ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) KRiSHO FICTION by MMANGMOOM

    ลำดับตอนที่ #139 : ♡ Once Upon a Time (End)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 444
      22
      23 ส.ค. 61

     Once Upon a Time

    Kris x Suho
    (mpreg)









    คำเตือน : ไม่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบอ่านแนว Beyond Fantasy / Mpreg นะคะ
    แบ่งอ่านได้ค่ะเพราะยาวมากๆ







    วันคืนผ่านไปอย่างแสนทรมานใจ จุนแทบไม่ออกจากบ้านเพราะไม่กล้าพอที่จะแสดงให้ใครเห็นดวงตาบวมเป่งของตัวเอง แม้แต่เพื่อนก็ยังไม่ได้เจอสักคน คงจะมีแต่เจ้านกร้องเพลงเท่านั้นที่บินมาเกาะขอบหน้าต่างและได้พบกับจุนในยามเช้า

    แต่ถึงอย่างนั้นการหายไปของจุนก็ทำให้ยอลไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ ต้นโอ๊คของจุนกลับมาเปลี่ยนสีอีกครั้ง ใบโอ๊คแห้งเฉาร่วงโรยลงพื้นไร้ชีวา แตกละเอียดทันทีเมื่อถูกมือหนาของยอลหยิบขึ้นมาสำรวจมอง ความสดใสของต้นโอ๊คนั้นหายไปอย่างทันตา ทำให้ยอลรับรู้ได้เลยว่าตอนนี้จุนคงกำลังเผชิญเรื่องบางอย่างอยู่ภายในใจ ทั้งยังหายหน้าหายตาไม่ยอมมาดูแลต้นโอ๊คอย่างที่ควรจะทำ

     

    “เจ้าไล่เขาไปอย่างนั้นเหรอ?”

    “จะว่าแบบนั้นก็ได้..

     

    ยอลยืนกอดอกพิงประตู หลังจากที่คิดได้ว่าตนควรเข้ามาหาจุนเพื่อถามถึงสารทุกข์สุขดิบบ้าง เขาก็ได้ฟังความทุกข์ที่จุนกำลังเผชิญอยู่ อีกทั้งยังได้เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของเพื่อนตัวเล็กจนทำให้ตระหนักได้อย่างถ่องแท้ว่าจุนเสียน้ำตาไปมากแค่ไหนกับเรื่องที่เกิดขึ้น

    ยอลเข้าใจในความหวังดีของจุนที่มีต่อเจ้ามนุษย์คนนั้น แต่ดูเหมือนว่าร่างเล็กจะใจร้อนเกินไปหน่อย ทั้งยังตั้งความคิดของตัวเองให้เป็นใหญ่สุดโดยไม่ถามความสมัครใจของคริสเลยสักนิด เรื่องทั้งหมดจึงบานปลายและสุดท้ายก็ต้องมาจบลงด้วยการเสียน้ำตาทั้งวันทั้งคืน

     

    “ข้าว่าถ้าเจ้าบอกเขาไปตรงๆ ว่าเจ้ากำลังอุ้มลูกของเขาอยู่ เรื่องมันอาจจะไม่เป็นแบบนี้นะ เพราะเท่าที่ข้าสังเกต.. เจ้ามนุษย์นั่นก็ดูทั้งรักทั้งหวงเจ้า ดูเหมือนว่าเขาเองก็อยากจะใช้ชีวิตอยู่กับเจ้าเหมือนกัน”

    “แต่ที่นี่มันไม่ใช่โลกของเขา.. เขาเป็นมนุษย์นะ ยอลคงจะไม่เคยได้ยินเวลาที่เขาเล่าถึงความฝันที่เขาอยากจะทำบนโลกมนุษย์ ถ้าเจ้าได้ยิน.. เจ้าก็คงจะทำแบบข้านั่นล่ะ”

    “แล้วเจ้าจะเลี้ยงลูกคนเดียวไหวเหรอ? เจ้าจะบอกเขาอย่างไรว่าเหตุใดเขาจึงโตมาแบบไม่มีพ่อ”

    “ก็แค่บอกว่าพ่อของเขาจากไปแล้วหรือยังไงก็ได้ ข้าทำได้อยู่แล้วล่ะ”

    “พูดน่ะง่าย แต่ตอนทำจริงมันยากนะ”

    “ข้าไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว ถ้าเจ้าตัดสินใจแบบนี้ข้าก็จะไม่บังคับเจ้า”

    “ขอบใจ”

    “แต่ถ้าองค์รัชทายาทรู้เรื่อง.. เจ้าเตรียมรับมือได้เลย พระองค์จะรับลูกเจ้าเป็นบุตรบุญธรรมอย่างแน่นอน พระองค์อาจเดินหน้าเต็มกำลังเพื่อสานความสัมพันธ์กับเจ้าและสร้างครอบครัว ทั้งยังจะยกเจ้าเป็นคู่ครอง เชื่อข้าเถอะว่าอย่างไรเสียพระองค์ท่านก็อยากได้เจ้าเป็นเมีย”

    “หาแผนรับมือดีๆ ก็แล้วกัน ข้าจะไปหามื้อเย็นมาให้เจ้ากิน จะได้มีแรงออกไปเดินพักผ่อนข้างนอกบ้าง อุดอู้อยู่แต่ในบ้านน่ะไม่ใช่เรื่องดีหรอกนะ”

     

    ยอลเทศนาใส่จุนไปแล้วกว่า 5 รอบ แต่ทุกครั้งที่ยอลเทศนา เขามักจะทำให้จุนหยุดชะงักและคิดตามได้ทุกเมื่อ คล้ายกับว่าเขาเป็นคนเดียวที่สามารถทำให้จุนกลับมามีสติและเผชิญโลกต่อ

    ดังเช่นเรื่องของแอล เพราะสนิทกันมานานหลายปี ทั้งสามเติบโตมาด้วยกันจนรู้นิสัย รักกันร้อยครั้งก็ทะเลาะกันร้อยครั้ง ยอลจึงรู้ดีว่าหากเรื่องของจุนกับคริสดังไปถึงหูองค์รัชทายาท แน่นอนว่าพระองค์ต้องกลับมาทำความดีเพิ่มแต้มต่อเพื่อให้จุนรับตนเป็นคนรักเสียที แอลยังคงรักจุนมาเสมอไม่เคยถอดใจ ไอ้ที่หายหน้าหายตาไปจนไม่ค่อยได้มาเกี้ยวจุนบ่อยๆ ก็เพราะต้องเสด็จตามพระราชินี บวกกับฝีพระโอษฐ์ไม่เก่งพอเท่าเจ้ามนุษย์จึงไม่ค่อยอยากมาให้ตัวเองเสียหน้า ทั้งยังเกรงใจจุนด้วย ทว่านับจากนี้ไป.. แอลคงได้กลับมาทำหน้าที่เป็นองครักษ์พิทักษ์จุนอย่างเต็มตัว เพราะเจ้ามนุษย์นั่นต้องกลับโลกของตน

     

    ทางด้านของจุนเองก็ปล่อยให้หัวใจเหี่ยวเฉามาได้สองคืนแล้ว แน่นอนว่าหมอนใบเขื่องเปียกน้ำตาจนต้องเอาออกมาตากทุกเช้า เขาไม่ได้สะอึดสะอื้นฟูมฟายขนาดนั้น ทว่าสิ่งที่จุนเป็นคือการร้องไห้เงียบๆ อยู่เพียงลำพังบนโต๊ะอาหาร ข้างปลาตกถึงท้องอยู่ไม่กี่คำเพราะไม่มีความหิวหรืออยากสิ่งใด แต่ก็ต้องกินเพราะกลัวลูกน้อยจะหิว กระทั่งยอลมาหาที่บ้านและบังคับให้จุนกินมื้อกลางวันจนครบทุกสำรับ ตบท้ายด้วยการเทศนาอีกหนึ่งจบ จุนจึงตระหนักได้ว่าเขาละเลยร่างกายของตัวเองไปมากและเขาอาจทำให้ลูกน้อยตกอยู่ในอันตรายเพราะความประมาทของตน

    จุนเฝ้าถามตัวเองว่าสิ่งที่เขาทำลงไปนั้นเป็นการดีแล้วใช่หรือไม่ เด็กหนุ่มคิดไปคิดมาหลายตลบ พยายามบอกตัวเองว่าที่ตัดสินใจนั้นถูกแล้ว อย่างไรเสียมนุษย์กับอมนุษย์ก็ไม่ใช่ของคู่กันอยู่ดี หากจะฝืนธรรมชาติก็รังแต่จะทำให้ทุกอย่างวุ่นวายยิ่งกว่าเดิม

     

     

    ทว่าปากก็ไล่เขาไปแล้ว แต่เหตุใดใจยังคิดถึงทุกคืนวัน

     

     

    “ป่านนี้จะทำอะไรอยู่นะ..

     

     

     

     

    สำหรับคริสแล้ว.. การจะข้ามผ่านแต่ละคืนนั้นก็ใช่ว่าเป็นเรื่องง่ายดั่งเดินข้ามสะพาน หลังจากที่ออกมาจากบ้านของเจ้าภูติน้อยตัวนั้น มนุษย์หนุ่มก็ทำได้เพียงแค่หนีมาปักหลักอยู่ที่ท้ายป่า เฝ้ารอวันที่จะได้กลับออกไปอยู่บนโลกมนุษย์อีกครั้งแม้ใจจะไม่ได้อยากออกไปก็ตาม หากแต่ที่นี่ไม่มีใครต้องการเขา เช่นนั้นจะอยู่ไปให้เจ็บใจทำไมกัน

    ค่ำคืนที่ไม่มีจุนอยู่เคียงข้างช่างเงียบเหงาเสียเหลือเกิน มนุษย์ร่างสูงยกแขนขึ้นก่ายหน้าผาก ทบทวนดูว่าเหตุใดกันที่ทำให้พวกเขาเดินทางมาถึงจุดนี้ จุดที่เป็นทางแยกและต้องตัดสินใจเดินแยกจากกันแทนที่จะเลือกทางใดทางหนึ่งและเดินไปด้วย

     

    เขาทำอะไรผิดไปอย่างนั้นหรือ..

