ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) KRiSHO FICTION by MMANGMOOM

    ลำดับตอนที่ #137 : ♡ Once Upon a Time (mpreg)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 845
      34
      27 มิ.ย. 61

    Once Upon a Time
    Kris x Suho
    (mpreg)






    คำเตือน : ไม่เหมาะกับคนที่ไม่ชอบอ่านแนว Beyond Fantasy / Mpreg นะคะ
    แบ่งอ่านได้ค่ะเพราะยาวมากๆ






     

    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วในยุคเรเนเซองส์ ในช่วงเวลาที่โลกมนุษย์ยังคงเต็มไปด้วยนิทานปรัมปรา ตำนานเล่าขาน บ้านเมืองตกอยู่ในความทรุดโทรมจนต้องเริ่มหันมาพัฒนากันใหม่ มีการฟื้นฟูศิลปะวิทยาและมีศูนย์กลางอยู่ที่อิตาลี ผู้คนในยุคนั้นได้หันมาสนใจในเรื่องของ ความสุข ความสวย ความงาม ความโอ่อ่า และนำมาซึ่งสถาปัตยกรรม ผลงานทางดนตรีและศิลปะ

    ห่างออกไปจากเมืองที่มีสวยงามโอ่อ่า ณ ชานเมืองที่ไร้ซึ่งความเจริญและแออัด รอบข้างกอปรด้วยต้นไม้ ทุ่งหญ้า สัตว์เกษตร บ้านของช่างตัดฟืนและตลาดที่เต็มไปด้วยแม่ค้าพ่อค้านิสัยน่ารัก ชายหนุ่มทั้งสามคนที่ซึ่งสนใจในเรื่องของวิทยาศาสตร์นั้นพากันออกเดินสำรวจในป่าที่ใครๆ ต่างก็เล่าขานว่ามันช่างลึกลับและแฝงไปด้วยเรื่องมหัศจรรย์ต่างๆ มากมาย มือของพวกเขาถือเข็มทิศเอาไว้ สายตาสำรวจมองไปยังรอบตัวของตน พบว่ามีแต่ต้นไม้นานาพันธุ์ ความเปียกชื้น กลิ่นไอดินและผีเสื้อโบยบิน

    คริส เป็นนักสำรวจซึ่งออกเดินทางมาพร้อมกับเพื่อนของตนเพื่อมาศึกษาสายพันธุ์ของเจ้าแมลงทั้งหลาย เขาออกสำรวจเพื่อนำข้อมูลที่ได้มาจดบันทึกเอาไว้และนำมันออกมาให้ความรู้กับนักเรียนในแถบชานเมือง บางครั้งเขาก็มักจะถูกเรียกตัวให้เข้าไปสอนเจ้าหญิงและเจ้าชายน้อยในพระราชวัง เนื่องจากในประเทศนี้ยังคงขาดผู้ที่มีความรู้เรื่องสัตวิทยาเป็นจำนวนมาก คริสจึงเป็นอีกคนหนึ่งที่ใครๆ ต่างก็ไว้ใจให้มาเพิ่มพูนการเรียนการสอนแก่บรรดาลูกหลาน

     

    “ข้าคิดว่าเราคงจะต้องแยกกันตรงนี้ จอห์น.. เจ้าไปทางทิศตะวันออกนั่น ส่วนเจ้าไปสำรวจป่าทางเหนือ ส่วนข้าจะสำรวจป่าทางใต้กับทางตะวันตกเอง” เจย์ หนึ่งในนักสำรวจหยุดเดินและเอ่ยขึ้น พวกเขาจ่ายงานให้กับเพื่อนทั้งสองก่อนจะคล้องเข็มทิศเอาไว้กับคอ

    “แล้วเราจะมาเจอกันตอนไหน.. ก่อนพระอาทิตย์ตกหรือวันพรุ่งนี้ดี?” จอห์นเอ่ยถาม

    “ก่อนพระอาทิตย์ตกดีกว่านะ พรุ่งนี้ตอนบ่ายพวกเราต้องเข้าเมืองเพื่อไปส่งตำราให้กับทางหอสมุดหลวง เพราะงั้นรีบไปรีบกลับเถอะ” คริสออกความคิดเห็น ก่อนที่เพื่อนทั้งสองจะพยักหน้าตามและพากันแยกย้ายออกจากพื้นที่ตรงนี้

     

    ชายหนุ่มตัวสูงย่ำรองเท้าของเขาไปตามพื้นดินที่เปียกแฉะ บางทีคราบมอสก็ทำให้เขาเผลอลื่นบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับเป็นอันตรายใดๆ แผนที่ในมือถูกใช้เพื่อนำทางไปยังป่าทิศเหนือ ขณะที่กำลังเดินเขาก็ได้พบกับแมลงปีกสวยที่กำลังเกาะอยู่บนดอกหญ้า

    ขายาวค่อยๆ ก้าวเข้าไปโดยพยายามไม่ให้กิ่งไม้ต่างๆ ขยับไหวตาม เพราะถ้าหากมีกิ่งไม้สั่นไหวแม้แต่กิ่งเดียว เจ้าแมลงปีสวยนั่นอาจบินหนีไปได้ และโอกาสที่คริสจะได้ศึกษาเกี่ยวกับมันก็จะหายไปในพริบตา เพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น เจ้าแมลงปีกสวยก็ถูกจับไว้ในอุ้งมือใหญ่ คริสรีบย่อตัวลงวางกระเป๋าและหยิบกล่องกระจกใสออกมา ก่อนจะปล่อยให้เจ้าแมลงนั่นเข้าไปพำนักด้านใน

     

    “อย่าโกรธกันเลยนะ ฉันสัญญาว่าจะปล่อยแกไป”

     

    เจ้าแมลงนั่นบินโผไปมาอยู่ในกล่องราวกับกำลังตื่นกลัว แต่สุดท้ายแล้วมันก็ถูกขังเอาไว้ในกล่องกระจก ก่อนที่โลกของมันจะมืดลงเพราะคริสได้นำกล่องใส่กระเป๋าและผูกเชือกกระเป๋าเอาไว้แล้ว ไม่นานพ่อนักสำรวจหน้าตาคมคายก็ออกเดินทางต่อ โดยที่ไม่รู้เลยว่าทางที่ตนกำลังเดินไปนั้นกำลังนำพาตนไปเจอสิ่งแปลกประหลาดที่นักสำรวจ 100 ป่าอย่างเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน

     

     

     

    สองเท้าย่างก้าวมาไกล เข็มทิศที่ตนคล้องคอเอาไว้ถูกหยิบขึ้นมาตรวจดูทิศทางอีกครั้ง แต่โชคร้านที่เข็มทิศของคริสไม่สามารถใช้การได้อีกต่อไปแล้ว มันไม่เคลื่อนไหว ไม่ยอมบอกทิศทาง พอลองใช้มือเคาะตัวเข็มทิศดูก็พบว่ามันพังเข้าแล้วจริงๆ ชายหนุ่มจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เขาหลับตาข่มอารมณ์หัวเสียของตนเอาไว้ก่อนที่จะหยิบแผนที่ในกระเป๋ากางเกงออกมา มันถูกพับจนเหลือแผ่นเล็กนิดเดียว เมื่อกางออกแล้วคริสจึงพยายามตรวจสอบเส้นทางของป่าอีกครั้งอย่างพินิจ ตอนนี้เขาไม่รู้แล้วว่าตนอยู่ที่จุดใด เขาเดินมาไกลมาก แผนที่เองก็ไม่ละเอียดพอที่จะบอกตำแหน่งของร่างสูงได้

    ดวงตะวันกำลังจะลับขอบฟ้าในอีกหนึ่งชั่วโมงและดูเหมือนว่านักสำรวจหนุ่มจำต้องรีบหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้อย่างเร็วที่สุด คนตัวสูงจึงลุกขึ้นและก้าวเท้าออกเดินทางต่อ

    ป่าไม้มีเป็นหลายร้อยแห่ง แต่คริสและเพื่อนเลือกที่จะมาที่นี่เพราะได้ยินใครต่อใครเล่าขานกันมาว่ามันมีสิ่งแปลกประหลาดให้ค้นหามากมาย บางคนก็ได้พบกับแมลงสายพันธุ์หายาก บ้างก็พบสมุนไพรที่ร่ำลือกันว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว เช่นนั้นนักสำรวจที่ต้องการความรู้เพิ่มเติมอย่างพวกเขาจึงออกเดินทางมาที่นี่ แม้อายุจะยังน้อยแต่ไฟกล้ากลับรุนแรงไม่แพ้พวกบรรดาศาสตราจารย์รุ่นใหญ่ๆ เลย

    จนแล้วจนรอดคริสก็ไม่สามารถหาทางกลับออกไปได้ ทางที่เคยเดินมาก็มีแต่ต้นไม้น้อยใหญ่ชวนให้สับสนไปหมด ยิ่งเดินกลับยิ่งเหมือนกำลังวนอยู่ที่เดิม ดูท่าร่างสูงคงจะติดแหงกอยู่ที่นี่เสียแล้ว แน่นอนว่าการค้างแรมในป่าไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคริส เขาไปเผชิญมาแล้วอย่างนับไม่ถ้วน แต่ป่าพวกนั้นไม่ได้มีความลึกเท่าที่นี่ คริสจึงไม่มั่นใจเลยว่าเขาจะสามารถออกไปจากที่นี่ในวันพรุ่งนี้ได้หรือไม่ เจย์กับจอห์นจะตามหาเขาหรือไม่ และระหว่างที่ต้องพักแรมอยู่ในป่านี้จะมีสิงสาราสัตว์ออกมาอาละวาดหรือไม่

