คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #138 : ♡ Once Upon a Time (Part 2)
วันฉลองต้นไม้ เดินทางมาถึงแล้ว คริสไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่นักเกี่ยวกับรายละเอียดของวันฉลองอย่างที่จุนว่า
ขนาดจุนอธิบายให้ฟังแล้วก็ยังคงรู้สึกสับสนเพราะรายละเอียดต่างๆ ช่างซับซ้อนเหลือเกิน ตนจึงได้แต่พยักหน้าตามน้ำและพาตัวเองมานั่งอยู่บนเก้าอี้โยกพลางถักรองเท้าคู่ใหม่ให้จุน
เสมือนคุณปู่ของบ้านก็มิปาน
รองเท้าคู่เดิมนั้นไม่ใช่ว่าจุนไม่ชอบ
แต่เป็นเพราะเขาเห็นจุนใส่มันทุกวันอย่างคุ้มค่าจนเกรงว่ามันอาจจะพังและไม่มีคู่สำรองเอาไว้ให้ใส่
ร่างสูงจึงลองใช้กรรมวิธีนำเชือกลงไปย้อมกับสีธรรมชาติและตากจนแห้งก่อนจะนำมาถักรองเท้าคู่ใหม่ให้จุนอีกคู่
คราวนี้คนตัวเล็กยังขอเข้ามามีส่วนร่วมช่วยหาดอกไม้ผ้ามาประดับตกแต่งด้วย
จุนจึงตั้งตารอคอยเป็นพิเศษสำหรับรองเท้าคู่ใหม่จากฝีมือของคริสกับเขาที่ช่วยกันทำออกมา
“ทำไมท่านถึงเก่งไปหมดทุกอย่างเช่นนี้ล่ะ?”
“ว้าว..”
เสียงหวานทำลายความเงียบและตัดสมาธิของคริส
ทว่าเมื่อตนเงยหน้าจากเชือกที่กำลังจะขึ้นรูปรองเท้าในมือ
ริมฝีปากก็จำต้องอ้าค้างและร้องออกมาเพราะเห็นว่าจุนในเวลานี้ช่างสวยงามและแปลกตากว่าวันอื่นหลายสิบเท่า
ด้วยชุดที่เป็นสีเขียวอ่อนซึ่งยาวกรอมเท้าและเครื่องประดับต่างๆ บนร่างกายนั้นขับให้จุนออกมางดงามราวกับเป็นราชินีแห่งอาณาจักรแฟร์รี่ แต่ความบางของมันทำให้คริสอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเล็กๆ มันบางเสียจนเห็นเนื้อหนังมังสาแทบจะทุกส่วน ช่วงแขนช่วงขาน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ช่วงหน้าท้องแบนราบกับช่วงกลางลำตัวนี่สิปัญหา เพราะความบางของชุดทำให้เห็นถึงกางเกงชั้นในทรงสามเหลี่ยมเว้าสูงช่วงต้นขา
แม้ทุกองค์ประกอบจะมีการถักทอทำลายด้วยดิ้นสีทองอร่ามสวยงาม
แต่คริสก็ยังรู้สึกขัดหูขัดตาอยู่ดี
“เจ้าสวยงามมาก แต่.. จำเป็นต้องใส่ชุดบางขนาดนี้เลยหรือ?”
“เครื่องแต่งกายของพิธีนี้เป็นแบบนี้ทุกชุดเหมือนกันหมด
ข้าจึงเลือกใส่ไม่ได้ อีกอย่างนี่ก็เป็นชุดเดียวที่ข้ามี ยังไงก็คงต้องใส่”
“แล้วเจ้ารู้สึกสะดวกหรือสบายที่จะใส่มันหรือเปล่า?
บางขนาดนี้คงจะไม่ทำให้เจ้ารู้สึกหนาวหรอกใช่ไหม?”
“ข้าใส่ได้ แล้วก็คงไม่มีใครมองหรอก
เพราะปกติก็ไม่ค่อยจะมีใครมาสนใจข้าอยู่แล้ว”
“ถ้าเจ้าว่าอย่างนั้นข้าก็ไม่ขัดอะไร
แม้ว่าข้าจะยังรู้สึกแปลกๆ กับชุดนี้อยู่ก็เถอะ”
“ฮ่ะๆ ไม่ต้องห่วงข้าหรอก” จุนหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะเดินไปหยิบข้อมือดอกไม้มาสวมเอาไว้
เขาหยุดอยู่ที่หน้ากระจกอีกครั้งเพื่อจัดแจงเสื้อผ้าของตนแล้วจึงเดินกลับมาหาคริส “วันนี้ท่านเข้านอนไปก่อนเลยนะ ข้าคงกลับดึกกว่าทุกวัน แต่ไม่ต้องห่วงข้าหรอก”
“ข้าอยากรอมากกว่า”
“ไม่ต้องรอหรอก ท่านนอนไปเลย
คืนนี้ข้ามีภารกิจหลายอย่างที่จะต้องทำที่งานฉลองให้เสร็จสิ้น
ซึ่งมันอาจจะต้องใช้เวลานานมากหน่อย เชื่อข้าเถอะนะ”
“ก็ได้ แต่เจ้าก็รีบกลับมาก็แล้วกัน”
“อื้อ ข้าสัญญา” เจ้าภูติน้อยส่งรอยยิ้ม
“งั้นข้าไปก่อนนะ แล้วเจอกัน”
“โชคดีนะ”
ชายหนุ่มยืนส่งร่างเล็กอยู่หน้าบ้านจนกระทั่งเห็นจุนเดินลงบันไดไปถึงขั้นสุดท้าย
วันฉลองต้นไม้คงจะเป็นประเพณีที่ยิ่งใหญ่พอสมควร
เพราะคริสมองเห็นเหล่าแฟร์รี่มากมายกำลังโบยบินไปทางเดียวกันเพื่อไปรวมตัวกัน ณ
ลานทำพิธี แต่ละคนแต่งชุดอาภรณ์อย่างงดงาม ชิ้นผ้าทุกเมตรมีความสวยราวกับถูกบรรจงทออย่างตั้งใจ
ยิ่งพอเป็นช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ลับตาไปแล้ว
ปีกแสนสวยซึ่งกระพือไหวเล่นกับแสงจันทร์กลับทำให้พวกเขาดูน่าหลงใหล ดูงดงามจนน่าอัศจรรย์
เมื่อเห็นว่าจุนออกไปแล้ว
คนว่างงานก็ไม่มีอะไรให้ทำอีกนอกจากการนั่งถักรองเท้าคู่ใหม่ให้เจ้าภูติ
ดูเหมือนคืนนี้คริสคงจะต้องใช้เวลาเพียงลำพังโดยไม่มีจุน
จะว่าไปแล้ว.. ต่อให้จุนจะไม่ได้เป็นคนพูดเยอะเจื้อยแจ้วก็ตาม แต่การมีร่างเล็กอยู่ใกล้ๆ
กันนั้นทำให้ร่างสูงไม่เคยรู้สึกเหงาหรือเบื่อหน่ายเลยสักนิด
ทว่าเวลานี้เขาจำต้องอยู่คนเดียว คริสจึงตัดสินใจเดินเข้าบ้าน จุดตะเกียงเพิ่มและนั่งถักรองเท้าต่อเพียงลำพัง
ยามก็แล้ว สองยามก็แล้ว หากแต่ไร้ซึ่งวี่แววของเจ้าภูติน้อยจนน่าสงสัย คริสซึ่งตัดสินใจเข้านอนก่อนก็กลับนอนไม่หลับ พลิกไปพลิกมาอยู่บนเตียงจนน่ารำคาญ สุดท้ายก็ต้องลุกขึ้นมาเพราะตนได้ยินเสียงอื้ออึงของผู้คนด้านนอกบ้านต้นไม้ ชายหนุ่มตัดสินใจเปิดประตูออกไปมอง พบว่าเหล่าแฟร์รี่กำลังเดินทางกลับมายังบ้านต้นไม้ของตัวเอง
‘สงสัยงานพิธีคงเสร็จเรียบร้อยแล้ว เช่นนั้นอีกไม่นานจุนก็คงจะมาถึง’
ทว่ามันกลับไม่เป็นตามที่ร่างสูงคิด
เวลาเดินต่อไปอีกชั่วยาม แต่ก็ยังไม่มีใครเปิดประตูเข้ามาเลยสักคน คริสเห็นท่าไม่ดีจึงลุกจากเตียงอีกครั้ง เขาจุดตะเกียงและหยิบเสื้อคลุมออกมาใส่
ตัดสินใจแล้วว่าคงไม่สามารถนอนต่อได้ถ้ายังไม่พบจุนในคืนนี้
สิ่งที่ร่างเล็กบอกก่อนจะออกไปว่าจะกลับดึกนิดหน่อยผุดขึ้นมาในหัว แต่คริสคาดไม่ถึงว่ามันจะล่วงเลยเวลามาจนถึงค่อนคืนเช่นนี้
ซึ่งนี่ถือว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่มีทางปกติอย่างแน่แท้
เช่นนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะเดินออกจากบ้านและออกตามหาตัวเจ้าภูติต้นไม้ทันที
เจ้ามนุษย์เดินทางไปทุกสารทิศที่จุนเคยพาตนไป
โดยเริ่มจากบริเวณบ้าน แปลงดอกไม้ อนุบาลผีเสื้อ
กระทั่งที่สุดท้ายก็คือลำธารที่ต้นโอ๊คสีแดงของจุนตั้งอยู่
สองเท้าก้าวเข้าไปในพงไพรมืดโดยมีตะเกียงนำทาง
ไม่เคยเอะใจเลยว่ายามนี้จะมีสิงห์สาราสัตว์เข้ามาจู่โจมหรือไม่
ตอนนี้ในใจของร่างสูงนั้นมีแค่เรื่องของจุนแต่เพียงผู้เดียว
ขายาวก้าวไปช้าๆ มือหนาแหวกพุ่มไม้อย่างระมัดระวัง
กระทั่งเสียงประหลาดดังขึ้น..
“อะ…”
คริสได้ยินเสียงแปลกประหลาดดังออกมาจากหลังพุ่มต้นไม้ใหญ่
เขาใช้ตะเกียงส่องหาต้นตอของเสียงนั้นพลางคอยระมัดระวังว่าเสียงที่ได้ยินนั้นไม่ใช่เสียงของสัตว์
แต่ถ้าเป็นอมนุษย์.. ก็ขออย่าให้เป็นอมนุษย์ตัวที่น่าเกลียดน่ากลัวเลย
หรือไม่แน่ว่าเสียงที่ตนได้ยินอาจเป็นเสียงของคณานางนิมฟ์
เพราะบริเวณต้นโอ๊คสีแดงของจุนนั้นใกล้กับแหล่งที่อยู่อาศัยของนิมฟ์แห่งสายน้ำ
ซึ่งเขาเองก็ได้เผชิญกับพวกนางมาแล้ว
ยิ่งใกล้ เสียงกลับยิ่งชัดขึ้น
คริสจึงตัดสินใจวางตะเกียงลงบนพื้น สองเท้าย่างก้าวเข้าไปอย่างช้าและเบาที่สุดเท่าที่จะทำได้
มือหนาลองแหวกพุ่มไม้ออกก่อนจะสอดส่องสายตาไปทั่วบริเวณอาณาเขต
เมื่อสายตาได้ประจักษ์
ริมฝีปากจึงเผยอออกเพราะแทบไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเห็น
เสียงนั่นเป็นเสียงของจุนเองไม่ใช่ใครที่ไหน
แต่ตอนนี้อาภรณ์ของเจ้าภูติไม้หลุดลุ่ยออกจากกายจนเหลือแต่กายเปล่า ทำให้คริสได้เห็นทุกสัดส่วนของจุนอย่างเต็มตา
ร่างเล็กเพรียวบางกำลังคร่อมอยู่บนเถาวัลย์ขนาดใหญ่
เถาวัลย์ที่เคยประดับประดาอยู่ตามป่าไม้อยู่นิ่งๆ
บัดนี้กลับกลายมาเป็นเครื่องรองรับกามรมของภูติต้นไม้ บนเถาวัลย์มีแง่งงอแยกขึ้นมา
ทว่ามันกำลังสอดใส่เข้าไปในร่องเนื้อของจุน
ขยับกระตุ้นให้ร่างบางรู้สึกกระสันจนครางออกมาไม่ได้ศัพท์
เอวเล็กขยับโยกไหวไปตามแรงราคะ เถาวัลย์เส้นน้อยเส้นอื่นๆ
เคลื่อนไหวราวกับมันมีชีวิตดั่งมนุษย์ โดยพวกมันกำลังทำหน้าที่พันธนาการข้อมือเล็กเอาไว้ไม่ให้คนตัวเล็กหนีไปไหน
“อะ.. อา.. อื้อ!” จุนส่งเสียงคราง โดยไม่รู้ตัวเลยว่ามีใครบางคนแอบมองเขาอยู่หลังพุ่มไม้
ท่อนเนื้อร้อนของตัวเองชูชัน ใกล้จะได้ปลดปล่อยน้ำกามออกมาอย่างเต็มที่
คริสมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกหลากหลาย เขาตกใจ แตกตื่น
แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกกระสันตามไปด้วย
แต่ถ้าเขาปรากฏตัวตอนนี้มีหวังจุนต้องฆ่าเขาอย่างแน่นอน
เช่นนั้นคนตัวสูงจึงตัดสินใจที่จะละมือออกจากการแหวกพุ่มไม้
เดินไปหยิบตะเกียงและเลือกที่จะออกไปจากตรงนี้เพื่อให้เวลาส่วนตัวกับคนตัวเล็ก
เช้าวันถัดมา นกร้องเพลงในยามสายปลุกให้คนบนเตียงขยับตัวเบาๆ
แสงแดดลอดผ่านช่องหน้าต่างจนทำให้รู้สึกระคายเคืองเปลือกตาจนต้องลืมตาตื่น
คริสยกมือขึ้นขยี้ตา ไม่แน่ใจนักว่าตอนนี้เป็นเวลากี่โมงกี่ยามแล้ว
แต่เขาคิดว่ามันน่าจะสายพอสมควรเพราะดูจากแสงแดดอันร้อนแรงที่มักจะต่างจากตอนเช้าตรู่
ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าบนเตียงนอนนี้ช่างคับแคบเหลือเกิน เขาจึงหันกลับมองด้านหลังของตนเพราะรู้สึกได้ถึงความเบียดเสียดบนเตียงใหญ่ สายตาพบกับร่างบอบบางกำลังนอนขดอยู่ข้างกาย ทั้งยังมีอาการหนาวสั่นหน้าซีดตัวซีดอย่างผิดวิสัย
“ข.. ข้าขอโทษที่กลับมาช้ากว่าที่บอก
ข้า..”
