ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) KRiSHO FICTION by MMANGMOOM

    ลำดับตอนที่ #138 : ♡ Once Upon a Time (Part 2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 508
      21
      23 ส.ค. 61

    Once Upon a Time
    Kris x Suho
    (mpreg)








    คำเตือน : ไม่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบอ่านแนว Beyond Fantasy / Mpreg นะคะ
    แบ่งอ่านได้ค่ะเพราะยาวมากๆ








    วันฉลองต้นไม้ เดินทางมาถึงแล้ว คริสไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นักเกี่ยวกับรายละเอียดของวันฉลองอย่างที่จุนว่า ขนาดจุนอธิบายให้ฟังแล้วก็ยังคงรู้สึกสับสนเพราะรายละเอียดต่างๆ ช่างซับซ้อนเหลือเกิน ตนจึงได้แต่พยักหน้าตามน้ำและพาตัวเองมานั่งอยู่บนเก้าอี้โยกพลางถักรองเท้าคู่ใหม่ให้จุน เสมือนคุณปู่ของบ้านก็มิปาน

    รองเท้าคู่เดิมนั้นไม่ใช่ว่าจุนไม่ชอบ แต่เป็นเพราะเขาเห็นจุนใส่มันทุกวันอย่างคุ้มค่าจนเกรงว่ามันอาจจะพังและไม่มีคู่สำรองเอาไว้ให้ใส่ ร่างสูงจึงลองใช้กรรมวิธีนำเชือกลงไปย้อมกับสีธรรมชาติและตากจนแห้งก่อนจะนำมาถักรองเท้าคู่ใหม่ให้จุนอีกคู่ คราวนี้คนตัวเล็กยังขอเข้ามามีส่วนร่วมช่วยหาดอกไม้ผ้ามาประดับตกแต่งด้วย จุนจึงตั้งตารอคอยเป็นพิเศษสำหรับรองเท้าคู่ใหม่จากฝีมือของคริสกับเขาที่ช่วยกันทำออกมา

     

    ทำไมท่านถึงเก่งไปหมดทุกอย่างเช่นนี้ล่ะ?”

    ว้าว..

     

    เสียงหวานทำลายความเงียบและตัดสมาธิของคริส ทว่าเมื่อตนเงยหน้าจากเชือกที่กำลังจะขึ้นรูปรองเท้าในมือ ริมฝีปากก็จำต้องอ้าค้างและร้องออกมาเพราะเห็นว่าจุนในเวลานี้ช่างสวยงามและแปลกตากว่าวันอื่นหลายสิบเท่า

    ด้วยชุดที่เป็นสีเขียวอ่อนซึ่งยาวกรอมเท้าและเครื่องประดับต่างๆ บนร่างกายนั้นขับให้จุนออกมางดงามราวกับเป็นราชินีแห่งอาณาจักรแฟร์รี่ แต่ความบางของมันทำให้คริสอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กๆ มันบางเสียจนเห็นเนื้อหนังมังสาแทบจะทุกส่วน ช่วงแขนช่วงขาน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ช่วงหน้าท้องแบนราบกับช่วงกลางลำตัวนี่สิปัญหา เพราะความบางของชุดทำให้เห็นถึงกางเกงชั้นในทรงสามเหลี่ยมเว้าสูงช่วงต้นขา 

    แม้ทุกองค์ประกอบจะมีการถักทอทำลายด้วยดิ้นสีทองอร่ามสวยงาม แต่คริสก็ยังรู้สึกขัดหูขัดตาอยู่ดี

     

    เจ้าสวยงามมาก แต่.. จำเป็นต้องใส่ชุดบางขนาดนี้เลยหรือ?”

    เครื่องแต่งกายของพิธีนี้เป็นแบบนี้ทุกชุดเหมือนกันหมด ข้าจึงเลือกใส่ไม่ได้ อีกอย่างนี่ก็เป็นชุดเดียวที่ข้ามี ยังไงก็คงต้องใส่

    แล้วเจ้ารู้สึกสะดวกหรือสบายที่จะใส่มันหรือเปล่า? บางขนาดนี้คงจะไม่ทำให้เจ้ารู้สึกหนาวหรอกใช่ไหม?

    ข้าใส่ได้ แล้วก็คงไม่มีใครมองหรอก เพราะปกติก็ไม่ค่อยจะมีใครมาสนใจข้าอยู่แล้ว

    ถ้าเจ้าว่าอย่างนั้นข้าก็ไม่ขัดอะไร แม้ว่าข้าจะยังรู้สึกแปลกๆ กับชุดนี้อยู่ก็เถอะ

    ฮ่ะๆ ไม่ต้องห่วงข้าหรอกจุนหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินไปหยิบข้อมือดอกไม้มาสวมเอาไว้ เขาหยุดอยู่ที่หน้ากระจกอีกครั้งเพื่อจัดแจงเสื้อผ้าของตนแล้วจึงเดินกลับมาหาคริส วันนี้ท่านเข้านอนไปก่อนเลยนะ ข้าคงกลับดึกกว่าทุกวัน แต่ไม่ต้องห่วงข้าหรอก

    ข้าอยากรอมากกว่า

    “ไม่ต้องรอหรอก ท่านนอนไปเลย คืนนี้ข้ามีภารกิจหลายอย่างที่จะต้องทำที่งานฉลองให้เสร็จสิ้น ซึ่งมันอาจจะต้องใช้เวลานานมากหน่อย เชื่อข้าเถอะนะ

    ก็ได้ แต่เจ้าก็รีบกลับมาก็แล้วกัน

    อื้อ ข้าสัญญาเจ้าภูติน้อยส่งรอยยิ้ม งั้นข้าไปก่อนนะ แล้วเจอกัน

    โชคดีนะ

     

     ชายหนุ่มยืนส่งร่างเล็กอยู่หน้าบ้านจนกระทั่งเห็นจุนเดินลงบันไดไปถึงขั้นสุดท้าย วันฉลองต้นไม้คงจะเป็นประเพณีที่ยิ่งใหญ่พอสมควร เพราะคริสมองเห็นเหล่าแฟร์รี่มากมายกำลังโบยบินไปทางเดียวกันเพื่อไปรวมตัวกัน ณ ลานทำพิธี แต่ละคนแต่งชุดอาภรณ์อย่างงดงาม ชิ้นผ้าทุกเมตรมีความสวยราวกับถูกบรรจงทออย่างตั้งใจ ยิ่งพอเป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ลับตาไปแล้ว ปีกแสนสวยซึ่งกระพือไหวเล่นกับแสงจันทร์กลับทำให้พวกเขาดูน่าหลงใหล ดูงดงามจนน่าอัศจรรย์

    เมื่อเห็นว่าจุนออกไปแล้ว คนว่างงานก็ไม่มีอะไรให้ทำอีกนอกจากการนั่งถักรองเท้าคู่ใหม่ให้เจ้าภูติ ดูเหมือนคืนนี้คริสคงจะต้องใช้เวลาเพียงลำพังโดยไม่มีจุน จะว่าไปแล้ว.. ต่อให้จุนจะไม่ได้เป็นคนพูดเยอะเจื้อยแจ้วก็ตาม แต่การมีร่างเล็กอยู่ใกล้ๆ กันนั้นทำให้ร่างสูงไม่เคยรู้สึกเหงาหรือเบื่อหน่ายเลยสักนิด ทว่าเวลานี้เขาจำต้องอยู่คนเดียว คริสจึงตัดสินใจเดินเข้าบ้าน จุดตะเกียงเพิ่มและนั่งถักรองเท้าต่อเพียงลำพัง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ยามก็แล้ว สองยามก็แล้ว หากแต่ไร้ซึ่งวี่แววของเจ้าภูติน้อยจนน่าสงสัย คริสซึ่งตัดสินใจเข้านอนก่อนก็กลับนอนไม่หลับ พลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียงจนน่ารำคาญ สุดท้ายก็ต้องลุกขึ้นมาเพราะตนได้ยินเสียงอื้ออึงของผู้คนด้านนอกบ้านต้นไม้ ชายหนุ่มตัดสินใจเปิดประตูออกไปมอง พบว่าเหล่าแฟร์รี่กำลังเดินทางกลับมายังบ้านต้นไม้ของตัวเอง 


    ‘สงสัยงานพิธีคงเสร็จเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นอีกไม่นานจุนก็คงจะมาถึง’


    ทว่ามันกลับไม่เป็นตามที่ร่างสูงคิด เวลาเดินต่อไปอีกชั่วยาม แต่ก็ยังไม่มีใครเปิดประตูเข้ามาเลยสักคน คริสเห็นท่าไม่ดีจึงลุกจากเตียงอีกครั้ง เขาจุดตะเกียงและหยิบเสื้อคลุมออกมาใส่ ตัดสินใจแล้วว่าคงไม่สามารถนอนต่อได้ถ้ายังไม่พบจุนในคืนนี้

    สิ่งที่ร่างเล็กบอกก่อนจะออกไปว่าจะกลับดึกนิดหน่อยผุดขึ้นมาในหัว แต่คริสคาดไม่ถึงว่ามันจะล่วงเลยเวลามาจนถึงค่อนคืนเช่นนี้ ซึ่งนี่ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีทางปกติอย่างแน่แท้ เช่นนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะเดินออกจากบ้านและออกตามหาตัวเจ้าภูติต้นไม้ทันที

     เจ้ามนุษย์เดินทางไปทุกสารทิศที่จุนเคยพาตนไป โดยเริ่มจากบริเวณบ้าน แปลงดอกไม้ อนุบาลผีเสื้อ กระทั่งที่สุดท้ายก็คือลำธารที่ต้นโอ๊คสีแดงของจุนตั้งอยู่ สองเท้าก้าวเข้าไปในพงไพรมืดโดยมีตะเกียงนำทาง ไม่เคยเอะใจเลยว่ายามนี้จะมีสิงห์สาราสัตว์เข้ามาจู่โจมหรือไม่ ตอนนี้ในใจของร่างสูงนั้นมีแค่เรื่องของจุนแต่เพียงผู้เดียว

    ขายาวก้าวไปช้าๆ มือหนาแหวกพุ่มไม้อย่างระมัดระวัง กระทั่งเสียงประหลาดดังขึ้น.. 

     

    อะ

     

    คริสได้ยินเสียงแปลกประหลาดดังออกมาจากหลังพุ่มต้นไม้ใหญ่ เขาใช้ตะเกียงส่องหาต้นตอของเสียงนั้นพลางคอยระมัดระวังว่าเสียงที่ได้ยินนั้นไม่ใช่เสียงของสัตว์ แต่ถ้าเป็นอมนุษย์.. ก็ขออย่าให้เป็นอมนุษย์ตัวที่น่าเกลียดน่ากลัวเลย หรือไม่แน่ว่าเสียงที่ตนได้ยินอาจเป็นเสียงของคณานางนิมฟ์ เพราะบริเวณต้นโอ๊คสีแดงของจุนนั้นใกล้กับแหล่งที่อยู่อาศัยของนิมฟ์แห่งสายน้ำ ซึ่งเขาเองก็ได้เผชิญกับพวกนางมาแล้ว

    ยิ่งใกล้ เสียงกลับยิ่งชัดขึ้น คริสจึงตัดสินใจวางตะเกียงลงบนพื้น สองเท้าย่างก้าวเข้าไปอย่างช้าและเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้ มือหนาลองแหวกพุ่มไม้ออกก่อนจะสอดส่องสายตาไปทั่วบริเวณอาณาเขต

    เมื่อสายตาได้ประจักษ์ ริมฝีปากจึงเผยอออกเพราะแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเห็น เสียงนั่นเป็นเสียงของจุนเองไม่ใช่ใครที่ไหน แต่ตอนนี้อาภรณ์ของเจ้าภูติไม้หลุดลุ่ยออกจากกายจนเหลือแต่กายเปล่า ทำให้คริสได้เห็นทุกสัดส่วนของจุนอย่างเต็มตา

    ร่างเล็กเพรียวบางกำลังคร่อมอยู่บนเถาวัลย์ขนาดใหญ่ เถาวัลย์ที่เคยประดับประดาอยู่ตามป่าไม้อยู่นิ่งๆ บัดนี้กลับกลายมาเป็นเครื่องรองรับกามรมของภูติต้นไม้ บนเถาวัลย์มีแง่งงอแยกขึ้นมา ทว่ามันกำลังสอดใส่เข้าไปในร่องเนื้อของจุน ขยับกระตุ้นให้ร่างบางรู้สึกกระสันจนครางออกมาไม่ได้ศัพท์ เอวเล็กขยับโยกไหวไปตามแรงราคะ เถาวัลย์เส้นน้อยเส้นอื่นๆ เคลื่อนไหวราวกับมันมีชีวิตดั่งมนุษย์ โดยพวกมันกำลังทำหน้าที่พันธนาการข้อมือเล็กเอาไว้ไม่ให้คนตัวเล็กหนีไปไหน