    ชายร่างสูงตัดสินใจเดินหาบ่อน้ำเพราะเขาได้ยินเสียงน้ำตกดังแว่วเข้าหู อีกอย่างน้ำในกระบอกก็เริ่มจะหมดแล้วเสียด้วย เช่นนั้นคริสจึงออกเดินเท้าต่อ หวังว่าจะได้ดื่มน้ำดับกระหาย และเขาอาจพักค้างแรมแถวริมบ่อน้ำเพราะอย่างน้อยก็จะได้มีน้ำไว้กินตลอดทั้งคืน

    เสียงน้ำตกค่อยๆ ดังขึ้นในโสตประสาทเรื่อยๆ คาดว่าอีกไม่ไกลก็คงจะถึงน้ำตกแล้ว แต่ต้นไม้สูงใหญ่นั้นบดบังจนร่างสูงไม่สามารถมองเห็นน้ำตกได้อย่างชัดเจน เขาจำต้องแหวกดึงมันออกไปให้พ้นสายตา กว่าจะได้เห็นน้ำตกจากผาสูงก็เล่นเอายากลำบากแสนทน แต่เมื่อสายตาได้ประจักษ์กับธารน้ำที่พอจะสามารถใช้เลี้ยงชีวิตในค่ำคืนนี้ได้ รอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นที่มุมปาก ก่อนที่ร่างสูงจะก้าวเข้าไปเพื่อดื่มน้ำดับกระหาย

    ขณะที่กำลังก้าวข้ามผ่าหินน้อยใหญ่ จู่ๆ สิ่งที่คริสได้พบเห็นกลับไม่ได้มีแค่น้ำตกเท่านั้น เขามองเห็นร่างของใครบางคนกำลังแหวกว่ายอยู่ในบ่อน้ำ เรือนผมสีแดงสดสวยราวกับลูกเชอร์รี่ ผิวกายขาวเนียนละเอียดน่ามอง คริสยังไม่สามารถแยกออกว่าคนๆ นั้นเป็นบุรุษหรือสตรี แต่ที่แน่ๆ ใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มกลับทำให้ร่างสูงเลือกที่จะหยุดฝีเท้าและจ้องมองคนในบ่อน้ำ

    ทว่า.. สิ่งที่แปลกตาคือใบหู เจ้าของเรือนผมสีแดงเข้มมีใบหูยาวผิดมนุษย์ สองมือขยับพลิ้วไหวเพื่อล่อให้เจ้าผีเสื้อตัวน้อยบินมาเกาะ เขาพยายามถามตัวเองว่าตนไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่? สิ่งที่คนเลื่องลือกันเกี่ยวกับป่าแห่งนี้ก็คือ..

     

    “นางฟ้างั้นเหรอ?”

     

    ร่างสูงถามตัวเองเบาๆ ในขณะที่นางฟ้าบนผิวน้ำกำลังลอยตัวไปมาอย่างสนุกสนาน ทรวดทรงองค์เอวกับผิวขาวเปลือยเป็นที่ประจักษ์ นางฟ้าหัวเราะร่าเริงอยู่กับเจ้าผีเสื้อสามตัวที่กำลังบินโผไปมาใกล้ๆ ตัว ผมสีแดงเข้มเปียกน้ำแต่มันไม่ได้ทำให้นางฟ้าตนนั้นดูแปลกไปเลย กลับกันเสียงหัวเราะและดวงหน้าน่ารักกลับทำให้ใครบางคนที่กำลังแอบดูตนอยู่หลังต้นไม้ผุดรอยยิ้มออกมา

     

    แกร่ก!

     

    “เฮือก!!

     

    กิ่งไม้หักครึ่งเมื่อถูกน้ำหนักเท้าเหยียบลงมาเต็มแรง คริสตกใจไม่น้อยที่เขาทำให้นางฟ้าตัวน้อยตื่นกลัว แต่ดูเหมือนว่านางฟ้าจะตระหนกกว่าที่ร่างสูงคิดร้อยเท่า เพราะร่างบางนั้นเบิ่งตาโพลงราวกับนกฮูกในยามราตรี ก่อนจะรีบมุดไปใต้ผืนน้ำเพื่อหลบหลีกภัยซึ่งกำลังเข้ามาใกล้ตัว

    สุดท้ายคริสจึงตัดสินใจเดินออกจากหลังต้นไม้ เขาค่อยๆ ก้าวไปยังธารน้ำตกในขณะที่ตะวันเริ่มจะลับขอบฟ้า ร่างสูงเองก็รู้สึกประหม่าเช่นกัน เขายื่นมือออกไปตามสัญชาตญาณเพราะต้องการจะให้แม่นางฟ้าใจเย็นลงก่อนจะเริ่มพูดจาทักทายร่างเล็กที่กำลังหลบตนอยู่ใต้ผืนน้ำ

     

    “เอ่อ.. ไม่ต้องกลัวนะ ข้ามาดี ไม่ได้จะมาทำร้ายหรืออะไร” ร่างสูงพูดด้วยความใจเย็นและเป็นมิตร ดวงตาของเขายังคงมองเห็นเจ้านางฟ้ากำลังหลบหลีกอยู่ใต้ผืนน้ำ “ออกมาคุยกันหน่อยนะ ได้ยินข้าหรือเปล่าแม่นางฟ้า?”

    “แม่นางฟ้า ช่วยบอกทางออกไปจากป่านี้ให้ข้าได้หรือไม่? เพื่อนข้ากำลังรออยู่ด้านนอกน่ะ”

    “เอาล่ะ ข้ามาดี.. ไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายเจ้าแต่อย่างใด เพราะงั้นได้โปรดช่วยเหลือข้าสักนิดเถอะนะ ข้าอยากกลับบ้าน”

    “ข้าสัญญาว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้ ข้าจะไม่เปิดเผยเรื่องของเจ้าอย่างแน่นอน”

     

    คริสขุดทุกอย่างที่อยู่ในหัวออกมาพูด แม้ว่าตะวันกำลังเร่งกดดันให้เขารีบหาทางออกไปจากป่าให้ได้ แต่ทว่าคริสก็ยังคงใจเย็นและยินดีที่จะรอให้แม่นางฟ้าหายกลัวก่อนแล้วจึงค่อยถามทางออกจากป่าทีหลัง

    เพียงชั่วขณะในจังหวะที่สายลมอ่อนๆ กำลังพัดผ่าน เจ้าของใบหน้าสวยก็ตัดสินใจยอมโผล่ออกจากผืนน้ำเพื่อคุยกัน ดวงตาสีนิลคู่สวยที่ซึ่งโผล่ออกมาให้คริสจ้องมองเห็นเป็นสิ่งแรก แม่นางฟ้าค่อยๆ แหวกว่ายผ่านม่านน้ำเข้ามาหาแม้จะยังไม่ยอมเปิดเผยใบหน้าทั้งหมด จนกระทั่งคนทั้งสองอยู่ในระยะใกล้กัน.. แม่นางฟ้าผมสีน้ำแดงจึงยอมโผล่ขึ้นจากน้ำก่อนที่คริสจะได้เห็นตัวตนทั้งหมดของร่างบางในน้ำ

    มนุษย์หนุ่มชะงักมิยอมเยื้องย่าง ดวงตาสีนิลเป็นประกายร่ายมนต์สะกดให้เขาต้องตกอยู่ในภวังค์ หากแต่ใช่ความผิดของเจ้าดวงตาคู่นั้นเสียเมื่อไหร่ เพราะไม่ใช่แค่ดวงตาที่ทำให้มนุษย์ใจสั่นไหว ดูเหมือนว่าริมฝีปากจิ้มลิ้มกับจมูกรั้นก็เป็นกับดักชั้นดีเช่นกัน

     

    “ว้าว..” คริสเผลอร้องออกมาเบาๆ โดยที่สายตายังไม่ยอมขยับไหว เขายังคงมองหน้านางฟ้าผู้โสภา ก่อนที่สองหูจะได้ฟังเสียงหวานเอ่ยถาม

    “ท่านเป็นใคร? มาทำอะไรในป่าต้องห้ามนี้หรือ?”

     

    ในที่สุดคริสก็ประจักษ์ว่าแม่นางฟ้าคือบุรุษ หาใช่สตรีแต่อย่างใด ทว่าทรวดทรงองค์เอวอ้อนแอ้นนั่นทำให้เขาแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง กายเล็กคล้ายผู้หญิง ยิ่งใบหน้าหวานรับกับดวงตาสุกใสยิ่งแล้วใหญ่ หากใครได้มองมาจากที่ไกลก็คงต้องตอบเป็นเสียงเดียวกันว่านางฟ้าตนนี้เป็นหญิงอย่างแน่แท้

    มากไปกว่านั้นคืออย่างน้อยคริสก็ได้รู้ว่านางฟ้าเดินดินมีอยู่จริง สายตาของเขาไม่ยอมลดละจากดวงตาคู่สวยนั้นได้เลย แม้สองหูจะได้สดับในสิ่งที่หนุ่มน้อยตรงหน้าถามแล้ว แต่ปากก็ยังอ้ำๆ อึ้งๆ เพราะสตินั้นเบลอรวนไปหมด

     

    “คือ..

    “ข้าเข้ามาสำรวจพืชพันธุ์และสัตว์มีปีกชนิดต่างๆ แต่ดูเหมือนข้าจะพลัดหลงกับเพื่อน ยิ่งเดินหาทางออกเท่าไหร่กลับยิ่งหาทางออกไม่เจอเสมือนกำลังเดินวนอยู่กับที่” คริสอธิบายให้กับนางฟ้าในผืนน้ำฟัง “อันที่จริงข้าตัดสินใจแล้วว่าข้าจะพักแรมที่นี่ แต่ในเมื่อข้าเจอเจ้าแล้ว.. เจ้าช่วยบอกทางออกไปจากป่านี้ได้หรือไม่แม่นางฟ้า?”