    ตลอดเวลาที่ผ่านมา.. จริงๆ แล้วมีแค่เขาคนเดียวใช่ไหมที่กำลังรู้สึกแบบนั้น

     

    นี่มันบ้าชะมัด.. ก้อนเนื้อในอกนั้นคอยแต่จะบีบรัดจนเจ็บจุกไปหมด พยายามหาอะไรทำเพื่อฆ่าเวลาในแต่ละวันก็แล้ว แต่สมองกลับพลันแต่จะคิดถึงรอยยิ้มสวยสดใสที่เคยเป็นแรงใจให้ตลอด มาวันนี้รอยยิ้มนั่นกลับฆ่าเขาทั้งเป็น ทั้งยังใช้คำพูดลนหัวใจเผาไหม้จนมันเกือบจะหยุดเต้น

     

    ข้าไม่เคยบอกว่ารักท่านเลยสักครั้ง

     

    ถ้าไม่รักกัน.. แล้วเหตุใดจึงทำร้ายกันเช่นนี้เล่า เหตุใดจึงใช้ข้าเป็นสนามอารมณ์ เห็นข้าเป็นตุ๊กตาไร้หัวใจ นึกจะมาเล่นด้วยก็เล่น นึกจะทิ้งก็โยนทิ้งอย่างไม่ใยดี ข้าเองก็เจ็บเป็นเหมือนกันนะ.. เจ้าภูติ

    ค่ำคืนของคริสดับมืดสนิทลงไปพร้อมกับร่างกายที่เหนื่อยอ่อน เปลือกตาปิดพับลงหากแต่เรียวคิ้วยังขมวดปมอยู่น้อยๆ กระเป๋าสะพายถูกใช้เป็นหมอนหนุนนอน แม้จะไม่นุ่มเท่ากับตักของใครบางคน แต่อย่างไรก็ต้องทำตัวให้ชิน

      

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

     

    หลังจากที่ระหกระเหินออกมาอยู่คนเดียว ณ ท้ายป่า วันนี้ก็ครบ 7 วันอย่างพอดิบพอดี นั่นหมายความว่าประตูมิติที่ทำให้คริสพลัดหลงเข้ามาปักใจอยู่ในต่างดินแดนคงจะถูกเปิดแล้ว เช่นนั้นร่างสูงจึงตื่นแต่เช้าแต่ลุกขึ้นเก็บของทั้งหมดลงกระเป๋า ผืนผ้าใบใหญ่ยาวหลายศอกถูกพับลงหลังจากที่มันถูกนำมากางออกและขึงไว้กับไม้เพื่อทำเป็นกระโจมนอนชั่วคราว กองไฟถูกดับลง

    เจ้ากระรอกบนต้นไม้มองดูภาพนั้นพร้อมกับเมล็ดถั่วในมือ แน่นอนว่ามันเห็นชายผู้นี้มาปักหลักอยู่นานหลายวันแล้ว มันพอจะทราบอยู่บ้างว่าชายผู้นี้เป็นใคร แต่ไม่เข้าใจนักว่าเหตุจึงออกมานอนตรงนี้ทั้งๆ ที่ชาวเมืองก็ลือกันสนั่นว่าชายผู้นี้คือคนของจุน ขณะที่มันกำลังสงสัย สองหูของมันก็กลับได้ยินเสียงฝีเท้าเดินย่ำเข้ามาใกล้ มันจึงหันไปมองและพบว่าแฟร์รี่ผู้งดงามแต่ปีกหักกำลังเดินมาทางนี้

    จุนเดินมาตามทางที่เจ้าพวกแมลงคาบข่าวมาบอกวันก่อน พวกมันต่างฟ้องร้องว่าเห็นท่านมนุษย์มาอาศัยอยู่แถวนี้ จุนจึงใช้เวลาคิดอยู่นานพอสมควรว่าเขาควรจะเดินออกมาหาคริสดีหรือไม่ หากเห็นหน้าแล้วเผลอกลับใจขอร้องให้อยู่จะทำเช่นไร เพราะเท่านี้ก็คิดถึงจนนอนร้องไห้แทบทุกคืนเป็นรัญจวน

     

    ” ขณะที่คริสกำลังก้มเก็บของ เขามองเห็นข้อเท้าเรียวสวยกับรองเท้าถักคู่คุ้นตา ร่างสูงจึงเงยหน้าขึ้นมามองและได้พบกับเจ้าของเปลวเพลิงที่จุดเผาหัวใจของเขาให้มอดไหม้

    “ท่านราชินีรับสั่งให้ข้าไปส่งท่านที่ประตู นางกลัวว่าท่านอาจหลงทางและกลับออกไปไม่ได้”

    “หมายถึงแม่ย่าของเจ้าน่ะหรือ?”

    “ข้าเดินไปเองได้ ขอบคุณสำหรับความหวังดี”

     

    เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้นแล้วใบหน้าหวานจึงก้มลงงุดและถอดสีอย่างชัดเจน ตอนนี้จุนทำอะไรไม่ถูกนอกจากปล่อยให้คริสเก็บของและตัวเองก็ได้แต่ยืนอยู่คนเดียวอย่างเก้ๆ กังๆ ไม่กล้าจะเดินออกไป แต่ก็ไม่กล้าพอที่จะเดินเข้าไปช่วยเขาคนนั้นเก็บของ กลัวว่าจะไปเกะกะร่างสูงเปล่าๆ มือทั้งสองไพล่หลังหากแต่มันกำลังถูกันไปมาอย่างประหม่า

    อากาศวันนี้ค่อนข้างร้อนพอใช้ได้ แม้จะเป็นหน้าฝนแต่สายฝนนั้นไม่ได้มาเยือนนครน็อกซ์หลายวันแล้ว มือขาวจึงยกขึ้นปาดเหงื่อ รู้สึกหนักศีรษะนิดหน่อยเพราะอากาศที่ไม่เป็นใจ สุดท้ายจึงตัดสินใจนั่งลงบนโขดหินใกล้ๆ เพื่อรอให้คริสเก็บของให้เสร็จ ซึ่งตลองเวลาที่คริสกำลังจัดการกับสัมภาระของเขาอยู่นั้น.. มันกลับไม่มีแม้แต่เสียงพูดคุย สายตาที่มองมา มีเพียงแค่ความเงียบจนแสนจะอึดอัด และแผ่นหลังที่เอาแต่หันให้เด็กน้อยเพื่อใช้เป็นฉากกั้นระหว่างพวกเขา เช่นนั้นจุนจึงมีเพื่อนเล่นเป็นแค่กระต่ายน้อยขนฟู มือหนึ่งลูบไล้ขนมัน แต่ดวงตากลับจ้องมองชายคนนั้นอย่างโหยหา

    กว่าจะเก็บของลงกระเป๋าจนครบก็ใช้เวลาอยู่หลายนาทีเช่นกัน เมื่อกระเป๋าถูกผูกเชือกจนแน่นแล้วร่างสูงจึงยกมันขึ้นมาสะพายบนบ่าและเดินหนีคนตัวเล็กไปโดยไม่ส่งเสียงเรียกเลยสักนิด แต่จุนนั้นเห็นคริสเดินออกไปพอดี เขาจึงอุ้มเจ้ากระต่ายลงจากตัก ลุกขึ้นยืนและปัดขนมันออก กึ่งวิ่งกึ่งเดินตามชายร่างสูงคนนั้นไปแม้เขาจะไม่ได้เรียกเลยก็ตาม

    ทุกอย่างเป็นไปด้วยความเงียบ ตลอดทางที่กำลังเดินออกไปหาประตูบ้านั่นก็ไร้ซึ่งเสียงพูดคุย มีแต่เสียงฝีเท้าเท่านั้นที่ทำให้คริสรู้ว่าตอนนี้ตนไม่ได้เดินอยู่คนเดียว แต่จุนกำลังเดินตามเขามาด้วยอีกคน ระยะห่างระหว่างพวกเขาถูกเว้นไปหลายหลา พวกเขาเดินห่างกันราวกับว่าไม่เคยรู้จักกันด้วยซ้ำ

    ผ่านกำแพงต้นสนมาก็แล้ว ผ่านบ่อน้ำที่เคยลงเล่นด้วยกันก็แล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครเอ่ยปาก ผิดกับในหัวใจที่อยากจะตะโกนกู่ร้องออกไป คริสเองก็อยากจะถามว่าเขาทำผิดอะไร? หรือเขาเขายังพยายามไม่มากพอใช่หรือไม่จุนถึงได้ปฏิเสธความรักของเขาอย่างไม่ใยดี.. จุนเองก็อยากจะร้องบอกว่าเขาไม่ได้อยากให้คริสกลับไปเลย ที่สำคัญ.. ในร่างกายของเขายังมีใครอีกคนหนึ่งที่กำลังจะลืมตาดูโลก

     

    “ท่าน..

     

    สุดท้ายก็เป็นจุนที่เอ่ยเรียก ร่างสูงจึงหยุดฝีเท้าในขณะที่ตรงหน้านั้นคือพุ่มไม้และเถาวัลย์ที่เลี้ยวลดเกาะกันเสมือนอุโมงค์นำทางให้พาออกไปจากดินแดนนี้

    เป็นเพราะคริสเอาแต่หันหลังให้จุนมาตลอด เขาจึงไม่รู้ว่าสภาพของจุนในเวลานี้เป็นเช่นใด ยามหันไปมองจึงได้ประจักษ์ ดูเหมือนว่าความสดใสจะหายไปจากจุนไม่น้อย ดวงตาบวมช้ำและแดงเสียจนน่ากลัว คริสไม่รู้หรอกว่าร่างเล็กไปทำอะไรมา เหตุใดจึงตาบวมเช่นนั้น เพราะเท่าที่เขาเข้าใจ.. จุนควรดีใจมากกว่าที่สามารถไล่เขาไปจากชีวิตได้

     

    “มีอะไร?”

    “ข้าแค่จะบอกว่า..

    “เดินรอดโพรงเถาวัลย์นั่นไปก็จะเป็นโลกมนุษย์แล้ว ท่านห้ามหันหลังกลับมาอีกล่ะ”

    “แน่นอน ข้าไม่มีทางกลับมาอยู่แล้ว ข้าจะออกไปใช้ชีวิตดั่งมนุษย์เช่นเดิมตามที่เจ้าต้องการ อีกอย่างจะให้กลับมาทำไมก็ในเมื่อไม่มีใครต้องการข้า ที่นี่น่ะมีแต่คนใจร้ายใจดำจริงไหม?”

    “อืม ก็คงจริง”

     

    คำพูดประชดประชันนั่นทำหน้าที่เจาะแทงหัวใจของจุนให้เจ็บได้เป็นอย่างดี เด็กน้อยจึงจำต้องเม้มปากและก้มหน้าไม่พูดอะไรต่อ มองเห็นภาพรางๆ ของคริสเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น ร่างสูงกำลังหันหลังกลับไป เขากำลังเดินออกไปแล้ว และเขาจะไม่กลับมาอีก หลังจากนี้ชีวิตของจุนก็จะไม่มีคริสเข้ามาเกี่ยวข้องอีกแล้ว คงมีแค่เขากับเจ้าตัวเล็กเท่านั้นที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ต่อไปนี้เวลามองหน้าเจ้าตัวเล็ก.. ก็คงจะต้องเห็นหน้าของคริสลอยมาให้ได้คิดถึงเป็นแน่แท้

    เมื่อชายร่างสูงได้ก้าวเท้าไปไกลแล้ว จุนจึงตัดสินใจที่จะกลับบ้านของตัวเองบ้าง และนี่เป็นอีกครั้งที่ร่างเล็กปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอีกหน มือขาวยกขึ้นปาดน้ำตาให้หายไปจากหน้าแก้ม เขาร้องไห้มาหลายวันแล้ว ถึงเวลาที่ควรจะหยุดความรู้สึกเศร้าหมองพวกนนี้เสียที

    หากแต่แสงแดดที่แยงตามานั้นทำให้เขาโงนเงนนิดหน่อย ความรู้สึกหนักอึ้งไปทั้งศีรษะไม่เคยจางหายตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ ขณะเดียวกันภาพตรงหน้าก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีดำกระพริบไหวไปมาจนประครองร่างตัวเองไม่ไหวจนเข่าอ่อน มือเล็กพยายามยันพื้นเอาไว้เพื่อให้ตนไม่ล้ม ทว่ากลับสู้พิษไข้ในร่างกายไม่ไหวจนในสุดก็ต้องปล่อยให้กายล้มลงไปนอนราบอยู่บนพื้น ก่อนที่ภาพตรงหน้าจะดับหายไปทันควัน

    สองเท้าของคริสก้าวมาจนถึงโพรงเถาวัลย์แล้ว ชายตัวสูงหยุดเดินเพราะในหัวของเขายังเอาแต่เกาะติดอยู่กับเหตุผลที่แท้จริงจากปากจุน เขาอยากรู้ว่าเหตุใดจุนถึงไม่ต้องการเขาอีกต่อไปแล้ว เหตุใดจึงพูดว่าไม่รักกันทั้งๆ ที่ที่ผ่านมา.. พวกเขากอดกันและจับมือกันทุกครั้งเวลาออกไปเดินเที่ยว การกระทำทุกอย่างนั้นชัดเจนว่าพวกเขามีใจให้ซึ่งกันและกัน แต่ทำไมจุนถึงสะบั้นรักกับเขาอย่างเด็ดขาดเช่นนี้

    สุดท้ายก็ตัดสินใจหันกลับไปเพราะอยากจะฟังจากปากอีกทีให้แน่ชัด แต่แล้วภาพของเด็กน้อยที่กำลังนอนฟุบอยู่บนพื้นก็ทำให้คริสใจหาย ก้อนเนื้อในอกกระตุกวูบทันที แต่แล้วก็เลือกที่จะวิ่งเข้าไปประคองเจ้าภูติน้อยให้ลุกขึ้นมาอยู่ในอ้อมแขน

     

    “จุน! ได้ยินข้าไหม? จุน!...