     

    อะ.. อา.. อื้อ!” จุนส่งเสียงคราง โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนแอบมองเขาอยู่หลังพุ่มไม้ ท่อนเนื้อร้อนของตัวเองชูชัน ใกล้จะได้ปลดปล่อยน้ำกามออกมาอย่างเต็มที่

     

    คริสมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย เขาตกใจ แตกตื่น แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกกระสันตามไปด้วย แต่ถ้าเขาปรากฏตัวตอนนี้มีหวังจุนต้องฆ่าเขาอย่างแน่นอน เช่นนั้นคนตัวสูงจึงตัดสินใจที่จะละมือออกจากการแหวกพุ่มไม้ เดินไปหยิบตะเกียงและเลือกที่จะออกไปจากตรงนี้เพื่อให้เวลาส่วนตัวกับคนตัวเล็ก

     

     

     

     

     

    เช้าวันถัดมา นกร้องเพลงในยามสายปลุกให้คนบนเตียงขยับตัวเบาๆ แสงแดดลอดผ่านช่องหน้าต่างจนทำให้รู้สึกระคายเคืองเปลือกตาจนต้องลืมตาตื่น คริสยกมือขึ้นขยี้ตา ไม่แน่ใจนักว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมงกี่ยามแล้ว แต่เขาคิดว่ามันน่าจะสายพอสมควรเพราะดูจากแสงแดดอันร้อนแรงที่มักจะต่างจากตอนเช้าตรู่

    ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าบนเตียงนอนนี้ช่างคับแคบเหลือเกิน เขาจึงหันกลับมองด้านหลังของตนเพราะรู้สึกได้ถึงความเบียดเสียดบนเตียงใหญ่ สายตาพบกับร่างบอบบางกำลังนอนขดอยู่ข้างกาย ทั้งยังมีอาการหนาวสั่นหน้าซีดตัวซีดอย่างผิดวิสัย

     

    .. ข้าขอโทษที่กลับมาช้ากว่าที่บอก ข้า..

    จุนเกิดอะไรขึ้น!?”

    ข้าหนาว.. ขอผ้าห่มกับน้ำอุ่นๆ ให้ข้าที

     

    คริสรีบเด้งตัวลุกขึ้นก่อนจะเอื้อมหลังมือไปแตะหน้าผากของเจ้าภูติน้อย ผิวกายขาวร้อนดั่งไฟผจญ หากแต่คนถูกไข้จับนั้นเอาแต่ร้องบอกว่าหนาว 

    จุนกอดตัวเองเอาไว้อย่างแน่นจนคริสต้องรีบวิ่งลงจากเตียงไปหาผ้าห่มในตู้เก็บของมาเพิ่ม แล้วจึงนำมาคลุมกายคนตัวเล็กให้เพื่อสร้างความอบอุ่น ชุดสีเขียวสวยงามและเครื่องประดับตามร่างกายนั้น – บัดนี้มันไม่ได้ช่วยให้จุนดูงดงามเลยแม้แต่น้อย ทว่าความยาวของชุดกับเครื่องประดับทองนั้นสร้างความเกะกะให้จุนไม่น้อย

    กาน้ำชาที่ยังกักเก็บความร้อนเอาไว้ได้ถูกยกมาวางเอาไว้บนโต๊ะเล็กริมหน้าต่างใกล้ๆ กับเตียงนอน คริสจัดการรินชาสีทองอำพันลงในแก้วและยกมันไปให้กับคนที่กำลังนอนสั่นเทาอยู่บนเตียง มือหนาค่อยๆ ประคองให้จุนลุกขึ้นมานั่ง เมื่อเห็นเรียวนิ้วสวยยื่นมารับแก้วด้วยความสั่นเทา คริสจึงสังเกตเห็นเล็บสีเขียวได้แปรเปลี่ยนสีน้ำตาลอ่อนดั่งรากไม้ที่กำลังเหือดแห้ง

     

    จุน เกิดอะไรขึ้นทำไมเจ้าถึงกลับมาด้วยสภาพนี้?”

    ข้า.. คงจะนั่งตากน้ำค้างนานไปหน่อย ก็เลยตัวร้อนไข้จับเช่นนี้จุนพูดพลางยกแก้วชากลิ่นหอมมาจิบอีกหน ข้าขอโทษนะ.. ที่กลับมาช้า

    ไม่เป็นไรหรอก แค่เจ้ากลับมาข้าก็ดีใจแล้วเจ้ามนุษย์ส่งรอยยิ้มจางๆ เอื้อมมือไปลูบเรือนผมสีแดงกและรับถ้วยชามาจากจุน หลังจากวางถ้วยชาแล้วจึงช่วยประคองเจ้าภูติน้อยให้นอนราบลงบนเตียงเช่นเดิม ปกติแล้วเวลาเจ้าป่วย.. เจ้ารักษาด้วยวิธีใดกันหรือ?”

    ชาวเราต้มยาดื่มดั่งมนุษย์ แต่ข้าคิดว่าข้าคงไม่ต้องดื่มมันหรอก ข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก

    ไม่เป็นอะไรมากเสียที่ไหนกัน ตัวเจ้าสั่นเทายิ่งกว่าลูกนกตกจากรัง ทั้งยังต้องห่มผ้าสองผืน หนาวสั่นเข้ากระดูกแต่เหงื่อเจ้ากลับท่วมตัว นี่น่ะเรียกว่าพิษไข้ทารุณ ยังไงเจ้าก็ต้องกินยาต้ม

    ข้าไม่ชอบดื่มมัน รสชาติของยาน่ะประหลาดทะแม่ง ทั้งขมทั้งเหม็น กินทีไรแทบทำให้ข้าสำรอกทุกที

    หวานเป็นลม ขมเป็นยา เจ้าต้องทนกินไปก่อนจนกว่าอาการจะดีขึ้น

    ท่านชอบบังคับข้าอยู่เรื่อยเลย

    ก็ข้าไม่อยากให้เจ้าไข้จับจนตัวสั่นเช่นนี้นี่ ถ้าเกิดเจ้าไม่กินยาแล้วมีอาการหนักขึ้นยิ่งกว่าเดิมข้าจะทำยังไงกันเล่า? เรื่องนี้น่ะโทษข้าไม่ได้นะ ข้าจู้จี้จุกจิกเพราะอยากให้เจ้าหายต่างหาก จะได้มีเพื่อนไปเล่นน้ำตกด้วยกัน

    พิลึกคนที่สุด

     

    จุนขมวดคิ้วและมุดตัวลงในผ้าห่มดั่งก้อนดักแด้ตัวกลม คริสจึงระบายรอยยิ้มออกมาพลางส่ายหัว 

    คริสมีสูตรปรุงยาอยู่ในหัวอยู่แล้ว หากแต่ยังไม่มั่นใจนักว่าจะไปหาสมุนไพรต่างๆ จากไหน จะให้ไปเด็ดเอาในป่าสุ่มสี่สุ่มห้าก็กลัวจะโดนภูติประจำต้นไม้ต้นนั้นๆ เล่นงานเข้าข้อหาลักขโมยใบหญ้า ซึ่งจุนเองก็เคยเตือนไว้ว่าไม่ควรทำเช่นนั้น 

    เช่นนั้นร่างสูงจึงยังคิดแผนการต้มยาไม่ออกในเวลานี้ เพียงแต่ยังโชคดีที่เขายังมีดอกคาโมมายล์แห้งหลงเหลืออยู่ ร่างสูงจึงตัดสินใจที่จะต้มชาร้อนๆ ให้จุนได้ดื่มคลายหนาวก่อน จากนั้นจึงจะคิดหาแหล่งสมุนไพรอีกทีในภายหลัง

     

    ข้าว่าเจ้าเปลี่ยนชุดดีกว่านะ ชุดเจ้ากับเครื่องประดับน่ะดูรกหูรกตาข้าเหลือเกิน ข้ากลัวมันจะทำให้เจ้าอึดอัดด้วย แถมผ้าก็ยังบางจนอาจจะทำให้กายเจ้าโดนลมทั้งวัน

    ข้าก็อยากจะเปลี่ยน แต่ข้าหมดแรงจะยืนแล้วล่ะ

    งั้นข้าจะช่วยเจ้าเปลี่ยนก็แล้วกัน จะเช็ดตัวให้เจ้าด้วย สาบานต่อหน้านกร้องเพลงเลยว่าข้าจะไม่แกล้งซนกับเจ้าเด็ดขาด

    ข้าไม่อยากจะเชื่อใจท่านเลยสักนิด

    เอาเถอะ รอบนี้ข้าหวังดีและไม่ได้อยากจะแกล้งเจ้าเลย เพราะอย่างนั้นเชื่อใจข้าเถอะนะ จำไม่ได้แล้วหรือว่าข้าสัญญากับเจ้าว่าอะไรเจ้ามนุษย์ส่งรอยยิ้มและก้มลงไปหาคนที่กำลังนอนตะแคงมองเขาตาแป๋ว นิ้วชี้เกลี่ยปลายจมูกเบาๆ จนเจ้าภูติน้อยเผลอย่นจมูกตาม ข้าจะปกป้องเจ้าไง

    ก็ได้.. ข้าเชื่อก็ได้

    เด็กดี

    ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนด้วยนะ

     

    คนตัวสูงพยักหน้า เขาลุกจากเตียงและนำชาเก่าไปตั้งไว้ในครัว แล้วจึงหยิบถังไม้มารองน้ำเพื่อเตรียมนำไปเช็ดตัวให้กับคนที่กำลังนอนเหงื่อท่วมอยู่บนเตียง

    จุนเองก็กำลังมองแผ่นหลังที่กำลังเคลื่อนไหวกายอยู่ในครัวอย่างทะมัดทะแมง คงจะชินกับการใช้ชีวิตที่นี่เข้าเสียแล้ว เพราะนี่ก็นับว่าเป็นเวลาเกือบจะ 30 วันแล้วที่ท่านมนุษย์นักสำรวจต้องมาใช้ชีวิตติดแหงกอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยอมนุษย์ 

    แม้วิถีชีวิตจะคล้ายกัน แต่ทฤษฎีและประเพณีต่างๆ กลับแตกต่างกันออกไปโดยสิ้นเชิง แน่นอนล่ะว่าคงไม่มีเขตไหนบนโลกมนุษย์จัดประเพณี วันฉลองต้นไม้ เหมือนดั่งที่นี่อีกแล้ว

    เมื่อคืนนั้นเป็นครั้งแรกที่จุนได้ทำเรื่องน่าอับอายลงไป เขายังจำได้ดีว่าตนส่งเสียงร้องครางและบิดเร้าไปมาเช่นใด จำได้แม้กระทั่งตอนที่ตนขยับไหวสะโพกผายอยู่บนเถาวัลย์อย่างระรัวจนปล่อยของเหลวในกายออกมา มันช่างเป็นอะไรที่น่าอดสูเท่าที่จุนเคยประสบพบเจอมา กระทั่งเดินกลับมาถึงบ้านด้วยแรงอันน้อยนิดแล้ว เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าใบหน้าของเขายังคงร้อนเห่อไม่หาย ยิ่งไปกว่านั้นการละเลาะเล่นสนุกอยู่กับเถาวัลย์ทั้งคืนนั่นล่ะที่ทำให้ร่างบางต้องตากน้ำค้างจนไข้จับ

     

    มาเถอะ ข้าจะเช็ดตัวให้ เจ้าจะได้นอนอย่างสบายตัวคริสเอ่ยขึ้นในขณะที่จุนกำลังตกอยู่ในภวังค์ เขาปิดหีบไม้เก็บเสื้อผ้าของจุนและวางชุดผ้าฝ้ายสีขาวลงบนเตียง ก่อนจะก้าวขึ้นช่วยประคองจุนให้ลุกขึ้นมาอีกครั้งพลางช่วยเจ้าภูติน้อยถอดเครื่องประดับออกจากกาย แล้วจึงช่วยผลัดเสื้อผ้าออกทีละชิ้น