“จุน! เกิดอะไรขึ้น!?”
“ข้าหนาว..
ขอผ้าห่มกับน้ำอุ่นๆ ให้ข้าที”
คริสรีบเด้งตัวลุกขึ้นก่อนจะเอื้อมหลังมือไปแตะหน้าผากของเจ้าภูติน้อย ผิวกายขาวร้อนดั่งไฟผจญ หากแต่คนถูกไข้จับนั้นเอาแต่ร้องบอกว่าหนาว
จุนกอดตัวเองเอาไว้อย่างแน่นจนคริสต้องรีบวิ่งลงจากเตียงไปหาผ้าห่มในตู้เก็บของมาเพิ่ม
แล้วจึงนำมาคลุมกายคนตัวเล็กให้เพื่อสร้างความอบอุ่น
ชุดสีเขียวสวยงามและเครื่องประดับตามร่างกายนั้น – บัดนี้มันไม่ได้ช่วยให้จุนดูงดงามเลยแม้แต่น้อย
ทว่าความยาวของชุดกับเครื่องประดับทองนั้นสร้างความเกะกะให้จุนไม่น้อย
กาน้ำชาที่ยังกักเก็บความร้อนเอาไว้ได้ถูกยกมาวางเอาไว้บนโต๊ะเล็กริมหน้าต่างใกล้ๆ
กับเตียงนอน
คริสจัดการรินชาสีทองอำพันลงในแก้วและยกมันไปให้กับคนที่กำลังนอนสั่นเทาอยู่บนเตียง
มือหนาค่อยๆ ประคองให้จุนลุกขึ้นมานั่ง
เมื่อเห็นเรียวนิ้วสวยยื่นมารับแก้วด้วยความสั่นเทา
คริสจึงสังเกตเห็นเล็บสีเขียวได้แปรเปลี่ยนสีน้ำตาลอ่อนดั่งรากไม้ที่กำลังเหือดแห้ง
“จุน
เกิดอะไรขึ้นทำไมเจ้าถึงกลับมาด้วยสภาพนี้?”
“ข้า.. คงจะนั่งตากน้ำค้างนานไปหน่อย
ก็เลยตัวร้อนไข้จับเช่นนี้” จุนพูดพลางยกแก้วชากลิ่นหอมมาจิบอีกหน
“ข้าขอโทษนะ.. ที่กลับมาช้า”
“ไม่เป็นไรหรอก แค่เจ้ากลับมาข้าก็ดีใจแล้ว”
เจ้ามนุษย์ส่งรอยยิ้มจางๆ
เอื้อมมือไปลูบเรือนผมสีแดงกและรับถ้วยชามาจากจุน
หลังจากวางถ้วยชาแล้วจึงช่วยประคองเจ้าภูติน้อยให้นอนราบลงบนเตียงเช่นเดิม “ปกติแล้วเวลาเจ้าป่วย.. เจ้ารักษาด้วยวิธีใดกันหรือ?”
“ชาวเราต้มยาดื่มดั่งมนุษย์
แต่ข้าคิดว่าข้าคงไม่ต้องดื่มมันหรอก ข้าไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“ไม่เป็นอะไรมากเสียที่ไหนกัน
ตัวเจ้าสั่นเทายิ่งกว่าลูกนกตกจากรัง ทั้งยังต้องห่มผ้าสองผืน หนาวสั่นเข้ากระดูกแต่เหงื่อเจ้ากลับท่วมตัว
นี่น่ะเรียกว่าพิษไข้ทารุณ ยังไงเจ้าก็ต้องกินยาต้ม”
“ข้าไม่ชอบดื่มมัน
รสชาติของยาน่ะประหลาดทะแม่ง ทั้งขมทั้งเหม็น กินทีไรแทบทำให้ข้าสำรอกทุกที”
“หวานเป็นลม ขมเป็นยา
เจ้าต้องทนกินไปก่อนจนกว่าอาการจะดีขึ้น”
“ท่านชอบบังคับข้าอยู่เรื่อยเลย”
“ก็ข้าไม่อยากให้เจ้าไข้จับจนตัวสั่นเช่นนี้นี่
ถ้าเกิดเจ้าไม่กินยาแล้วมีอาการหนักขึ้นยิ่งกว่าเดิมข้าจะทำยังไงกันเล่า? เรื่องนี้น่ะโทษข้าไม่ได้นะ ข้าจู้จี้จุกจิกเพราะอยากให้เจ้าหายต่างหาก
จะได้มีเพื่อนไปเล่นน้ำตกด้วยกัน”
“พิลึกคนที่สุด”
จุนขมวดคิ้วและมุดตัวลงในผ้าห่มดั่งก้อนดักแด้ตัวกลม คริสจึงระบายรอยยิ้มออกมาพลางส่ายหัว
คริสมีสูตรปรุงยาอยู่ในหัวอยู่แล้ว หากแต่ยังไม่มั่นใจนักว่าจะไปหาสมุนไพรต่างๆ จากไหน จะให้ไปเด็ดเอาในป่าสุ่มสี่สุ่มห้าก็กลัวจะโดนภูติประจำต้นไม้ต้นนั้นๆ เล่นงานเข้าข้อหาลักขโมยใบหญ้า ซึ่งจุนเองก็เคยเตือนไว้ว่าไม่ควรทำเช่นนั้น
เช่นนั้นร่างสูงจึงยังคิดแผนการต้มยาไม่ออกในเวลานี้
เพียงแต่ยังโชคดีที่เขายังมีดอกคาโมมายล์แห้งหลงเหลืออยู่
ร่างสูงจึงตัดสินใจที่จะต้มชาร้อนๆ ให้จุนได้ดื่มคลายหนาวก่อน
จากนั้นจึงจะคิดหาแหล่งสมุนไพรอีกทีในภายหลัง
ข้าว่าเจ้าเปลี่ยนชุดดีกว่านะ
ชุดเจ้ากับเครื่องประดับน่ะดูรกหูรกตาข้าเหลือเกิน
ข้ากลัวมันจะทำให้เจ้าอึดอัดด้วย แถมผ้าก็ยังบางจนอาจจะทำให้กายเจ้าโดนลมทั้งวัน”
“ข้าก็อยากจะเปลี่ยน
แต่ข้าหมดแรงจะยืนแล้วล่ะ”
“งั้นข้าจะช่วยเจ้าเปลี่ยนก็แล้วกัน
จะเช็ดตัวให้เจ้าด้วย สาบานต่อหน้านกร้องเพลงเลยว่าข้าจะไม่แกล้งซนกับเจ้าเด็ดขาด”
“ข้าไม่อยากจะเชื่อใจท่านเลยสักนิด”
“เอาเถอะ
รอบนี้ข้าหวังดีและไม่ได้อยากจะแกล้งเจ้าเลย เพราะอย่างนั้นเชื่อใจข้าเถอะนะ
จำไม่ได้แล้วหรือว่าข้าสัญญากับเจ้าว่าอะไร” เจ้ามนุษย์ส่งรอยยิ้มและก้มลงไปหาคนที่กำลังนอนตะแคงมองเขาตาแป๋ว
นิ้วชี้เกลี่ยปลายจมูกเบาๆ จนเจ้าภูติน้อยเผลอย่นจมูกตาม “ข้าจะปกป้องเจ้าไง”
“…”
“…”
“ก็ได้.. ข้าเชื่อก็ได้”
“เด็กดี”
“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนด้วยนะ”
คนตัวสูงพยักหน้า เขาลุกจากเตียงและนำชาเก่าไปตั้งไว้ในครัว
แล้วจึงหยิบถังไม้มารองน้ำเพื่อเตรียมนำไปเช็ดตัวให้กับคนที่กำลังนอนเหงื่อท่วมอยู่บนเตียง
จุนเองก็กำลังมองแผ่นหลังที่กำลังเคลื่อนไหวกายอยู่ในครัวอย่างทะมัดทะแมง คงจะชินกับการใช้ชีวิตที่นี่เข้าเสียแล้ว เพราะนี่ก็นับว่าเป็นเวลาเกือบจะ 30 วันแล้วที่ท่านมนุษย์นักสำรวจต้องมาใช้ชีวิตติดแหงกอยู่ในเมืองที่เต็มไปด้วยอมนุษย์
แม้วิถีชีวิตจะคล้ายกัน แต่ทฤษฎีและประเพณีต่างๆ กลับแตกต่างกันออกไปโดยสิ้นเชิง
แน่นอนล่ะว่าคงไม่มีเขตไหนบนโลกมนุษย์จัดประเพณี วันฉลองต้นไม้ เหมือนดั่งที่นี่อีกแล้ว
เมื่อคืนนั้นเป็นครั้งแรกที่จุนได้ทำเรื่องน่าอับอายลงไป
เขายังจำได้ดีว่าตนส่งเสียงร้องครางและบิดเร้าไปมาเช่นใด
จำได้แม้กระทั่งตอนที่ตนขยับไหวสะโพกผายอยู่บนเถาวัลย์อย่างระรัวจนปล่อยของเหลวในกายออกมา
มันช่างเป็นอะไรที่น่าอดสูเท่าที่จุนเคยประสบพบเจอมา
กระทั่งเดินกลับมาถึงบ้านด้วยแรงอันน้อยนิดแล้ว
เด็กหนุ่มก็รู้สึกว่าใบหน้าของเขายังคงร้อนเห่อไม่หาย
ยิ่งไปกว่านั้นการละเลาะเล่นสนุกอยู่กับเถาวัลย์ทั้งคืนนั่นล่ะที่ทำให้ร่างบางต้องตากน้ำค้างจนไข้จับ
“มาเถอะ ข้าจะเช็ดตัวให้
เจ้าจะได้นอนอย่างสบายตัว” คริสเอ่ยขึ้นในขณะที่จุนกำลังตกอยู่ในภวังค์
เขาปิดหีบไม้เก็บเสื้อผ้าของจุนและวางชุดผ้าฝ้ายสีขาวลงบนเตียง
ก่อนจะก้าวขึ้นช่วยประคองจุนให้ลุกขึ้นมาอีกครั้งพลางช่วยเจ้าภูติน้อยถอดเครื่องประดับออกจากกาย
แล้วจึงช่วยผลัดเสื้อผ้าออกทีละชิ้น
เพราะอาการป่วยของจุนทำให้คริสลืมเรื่องเมื่อคืนไปเสียสนิท
ภาพของจุนยังคงติดตาและตามหลอกหลอนเข้าไปถึงในความฝัน แม้จะเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่ากามรมและตันหาเป็นเรื่องปกติของโลก
แต่ก็ต้องยอมรับว่าการได้เห็นในอิริยาบถนั้นค่อนข้างทำให้คริสตะลึงงันไม่น้อย
แถมภาพของกายเปลือยก็ยังทำให้เจ้ามนุษย์เผลอคิดเรื่องทะลึ่งพิเรนทร์ในหัวจนต้องหยิกเนื้อตัวเองเพื่อให้เลิกคิดอะไรแปลกๆ
เสียที
จะว่าไปก็อึดอัดเช่นกันที่ต้องเก็บความลับเอาไว้คนเดียวเช่นนี้
แต่ถ้าหากพลั้งปากบอกออกไป
มีหวังว่าเจ้าภูติน้อยนิสัยขี้อายเป็นต้องสาปส่งเขาและไล่ไปนอนกับพวกนิมฟ์อย่างแน่นอน