    “แม่นางฟ้า.. อย่างนั้นเหรอ?” เสียงหวานเอ่ยถาม รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นที่มุมปากก่อนจะร้องท้วงกับร่างสูงว่าเขาไม่ใช่อย่างที่เจ้ามนุษย์หลงทางตนนี้กำลังคิด “ข้าไม่ใช่นางฟ้า ข้าต่างกับพวกนางลิบลับ และชาตินี้ข้าคงไม่มีวันได้เป็น.. เพราะงั้นอย่าเรียกข้าว่านางฟ้าเลยนะ”

    “ถ้าอย่างนั้น.. เจ้าเป็นใครกันหรือ? หูของเจ้าดู

    “พูดไปท่านก็ไม่เชื่อหรอก” แม่นางฟ้าร่างน้อยแหวกว่ายม่านน้ำหนีไปที่หลังโขดหินก้อนใหญ่ใกล้ๆ กับธารน้ำตกที่กำลังเทลงมา ดูเหมือนว่าเขากำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ที่หลังโขดหินโดยที่คริสไม่สามารถมองเห็นได้ แม้ว่าร่างสูงจะพยายามชะเง้อใบหน้าคอยมองดูอยู่ก็ตาม กระทั่งเด็กหนุ่มรูปงามเดินออกมาจากโขดหินที่ซ่อนพร้อมกับเครื่องนุ่งห่มคลุมกายครบทุกชิ้น เสื้อคอสูงสีฟ้าแขนยาว กางเกงสีครีมยาวกรอมถึงข้อเท้า ทั้งยังมีเสื้อคลุมยาวลากพื้นดั่งที่เคยเห็นในสมัยเรเนซองส์ คริสจึงตระหนักได้ว่าทันทีว่านิทานปรัมปราของชาวกรีก-โรมันนั้นคือเรื่องจริง “ท่านอยากกลับบ้านงั้นรึ?”

    “ช.. ใช่ เพื่อนข้ากำลังรออยู่ที่กลางป่า ข้าต้องรีบออกไปก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน แม้ว่าตอนนี้มันใกล้จะลับขอบฟ้าแล้วก็ตาม”

    “อ่า..

    “เจ้าช่วยข้าได้ไหมหนุ่มน้อย?”

    “ข้าก็อยากช่วยท่าน แต่ดูเหมือนท่านจะโชคร้ายเข้าแล้วล่ะ” เด็กหนุ่มผู้มีใบหูยาวแสดงสีหน้าที่ผิดหวังปนกังวลออกมาเล็กน้อย เขาเดินเข้ามาใกล้คริสทั้งๆ ที่สองเท้าเปล่าเปลือย รากไม้สีทองบนเสื้อผ้าระยิบระยับไปตามแสงของพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดินอยู่รำไร “ท่านคงเดินหลงเข้ามาจนมาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของป่า สุดท้ายท่านก็เลยหลุดเข้าประตูมิติมาในป่าต้องห้ามนี้ซึ่งเป็นที่อาศัยของพวกข้า”

    “ว่าไงนะ? ประตูมิติอย่างนั้นเหรอ?”

    “ใช่ ข้ารู้ว่ามันฟังแล้วดูแปลกสำหรับมนุษย์อย่างท่าน แต่ข้าหวังว่าท่านอาจจะเชื่อในสิ่งที่ข้ากำลังอธิบาย เพราะการที่ข้ามายืนอยู่ตรงนี้.. ก็น่าจะช่วยให้ท่านเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่าเรื่องเหนือมหัศจรรย์มีอยู่จริง”

    “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเป็นใครกัน? เจ้าไม่เหมือนมนุษย์เลยสักนิด”

    “ข้า..

    “ข้าคือภูติต้นไม้” เด็กหนุ่มตอบออกมาด้วยความกล้าๆ กลัวๆ เขาขมวดคิ้วเพราะกลัวว่ามนุษย์ตรงหน้าอาจหาว่าเขาบ้า ยิ่งไปกว่านั้นเขากังวลเหลือเกินว่าการเปิดเผยตัวตนเช่นนี้อาจทำให้มีผลร้ายตามมา เพราะมนุษย์นั้นมีนิสัยพิลึกพิลั่น ชอบล่าของป่ารูปทรงแปลกตาไปขายหาเงินเข้ากระเป๋า ดังนั้นเขาจึงกลัวว่าถ้าหากมนุษย์ตนนี้เปิดเผยเรื่องของเขา.. เขาอาจถูกตามล่าได้ “ท่านรู้ไหมว่าท่านกำลังยืนอยู่ในดินแดนต้องห้าม?”

    “ที่ผู้คนเคยพูดกันว่าป่า Spruce เป็นป่าอันตรายและมีสิ่งลี้ลับซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของป่านี้คือเรื่องจริง และที่ที่ท่านกำลังยืนอยู่ตอนนี้ไม่ใช่พื้นที่ของป่า Spruce เสียทีเดียว แต่ที่นี่คือดินแดนน็อกซ์ ท่านมาอยู่ที่นี่ได้เพราะท่านเดินผ่านประตูมิติเข้ามา.. ประตูมิติที่มองไม่เห็น”

    “ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องพาข้ากลับไปที่ประตูนั่น เพราะข้าต้องกลับบ้าน”

    “ไม่ได้หรอก”

    “ทำไม? ทำไมข้าถึงออกไปไม่ได้ล่ะแม่นางฟ้า?”

    “เพราะประตูนั่นปิดแล้วและจะเปิดอีกทีก็ต่อเมื่อเป็นคืนวันที่กลุ่มดาวเปอร์ซิอัสปรากฎบนท้องฟ้า ซึ่งท่านต้องรออีก 3 เดือนกว่าฤดูฝนจะมาถึง เพราะฤดูฝนก็คือฤดูที่กลุ่มดาวเปอร์ซิอัสปรากฎ”

    3 เดือน!?” มนุษย์นักสำรวจร้องออกมาด้วยความตกใจ เขาพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ หลังจากที่เห็นเสียงของเขาทำให้ภูติต้นไม้สะดุ้งขึ้นมาเบาๆ “คือ.. ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติหรอกนะ ข้าเชื่อสนิทใจตอนที่เห็นเจ้า แต่ข้าแค่ไม่อยากจะเชื่อว่าข้ากลับบ้านไม่ได้ ถ้าข้าไม่กลับไป.. รับรองเลยว่าเพื่อนๆ ของข้าคงพากันไปขึ้นทะเบียนคนหาย”

    “แต่ป่านี้ก็ไม่ได้มีเจตนาจะกักขังท่าน อันที่จริงพวกเราไม่ต้องการให้มนุษย์มาเหยียบที่นี่หรือมาเจอพวกเราด้วยซ้ำ เพราะมนุษย์คือสิ่งที่อันตรายที่สุดหรับชาวเรา แต่.. ข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าทำไมประตูมิติถึงเปิดรับท่าน.. ตลอดชีวิตที่ข้าเกิดมา ข้าเคยเห็นประตูมิติเปิดรับมนุษย์เข้ามาในดินแดนเพียงแค่ 2 คนเท่านั้น”

    “แล้วข้าต้องทำยังไงล่ะภูติน้อย? ข้าต้องอยู่ที่นี่อย่างนั้นเหรอ? ข้ามีภาระหน้าที่ต้องกลับออกไปสอนหนังสือให้ธิดาของพระราชา”

    ” ภูติน้อยเม้มปากแน่น สองมือกำสาบเสื้อสีเขียวพลางก้มหน้าลง หูของเขาขยับไปมาเพราะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างมานานสองนานแล้ว แต่เขาไม่ใจกล้าพอที่จะทักท้วงหรือถามอะไรออกไป

    “เจ้าช่วยข้าไม่ได้จริงๆ เหรอ?”

    ” ภูติต้นไม้ส่ายหน้า หัวคิ้วจรดเข้าหากัน “ข้าเสียใจ แต่ดูเหมือนสิ่งที่ข้าทำได้คงเป็นแค่การให้ที่อยู่กับท่านเพื่อรอวันที่ประตูจะเปิดอีกครั้ง”

     

     


     

     

    หนุ่มน้อยภูติต้นไม้นำทางพามนุษย์ร่างสูงมายังดินแดงมหัศจรรย์ พวกเขาเดินข้ามสะพานผ่านแม่น้ำที่กำลังไหลเชี่ยว กลุ่มต้นสนสูงใหญ่ปิดบังดินแดนแห่งนี้เอาไว้ราวกับเป็นกำแพงเมืองเอาไว้ป้องกันแขกที่ไม่ได้รับเชิญ บนต้นสนมีโพรงกระรอกน้อยใหญ่อยู่ทุกต้นเสมือนว่านี่คือป้อมปราการด่านแรก ดูเหมือนว่าเจ้ากระรอกพวกนี้จะทำหน้าที่เป็นทหารตรวจคนเข้าเมือง เพราะเมื่อคริสมองขึ้นไปด้านบน พวกมันกลับส่งสายตาไม่ไว้ใจร่างสูงเลยสักนิด บางตัวกลับส่งเสียงแทะถั่วดังกึกๆ ต่อเนื่องมาให้คริสได้ยินตลอดเวลา

     

    “เจ้ากระรอกพวกนั้นรู้ประสาคนหรือเปล่า?” ร่างสูงเอ่ยถามภูติต้นไม้ที่กำลังเดินเท้าเปล่าเพื่อนำทางเขาเข้าไปยังเมืองน็อกซ์

    “รู้สิ พวกข้าเองก็ฟังพวกนั้นรู้เรื่องเช่นกัน”

    “หมายความว่าพวกกระรอกพูดภาษาคนได้อย่างนั้นเหรอ?”