    เพราะอาการป่วยของจุนทำให้คริสลืมเรื่องเมื่อคืนไปเสียสนิท ภาพของจุนยังคงติดตาและตามหลอกหลอนเข้าไปถึงในความฝัน แม้จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่ากามรมและตันหาเป็นเรื่องปกติของโลก แต่ก็ต้องยอมรับว่าการได้เห็นในอิริยาบถนั้นค่อนข้างทำให้คริสตะลึงงันไม่น้อย แถมภาพของกายเปลือยก็ยังทำให้เจ้ามนุษย์เผลอคิดเรื่องทะลึ่งพิเรนทร์ในหัวจนต้องหยิกเนื้อตัวเองเพื่อให้เลิกคิดอะไรแปลกๆ เสียที

    จะว่าไปก็อึดอัดเช่นกันที่ต้องเก็บความลับเอาไว้คนเดียวเช่นนี้ แต่ถ้าหากพลั้งปากบอกออกไป มีหวังว่าเจ้าภูติน้อยนิสัยขี้อายเป็นต้องสาปส่งเขาและไล่ไปนอนกับพวกนิมฟ์อย่างแน่นอน คริสจึงจำเป็นที่ต้องปิดปากเงียบและก้มหน้าก้มตาเช็ดตัวให้เจ้าภูติน้อยอย่างเบามือ กระทั่งเช็ดตัวให้จนเสร็จแล้วจึงช่วยสวมเสื้อผ้าให้อีกแรง

     

    “เจ้าพักผ่อนเสีย ข้าจะไปนั่งถักรองเท้าต่อข้างล่างจะได้ไม่เสียงดังรบกวนเจ้า”

    “ไม่เอา ท่านนั่งทำอยู่ที่นี่ล่ะ” เด็กน้อยขมวดคิ้วนิดหน่อยแต่สายตากลับแสดงความกังวลออกมาอย่างชัดเจน มือเล็กยื่นไปจับกับแขนแกร่งซึ่งกำลังโอบอุ้มถังน้ำและผ้าผืนเล็กเอาไว้ “อยู่กับข้าเถอะนะ ข้าไม่อยากนอนคนเดียว”

    “แต่ข้าจะปิดม่านให้เจ้าได้พักสายตา หากข้าต้องนั่งถักรองเท้าบนนี้ก็ต้องเปิดม่านให้สว่าง”

    “งั้นท่านก็ยังไม่ต้องถักสิ เอาไว้ทำวันอื่นก็ได้ วันนี้ท่านอยู่กับข้าก่อน”

    “นะ”

     

    เจ้าภูติน้อยที่เคยเอาแต่นิ่งเฉยและเดินหนีคำหวานของคริสมาตลอดนั้น บัดนี้ยามป่วยไข้กลับเสมือนภูติจิ๋วแสนอ้อนออเซาะ ขอร้องให้ร่างสูงอยู่ด้วยกันแทนที่จะแยกกัน 

    จุนเองก็ไม่แน่ใจว่าเหตุใดตนจึงกลับรู้สึกว่าอยากให้คริสอยู่ใกล้ๆ ไม่แน่ใจเช่นกันว่าความเชื่อใจนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด รู้แต่ว่าการมีเขาอยู่ข้างกายนั้นทำให้ร่างเล็กอุ่นใจมาเสมอ

     

    “ก็ได้ งั้นข้าจะเอาถังน้ำไปเก็บแล้วก็จะต้มยาให้นะ ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้มันขมและมีกลิ่นแบบที่เจ้าไม่ชอบ”

    “ข้าจะรอก็แล้วกัน ท่านจะทำอะไรก็ได้ขอแค่ท่านอยู่ใกล้ๆ ข้าก็พอ”

    “เข้าใจแล้ว” สุดท้ายก็ต้องยอมใจอ่อน อีกทั้งยังทนต่อดวงตากลมไม่ไหวเพราะตอนนี้ดวงตาคู่สวยกลับโรยราเพราะพิษไข้ ทำให้ร่างสูงต้องก้มลงไปจูบหน้าผากเด็กน้อยก่อนจะเอาสิ่งของในมือไปเก็บ

     

     

     


     

    3 วัดถัดมา

    นกร้องเพลงคาบสาส์นไปบอกเพื่อนสนิททั้งสองของจุนในที่สุด เช่นนั้นยามค่ำนี้ภายในบ้านไม้ของเจ้าภูติน้อยจึงมีคนแวะมาเยี่ยมเยียนและใช้เวลาอยู่กับเจ้าภูตินานอยู่พอสมควร

    ยาสมุนไพรจากใบ Alder ของแอลถูกนำใส่กล่องไม้อย่างดีเพื่อให้กับคนป่วย ยอลเองก็คอยพูดคุยและหารือเกี่ยวกับเรื่องต้นโอ๊คสีแดงของจุน ที่ตอนนี้ใบร่วงกราวลงพื้นตามสภาพของภูติประจำต้น สภาพต้นไม้นั้นร่วงโรยราไม่ต่างจากสภาพเจ้าภูติเลยสักนิด มันผันเปลี่ยนสภาพไปตามผู้พิทักษ์ของมัน ยามผู้พิทักษ์เติบใหญ่แข็งแรงสุขี เจ้าต้นไม้ก็จะยืนต้นแข็งแรงผลิใบสดใส ยามผู้พิทักษ์เจ็บกายทุกข์ใจ กลีบและใบก็จะแห้งเป็นสีอ่อน ผลัดใบร่วงลงพื้นจนเหลือแค่กิ่งก้านก่อนจะล้มตายไปในที่สุด

     

    “ข้าจะเอาผงแฟร์รี่ไปโรยที่ต้นให้เอง ส่วนเจ้าก็รักษาตัวให้หายไวๆ ก็แล้วกัน” แอลเอ่ยบอก โดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่ามีใครบางคนกำลังยืนพิงประตูหน้าบ้านพลางทำหน้าเบื่อโลกเต็มทน หรือบางทีองค์รัชทายาทอาจสังเกตเห็นแล้ว แต่ตั้งใจยียวนกวนประสาทเพื่อเอาชนะเจ้ามนุษย์นิสัยเพี้ยนคนนั้น

     

    คริสจำต้องเงียบปาก ไม่ยอมแสดงความไม่พอใจออกมาผ่านคำพูดเพราะสัญญากับจุนเอาไว้แล้วว่าจะทำตัวให้น่ารักที่สุดและจะไม่พูดจาร้ายๆ ใส่องค์รัชทายาทเพื่อนสนิทของจุน ร่างสูงจึงได้แต่แสดงอาการผ่านทางสาย กรอกตาจนตาแทบหลุดไหลมารวมกัน

     

    “เจ้าหายตัวร้อนแล้วก็คงจะไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วล่ะ ตอนแรกข้าก็นึกว่าเจ้าจะไม่มีแรงลุกขึ้นมาเสียอีก”

    “เปล่า ข้าดีขึ้นเยอะมากๆ แล้ว เพียงแต่ท่านคริสไม่ยอมให้ข้าลงจากเตียงเลย แถมยังเอาแต่คอยบอกให้ข้านอนพักผ่อนเยอะๆ ด้วยอีกต่างหาก นี่ข้าก็นอนจนไม่แน่ใจแล้วว่าคืนนี้ข้าจะหลับลงหรือเปล่า”

    “เขาคงหวังดีอยากให้เจ้าหายไวๆ อย่าโทษเขาเลยน่า” เสียงของยอลเอ่ยขึ้นพลางส่งรอยยิ้มอบอุ่นให้กับคนตัวเล็ก นับว่าเป็นประโยคแรกที่ทำให้คริสพอใจขึ้นมาบ้างหลังจากนั่งกอดอกหน้าตึงมานานพอสมควร

    “เจ้าเองก็ปากหนักพอๆ กับยอล ต้องให้ป่วยถึงสองวันก่อนจึงจะส่งนกร้องเพลงมาหาพวกข้า น่าโมโหจริงๆ” แอลพูด

    “ข้าขอโทษ เพียงแต่ข้าเห็นว่าข้ามีท่านคริสแล้ว ก็เลยไม่อยากจะรบกวนใครอื่น”

    “ข้าเข้าใจ แต่อย่างไรเสียเจ้าก็ควรจะบอก และเจ้าก็อย่าลืมนำยาที่ข้าเอามาให้ไปต้มกินแล้วกัน จะได้หายไวๆ”

    “อันที่จริงข้าก็ฝากนกร้องเพลงไปบอกเจ้าแล้วว่าไม่ต้องนำมา ข้ามียาของท่านคริสแล้ว เขาต้มยาด้วยรสที่ข้าดื่มได้เพราะอย่างนั้นข้าจึงไม่อยากลำบากให้เจ้าเอามาอีก”

    “หวานเป็นลม ขมเป็นยา ยังไงเจ้าก็ควรจะดื่มยาที่สะอาดปลอดภัย ใบเอลเดอร์ของข้าน่ะรักษาโรคได้ดีที่สุดแล้ว” แอลพูด ในขณะที่คริสนั้นกรอกตาเบะปากอยู่ตรงหน้าประตู

    “เอาเถอะ นี่ก็มืดค่ำแล้ว สมควรให้เจ้าพักผ่อนเพราะพวกเราก็รบกวนเวลาเจ้ามามากพอแล้ว ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อน” ยอลเอ่ยขึ้นและรับแก้วเครื่องดื่มสมุนไพรมาจากมือของคนตัวเล็กก่อนจะนำไปเก็บให้ในครัว คนที่รู้สึกโล่งอกโล่งใจเห็นจะเป็นคริสเพราะเขารอคำนี้มาตั้งแต่นาทีแรกที่แอลและยอลเดินเข้ามาในบ้าน

     

     

    อะไรจะประคบประหงมขนาดนั้น.. เจ้าภูติน้อยก็แค่เป็นหวัด ไม่ได้แขนหัก ขาหักเสียหน่อย

     

     

    “เจอกันนะจุน หายไวๆ ล่ะ”

    “ขอบใจ แล้วเจอกันนะ”

     

     

    ยัง ยังจะลูบหัวอีก

     

     

    ถ้าพูดถึงยอลนั้นคริสไม่ได้รู้สึกเคืองใจกับภูติตนนี้แต่อย่างใด ยอลดูจะเป็นภูติที่นิสัยซื่อไม่ต่างกับจุนเลยสักนิด ดวงตากลมโตของเจ้าภูติตัวนั้นแสดงออกมาแต่ความจริงใจไร้พิษภัย

    แต่กับแอลนั้น.. ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกรำคาญใจ พยายามจะทำเป็นไม่เห็นและเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ก็แล้ว แต่เพราะสายตาซุกซนขี้เล่นกับรอยยิ้มมุมปากนั่นทำให้คริสเผลอกรอกตาและถอนหายใจออกมาเป็นสิบรอบ อาจเพราะคริสได้พบเจอคนนิสัยแบบเดียวกันจึงเสมือนเสือสองตัวที่ไม่สามารถอยู่ในถ้ำเดียวกันได้ พอได้เห็นแอลเล่นหูเล่นตาใส่จุนทีไร ก็เหมือนเห็นกระจกสะท้อนเงาของตนซึ่งมันน่ารำคาญใจสุดๆ

     

    “ข้าฝากเพื่อนข้าด้วยท่านคริส หวังว่ามนุษย์อย่างท่านคงจะมีวิธีช่วยให้เพื่อนของข้าหายไวๆ นะ ข้าได้ยินมาว่ามนุษย์น่ะฉลาดเป็นกรดเลย” ยอลพูดกับคริสก่อนจะเดินออกไปจากประตู ร่างสูงจึงพยักหน้ารับปาก

    “ข้าต้มชาจากใบเบซิลให้แล้ว ทั้งยังพยายามทำให้รสชาติไม่ขมเฝื่อนแต่ยังคงสรรพคุณทุกประการ ให้ดื่มต่ออีกสักวันสองวันก็น่าจะดีขึ้น”

    “ขอบใจท่านมากนะ”

    “ข้ายินดี”

     

    ในที่สุดภูติทั้งสองก็เดินออกจากบ้านไป โดยที่แอลนั้นไม่คิดจะทิ้งท้ายอะไรไว้นอกจากสายตาแข็งถมึงทึงราวกับถูกใครเอามือมาเด็ดปีกให้เจ็บตัวจนพาลโกรธ แต่คริสก็ไม่ได้อยากจะฟังคำทิ้งท้ายอะไรจากแอลนักหรอก เขาทำเพียงแค่เปิดประตูบ้านส่งสองคนนั้นกลับไปและรีบพุ่งไปนั่งบนเตียงกับจุนทันที

     

    “ทำไมไม่ไปกินข้าวล่ะ?” เสียงหวานร้องถามพลางส่งดวงตาสีนิลสวยมาให้คริสได้หลงใหลซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    “ข้ากินของว่างของเจ้าไปจนอิ่มแล้ว ข้าคิดว่าข้าคงไม่หิวอีกแล้วล่ะ”

    “งั้นก็ระวังจะปวดท้องก็แล้วกันนะ ข้าไม่อยากให้ท่านมาป่วยแบบข้า มันทรมานจะแย่”

    “เป็นห่วงข้าหรือ?” ร่างสูงเอ่ยถาม จับมือนุ่มนิ่มของอีกฝ่ายมาประทับจูบอย่างเบาบางบนหลังมือจนจุนอดที่จะอมยิ้มเล็กๆ ไม่ไหว เขาเบนสายตาหนีคริสอีกแล้ว ซึ่งนั่นทำให้คริสเองก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเช่นกัน

    “ข้าไม่พูดดีกว่า”

    “เจ้าเขินอะไรหื้ม? ทำไมถึงไม่มองตาข้าล่ะ?”