คริสจึงจำเป็นที่ต้องปิดปากเงียบและก้มหน้าก้มตาเช็ดตัวให้เจ้าภูติน้อยอย่างเบามือ
กระทั่งเช็ดตัวให้จนเสร็จแล้วจึงช่วยสวมเสื้อผ้าให้อีกแรง
“เจ้าพักผ่อนเสีย
ข้าจะไปนั่งถักรองเท้าต่อข้างล่างจะได้ไม่เสียงดังรบกวนเจ้า”
“ไม่เอา ท่านนั่งทำอยู่ที่นี่ล่ะ”
เด็กน้อยขมวดคิ้วนิดหน่อยแต่สายตากลับแสดงความกังวลออกมาอย่างชัดเจน
มือเล็กยื่นไปจับกับแขนแกร่งซึ่งกำลังโอบอุ้มถังน้ำและผ้าผืนเล็กเอาไว้
“อยู่กับข้าเถอะนะ ข้าไม่อยากนอนคนเดียว”
“แต่ข้าจะปิดม่านให้เจ้าได้พักสายตา
หากข้าต้องนั่งถักรองเท้าบนนี้ก็ต้องเปิดม่านให้สว่าง”
“งั้นท่านก็ยังไม่ต้องถักสิ เอาไว้ทำวันอื่นก็ได้
วันนี้ท่านอยู่กับข้าก่อน”
“…”
“นะ”
เจ้าภูติน้อยที่เคยเอาแต่นิ่งเฉยและเดินหนีคำหวานของคริสมาตลอดนั้น บัดนี้ยามป่วยไข้กลับเสมือนภูติจิ๋วแสนอ้อนออเซาะ ขอร้องให้ร่างสูงอยู่ด้วยกันแทนที่จะแยกกัน
จุนเองก็ไม่แน่ใจว่าเหตุใดตนจึงกลับรู้สึกว่าอยากให้คริสอยู่ใกล้ๆ
ไม่แน่ใจเช่นกันว่าความเชื่อใจนั้นเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด รู้แต่ว่าการมีเขาอยู่ข้างกายนั้นทำให้ร่างเล็กอุ่นใจมาเสมอ
“ก็ได้ งั้นข้าจะเอาถังน้ำไปเก็บแล้วก็จะต้มยาให้นะ
ข้าสัญญาว่าจะไม่ทำให้มันขมและมีกลิ่นแบบที่เจ้าไม่ชอบ”
“ข้าจะรอก็แล้วกัน ท่านจะทำอะไรก็ได้ขอแค่ท่านอยู่ใกล้ๆ
ข้าก็พอ”
“เข้าใจแล้ว” สุดท้ายก็ต้องยอมใจอ่อน
อีกทั้งยังทนต่อดวงตากลมไม่ไหวเพราะตอนนี้ดวงตาคู่สวยกลับโรยราเพราะพิษไข้
ทำให้ร่างสูงต้องก้มลงไปจูบหน้าผากเด็กน้อยก่อนจะเอาสิ่งของในมือไปเก็บ
3 วัดถัดมา
นกร้องเพลงคาบสาส์นไปบอกเพื่อนสนิททั้งสองของจุนในที่สุด เช่นนั้นยามค่ำนี้ภายในบ้านไม้ของเจ้าภูติน้อยจึงมีคนแวะมาเยี่ยมเยียนและใช้เวลาอยู่กับเจ้าภูตินานอยู่พอสมควร
ยาสมุนไพรจากใบ Alder ของแอลถูกนำใส่กล่องไม้อย่างดีเพื่อให้กับคนป่วย
ยอลเองก็คอยพูดคุยและหารือเกี่ยวกับเรื่องต้นโอ๊คสีแดงของจุน
ที่ตอนนี้ใบร่วงกราวลงพื้นตามสภาพของภูติประจำต้น สภาพต้นไม้นั้นร่วงโรยราไม่ต่างจากสภาพเจ้าภูติเลยสักนิด
มันผันเปลี่ยนสภาพไปตามผู้พิทักษ์ของมัน ยามผู้พิทักษ์เติบใหญ่แข็งแรงสุขี
เจ้าต้นไม้ก็จะยืนต้นแข็งแรงผลิใบสดใส ยามผู้พิทักษ์เจ็บกายทุกข์ใจ
กลีบและใบก็จะแห้งเป็นสีอ่อน ผลัดใบร่วงลงพื้นจนเหลือแค่กิ่งก้านก่อนจะล้มตายไปในที่สุด
“ข้าจะเอาผงแฟร์รี่ไปโรยที่ต้นให้เอง
ส่วนเจ้าก็รักษาตัวให้หายไวๆ ก็แล้วกัน” แอลเอ่ยบอก
โดยที่ไม่ได้สังเกตเลยว่ามีใครบางคนกำลังยืนพิงประตูหน้าบ้านพลางทำหน้าเบื่อโลกเต็มทน
หรือบางทีองค์รัชทายาทอาจสังเกตเห็นแล้ว แต่ตั้งใจยียวนกวนประสาทเพื่อเอาชนะเจ้ามนุษย์นิสัยเพี้ยนคนนั้น
คริสจำต้องเงียบปาก
ไม่ยอมแสดงความไม่พอใจออกมาผ่านคำพูดเพราะสัญญากับจุนเอาไว้แล้วว่าจะทำตัวให้น่ารักที่สุดและจะไม่พูดจาร้ายๆ
ใส่องค์รัชทายาทเพื่อนสนิทของจุน ร่างสูงจึงได้แต่แสดงอาการผ่านทางสาย กรอกตาจนตาแทบหลุดไหลมารวมกัน
“เจ้าหายตัวร้อนแล้วก็คงจะไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วล่ะ
ตอนแรกข้าก็นึกว่าเจ้าจะไม่มีแรงลุกขึ้นมาเสียอีก”
“เปล่า ข้าดีขึ้นเยอะมากๆ แล้ว
เพียงแต่ท่านคริสไม่ยอมให้ข้าลงจากเตียงเลย
แถมยังเอาแต่คอยบอกให้ข้านอนพักผ่อนเยอะๆ ด้วยอีกต่างหาก
นี่ข้าก็นอนจนไม่แน่ใจแล้วว่าคืนนี้ข้าจะหลับลงหรือเปล่า”
“เขาคงหวังดีอยากให้เจ้าหายไวๆ อย่าโทษเขาเลยน่า”
เสียงของยอลเอ่ยขึ้นพลางส่งรอยยิ้มอบอุ่นให้กับคนตัวเล็ก
นับว่าเป็นประโยคแรกที่ทำให้คริสพอใจขึ้นมาบ้างหลังจากนั่งกอดอกหน้าตึงมานานพอสมควร
“เจ้าเองก็ปากหนักพอๆ กับยอล
ต้องให้ป่วยถึงสองวันก่อนจึงจะส่งนกร้องเพลงมาหาพวกข้า น่าโมโหจริงๆ” แอลพูด
“ข้าขอโทษ เพียงแต่ข้าเห็นว่าข้ามีท่านคริสแล้ว
ก็เลยไม่อยากจะรบกวนใครอื่น”
“ข้าเข้าใจ แต่อย่างไรเสียเจ้าก็ควรจะบอก และเจ้าก็อย่าลืมนำยาที่ข้าเอามาให้ไปต้มกินแล้วกัน
จะได้หายไวๆ”
“อันที่จริงข้าก็ฝากนกร้องเพลงไปบอกเจ้าแล้วว่าไม่ต้องนำมา
ข้ามียาของท่านคริสแล้ว
เขาต้มยาด้วยรสที่ข้าดื่มได้เพราะอย่างนั้นข้าจึงไม่อยากลำบากให้เจ้าเอามาอีก”
“หวานเป็นลม ขมเป็นยา
ยังไงเจ้าก็ควรจะดื่มยาที่สะอาดปลอดภัย
ใบเอลเดอร์ของข้าน่ะรักษาโรคได้ดีที่สุดแล้ว” แอลพูด ในขณะที่คริสนั้นกรอกตาเบะปากอยู่ตรงหน้าประตู
“เอาเถอะ นี่ก็มืดค่ำแล้ว
สมควรให้เจ้าพักผ่อนเพราะพวกเราก็รบกวนเวลาเจ้ามามากพอแล้ว
ถ้าอย่างนั้นข้าขอตัวก่อน”
ยอลเอ่ยขึ้นและรับแก้วเครื่องดื่มสมุนไพรมาจากมือของคนตัวเล็กก่อนจะนำไปเก็บให้ในครัว
คนที่รู้สึกโล่งอกโล่งใจเห็นจะเป็นคริสเพราะเขารอคำนี้มาตั้งแต่นาทีแรกที่แอลและยอลเดินเข้ามาในบ้าน
‘อะไรจะประคบประหงมขนาดนั้น..
เจ้าภูติน้อยก็แค่เป็นหวัด ไม่ได้แขนหัก ขาหักเสียหน่อย’
“เจอกันนะจุน หายไวๆ ล่ะ”
“ขอบใจ แล้วเจอกันนะ”
‘ยัง ยังจะลูบหัวอีก’
ถ้าพูดถึงยอลนั้นคริสไม่ได้รู้สึกเคืองใจกับภูติตนนี้แต่อย่างใด
ยอลดูจะเป็นภูติที่นิสัยซื่อไม่ต่างกับจุนเลยสักนิด
ดวงตากลมโตของเจ้าภูติตัวนั้นแสดงออกมาแต่ความจริงใจไร้พิษภัย
แต่กับแอลนั้น.. ยิ่งมองก็ยิ่งรู้สึกรำคาญใจ
พยายามจะทำเป็นไม่เห็นและเอาหูไปนาเอาตาไปไร่ก็แล้ว แต่เพราะสายตาซุกซนขี้เล่นกับรอยยิ้มมุมปากนั่นทำให้คริสเผลอกรอกตาและถอนหายใจออกมาเป็นสิบรอบ
อาจเพราะคริสได้พบเจอคนนิสัยแบบเดียวกันจึงเสมือนเสือสองตัวที่ไม่สามารถอยู่ในถ้ำเดียวกันได้
พอได้เห็นแอลเล่นหูเล่นตาใส่จุนทีไร
ก็เหมือนเห็นกระจกสะท้อนเงาของตนซึ่งมันน่ารำคาญใจสุดๆ
“ข้าฝากเพื่อนข้าด้วยท่านคริส หวังว่ามนุษย์อย่างท่านคงจะมีวิธีช่วยให้เพื่อนของข้าหายไวๆ
นะ ข้าได้ยินมาว่ามนุษย์น่ะฉลาดเป็นกรดเลย” ยอลพูดกับคริสก่อนจะเดินออกไปจากประตู
ร่างสูงจึงพยักหน้ารับปาก
“ข้าต้มชาจากใบเบซิลให้แล้ว
ทั้งยังพยายามทำให้รสชาติไม่ขมเฝื่อนแต่ยังคงสรรพคุณทุกประการ
ให้ดื่มต่ออีกสักวันสองวันก็น่าจะดีขึ้น”
“ขอบใจท่านมากนะ”
“ข้ายินดี”
ในที่สุดภูติทั้งสองก็เดินออกจากบ้านไป
โดยที่แอลนั้นไม่คิดจะทิ้งท้ายอะไรไว้นอกจากสายตาแข็งถมึงทึงราวกับถูกใครเอามือมาเด็ดปีกให้เจ็บตัวจนพาลโกรธ
แต่คริสก็ไม่ได้อยากจะฟังคำทิ้งท้ายอะไรจากแอลนักหรอก
เขาทำเพียงแค่เปิดประตูบ้านส่งสองคนนั้นกลับไปและรีบพุ่งไปนั่งบนเตียงกับจุนทันที
“ทำไมไม่ไปกินข้าวล่ะ?”