    “เปล่า พวกนั้นส่งเสียงเป็นภาษาของสัตว์ตามปกติ แต่พวกข้าสามารถฟังเข้าใจได้เพราะพวกข้ามีความสามารถในการสื่อสารกับสัตว์ทุกตัว” เจ้าภูติเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงหวาน ทว่าจู่ๆ เจ้าภูติน้อยก็กลับเหลือกที่จะหยุดเดินอย่างชะงัก ซึ่งเขาทำให้คริสต้องหยุดเดินตามไปด้วย ทันที่เจ้าภูติน้อยหันมาสบมองคริสด้วยดวงตากลมสุกใส ร่างสูงจึงเลิกคิ้วขึ้นทันที

    “มีอะไรงั้นเหรอ? ทำไมถึงหยุดเดินล่ะ?”

    “ข้าลืม”

    “ลืม?”

    “เพื่อนข้าอยู่ในกระเป๋าของท่าน นางส่งเสียงร้องขอให้ข้าช่วยเจรจากับท่านตั้งแต่ตอนที่อยู่ตรงน้ำตกแล้ว แต่ข้ามัวแต่กังวลเรื่องที่ท่านกลับบ้านไม่ได้ ข้าจึงไม่ได้บอกท่าน”

    “เพื่อนเหรอ?”

    “ใช่ เจ้าแมลงปอหางสีฟ้าน่ะ”

     

    รูปลักษณะที่ภูติน้อยเอ่ยออกมาทำให้คริสตกใจนิดหน่อย เพราะเจ้าแมลงที่เขาจับใส่กล่องเอาไว้นั้นมีปลายหางสีฟ้าดั่งที่ภูติน้อยเอ่ยจริงๆ เช่นนั้นร่างสูงจึงต้องปลดกระเป๋าสะพายออกจากบ่าก่อนจะตัดสินใจนำกล่องแก้วซึ่งมีแมลงอยู่ข้างในออกมา

    เจ้าแมลงบินวนไปทั่วก่อนจะมาเกาะกับกระจกใสบนกล่อง ภูติตัวน้อยเองก็ขมวดคิ้วร่นก่อนจะเอ่ยถาม

     

    “ทำไมท่านถึงจับเพื่อนข้ามาแบบนี้ล่ะ? นางกลัวนะ”

    “ข้า.. ข้าก็แค่เห็นว่ามันสวยและแปลกตาไม่เคยเห็นมาก่อน ข้าก็เลยอยากจับไปศึกษา เสร็จแล้วก็จะปล่อยมันไปน่ะ”

    “งั้นท่านปล่อยนางไปเถอะ หากท่านอยากรู้เรื่องแมลงหรือสัตว์ตัวใด.. ท่านถามข้าเอาก็ได้ เพราะข้ารู้จักสัตว์ทุกตัวในป่านี้”

    “งั้นเหรอ?”

    “ใช่ เจ้าหางฟ้านั่นข้าก็รู้จัก เอาไว้ข้าจะอธิบายเรื่องของมันให้ท่านฟังตอนถึงบ้านก็แล้วกัน ตอนนี้ท่านควรปล่อยนางไปก่อน นางหงุดหงิดจะแย่อยู่แล้ว”

    “อ่า หวังว่านางคงจะไม่ต่อว่าข้านะ” คริสพูดกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจปลดกุญแจบนกล่องแก้วออก และทันทีที่ฝาของมันเปิดออก เจ้าแมลงปอหางฟ้าก็รีบบินออกมาทันควัน มันหันมามองหน้าคริสและทำทีเหมือนกับกำลังต่อว่ามนุษย์โง่เง่าคนนี้ด้วยความเกรี้ยวโกรธ

    “นางบอกว่าท่านนิสัยไม่ดี”

    “ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ้าหัวเสียนะ ข้าขอโทษจริงๆ” คริสเอ่ยออกไป ทั้งๆ ที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าภูติน้อยกำลังพูดจริงหรือพูดเล่น แต่ดูจากทีท่าของเจ้าแมลงปอแล้วสิ่งที่ภูติน้อยเอ่ยออกมาน่าจะเป็นเรื่องจริง เจ้าแมลงปอคงต่อว่าเขาไปถึงไหนต่อไหนแล้ว

    “ไปกันเถอะ ข้าอยากกลับบ้านแล้ว”

     

    คริสพยักหน้าตามก่อนจะต้องเก็บกล่องแก้วลงกระเป๋าและหอบสัมภาระทุกอย่างขึ้นบ่าเดินตามเจ้าภูติน้อยไป สายตาของเขายังคงสำรวจไปรอบๆ พบว่าต้นสนนั้นยังตั้งต้นซ้อนกันมากมาย หากจะมองว่าต้นสนคือกำแพงเมือง ก็คงเป็นกำแพงเมืองที่หนามากยิ่งกว่ากำแพงของพระราชวังเอดินบะระ

    และในที่สุดเจ้าภูติน้อยก็แหวกกิ่งสนต้นสุดท้ายออก ก่อนจะพาคริสหลุดเข้าไปยังโลกใบใหม่ที่ร่างสูงไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต เถาวัลย์เลี้ยวลดคดเคี้ยว มีสะพานลัดเลาะไปทั่วนครน็อกซ์ เมืองแห่งต้นไม้ ต้นไม้สูงใหญ่มีประตูหน้าต่างและหลังคาประดับประดา ทำให้รู้ว่านี่คือบ้านต้นไม้เหมือนกับที่คริสเคยอ่านเจอในนวนิยายเรื่องสิ่งเหนือมหัศจรรย์ แสงระยิบระยับจากปีกหิ่งห้อยล่องลอยไปมา ทว่าเมื่อลองเพ่งพินิจอีกที.. นี่หาใช่หิ่งห้อยเสียที่ไหน แต่พวกเขาคือพิกซี่ตัวน้อยต่างหาก

    ยิ่งไปกว่านั้นคริสสังเกตได้ว่ายังมีคนอื่นๆ ที่ตัวสูงปกติเหมือนภูติต้นไม้ที่กำลังเดินนำหน้าเขา ทว่าทุกคนมีปีกติดหลังใช้เป็นเครื่องมือสำหรับโบยบินไปทั่วนคร แต่ภูติต้นไม้ตัวน้อยกลับไร้ปีก ทั้งยังต้องไปมาไหนมาไหนด้วยการเดินเท้าเปล่าตลอดเวลา

     

    “ท่านคงไม่เคยเห็นเมืองนี้มาก่อนสินะ” ภูติต้นไม้เอ่ยถามพร้อมกับหันไปมองมนุษย์ที่กำลังอ้าปากค้าง สายตามองไปทั่วเมืองของเจ้าภูติอย่างเป็นประกาย

    “ข้าเคยแต่จินตนาการเอาไว้ในหัวหลังจากที่ข้าอ่านหนังสือมามากมาย ลึกๆ แล้วข้าก็เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ แต่ไม่คิดมาก่อนว่าในชีวิตนี้จะได้เห็นของจริง มันสวยงามมากเลยล่ะ”

    “ข้าดีใจที่ได้ยินท่านพูดแบบนั้น”

    “เจ้าคงมีความสุขขณะที่อยู่ในเมืองนี้มากเลยใช่ไหมล่ะ?”

    “ก็” เจ้าภูติน้อยทิ้งช่วง นิ้วเท้าของเขาขยับจิกเข้าหากัน “เอาเป็นว่าข้าชินตากับมันแล้วก็พอ”

    “อ่า ก็เจ้าอยู่ที่นี่ตั้งแต่เกิดนี่นา.. ข้าถามอะไรออกไปเนี่ย”

    “ฮ่ะๆ ท่านถามข้าได้ ข้าไม่ว่าอะไรหรอก” ภูติต้นไม้หัวเราะเบาๆ “ไปกันเถอะ บ้านข้าคือหลังนั้น หลังที่อยู่สูงสุดบนต้นโอ๊คใบสีแดง”

     

    นิ้วเรียวชี้ไปยังบ้านหลังบนสุดบนต้นโอ๊คใบสีแดง คริสสังเกตเห็นเล็บของภูติต้นไม้เป็นสีเขียวประกาย แน่นอนว่ามันคงไม่ใช่สีที่มาจากยาทาเล็บสกัดจากใบคาโมมายล์หรือใบหญ้า แต่มันดูเป็นสีเขียวที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติของผู้ที่เป็นภูติต้นไม้

    ภูติน้อยนำทางร่างสูงไปยังบ้านของเขา ในขณะที่คริสก็ยังคงสังเกตไปทุกซอกมุมของเมืองต้นไม้ สองเท้าก้าวขึ้นบันไดไปหลายชั้น ในขณะที่คนอื่นในเมืองนั้นมีปีกพาให้โบยบินไปได้ทุกที่โดยไม่ต้องออกแรงเดิน กระทั่งสองเท้ามาหยุดอยู่ที่หน้าประตูไม้สีดำ เจ้าภูติน้อยจึงไขประตูบ้านออกด้วยกุญแจดอกโบราณสีทองเหลืองเก่าเก็บ

    เมื่อเข้ามาในตัวบ้านแล้ว ความวุ่นวายของเมืองด้านนอกก็ถูกตัดออกไปจากโสตประสาทหลังจากที่ประตูบ้านปิดลง แม้จะไม่ใช่บ้านหลังใหญ่โต แต่มันก็ถือว่ากว้างพอสมควรสำหรับการอาศัยอยู่คนเดียว เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบกับเตียงนอนไม้ ใกล้ๆ กันมีโต๊ะไม้เล็กๆ เอาไว้นั่งสำหรับทานอาหารหรือไม่ก็ดื่มกาแฟ ตามหน้าต่างมีผ้าม่านสีขาวซึ่งทำมาจากผ้าฝ้ายถูกติดเอาไว้ทุกบาน

     

    “พอจะอยู่ได้ไหม?” ภูติน้อยหันมาเอ่ยถาม ในขณะที่คริสกำลังวางกระเป๋าลงบนพื้นและสอดส่องสายตาไปทั่วตัวบ้านอีกครั้ง

    “ไม่มีปัญหาหรอก” คริสตอบ “ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าข้ากำลังยืนอยู่ในบ้านของภูติต้นไม้”

    “ข้าต้องฝันไปแน่ๆ” ร่างสูงหันมาส่งยิ้มให้กับเจ้าภูติที่กำลังยืนประสานมืออยู่ตรงหน้าประตู

    “ท่านนอนกับพื้นได้ไหม? เดี๋ยวข้าจะไปหาอย่างอื่นมาปูรองนอนให้”

    “ไม่ต้องหรอก ข้ามีถุงนอนที่ทอมาจากบ้าน เจ้าไม่ต้องลำบากหาของให้ข้าหรอก”

    “ถุงนอนเหรอ? คืออะไรกัน?”