    “จุน ทำใจดีๆ นะ ข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน”

     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

     

    ชายร่างสูงเดินทางกลับมาที่บ้านต้นไม้อีกครั้ง ตลอดระยะเวลาของการอุ้มเจ้าภูติตัวน้อยกลับมาที่บ้านค่อนข้างสร้างความตื่นตระหนกให้ชาวเมืองไม่น้อย กระทั่งได้วางคนตัวเล็กลงบนเตียงให้นอนราบ ร่างสูงจึงยกมือขึ้นปาดเหงื่อและส่งนกร้องเพลงไปรายงานที่บ้านของเพื่อนสนิทของจุนทันที

    ยอลใช้ปีกของเขานำพาตนและถุงเก็บสมุนไพรต่างๆ มายังบ้านต้นไม้หลังน้อยของจุน เขาได้ฟังอาการคร่าวๆ จากคริสและได้ความาว่าจุนไปหาร่างสูงที่ชายป่า แต่กลับเป็นลมล้มพับลงและไม่ขานตอบสิ่งใดออกมาอีกจนถึง ณ บัดนี้ ยามยื่นมือไปอังแก้มสวย พบว่ามีความร้อนสูงแล่นพล่านไปทุกอณู ริมฝีปากที่เคยเป็นสีชมพูสดใสกลับซีดเผือด ร่างกายของจุนทรุดโซมอย่างชัดเจน แต่คริสไม่สามารถหาสาเหตุได้ว่าเป็นเพราะอะไร หากแต่ยอลนั้นดูเหมือนจะรู้ดีว่าสิ่งใดที่ทำให้จุนเป็นเช่นนี้

    กระทั่งยอลประเมินอาการและใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดไปตามใบหน้าของจุนจนเรียบร้อยแล้ว เขาจึงวางมือและขอให้คริสเดินออกไปคุยด้วยกันข้างนอกก่อนจะตัดสินใจเล่าเรื่องทุกอย่างให้มนุษย์เจ้าของหัวใจของจุนได้ฟัง

     

    “ข้าคิดว่าสิ่งที่จุนทำลงไปคงเพราะอยากจะปกป้องท่าน หมายถึงถ้าท่านรู้ว่าจุนกำลังลูกของท่านอยู่ ท่านก็ต้องอยู่ที่นี่กับจุนและท่านจะไม่มีวันได้กลับออกไปยังโลกมนุษย์อีก ซึ่งถ้าวันใดวันหนึ่งพวกท่านหมดรักกัน ท่านก็จำต้องอยู่ที่นี่ต่อจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ จุนคงอยากให้ท่านไปมีชีวิตที่ดีกว่านี้ในโลกที่เป็นโลกของท่านจริงๆ” ยอลเอ่ยขึ้นในขณะที่เขากำลังวางแขนลงบนราวระเบียงบ้าน สายตาทอดมองออกไปยังท้องฟ้าและผืนดินข้างล่างซึ่งมีเหล่าแฟร์รี่และสัตว์มากมายที่พากันเดินกันอย่างขวักไขว่

    “ท่านยังมีเวลาตัดสินใจนะ กลุ่มดาวเปอร์ซีอัสจะปรากฏจนถึงช่วงยาม 3 ของวันพรุ่งนี้ ถ้าท่านจะกลับไปข้าก็ไปส่งท่านได้ แต่ถ้าถามใจข้า.. ข้าไม่อยากให้ท่านกลับหรอกนะ”

    “ในเมื่อลูกข้าอยู่ที่นี่ ข้าก็ต้องอยู่ที่นี่นั่นล่ะ” คริสตอบตามเจตนาแรกที่ตนประสงค์จะทำมาตั้งแต่แรก

    “แล้วท่านทำใจได้หรือที่จะต้องทิ้งบ้านทิ้งเพื่อนที่เมืองมนุษย์มาอยู่กับจุน”

    “ยังไงหน้าที่พ่อก็ต้องมาก่อนหน้าที่อื่นใด อีกอย่างข้าก็ไม่ได้อยากจะไปตั้งแต่แรกอยู่แล้ว แต่ที่ยอมเดินออกไปก็เพราะว่าจุนขอให้ไปต่างหาก ข้าจะอยู่ที่นี่และจะไม่ขอกลับไปที่โลกมนุษย์อีก แม้ว่าอยู่ที่นี่แล้วข้าจะเป็นตัวประหลาดก็ตาม”

    “อีกหน่อยชาวเมืองก็คงชิน เพราะบ้านของเบคคุก็มีมนุษย์อยู่เช่นกัน ข้าคิดว่าจุนคงเล่าเรื่อง บิดาผู้เป็นมนุษย์ของเบคคุ ให้ท่านฟังแล้ว”

    “ใช่ ภูติตาสีส้มตนนั้น.. ที่เป็นครึ่งแฟร์รี่ครึ่งคน”

    “ลูกท่านก็จะต้องเกิดมาเป็นครึ่งแฟร์รี่ครึ่งคนเช่นกัน แต่ไม่ว่าจะเกิดมาด้วยสายเลือดไหนข้าว่ามันย่อมไม่ต่างหรอก พวกเจ้าต้องเลี้ยงลูกได้ดีอยู่แล้ว”

     

    เบคคุ ครึ่งมนุษย์ครึ่งแฟร์รี่ตนเดียวในนครน็อกซ์ จุนเคยเล่าให้คริสฟังอยู่หนหนึ่งว่าที่ดินแดนนี้ก็มีมนุษย์หลงเข้ามาเช่นกัน แล้วเขาก็ตกหลุมรักกับแฟร์รี่ภูเขาก่อนจะให้กำเนิดเบคคุ เด็กหนุ่มตาสีส้มครึ่งมนุษย์ครึ่งแฟร์รี่ ซึ่งจุนเองก็ยังบอกอีกว่าแม้ว่าสายเลือดของเบคคุจะไม่เหมือนคนอื่นๆ แต่เขาก็ดำรงชีวิตปกติมาตั้งแต่เล็กจนโต มีปีก มีงานปละหน้าที่ประจำตัว มีเพื่อนมากมาย ชาวเมืองไม่เคยมองว่าเขาแปลกแยก นั่นจึงทำให้คริสค่อนข้างสบายใจเพราะอย่างน้อยชาวเมืองแฟร์รี่ก็ไม่ได้รังเกียจมนุษย์มากมายขนาดนั้น เว้นเสียแต่ว่าพวกมนุษย์จะมาทำให้ชาวเมืองไม่พอใจเข้าก่อน

     

    “จุนน่ะคิดถึงท่านทุกวัน เอาเข้าจริงแล้วเขาก็ไม่ได้อยากให้ท่านจากไปไหนหรอก เขาร้องไห้แทบทุกคืนเพราะเอาแต่คิดถึงท่านจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ นั่นน่ะก็เป็นอีกสาเหตุนึงที่ทำให้เขาป่วยจนหน้ามืดเป็นลมเช่นนี้ ทำเป็นแกร่งได้แค่พริบตาเดียวก็กลับมาเป็นเด็กขี้แงเช่นเดิม”

    “ข้าก็คิดอย่างนั้น”

    “งั้นท่านก็เข้าไปดูแลเขาเถอะ อย่าลืมให้กืนมื้อเย็นกับดื่มยาล่ะ มีเจ้าตัวเล็กมาอยู่ในท้องเพิ่มอีกคนยิ่งต้องบำรุงให้มีกำลังเนื้อหนังมังสาบ้าง นี่ก็ผอมจนไม่รู้จะผอมอย่างไรแล้ว”

    “ข้าจะพยายาม แต่ข้าคงต้องดัดนิสัยคนปากเก่งเสียหน่อย หวังว่าท่านคงจะเข้าใจข้านะ”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ยามนี้พระอาทิตย์คล้อยจนลับตา ทั่วนครน็อกซ์ไร้ซึ่งแสงสว่างหากแต่แสงไฟจากบ้านเรือนนั้นทำให้ดินแดนแห่งนี้กลายเป็นเมืองแห่งแสงสีจนไม่สามารถละสายตาออกไปได้

    เจ้าภูติน้อยที่หลับไปตั้งแต่ช่วงบ่ายนั้นคล้ายกับจะได้สติอีกหน ร่างเล็กขยับกายอยู่บนเตียง อาการมึนหัววิ่งแล่นเข้ามาจนต้องหยีตา จากนั้นจึงจำได้ว่าสัมผัสที่รองรับตัวของตนอยู่นั้นคล้ายจะเป็นเตียงที่บ้านต้นไม้ ดังนั้นเมื่อลืมตาขึ้นมาแล้วเด็กน้อยจึงตระหนักได้ว่าตอนนี้ตนกำลังนอนอยู่ในบ้านหลังเดิม เมื่อกวาดสายตาเพื่อสำรวจที่ทางอีกหน จุนก็กลับพบเห็นใครบางคนที่กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ปลายเตียงพลางมองมาทางเขา

     

    “ท่าน

    “ทำไมยังไม่กลับไปอีก?”

     

    ยามสายตาได้สบมองกัน ในใจของจุนกลับเต็มไปด้วยความรู้สึกมากมาย ทั้งเสียใจ คิดถึง ดีใจ แต่ก็ไม่อยากจะเห็นหน้าในเวลาเดียวกัน เช่นนั้นปากจึงเอ่ยถามด้วยถ้อยคำราวกับอยากไล่เขาให้ไปไกลๆ แต่ในใจนั้นอยากจะรั้งเอาไว้เหลือเกิน

     

    “ยอลบอกให้ข้าอยู่ที่นี่เพราะลูกข้าต้องการพ่อ”

    “มีอะไรจะแก้ตัวไหม?”

    “ยอลบอกท่านหมดทุกอย่างเลยงั้นหรือ?”