เสียงหวานร้องถามพลางส่งดวงตาสีนิลสวยมาให้คริสได้หลงใหลซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ข้ากินของว่างของเจ้าไปจนอิ่มแล้ว
ข้าคิดว่าข้าคงไม่หิวอีกแล้วล่ะ”
“งั้นก็ระวังจะปวดท้องก็แล้วกันนะ
ข้าไม่อยากให้ท่านมาป่วยแบบข้า มันทรมานจะแย่”
“เป็นห่วงข้าหรือ?” ร่างสูงเอ่ยถาม
จับมือนุ่มนิ่มของอีกฝ่ายมาประทับจูบอย่างเบาบางบนหลังมือจนจุนอดที่จะอมยิ้มเล็กๆ
ไม่ไหว เขาเบนสายตาหนีคริสอีกแล้ว ซึ่งนั่นทำให้คริสเองก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาเช่นกัน
“ข้าไม่พูดดีกว่า”
“เจ้าเขินอะไรหื้ม? ทำไมถึงไม่มองตาข้าล่ะ?”
“ข้าอยากนอนพักแล้ว
ท่านไปจัดการเสื้อผ้าของท่านสิ”
“จัดการเสื้อผ้าของข้า?
ถ้าเจ้าพูดแบบนี้บนโลกมนุษย์น่ะ.. รู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น?”
“แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้นหรือ?”
“คำพูดของเจ้าฟังดูสองแง่สองง่าม
หากพูดแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นยามอยู่สองต่อสองเช่นนี้
เจ้าอาจจะไม่ได้ลุกออกจากเตียงเลยจนกว่าจะเช้า” เอาอีกแล้ว.. รู้สึกร้อนที่หน้าอีกแล้ว
จุนแกล้งถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่และบิดมือออกจากการกอบกุมของคริส
เขาทำท่าจะมุดลงผ้าห่มหนีสายตาท่านมนุษย์ หากแต่ก็ยังถูกคว้าข้อมือเอาไว้อีกครั้งจนได้
“ท่านพูดจาแบบนี้อีกแล้วนะ
ที่ข้าพูดน่ะหมายถึงให้ไปจัดการพับผ้าลงหีบต่างหาก”
“ข้ารู้ แต่ข้าชอบดูปฏิกิริยาของเจ้ายามได้ฟังคำพูดของข้านี่”
คริสหัวเราะออกมาเบาๆ ลูบพวงแก้วสวยที่ตอนนี้ปรากฏสีขึ้นมาบ้างนิดหน่อย ไม่ได้ซีดขาวเผือกเหมือนสองวันก่อนตอนที่โดนพิษไข้เล่นงานหนัก
“จุน.. ข้ามีอะไรจะบอก?
เป็นเรื่องที่ข้าต้อง.. สารภาพ
ต้องพูดเพราะข้าไม่อยากมีเรื่องใดๆ ปิดบังเจ้า”
“มีเรื่องใดกัน? ท่านพูดจาแปลกๆ น่ากลัวชะมัด”
มีอยู่เรื่องเดียวที่กำลังอัดอั้นอยู่ในใจของคริสมานาน
อันที่จริงเขาอยากจะเก็บเป็นความลับเอาไว้แต่เพียงผู้เดียว
แต่เขาไม่ใช่คนที่เก็บความลับได้เก่งเท่าไหร่
อีกอย่างความสัมพันธ์ระหว่างเขากับจุนก็มาถึงขั้นนี้แล้ว
พวกเขานอนกอดกันและจับมือกัน จุนปล่อยให้คริสกอดและจูบก่อนนอนแทบจะทุกคืน
เช่นนั้นคริสจึงไม่อยากให้จุนไปทำอย่างอื่นเพียงลำพังในเมื่อจุนก็มีร่างสูงอยู่ทั้งคน
“อย่าโกรธข้านะ”
“อื้ม”
“ไม่เดินหนีข้านะ”
“ไม่เดินหนี ท่านมีอะไรก็พูดมาเถอะข้ากลัวแล้วนะ”
ในเมื่อจุนเร่งเร้า
ร่างสูงจึงรวบรวมสติและสูดหายใจเข้าปอดลึกที่สุดก่อนจะตัดสินใจพูดออกมา
“วันที่เจ้าออกไปงานฉลองนั่นน่ะ
อันที่จริงข้าก็จะเข้านอนก่อนตามที่เจ้าขอ แต่ข้าเห็นว่ามันดึกสงัดมาก
อีกทั้งข้าก็เห็นภูติตัวอื่นๆ เดินทางกลับมากันเยอะแล้ว แต่เจ้าก็ยังไม่มาเสียที
ข้าก็เลยตัดสินใจคว้าตะเกียงออกไปตามหาเพราะกลัวว่าเจ้าจะเป็นอะไร”
“แล้วท่านไปที่ไหนบ้างล่ะ? ดึกขนาดนั้นยังจะกล้าเดินอีกหรือ?”
“ข้าไปที่ต้นโอ๊คของเจ้ามา”
“…”
“ข้าไม่ได้ตั้งใจ
ข้าแค่กลัวว่าเจ้าจะเป็นอะไรไปก็เท่านั้น ข้าไม่ได้ตั้งใจจะ.. แอบมอง
หรือทำอะไรที่ไม่สมควรจะทำเลยสักนิด”
“…”
“นั่นคือวิธีหว่านความเจริญพันธุ์ลงพืชผลในแบบของชาวภูติใช่หรือเปล่า?”
“ท่าน.. เห็นหมดเลยอย่างนั้นหรือ?”
“ข้าเสียใจ ไม่ได้ตั้งใจจะไปแอบมองแต่อย่างใดเลย
พอข้าเห็นเจ้าในตอนนั้น.. ข้าก็รีบกลับมาที่บ้านเพราะคิดว่าไม่ควรจะอยู่ต่อ
จนกระทั่งตอนเช้าข้าถึงตื่นมาพบว่าเจ้ากำลังหลับอยู่ข้างๆ”
“…”
นาทีนี้จุนเลือกที่จะดึงข้อมือของเขาออกจากการกอบกุมของคริส
ใบหน้าเล็กก้มงุดลงด้วยความละอาย หลากหลายความรู้สึกหลั่งเข้ามาในใจจนแทบรับไม่ไหว
ทั้งอับอาย รู้สึกแย่ ปนสมเพชตัวเอง “มันคงจะน่าเกลียดมากเลยใช่ไหมที่ข้าทำลงไปน่ะ..
พวกมนุษย์คงไม่ได้ทำอะไรแบบนี้กันหรอกใช่ไหม?”
“เปล่าเลย นั่นไม่ใช่เรื่องไม่ดีนะจุน พวกมนุษย์ต่างก็มีความรู้สึกไม่ต่างจากพวกเจ้าเลย
เรารัก โลภ โกรธ หลง เรามีความต้องการเหมือนกัน เราระบายความต้องการของเราเช่นกัน
เพราะฉะนั้นนี่จึงไม่ใช่เรื่องที่ผิดแปลกแต่อย่างใด
เจ้าไม่ต้องอายหรือรู้สึกแย่หรอกนะ”
“ที่ข้าทำน่ะ.. มันเป็นสิ่งที่ข้าต้องทำ
ข้าต้องระบายตัณหาเพื่อคัดหลั่งสิ่งที่อยู่ในกายลงบนต้นไม้ มันคือวิธีหว่านความเจริญพันธุ์อย่างที่ท่านว่า
ข้าไม่ได้ลงมือทำเพราะข้าเป็นคนลามกนะ ข้าไม่ใช่นางนิมฟ์ที่จะชอบหยอกล้ากับชายเสมอหรือรู้สึกมักมากในกามจนต้องระบายความใคร่ด้วยตนเอง ข้าไม่ได้…”
“เดี๋ยวก่อนๆ ข้าไม่ได้บอกว่าเจ้าไม่ดี
ข้าไม่ได้กำลังจะตัดสินเจ้านะ” มือหนารีบเอื้อมไปประคองแก้มสวยของจุนเอาไว้
ยามดวงหน้าหวานเงยขึ้นมาสบตา
คริสจึงรู้ว่าแววตานั้นแฝงไปด้วยความกังวลและความอับอายเกินกว่าจะบรรยาย
“เจ้าไม่ผิดเลยคนดี ถ้าหากว่านั่นเป็นหน้าที่ที่พึงกระทำ เจ้าก็ไม่ผิดอะไรเลย”
“…”
“แต่ถ้าต่อให้มันไม่ใช่หน้าที่
แต่เราทุกคนมีความต้องการกันหมด มันก็ไม่ผิดอีกถ้าเจ้าจะปลดปล่อยตัณหาของเจ้าออกมา
มันไม่ใช่เรื่องที่น่าอายเลยจุน.. เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้สึกเดือดร้อนหรือโกรธเกลียดการกระทำของตัวเอง
เพราะมนุษย์เองก็ปลดความต้องการออกมาเช่นเดียวกัน”
“…”
“ข้าเองก็ระบายความต้องการของตนเองเช่นกัน
และความต้องการพวกนี้จะไม่หายไปจนกว่าจะถึงวันที่เราแก่ตัวลงและตายจากไป”
“ท่านไม่อายกันหรือ?”
“ไม่ เพราะข้าไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน”
คริสเอ่ยเอื้อนเพื่อปลอบใจร่างผอมบางบนเตียง
เขาใช้สองมือกำชับไหล่ของจุนเอาไว้และอธิบายให้จุนได้สดับฟังอีกครั้งถึงเหตุผลที่แท้จริงในการสารภาพความจริงครั้งนี้
“เหตุผลที่ข้ามาสารภาพกับเจ้าเพราะข้าไม่อยากมีเรื่องใดๆ ปิดบัง ในเมื่อเรารักกัน
ข้าจึงอยากให้เจ้าเชื่อใจข้าได้อย่างที่ข้าเชื่อใจเจ้า”
“…”
“คนดี.. อย่าเสียใจไปเลยนะ
ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าตระหนกกลัว ข้าเพียงแค่อยากสารภาพผิดเท่านั้น”
สุดท้ายแล้วก็ต้องดึงอีกคนมากอดปลอบเพราะจุนยังคงทำสีหน้าหมดอาลัยตายอยากอยู่จนคริสทนไม่ไหว
ร่างสูงลูบหลังเด็กน้อยของตนเบาๆ
จุนเองก็ซบใบหน้าลงกับลาดไหล่แกร่งก่อนจะเอ่ยเสียงอู้อี้ออกมา
“มันไม่น่าอายแน่ใช่ไหม? ข้าเองก็พยายามจะคิดว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องปกติ
ยามแฟร์รี่ต้องการจะมีบุตร อย่างไรเสียพวกเขาก็ต้องร่วมรักกัน
แต่ข้าก็ยังรู้สึกแปลกๆ กับเรื่องพวกนี้”
“เจ้าอาจจะยังไม่ใหม่และยังไม่เคยลองทำ
เจ้าจึงรู้สึกแปลก ยามข้าเป็นเด็กข้าเองก็เป็นต้องขมวดคิ้วทุกครั้งยามได้ยินเพื่อนๆ
ที่โตกว่าพูดถึงเรื่องนี้ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายเพราะอย่างนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลหรอก”
ร่างสูงคลายอ้อมกอดออกมาพลางส่งรอยยิ้มอบอุ่นให้กับเจ้าภูติน้อย “ให้ข้าปลอบใจเจ้านะ”
เจอกันที่ไบโอเหมือนเดิมค่ะ
วันเวลาเดินผ่านไป โลกของแฟร์รี่มีอะไรให้น่าสนใจอีกเป็นร้อยสิ่ง
ยิ่งไปกว่านั้นยามตนหยิบสมุดออกมาเขียนเรื่องเกี่ยวกับพันธุ์แมลงและธรรมชาติ
ก่อนจะปิดสมุดลง..
คริสมักจะถามตัวเองเสมอว่าเขาขอไม่กลับไปยังโลกมนุษย์อีกแล้วได้ไหม..