    “ข้าอยากนอนพักแล้ว ท่านไปจัดการเสื้อผ้าของท่านสิ”

    “จัดการเสื้อผ้าของข้า? ถ้าเจ้าพูดแบบนี้บนโลกมนุษย์น่ะ.. รู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น?”

    “แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นหรือ?”

    “คำพูดของเจ้าฟังดูสองแง่สองง่าม หากพูดแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นยามอยู่สองต่อสองเช่นนี้ เจ้าอาจจะไม่ได้ลุกออกจากเตียงเลยจนกว่าจะเช้า” เอาอีกแล้ว.. รู้สึกร้อนที่หน้าอีกแล้ว จุนแกล้งถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และบิดมือออกจากการกอบกุมของคริส เขาทำท่าจะมุดลงผ้าห่มหนีสายตาท่านมนุษย์ หากแต่ก็ยังถูกคว้าข้อมือเอาไว้อีกครั้งจนได้

    “ท่านพูดจาแบบนี้อีกแล้วนะ ที่ข้าพูดน่ะหมายถึงให้ไปจัดการพับผ้าลงหีบต่างหาก”

    “ข้ารู้ แต่ข้าชอบดูปฏิกิริยาของเจ้ายามได้ฟังคำพูดของข้านี่” คริสหัวเราะออกมาเบาๆ ลูบพวงแก้วสวยที่ตอนนี้ปรากฏสีขึ้นมาบ้างนิดหน่อย ไม่ได้ซีดขาวเผือกเหมือนสองวันก่อนตอนที่โดนพิษไข้เล่นงานหนัก “จุน.. ข้ามีอะไรจะบอก? เป็นเรื่องที่ข้าต้อง.. สารภาพ ต้องพูดเพราะข้าไม่อยากมีเรื่องใดๆ ปิดบังเจ้า”

    “มีเรื่องใดกัน? ท่านพูดจาแปลกๆ น่ากลัวชะมัด”

     

    มีอยู่เรื่องเดียวที่กำลังอัดอั้นอยู่ในใจของคริสมานาน อันที่จริงเขาอยากจะเก็บเป็นความลับเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว แต่เขาไม่ใช่คนที่เก็บความลับได้เก่งเท่าไหร่ อีกอย่างความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจุนก็มาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเขานอนกอดกันและจับมือกัน จุนปล่อยให้คริสกอดและจูบก่อนนอนแทบจะทุกคืน เช่นนั้นคริสจึงไม่อยากให้จุนไปทำอย่างอื่นเพียงลำพังในเมื่อจุนก็มีร่างสูงอยู่ทั้งคน

     

    “อย่าโกรธข้านะ”

    “อื้ม”

    “ไม่เดินหนีข้านะ”

    “ไม่เดินหนี ท่านมีอะไรก็พูดมาเถอะข้ากลัวแล้วนะ” ในเมื่อจุนเร่งเร้า ร่างสูงจึงรวบรวมสติและสูดหายใจเข้าปอดลึกที่สุดก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา

    “วันที่เจ้าออกไปงานฉลองนั่นน่ะ อันที่จริงข้าก็จะเข้านอนก่อนตามที่เจ้าขอ แต่ข้าเห็นว่ามันดึกสงัดมาก อีกทั้งข้าก็เห็นภูติตัวอื่นๆ เดินทางกลับมากันเยอะแล้ว แต่เจ้าก็ยังไม่มาเสียที ข้าก็เลยตัดสินใจคว้าตะเกียงออกไปตามหาเพราะกลัวว่าเจ้าจะเป็นอะไร”

    “แล้วท่านไปที่ไหนบ้างล่ะ? ดึกขนาดนั้นยังจะกล้าเดินอีกหรือ?”

    “ข้าไปที่ต้นโอ๊คของเจ้ามา”

    “ข้าไม่ได้ตั้งใจ ข้าแค่กลัวว่าเจ้าจะเป็นอะไรไปก็เท่านั้น ข้าไม่ได้ตั้งใจจะ.. แอบมอง หรือทำอะไรที่ไม่สมควรจะทำเลยสักนิด”

    “นั่นคือวิธีหว่านความเจริญพันธุ์ลงพืชผลในแบบของชาวภูติใช่หรือเปล่า?”

    “ท่าน.. เห็นหมดเลยอย่างนั้นหรือ?”

    “ข้าเสียใจ ไม่ได้ตั้งใจจะไปแอบมองแต่อย่างใดเลย พอข้าเห็นเจ้าในตอนนั้น.. ข้าก็รีบกลับมาที่บ้านเพราะคิดว่าไม่ควรจะอยู่ต่อ จนกระทั่งตอนเช้าข้าถึงตื่นมาพบว่าเจ้ากำลังหลับอยู่ข้างๆ”

    ” นาทีนี้จุนเลือกที่จะดึงข้อมือของเขาออกจากการกอบกุมของคริส ใบหน้าเล็กก้มงุดลงด้วยความละอาย หลากหลายความรู้สึกหลั่งเข้ามาในใจจนแทบรับไม่ไหว ทั้งอับอาย รู้สึกแย่ ปนสมเพชตัวเอง “มันคงจะน่าเกลียดมากเลยใช่ไหมที่ข้าทำลงไปน่ะ.. พวกมนุษย์คงไม่ได้ทำอะไรแบบนี้กันหรอกใช่ไหม?”

    “เปล่าเลย นั่นไม่ใช่เรื่องไม่ดีนะจุน พวกมนุษย์ต่างก็มีความรู้สึกไม่ต่างจากพวกเจ้าเลย เรารัก โลภ โกรธ หลง เรามีความต้องการเหมือนกัน เราระบายความต้องการของเราเช่นกัน เพราะฉะนั้นนี่จึงไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกแต่อย่างใด เจ้าไม่ต้องอายหรือรู้สึกแย่หรอกนะ”

    “ที่ข้าทำน่ะ.. มันเป็นสิ่งที่ข้าต้องทำ ข้าต้องระบายตัณหาเพื่อคัดหลั่งสิ่งที่อยู่ในกายลงบนต้นไม้ มันคือวิธีหว่านความเจริญพันธุ์อย่างที่ท่านว่า ข้าไม่ได้ลงมือทำเพราะข้าเป็นคนลามกนะ ข้าไม่ใช่นางนิมฟ์ที่จะชอบหยอกล้ากับชายเสมอหรือรู้สึกมักมากในกามจนต้องระบายความใคร่ด้วยตนเอง ข้าไม่ได้

    “เดี๋ยวก่อนๆ ข้าไม่ได้บอกว่าเจ้าไม่ดี ข้าไม่ได้กำลังจะตัดสินเจ้านะ” มือหนารีบเอื้อมไปประคองแก้มสวยของจุนเอาไว้ ยามดวงหน้าหวานเงยขึ้นมาสบตา คริสจึงรู้ว่าแววตานั้นแฝงไปด้วยความกังวลและความอับอายเกินกว่าจะบรรยาย “เจ้าไม่ผิดเลยคนดี ถ้าหากว่านั่นเป็นหน้าที่ที่พึงกระทำ เจ้าก็ไม่ผิดอะไรเลย”

    “แต่ถ้าต่อให้มันไม่ใช่หน้าที่ แต่เราทุกคนมีความต้องการกันหมด มันก็ไม่ผิดอีกถ้าเจ้าจะปลดปล่อยตัณหาของเจ้าออกมา มันไม่ใช่เรื่องที่น่าอายเลยจุน.. เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกเดือดร้อนหรือโกรธเกลียดการกระทำของตัวเอง เพราะมนุษย์เองก็ปลดความต้องการออกมาเช่นเดียวกัน”

    “ข้าเองก็ระบายความต้องการของตนเองเช่นกัน และความต้องการพวกนี้จะไม่หายไปจนกว่าจะถึงวันที่เราแก่ตัวลงและตายจากไป”

    “ท่านไม่อายกันหรือ?”

    “ไม่ เพราะข้าไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน” คริสเอ่ยเอื้อนเพื่อปลอบใจร่างผอมบางบนเตียง เขาใช้สองมือกำชับไหล่ของจุนเอาไว้และอธิบายให้จุนได้สดับฟังอีกครั้งถึงเหตุผลที่แท้จริงในการสารภาพความจริงครั้งนี้ “เหตุผลที่ข้ามาสารภาพกับเจ้าเพราะข้าไม่อยากมีเรื่องใดๆ ปิดบัง ในเมื่อเรารักกัน ข้าจึงอยากให้เจ้าเชื่อใจข้าได้อย่างที่ข้าเชื่อใจเจ้า”

    “คนดี.. อย่าเสียใจไปเลยนะ ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าตระหนกกลัว ข้าเพียงแค่อยากสารภาพผิดเท่านั้น” สุดท้ายแล้วก็ต้องดึงอีกคนมากอดปลอบเพราะจุนยังคงทำสีหน้าหมดอาลัยตายอยากอยู่จนคริสทนไม่ไหว ร่างสูงลูบหลังเด็กน้อยของตนเบาๆ จุนเองก็ซบใบหน้าลงกับลาดไหล่แกร่งก่อนจะเอ่ยเสียงอู้อี้ออกมา

    “มันไม่น่าอายแน่ใช่ไหม? ข้าเองก็พยายามจะคิดว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติ ยามแฟร์รี่ต้องการจะมีบุตร อย่างไรเสียพวกเขาก็ต้องร่วมรักกัน แต่ข้าก็ยังรู้สึกแปลกๆ กับเรื่องพวกนี้”

    “เจ้าอาจจะยังไม่ใหม่และยังไม่เคยลองทำ เจ้าจึงรู้สึกแปลก ยามข้าเป็นเด็กข้าเองก็เป็นต้องขมวดคิ้วทุกครั้งยามได้ยินเพื่อนๆ ที่โตกว่าพูดถึงเรื่องนี้ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายเพราะอย่างนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลหรอก” ร่างสูงคลายอ้อมกอดออกมาพลางส่งรอยยิ้มอบอุ่นให้กับเจ้าภูติน้อย “ให้ข้าปลอบใจเจ้านะ”








    เจอกันที่ไบโอเหมือนเดิมค่ะ

     


     

     

     

     

    วันเวลาเดินผ่านไป โลกของแฟร์รี่มีอะไรให้น่าสนใจอีกเป็นร้อยสิ่ง ยิ่งไปกว่านั้นยามตนหยิบสมุดออกมาเขียนเรื่องเกี่ยวกับพันธุ์แมลงและธรรมชาติ ก่อนจะปิดสมุดลง.. คริสมักจะถามตัวเองเสมอว่าเขาขอไม่กลับไปยังโลกมนุษย์อีกแล้วได้ไหม..