    “ใช่” น้ำเสียงนั้นออกจะเย็นชา แต่สายตากลับน่ากลัวกว่า เพราะมันมีแต่ความว่างเปล่าที่แสดงออกมาจนทำให้จุนไม่กล้าจะเอื้อนเอ่ยสิ่งใดต่อ “เจ้านี่ใจร้ายชะมัด คิดจะพรากพ่อกับลูกให้จากกัน ใจร้ายเสียยิ่งกว่าแม่มดเสียอีก”

    “แล้วก็ยังไม่ยอมคิดที่จะดูแลตัวเอง ถ้าลูกข้าเป็นอะไรไป.. เจ้าต้องรับผิดชอบทั้งหมด”

    ” จู่ๆ น้ำตาก็รื้นขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ขอบตาของจุนร้อนผ่าว ในขณะที่สายตาของคริสยังคงจ้องมองเด็กน้อยราวกับจะเค้นเอาเอาความรู้สึกผิดจากเด็กน้อยให้ได้ นั่นจึงทำให้ร่างสูงมองเห็นว่าตอนนี้จุนมีท่าทีเช่นไร เด็กน้อยเอาแต่ก้มหน้าไม่กล้าสบตา ริมฝีปากเม้มแน่น และถ้ามองไม่ผิดล่ะก็จุนกำลังปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาเปรอะแก้มสีสวย

    “ข้าทำมื้อเย็นเอาไว้ให้แล้ว เจ้ารีบกินเสียเถอะ ไม่อย่างนั้นลูกข้าอาจจะหิวจนไส้กิ่วไปหมด” ร่างสูงลุกขึ้นจากเก้าอี้ไม้และเดินหนีไปทางห้องครัว แต่แล้วใครบางคนก็รีบผุดลุกออกจากเตียงและวิ่งมากอดรั้งชายร่างสูงเอาไว้จากด้านหลัง

    “ข้าขอโทษ” ชั่ววินาทีนั้นคริส ลอบยิ้ม ออกมานิดหน่อย แต่แน่นอนว่าเขาต้องการที่จะดัดนิสัยเจ้าภูติน้อยตามที่ที่ตนกล่าวไว้กับชานยอล ดังนั้นร่างสูงจึงต้องทำนิ่ง ไม่ใส่ใจใยดีกับคำขอโทษนั้น และใช้น้ำเสียงเรียบนิ่งข่มขวัญเด็กน้อยจนเจ้าตัวน้ำตาไหลออกมาราวกับเขื่อนแตก

    “เก็บคำขอโทษของเจ้าเอาไว้เถอะ ข้าไม่อยากฟังนักหรอก” พูดจบก็แกะมือน้อยๆ ออกก่อนจะเดินหนีไปอีกครั้ง

    “ข้าก็แค่เป็นห่วงท่าน กลัวท่านจะไม่สามารถอยู่บนโลกแบบนี้ได้ แล้วข้าก็ไม่มีทางล่วงรู้อีกเลยว่าประตูจะเปิดให้ท่านออกไปใช้ชีวิตดังเดิมได้อีกตอนไหน ข้าก็แค่.. เป็นห่วงท่านจริงๆ”

    ” คริสทำเป็นหูทวนลมไปเสียเฉยๆ แม้ว่าหัวใจของเขาจะได้ฟังถึงเหตุผลของจุนจริงๆ แล้วก็ตาม มือหนาหยิบเอาจานอาหารมื้อเย็นที่พักเอาไว้ออกมาวางบนโต๊ะกินข้าวที่เขาสองคนเคยนั่งด้วยกัน “กินเสร็จแล้วก็กินยาในหม้อนั่นเสีย ยอลเป็นคนต้มเอาไว้ให้ เขาบอกว่ามันจะช่วยบำรุงให้ลูกข้าแข็งแรง”

    “แล้วก็เข้านอนให้มันเร็วๆ ด้วย ลูกข้าไม่ค่อยจะชอบใจนักเวลามีคนพานอนดึก”

     

    สายตาที่มองไปหาร่างเล็กนั้นช่างว่างเปล่าและไร้เยื่อใย อะไรๆ ก็เอาแต่ห่วงลูกของตัวเอง แต่ไม่เคยเอ่ยปากถามเด็กน้อยเลยสักนิดว่าตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง ยังมีอาการมึนหัวหรือรู้สึกตัวร้อนบ้างหรือไม่? นั่นจึงไม่แปลกเลยถ้าหากจุนจะรู้สึกน้อยอกน้อยใจจนเผลอทำปากคว่ำออกมา

    เมื่อจัดการตั้งสำรับให้แม่ของลูกเสร็จสรรพแล้วคริสจึงเดินหนีไปทำธุระของตัวเอง หยิบเอาถุงนอนจากในกระเป๋าออกมาปูไว้สำหรับการนอนพักผ่อนในคืนนี้ จากนั้นจึงหยิบเสื้อผ้าออกมาเตรียมตัวจะหนีไปอาบน้ำ ทว่าก็กลับถูกเสียงหวานถามเรียกถามด้วยความคะนึงหา จนทำให้คริสเผลอยิ้มออกมาอีกครั้งก่อนจะหันไปตอบ

     

    “ท่านไม่นอนบนเตียงกับข้าหรือ?”

    “ไม่ล่ะ ข้าไม่อยากเบียดเจ้า”

    “แต่ถ้าท่านนอนกับพื้นท่านอาจจะปวดหลัง ปวดเนื้อเมื่อยตัว นอนไม่สบาย หรืออาจจะนอนทับแขนตัวเองก็ได้” น้ำเสียงหวานยังคงสั่นเครือแม้ว่าจะพยายามบังคับเท่าไหร่ก็ตาม มือเล็กยกขึ้นปาดน้ำมูกน้ำตาให้ละหายไปจากใบหน้า

    “เวลาข้านอนบนเตียงเจ้าก็ชอบมานอนทับแขนข้าเหมือนกันนั่นล่ะ แบบนั้นก็เจ็บตัวไม่ต่างกันหรอก” ร่างสูง

    “ไปกินข้าวซะ ถ้าข้าอาบน้ำเสร็จเมื่อไหร่แล้วเจ้ายังกินไปไม่ถึงครึ่งล่ะก็.. น่าดูแน่”

     

    เมื่อยืนคำขาดไปเช่นนั้นแล้วสีหน้าของเด็กน้อยก็กลับเจื่อนลงมากกว่าเดิม อาการน้อยอกน้อยใจเองก็ตีตื้นขึ้นมาสุมอยู่ในอก ไหนจะรู้สึกผิดที่ผลักไสไล่ส่งคริสไปแบบนั้น ตอนนี้ในใจของจุนนั้นมีเป็นร้อยความรู้สึกจนมันแทบระเบิด ในขณะที่อีกฝ่ายนั้นลอบยิ้มแล้วลอบยิ้มอีกเมื่อได้เห็นสีหน้าและแววตาสุดเว้าวอน

     

    “เอ่อ.. ท่าน..

    “ท่านจะไม่กลับไปที่โลกมนุษย์แล้วใช่ไหม? ถ้าท่านจะกลับไป.. ให้ยอลไปส่งก็ได้นะ”

    “ข้าจะไม่กลับไปหรอก ยังไงข้าก็ต้องอยู่กับลูกข้า”

    “ไปกินข้าวกินปลาเสียที ลูกข้าหิวจะแย่อยู่แล้ว”

     

     

    ข้าดีใจที่ท่านกลับมา แต่เหตุใดความหม่นหมองยังคุกรุ่น

    อาจเพราะคำก็ลูก.. สองคำก็ลูก.. สงสัยท่านคงจะหมดรักข้าจริงๆ แล้วสินะ ทั้งสายตาและคำพูด.. ดูเหมือนจะไม่ห่วงข้าเลยสักนิด.. 

     


    - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

     

    อากาศของวันนี้ช่างยอดแย่เสียเหลือเกิน ผืนเมฆเข้าปกคลุมทั่วทั้งนครน็อกซ์จนไร้ซึ่งแสงแดด ทั้งหมดนั้นอึมครึม ทั้งๆ ที่จุนเองก็ตั้งใจเอาไว้แล้วว่าวันนี้ต้องออกไปเดินสูดอากาศข้างนอกให้ได้ อีกทั้งต้นโอ๊คของเจ้าตัวก็ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดีเช่นไร เพราะเจ้าของนั้นทั้งป่วย ซึม อารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าพายุฝนอันปรวนแปร เกรงว่าเจ้าต้นโอ๊คนั่นอาจจะไม่แข็งแรงจนล้มตายไปในที่สุด

    มือเล็กยกขึ้นลูบต้นแขนเบาๆ แม้เสื้อผ้าที่ตนใส่อยู่จะเป็นเสื้อแขนยาวคอสูงแล้วก็ตาม แต่อากาศข้างนอกดูจะไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่ ทำเอาเด็กน้อยต้องดึงผ้าห่มมาคลุมตัวเอาไว้จนกลายเป็นก้อนดักแด้บนเตียงที่กำลังนั่งหันไปหันมาเพราไม่รู้ว่าจะทำสิ่งใดดีในยามนี้ ท้องก็อิ่มแล้ว เจ้าตัวเล็กเองก็คงจะหลับเพราะจุนไม่รู้สึกแพ้ท้องใดๆ ตั้งแต่ยามสายแล้ว ครั้นจะเอ่ยปากพูดคุยกับคนที่กำลังยืนปิดหน้าต่างอยู่แต่กลับไม่กล้าเอ่ยเอื้อนแม้แต่คำเดียว

    คริสที่กำลังเดินปิดหน้าต่างจนกระทั่งครบทุกบานหันมามองเจ้าก้อนกลมบนเตียง มุมปากกระตุกยิ้ม รู้ดีว่าด้วยสภาพร่างกายที่ไม่ปกติของจุนกำลังทำให้ร่างเล็กรู้สึกหนาวไปทั้งกาย เขาจึงตัดสินใจลุกไปปิดหน้าต่างให้ ทว่าบัดนี้คนทั้งสองกลับกลายเป็นเหมือนคนแปลกหน้าซึ่งกันและกัน เพราะคริสเลี่ยงที่จะหยอกล้อกับจุน จำต้องทำหน้าขรึมเพื่ออยากจะดัดนิสัยคนดื้อ คิดแล้วก็ยังโกรธไม่หาย.. มีอย่างที่ไหนกัน กำลังตั้งครรภ์อยู่แท้ๆ แต่กลับไล่พ่อของลูกออกไปจากบ้าน

     

    ฟุ่บ..

     

    “อา! อะไรเนี่ย!? ท่าน.. ปล่อยข้านะ”

    “อยู่นิ่งๆ เถอะ”

     

    เมื่อแขนแกร่งตัดสินใจโอบกอดรัดเจ้าก้อนกลมบนเตียง คนในผ้าห่มก็กลับดิ้นดุกดิกพยายามจะหนีออกจากอ้อมกอดนั้นเสียให้ได้ หากแต่ตนนั้นไร้ซึ่งเรี่ยวแรงต่อสู้ พยายามดันตัวเองออกมาก็แรง เตะขาใส่ก็แล้ว แต่คริสก็ยังคงโอบรัดคนตัวเล็กเสียแน่น

     

    “ปล่อยนะ! ท่านมากอดข้าทำไมกัน!?” น้ำเสียงอุดอู้ภายใต้ผ้าห่มเรียกถาม และการที่จุนเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในผ้าห่มนั้นทำให้เขามองไม่เห็นว่าใครบางคนกำลังยิ้ม

    “หืม? ข้าไม่ได้จะกอดเจ้าสักหน่อย”

    “แต่ที่ท่านกำลังทำอยู่น่ะมันเรียกว่ากอด และท่านก็กำลังกอดข้าด้วย สมองเลอะเลือนไปแล้วหรือไง?”

    “เจ้าต่างหากที่สมองเลอะเลือน ข้าเปล่าเสียหน่อย เพราะที่ข้าทำอยู่นั้นถึงจะเรียกว่ากอดก็จริงแต่ข้าไม่ได้จะกอดเจ้า”

    “ข้าจะกอดลูกข้าต่างหาก เจ้าตัวเล็กคงหนาวเพราะคนเป็นแม่น่ะตัวผอมบาง เนื้อหนังมังสาคงบางมาดจนไม่อาจทำให้ลูกข้าหายหนาวได้ เพราะอย่างนั้นข้าถึงอยากกอดเขาเอาไว้ ข้าไม่ได้จะกอดเจ้าเลย”

    “ว่าอย่างไรนะ!? ท่านจะหาว่าข้าไม่ยอมดูแลลูกให้ดีหรือ?”