ก็จะให้กลับได้อย่างไร ในเมื่อ คนรัก ของเขาอยู่ที่
ดวงตาคมคายมองดูภาพของเจ้าภูติที่เพิ่งจะหายไม่สบายนั่งรับลมรับแดดอยู่บนพื้นหญ้า
ในมือกำก้านผักใบเขียวส่งให้เจ้าลูกกระต่ายขนฟูได้แทะเล็มเป็นอาหารมื้อเที่ยงอย่างอิ่มหนำสำราญ
จุน.. คือหัวใจที่ทำให้คริสไม่อยากกลับออกไป
หากแต่ภาระหน้าที่ก็สำคัญเช่นกัน ป่านนี้เพื่อนๆ
และคนรอบข้างคงตามหาคริสกันให้วุ่นไปหมด เขาคงกำลังทำให้ทุกคนลำบากมากไม่น้อย
เช่นนั้นแล้วยามนึกถึงเรื่องนี้ทีไรก็รังแต่จะรู้สึกปวดหัวจนต้องสะบัดหัวไล่ความคิดพวกนี้ออกไป
พยายามจะไม่คิดถึงทั้งๆ ที่รู้ว่าวันหนึ่งก็ต้องตัดสินใจอยู่ดี
“คนดี กลับบ้านกันเถอะนะ ตรงนี้แดดแรงเดี๋ยวเจ้าจะได้กลับมาไข้จับอีก”
“ขออีกสักพักได้ไหม? ข้ายังอยากเล่นกับเจ้ากระต่ายพวกนี้อยู่เลย”
“แต่ตรงนี้แดดเริ่มแรงมากแล้วนะ ข้ากลัวเจ้าจะกลับมาไม่สบายอีก
เดี๋ยวต้นไม้ของเจ้าก็เฉาตามไปด้วยหรอก”
“…” ยามได้ฟังเหตุผลของร่างสูงแล้ว
จุนเองก็พอจะเข้าใจในความหวังดีของเขา แต่เจ้ากระต่ายเองก็น่ารักมากเช่นกัน
พวกมันเพิ่งเกิด ยังตัวเล็ก ขนฟูน่ากอดเป็นไหนๆ
ทำเอาจุนไม่อยากกลับเพราะก่อนหน้านี้เขาอุดอู้อยู่ในบ้านมานานเนื่องจากพิษไข้
ร่างเล็กจึงอยากจะออกมาเดินเล่นรับลมบ้าง
“ก็ได้ ข้าให้เจ้าอยู่ต่ออีกพักเดียวเท่านั้น
หลังจากนั้นเราไปนั่งที่อื่นก่อนก็แล้วกันหากเจ้าไม่อยากกลับบ้าน”
สุดท้ายคนหวังดีก็กลายเป็นฝ่ายที่ต้องยอมแพ้เพราะถูกดวงตาสีนิลต่อรองโดยไม่ต้องออกแรงพูดให้เมื่อยปาก
จุนรู้จุดอ่อนของคริสดี เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่เคยขัดใจเขาได้
อาจเป็นเพราะด้วยอิทธิพลจากดวงตาอันแสนไร้เดียงสาที่มักจะทำให้คริสต้องยอมใจอ่อนในที่สุด
ในเมื่อความรักกำลังผลิบาน สองมือของร่างสูงไม่เคยห่างจากข้อมือเล็ก
สายตายังคงเพรียกมองหาแต่เรือนผมสีแดง
ยังคงอยากแตะสัมผัสริมฝีปากนุ่มเพื่อแสดงให้อีกคนรู้ว่าเขาต้องการให้ร่างเล็กอยู่ข้างกายมากแค่ไหน
คริสจึงมีคำตอบในใจแล้วว่าตนจะกลับหรือไม่กลับยังโลกมนุษย์..
ยามเย็นแล้วนกน้อยต่างบินโผกลับรัง
เหล่าแมลงและผีเสื้อต่างบินต่ำเพราะปีกของมันพราวไปด้วยละอองน้ำค้างซึ่งเกาะอยู่มากมายจนทำให้ร่างของพวกมันหนักเกินกว่าจะบินสูง
และการที่พวกแมลงนั้นบินต่ำคือสัญญาณเตือนให้รู้ว่า สายฝน กำลังจะมาเยือนนครน็อกซ์ภายในไม่อีกกี่อึดใจนี้
บ้านไม้หลังน้อยบนชั้นสูงสุดของต้นไม้ถูกปกคลุมไปด้วยแสงจากตะเกียง
เจ้ามนุษย์และเจ้าภูติต้นไม้ต่างช่วยงานกันตลอดทั้งวันกว่าจะได้กลับบ้านมาหาอาหารมื้อเย็นใส่ท้อง
ยามท้องอิ่มแล้วจึงแยกย้ายกันไปทำธุระของตนเอง คริสหายเข้าไปอาบน้ำอยู่นานสองนาน
ในขณะที่จุนซึ่งชำระล้างร่างกายเสร็จเรียบร้อยแล้วนั้นกำลังยุ่งอยู่กับหีบไม้ใบใหญ่เพื่อหาผ้าห่มผืนใหญ่ออกมาใช้
เนื่องจากบนเตียงนั้นไม่ได้มีเพียงแค่เขาคนเดียวอีกต่อไปแล้ว ผ้าห่มผืนที่เคยใช้จึงไม่เพียงพอต่อคนทั้งสอง
จุนจึงต้องมาเปิดหีบหาผ้าผืนใหม่มาใช้
ทว่าเมื่อตนลองค้นไปค้นมา
เขากลับเจอสมุดบันทึกเล่มเล็กที่ตนพอจะคุ้นตาอยู่นิดหน่อยถูกซ่อนเอาไว้ในซอกผ้าห่ม
จุนจึงหยิบมันขึ้นมาสำรวจ พบว่าเป็นสมุดเล่มที่เขาเคยขอคริสเปิดดูเพราะเขาเห็นร่างสูงชอบใช้ดินสอไม้เขียนอะไรบางอย่างลงไปอยู่ตลอดเวลา
จุนจึงอยากจะรู้บ้างว่าข้างในนั้นถูกเขียนสิ่งใดเอาไว้
หากแต่ยามนั้นร่างสูงอยู่ในสภาวะเง้างอนจนพาลไม่อยากให้จุนเห็น
เขาจึงปฏิเสธและไม่เคยหยิบสมุดเล่มนี้ออกมาให้จุนเห็นอีกเลย
คราวนี้จุนได้พบเจ้าสมุดเล่มเล็กด้วยตนเอง
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงทำให้ร่างเล็กตัดสินใจเปิดมันออกเพื่อดูว่าข้างในนั้นมีสิ่งใดถูกเขียนเอาไว้บ้าง
ภาษามนุษย์ดูจะไม่ค่อยเตะตาจุนเสียเท่าไหร่
มือเล็กจึงเปิดพลิกไปเรื่อยๆ จนได้เห็นรูปแมลงและผีเสื้อนานาพันธุ์
คริสสามารถวาดถอดแบบออกมาได้อย่างเหมือนจริงทุกส่วน เช่น
เจ้าแมลงปอหางฟ้าตัวนั้นเองก็ถูกร่างสูงวาดเก็บรายละเอียดจุดต่างๆ
ตามปีกของมันออกมาได้อย่างสมบูรณ์ และมันช่างสวยงามจนทำให้จุนเผลอยิ้มออกมาเล็กๆ
ถัดมาอีกหน้าหนึ่ง จากที่เคยมีรูปวาดขอบรรดาสัตว์มากมายอยู่เต็มเล่ม
คราวนี้กลับมีรูปวาดของใครบางคนที่จุนรู้สึกคุ้นตาถูกวาดลงบนแผ่นกระดาษด้วยอิริยาบถต่างๆ
จนทำให้จุนต้องหยุดมองดูมันทีละรูป
ใครคนนั้นที่จุนรู้สึกคุ้นตากลับไม่ใช่ใครที่ไหนไกล แต่เป็น จุน
เองต่างหาก รูปวาดในสมุดนั้นเป็นรูปวาดของจุน
แน่นอนว่าเขาจำหน้าตาตัวเองได้อย่างแม่นยำ แต่เขาจำไม่ได้แล้วว่าตอนที่ตนเคยมีปีกนั้นมันเคยเป็นอย่างไร.. ทว่าคริสก็สามารถวาดรูปของจุนพร้อมกับปีกออกมาได้อย่างสวยงาม
นอกจากปีกแล้ว ก็ยังมีรูปอื่นๆ ในอิริยาบถต่างๆ
รูปตอนที่จุนกำลังเปลือยหลังอยู่ในน้ำจนเห็นรอยแผลเป็นบนหลัง
บางรูปก็เป็นการวาดจำลองเสมือนร่างเล็กเป็นพิกซี่ตัวน้อยที่กำลังขดนอนอยู่บนใบไม้ขนาดใหญ่
บ้างก็เป็นรูปที่จุนกำลังยิ้ม บ้างก็เป็นรูปมือของจุนซึ่งสวมใส่ข้อมือดอกไม้เอาไว้
ก่อนที่จุนจะเปิดมาเห็นรูปสุดท้ายซึ่งเป็นรูปที่ร่างเล็กสวมชุดวันฉลองต้นไม้อันแสนจะสวยงาม
“แอบอ่านสมุดของคนอื่นน่ะมันไม่ดีหรอกนะ”
“เฮือก!”
จุนแทบไม่ได้สังเกตเลยว่าคริสมายืนอยู่ด้านหลังของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่
คงเป็นเพราะร่างเล็กเอาแต่สนใจภาพวาดในสมุดจนลืมทุกสรรพสิ่งรอบข้าง
เช่นนั้นเมื่อถูกเอ่ยทักจนตกใจสะดุ้งตัวโยนจนคริสเผลอหัวเราะออกมา
และแทนที่เขาจะโกรธยามถูกแอบอ่านสมุดบันทึก เขากลับเลือกที่จะนั่งลงข้างๆ
จุนก่อนจะหยิบสมุดเล่มนั้นมาไว้ในมือ
“ข้าวาดรูปสวยไหมล่ะ?”
“สวย สวยมากเลยล่ะ ท่านวาดได้เหมือนตัวข้ามากๆ” จุนตอบพลางยิ้มจางๆ
ออกมา “ท่านน่ะชักจะเก่งเกินมนุษย์มะนาไปแล้วนะ ทั้งถักรองเท้าเป็น
ทั้งศึกษาพันธุ์แมลง ทั้งยังเพาะปลูกเก่ง แล้วนี่ก็ยังวาดรูปเก่งอีก
ข้าชักอิจฉาเสียแล้วสิ”
“ไม่เห็นจะต้องอิจฉากันเลย เพราะเจ้าเองก็เก่งเหมือนกัน”
“เก่งเหรอ? ข้าไม่เห็นจะเก่งตรงไหนเลย
ข้าทำอะไรไม่เป็นสักอย่างนอกจากงานบ้านกับปลูกดอกไม้”
“เจ้าน่ะ.. เก่งเรื่องทำให้ข้าหวั่นไหวยังไงล่ะ”
สิ้นคำหวานแล้วจุนจึงเบือนหน้าหนีเพื่อไม่ให้คริสเห็นว่าเขากำลังอมยิ้มเล็กๆ อยู่
หากแต่คนตัวสูงก็ยังรู้ทันร่างเล็กอยู่ดี
“ท่านแอบวาดรูปข้ามานานแค่ไหนแล้ว?”
