข้าให้จบเสียก่อนเถิดเจ้ามนุษย์หน้าโง่”
แอลรีบยกมือปราม
“นี่ท่าน…”
“ที่ข้าจะบอกก็คือนอกจากดาวเปอร์ซิอัสแล้ว
ก็ยังมีดาวแคสสิโอเปียที่จะปรากฏร่วมด้วย นานๆ ทีดาวสองกลุ่มนี้จะปรากฏขึ้นมาร่วม
และไม่มีใครสามารถพยากรณ์ได้ว่าจะมีปีไหนที่มีการปรากฏร่วมกันอีกบ้าง”
“…”
“ความพิเศษของมันคือ.. เจ้าจะสามารถกลับออกไปในเมืองมนุษย์และกลับเข้ามาในนครของเราได้
เช่นนั้น ข้าจึงคิดว่าเจ้าควรกลับออกไปเพราะจุนเคยเล่าให้ข้าฟังว่าเจ้ากังวลใจไม่น้อยที่จากบ้านมาโดยไม่ได้บอกใคร”
“…”
“ข้าจึงอยากให้เจ้าใช้โอกาสนี้เพื่อกลับไป.. กลับไปสั่งลา
และกลับเข้ามาใช้ชีวิตที่นี่โดยไม่มีอะไรติดค้างอีกต่อไป”
“นี่ท่านพูดจริงหรือ?”
“จริงสิ ข้าพูดจริงๆ ที่ข้ากลับมาครั้งนี้ก็เพราะถูกท่านแม่เรียกให้กลับมาเข้ามาฟังข่าวนี้และให้นำมาบอกเจ้า
ข้าจึงหวังว่าเจ้าจะสามารถใช้โอกาสครั้งนี้ได้อย่างคุ้มค่า”
“…”
“1 ชั่วโมงของโลกมนุษย์จะเท่ากับ 1
วันของโลกแฟร์รี่ 1 วันของโลกมนุษย์จะเท่ากับโลก
1 ปีของโลกแฟร์รี่ เจ้าก็พิจารณาเอาแล้วกันว่าเจ้าอยากจะใช้เวลาอยู่ที่โลกมนุษย์กี่วันกี่คืน”
อันที่จริงแล้ว.. คริสยังมีเรื่องพะวงอยู่ในหัวตลอดทุกวัน
แต่มันไม่ได้เป็นเรื่องที่หนักใจมากนักเท่าไหร่
คริสจึงปล่อยให้เลยตามเลยไม่ได้ติดใจอะไรมากนัก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยคิดถึงมันเลย
เรื่องนั้นก็คือเรื่องของเพื่อนในโลกมนุษย์ เจย์และจอห์น
ถือว่าเป็นเพื่อนสนิท 2 คนที่คริสมีเหลืออยู่ในชีวิตนี้แล้ว
พวกเขาต่างข้ามผ่านอะไรมาด้วยกัน พวกเขาออกท่องเที่ยวไปด้วยกัน
และการที่คริสจากมาเช่นนี้โดยไม่มีคำล่ำลา.. มันทำให้ร่างสูงอดคิดไม่ได้ว่าป่านนี้พวกเขาจะเป็นอย่างไร
กำลังตามหาเพื่อนคนนี้อยู่หรือไม่ หรือจะรู้สึกอย่างไรที่เขาหายไปแบบนี้
และที่สุดก็คือคริสคิดถึงพวกเขามากเหลือเกิน
และถ้าหาก 1 ปีของโลกแฟร์รี่นั้นเท่ากับ 1
วันของโลกมนุษย์ ตอนนี้ก็เท่ากับว่าคริสหายตัวไปแล้ว 4 วัน ซึ่งเจย์และจอห์นก็คงจะกำลังออกตามหากันอย่างหัวปั่นแน่นอน
“ข้าคิดว่าข้าคงจะออกไปบอกลาเพื่อนของข้าเสียหน่อย”
“อืม” แอลเผยรอยยิ้มอย่างเบาบาง
“ถ้าเจ้าจะไปก็ขอให้ออกไปตอนช่วงยามวิกาล
เจ้าควรเดินออกไปทางเดิมและกลับเข้ามาทางเดิมในยามวิกาลเช่นเดิมเพื่อป้องกันไม่ให้ใครผู้อื่นตามมา
แต่อย่าให้เกิน 24 ชั่วโมงของโลกแฟร์รี่ล่ะ”
“เข้าใจแล้วล่ะ แต่ข้าคงจะต้องบอกให้จุนรู้ก่อน
เพราะถ้าข้าออกไปยามวิกาล อย่างไรเสียก็ต้องรออีก 2-3 ชั่วโมงกว่าจะเช้า
และกว่าจะเจอตัวเพื่อนข้าก็ต้องใช้เวลาอีกหลายชั่วโมง
เช่นนั้นข้าคงต้องบอกให้จุนเข้าใจว่าคงจะไม่อยู่ที่นี่หลายวันหน่อย อีกอย่าง..”