    ก็จะให้กลับได้อย่างไร ในเมื่อ คนรัก ของเขาอยู่ที่ ดวงตาคมคายมองดูภาพของเจ้าภูติที่เพิ่งจะหายไม่สบายนั่งรับลมรับแดดอยู่บนพื้นหญ้า ในมือกำก้านผักใบเขียวส่งให้เจ้าลูกกระต่ายขนฟูได้แทะเล็มเป็นอาหารมื้อเที่ยงอย่างอิ่มหนำสำราญ

    จุน.. คือหัวใจที่ทำให้คริสไม่อยากกลับออกไป หากแต่ภาระหน้าที่ก็สำคัญเช่นกัน ป่านนี้เพื่อนๆ และคนรอบข้างคงตามหาคริสกันให้วุ่นไปหมด เขาคงกำลังทำให้ทุกคนลำบากมากไม่น้อย เช่นนั้นแล้วยามนึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็รังแต่จะรู้สึกปวดหัวจนต้องสะบัดหัวไล่ความคิดพวกนี้ออกไป พยายามจะไม่คิดถึงทั้งๆ ที่รู้ว่าวันหนึ่งก็ต้องตัดสินใจอยู่ดี

     

    “คนดี กลับบ้านกันเถอะนะ ตรงนี้แดดแรงเดี๋ยวเจ้าจะได้กลับมาไข้จับอีก”

    “ขออีกสักพักได้ไหม? ข้ายังอยากเล่นกับเจ้ากระต่ายพวกนี้อยู่เลย”

    “แต่ตรงนี้แดดเริ่มแรงมากแล้วนะ ข้ากลัวเจ้าจะกลับมาไม่สบายอีก เดี๋ยวต้นไม้ของเจ้าก็เฉาตามไปด้วยหรอก”

    ” ยามได้ฟังเหตุผลของร่างสูงแล้ว จุนเองก็พอจะเข้าใจในความหวังดีของเขา แต่เจ้ากระต่ายเองก็น่ารักมากเช่นกัน พวกมันเพิ่งเกิด ยังตัวเล็ก ขนฟูน่ากอดเป็นไหนๆ ทำเอาจุนไม่อยากกลับเพราะก่อนหน้านี้เขาอุดอู้อยู่ในบ้านมานานเนื่องจากพิษไข้ ร่างเล็กจึงอยากจะออกมาเดินเล่นรับลมบ้าง

    “ก็ได้ ข้าให้เจ้าอยู่ต่ออีกพักเดียวเท่านั้น หลังจากนั้นเราไปนั่งที่อื่นก่อนก็แล้วกันหากเจ้าไม่อยากกลับบ้าน”

     

    สุดท้ายคนหวังดีก็กลายเป็นฝ่ายที่ต้องยอมแพ้เพราะถูกดวงตาสีนิลต่อรองโดยไม่ต้องออกแรงพูดให้เมื่อยปาก จุนรู้จุดอ่อนของคริสดี เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่เคยขัดใจเขาได้ อาจเป็นเพราะด้วยอิทธิพลจากดวงตาอันแสนไร้เดียงสาที่มักจะทำให้คริสต้องยอมใจอ่อนในที่สุด

    ในเมื่อความรักกำลังผลิบาน สองมือของร่างสูงไม่เคยห่างจากข้อมือเล็ก สายตายังคงเพรียกมองหาแต่เรือนผมสีแดง ยังคงอยากแตะสัมผัสริมฝีปากนุ่มเพื่อแสดงให้อีกคนรู้ว่าเขาต้องการให้ร่างเล็กอยู่ข้างกายมากแค่ไหน คริสจึงมีคำตอบในใจแล้วว่าตนจะกลับหรือไม่กลับยังโลกมนุษย์..

     

     

     

     

     

    ยามเย็นแล้วนกน้อยต่างบินโผกลับรัง เหล่าแมลงและผีเสื้อต่างบินต่ำเพราะปีกของมันพราวไปด้วยละอองน้ำค้างซึ่งเกาะอยู่มากมายจนทำให้ร่างของพวกมันหนักเกินกว่าจะบินสูง และการที่พวกแมลงนั้นบินต่ำคือสัญญาณเตือนให้รู้ว่า สายฝน กำลังจะมาเยือนนครน็อกซ์ภายในไม่อีกกี่อึดใจนี้

    บ้านไม้หลังน้อยบนชั้นสูงสุดของต้นไม้ถูกปกคลุมไปด้วยแสงจากตะเกียง เจ้ามนุษย์และเจ้าภูติต้นไม้ต่างช่วยงานกันตลอดทั้งวันกว่าจะได้กลับบ้านมาหาอาหารมื้อเย็นใส่ท้อง ยามท้องอิ่มแล้วจึงแยกย้ายกันไปทำธุระของตนเอง คริสหายเข้าไปอาบน้ำอยู่นานสองนาน ในขณะที่จุนซึ่งชำระล้างร่างกายเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้นกำลังยุ่งอยู่กับหีบไม้ใบใหญ่เพื่อหาผ้าห่มผืนใหญ่ออกมาใช้ เนื่องจากบนเตียงนั้นไม่ได้มีเพียงแค่เขาคนเดียวอีกต่อไปแล้ว ผ้าห่มผืนที่เคยใช้จึงไม่เพียงพอต่อคนทั้งสอง จุนจึงต้องมาเปิดหีบหาผ้าผืนใหม่มาใช้

    ทว่าเมื่อตนลองค้นไปค้นมา เขากลับเจอสมุดบันทึกเล่มเล็กที่ตนพอจะคุ้นตาอยู่นิดหน่อยถูกซ่อนเอาไว้ในซอกผ้าห่ม จุนจึงหยิบมันขึ้นมาสำรวจ พบว่าเป็นสมุดเล่มที่เขาเคยขอคริสเปิดดูเพราะเขาเห็นร่างสูงชอบใช้ดินสอไม้เขียนอะไรบางอย่างลงไปอยู่ตลอดเวลา จุนจึงอยากจะรู้บ้างว่าข้างในนั้นถูกเขียนสิ่งใดเอาไว้ หากแต่ยามนั้นร่างสูงอยู่ในสภาวะเง้างอนจนพาลไม่อยากให้จุนเห็น เขาจึงปฏิเสธและไม่เคยหยิบสมุดเล่มนี้ออกมาให้จุนเห็นอีกเลย คราวนี้จุนได้พบเจ้าสมุดเล่มเล็กด้วยตนเอง ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงทำให้ร่างเล็กตัดสินใจเปิดมันออกเพื่อดูว่าข้างในนั้นมีสิ่งใดถูกเขียนเอาไว้บ้าง

    ภาษามนุษย์ดูจะไม่ค่อยเตะตาจุนเสียเท่าไหร่ มือเล็กจึงเปิดพลิกไปเรื่อยๆ จนได้เห็นรูปแมลงและผีเสื้อนานาพันธุ์ คริสสามารถวาดถอดแบบออกมาได้อย่างเหมือนจริงทุกส่วน เช่น เจ้าแมลงปอหางฟ้าตัวนั้นเองก็ถูกร่างสูงวาดเก็บรายละเอียดจุดต่างๆ ตามปีกของมันออกมาได้อย่างสมบูรณ์ และมันช่างสวยงามจนทำให้จุนเผลอยิ้มออกมาเล็กๆ

    ถัดมาอีกหน้าหนึ่ง จากที่เคยมีรูปวาดขอบรรดาสัตว์มากมายอยู่เต็มเล่ม คราวนี้กลับมีรูปวาดของใครบางคนที่จุนรู้สึกคุ้นตาถูกวาดลงบนแผ่นกระดาษด้วยอิริยาบถต่างๆ จนทำให้จุนต้องหยุดมองดูมันทีละรูป

    ใครคนนั้นที่จุนรู้สึกคุ้นตากลับไม่ใช่ใครที่ไหนไกล แต่เป็น จุน เองต่างหาก รูปวาดในสมุดนั้นเป็นรูปวาดของจุน แน่นอนว่าเขาจำหน้าตาตัวเองได้อย่างแม่นยำ แต่เขาจำไม่ได้แล้วว่าตอนที่ตนเคยมีปีกนั้นมันเคยเป็นอย่างไร.. ทว่าคริสก็สามารถวาดรูปของจุนพร้อมกับปีกออกมาได้อย่างสวยงาม

    นอกจากปีกแล้ว ก็ยังมีรูปอื่นๆ ในอิริยาบถต่างๆ รูปตอนที่จุนกำลังเปลือยหลังอยู่ในน้ำจนเห็นรอยแผลเป็นบนหลัง บางรูปก็เป็นการวาดจำลองเสมือนร่างเล็กเป็นพิกซี่ตัวน้อยที่กำลังขดนอนอยู่บนใบไม้ขนาดใหญ่ บ้างก็เป็นรูปที่จุนกำลังยิ้ม บ้างก็เป็นรูปมือของจุนซึ่งสวมใส่ข้อมือดอกไม้เอาไว้ ก่อนที่จุนจะเปิดมาเห็นรูปสุดท้ายซึ่งเป็นรูปที่ร่างเล็กสวมชุดวันฉลองต้นไม้อันแสนจะสวยงาม

     

    “แอบอ่านสมุดของคนอื่นน่ะมันไม่ดีหรอกนะ”

    “เฮือก!

     

    จุนแทบไม่ได้สังเกตเลยว่าคริสมายืนอยู่ด้านหลังของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ คงเป็นเพราะร่างเล็กเอาแต่สนใจภาพวาดในสมุดจนลืมทุกสรรพสิ่งรอบข้าง เช่นนั้นเมื่อถูกเอ่ยทักจนตกใจสะดุ้งตัวโยนจนคริสเผลอหัวเราะออกมา และแทนที่เขาจะโกรธยามถูกแอบอ่านสมุดบันทึก เขากลับเลือกที่จะนั่งลงข้างๆ จุนก่อนจะหยิบสมุดเล่มนั้นมาไว้ในมือ

     

    “ข้าวาดรูปสวยไหมล่ะ?”

    “สวย สวยมากเลยล่ะ ท่านวาดได้เหมือนตัวข้ามากๆ” จุนตอบพลางยิ้มจางๆ ออกมา “ท่านน่ะชักจะเก่งเกินมนุษย์มะนาไปแล้วนะ ทั้งถักรองเท้าเป็น ทั้งศึกษาพันธุ์แมลง ทั้งยังเพาะปลูกเก่ง แล้วนี่ก็ยังวาดรูปเก่งอีก ข้าชักอิจฉาเสียแล้วสิ”

    “ไม่เห็นจะต้องอิจฉากันเลย เพราะเจ้าเองก็เก่งเหมือนกัน”

    “เก่งเหรอ? ข้าไม่เห็นจะเก่งตรงไหนเลย ข้าทำอะไรไม่เป็นสักอย่างนอกจากงานบ้านกับปลูกดอกไม้”

    “เจ้าน่ะ.. เก่งเรื่องทำให้ข้าหวั่นไหวยังไงล่ะ” สิ้นคำหวานแล้วจุนจึงเบือนหน้าหนีเพื่อไม่ให้คริสเห็นว่าเขากำลังอมยิ้มเล็กๆ อยู่ หากแต่คนตัวสูงก็ยังรู้ทันร่างเล็กอยู่ดี

    “ท่านแอบวาดรูปข้ามานานแค่ไหนแล้ว?” จุนตัดสินใจลุกขึ้นยืนกอดเพื่อหนีจากสายตาคมคายนั่น

    “ก็ตั้งแต่วันแรกที่ข้ามาอยู่ที่นี่”

    “แล้วทำไมท่านถึงไม่ยอมบอกข้าดีๆ ล่ะ ข้าจะได้นั่งเป็นแบบให้ ท่านเองก็จะได้ไม่ต้องมาคอยแอบวาดแล้วก็เอาสมุดมาซ่อนแบบนี้”

    “ก็ข้าเห็นเจ้าช่างขี้อายนัก กลัวบอกไปแล้วเจ้าจะเดินหนีเอา”

    “เปล่าเลย อันที่จริงข้าก็อยากจะมีรูปเป็นของตัวเองเหมือนกันนะ ในนครน็อกซ์น่ะไม่มีใครชำนาญเรื่องพวกนี้เลยสักนิด การมีรูปวาดเป็นของตัวเองน่ะถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก จะมีก็แต่พวกราชวงศ์เท่านั้นล่ะที่จะสามารถจ้างพวกเอลฟ์มาวาดรูปให้ได้ สามัญชนธรรมดาอย่างข้าน่ะไม่มีสิ่งของมีราคาอันใดที่จะพอไปแลกกับรูปวาดมาได้หรอกนะ”