จุนตัดสินใจลุกขึ้นยืนกอดเพื่อหนีจากสายตาคมคายนั่น
“ก็ตั้งแต่วันแรกที่ข้ามาอยู่ที่นี่”
“แล้วทำไมท่านถึงไม่ยอมบอกข้าดีๆ ล่ะ ข้าจะได้นั่งเป็นแบบให้
ท่านเองก็จะได้ไม่ต้องมาคอยแอบวาดแล้วก็เอาสมุดมาซ่อนแบบนี้”
“ก็ข้าเห็นเจ้าช่างขี้อายนัก กลัวบอกไปแล้วเจ้าจะเดินหนีเอา”
“เปล่าเลย อันที่จริงข้าก็อยากจะมีรูปเป็นของตัวเองเหมือนกันนะ
ในนครน็อกซ์น่ะไม่มีใครชำนาญเรื่องพวกนี้เลยสักนิด การมีรูปวาดเป็นของตัวเองน่ะถือว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก
จะมีก็แต่พวกราชวงศ์เท่านั้นล่ะที่จะสามารถจ้างพวกเอลฟ์มาวาดรูปให้ได้
สามัญชนธรรมดาอย่างข้าน่ะไม่มีสิ่งของมีราคาอันใดที่จะพอไปแลกกับรูปวาดมาได้หรอกนะ”
“งั้นเจ้าก็โชคดีแล้วล่ะที่เจ้าได้มาเจอข้า
เพราะเจ้าไม่ต้องเอาสิ่งของใดๆ มาแลกกับรูปวาดให้เสียเปล่านอกจากตัวของเจ้าเอง
แต่ก็นะ.. ตัวเจ้าเป็นของข้ามาตั้งนานแล้ว
เพราะอย่างนั้นข้าก็จะวาดให้แบบไม่คิดราคาไปตลอดชีวิตเลย”
“สมควรที่จะเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว
ข้าเปลืองตัวให้ท่านไปกี่รอบต่อกี่รอบแล้วก็ไม่รู้
พอท่านชวนไปเล่นน้ำตกที่ท้ายป่าทีไร ข้าก็ไม่เคยจะได้เล่นน้ำจริงๆ เสียที”
“ข้าขอโทษนะคนดี ต่อไปนี้ข้าจะไม่รบกวนเจ้ายามเล่นน้ำอีกแล้วล่ะ
ข้าสัญญาว่าจะอดใจเอาไว้มาทบต้นทบดอกทีเดียวตอนถึงบ้านเลยก็แล้วกัน”
ว่าแล้วก็เข้าไปสวมกอดคนตัวเล็กจากด้านหลัง
ทั้งยังชำเราพวงแก้มสีสวยไปหลายฟอดจนจุนต้องเอี้ยวตัวหนี
“อืออ พอแล้ว ข้าเจ็บแก้มไปหมดแล้วนะ!” จุนเบี่ยงตัวหนีและหันหน้ามาหาคริสแทน
มือของเขาดันอกร่างสูงเอาไว้เพื่อไม่ให้คริสเข้ามาประชิดตัวได้อีก “ต่อไปนี้ท่านก็คงไม่ต้องมาแอบวาดรูปข้าแล้วสินะ”
“ใช่ ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว.. ข้าก็ขอถือโอกาสขออนุญาตเลยก็แล้วกัน ข้าจะตั้งใจวาดออกมาให้สวยที่สุด
เจ้าจะได้มีรูปเก็บไว้เป็นของตัวเอง”
“ขอบคุณมากๆ เลยนะ ท่านช่างใจดีกับข้านัก”
“ก็เพราะว่าข้ารักเจ้ายังไงล่ะ” พูดจบก็เอาสอดมือโอบเอวบางเอาไว้
สายตามองเห็นริมฝีปากสีสดสวยเม้มเข้าหากันนิดหน่อย
จนถึงตอนนี้จุนก็ยังคงเขินอายต่อสายตาคมคายของร่างสูง
ไม่กล้าสบมองด้วยเลยสักครั้งยามถูกจ้องแบบนี้
“ว.. วันนี้
ข้ายังไม่ง่วงนอนเท่าไหร่ แล้วข้าก็ยังไม่อยากให้ท่านดับตะเกียง..”
“…”
“ท่าน.. อยากวาดรูปของข้าไหม?
ข้าจะนั่งเฉยๆ ให้ท่านวาดจนกว่าจะเสร็จ”
“แต่มันอาจใช้เวลานานมากเลยก็ได้นะ เจ้าจะทนนั่งนานๆ ได้งั้นหรือ?”
“ก็ข้ายังไม่ง่วงนี่” จุนยืนกรานเช่นเดิม
ขณะเดียวกันแก้มของเขาก็ถูกเรียวนิ้วของร่างสูงลูบไล้ไปมาอย่างถนอม
จากนั้นนิ้วโป้งของคริสจึงเลื่อนมาที่ริมฝีปากบางที่มักจะเย้ายวนให้ร่างสูงตบะแตกทุกที
“ท่านช่วย…”
น้ำเสียงของจุนขาดตอนจากการที่เขาหยุดพูด
จุนจับอ้อมแขนอีกข้างของคริสที่ยังอยู่บนเอวของตัวเองออกไป
ก่อนที่เขาจะทำเรื่องไม่คาดคิดต่อหน้าต่อตาของเจ้ามนุษย์
นั่นก็คือการปลดเสื้อคลุมของตัวเองออก
จุนถอดมันออกและปล่อยให้ร่วงลงพื้นโดยไม่สนว่าเสื้อคลุมตัวยามตัวนี้จะถูกปักด้ายมาอย่างประณีตเช่นไร
เขาปล่อยให้มันกองอยู่ข้างล่าง
เหลือเอาไว้แค่ร่างกายเปลือยเปล่าให้ร่างสูงได้เชยชม
“วาดรูปนี้ให้ข้าทีนะ”
“จุน.. ข้าวาดแบบให้เจ้าใส่เสื้อผ้าก็ได้นะ”
ชายร่างสูงเอ่ยบอก
ทว่ามือของเขากลับถูกจับขึ้นมาให้สัมผัสกับยอดอกสีชมพูสวยจนสติสัมปชัญญะของคริสแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ
“ท่านชอบร่างกายของข้าไม่ใช่หรือ.. ลองวาดดูสิ ข้าอนุญาต”
“รู้ไหมว่าร่างกายของเจ้าอาจทำให้ข้าวาดรูปไม่เสร็จ
เจ้าก็น่าจะรู้ดีว่าข้าไม่เคยทนต่อสภาพเปลือยของเจ้าได้เลยสักครั้งเจ้าภูติน้อย”
“ถ้าอย่างนั้น.. ก็ถือว่านี่เป็นการฝึกความอดทนก็แล้วกัน”
“เจ้านี่มันช่าง..
ปราดเปรื่อง”
“ท่านจะไปเหลาดินสอก่อนก็ได้นะ ข้าจะรอบนเตียงนี่ล่ะ”
เอาล่ะ.. คราวนี้คริสค่อนข้างเข้าใจอย่างชัดเจนแล้วว่าเขาไม่ใช่คนที่ทำให้จุนมีนิสัยเช่นนี้
แต่บางทีกิริยาและสายตาเย้ายวนชวนเชิญพวกนี้อาจเป็นสิ่งที่มีติดตัวจุนมาอยู่แล้วก็ได้
เพียงแต่ร่างเล็กไม่เคยเปิดเผยให้ใครได้เห็นเพราะเขาไม่เคยใกล้ชิดหรือรักใคร่กับใครมาก่อน
จุนอยู่ตัวคนเดียวมาเสมอ.. ครานี้เมื่อตนสามารถเปิดเผยสิ่งต่างๆ
ของตัวเองให้คริสรับรู้ได้อย่างสบายใจ
จุนจึงเลือกที่จะแสดงออกกับคริสโดยไม่สนใจเลยว่าเขากำลังจะทำให้ร่างสูงสติแตก
สุดท้ายแล้วก็ต้องทำตามที่ร่างเล็กร้องขอ
คริสปล่อยให้จุนขึ้นไปนั่งรอบนเตียง ส่วนตนเองก็เลือกที่จะเดินไปหยิบดินสอในกล่องไม้ออกมาเหลาโดยทิ้งสมุดบันทึกเอาไว้บนเก้าอี้หวายตัวสีน้ำตาล
หลากหลายรูปภาพที่อยู่ในสมุดนั้นเกิดจากภาพที่เห็นจริง
แต่บางรูปก็เกิดขึ้นจากจินตนาการ อย่างเช่นรูปที่จุนมีปีกสยายยาว.. คริสเชื่อว่าจุนเองก็คงจะฝันถึงและคิดถึงเจ้าปีกคู่นี้ในทุกๆ
ช่วงเวลา
หากแต่ความจริงนั้นทำให้ร่างเล็กเลือกที่จะต้องยอมรับว่าตนไม่สามารถบินได้อีกต่อไปแล้ว
ร่างเล็กจึงต้องก้มหน้าก้มตารับโทษต่อ ยามถูกถามถึงเรื่องปีกทีไรก็มักจะเฉไฉและปลอบโยนตัวเองเสมอว่าเขาชินกับชีวิตที่ไร้ปีกไปแล้ว
แต่คริสก็ยังเชื่อว่าจุนนั้นคิดถึงปีกของตนเสมอ
“เอาล่ะ ถ้าเมื่อยก็บอกข้านะ ข้าจะได้หยุด”
“อือ”
“แต่ถ้าข้าทนไม่ไหว..
เจ้าก็ต้องยอมรับชะตากรรมนะเด็กน้อย”
“รีบวาดเสียเถอะ ไม่อย่างนั้นข้าจะห่มผ้าและดับตะเกียงเข้านอนเสียเดี๋ยวนี้”
“เข้าใจแล้ว”
จงจำเอาไว้
คำพูดของเจ้า
อาจทำให้กุหลาบผลิบานไปทั่วทั้งท้องทุ่ง
หรืออาจจะ
เผาไหม้กุหลาบทั้งทุ่งให้มอดไหม้ตายตกไปพร้อมกัน
Gemma Troy
หลายสัปดาห์ถัดมา
“ท่านผู้นั้นคงน่ารักกับเจ้ามากเลยสินะ เจ้าถึงได้เอาแต่ยิ้มเอาๆ
ยามพูดถึงเขาเช่นนี้”
“ข้ายิ้มเยอะขนาดนั้นเลยหรือ?”
“ก็เยอะกว่าที่ข้าเคยเห็นมาตลอด”
ยามเจ้าภูติประจำต้นโอ๊คสีแดงต้องมาทำงาน จุนจึงจำต้องใช้สายตาสอดส่องไปทั่วลำต้นว่ามีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่
ซึ่งก็มองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าใบที่เคยแห้งเหี่ยวร่วงลงพื้นนั้น บัดนี้ค่อยๆ
กลับมางอกงามจนร่างเล็กหายกังวลใจ
เมื่อดูแลต้นไม้เสร็จแล้ว
เด็กหนุ่มจึงต้องมากวาดเศษใบซึ่งมักจะร่วงลงมาเป็นประจำ
ในขณะที่กำลังกวาดเศษใบโอ๊ค
คณานิมฟ์สาวแสนสวยก็ผุดขึ้นจากน้ำขึ้นมานั่งพูดคุยเป็นเพื่อนแก้เหงาให้กับจุน
เนื่องจากวันนี้จุนเดินทางมาที่ต้นไม้คนเดียว
ส่วนเจ้ามนุษย์นั่นถูกสั่งให้อยู่เฝ้าบ้านและช่วยซ่อมแซมประตูไม้ให้กับเจ้าของบ้านแทนที่จะมาด้วยกัน
แน่นอนว่าคริสหัวเสียนิดหน่อยที่วันนี้เขาไม่ได้ออกมากับจุน
เพราะสำหรับคริสแล้วการอยู่ใกล้จุนนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญ คนตัวเล็กมีเสน่ห์ล้นล้าน
หน้าตาจิ้มลิ้มเสียจนอยากจะจับขังไว้ที่บ้านเพราะกลัวคนอื่นจะมาฉวยโอกาสยุ่งวุ่นวายเหลือเกิน
หากแต่ก็ไม่สามารถขัดใจจุนได้เพราะงานซ่อมประตูบ้านก็สำคัญเช่นกัน
“นานๆ ทีข้าจะได้ยินเรื่องดีๆ ของมนุษย์
หวังว่าเขาคงจะปฏิบัติตัวดีกับเจ้าไปตลอดนะ” แม่นางนิมฟ์ผมขาวเอ่ยบอกพลางส่งรอยยิ้มให้
นางนั้นยังคงเปลือยกายเช่นทุกวัน ทรวงทรงองค์เอวถือว่าน่าสัมผัสเป็นไหนๆ
หากแต่จุนไม่เคยคิดเรื่องบัดสีกับพวกนางเลย
กลับกันพวกนางคือเพื่อนที่ดีสำหรับจุนมาตั้งแต่ยังเล็ก
“ข้าก็หวังเช่นนั้น ข้าชักอยากให้เขาอยู่ในโลกนี้เสียแล้วสิ แต่ก็นะ.. ท่านคริสมีบ้านของเขาที่โลกมนุษย์
และเขาเป็นมนุษย์ อย่างไรเสียเขาก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตเช่นเดิม”
“อะไรกัน? นี่หมายความว่าเจ้าจะปล่อยให้เขากลับไปอย่างนั้นหรือ?
ไหนว่าชอบเขานักหนา? ไหนว่าชอบให้เขากอดนักหนา? ทำไมเจ้าถึงคิดเช่นนั้นกันเล่า?”
“ข้าคิดมาดีแล้ว ที่นี่หาใช่บ้านของเขาเสียหน่อย
เขาไม่มีทางอยู่ได้หรอก”
“แต่ข้าคิดว่าท่านผู้นั้นอยู่ได้นะจุน”
“คุยอะไรกันอยู่หรือ? ขอข้าร่วมวงสนทนาอีกสักคนได้หรือไม่?”