“…”
“เจ้าหญิงน้อยของท่านคงงอแงไม่ใช่น้อยเลยถ้าหากข้าไม่กลับบ้านหลายวัน”
พูดแล้วจึงลูบหลังเยริมเบาๆ และจุดยิ้มออกมา แค่คิดก็เหนื่อยแทนจุนแล้ว.. เยริเองก็ติดท่านพ่อมากเสียด้วย
ถ้าคริสหายหน้าหายตาไปหลายวันมีหวังของร้องไห้โยเยจนท่านแม่ต้องเหนื่อยใจอย่างเป็นแน่แท้
“งั้นข้ากับยอลจะสลับกันมาช่วยดูแลเยริก็แล้วกัน 7 วันนี้ข้ายังว่าราชการอยู่ที่นี่
เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก”
“ขอบใจท่านมากนะ
ถ้าไม่ได้ท่านข้าคงต้องใช้ชีวิตอยู่โดยที่มีเรื่องติดค้างไปตลอดชีวิตแน่นอน”
“ข้าก็แค่ทำตามที่สมควรจะทำและทำให้สิ่งที่องค์รัชทายาทควรทำให้ประชาชน
อย่าคิดว่าที่ข้าทำเพราะอยากจะญาติดีด้วยหรอก”
“งั้นก็อย่าหวังเลยว่าข้าจะสอนให้เยริเรียกท่านว่าท่านอา.. จงเป็นท่านลุงต่อไปนั่นล่ะ
สมควรแล้ว”
“นี่เจ้า!..”
“อือ.. ท่านพ่อ
ข้าอยากหาท่านแม่”
เจ้าหญิงน้อยขยับตัว
ส่งเสียงอื้ออึงอยู่ในอ้อมอกของท่านพ่อขายาว
แก้มใสถูไปกับลาดไหล่ของคริสราวกับจะออดอ้อน แต่ปากกลับเรียกหาท่านแม่ทั้งๆ ที่ยังหลับตาและยังอยู่ในอ้อมแขนของท่านพ่อ
เช่นนั้นคริสจึงตัดสินใจเปิดประตูกลับเข้าไปในบ้านและพาเยริไปนอนบนเตียงสบายๆ
แทนที่จะมาก่อสงครามกับท่านลุง
จะว่าไม่ชอบขี้หน้าอย่างไร
บัดนี้ก็ยังไม่ชอบอยู่นั่นล่ะ.. คนถูกแย่งของเล่นต้องเกลียดผู้ที่แย่งไปเป็นธรรมดาอยู่แล้ว
จะเรียกว่าแย่งก็คงไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะจุนและแอลไม่เคยตกลงปลงใจเป็นคู่กัน
พวกเขาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาตลอด และจุนก็ได้พบกับคนที่ตนชมชอบอย่างแท้จริง
สิ่งที่ทำให้แอลต้องลดทิฐิลงคงเพราะตระหนักได้ว่าจุนไม่เคยเลือกเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
ความสัมพันธ์ของเขาและจุนคือเพื่อนมิตรที่ดีต่อกันมาตลอดนับตั้งแต่จำความได้
จุนเองก็เคยประกาศอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการที่จะปรับเปลี่ยนสถานะ มีแค่แอลเท่านั้นที่ยังคงดันทุรังมาตลอด
เมื่อความคิดได้ตกผลึกแอลจึงตัดใจและแสดงความยินดีกับจุนแทน
ยามนี้จุนเองก็มีครอบครัวที่อบอุ่นแล้ว เห็นทีคงจะต้องลงทิฐิในใจลงเพื่อให้ความเป็นเพื่อนยังคงอยู่
การไปว่าราชการต่างถิ่นเป็นเวลานานๆ ถือว่าเป็นการหลบไปพักใจเช่นกัน
แต่ตอนนี้เรื่องราวทุกอย่างได้ผ่านมา 4 ปีเต็ม
หัวใจของแอลจึงเยียวยาตัวเองจนกลับมามั่นคงเช่นเดิมแล้ว
แกร่ก..