    “งั้นเจ้าก็โชคดีแล้วล่ะที่เจ้าได้มาเจอข้า เพราะเจ้าไม่ต้องเอาสิ่งของใดๆ มาแลกกับรูปวาดให้เสียเปล่านอกจากตัวของเจ้าเอง แต่ก็นะ.. ตัวเจ้าเป็นของข้ามาตั้งนานแล้ว เพราะอย่างนั้นข้าก็จะวาดให้แบบไม่คิดราคาไปตลอดชีวิตเลย”

    “สมควรที่จะเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว ข้าเปลืองตัวให้ท่านไปกี่รอบต่อกี่รอบแล้วก็ไม่รู้ พอท่านชวนไปเล่นน้ำตกที่ท้ายป่าทีไร ข้าก็ไม่เคยจะได้เล่นน้ำจริงๆ เสียที”

    “ข้าขอโทษนะคนดี ต่อไปนี้ข้าจะไม่รบกวนเจ้ายามเล่นน้ำอีกแล้วล่ะ ข้าสัญญาว่าจะอดใจเอาไว้มาทบต้นทบดอกทีเดียวตอนถึงบ้านเลยก็แล้วกัน” ว่าแล้วก็เข้าไปสวมกอดคนตัวเล็กจากด้านหลัง ทั้งยังชำเราพวงแก้มสีสวยไปหลายฟอดจนจุนต้องเอี้ยวตัวหนี

    “อืออ พอแล้ว ข้าเจ็บแก้มไปหมดแล้วนะ!” จุนเบี่ยงตัวหนีและหันหน้ามาหาคริสแทน มือของเขาดันอกร่างสูงเอาไว้เพื่อไม่ให้คริสเข้ามาประชิดตัวได้อีก “ต่อไปนี้ท่านก็คงไม่ต้องมาแอบวาดรูปข้าแล้วสินะ”

    “ใช่ ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว.. ข้าก็ขอถือโอกาสขออนุญาตเลยก็แล้วกัน ข้าจะตั้งใจวาดออกมาให้สวยที่สุด เจ้าจะได้มีรูปเก็บไว้เป็นของตัวเอง”

    “ขอบคุณมากๆ เลยนะ ท่านช่างใจดีกับข้านัก”

    “ก็เพราะว่าข้ารักเจ้ายังไงล่ะ” พูดจบก็เอาสอดมือโอบเอวบางเอาไว้ สายตามองเห็นริมฝีปากสีสดสวยเม้มเข้าหากันนิดหน่อย จนถึงตอนนี้จุนก็ยังคงเขินอายต่อสายตาคมคายของร่างสูง ไม่กล้าสบมองด้วยเลยสักครั้งยามถูกจ้องแบบนี้

    “ว.. วันนี้ ข้ายังไม่ง่วงนอนเท่าไหร่ แล้วข้าก็ยังไม่อยากให้ท่านดับตะเกียง..

    “ท่าน.. อยากวาดรูปของข้าไหม? ข้าจะนั่งเฉยๆ ให้ท่านวาดจนกว่าจะเสร็จ”

    “แต่มันอาจใช้เวลานานมากเลยก็ได้นะ เจ้าจะทนนั่งนานๆ ได้งั้นหรือ?”

    “ก็ข้ายังไม่ง่วงนี่” จุนยืนกรานเช่นเดิม ขณะเดียวกันแก้มของเขาก็ถูกเรียวนิ้วของร่างสูงลูบไล้ไปมาอย่างถนอม จากนั้นนิ้วโป้งของคริสจึงเลื่อนมาที่ริมฝีปากบางที่มักจะเย้ายวนให้ร่างสูงตบะแตกทุกที “ท่านช่วย

     

    น้ำเสียงของจุนขาดตอนจากการที่เขาหยุดพูด จุนจับอ้อมแขนอีกข้างของคริสที่ยังอยู่บนเอวของตัวเองออกไป ก่อนที่เขาจะทำเรื่องไม่คาดคิดต่อหน้าต่อตาของเจ้ามนุษย์ นั่นก็คือการปลดเสื้อคลุมของตัวเองออก จุนถอดมันออกและปล่อยให้ร่วงลงพื้นโดยไม่สนว่าเสื้อคลุมตัวยามตัวนี้จะถูกปักด้ายมาอย่างประณีตเช่นไร เขาปล่อยให้มันกองอยู่ข้างล่าง เหลือเอาไว้แค่ร่างกายเปลือยเปล่าให้ร่างสูงได้เชยชม

     

    “วาดรูปนี้ให้ข้าทีนะ”

    “จุน.. ข้าวาดแบบให้เจ้าใส่เสื้อผ้าก็ได้นะ” ชายร่างสูงเอ่ยบอก ทว่ามือของเขากลับถูกจับขึ้นมาให้สัมผัสกับยอดอกสีชมพูสวยจนสติสัมปชัญญะของคริสแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ

    “ท่านชอบร่างกายของข้าไม่ใช่หรือ.. ลองวาดดูสิ ข้าอนุญาต”

    “รู้ไหมว่าร่างกายของเจ้าอาจทำให้ข้าวาดรูปไม่เสร็จ เจ้าก็น่าจะรู้ดีว่าข้าไม่เคยทนต่อสภาพเปลือยของเจ้าได้เลยสักครั้งเจ้าภูติน้อย”

    “ถ้าอย่างนั้น.. ก็ถือว่านี่เป็นการฝึกความอดทนก็แล้วกัน”

    “เจ้านี่มันช่าง.. ปราดเปรื่อง”

    “ท่านจะไปเหลาดินสอก่อนก็ได้นะ ข้าจะรอบนเตียงนี่ล่ะ”

     

    เอาล่ะ.. คราวนี้คริสค่อนข้างเข้าใจอย่างชัดเจนแล้วว่าเขาไม่ใช่คนที่ทำให้จุนมีนิสัยเช่นนี้ แต่บางทีกิริยาและสายตาเย้ายวนชวนเชิญพวกนี้อาจเป็นสิ่งที่มีติดตัวจุนมาอยู่แล้วก็ได้ เพียงแต่ร่างเล็กไม่เคยเปิดเผยให้ใครได้เห็นเพราะเขาไม่เคยใกล้ชิดหรือรักใคร่กับใครมาก่อน จุนอยู่ตัวคนเดียวมาเสมอ.. ครานี้เมื่อตนสามารถเปิดเผยสิ่งต่างๆ ของตัวเองให้คริสรับรู้ได้อย่างสบายใจ จุนจึงเลือกที่จะแสดงออกกับคริสโดยไม่สนใจเลยว่าเขากำลังจะทำให้ร่างสูงสติแตก

    สุดท้ายแล้วก็ต้องทำตามที่ร่างเล็กร้องขอ คริสปล่อยให้จุนขึ้นไปนั่งรอบนเตียง ส่วนตนเองก็เลือกที่จะเดินไปหยิบดินสอในกล่องไม้ออกมาเหลาโดยทิ้งสมุดบันทึกเอาไว้บนเก้าอี้หวายตัวสีน้ำตาล

    หลากหลายรูปภาพที่อยู่ในสมุดนั้นเกิดจากภาพที่เห็นจริง แต่บางรูปก็เกิดขึ้นจากจินตนาการ อย่างเช่นรูปที่จุนมีปีกสยายยาว.. คริสเชื่อว่าจุนเองก็คงจะฝันถึงและคิดถึงเจ้าปีกคู่นี้ในทุกๆ ช่วงเวลา หากแต่ความจริงนั้นทำให้ร่างเล็กเลือกที่จะต้องยอมรับว่าตนไม่สามารถบินได้อีกต่อไปแล้ว ร่างเล็กจึงต้องก้มหน้าก้มตารับโทษต่อ ยามถูกถามถึงเรื่องปีกทีไรก็มักจะเฉไฉและปลอบโยนตัวเองเสมอว่าเขาชินกับชีวิตที่ไร้ปีกไปแล้ว แต่คริสก็ยังเชื่อว่าจุนนั้นคิดถึงปีกของตนเสมอ

     

    “เอาล่ะ ถ้าเมื่อยก็บอกข้านะ ข้าจะได้หยุด”

    “อือ”

    “แต่ถ้าข้าทนไม่ไหว.. เจ้าก็ต้องยอมรับชะตากรรมนะเด็กน้อย”

    “รีบวาดเสียเถอะ ไม่อย่างนั้นข้าจะห่มผ้าและดับตะเกียงเข้านอนเสียเดี๋ยวนี้”

    “เข้าใจแล้ว”

     

     

     

     

     

     

               

     

    จงจำเอาไว้

    คำพูดของเจ้า

    อาจทำให้กุหลาบผลิบานไปทั่วทั้งท้องทุ่ง

    หรืออาจจะ

    เผาไหม้กุหลาบทั้งทุ่งให้มอดไหม้ตายตกไปพร้อมกัน

     

     

    Gemma Troy

     

     

     

    หลายสัปดาห์ถัดมา

     

    “ท่านผู้นั้นคงน่ารักกับเจ้ามากเลยสินะ เจ้าถึงได้เอาแต่ยิ้มเอาๆ ยามพูดถึงเขาเช่นนี้”

    “ข้ายิ้มเยอะขนาดนั้นเลยหรือ?”

    “ก็เยอะกว่าที่ข้าเคยเห็นมาตลอด”

     

    ยามเจ้าภูติประจำต้นโอ๊คสีแดงต้องมาทำงาน จุนจึงจำต้องใช้สายตาสอดส่องไปทั่วลำต้นว่ามีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่ ซึ่งก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าใบที่เคยแห้งเหี่ยวร่วงลงพื้นนั้น บัดนี้ค่อยๆ กลับมางอกงามจนร่างเล็กหายกังวลใจ

    เมื่อดูแลต้นไม้เสร็จแล้ว เด็กหนุ่มจึงต้องมากวาดเศษใบซึ่งมักจะร่วงลงมาเป็นประจำ ในขณะที่กำลังกวาดเศษใบโอ๊ค คณานิมฟ์สาวแสนสวยก็ผุดขึ้นจากน้ำขึ้นมานั่งพูดคุยเป็นเพื่อนแก้เหงาให้กับจุน เนื่องจากวันนี้จุนเดินทางมาที่ต้นไม้คนเดียว ส่วนเจ้ามนุษย์นั่นถูกสั่งให้อยู่เฝ้าบ้านและช่วยซ่อมแซมประตูไม้ให้กับเจ้าของบ้านแทนที่จะมาด้วยกัน

    แน่นอนว่าคริสหัวเสียนิดหน่อยที่วันนี้เขาไม่ได้ออกมากับจุน เพราะสำหรับคริสแล้วการอยู่ใกล้จุนนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญ คนตัวเล็กมีเสน่ห์ล้นล้าน หน้าตาจิ้มลิ้มเสียจนอยากจะจับขังไว้ที่บ้านเพราะกลัวคนอื่นจะมาฉวยโอกาสยุ่งวุ่นวายเหลือเกิน หากแต่ก็ไม่สามารถขัดใจจุนได้เพราะงานซ่อมประตูบ้านก็สำคัญเช่นกัน

     

    “นานๆ ทีข้าจะได้ยินเรื่องดีๆ ของมนุษย์ หวังว่าเขาคงจะปฏิบัติตัวดีกับเจ้าไปตลอดนะ” แม่นางนิมฟ์ผมขาวเอ่ยบอกพลางส่งรอยยิ้มให้ นางนั้นยังคงเปลือยกายเช่นทุกวัน ทรวงทรงองค์เอวถือว่าน่าสัมผัสเป็นไหนๆ หากแต่จุนไม่เคยคิดเรื่องบัดสีกับพวกนางเลย กลับกันพวกนางคือเพื่อนที่ดีสำหรับจุนมาตั้งแต่ยังเล็ก

    “ข้าก็หวังเช่นนั้น ข้าชักอยากให้เขาอยู่ในโลกนี้เสียแล้วสิ แต่ก็นะ.. ท่านคริสมีบ้านของเขาที่โลกมนุษย์ และเขาเป็นมนุษย์ อย่างไรเสียเขาก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตเช่นเดิม”

    “อะไรกัน? นี่หมายความว่าเจ้าจะปล่อยให้เขากลับไปอย่างนั้นหรือ? ไหนว่าชอบเขานักหนา? ไหนว่าชอบให้เขากอดนักหนา? ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนั้นกันเล่า?”

    “ข้าคิดมาดีแล้ว ที่นี่หาใช่บ้านของเขาเสียหน่อย เขาไม่มีทางอยู่ได้หรอก”

    “แต่ข้าคิดว่าท่านผู้นั้นอยู่ได้นะจุน”

     

    “คุยอะไรกันอยู่หรือ? ขอข้าร่วมวงสนทนาอีกสักคนได้หรือไม่?”