“แอล”
“องค์รัชทายาท ถวายบังคมเพคะ”
“อย่าพิธีรีตองกับข้านักเลย ทำตัวตามสบายเถอะ” แอลยกมือห้ามปราม แม่นางนิมฟ์ไม่ทราบว่าแอลมาอยู่ตรงนี้เสียตั้งแต่เมื่อไหร่
หากแต่ถ้าเขาอยู่มานานแล้วก็ช่างเป็นที่น่าพอใจสำหรับนาง
เพราะนางเห็นว่าเขาควรตื่นรู้ได้แล้วจุนไม่เคยมีใจให้
เจ้าภูติน้อยไม่เคยมีใจมาแต่ไหนแต่ไร ตั้งแต่รู้จักกับจุนมา.. จุนแทบไม่เคยแสดงอาการชอบแอลเลยสักครั้ง
“ข้าตามหาตั้งนาน
นึกว่าจะอยู่ที่ทุ่งดอกไม้แต่พวกกระต่ายบอกว่าเจ้าเพิ่งไปที่นั่นเมื่อตอนเช้า”
“ใช่แล้วล่ะ ข้าไปให้อาหารลูกกระต่ายมา
แล้วก็ไปสอบถามเรื่องความเป็นอยู่ในโพรงใหม่ของพวกนั้นด้วย”
“แล้วว่าอย่างไรล่ะ?”
“พวกเขาอยากได้โพรงใหม่ที่กว้างกว่านี้ เพราะคราวนี้ลูกกระต่ายมีมากถึง
4 ตัว
เกรงว่าจะอยู่กันไม่ไหว”
“งั้นก็ให้เขามาอยู่ที่ใต้ต้นไม้ของเจ้าสิ
ต้นไม้เจ้าดูจะใหญ่พอที่จะให้ที่พักพิงกับกระต่ายได้นะ”
“ข้าก็คิดเช่นนั้น” จุนยิ้มบางๆ
เขากวาดเศษใบโอ๊คลงถังไม้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะดึงฝามาปิด เศษใบพวกนี้สามารถนำไปใช้ก่อเป็นฟืนได้
ซึ่งเขาเองก็เพิ่งจะได้ยินคริสบ่นว่าฟืนไฟกำลังจะหมดลงแล้ว
เช่นนั้นจุนจึงหวังว่าใบไม้พวกนี้จะเพียงพอ
“แม่ข้าฝากผ้าทอผืนใหม่มาให้เจ้า
ท่านว่าสีมันสดใสไม่เหมาะกับวัยอย่างท่าน ท่านจึงนำมาฝากข้าเอาไว้ให้เจ้า
จะให้ยอลก็กระไรอยู่เพราะผ้านี่เป็นสีชมพู ส่วนแม่นางนิมฟ์… ดูเหมือนพวกนางจะชอบร่างกายที่ไม่มีอาภรณ์มากกว่า”
“นินทาข้างั้นรึ?”
“เปล่าๆ ข้าพูดความจริงนะ” แอลหัวเราะออกมา
ดวงตาเรียวเล็กโค้งเป็นรุปพระจันทร์เสี้ยวอย่างชัดเจน
จุนจึงจำต้องละมือออกจากงานกวาดและเดินเข้าไปหาแอล สองมือยื่นไปรับห่อผ้าจากในมือของร่างสูงมาเชยชม
อันที่จริงจุนเองก็ไม่ค่อยจะมีเสื้อผ้าสีชมพูเพราะเขาชอบสีฟ้าและเขียวมากกว่า
มันช่างสบายตายามมองดูนานๆ สีชมพูจึงให้ความรู้สึกแปลกไปนิดหน่อย
“สวยมากๆ เลยล่ะ ฝากขอบพระทัยท่านราชินีด้วยนะ”
“ได้สิ” แอลพยักหน้า ขณะที่จุนกำลังนำผืนผ้ามาคลี่เพื่อมองดูฉลุลายให้เต็มตา
ทว่าแอลกลับพบสิ่งผิดปกติบนมือของจุนจนร่างสูงเปลี่ยนสีหน้าเป็นขมวดคิ้วอย่างรวดเร็ว
“จุน ทำไมเล็บเจ้าเป็นสีนั้น?”
“หือ?” เมื่อถูกทักเช่นนั้น จุนจึงละมือออกมาจากผ้าสีสวยก่อนจะพลิกมือของตัวเองขึ้นมา
เขาพบสิ่งผิดปกติอย่างที่แอลเห็นเช่นกัน
และแน่นอนว่าแม่นางนิมฟ์ที่กำลังนั่งอยู่บนขอบลำธารเองก็คงจะเห็นเช่นกัน
นางแหงนหน้าเงยขึ้นไปมองบนต้นไม้ของจุนจะหันกลับมามองที่มือของร่างเล็กอีกหน
เล็บของจุนเปลี่ยนสี.. มันกำลังเปลี่ยนเป็นสีชมพู
เสมือนถูกเอามือลงไปจุ่มในน้ำผักกาดแดง (น้ำบีทรูท)
“ข้า..”
“เจ้าไปทำอะไรมา?”
“…”
“มนุษย์หน้าโง่นั่นทำอะไรเจ้า!?”
“…”
“พระองค์ ใจเย็นๆ เถิด อย่าตวาดใส่จุนเช่นนี้เลย”
แม่นางนิมฟ์ที่กำลังเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่จำต้องรีบลุกขึ้นมาห้ามองค์รัชทายาทที่กำลังเลือดขึ้นหน้าให้ใจเย็นก่อนสักนิด
นางใช้สองมือกุมไหล่บางของจุนเอาไว้
ในขณะที่ร่างเล็กนั้นกำลังมือสีเล็บของตัวเองด้วยสติที่หลุดลอยไปแล้ว
“ข้าว่าจุนเองก็เพิ่งจะเห็นมันเช่นกัน
เพราะอย่างนั้นท่านอย่าเพิ่งบีบเค้นเอาความใดๆ จากจุนตอนนี้เลย”
“ถ้าเจ้าไม่ตอบข้าจะไปถามไอ้มนุษย์นั่นเอง”
“แอล! / องค์รัชทายาท!”
“…” คนที่มือสั่นเสียยิ่งกว่าจุนอาจเป็นแอล
เขาโกรธจนปากสั่นมือสั่นไปหมด
โกรธจนไม่รู้ว่าควรจะเริ่มซักไซ้หาความจริงจากที่ใดก่อน
หากแต่ด้วยความที่ไม่ชอบใจมนุษย์เป็นทุนเดิมอยู่แล้วจึงทำให้เขาเลือกที่จะมองว่าคริสเป็นฝ่ายผิดในทันที
“คือข้า..”
จุนไม่กล้าพูดมันออกมา เขาสับสนและเรียบเรียงสิ่งต่างๆ ไม่ถูก “ข้ากับท่านคริส..”
“…”
“เรารักกัน” ความจริงถูกสารภาพ
ทว่าเป็นความจริงอันแสนเจ็บปวดที่แล่นเข้ามาตบหน้าองค์รัชทายาทฉาดใหญ่
แอลนิ่งไปในทันทีที่ได้สดับฟังประโยคนั้น เขาใช้สายตาเย็นชามองจุนอย่างขุ่นเคืองจนร่างเล็กไม่กล้าสบตาตอบ
กลับกันจุนกำลังปล่อยให้น้ำตาของตนร่วงลงมาจนแม่นางนิมฟ์ต้องลูบไหล่ปลอบประโลม
ต้นโอ๊คสีแดงเริ่มจะออกผลลูก
เล็บสีเขียวผันแปรเปลี่ยนเป็นสีชมพู
และสีชมพูคือสัญญาณแจ้งเตือนให้รู้แจ้งว่าแฟร์รี่กำลังตั้งครรภ์ลูกน้อย..
การที่คนเราต้องข่มตาหลับขับตานอนเพราะต้องเก็บความลับจากคนที่กำลังนอนกอดเราอยู่นั้นถือเป็นเรื่องที่ยากที่สุดในชีวิตของจุนนับตั้งแต่เกิดมาเลยก็ว่าได้
จุนไม่กล้าปริปากแม้แต่น้อยเกี่ยวกับสภาวะร่างกายของตัวเองที่กำลังเปลี่ยนแปรไป
แม้เล็บสีชมพูค่อนไปทางแดงจะฟ้องอย่างเด่นหราว่าตนกำลังมีครรภ์
หากแต่ก็ไม่กล้าที่จะพูดเอ่ยสิ่งใดออกมาให้คริสได้รับรู้
เพราะอีกคนนั้นมีความฝันมากมายอยู่ที่โลกมนุษย์
เหตุใดจึงจำเป็นต้องบอก..
นั่นเป็นความคิดสุดท้ายที่แล่นเข้ามาในหัวของจุนก่อนที่ร่างเล็กจะผล็อยหลับไปในอ้อมกอดของคริส
ท่ามกลางเสียงลมพัดไหวและเสียงกระดิ่งที่ห้อยเอาไว้ตรงหน้าต่าง
ค่ำคืนอันแสนสาหัสผ่านไปแล้ว
แต่จุนก็ยังต้องมาเผชิญกับยามกลางวันอันแสนวิกฤต
ในหัวของเขาก็ยังคงติดอยู่กับเรื่องพวกนี้
ไม่กล้าแม้แต่จะบอกยอลหรือขอคำปรึกษาจากใคร
กับแอลนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงเพราะแอลนั้นกำลังโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงสุดชีวิต
แน่นอนว่าเขาต้องไม่พอใจสุดขีดที่จู่ๆ
คนที่ตนมีใจให้มาตั้งแต่วัยเยาว์กลับไปมีความสัมพันธ์กับมนุษย์หน้าโง่ที่เพิ่งจะรู้จักกันได้เพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น
ที่น่าเจ็บใจที่สุดก็คือพวกเขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งจนถึงขั้นที่จุนกำลังตั้งครรภ์
ทุกอย่างมันช่างรวดเร็วและน่าสับสนจนทำให้แอลตั้งรับไม่ทัน
ตลอดทั้งวันจุนจำต้องปั้นสีหน้าเพื่อยิ้มรับทุกคำพูดจากคริสเพื่อไม่ให้ร่างสูงจับผิดตนได้
สาเหตุที่จุนเลือกที่จะไม่บอกคริสคงเป็นเพราะเขาได้รับรู้มาตลอดว่าร่างสูงมีความฝันอันยิ่งใหญ่แค่ไหนในโลกมนุษย์นั่น
ความฝันที่อยากจะสอนหนังสือเด็กๆ ความฝันที่อยากจะเขียนเรื่องราววิทยาทานต่างๆ
เพื่อให้มนุษย์มีความรู้และความก้าวหน้า
ความฝันพวกนั้นถือเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคริสมากๆ
จนจุนมิอาจคิดเข้าไปขัดขวางหรือรบกวน
เขาพอจะรู้ว่าคริสนั่งนับวันรอให้กลุ่มดาวปรากฏบนท้องฟ้าอยู่ทุกวัน เช่นนั้น.. การเก็บความลับเอาไว้น่าจะดีกว่าการบอกออกไป
เวลาค่ำคืนเดินทางมาถึงอีกแล้ว
จุนแอบมองร่างสูงที่กำลังนั่งเขียนหนังสืออยู่บนเก้าอี้หวายตัวเดิม
ส่วนร่างเล็กนั้นเกาะอยู่ตรงขอบประตูพลางคิดว่าตนควรทำเช่นไรดี
สุดท้ายก็เลือกหาทางอออกให้กับปัญหานี้โดยไม่คิดจะปรึกษาหรือไถ่ถามใคร
เพราะจุนคิดว่าเรื่องนี้ควรเป็นเรื่องที่ตนต้องตัดสินใจแต่เพียงผู้เดียว
“ท่าน..”
“หืม? เก็บเสื้อผ้าเสร็จแล้วเหรอ?”
“อือ ใช่ เก็บเสร็จหมดแล้ว” จุนพยักหน้า สองมือกำและถูกันไปมานิดหน่อย
“ท่านคริส”
“ว่าไง?”
“อีก 7 วัน กลุ่มดาวก็จะปรากฏแล้วนะ
ท่านจะได้กลับบ้านแล้วนะรู้ไหม?”
“งั้นเหรอ?”
“อืม”
“…”
ร่างสูงกรอกสายตาไปมาราวกับกำลังใช้ความคิด ดินสอไม้ในมือถูกควงหมุนไปเรื่อยๆ
อย่างชำนาญโดยไม่มีทีท่าว่ามันอาจจะร่วงหล่นลงพื้นจนหักและต้องนำไปเหลาใหม่
“ช่างเถอะ ข้าตัดสินใจแล้วว่าข้าจะไม่กลับไป อยู่ที่นี่ก็สุขสบายดี
ชีวิตไม่วุ่นวาย เงียบสงบ แถมยังมีเจ้าคอยข้างกาย
เพราะอย่างนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องออกไป”
“แต่ท่านบอกว่าเพื่อนของท่านกำลังรออยู่ไม่ใช่หรือ?