    “ข้าเปล่าเจตนาจะพูดแบบนั้นนะ เจ้าคิดเองเออเองแบบนี้ระวังจะเครียดเองเสียนะ”

    น่าโมโห! อารมณ์ของคนมีครรภ์พุ่งพล่านจนจุนเลือดขึ้นหน้า เช่นนั้นจึงถีบเท้าเบี่ยงตัวออกแรงกว่าเดิมแต่ก็ยังคงสู้แรงอีกคนไม่ได้ มิหนำซ้ำยังจะเอาขามาเกี่ยวทับไม่ให้จุนดิ้นไปไหนได้อีก “อืออ! ข้าอึดอัดนะ!

    “ก็เจ้าเอาแต่ดิ้น ทั้งยังมีผ้าห่มมาคลุมเกะกะไปหมดดูเอาสิ” จุนขมวดคิ้วแน่นจนทั้งคิ้วทั้งสองข้างแทบจะมาผูกรวมกันเป็นเส้นเดียวอยู่แล้ว หากแต่อีกคนนั้นยิ้มเยาะอย่างชอบอกชอบใจ ยิ่งได้ฟังอีกคนส่งเสียงประท้วงในลำคอกลับยิ่งมองว่าน่าแกล้งเข้าไปอีก “เอาผ้าออกสิ ข้าจะได้ห่มด้วย”

    “อ.. เอาผ้าออกหรือ?”

    “อืม.. ข้าจะได้กอดลูกถนัดๆ ด้วย”

     

    สุดท้ายคริสก็ยังเป็นคริสที่มักจะชอบใช้คำพูดเย้าแหย่ให้จุนประสาทกินทุกที แม้คนตัวเล็กจะขมวดคิ้วชั่งใจอยู่นิดหน่อย แต่เมื่อยามที่มือหนาจับดึงผ้าห่มออกจากลำตัวของจุนนั้นร่างเล็กกลับไม่ได้ขัดขืนแต่อย่างใด กระทั่งคริสจัดแจงผ้าห่มให้ใหม่ทั้งหมด ให้สองเรามาอยู่ใต้ผ้าผืนเดียวกัน ให้ร่างกายได้อิงแอบแนบชิดหลังจากที่ห่างกันไปหลายวัน

    ยามแขนแกร่งได้โอบรัดร่างเล็กเข้าแล้ว ก็รู้สึกได้อย่างถ่องแท้ว่าจุนนั้นผอมลง ผิวเนียนละเอียดของแม่นางไม้คนสวยบัดนี้ดูเหมือนจะสากมือขึ้น คงเพราะภูมิคนท้องเปลี่ยนผิวจึงเปลี่ยน แต่สิ่งเดียวที่ยังไม่เปลี่ยนก็คือกลิ่นกาย ยังหอมหวานรัญจวนใจเชิญชวนให้ขยับเข้าใกล้ทีละนิด.. ทีละนิด

     

    “ถ้าง่วงก็หลับเสีย ถึงตอนเจ้าตื่นก็คงจะถึงเวลาของมื้อเย็นพอดี”

    “ข้าไม่ง่วง คงหลับไม่ลงหรอกถ้าหากยังถูกโอบรัดเช่นนี้”

    “ข้าพูดกับลูก ไม่ได้พูดกับเจ้าเสียหน่อย”

    “นี่! ท่านน่ะบ้าบอน่ารำคาญที่สุดเลย ข้าไม่ให้กอดลูกแล้ว ข้าจะกอดของข้าเอง!” อีกคนว่าแรงแล้ว แต่เจ้าตัวดื้อนั้นรั้นยิ่งกว่า เรื่องพูดจาประชนประชันนี้คริสก็เพิ่งจะเคยได้ประสบเองกับตัว พอเจอเช่นนี้แล้วจึงเชื่อคำของยอลเลยทันที

     

     

    เจ้าจุนน่ะ ยามโกรธงอนทีน่ะยิ่งกว่าเด็ก 4 ขวบ ชอบพูดจาประชดประชันใช่ย่อย เจ้าน่ะระวังไว้เถอะ ยิ่งอุ้มครรภ์อยู่แบบนี้ยิ่งต้องระวังเลย อารมณ์คงแปรปรวนจนเจ้าอาจจะทนไม่ไหวก็ได้

     

     

    หึ.. จะพยศไปได้อีกนานแค่ไหนกันเชียว พนันได้เลยว่าแค่จูบเดียวก็คงหายงอนเป็นปลิดทิ้งแล้ว

     

     

    “เจ้าอย่าดิ้นสิ เดี๋ยวลูกเป็นอะไรไปแล้วจะทำยังไง เจ้าไม่อยากเห็นหน้าลูกหรือถึงได้เอาแต่ออกแรงพยศใส่ข้าแบบนี้”

    “ก็ท่านชอบแกล้งข้า”

    “ข้าไม่ได้แกล้งเสียหน่อย” ว่าจบก็กระชับอ้อมแขนให้อยู่ในท่าที่กระชับสบายเพราะไม่ต้องการทำให้จุนอึดอัดไปมากกว่านี้ “แต่ถ้าเจ้าง่วง.. เจ้าจะนอนก็ได้แล้วข้าจะปลุกเอง เมื่อเช้าเจ้าคงเหนื่อยเพราะอาเจียนตัวโยนอยู่นาน พักสักนิดเถอะ.. ข้าจะไม่กวนหรือแกล้งเจ้าอีก”

    “ท่านแน่ใจนะ?”

    “แน่ใจสิ”

     

    จู่ๆ น้ำเสียงทุ้มก็กลับทำให้จุนรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอย่างพิลึก เขาไม่ได้ยินน้ำเสียงอ่อนโยนและใจดีแบบนี้มานานแค่ไหนกันแล้วนะ พอได้ยินแล้วจึงรู้ได้ทันทีว่าตนนั้นโหยหาคริสมากแค่ไหน อยากจะหันไปกอดอีกคนให้รู้แล้วรู้รอดและบอกว่าขอโทษสำหรับทุกสิ่ง แต่จุนก็ยังคงเป็นจุนที่ขี้ขลาดอยู่ดี ร่างเล็กจึงได้แต่นอนมองแจกันดอกไม้เปล่า อันที่คริสเพิ่งจะเอาดอกไม้ไปทิ้งเมื่อเช้าเนื่องจากคนท้องเกิดแพ้กลิ่นดอกไม้และไม่ประทับใจของดอกกุหลาบเอาเสียเลย

    จุนนอนมองแจกันทรงสูงอยู่เช่นนั้น ศีรษะที่ใช้แขนของคริสเป็นที่หนุนนอนกลับผละออก แทนที่จะนอนบนท่อนแขงแกร่งต่อไป ร่างเล็กกลับเอื้อมมือหาหมอนใบเล็กมาวางให้ต่ำจากตำแหน่งที่แขนของคริสวางอยู่ และใช้หมอนนั่นหนุนศีรษะแทน

     

    “ทำไมไม่นอนบนแขนข้าล่ะ?”

    “ยอลบอกว่าถ้านอนทับแขนนานๆ น่ะจะไม่ดี เลือดท่านอาจจะหยุดเดินและเป็นอะไรไปก็ได้”

    “กลัวข้าตายงั้นสิ?”

    “อืม”

    “ข้าไม่อยากให้ท่านตาย”

     

     

     

     

    ข้าง้อคนได้เก่งที่สุดก็เท่านี้ล่ะท่านคริส หวังว่าท่านคงจะรู้สึกถึงความในใจของข้านะ..’

     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

     

    นักกวีหลายคนกล่าวว่ายามเมื่อแก้วแตกไปแล้ว อย่างไรเสียก็คงไม่มีทางกลับมาเป็นเช่นเดิมได้ ถึงจะกลับมาได้และสามารถคงอยู่ในรูปร่างเดิม แต่ก็ใช่ว่ารอยร้าวจะหายไป คริสเคยเชื่อคำพูดเหล่านั้นจนกระทั่งมาถึงวันนี้ที่เขาตัดสินใจว่าจะไม่เชื่อในสิ่งที่คนอื่นกล่าวกันอีกแล้ว เพราะคริสกำลังหลอมแก้วใบใหม่ขึ้นมาและพร้อมที่จะดูแลรักษาให้ดียิ่งขึ้น จะไม่มีวันทำให้มันแตกและเสียรูปเสียร่างอีก

    จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ผ่านล่วงเลยมา 4 ปีแล้ว คริสจากโลกมนุษย์มาอย่างยาวนานและไม่ได้กลับไปอีกเลย ค่อนข้างใจหายนิดหน่อยที่ต้องจากเพื่อนทั้งสองไปตลอดกาลโดยไม่ได้ล่ำลากันแม้แต่คำพูดเดียว แต่ก็นับว่าคุ้มค่าเสียเหลือเกินที่ได้มาติดอยู่ในนครมหัศจรรย์แห่งนี้

     

    เพราะที่แห่งนี้มี จุน กับ เยริ

     

    ชายร่างสูงเผยรอยยิ้มจางๆ ในขณะที่กำลังกวาดลานข้างล่างซึ่งเต็มไปด้วยใบไม้ร่วงหล่น แต่สายตาก็พลันเหลือบไปเห็นยอลกำลังบินลงมาทางนี้ก่อนจะแตะเท้าลงบนพื้น

     

    “อรุณสวัสดิ์ท่านคริส”

    “อรุณสวัสดิ์ท่านน้าของเยริ”

    “เรียกเสียเต็มยศเชียว ข้าเองก็เขินเป็นนะ” ยอลหัวเราะเบาๆ “เยริคงตื่นแล้วใช่ไหม?”