     

    “แอล”

    “องค์รัชทายาท ถวายบังคมเพคะ”

    “อย่าพิธีรีตองกับข้านักเลย ทำตัวตามสบายเถอะ” แอลยกมือห้ามปราม แม่นางนิมฟ์ไม่ทราบว่าแอลมาอยู่ตรงนี้เสียตั้งแต่เมื่อไหร่ หากแต่ถ้าเขาอยู่มานานแล้วก็ช่างเป็นที่น่าพอใจสำหรับนาง เพราะนางเห็นว่าเขาควรตื่นรู้ได้แล้วจุนไม่เคยมีใจให้ เจ้าภูติน้อยไม่เคยมีใจมาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่รู้จักกับจุนมา.. จุนแทบไม่เคยแสดงอาการชอบแอลเลยสักครั้ง “ข้าตามหาตั้งนาน นึกว่าจะอยู่ที่ทุ่งดอกไม้แต่พวกกระต่ายบอกว่าเจ้าเพิ่งไปที่นั่นเมื่อตอนเช้า”

    “ใช่แล้วล่ะ ข้าไปให้อาหารลูกกระต่ายมา แล้วก็ไปสอบถามเรื่องความเป็นอยู่ในโพรงใหม่ของพวกนั้นด้วย”

    “แล้วว่าอย่างไรล่ะ?”

    “พวกเขาอยากได้โพรงใหม่ที่กว้างกว่านี้ เพราะคราวนี้ลูกกระต่ายมีมากถึง 4 ตัว เกรงว่าจะอยู่กันไม่ไหว”

    “งั้นก็ให้เขามาอยู่ที่ใต้ต้นไม้ของเจ้าสิ ต้นไม้เจ้าดูจะใหญ่พอที่จะให้ที่พักพิงกับกระต่ายได้นะ”

    “ข้าก็คิดเช่นนั้น” จุนยิ้มบางๆ เขากวาดเศษใบโอ๊คลงถังไม้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะดึงฝามาปิด เศษใบพวกนี้สามารถนำไปใช้ก่อเป็นฟืนได้ ซึ่งเขาเองก็เพิ่งจะได้ยินคริสบ่นว่าฟืนไฟกำลังจะหมดลงแล้ว เช่นนั้นจุนจึงหวังว่าใบไม้พวกนี้จะเพียงพอ

    “แม่ข้าฝากผ้าทอผืนใหม่มาให้เจ้า ท่านว่าสีมันสดใสไม่เหมาะกับวัยอย่างท่าน ท่านจึงนำมาฝากข้าเอาไว้ให้เจ้า จะให้ยอลก็กระไรอยู่เพราะผ้านี่เป็นสีชมพู ส่วนแม่นางนิมฟ์ดูเหมือนพวกนางจะชอบร่างกายที่ไม่มีอาภรณ์มากกว่า”

    “นินทาข้างั้นรึ?”

    “เปล่าๆ ข้าพูดความจริงนะ” แอลหัวเราะออกมา ดวงตาเรียวเล็กโค้งเป็นรุปพระจันทร์เสี้ยวอย่างชัดเจน จุนจึงจำต้องละมือออกจากงานกวาดและเดินเข้าไปหาแอล สองมือยื่นไปรับห่อผ้าจากในมือของร่างสูงมาเชยชม อันที่จริงจุนเองก็ไม่ค่อยจะมีเสื้อผ้าสีชมพูเพราะเขาชอบสีฟ้าและเขียวมากกว่า มันช่างสบายตายามมองดูนานๆ สีชมพูจึงให้ความรู้สึกแปลกไปนิดหน่อย

    “สวยมากๆ เลยล่ะ ฝากขอบพระทัยท่านราชินีด้วยนะ”

    “ได้สิ” แอลพยักหน้า ขณะที่จุนกำลังนำผืนผ้ามาคลี่เพื่อมองดูฉลุลายให้เต็มตา ทว่าแอลกลับพบสิ่งผิดปกติบนมือของจุนจนร่างสูงเปลี่ยนสีหน้าเป็นขมวดคิ้วอย่างรวดเร็ว “จุน ทำไมเล็บเจ้าเป็นสีนั้น?”

    “หือ?” เมื่อถูกทักเช่นนั้น จุนจึงละมือออกมาจากผ้าสีสวยก่อนจะพลิกมือของตัวเองขึ้นมา เขาพบสิ่งผิดปกติอย่างที่แอลเห็นเช่นกัน และแน่นอนว่าแม่นางนิมฟ์ที่กำลังนั่งอยู่บนขอบลำธารเองก็คงจะเห็นเช่นกัน นางแหงนหน้าเงยขึ้นไปมองบนต้นไม้ของจุนจะหันกลับมามองที่มือของร่างเล็กอีกหน

     

    เล็บของจุนเปลี่ยนสี.. มันกำลังเปลี่ยนเป็นสีชมพู เสมือนถูกเอามือลงไปจุ่มในน้ำผักกาดแดง (น้ำบีทรูท)

     

    “ข้า..

    “เจ้าไปทำอะไรมา?”

    “มนุษย์หน้าโง่นั่นทำอะไรเจ้า!?”

    “พระองค์ ใจเย็นๆ เถิด อย่าตวาดใส่จุนเช่นนี้เลย” แม่นางนิมฟ์ที่กำลังเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่จำต้องรีบลุกขึ้นมาห้ามองค์รัชทายาทที่กำลังเลือดขึ้นหน้าให้ใจเย็นก่อนสักนิด นางใช้สองมือกุมไหล่บางของจุนเอาไว้ ในขณะที่ร่างเล็กนั้นกำลังมือสีเล็บของตัวเองด้วยสติที่หลุดลอยไปแล้ว “ข้าว่าจุนเองก็เพิ่งจะเห็นมันเช่นกัน เพราะอย่างนั้นท่านอย่าเพิ่งบีบเค้นเอาความใดๆ จากจุนตอนนี้เลย”

    “ถ้าเจ้าไม่ตอบข้าจะไปถามไอ้มนุษย์นั่นเอง”

    “แอล! / องค์รัชทายาท!

    ” คนที่มือสั่นเสียยิ่งกว่าจุนอาจเป็นแอล เขาโกรธจนปากสั่นมือสั่นไปหมด โกรธจนไม่รู้ว่าควรจะเริ่มซักไซ้หาความจริงจากที่ใดก่อน หากแต่ด้วยความที่ไม่ชอบใจมนุษย์เป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงทำให้เขาเลือกที่จะมองว่าคริสเป็นฝ่ายผิดในทันที

    “คือข้า..” จุนไม่กล้าพูดมันออกมา เขาสับสนและเรียบเรียงสิ่งต่างๆ ไม่ถูก “ข้ากับท่านคริส..

    “เรารักกัน” ความจริงถูกสารภาพ ทว่าเป็นความจริงอันแสนเจ็บปวดที่แล่นเข้ามาตบหน้าองค์รัชทายาทฉาดใหญ่ แอลนิ่งไปในทันทีที่ได้สดับฟังประโยคนั้น เขาใช้สายตาเย็นชามองจุนอย่างขุ่นเคืองจนร่างเล็กไม่กล้าสบตาตอบ กลับกันจุนกำลังปล่อยให้น้ำตาของตนร่วงลงมาจนแม่นางนิมฟ์ต้องลูบไหล่ปลอบประโลม

     

     

     

    ต้นโอ๊คสีแดงเริ่มจะออกผลลูก

    เล็บสีเขียวผันแปรเปลี่ยนเป็นสีชมพู

    และสีชมพูคือสัญญาณแจ้งเตือนให้รู้แจ้งว่าแฟร์รี่กำลังตั้งครรภ์ลูกน้อย..

     

     

     


     

    การที่คนเราต้องข่มตาหลับขับตานอนเพราะต้องเก็บความลับจากคนที่กำลังนอนกอดเราอยู่นั้นถือเป็นเรื่องที่ยากที่สุดในชีวิตของจุนนับตั้งแต่เกิดมาเลยก็ว่าได้ จุนไม่กล้าปริปากแม้แต่น้อยเกี่ยวกับสภาวะร่างกายของตัวเองที่กำลังเปลี่ยนแปรไป แม้เล็บสีชมพูค่อนไปทางแดงจะฟ้องอย่างเด่นหราว่าตนกำลังมีครรภ์ หากแต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดเอ่ยสิ่งใดออกมาให้คริสได้รับรู้

     

    เพราะอีกคนนั้นมีความฝันมากมายอยู่ที่โลกมนุษย์ เหตุใดจึงจำเป็นต้องบอก..

     

    นั่นเป็นความคิดสุดท้ายที่แล่นเข้ามาในหัวของจุนก่อนที่ร่างเล็กจะผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของคริส ท่ามกลางเสียงลมพัดไหวและเสียงกระดิ่งที่ห้อยเอาไว้ตรงหน้าต่าง

    ค่ำคืนอันแสนสาหัสผ่านไปแล้ว แต่จุนก็ยังต้องมาเผชิญกับยามกลางวันอันแสนวิกฤต ในหัวของเขาก็ยังคงติดอยู่กับเรื่องพวกนี้ ไม่กล้าแม้แต่จะบอกยอลหรือขอคำปรึกษาจากใคร กับแอลนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพราะแอลนั้นกำลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงสุดชีวิต แน่นอนว่าเขาต้องไม่พอใจสุดขีดที่จู่ๆ คนที่ตนมีใจให้มาตั้งแต่วัยเยาว์กลับไปมีความสัมพันธ์กับมนุษย์หน้าโง่ที่เพิ่งจะรู้จักกันได้เพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น ที่น่าเจ็บใจที่สุดก็คือพวกเขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งจนถึงขั้นที่จุนกำลังตั้งครรภ์ ทุกอย่างมันช่างรวดเร็วและน่าสับสนจนทำให้แอลตั้งรับไม่ทัน

    ตลอดทั้งวันจุนจำต้องปั้นสีหน้าเพื่อยิ้มรับทุกคำพูดจากคริสเพื่อไม่ให้ร่างสูงจับผิดตนได้ สาเหตุที่จุนเลือกที่จะไม่บอกคริสคงเป็นเพราะเขาได้รับรู้มาตลอดว่าร่างสูงมีความฝันอันยิ่งใหญ่แค่ไหนในโลกมนุษย์นั่น ความฝันที่อยากจะสอนหนังสือเด็กๆ ความฝันที่อยากจะเขียนเรื่องราววิทยาทานต่างๆ เพื่อให้มนุษย์มีความรู้และความก้าวหน้า ความฝันพวกนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคริสมากๆ จนจุนมิอาจคิดเข้าไปขัดขวางหรือรบกวน เขาพอจะรู้ว่าคริสนั่งนับวันรอให้กลุ่มดาวปรากฏบนท้องฟ้าอยู่ทุกวัน เช่นนั้น.. การเก็บความลับเอาไว้น่าจะดีกว่าการบอกออกไป

    เวลาค่ำคืนเดินทางมาถึงอีกแล้ว จุนแอบมองร่างสูงที่กำลังนั่งเขียนหนังสืออยู่บนเก้าอี้หวายตัวเดิม ส่วนร่างเล็กนั้นเกาะอยู่ตรงขอบประตูพลางคิดว่าตนควรทำเช่นไรดี สุดท้ายก็เลือกหาทางอออกให้กับปัญหานี้โดยไม่คิดจะปรึกษาหรือไถ่ถามใคร เพราะจุนคิดว่าเรื่องนี้ควรเป็นเรื่องที่ตนต้องตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว

     

    “ท่าน..

    “หืม? เก็บเสื้อผ้าเสร็จแล้วเหรอ?”

    “อือ ใช่ เก็บเสร็จหมดแล้ว” จุนพยักหน้า สองมือกำและถูกันไปมานิดหน่อย “ท่านคริส”

    “ว่าไง?”

    “อีก 7 วัน กลุ่มดาวก็จะปรากฏแล้วนะ ท่านจะได้กลับบ้านแล้วนะรู้ไหม?”

    “งั้นเหรอ?”