    “เดี๋ยวตอนกลางคืนข้าเอาออกมาเจ้าก็จะรู้เองภูติน้อย” คริสส่งรอยยิ้มอีกครั้ง เขาเดินเข้าไปหาเจ้าภูติร่างน้อยเอวบางที่กำลังยืนพิงประตูอยู่คนเดียว ก่อนจะโน้มหน้าลงไปใกล้เด็กหนุ่มเจ้าของใบหูยาว “เรายังไม่ได้ทำความรู้จักกันเลยนะ”

    “อะ.. .. จริงด้วย”

    “เจ้าชื่ออะไรกัน? ข้าอยากรู้ชื่อเสียงเรียงนามของคนที่ช่วยเหลือข้า จะได้เก็บเอาไว้ในใจตลอดเวลา”

    “ข้า.. ข้าชื่อจุน” คำพูดของชายนักสำรวจ ซึ่งไม่แน่ใจว่าเขาตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจกันแน่ถึงได้พูดออกมาเช่นนั้น ทำให้ภูติน้อยรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า ทั้งยังพูดจาผิดๆ ถูกๆ จนเจ้าตัวเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกในใจ เหตุใดจริงหวั่นไหวและรู้สึกเคอะเขินเช่นนี้เล่า.. “แล้วท่านล่ะ?”

    “ข้าชื่อคริส”

    “คริส..

    “อืม จากนี้ไปก็ฝากตัวด้วยนะ”

     

     


     

     

    แสงแดดยามเช้าส่องสว่างไปทั่วทั้งผืนแผ่นดินน็อกซ์ เสียงนกน้อยร้องบอกส่งสารถึงกันเหมือนดั่งทุกๆ วัน เจ้าพิราบยังคงทำหน้าที่เป็นนักส่งข่าวและสารต่างๆ เสมือนพิราบในโลกมนุษย์ ในขณะที่เจ้านกหัวพู่กำลังทำหน้าที่เป็นนาฬิกาปลุกยามเช้าให้กับนักสำรวจหนุ่มซึ่งยังคงนอนขดอยู่ในถุงนอน

    ชายตัวสูงขยับตัวนิดหน่อยก่อนจะรู้สึกได้ว่าบ้านต้นไม้ที่เคยมืดนั้นสว่างไปทั่วทั้งบ้าน ร่างสูงจึงเปิดเปลือกตาก่อนจะลุกขึ้นนั่งกับพื้น สองแขนเหยียดยาวเพื่อบิดคลายกล้ามเนื้อซึ่งรู้สึกปวดเมื่อยนิดหน่อยเนื่องจากต้องนอนบนพื้นไม้แข็งมาทั้งคืน สายตาสอดส่องมองหาภูติหนุ่มแสนโสภา หากแต่กลับพบความว่างเปล่าและความเงียบเท่านั้น ชายร่างสูงจึงลุกออกจากที่นอนของตนก่อนจะพาร่างกายเดินไปหาประตูไม้ ซึ่งทันทีที่เปิดประตูนั้นออก โลกใบใหม่ที่ตนยังไม่คุ้นชินก็ปรากฏสู่สายตาจนร่างสูงเผลอลอบยิ้มออกมา

     

    นี่อาจเป็นความฝันก็ได้.. หากแต่ช่างเป็นฝันที่แสนสวยงามเสียจนไม่อยากตื่นลืมตา

     

    โลกของภูตินั้นช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน นกน้อยบินว่อนไปทั่วเมือง เหล่าภูติมีปีกเองก็บินโผไปยังบ้านต้นไม้บ้าง บ้างก็เดินดินด้วยเท้าเปล่า ต้นไม้น้อยใหญ่เขียวชอุ่ม ดอกใบและผลของมันสร้างสีสันให้กับดินแดนน็อกซ์จนมิอาจละสายตาออกไป ภูติตัวอื่นๆ ส่งเสียงพูดคุยและเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ส่วนภูติเด็กน้อยนั้นพากันวิ่งเล่นส่งเสียงหัวเราะคิกคักไม่ต่างจากบรรยากาศของบ้านเมืองมนุษย์ที่คริสอาศัยอยู่เลยสักนิด แต่ที่นี่ช่างพิเศษกว่า ปีกสวยงามของเหล่าภูติ บ้านต้นไม้ และแมลงหลากสีคือมนต์เสน่ห์ที่ทำให้ร่างสูงละสายตาออกไปไม่ได้เลย

     

    “ท่านตื่นแล้วหรือ?” เสียงหวานทำให้ชายหนุ่มหันไปมอง พบว่าจุนกำลังเดินขึ้นบันไดมาหาร่างสูงพร้อมกับส่งรอยยิ้มสดใสดั่งแรกอรุณของวันมาให้ ปลุกให้คริสหายสะลึมสะลือจากความง่วงที่ยังคงปะปนอยู่นิดหน่อย

    “อ่า.. ข้ากำลังตามหาเจ้าอยู่พอดี”

    “ท่านไปล้างหน้าล้างตาเสียเถอะ ข้าไม่ค่อยชินตากับผมยุ่งๆ ของท่านเท่าไหร่ อีกอย่างผมท่านดูเหมือนนกหัวพู่มากในตอนนี้ ถ้าภูติตนอื่นๆ มาเห็นพวกเขาคงพากันหัวเราะท่านน่าดู”

     

    ภูติน้อยส่งรอยยิ้มหวาน บนผมของเขามีดอกไม้เล็กๆ ทัดอยู่ข้างหู สีขาวของมันช่างตัดกับเรือนผมสีแดงจนทำให้ร่างสูงเผยรอยยิ้มกว้าง

     

    “ผมเจ้าก็สวยเช่นกัน ข้าชอบดอกไม้ที่อยู่ตรงหูเจ้า”

    “อ.. เอ่อ..” เจ้าภูติน้อยตกใจนิดหน่อยหลังจากถูกแซวกลับมา มือเล็กซึ่งถูกประดับไปด้วยเล็บสีเขียวนั้นรีบแตะดอกไม้บนหูของตนก่อนจะดึงออกมาเพราะความขัดเขิน “คงจะเป็นฝีมือของพวกกระรอก”

    “ข้าไม่ได้ว่าว่ามันไม่สวย เพราะงั้นเจ้าไม่ต้องดึงมันออกหรอก มีดอกไม้ทัดผมอยู่แบบนี้เจ้าก็ดูสดใสไปอีกแบบ” ร่างสูงคว้าดอกไม้ดอกเล็กจากมือของจุนมาถือเอาไว้และนำมันกลับไปทัดไว้บนเรือนผมสีแดงเช่นเดิม หารู้ไม่ว่าเจ้าภูติน้อยกำลังเม้มปากแน่นเพื่อสกัดกั้นความรู้สึกบางอย่างที่กำลังพุ่งพล่านเข้ามา ยิ่งพอได้เห็นรอยยิ้มจากใบหน้าคมคาย เขากลับยิ่งไม่กล้าสู้สายตาของมนุษย์ตนนี้เลย

    “ท.. ท่านไปล้างหน้าล้างตาเสียทีเถอะ ข้ามีงานที่อยากจะขอแรงให้ท่านช่วยหน่อย หวังว่าท่านจะไม่รังเกียจ

    “ไม่เป็นไรหรอก ข้าช่วยเจ้าได้ทุกอย่างเพื่อตอบแทนที่เจ้าให้ที่อยู่อาศัยกับข้า”

    “ข้าดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น”

    “งั้นเดี๋ยวข้ามานะ”

     

    เจ้าภูติน้อยพยักหน้าพลางมองดูชายร่างสูงเดินกลับเข้าไปในบ้านของตน ตลอดชีวิตของภูติน้อยนั้นแทบจะเงียบเหงาคล้ายคนอับเฉาก็ไม่ปาน เขาไม่ได้มีเพื่อนเยอะแยะเท่าไหร่เพราะความแปลกประหลาดบางอย่างที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด วันๆ หนึ่งก็พูดคุยอยู่แต่กับคนสนิทหรือไม่ก็นกน้อยที่โบยบิน แต่ส่วนใหญ่มักจะเลี่ยงไปอยู่อย่างสันโดษเสียมากกว่า

    ความสันโดษนั้นจึงเป็นเหตุทำให้จุนหนีไปเล่นน้ำตกคนเดียวอยู่เป็นประจำทุกๆ สัปดาห์ ภูติต้นไม้อย่างเขามีงานมากมายให้ทำตั้งแต่ปกป้องรักษาต้นไม้ประจำตัว ไปจนถึงการดูแลดอกไม้ในนครร่วมกับเพื่อนภูติตัวอื่นๆ เช่นนั้นแล้วเมื่อวันว่างงานมาถึงเขาจึงชอบไปวิ่งเล่นที่ป่าใกล้กับเขตแดนและแช่น้ำตกเพียงลำพัง ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาจุนไม่เคยพบพานใครที่น้ำตกแห่งนั้นเลยจนกระทั่งเมื่อวาน จู่ๆ มนุษย์หนุ่มก็ปรากฏตัว เขานั้นช่างไร้ซึ่งความตื่นตระหนก เขาไม่แม้แต่จะโหวกเหวกยามเจอสิ่งแปลกประหลาดเช่นจุน กลับกันเขาพยายามทำให้เจ้าภูติน้อยเชื่อใจและพูดคุยกันอย่างเป็นมิตร และในที่สุดร่างเล็กก็ใจอ่อนยอมช่วยเหลือมนุษย์ตนนี้แทนที่จะวิ่งหนีไปเสียให้พ้น