    “ตื่นแล้วล่ะ แต่ก็คงกำลังอาบน้ำแต่งตัวอยู่กับแม่เขา เดี๋ยวข้าจะขึ้นไปตามให้นะ”

    “งั้นข้าขอรออยู่ข้างล่างก็แล้วกัน”

    “ได้สิ”

     

    ท่านน้าของเยริเสมือนเป็นฉายาใหม่ของยอลนับตั้งแต่วันแรกที่หนูน้อยนามว่าเยริได้ลืมตาดูโลก ยอลผู้ซึ่งไม่เคยอยู่ใกล้ทารกมาก่อนก็ได้มาทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงช่วยจุนอีกแรง อันที่จริงนั้นยังมีคนอีกมากมายที่คอยช่วยเป็นมือซ้ายและขวา กระทั่งองค์ราชินีเองก็ลงมาช่วยเรื่องอาหารน้ำนมด้วยเช่นกัน ทั้งยังได้กลายเป็นท่านยายของเยริไปโดยปริยาย

    นอกจากจะได้เป็นท่านน้าของเยริแล้ว บัดนี้ยอลก็กำลังจะได้เป็นคุณครูของเยริ ต้องคอยพร่ำสอนเรื่องต่างๆ เพิ่มเติม เพราะบางเรื่องนั้นทั้งจุนและคริสต่างก็ไม่มีความรู้ที่จะใช้สอนให้เด็กน้อยได้เรียนรู้เลย ดังเช่น เรื่องของปีก

     

     

     

    ประตูบ้านต้นไม้ถูกเปิดออกโดยผู้ที่เป็นหัวหน้าครอบครัว สายตาของคริสเหลือบไปเห็นสองแม่ลูกที่ดูเหมือนจะเพิ่งจัดแต่งทรงผมให้เจ้าตัวเล็กเสร็จ เยริในยามนี้อยู่ในชุดกระโปรงสีชมพูสวย มีรองเท้าสานที่ท่านพ่อถักทอให้สวม และก็ยังมีอีกเป็นร้อยๆ คู่รออยู่ในตู้เพื่อให้เยริได้สวมใส่ในวันหน้า ผมยาวสลวยถูกรวบตึงให้กลายเป็นผมแกละสูงทั้งสองข้าง ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กน้อยจะได้แม่มาค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว โดยเฉพาะเรื่องของความสูง เพราะถ้าเทียบกับเด็กๆ ในนครแล้ว เยริคงจะเป็นเด็กหญิงที่ตัวเล็กที่สุด ยามเข้าแถวรอรับขนมจาก ท่านลุง ทีไร เยริมักจะได้ยืนหน้าสุดทุกที

     

    “เสร็จหรือยังแม่ลูก? ท่านน้ามารอแล้วนะ” เมื่อเสียงของคนเป็นพ่อเอ่ยถาม เจ้าหญิงตัวน้อยจึงรีบหันมาและวิ่งมากระโจนกอดท่านพ่อขายาวทันที เยริชอบให้ท่านพ่อโยนตัวเธอขึ้นฟ้าเหลือเกิน มันสนุกราวกับว่าเธอกำลังโบยบิน ได้กางแขนกางขาสยายปีกท้าลม เพราะท่านพ่อนั้นช่างตัวสูงจึงทำให้เยริถูกโยนขึ้นไปในระดับที่สูงมากเช่นกัน

     

    แต่วันนี้ท่านพ่อบอกว่าจะไม่โยนข้าขึ้นฟ้าแล้ว เพราะนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป.. ข้าต้องโบยบินด้วยตัวเอง เสียงเล็กๆ ของเด็กหญิงคิดในใจ

     

    “ยอลมาถึงแล้วอย่างนั้นหรือ?” จุนเอ่ยถามพลางลุกขึ้นจากเตียง

    “ใช่แล้วล่ะ เขารออยู่ข้างล่าง เจ้ากับลูกรีบลงไปเถอะ” คริสตอบในขณะที่จุนเองก็พยักหน้ารับ และปล่อยให้คนเป็นพ่ออุ้มเยริลงไปข้างล่างเองแทนที่จะเป็นเขาอุ้มก็ได้

     

    หากแต่ในเวลานี้คริสขอไม่เสี่ยง แม้กระทั่งจะเดินลงบันไดก็จะขอจับมือค่อยๆ ประคองจุนลงไป ต่อให้เขาจะทุลักทุเลเพราะต้องอุ้มเยริเอาไว้อีกมือด้วย แต่อย่างน้อยก็ขอให้ได้จับมือประคอง เพราะท้องโตๆ ของจุนนั้นเริ่มแก่ลงทุกวัน การจะให้เดินลงบันไดไปเสียเองก็กลัวจะพลัดลื่นตกลงมา ถ้าเป็นอย่างนั้นคริสคงไม่ให้อภัยตัวเองเด็ดขาด

     

     

    ใช่.. พวกเรากำลังจะมีน้องให้เยริ และคาดว่าน่าจะมีต่ออีกหลายคนเพราะเยริบอกว่าอยากมีเพื่อนเอาไว้เล่นขายของด้วยกัน ตัวเองจะเป็นแม่ค้าลูกพลับ และจะให้น้องๆ เป็นคนซื้อ

     

     

    “ท่านน้าขา ~

    “มาแล้วเหรอเยริมน้อยของน้า”

     

    ลักยิ้มของท่านน้าผุดขึ้นข้างแก้ม เยริล่ะชอบเหลือเกินเวลาเอานิ้วน้อยๆ ไปจิ้ม อีกทั้งท่านน้าก็ยังใจดีให้จิ้มได้ทุกครั้งไปแม้จะมีเสียงของท่านแม่คอยดุอยู่ใกล้ๆ เสมอ บอกว่า อย่าไปจิ้มแก้มท่านน้าแบบนั้น

    ปีกสีฟ้ามรกตเลื่อมระยิบระยับหยอกล้อกับแสงของดวงอาทิตย์ในยามสาย และเป็นเพราะเยริยังตัวเล็กอยู่มากๆ จึงทำให้ปีกนั่นดูจะใหญ่ไม่พอดีตัวสักเท่าไหร่ แต่มันก็ไม่เคยสร้างปัญหาให้เด็กน้อยเลยสักครั้งเดียว

    จุนจำได้ว่าวันที่เยริลืมตาดูครั้งแรก เขาร้องไห้อยู่นานด้วยความดีใจที่ได้เห็นหน้าลูก ได้รู้ว่าลูกนั้นปลอดภัย แต่ที่ทำให้โล่งใจอย่างสุดชีวิตก็คือการที่เยริเกิดมามีปีก และเป็นปีกสีเดียวกับที่ตนเคยมี จุนเคยกังวลมาตลอดว่าถ้าหากเยริไม่มีปีกเหมือนเด็กคนอื่นๆ เยริอาจจะกลายเป็นเด็กมีปมด้อยและมีเพื่อนน้อยเช่นตนก็ได้ แต่ตอนนี้ความกังวลใจในเรื่องนั้นได้หายไปแล้ว สิ่งที่ทำให้จุนพะวงนั้นมีอยู่เรื่องเดียวคือเยริจะกล้าสยายปีกบินหรือไม่

    ช่วงวัย 4 ขวบเป็นช่วงที่เหมาะสมแก่การหัดบิน แต่เพราะเยริยังตัวเล็กมากๆ ไม่รู้ว่าบินขึ้นไปแล้วจะกลัวความสูงจนตกใจร้องไห้โยเยหรือไม่ ก็ได้แต่หวังว่าชานยอลจะทำให้เยริมีความทรงจำที่ดีกับการฝึกสยายปีกในครั้งแรก และกล้าที่จะโบยบินออกไปท่องโลกกว้างอย่างอิสระแทนพ่อกับแม่

     

    “ตื่นเต้นไหมเจ้าหลาน? จะได้บินเป็นครั้งแรกโดยที่ไม่ต้องให้ท่านพ่อคอยอุ้มโยนขึ้นไปบนฟ้า”

    “ตื่นเต้นสิท่านน้า ข้าจะได้บินเหาะไปไหนมาไหนเหมือนท่านน้าแล้ว”

    “งั้นเราไปหาลานทุ่งกว้างๆ ฝึกบินกันนะ ตอนนี้น้าจะพาอุ้มเจ้าบินต่ำๆ ไปเองก่อน ถึงลานเมื่อไหร่เจ้าต้องหัดบินเองโดยไม่มีน้าแล้วนะ”

    “ได้เจ้าค่ะ หนูจะลองดู”

     

    ความฉะฉานของเด็กวัย 4 ขวบทำให้ท่านน้าตกหลุมรักซ้ำแล้วซ้ำเล่า รอยยิ้มสดใสนั่นไม่เคยเหนื่อยเลยที่จะยิ้มออกมาเพื่อแผ่ความสดใสให้กับคนอื่นๆ ได้มีความสุขไปตามๆ กัน

     

    “เดี๋ยวพ่อกับแม่จะเดินตามไปนะเยริ ลูกไปกับท่านน้าของลูกก่อนเลย”

    “เจ้าค่ะ”

     

    พูดจบแล้วก็ส่งเยริให้ชานยอลได้อุ้มแทน ความหวังของวันนี้อยู่ที่ท่านน้าแต่เพียงผู้เดียว ครั้นจะให้ผู้เป็นท่านลุงคอยช่วยสอน ก็เห็นว่าคงไม่ได้การ เพราะท่านลุงเองก็ติดงานราชการแผ่นดิน ต้องไปเจรจากับสรรพสัตว์นานาพันธุ์ ต้องคอยดำเนินงานเพื่อให้บ้านเมืองสงบสุข เช่นนั้นท่านลุงแอลจึงไม่ค่อยมีเวลาว่างให้เยริเสียเท่าไหร่ แต่ยามใดได้กลับมาหาก็มักจะมีของเล่นติดไม้ติดมือมาทุกที เรียกได้ว่าของเล่นส่วนใหญ่ในบ้านนั้นมาจากความใจดีของท่านลุงล้วนๆ ทั้งยังเป็นของเล่นชิ้นดีเพราะท่านลุงได้สั่งทำจากช่างไม้ยอดฝีมือทุกชิ้น

     

    “เมื่อครู่นกร้องเพลงส่งสาส์นมาบอกว่าวันนี้แอลจะมากินมื้อเย็นกับเรานะ เห็นบอกว่ามีเรื่องจะคุยกับท่านด้วย” จุนเอ่ยขึ้นในขณะที่เขากำลังคล้องแขนเดินไปกับคริสไปที่ทุ่งกว้าง

    “คุยกับข้างั้นหรือ? มีธุระอะไรกัน?”

    “ข้าก็ไม่รู้ นกร้องเพลงไม่ได้บอกอย่างชัดเจน บอกแค่ว่าแอลจะเข้ามา”

    “อย่างนั้นเหรอ?” คริสเม้มปากเป็นเส้นตรง ไม่แน่ใจนักว่าท่านลุงของเยริต้องการจะคุยเรื่องใดกัน เพราะที่ผ่านมาตลอดหลายปีของการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ก็ใช่ว่าเขาทั้งสองจะสนิทกันมากขึ้น แอลก็ยังคงเป็นแอลที่ไม่สันทัดกับมนุษย์เช่นเดิม คริสก็ยังคงเป็นคริสที่มักจะคอยหึงหวงจุนตลอดยามมีแอลเข้ามาใกล้ นั่นจึงทำให้ร่างสูงอดคิดไม่ได้ว่าเรื่องสำคัญของแอลคือเรื่องใดกัน

    “ข้าว่าเราตามลูกไปกันเถอะ ข้าอยากเห็นเยริออกโบยบินแล้ว”

    “ได้สิ ค่อยๆ เดินนะ”

    “รู้แล้วน่า ไม่เห็นต้องประคองกันขนาดนี้เลย” จุนเผยรอยยิ้มบางๆ พลางขมวดคิ้วนิดหน่อย เขาไม่ชินเลยสักนิดเวลาที่ร่างสูงมาคอยดูแลประคับประคองกันจนถึงขนาดนี้ แม้ว่านี่จะเป็นท้องที่สองแล้วก็ตามเถอะ เพราะดูเหมือนว่านับวันคริสกลับยิ่งสามารถทำให้จุนตกหลุมรักซ้ำๆ เคอะเขินซ้ำๆ ได้ทุกวี่ทุกวัน

    “ก็ข้ากลัวเจ้าจะสะดุดนี่”

     

    แต่ก็นั่นล่ะหนา.. เพราะรัก เพราะห่วงจึงได้ยอมทำทุกอย่างเพื่อจุนเช่นนี้ ยอมแม้กระทั่งละทิ้งชีวิตในโลกมนุษย์ ทิ้งศักดินาและความฝันมาเริ่มต้นใหม่ในโลกแห่งนี้ เพียงเพราะแค่ต้องการใช้ชีวิตอยู่กับใครคนหนึ่งก็เท่านั้น

     

    “ข้ารักเจ้านะจุน”

    “อะไรกัน? ทำไมจู่ๆ ท่านก็พูดแบบนี้ล่ะ?”