ท่านจะไม่กลับไปได้อย่างไรกัน?”
“พวกเขาคงเลิกตามหาข้าแล้วล่ะ นี่มันก็.. 10 กว่าสัปดาห์แล้วที่ข้าหายหน้าไปจากพวกเขา
ป่านนี้ข้าคงขึ้นทะเบียนคนหายไปแล้วเรียบร้อยและพวกเขาก็คงเลิกตามหาข้าไปแล้ว”
“ล.. แล้ว.. พ่อแม่บุญธรรมของท่านล่ะ พวกเขาต้องเป็นห่วงท่านแน่ๆ
ไหนจะเรื่องที่ท่านบอกว่าอยากจะไปสอนหนังสือให้กับเด็กๆ อีก
ความฝันอย่างอื่นของท่านอีกล่ะ ท่านจะไม่กลับไปได้อย่างไร?”
“ก็คนรักของข้าอยู่ที่นี่ จะให้ข้ากลับไปได้อย่างไร?”
“…”
“ถ้าข้ากลับไป ข้าก็จะไม่ได้มาที่นี่อีกเลยตลอดกาล.. ทั้งๆ ที่ข้ากับเจ้านั้นรักกัน..
แล้วจะให้ข้าทิ้งเจ้าอย่างนั้นเหรอ?”
คราวนี้คิ้วของคริสเริ่มขมวดเข้าหากัน มือหนาพับสมุดและสอดมันลงข้างๆ พนักวางมือก่อนจะลุกขึ้นมาหาจุนที่กำลังยืนขมวดคิ้วไม่ต่างจากเขา
“เจ้าอยากให้ข้ากลับไปเหรอ?”
“…”
“จุน..”
“ก็นี่มันไม่ใช่โลกของท่าน แล้วท่านจะอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”
“ก็แล้วทำไมข้าจะอยู่ไม่ได้
ในเมื่อข้าเองก็อาศัยอยู่มาหลายต่อหลายแรมวันจนชินแล้ว”
“…”
“ทำไมเจ้าถึงอยากให้ข้ากลับไปล่ะ? เจ้าก็รู้นี่ว่าถ้ากลับไป
เราก็จะไม่ได้เจอกัน และมันแปลว่าเราต้องจากกัน มันแปลว่าเราต้องบอกลากันนะ”
“…”
“มันแปลว่าเราจะไม่ได้อยู่ด้วยกันนะ”
“…”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าเนี่ย..”
บรรยากาศภายในบ้านเปลี่ยนแปรมาเป็นความตรึงเครียดทันที จุนไม่ได้ตอบคำถามของคริสในหลายๆ
ข้อ เขาใช้ความเงียบเป็นตัวกดดันให้ร่างสูงหัวเสีย
แต่ในขณะเดียวกันหัวใจของจุนก็เริ่มทำงานอย่างผิดปกติ
มันเสียดจุกจนพาลจะทำให้น้ำตาเกือบไหล แต่จุนก็ยังคงกลั้นมันเอาไว้
“ถ้าเรารักกัน.. แล้วทำไมเราถึงต้องไปจากกันด้วยล่ะ?
ในเมื่อเราก็อยู่ด้วยกันได้นี่”
“ข้าไม่เคยบอกรักท่านเลยสักครั้ง”
“อะไรนะ?”
“ข้าไม่เคยพูดคำนั้นเลย มีแต่ท่านคนเดียวที่พูดออกมา”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?” คราวนี้จุนสามารถยั่วโมโหคริสได้สำเร็จ
เพราะทันทีที่จุนพูดจนจบประโยคสายตาของคริสก็เปลี่ยนมาเป็นแววอันแข็งกร้าว
ไฟอารมณ์ลุกลามไปทั่วจนทำให้ร่างสูงคุมตัวเองไม่อยู่ เผลอดึงข้อมือของจุนมาบีบเอาไว้จนร่างเล็กเผลอร้องออกมา
“อะ! ข้าเจ็บ.. ปล่อยข้า”
“เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไร?”
คริสออกแรงบีบแขนของจุนโดยไม่รู้ตัวว่าเขาบีบแรงมากแค่ไหน
แต่มันก็แรงพอที่จะทำให้จุนต้องรีบเอามือมาแกะออก ทว่ากลับไม่สำเร็จเพราะแรงของคนตัวสูงนั้นมีมากกว่า
“ข้าบอกว่าข้าไม่เคยรักท่าน”
“ไม่รักอย่างนั้นเหรอ? ถ้าไม่รัก.. แล้วจูบข้าทำไม.. กอดข้าทำไม..
ปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้ข้าทำไม!”
“ท่านคริส! ข้าเจ็บนะ!”
“ข้าน่ะเจ็บกว่าเจ้าอีก! ที่ผ่านมาข้าคิดว่าเราสองคนรักกัน
แต่วันนี้เจ้ากลับบอกว่ามันไม่ใช่ความรัก.. แสดงว่ามีแต่ข้าคนเดียวใช่ไหมที่โง่งมงายเสียรู้ให้กับเจ้า!” เสียงทุ้มตวาดลั่นก่อนจะสะบัดแขนของจุนอย่างไม่ใยดี
ทำเอาคนตัวเล็กต้องเบ้หน้าเพราะความเจ็บ สุดท้ายน้ำตาของจุนก็ไหลลงมาเป็นทาง
ทั้งตระหนกเพราะเสียงตะคอก ทั้งกลัวเพราะถูกสะบัดแขนทิ้งอย่างแรง
ทั้งเสียใจที่พูดคำนั้นออกไปทั้งๆ ที่ความจริงเขารักร่างสูงจะแย่อยู่แล้ว “คงเพราะว่าข้าไม่ใช่แอลใช่ไหม..”
“…” เปล่า..
เปล่าเลย ไม่เกี่ยวกับแอลเลย ข้าไม่ได้รักแอลเลยสักนิด
“ข้าน่าจะรู้ตัวว่าข้ามาทีหลัง
ข้าคงไม่สามารถสู้คนที่อยู่กับเจ้ามาเป็นสิบปีได้อย่างคนๆ นั้นหรอก
เขาคงเอาใจใส่เจ้าดีมาตลอด คงทำให้เจ้าไว้ใจได้จนมากพอที่จะฝากชีวิตเอาไว้”
“…”
“ข้ามันก็แค่มนุษย์กระล่อน ดีแต่หยอดเจ้าไปวันๆ
ไม่เคยทำอะไรให้เจ้าประทับใจได้เลยสักครั้ง
ทั้งยังชอบทำให้เจ้าประสาทเสียจนต้องเดินหนีอย่างที่เจ้าเคยบอก”
“…”
“ข้าไม่รู้หรอกนะว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า
แต่ถ้าที่ผ่านมามันเป็นสิ่งที่ข้าคิดไปเองฝ่ายเดียว
ข้าก็ขอโทษด้วยแล้วกันที่ล่วงเกินเจ้า และข้าจะไม่บังคับฝืนใจเจ้าอีก”
สิ้นวาจาสุดท้าย ร่างสูงก็เดินหนีออกไป
เขาไม่แน่ใจนักว่าตนทำกิริยาประชดประชันออกไปมากน้อยแค่ไหน แต่เสียงปิดหีบโครมก็พอจะทำให้จุนตกใจจนสะดุ้งไปไม่น้อย
เด็กน้อยร้องไห้กระซิก มองดูท่านมนุษย์หยิบกระเป๋าออกมาเอาใส่ของที่ตนนำติดตัวมา
ถุงนอนที่เคยวางพับเอาไว้มุมบ้านยามนี้ถูกหยิบมาม้วนเข้ากระเป๋าก่อนที่ร่างสูงจะแบกมันสะพายขึ้นหลังและรีบเดินไปสวมรองเท้า
เช่นนั้นจุนจึงรีบวิ่งตามคริสไป
เขาเอื้อมมือไปฉุดรั้งคนตัวสูงเอาไว้ทั้งน้ำตาที่กำลังนองหน้า
หากแต่ก็ยังคงไม่ได้รับความสนใจจากคริสเลยแม้แต่น้อย
“ฮึก.. ท่าน.. จะไปไหน..”
“ข้าโง่มามากพอแล้วจุน ข้าไม่อยู่ให้เจ้าหลอกให้รักต่อไปอีกแล้ว”
“…”
“อีกอย่างก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องอยู่ที่นี่ อีกแค่ 7 วันประตูก็จะเปิด.. ข้าหากินเองตามท้ายป่าไป เจ้าไม่ต้องมาเสียเวลากับข้าหรอก”
“แต่ว่า.. ฮึก..”
“ปล่อยข้า” คริสสะบัดมือของจุนออกจนทำให้ร่างเล็กเซไปนิดหน่อย
แต่ถึงอย่างนั้นแล้วจุนก็ยังคงพยายามที่จะเข้าไปรั้งชายร่างสูงเอาไว้ ทว่าสุดท้ายแล้วก็ไม่เป็นผล
เพราะท่านมนุษย์ได้ปิดประตูดังปังใส่หน้าคนที่กำลังยืนร้องไห้สะอึกสะอื้นตัวโยนอยู่เพียงลำพังภายในบ้าน
“..ฮึก.. อึก.. ข้าขอโทษ..”
จุนได้แต่เอ่ยคำนั้นออกมา อยากจะขอร้องอ้อนวอนให้กลับมาอยู่ด้วยกัน
หากแต่ก็ไม่สามารถทำได้เพราะอย่างไรเสียเขาก็คงจะไม่มีวันปล่อยให้คริสมาติดแหงกอยู่ในโลกใบนี้
จุนไม่เคยลืมตัวเองว่าตนเป็นใคร ตนเป็นแค่อมนุษย์ที่ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อให้คู่กับมนุษย์
โลกที่เขาอยู่ก็เต็มไปด้วยเพื่อพิศวงเช่นกัน
มันไม่ใช่โลกที่คริสพึงควรที่จะมาอาศัยอยู่ไปตลอดชีวิต
พวกเขาควรอยู่ในที่ของใครของมัน ไม่ควรจะอยู่ผิดที่ผิดทางเช่นนี้
การได้มาพานพบกันในครั้งนี้อาจเป็นเรื่องของฟ้าที่กำลังเล่นตลก
ฟ้าซึ่งกลั่นแกล้งให้มนุษย์รูปงามคนหนึ่งต้องมาตกหลุมรักอมนุษย์โฉมสะคราญ
ปล่อยให้เจ้ามนุษย์หลงอยู่ในภวังค์ของดวงตาและรอยยิ้มพิมพ์ใจของแม่นางไม้ผู้ที่แสนจะใจดี
สุดท้ายแล้วเจ้ามนุษย์ก็หลงรักนางไม้อย่างสุดหัวใจ กระทั่งถึงวันหนึ่งที่ต้องยอมรับความจริง
เจ้ามนุษย์จึงตื่นรู้ว่ารักครั้งนี้มิอาจไปสู่ฝั่งฝันได้อย่างที่หมาย
แม่นางไม้เองก็เสียใจ ร้องไห้จนแทบขาดใจแต่ก็ไร้ซึ่งหนทางจะเอาคนรักกลับมาได้
“ข้าขอโทษ..”
to be continued…
@mmangmoom
: ขอโทษที่มาต่อช้านะ ติดปัญหาหลายๆ
อย่างในการเขียนก็เลยไม่สามารถเอามาลงได้ตามกำหนดค่ะ พาร์ทนี้ก็จะหน่วงนิดนึงนะคะ
ยังไงก็ฝากหยิกเจ้าภูติน้อยทีค่ะ ไปบอกพี่เค้าว่าไม่ได้รักแบบนั้นได้ยังไงก็ไม่รู้
เราแก้คำผิดไปแล้ว แต่จะตามมาแก้คำผิดอีกทีนะคะ เผื่อมีตกหล่นค่ะ
ปล. อย่าลืมคอมเม้นท์น้าาา
ปล. ถ้านึกถึงชุดที่น้องจุนใส่วันฉลองต้นไม้ไม่ออก ย้อนกลับไปดูตอนที่แล้วได้นะฮับ มี info บอกอยู่ค่ะ
![นิยายแฟร์ 2024](https://image.dek-d.com/contentimg/2024/writer/assets/fair/07/reader_850x90.webp)
ความคิดเห็น