    ตั้งแต่เล็กจนโต จุนเคยคิดว่าพวกมนุษย์นั้นน่ากลัว เป็นกลุ่มคนที่เจ้าเล่ห์ที่ไม่น่าไว้ใจ ใจร้ายใจดำ ทั้งยังไม่น่าคบหา เขามักจะได้ยินข่าวคาวจากพวกกระรอกหน้าประตูเมืองที่นำมาเล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆ ว่าเคยเห็นมนุษย์เข้ามาล่ากวาง ทั้งยังพยายามตับสัตว์หายากต่างๆ นำไปขายในเมืองกันอย่างโจ่งแจ้ง นั่นจึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชาวนครน็อกซ์รวมไปถึงจุนรู้สึกเกลียดกลัวมนุษย์เสียเหลือเกิน

     

     


     

     

    “ท่านช่วยข้าลงเมล็ดดอกไม้ตรงนี้ได้หรือไม่? ข้าเกรงว่าถ้าต้องทำคนเดียวอาจเสร็จไม่ทันการ ข้ายังมีงานต้องทำต่ออีกในช่วงเย็น”

    “ได้สิ ข้าถนัดเพาะปลูกอยู่แล้ว ข้าจะช่วยเจ้าแล้วกันหนุ่มน้อย”

     

    จุนส่งรอยยิ้มให้กับชายร่างสูงที่ดูจะกระตือรือร้นต่อการช่วยงานเสียเหลือเกิน เขาส่งตะกร้าเมล็ดให้กับคริสก่อนตนจะนำอีกตะกร้าหนึ่งไปเพาะปลูกตรงที่อีกแปลง แดดยามสายถือว่ายังไม่ได้ร้อนแรงนัก ซึ่งอากาศในดินแดงน็อกซ์ก็ไม่ได้เลวร้ายมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะดินแดนนั้นเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ของต้นไม้ใบหญ้า ให้ความร่มรื่นและเขียวขจีสบายตา อิทธิพลจากน้ำตกและแม่น้ำลำธารสายใหญ่ก็ส่งผลให้ทั้งเมืองนั้นมีอากาศเย็นสบายอยู่ตลอดทั้งปี

    สิ่งหนึ่งที่ยังคงติดอยู่ในหัวของคริสนั้นไม่ใช่เรื่องที่เขาหลุดเขามาในดินแดนนี้ได้อย่างไร แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้าภูติตัวเล็กล้วนๆ เมื่อคืนร่างสูงนั้นอยากจะเอ่ยปากถามแต่ความเหนื่อยก็ดันเข้ามาแทรกทำให้หลับไปเสียก่อน

    ภูติหลายตัวมีปีกสวยงามและพากันบินว่อนไปทั่วนภา หากแต่จุนนั้นไร้ซึ่งปีกติดสันหลัง ไม่มีสิ่งใดโผล่พ้นออกมาจากเสื้อสีขาวเลยแม้แต่นิดหน่อย ในขณะที่ภูติตัวอื่นมีปีกใช้บินเพื่อเดินทาง แต่จุนนั้นเดินไปไหนมาไหนด้วยเท้าเปล่า เล็บสีเขียวแสดงออกมาอย่างเด่นหรา ไร้ซึ่งรองเท้าหอหุ้มปกปิดส้นเท้าแต่อย่างใด นั่นจึงทำให้ร่างสูงสงสัยไม่น้อยว่าเหตุใดจุนมยอนจึงไม่เหมือนคนอื่น

     

    “จุน” ในขณะที่มือหนากำลังใช้ที่พรวนดินตักดินชื้นตรงหน้า สองหูก็ดันได้ยินน้ำเสียงเข้มของใครบางคนเอ่ยเรียกภูติน้อยของเขาอยู่ไม่ใกล้ ร่างสูงจึงเงยหน้าขึ้นไปมองตามน้ำเสียงนั้นก่อนจะเห็นว่าจุนกำลังส่งยิ้มให้กับผู้ชายมีปีกคนหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะการแต่งตัวแปลกไปจากชาวภูติตัวอื่นๆ

    “แอล มาทำอะไรที่นี่หรือ?”

    “มาหาเจ้านั่นล่ะ ข้าไปที่บ้านมาแต่ไม่มีใครออกมาเปิดรับก็เลยลองมาตามหาที่นี่ดู”

    “แล้วท่านมีอะไรงั้นหรือ?” จุนเอ่ยถามพร้อมกับส่งรอยยิ้มหวานให้ โดยที่ไม่รู้ตัวว่ามีใครบางคนกำลังแอบฟังบทสนทนาอยู่ ทั้งยังเอาแต่ขมวดคิ้วสงสัยว่าเจ้าภูติน้อยกำลังยืนคุยกับใครอยู่

    “พวกกระรอกมารายงานให้ข้าฟังว่าเจ้าพามนุษย์เข้ามาที่นี่ เป็นเรื่องจริงงั้นรึ?”

    “อ่า.. ใช่แล้วล่ะ คือเขา” จุนมองไปทางขวามือของตนเองซึ่งเป็นทางแปลงดอกไม้ที่ตนมอบหมายให้คริสช่วยทำงาน ร่างสูงที่รู้ตัวว่ากำลังถูกพูดถึงอยู่จึงลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินเข้ามาหา “เขาพลัดหลงเข้ามาน่ะ เขาคงมองไม่เห็นประตูมิติจึงเดินเข้ามาโดยไม่รู้ตัว พอข้าจะพาออกไปประตูก็ดันปิดเสียแล้ว ข้าก็เลยต้องพาเขามาพักที่นี่ก่อน ไม่อย่างนั้นเขาคงอดตายอยู่ท้ายป่า”

    “แล้วเจ้ามนุษย์ผู้นั้นน่ะไว้ใจได้หรือ? ทำไมจู่ๆ เจ้าก็เกิดใจดีและเชื่อใจมนุษย์ขึ้นมาแบบนี้ล่ะ?”

    “เฮ้ พูดจาดีๆ หน่อยนะ ข้ารู้ว่าพวกภูติกลัวมนุษย์แต่อย่าพาลคิดว่ามนุษย์ทุกคนจะชั่วร้ายเสียหมดสิ” เป็นคริสเองที่เอ่ยออกมาก่อนจะก้าวมายืนอยู่ข้างกันกับจุน สายตาคมคายประชันกับดวงตาเรียวของคนที่จุนเอ่ยเรียกนามว่า แอล ด้วยคำพูดที่ฟังดูเหมือนกำลังไม่พอใจอยู่ของคริสจึงทำให้แอลยกมือขึ้นกอดอกก่อนจะยกยิ้มเบาๆ

    “ใครว่าพวกข้ากลัวมนุษย์ แต่พวกข้าเกลียมนุษย์ต่างหากเล่า เจ้าคงไม่รู้ว่าพวกมนุษย์ทำเรื่องต่ำช้าไว้กับสัตว์ป่าไว้มากเพียงใด นั่นจึงไม่แปลกที่พวกเราจะเกลียดมนุษย์ และก็ไม่แปลกที่ข้าจะถามจุนออกไปเช่นนั้นเพราะข้ากลัวว่าเจ้าอาจทำให้จุนเดือดร้อน”

    “ไม่มีทางเสียหรอก เพราะจุนน่ะน่ารักกับข้าเอาเสียมากๆ เช่นนั้นข้าจึงพร้อมที่จะตอบแทน ดูแลและปกป้องจุน ไม่มีทางที่ข้าจะทำร้ายภูติน้อยนี่อย่างแน่นอน”

     

    ในขณะที่คริสกำลังจ้องตาแอลเขม็งอย่างไม่ลดละ แต่คนที่กำลังยืนหันไปหันมาก็คือเจ้าภูติน้อยนั่นเอง จุนกำลังเป็นกังวลเอาเสียมากๆ เพราะตอนนี้คนที่คริสกำลังพูดด้วยนั้นหาใช่ภูติธรรมดาเหมือนเขาเสียเมื่อไหร่ แต่แอลเป็นถึงรัชทายาทของราชินี ณ แผ่นดินนี้ และถ้าคริสยังคงไม่หยุดทำสายตาท้าทายแบบนั้น.. มีหวังเขาต้องโดนจับไปอยู่ที่คุกท้ายเมืองแน่นอน

     

    “ไม่ต้องห่วงหรอกแอล ข้าดูแลตัวเองได้ ท่านมนุษย์ผู้นี้ก็คงไม่ได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด ถ้าเขาใจดำจริง เขาคงทำร้ายข้าเสียตั้งแต่แรกพบ”

     

    จุนมยอนจำต้องเป็นฝ่ายห้ามทับ แต่คำพูดของเขาฟังดูเหมือนกำลังปกป้องเจ้ามนุษย์หน้าประหลาดอยู่ชัดๆ จึงทำให้แอลไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่และยิ่งรู้สึกขัดใจมากกว่าเดิมยามเห็นเจ้ามนุษย์เลิกคิ้วทำหน้าตาเย้ยหยันราวกับเป็นผู้ชนะในสงครามน้ำลายนี้ เขาจึงถอนหายใจยาวก่อนจะเบนสายตาหนีไปทางอื่น

     

    “ข้าจะเชื่อเจ้าก็แล้วกัน แต่ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลล่ะก็ข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่เจ้ามนุษย์”

    “ท่านคงไม่มีวันทำอะไรข้าได้แน่นอน เพราะข้าจะไม่ทำร้ายจุนหรือทำให้เขาเดือดร้อนเด็ดขาด”