    “ก็แค่อยากบอกน่ะ”

    “ก็บอกทุกคืนอยู่แล้วนี่”

     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

     

    กิจกรรมของวันนี้จบลงไปด้วยความโล่งใจ เจ้าหญิงน้อยขวัญใจของท่านน้าสามารถบินในระดับต่ำๆ ได้แล้วโดยมีท่านพ่อและท่านแม่คอยช่วยให้กำลังใจอยู่ข้างสนาม ปีกของเจ้าหญิงน้อยกระพือบินอย่างตั้งอกตั้งใจ กระทั่งปีกน้อยๆ นั่นเริ่มออกบินได้อย่างคล่องแคล่ว กำลังใจทั้งสามจึงเผยรอยยิ้มออกมาและอดไม่ได้ที่จะดึงเจ้าตัวน้อยเข้ามากอด

    ช่วงเวลาค่ำคือช่วงเวลาของอาหารมื้อเย็น จุนได้เตรียมสำรับมากมายเอาไว้ให้กับเพื่อนสนิทอย่างยอลเพื่อเป็นการตอบแทนที่ช่วยเหลือเยริมาตลอด ทั้งยังทำสำรับพิเศษสำหรับแอลเพื่อต้อนรับการกลับมาหลังจากที่ออกไปว่าราชการอยู่ต่างเมืองนานหลายเดือนจนไม่ได้พบกันเลย

     

    “ให้ข้ากับยอลล้างจานเถอะ เจ้าไปพักซะ ขืนยืนนานๆ คงไม่ดีเสียเท่าไหร่” เสียงขององค์รัชทายาทเอ่ยทักก่อนจะขยับเข้ามาช่วยเพื่อนตัวเล็กและตัวสูงล้างจาน

    “ไม่เป็นไรหรอก ท่านน่ะออกไปหาท่านคริสเถอะ สงสัยคงกำลังพาเยริดูดาวอยู่ข้างนอกบ้าน ท่านบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับเขาไม่ใช่หรือ?” จุนหามาถามพลางส่งชามใบเขื่องให้ยอลช่วยล้างอีกแรง

    “อ่า.. ข้าเกือบลืมไปแล้วเชียว”

    “ท่านไปเถอะ อีกเดี๋ยวข้าก็คงล้างเสร็จแล้ว ท่านไม่ต้องช่วยหรอก”

    “ก็ได้ ถ้าของหวานเสร็จเมื่อไหร่ล่ะก็เรียกข้าด้วยแล้วกัน”

    “แน่นอน ข้าจะให้ยอลออกไปเรียกนะ”

     

    แอลพยักหน้ารับและปล่อยให้เพื่อนทั้งสองช่วยกันจัดการจานชามกันต่อไป ส่วนตนนั้นกวาดสายตามองหาสองพ่อลูกที่หายจากโต๊ะอาหารไปตั้งแต่ครึ่งชั่วยามก่อน มือหนาเปิดประตูไม้ก่อนที่สายลมจากด้านนอกจากจะเข้ามาประทบกับใบหน้าและพบว่าคริสกำลังอุ้มเยริเดินไปมา เจ้าหญิงน้อยหลับคอพับคออ่อน แก้มเบียดไหล่ท่านพ่อจนยู่ยี่ไปหมด สายตาของคริสหันมามององค์รัชทายาท ในขณะที่แอลนั้นเผยรอยยิ้มออกมา

     

    “หลับเสียแล้วหรือเจ้าตัวน้อยของลุง?”

    “หลับตั้งแต่สิบนาทีแรกที่ออกมาแล้วล่ะ สงสัยคงจะฝึกบินหนักไปหน่อย”

    “ข้าก็ว่าอย่างนั้น” แอลพูด “จะว่าไปนี่มันไม่ยุติธรรมเลย ข้าขอให้จุนบอกเยริว่าให้เรียกข้าว่าท่านอาก็พอ เพราะข้ายังไม่อยากเป็นลุง เหตุใดภรรยาของเจ้าจึงทำหูทวนลมไม่ยอมสอนเยริเช่นนั้น”

    “ก็ท่านอายุมากกว่าจุนจริงๆ นี่นา จะให้เรียกท่านอาก็คงจะกระไรอยู่”

    “แต่ข้าไม่อยากเป็นลุงนี่”

    “งั้นข้าจะคอยบอกเยริให้ก็แล้วกัน ถ้าเยริยอมเรียกตามก็ถือว่าเป็นโชคดีของท่าน”

    “ขอบใจ” แอลพยักหน้า

    “ว่าแต่ท่านมีอะไรจะคุยกับข้าหรือ? เห็นจุนบอกว่าเป็นเรื่องสำคัญด้วย”

    “ใช่ เป็นเรื่องสำคัญและเป็นเรื่องที่เจ้าคงตั้งตารอคอยที่จะได้ฟังมาตลอด”

    “มีเรื่องอะไรงั้นหรือ?”

    “พรุ่งนี้หมู่ดาวเปอร์ซิอัสจะปรากฏ ประตูมิติจะถูกเปิดออกตามกฎของธรรมชาติ นั่นแปลว่าเจ้าจะสามาถกลับไปยังบ้านของเจ้าได้”

    “นี่ท่านกำลังจะบอกให้ข้ากลับไปใช้ชีวิตในโลกมนุษย์ดังเดิมแล้วให้ทิ้งจุนไว้ที่นี่งั้นหรือ? ประหลาดคนนัก นึกยังไงถึงมาพูดเรื่องนี้กับข้า” ดูเหมือนว่าคริสกำลังลมออกหูนิดหน่อย คิ้วของเขาเริ่มขมวดขึ้นมาเล็กๆ ทั้งยังจ้องแอลตาเขม็ง

    “เจ้าควรฟังข้าให้จบเสียก่อนเถิดเจ้ามนุษย์หน้าโง่” แอลรีบยกมือปราม

    “นี่ท่าน

    “ที่ข้าจะบอกก็คือนอกจากดาวเปอร์ซิอัสแล้ว ก็ยังมีดาวแคสสิโอเปียที่จะปรากฏร่วมด้วย นานๆ ทีดาวสองกลุ่มนี้จะปรากฏขึ้นมาร่วม และไม่มีใครสามารถพยากรณ์ได้ว่าจะมีปีไหนที่มีการปรากฏร่วมกันอีกบ้าง”

    “ความพิเศษของมันคือ.. เจ้าจะสามารถกลับออกไปในเมืองมนุษย์และกลับเข้ามาในนครของเราได้ เช่นนั้น ข้าจึงคิดว่าเจ้าควรกลับออกไปเพราะจุนเคยเล่าให้ข้าฟังว่าเจ้ากังวลใจไม่น้อยที่จากบ้านมาโดยไม่ได้บอกใคร”

    “ข้าจึงอยากให้เจ้าใช้โอกาสนี้เพื่อกลับไป.. กลับไปสั่งลา และกลับเข้ามาใช้ชีวิตที่นี่โดยไม่มีอะไรติดค้างอีกต่อไป”

    “นี่ท่านพูดจริงหรือ?”

    “จริงสิ ข้าพูดจริงๆ ที่ข้ากลับมาครั้งนี้ก็เพราะถูกท่านแม่เรียกให้กลับมาเข้ามาฟังข่าวนี้และให้นำมาบอกเจ้า ข้าจึงหวังว่าเจ้าจะสามารถใช้โอกาสครั้งนี้ได้อย่างคุ้มค่า”

    1 ชั่วโมงของโลกมนุษย์จะเท่ากับ 1 วันของโลกแฟร์รี่ 1 วันของโลกมนุษย์จะเท่ากับโลก 1 ปีของโลกแฟร์รี่ เจ้าก็พิจารณาเอาแล้วกันว่าเจ้าอยากจะใช้เวลาอยู่ที่โลกมนุษย์กี่วันกี่คืน”

     

     

    อันที่จริงแล้ว.. คริสยังมีเรื่องพะวงอยู่ในหัวตลอดทุกวัน แต่มันไม่ได้เป็นเรื่องที่หนักใจมากนักเท่าไหร่ คริสจึงปล่อยให้เลยตามเลยไม่ได้ติดใจอะไรมากนัก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เคยคิดถึงมันเลย

    เรื่องนั้นก็คือเรื่องของเพื่อนในโลกมนุษย์ เจย์และจอห์น ถือว่าเป็นเพื่อนสนิท 2 คนที่คริสมีเหลืออยู่ในชีวิตนี้แล้ว พวกเขาต่างข้ามผ่านอะไรมาด้วยกัน พวกเขาออกท่องเที่ยวไปด้วยกัน และการที่คริสจากมาเช่นนี้โดยไม่มีคำล่ำลา.. มันทำให้ร่างสูงอดคิดไม่ได้ว่าป่านนี้พวกเขาจะเป็นอย่างไร กำลังตามหาเพื่อนคนนี้อยู่หรือไม่ หรือจะรู้สึกอย่างไรที่เขาหายไปแบบนี้ และที่สุดก็คือคริสคิดถึงพวกเขามากเหลือเกิน

    และถ้าหาก 1 ปีของโลกแฟร์รี่นั้นเท่ากับ 1 วันของโลกมนุษย์ ตอนนี้ก็เท่ากับว่าคริสหายตัวไปแล้ว 4 วัน ซึ่งเจย์และจอห์นก็คงจะกำลังออกตามหากันอย่างหัวปั่นแน่นอน

     

    “ข้าคิดว่าข้าคงจะออกไปบอกลาเพื่อนของข้าเสียหน่อย”

    “อืม” แอลเผยรอยยิ้มอย่างเบาบาง “ถ้าเจ้าจะไปก็ขอให้ออกไปตอนช่วงยามวิกาล เจ้าควรเดินออกไปทางเดิมและกลับเข้ามาทางเดิมในยามวิกาลเช่นเดิมเพื่อป้องกันไม่ให้ใครผู้อื่นตามมา แต่อย่าให้เกิน 24 ชั่วโมงของโลกแฟร์รี่ล่ะ”

    “เข้าใจแล้วล่ะ แต่ข้าคงจะต้องบอกให้จุนรู้ก่อน เพราะถ้าข้าออกไปยามวิกาล อย่างไรเสียก็ต้องรออีก 2-3 ชั่วโมงกว่าจะเช้า และกว่าจะเจอตัวเพื่อนข้าก็ต้องใช้เวลาอีกหลายชั่วโมง เช่นนั้นข้าคงต้องบอกให้จุนเข้าใจว่าคงจะไม่อยู่ที่นี่หลายวันหน่อย อีกอย่าง..

    “เจ้าหญิงน้อยของท่านคงงอแงไม่ใช่น้อยเลยถ้าหากข้าไม่กลับบ้านหลายวัน” พูดแล้วจึงลูบหลังเยริมเบาๆ และจุดยิ้มออกมา แค่คิดก็เหนื่อยแทนจุนแล้ว.. เยริเองก็ติดท่านพ่อมากเสียด้วย ถ้าคริสหายหน้าหายตาไปหลายวันมีหวังของร้องไห้โยเยจนท่านแม่ต้องเหนื่อยใจอย่างเป็นแน่แท้

    “งั้นข้ากับยอลจะสลับกันมาช่วยดูแลเยริก็แล้วกัน 7 วันนี้ข้ายังว่าราชการอยู่ที่นี่ เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก”

    “ขอบใจท่านมากนะ ถ้าไม่ได้ท่านข้าคงต้องใช้ชีวิตอยู่โดยที่มีเรื่องติดค้างไปตลอดชีวิตแน่นอน”

    “ข้าก็แค่ทำตามที่สมควรจะทำและทำให้สิ่งที่องค์รัชทายาทควรทำให้ประชาชน อย่าคิดว่าที่ข้าทำเพราะอยากจะญาติดีด้วยหรอก”

    “งั้นก็อย่าหวังเลยว่าข้าจะสอนให้เยริเรียกท่านว่าท่านอา.. จงเป็นท่านลุงต่อไปนั่นล่ะ สมควรแล้ว”

    “นี่เจ้า!..