    “อืม”

    ” ร่างสูงกรอกสายตาไปมาราวกับกำลังใช้ความคิด ดินสอไม้ในมือถูกควงหมุนไปเรื่อยๆ อย่างชำนาญโดยไม่มีทีท่าว่ามันอาจจะร่วงหล่นลงพื้นจนหักและต้องนำไปเหลาใหม่ “ช่างเถอะ ข้าตัดสินใจแล้วว่าข้าจะไม่กลับไป อยู่ที่นี่ก็สุขสบายดี ชีวิตไม่วุ่นวาย เงียบสงบ แถมยังมีเจ้าคอยข้างกาย เพราะอย่างนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องออกไป”

    “แต่ท่านบอกว่าเพื่อนของท่านกำลังรออยู่ไม่ใช่หรือ? ท่านจะไม่กลับไปได้อย่างไรกัน?”

    “พวกเขาคงเลิกตามหาข้าแล้วล่ะ นี่มันก็.. 10 กว่าสัปดาห์แล้วที่ข้าหายหน้าไปจากพวกเขา ป่านนี้ข้าคงขึ้นทะเบียนคนหายไปแล้วเรียบร้อยและพวกเขาก็คงเลิกตามหาข้าไปแล้ว”

    “ล.. แล้ว.. พ่อแม่บุญธรรมของท่านล่ะ พวกเขาต้องเป็นห่วงท่านแน่ๆ ไหนจะเรื่องที่ท่านบอกว่าอยากจะไปสอนหนังสือให้กับเด็กๆ อีก ความฝันอย่างอื่นของท่านอีกล่ะ ท่านจะไม่กลับไปได้อย่างไร?”

    “ก็คนรักของข้าอยู่ที่นี่ จะให้ข้ากลับไปได้อย่างไร?”

    “ถ้าข้ากลับไป ข้าก็จะไม่ได้มาที่นี่อีกเลยตลอดกาล.. ทั้งๆ ที่ข้ากับเจ้านั้นรักกัน.. แล้วจะให้ข้าทิ้งเจ้าอย่างนั้นเหรอ?” คราวนี้คิ้วของคริสเริ่มขมวดเข้าหากัน มือหนาพับสมุดและสอดมันลงข้างๆ พนักวางมือก่อนจะลุกขึ้นมาหาจุนที่กำลังยืนขมวดคิ้วไม่ต่างจากเขา “เจ้าอยากให้ข้ากลับไปเหรอ?”

    “จุน..

    “ก็นี่มันไม่ใช่โลกของท่าน แล้วท่านจะอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”

    “ก็แล้วทำไมข้าจะอยู่ไม่ได้ ในเมื่อข้าเองก็อาศัยอยู่มาหลายต่อหลายแรมวันจนชินแล้ว”

    “ทำไมเจ้าถึงอยากให้ข้ากลับไปล่ะ? เจ้าก็รู้นี่ว่าถ้ากลับไป เราก็จะไม่ได้เจอกัน และมันแปลว่าเราต้องจากกัน มันแปลว่าเราต้องบอกลากันนะ”

    “มันแปลว่าเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันนะ”

    “นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าเนี่ย..

     

    บรรยากาศภายในบ้านเปลี่ยนแปรมาเป็นความตรึงเครียดทันที จุนไม่ได้ตอบคำถามของคริสในหลายๆ ข้อ เขาใช้ความเงียบเป็นตัวกดดันให้ร่างสูงหัวเสีย แต่ในขณะเดียวกันหัวใจของจุนก็เริ่มทำงานอย่างผิดปกติ มันเสียดจุกจนพาลจะทำให้น้ำตาเกือบไหล แต่จุนก็ยังคงกลั้นมันเอาไว้

     

    “ถ้าเรารักกัน.. แล้วทำไมเราถึงต้องไปจากกันด้วยล่ะ? ในเมื่อเราก็อยู่ด้วยกันได้นี่”

    “ข้าไม่เคยบอกรักท่านเลยสักครั้ง”

    “อะไรนะ?”

    “ข้าไม่เคยพูดคำนั้นเลย มีแต่ท่านคนเดียวที่พูดออกมา”

    “เจ้าว่าอย่างไรนะ?” คราวนี้จุนสามารถยั่วโมโหคริสได้สำเร็จ เพราะทันทีที่จุนพูดจนจบประโยคสายตาของคริสก็เปลี่ยนมาเป็นแววอันแข็งกร้าว ไฟอารมณ์ลุกลามไปทั่วจนทำให้ร่างสูงคุมตัวเองไม่อยู่ เผลอดึงข้อมือของจุนมาบีบเอาไว้จนร่างเล็กเผลอร้องออกมา

    “อะ! ข้าเจ็บ.. ปล่อยข้า”

    “เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไร?” คริสออกแรงบีบแขนของจุนโดยไม่รู้ตัวว่าเขาบีบแรงมากแค่ไหน แต่มันก็แรงพอที่จะทำให้จุนต้องรีบเอามือมาแกะออก ทว่ากลับไม่สำเร็จเพราะแรงของคนตัวสูงนั้นมีมากกว่า

    “ข้าบอกว่าข้าไม่เคยรักท่าน”

    “ไม่รักอย่างนั้นเหรอ? ถ้าไม่รัก.. แล้วจูบข้าทำไม.. กอดข้าทำไม.. ปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้ข้าทำไม!

    “ท่านคริส! ข้าเจ็บนะ!

    “ข้าน่ะเจ็บกว่าเจ้าอีก! ที่ผ่านมาข้าคิดว่าเราสองคนรักกัน แต่วันนี้เจ้ากลับบอกว่ามันไม่ใช่ความรัก.. แสดงว่ามีแต่ข้าคนเดียวใช่ไหมที่โง่งมงายเสียรู้ให้กับเจ้า!” เสียงทุ้มตวาดลั่นก่อนจะสะบัดแขนของจุนอย่างไม่ใยดี ทำเอาคนตัวเล็กต้องเบ้หน้าเพราะความเจ็บ สุดท้ายน้ำตาของจุนก็ไหลลงมาเป็นทาง ทั้งตระหนกเพราะเสียงตะคอก ทั้งกลัวเพราะถูกสะบัดแขนทิ้งอย่างแรง ทั้งเสียใจที่พูดคำนั้นออกไปทั้งๆ ที่ความจริงเขารักร่างสูงจะแย่อยู่แล้ว “คงเพราะว่าข้าไม่ใช่แอลใช่ไหม..

    เปล่า.. เปล่าเลย ไม่เกี่ยวกับแอลเลย ข้าไม่ได้รักแอลเลยสักนิด

    “ข้าน่าจะรู้ตัวว่าข้ามาทีหลัง ข้าคงไม่สามารถสู้คนที่อยู่กับเจ้ามาเป็นสิบปีได้อย่างคนๆ นั้นหรอก เขาคงเอาใจใส่เจ้าดีมาตลอด คงทำให้เจ้าไว้ใจได้จนมากพอที่จะฝากชีวิตเอาไว้”

    “ข้ามันก็แค่มนุษย์กระล่อน ดีแต่หยอดเจ้าไปวันๆ ไม่เคยทำอะไรให้เจ้าประทับใจได้เลยสักครั้ง ทั้งยังชอบทำให้เจ้าประสาทเสียจนต้องเดินหนีอย่างที่เจ้าเคยบอก”

    “ข้าไม่รู้หรอกนะว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า แต่ถ้าที่ผ่านมามันเป็นสิ่งที่ข้าคิดไปเองฝ่ายเดียว ข้าก็ขอโทษด้วยแล้วกันที่ล่วงเกินเจ้า และข้าจะไม่บังคับฝืนใจเจ้าอีก”

     

    สิ้นวาจาสุดท้าย ร่างสูงก็เดินหนีออกไป เขาไม่แน่ใจนักว่าตนทำกิริยาประชดประชันออกไปมากน้อยแค่ไหน แต่เสียงปิดหีบโครมก็พอจะทำให้จุนตกใจจนสะดุ้งไปไม่น้อย เด็กน้อยร้องไห้กระซิก มองดูท่านมนุษย์หยิบกระเป๋าออกมาเอาใส่ของที่ตนนำติดตัวมา ถุงนอนที่เคยวางพับเอาไว้มุมบ้านยามนี้ถูกหยิบมาม้วนเข้ากระเป๋าก่อนที่ร่างสูงจะแบกมันสะพายขึ้นหลังและรีบเดินไปสวมรองเท้า

    เช่นนั้นจุนจึงรีบวิ่งตามคริสไป เขาเอื้อมมือไปฉุดรั้งคนตัวสูงเอาไว้ทั้งน้ำตาที่กำลังนองหน้า หากแต่ก็ยังคงไม่ได้รับความสนใจจากคริสเลยแม้แต่น้อย

     

    “ฮึก.. ท่าน.. จะไปไหน..

    “ข้าโง่มามากพอแล้วจุน ข้าไม่อยู่ให้เจ้าหลอกให้รักต่อไปอีกแล้ว”

    “อีกอย่างก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ที่นี่ อีกแค่ 7 วันประตูก็จะเปิด.. ข้าหากินเองตามท้ายป่าไป เจ้าไม่ต้องมาเสียเวลากับข้าหรอก”

    “แต่ว่า.. ฮึก..

    “ปล่อยข้า” คริสสะบัดมือของจุนออกจนทำให้ร่างเล็กเซไปนิดหน่อย แต่ถึงอย่างนั้นแล้วจุนก็ยังคงพยายามที่จะเข้าไปรั้งชายร่างสูงเอาไว้ ทว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่เป็นผล เพราะท่านมนุษย์ได้ปิดประตูดังปังใส่หน้าคนที่กำลังยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นตัวโยนอยู่เพียงลำพังภายในบ้าน

    ..ฮึก.. อึก.. ข้าขอโทษ..

     

    จุนได้แต่เอ่ยคำนั้นออกมา อยากจะขอร้องอ้อนวอนให้กลับมาอยู่ด้วยกัน หากแต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะอย่างไรเสียเขาก็คงจะไม่มีวันปล่อยให้คริสมาติดแหงกอยู่ในโลกใบนี้ จุนไม่เคยลืมตัวเองว่าตนเป็นใคร ตนเป็นแค่อมนุษย์ที่ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อให้คู่กับมนุษย์ โลกที่เขาอยู่ก็เต็มไปด้วยเพื่อพิศวงเช่นกัน มันไม่ใช่โลกที่คริสพึงควรที่จะมาอาศัยอยู่ไปตลอดชีวิต พวกเขาควรอยู่ในที่ของใครของมัน ไม่ควรจะอยู่ผิดที่ผิดทางเช่นนี้

    การได้มาพานพบกันในครั้งนี้อาจเป็นเรื่องของฟ้าที่กำลังเล่นตลก ฟ้าซึ่งกลั่นแกล้งให้มนุษย์รูปงามคนหนึ่งต้องมาตกหลุมรักอมนุษย์โฉมสะคราญ ปล่อยให้เจ้ามนุษย์หลงอยู่ในภวังค์ของดวงตาและรอยยิ้มพิมพ์ใจของแม่นางไม้ผู้ที่แสนจะใจดี สุดท้ายแล้วเจ้ามนุษย์ก็หลงรักนางไม้อย่างสุดหัวใจ กระทั่งถึงวันหนึ่งที่ต้องยอมรับความจริง เจ้ามนุษย์จึงตื่นรู้ว่ารักครั้งนี้มิอาจไปสู่ฝั่งฝันได้อย่างที่หมาย แม่นางไม้เองก็เสียใจ ร้องไห้จนแทบขาดใจแต่ก็ไร้ซึ่งหนทางจะเอาคนรักกลับมาได้

     

    “ข้าขอโทษ..



     

     

    to be continued…

     

     

    @mmangmoom : ขอโทษที่มาต่อช้านะ ติดปัญหาหลายๆ อย่างในการเขียนก็เลยไม่สามารถเอามาลงได้ตามกำหนดค่ะ พาร์ทนี้ก็จะหน่วงนิดนึงนะคะ ยังไงก็ฝากหยิกเจ้าภูติน้อยทีค่ะ ไปบอกพี่เค้าว่าไม่ได้รักแบบนั้นได้ยังไงก็ไม่รู้


    เราแก้คำผิดไปแล้ว แต่จะตามมาแก้คำผิดอีกทีนะคะ เผื่อมีตกหล่นค่ะ

     

     

    ปลอย่าลืมคอมเม้นท์น้าาา

    ปล. ถ้านึกถึงชุดที่น้องจุนใส่วันฉลองต้นไม้ไม่ออก ย้อนกลับไปดูตอนที่แล้วได้นะฮับ มี info บอกอยู่ค่ะ




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×