    “หนักแน่นแบบนี้ก็ดี ข้าจะคอยดูก็แล้วกัน” แอลกระตุกยิ้ม “จุน วันหลังหาเวลาว่างไปเดินเล่นกับข้าบ้างนะ ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้ต้นไวท์ แอชของยอลเติบโตเต็มที่แล้ว ข้าอยากพาเจ้าไปดูพร้อมๆ กัน”

    “ได้สิ ข้าจะหาเวลาว่างนะ”

    “ขอบใจ ส่วนเรื่องเจ้ามนุษย์นี่ข้าจะรายงานให้ท่านแม่ฟัง ช่วงนี้คงมีทหารคอยสอดส่องพวกเจ้ามากผิดปกติแต่ก็อย่าเพิ่งตกใจไปล่ะ มันเป็นเรื่องปกติที่พวกเราพึงทำ”

    “ข้าเข้าใจ แล้วก็ขอบคุณที่ท่านไม่ไล่เขาออกไปจากเมือง”

    “อืม ถ้างั้นข้าไปล่ะ”

     

    ให้ตาย.. นี่มันคือการชวนไปเดทในแบบของชาวภูติใช่หรือไม่ คริสได้แต่สงสัยพลางขมวดคิ้วแน่น เขาไม่ชอบหมอนี่เลยสักนิด สายตาและท่าทางดูผิดวิสัยแปลกๆ และถ้าให้ผู้ชายขี้เล่นเสน่ห์แรงแบบเขาเดาล่ะก็.. ไอ้ท่านแอลเอิวอะไรนี่กำลังเกี้ยวพาราสีภูติน้อยของเขาอย่างแน่นอน

    แอลบินกลับไปแล้ว เหลือก็แต่จุนและคริสที่ยังคงยืนอยู่ในแปลงดอกไม้กลางแจ้ง เช่นนั้นแล้วจุนจึงหันกลับมาขมวดคิ้วใส่นิดหน่อยก่อนจะร่ายยาวใส่ร่างสูงทันที

     

    “ทำไมท่านทำตัวหยาบคายเช่นนี้เล่า? แอลน่ะไม่ใช่เพื่อนเล่นของท่านนะ”

    “อ้าว ก็หมอนั่นมาว่าข้าก่อนนี่ เป็นคนประเภทไหนกันถึงได้มาต่อว่าคนที่ไม่รู้จักกันว่าไม่น่าไว้ใจ”

    “ก็มนุษย์น่ะไม่น่าไว้ใจจริงๆ นี่นา ท่านเองก็เข้าใจแล้วนี่ว่าทำไมพวกเราบางคนถึงเกลียดกลัวพวกมนุษย์นัก เพราะอย่างนั้นท่านก็ไม่ควรจะไปเถียงกับแอลเช่นนั้น”

    “สรุปข้าผิดหรือไง?”

    “ข้าไม่ได้บอกว่าท่านผิด แต่ข้าจะบอกว่าท่านน่ะทำตัวไม่ดี แอลไม่ใช่ภูติธรรมดาเหมือนกับข้าหรอกนะ เขาเป็นรัชทายาทของราชินีน็อกซ์ ถ้าท่านทำตัวไม่ดีเป็นครั้งที่สอง.. ท่านโดนเนรเทศไปอยู่คุกท้ายป่าอย่างแน่นอน แล้วท่านก็จะไม่ได้ออกไปยังโลกมนุษย์อีก ข้าเองก็หมดสิทธิ์จะช่วยท่านด้วย”

    “เอาล่ะ ข้าจะไปทำงานต่อแล้ว ท่านก็รีบๆ เพาะเมล็ดก็แล้วกัน”

    “เข้าใจแล้ว ข้าขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อกี้ก็แล้วกัน”

    “ช่างเถอะ แต่คราวหลังท่านอย่าใจร้อนอีกล่ะ”

    “เอาเป็นว่าถ้าหมอนั่นไม่มาพูดจากวนประสาทใส่ข้าก่อน ข้าก็จะไม่ยุ่งกับหมอนั่น”

    “เฮ้อ ท่านนี่ช่างดื้อเหลือเกิน”

     

    จุนถอนหายใจออกและเดินหนีคริสไปทันที ร่างสูงซึ่งถูกทิ้งเอาไว้คนเดียวจึงได้แต่สงสัยว่าสรุปแล้วเรื่องนี้เขาเป็นฝ่ายผิดอย่างนั้นหรอกหรือ? อีกอย่างเป็นรัชทายาทแล้วมันยังไง? คิดว่าเป็นคนใหญ่คนโตแล้วจะมาทำตัวใหญ่เบียดเบียนคนอื่นได้อย่างนั้นหรือ?

    คำถามในใจทำให้ร่างสูงขมวดคิ้วไม่หยุดไม่หย่อน สุดท้ายก็ต้องจำใจเดินไปเพาะเมล็ดดอกไม้ต่อเพียงลำพัง

     

     


     

     

    ช่วงเวลาค่ำคืนวนมาถึงอีกครั้ง ทั้งคริสและจุนต่างเพิ่งจะทานมื้อค่ำเสร็จสรรพ คนตัวสูงนั่งอนยู่บนถุงนอนที่ตัวเองเป็นคนถักทอขึ้นมาจากใยบัวหลวงด้วยจนได้เป็นผ้าผืนใหญ่ ร่างสูงจึงนำผ้าผืนใหญ่ทั้งหมดสี่ผืนนั้นมาเย็บติดกันให้เป็นผ้ารองนอนและผ้าห่มในตัว โดยไม่ลืมที่จะยัดนุ่นเข้าไปเพื่อให้รู้สึกนุ่มสบาย ด้วยภูมิปัญญาของยุคนี้จึงทำได้เพียงเท่านี้ ส่วนหมอนนั้นทีแรกเขาใช้ประเป๋ามาหนุนหัว แต่จุนคงรู้สึกเวทนาจึงแบ่งหมอนให้เขาหนึ่งใบ

    ขณะที่ตะเกียงไฟนั้นกำลังส่องแสงภายในบ้าน ในมือของคริสมีสมุดและดินสอ เขากำลังจดอะไรบางอย่างลงไปในสมุด ส่วนจุนนั้นก็กำลังใช้เศษผ้าเล็กๆ ซึ่งชุบน้ำอุ่นมาเช็ดทำความสะอาดเท้าทั้งสองข้างขณะที่กำลังนั่งอยู่ปลายเตียง

    คริสซึ่งแอบสังเกตการณ์กระทำของร่างเล็กอยู่จึงขมวดคิ้วนิดหน่อย เขาเห็นรอยดำต่างๆ บนฝ่าเท้าของจุน อีกทั้งเมื่อกลางวันก็ยังเห็นจุนเดินเหยียบเศษไม้จนเผลอกระโดดโหยงและร้องออกมาเสียงเบา คริสเห็นจึงได้แต่รู้สึกสงสารอยู่ไม่น้อยที่โลกของภูติไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่ารองเท้า เนื่องจากทุกคนมีปีกซึ่งทำหน้าที่เป็นอวัยวะนำพาพวกเขาไปถึงไหนต่อไหน ทำให้ภูติน้อยต้องคอยระมัดระวังทุกครั้งเวลาจะเดินเหินไปไหน ร่างสูงเองก็ไม่อยากจะคิดสภาพถ้าหากเท้าของจุนถูกของมีคมหรือเศษไม้ทิ่มเข้า

     

    “จุน”

    “หืม?” เสียงหวานหันมาตอบรับ วางผ้าผืนบางซึ่งใช้ทำความสะอาดเท้าของตัวเองลงบนพื้นก่อนจะขยับตัวขึ้นมาบนเตียง

    “ข้าสงสัย.. และหวังว่าเจ้าจะไม่รังเกียจที่จะตอบคำถามนี้”

    “ว่ายังไงหรือ? มีอะไรหรือเปล่าท่านนักสำรวจ?”

    “ข้าแค่อยากรู้ว่าทำไมเจ้าไม่โบยบินเหมือนคนอื่นๆ” คำถามในใจถูกส่งออกไป ทำเอาร่างเล็กชะงักนิดหน่อย รอยยิ้มหวานสวยค่อยๆ หุบลงก่อนจะเบนหน้าหนีไปทางอื่น จุนเม้มปากแน่น ซึ่งคริสเองก็ยังคงรอคำตอบจากชายร่างเล็กบนเตียง

    “ท่านไม่เข้าใจหรอก ข้าก็แค่ถูกสร้างมาในแบบที่ไม่เหมือนคนอื่น” จุนตอบ แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถไขความกระจ่างให้กับร่างสูงได้ คริสจึงตัดสินใจที่จะลุกออกจากถุงนอนของตัวเองก่อนจะถือวิสาสะปีนขึ้นไปนั่งบนเตียงกับร่างเล็กทันที

    “ข้าน่ะ เป็นเด็กกำพร้าพ่อแม่ที่ถูกคนเลี้ยงหมูเลี้ยงให้เติบโตมา ข้าสนใจเรื่องพืชพรรณ แมลง ข้าจึงหาทางเรียนหนังสือเพื่อให้อ่านออกเขียนได้ พอข้าชำนาญการอ่านเขียนข้าจึงศึกษาทุกอย่างด้วยตัวเองจนได้มาเป็นครูสอนหนังสือให้กับใครหลายๆ คน ข้าสอนหนังสือให้กับธิดาของพระราชา ข้ามีเพื่อนชื่อจอห์นกับเจย์ที่เป็นนักสำรวจเช่นกัน ข้าอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กติดกับร้านอบขนมปัง ข้าชอบกินพายแอปเปิ้ลของคุณป้าเจ้าของร้าน ข้าท่องเที่ยวทั่วทุกสารทิศโดยใช้ม้า ที่ที่ข้าชอบที่สุดคือป่ากับน้ำตก”

    “ข้าเล่าเรื่องของตัวเองแล้ว ทีนี้ก็ถึงตาเจ้าต้องเล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังแล้ว”

    “แต่ข้ายังไม่ได้ถามเรื่องของท่านเสียหน่อย?”