    “อือ.. ท่านพ่อ ข้าอยากหาท่านแม่”

     

    เจ้าหญิงน้อยขยับตัว ส่งเสียงอื้ออึงอยู่ในอ้อมอกของท่านพ่อขายาว แก้มใสถูไปกับลาดไหล่ของคริสราวกับจะออดอ้อน แต่ปากกลับเรียกหาท่านแม่ทั้งๆ ที่ยังหลับตาและยังอยู่ในอ้อมแขนของท่านพ่อ เช่นนั้นคริสจึงตัดสินใจเปิดประตูกลับเข้าไปในบ้านและพาเยริไปนอนบนเตียงสบายๆ แทนที่จะมาก่อสงครามกับท่านลุง

    จะว่าไม่ชอบขี้หน้าอย่างไร บัดนี้ก็ยังไม่ชอบอยู่นั่นล่ะ.. คนถูกแย่งของเล่นต้องเกลียดผู้ที่แย่งไปเป็นธรรมดาอยู่แล้ว จะเรียกว่าแย่งก็คงไม่ถูกเสียทีเดียว เพราะจุนและแอลไม่เคยตกลงปลงใจเป็นคู่กัน พวกเขาเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันมาตลอด และจุนก็ได้พบกับคนที่ตนชมชอบอย่างแท้จริง

    สิ่งที่ทำให้แอลต้องลดทิฐิลงคงเพราะตระหนักได้ว่าจุนไม่เคยเลือกเขาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ความสัมพันธ์ของเขาและจุนคือเพื่อนมิตรที่ดีต่อกันมาตลอดนับตั้งแต่จำความได้ จุนเองก็เคยประกาศอย่างชัดเจนว่าไม่ต้องการที่จะปรับเปลี่ยนสถานะ มีแค่แอลเท่านั้นที่ยังคงดันทุรังมาตลอด เมื่อความคิดได้ตกผลึกแอลจึงตัดใจและแสดงความยินดีกับจุนแทน

    ยามนี้จุนเองก็มีครอบครัวที่อบอุ่นแล้ว เห็นทีคงจะต้องลงทิฐิในใจลงเพื่อให้ความเป็นเพื่อนยังคงอยู่ การไปว่าราชการต่างถิ่นเป็นเวลานานๆ ถือว่าเป็นการหลบไปพักใจเช่นกัน แต่ตอนนี้เรื่องราวทุกอย่างได้ผ่านมา 4 ปีเต็ม หัวใจของแอลจึงเยียวยาตัวเองจนกลับมามั่นคงเช่นเดิมแล้ว

     

    แกร่ก..

    “นี่ท่าน จุนให้มาเรียกไปกินขนมหวาน รีบเข้ามาก่อนที่ยอลจะแย่งกินหมดเสียก่อน”

    “รู้แล้วน่า”

     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

     

    “ทำไมให้เยริไปนอนตรงนั้นล่ะ?”

    “ถึงเวลาที่ลูกควรจะต้องหัดนอนเตียงเดี่ยวแล้วยังไงล่ะ”

    “แล้วถ้าลูกสะดุ้งตื่นมาไม่เจอข้ากับท่านจนร้องไห้โยเยจะทำยังไงล่ะ? เยริยิ่งกลัวความมืดอยู่นะ”

    “โธ่.. เตียงลูกอยู่ห่างจากเตียงเราไปแค่สามก้าวเดิน ถ้าลูกร้องเราค่อยเดินไปปลอบเขาก็ได้ อีกอย่างให้พ่อกับแม่ได้นอนกอดกันบ้างเถอะ ข้าก็อยากกอดเจ้านอนหลับเหมือนกันนะ”

    “ที่แท้ก็แค่อยากกอดข้านี่เอง ทำเป็นขี้ตู่อ้างโน่นอ้างนี่ไปเรื่อย”

    “แล้วยังไงเล่า? สรุปจะให้ข้ากอดได้หรือไม่?”

    “ได้สิ”

     

    มือหนาช่วยประคองให้คนรักได้นอนลงอย่างสบายตัวก่อนจะช่วยหยิบจับผ้านวมผืนหนามาคลุมกายให้ และตามไปสอดแขนกอดกายให้ความอบอุ่นอย่างใกล้ชิด กลิ่นกรุ่นจากกายของจุนก็ยังคงหอมหวานเช่นเดิม เรือนผมส่งกลิ่นดอกไม้สกัดจนหอมรัญจวนใจ

    เพราะท้องนี้ไม่มีอาการแพ้กลิ่นดอกไม้ จุนจึงสามารถกลับมาใช้น้ำหอมดอกไม้สกัดได้เช่นเดิม ตัวบ้านกลับมาถูกประดับประดาไปด้วยดอกไม้และแจกันอย่างที่ควรจะเป็น

     

    “วันนี้เจ้ามีอาการเจ็บท้องบ้างไหม?”

    “ไม่เลย เพียงแต่ลูกท่านน่ะถีบท้องข้าบ่อยเหลือเกิน ข้าสงสัยว่าเราอาจจะได้ลูกผู้ชายก็ได้เพราะเจ้าตัวเล็กถีบข้าแรงมาก ถ้าอย่างนั้นคงจะสมใจท่านจริงไหม?”

    “จะหญิงหรือชายก็สมใจข้าทั้งนั้นล่ะ แต่ถ้าเป็นชายจริงๆ เจ้าหญิงน้อยของเราได้งอแงวิ่งไปฟ้องท่านยายแน่ เพราะเยริพูดกับเราทุกวันว่าอยากจะมีน้องเป็นหญิง”

    “นั่นล่ะปัญหาใหญ่เลย ข้าเริ่มจะกัลวลเสียแล้วสิ”

    “ไม่ต้องกังวลหรอก ข้าว่าเราคงสอนลูกได้และลูกเองก็ต้องเข้าใจ เพราะอย่างนั้นเจ้าอย่าคิดมากเลย” ร่างสูงกระชับกอดและปิดเปลือกตาลง มือหนาสอดประสานกับมือนุ่มนิ่มของจุนเอาไว้โดยปล่อยให้เรียวนิ้วหัวแม่มือทำงานลูบไล้มือเล็กนั่นเพื่อปลอบประโลม “พรุ่งนี้ข้าจะกลับไปที่เมืองมนุษย์นะ”

    “เอ๋? ว่าอย่างไรนะ?” จุนถึงกับตกใจเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ร่างเล็กจึงพลิกตะแคงหันกลับมา ทำให้คริสได้เห็นว่าตอนนี้จุนกำลังขมวดคิ้วแน่นแค่ไหน “ท่านว่าอะไรนะ?”

    “วันนี้แอลมาบอกข้าว่าพรุ่งนี้ดาวเปอร์ซีอัสจะปรากฏ และดาวแคสสิโอเปียก็จะปรากฏด้วย นั่นหมายถึงข้าจะสามารถกลับออกไปและกลับเข้ามาได้”

    “จริงหรือ? พรุ่งนี้จะมีดาวแคสสิโอเปียปรากฏร่วมด้วยอย่างนั้นหรือ?”

    “ใช่ แอลบอกข้าอย่างนั้น”

    “แล้วท่านจะออกไปนานแค่ไหน? ท่านจะกลับมาใช่ไหม? ท่านจะไม่ทิ้งข้ากับลูกเอาไว้ที่นี่ใช่ไหม?”

    “โธ่.. ใครจะกล้าทิ้งกันได้ลงคอ ข้าก็แค่อยากจะออกไปเพื่อบอกลาเพื่อนของข้า ข้าอยากจากออกมาโดยที่ไม่ต้องมีอะไรติดค้าง ข้าจะรีบและพยายามหาตัวเพื่อนให้เจอและกลับมาที่นี่ให้เร็วที่สุด ใครจะไม่ทิ้งเจ้าไปหรอกนะ คนดี..

    ” เด็กน้อยซุกเข้าหาอ้อมอกอุ่น หัวใจเต้นแรงระรัวเพราะกลัวว่าคริสอาจจะไม่กลับมาอีก

    “เจ้าอาจจะต้องอยู่กับลูกเพียงลำพังสักสองสามวัน ถ้าเยริงอแงก็ขอให้บอกว่าท่านพ่อเข้าไปซื้อของเล่นในเมืองใหญ่ ต้องใช้เวลาเดินทาง อย่าได้ร้องไห้โยเยไปเลย”

    “ข้าจะบอกเยริเช่นนั้น แต่ท่านอย่าไปนานมากล่ะ.. ไม่อย่างนั้นนอกจากลูกที่จะคิดถึงท่านแล้ว ข้าก็คงคิดถึงท่านมากเช่นกัน”

    ” เมื่อจุนเอ่ยบอกเช่นนั้นคริสจึงจุดรอยยิ้มสวยท่ามกลางแสงเทียนสลัว ขยับขึ้นไปจูบหน้าผากมนเบาๆ เพื่อให้สัญญาว่าจะทำตามที่ขอ เพราะเขาเองก็ไม่อยากจากลูกเมียไปนานเช่นกัน “ข้าสัญญา”

    “แล้วท่าคิดคำพูดหรือยังว่าจะบอกลาเพื่อนของท่านอย่างไร”

    “เอาไว้ค่อยคิดพรุ่งนี้ระหว่างเดินทางไปก็ได้ ตอนนี้ข้าขอกอดเจ้าก่อนเถอะ อากาศตอนกลางคืนช่างหนาวเหน็บยิ่งนัก ข้าจึงอยากกอดเจ้าเอาไว้จะได้อุ่นไปทั้งกาย”

    “ปากคอเลาะร้ายอีกแล้ว ข้ารู้แล้วล่ะว่าเยริติดนิสัยช่างพูดช่างเจรจามาจากใคร”

    “ถึงข้าจะปากคอเลาะร้าย.. แต่เจ้าก็รักข้าอยู่ดีใช่ไหมล่ะ?”

    “ท่านพูดอีกก็ถูกอีก ทำไมถึงได้รู้ใจข้าไปหมดเลยนะ”

    “ก็เพราะว่าข้าเป็นสามีของเจ้าไง”

    “อ่า..

    “จริงด้วยสิ ท่านเป็นสามีข้า ส่วนข้าก็เป็นภรรยาของท่าน.. ท่านคริส”

     

     

    4 ปีเกือบจะ 5 ปีแล้วที่จุนมีคริสอยู่ข้างกาย.. ถ้าเป็นอย่างอื่นก็คงรู้สึกเบื่อหน่ายไปแล้ว แต่ทำไมกับคริสนั้นถึงไม่เคยรู้สึกเบื่อเลย กลับกัน.. มีแต่จะรักมากขึ้นและรักมากขึ้นเข้าไปทุกที

     

     

     

     

     

    ท่านใช้วิธีใดกัน.. ถึงได้ทำให้คนอย่างข้าเปิดใจได้ ชักจะเก่งเกินไปแล้วนะท่านพ่อของเยริ

     

     

    The End.



    @mmangmoom : ขอโทษที่มาอัพช้ามากๆ นะคะ เจอกันเรื่องหน้าค่ะ เก็บเงินรอรวมเล่มเรื่องหน้าได้เลยค่าาา

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×