“นี่ท่าน จุนให้มาเรียกไปกินขนมหวาน
รีบเข้ามาก่อนที่ยอลจะแย่งกินหมดเสียก่อน”
“รู้แล้วน่า”
- - - - - - - - - - - - - - - - -
“ทำไมให้เยริไปนอนตรงนั้นล่ะ?”
“ถึงเวลาที่ลูกควรจะต้องหัดนอนเตียงเดี่ยวแล้วยังไงล่ะ”
“แล้วถ้าลูกสะดุ้งตื่นมาไม่เจอข้ากับท่านจนร้องไห้โยเยจะทำยังไงล่ะ?
เยริยิ่งกลัวความมืดอยู่นะ”
“โธ่.. เตียงลูกอยู่ห่างจากเตียงเราไปแค่สามก้าวเดิน
ถ้าลูกร้องเราค่อยเดินไปปลอบเขาก็ได้ อีกอย่างให้พ่อกับแม่ได้นอนกอดกันบ้างเถอะ
ข้าก็อยากกอดเจ้านอนหลับเหมือนกันนะ”
“ที่แท้ก็แค่อยากกอดข้านี่เอง
ทำเป็นขี้ตู่อ้างโน่นอ้างนี่ไปเรื่อย”
“แล้วยังไงเล่า? สรุปจะให้ข้ากอดได้หรือไม่?”
“ได้สิ”
มือหนาช่วยประคองให้คนรักได้นอนลงอย่างสบายตัวก่อนจะช่วยหยิบจับผ้านวมผืนหนามาคลุมกายให้
และตามไปสอดแขนกอดกายให้ความอบอุ่นอย่างใกล้ชิด
กลิ่นกรุ่นจากกายของจุนก็ยังคงหอมหวานเช่นเดิม เรือนผมส่งกลิ่นดอกไม้สกัดจนหอมรัญจวนใจ
เพราะท้องนี้ไม่มีอาการแพ้กลิ่นดอกไม้
จุนจึงสามารถกลับมาใช้น้ำหอมดอกไม้สกัดได้เช่นเดิม
ตัวบ้านกลับมาถูกประดับประดาไปด้วยดอกไม้และแจกันอย่างที่ควรจะเป็น
“วันนี้เจ้ามีอาการเจ็บท้องบ้างไหม?”
“ไม่เลย
เพียงแต่ลูกท่านน่ะถีบท้องข้าบ่อยเหลือเกิน ข้าสงสัยว่าเราอาจจะได้ลูกผู้ชายก็ได้เพราะเจ้าตัวเล็กถีบข้าแรงมาก
ถ้าอย่างนั้นคงจะสมใจท่านจริงไหม?”
“จะหญิงหรือชายก็สมใจข้าทั้งนั้นล่ะ แต่ถ้าเป็นชายจริงๆ
เจ้าหญิงน้อยของเราได้งอแงวิ่งไปฟ้องท่านยายแน่ เพราะเยริพูดกับเราทุกวันว่าอยากจะมีน้องเป็นหญิง”
“นั่นล่ะปัญหาใหญ่เลย ข้าเริ่มจะกัลวลเสียแล้วสิ”
“ไม่ต้องกังวลหรอก
ข้าว่าเราคงสอนลูกได้และลูกเองก็ต้องเข้าใจ เพราะอย่างนั้นเจ้าอย่าคิดมากเลย”
ร่างสูงกระชับกอดและปิดเปลือกตาลง
มือหนาสอดประสานกับมือนุ่มนิ่มของจุนเอาไว้โดยปล่อยให้เรียวนิ้วหัวแม่มือทำงานลูบไล้มือเล็กนั่นเพื่อปลอบประโลม
“พรุ่งนี้ข้าจะกลับไปที่เมืองมนุษย์นะ”
“เอ๋? ว่าอย่างไรนะ?”
จุนถึงกับตกใจเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ร่างเล็กจึงพลิกตะแคงหันกลับมา ทำให้คริสได้เห็นว่าตอนนี้จุนกำลังขมวดคิ้วแน่นแค่ไหน
“ท่านว่าอะไรนะ?”
“วันนี้แอลมาบอกข้าว่าพรุ่งนี้ดาวเปอร์ซีอัสจะปรากฏ
และดาวแคสสิโอเปียก็จะปรากฏด้วย นั่นหมายถึงข้าจะสามารถกลับออกไปและกลับเข้ามาได้”
“จริงหรือ?
พรุ่งนี้จะมีดาวแคสสิโอเปียปรากฏร่วมด้วยอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่ แอลบอกข้าอย่างนั้น”
“แล้วท่านจะออกไปนานแค่ไหน? ท่านจะกลับมาใช่ไหม?
ท่านจะไม่ทิ้งข้ากับลูกเอาไว้ที่นี่ใช่ไหม?”
“โธ่.. ใครจะกล้าทิ้งกันได้ลงคอ
ข้าก็แค่อยากจะออกไปเพื่อบอกลาเพื่อนของข้า
ข้าอยากจากออกมาโดยที่ไม่ต้องมีอะไรติดค้าง ข้าจะรีบและพยายามหาตัวเพื่อนให้เจอและกลับมาที่นี่ให้เร็วที่สุด
ใครจะไม่ทิ้งเจ้าไปหรอกนะ คนดี..”
“…” เด็กน้อยซุกเข้าหาอ้อมอกอุ่น
หัวใจเต้นแรงระรัวเพราะกลัวว่าคริสอาจจะไม่กลับมาอีก
“เจ้าอาจจะต้องอยู่กับลูกเพียงลำพังสักสองสามวัน
ถ้าเยริงอแงก็ขอให้บอกว่าท่านพ่อเข้าไปซื้อของเล่นในเมืองใหญ่ ต้องใช้เวลาเดินทาง
อย่าได้ร้องไห้โยเยไปเลย”
“ข้าจะบอกเยริเช่นนั้น แต่ท่านอย่าไปนานมากล่ะ.. ไม่อย่างนั้นนอกจากลูกที่จะคิดถึงท่านแล้ว
ข้าก็คงคิดถึงท่านมากเช่นกัน”
“…”
เมื่อจุนเอ่ยบอกเช่นนั้นคริสจึงจุดรอยยิ้มสวยท่ามกลางแสงเทียนสลัว
ขยับขึ้นไปจูบหน้าผากมนเบาๆ เพื่อให้สัญญาว่าจะทำตามที่ขอ
เพราะเขาเองก็ไม่อยากจากลูกเมียไปนานเช่นกัน “ข้าสัญญา”
“แล้วท่าคิดคำพูดหรือยังว่าจะบอกลาเพื่อนของท่านอย่างไร”
“เอาไว้ค่อยคิดพรุ่งนี้ระหว่างเดินทางไปก็ได้
ตอนนี้ข้าขอกอดเจ้าก่อนเถอะ อากาศตอนกลางคืนช่างหนาวเหน็บยิ่งนัก
ข้าจึงอยากกอดเจ้าเอาไว้จะได้อุ่นไปทั้งกาย”
“ปากคอเลาะร้ายอีกแล้ว
ข้ารู้แล้วล่ะว่าเยริติดนิสัยช่างพูดช่างเจรจามาจากใคร”
“ถึงข้าจะปากคอเลาะร้าย.. แต่เจ้าก็รักข้าอยู่ดีใช่ไหมล่ะ?”
“ท่านพูดอีกก็ถูกอีก
ทำไมถึงได้รู้ใจข้าไปหมดเลยนะ”
“ก็เพราะว่าข้าเป็นสามีของเจ้าไง”
“อ่า..”
“…”
“จริงด้วยสิ ท่านเป็นสามีข้า
ส่วนข้าก็เป็นภรรยาของท่าน.. ท่านคริส”
4 ปีเกือบจะ 5 ปีแล้วที่จุนมีคริสอยู่ข้างกาย.. ถ้าเป็นอย่างอื่นก็คงรู้สึกเบื่อหน่ายไปแล้ว
แต่ทำไมกับคริสนั้นถึงไม่เคยรู้สึกเบื่อเลย กลับกัน.. มีแต่จะรักมากขึ้นและรักมากขึ้นเข้าไปทุกที
‘ท่านใช้วิธีใดกัน.. ถึงได้ทำให้คนอย่างข้าเปิดใจได้ ชักจะเก่งเกินไปแล้วนะท่านพ่อของเยริ’
The End.
@mmangmoom : ขอโทษที่มาอัพช้ามากๆ นะคะ เจอกันเรื่องหน้าค่ะ เก็บเงินรอรวมเล่มเรื่องหน้าได้เลยค่าาา
![นิยายแฟร์ 2024](https://image.dek-d.com/contentimg/2024/writer/assets/fair/07/reader_850x90.webp)
ความคิดเห็น