    “แต่ข้าอยากเล่า.. เราจะได้แลกเปลี่ยนเรื่องของกันและกันยังไงล่ะ” ร่างสูงเอ่ยและยิ้มออกมาอย่างเบาบาง มือหนาถือวิสาสะอีกครั้งด้วยการดึงมือน้อยๆ ของจุนมากอบกุมเอาไว้ทั้งสองข้างก่อนจะจดจ้องไปยังนัยน์ตาสีนิลสวยเป็นประกายดั่งดาวด้านนอกหน้าต่าง ซึ่งกำลังพร่างพราวบนฟากฟ้ายามค่ำคืน “เล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังได้ไหม?”

    ” จุนเผลอกัดริมฝีปากนิดหน่อย มือของเขาถูกชายร่างสูงกุมเอาไว้ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ตั้งแต่เกิดจนโตกลับไม่มีใครเคยได้จับมือคู่นี้เลย “ข้า.. ข้าเป็นภูติต้นไม้อย่างที่ข้าเคยบอก ต้นไม้ประจำตัวของข้าคือต้น Red Oak

    “เพราะอย่างนั้นเจ้าถึงมีผมสีแดงใช่ไหม?”

    “ก็คงใช่” จุนพยักหน้า “ข้าเป็น Blue Fairy ข้าหมายถึงในโลกของพวกเรามีทั้งฝ่ายดีและไม่ดี ฝ่ายที่ไม่ดีก็คือ Black Fairy พวกนั้นจะฉลาดแกมโกง พูดจาหลอกล่อผู้อื่นได้เก่ง แล้วก็ชอบขโมยของ ชอบกลั่นแกล้งผู้อื่น แต่ข้าเป็น Blue Fairy ที่ตรงกันข้ามกันพวกนั้น พวกเรามีกฎว่าต้องพึงทำความดี ช่วยเหลือกันและปกป้องป่าโดยจะมีต้นไม้ประจำตัวเป็นของตัวเอง”

    “ข้าเพิ่งจะเคยรู้เรื่องนี้ แล้วที่เจ้าช่วยข้าก็เป็นคงเป็นการทำความดีอย่างหนึ่งสินะ”

    “ข้าช่วยท่านเพราะอยากช่วยจริงๆ ไม่ได้จะช่วยเพราะต้องพึงทำความดีตามกฎของภูติ” จุนยิ้ม “ข้าเคยมีพ่อกับแม่ แต่พวกเขาแอบไปรับใช้แบนชีด้วยการขโมยลูกของของราชินี Black Fairy ไปให้แบนชีใช้บูชายัน ราชินีโกรธมากจึงบุกมาถึงถิ่นนี้ พวกเขาสำเร็จโทษพ่อแม่ข้าที่ท้ายป่าโดยที่ราชินี Blue Fairy เองก็ช่วยอะไรไม่ได้ แต่ท่านก็ได้ร้องขอให้ราชินีแบล็คฯ ไว้ชีวิตข้า ข้าจึงไม่ต้องตายตามพ่อแม่ไป แต่กลับโดนสาปให้ปีกหัก ไม่มีวันที่จะได้บินตลอดชีวิต”

    “แบนชี? ข้าถามได้ไหมว่ามันคืออะไร?”

    “เป็นวิญญาณผู้หญิงที่มักจะชอบร้องโหยหวนเวลาได้กลิ่นความตาย นางออกอุบายว่านางได้กลิ่นความตายของพ่อแม่ข้า แต่นางมีวิธีที่จะทำให้พ่อแม่ข้ามีอายุไขยืนยาวได้ นั่นก็คือการลักพาลูกของราชินีแบล็คฯ มาบูชายัน พ่อแม่ข้าก็เชื่อแบบนั้น แต่สุดท้ายก็ต้องมาพบว่าพวกเขาถูกแบนชีหลอก จะเอาความก็ทำไม่ได้เพราะแบนชีหนีหายไปพร้อมกับลูกของราชินีไปโดยไม่มีวันกลับคืนมา พวกคนในเมืองจึงสันนิษฐานกันว่าแบนชีอาจจะกลืนกินลูกของราชินีแบล็คไปเป็นอาหารแล้วก็ได้”

    “ตอนแรกข้าก็เสียใจที่ไม่มีปีกให้บินเหมือนคนอื่น แถมยังโดนภูติตัวอื่นๆ ล้อเลียนเรื่องที่มีพ่อแม่นิสัยไม่ดี ข้าเลยไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่นอกจากแอล นั่นจึงเป็นเหตุให้ข้าอยู่อย่างสันโดษ แล้วก็ชอบออกไปเล่นน้ำตกคนเดียวโดยไม่ชวนใคร ข้าถึงได้พบกับท่านเมื่อวานยังไงเล่า”

    “นับว่าโชคดีเหลือเกินที่ราชินีไม่สาปให้เจ้าตาย ไม่อย่างนั้นข้าคงจะไม่ได้พบเจอกับคนน่ารักสดใสเช่นเจ้า”

    “ท่านช่างปากคอเราะร้ายนัก ข้าไม่เชื่อหรอกว่าท่านจะไม่มีหญิงงามจากในเมืองมนุษย์ครองหัวใจท่านได้”

    “ข้าสาบาน ข้าไม่มีใครจริงๆ แต่ในอนาคตก็อาจจะมีเจ้าที่ได้ครองใจข้านะ”

    “ข้าจะไปอาบน้ำ” จุนมยอนดึงมือของตนออกมาจากการกอบกุม เขาเบนสายตาหนีไปทางอื่นพลางทำท่าจะลุกหนี แต่กลับต้องชะงักอีกครั้งเมื่อสองหูได้ยินเสียงเอ่ยถามจากคริส

    “ข้าอาบด้วยได้หรือเปล่าหื้ม?”

    “ช่างมากตัณหาเสียเหลือเกิน ข้าไม่ให้ท่านไปหรอก”

     

     


     

     

    หนึ่งสัปดาห์ถัดมา คริสก็ยังคงติดแหงกอยู่ในดินแดนน็อกซ์

     

     

    “จุน วันนี้เราจะไปไหนกัน?”

    “ข้าได้ยินท่านบ่นเมื่อคืนว่าอยากเห็นต้นเรดโอ๊คของข้า ข้าจึงจะพาท่านไปดูยังไงเล่า”

    “ถ้างั้นเดินรอข้าด้วยสิ ถ้าข้าหลงขึ้นมาเจ้าจะเสียใจเอานะ”

    “ดูพูดเข้า ทำอย่างกับข้าอยากอยู่กับท่านงั้นล่ะ”

    “โธ่ ให้ข้าได้หยอกเจ้านิดหยอกเจ้าหน่อยก็ไม่ได้ จริงจังไปเสียทุกเรื่องเลยนะแม่นางฟ้า”

    “ข้าบอกว่าข้าไม่ใช่นางฟ้ายังไงล่ะ! แล้วก็นะ.. เผื่อท่านจะยังไม่รู้ ท่านไม่ควรทำให้พวกแฟร์รี่หงุดหงิดนะรู้ตัวไหม? ไม่อย่างนั้นพวกแฟร์รี่จะกลั่นแกล้งท่านคืนอย่างเจ็บแสบ เพราะงั้นท่านก็ไม่ควรจะหือกับข้าเข้าใจหรือเปล่า?”

     

    เสียงหวานดังปรี๊ดขึ้นมาทันทีเพราะถูกเจ้ามนุษย์เย้าแหย่มาตลอดทาง สองเท้าเปล่าของจุนนำทางชายร่างสูงไปตามผืนป่าเปียกชื้น ทั้งโขดหินและตะไคร่สีเขียวที่ได้เหยียบทีไรเป็นต้องลื่นถลาทุกทีทำให้คริสอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเพราะรู้สึกเหมือนตนกำลังถูกพามาทรมานในที่แปลกตา

    นิสัยเจ้าเล่ห์ปากคอชอบหยอดคำหวานนั้นติดตัวคริสมาแต่ไหนแต่ไร ซึ่งเขาก็คิดจะเว้นหยุดพูดจาหยอกเย้าร่างเล็กเลยแม้ตาชั่วโมงเดียว ใกล้กันทีไรเป็นต้องหาเรื่องมาทำให้เจ้าภูติตัวน้อยเขินทุกที จะว่าไปแล้ว.. เจ้าภูติเองก็น่าแกล้งใช่น้อยเสียทีไหน ใบหน้าจิ้มลิ้มยามถูกหยอกให้ขัดเขินมักจะแสดงสีแดงระเรื่อออกมา แถมยังพยายามก้มหน้างุดหรือไม่ก็หันหนีไปทางอื่น

     

    จะเรียกว่าเจ้าภูติน้อยกำลังทำให้ใครบางคนตกหลุมพรางอยู่ก็คงได้

    แถมยังดูเหมือนว่าเขาคนนั้นกลับไม่อยากขึ้นมาจากหลุมพรางแล้วเสียด้วยสิ

     

    “ข้าไม่กล้าหือกับเจ้าหรอกนะ ข้าไม่อยากให้เจ้าโกรธหรืองอนข้าด้วยเรื่องใดๆ ทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นตอนกลางคืนข้าคงไม่มีคนนอนคุยด้วยจนหลับไป”

    “ก็ถ้าท่านยังเผลอพูดจากวนอารมณ์ข้าอีก ข้าจะส่งท่านไปนอนกับพวกกระรอกหน้าประตูเมืองโน่น แล้วก็จะไม่มีวันพาท่านหลับมาที่นี่อีก”

    “ข้าสำนึกแล้ว อย่าไล่ข้าไปไหนเลยนะ” ปากว่าสำนึก หากแต่เพราะตนกำลังเดินรั้งท้ายอยู่ จุนจึงไม่เห็นว่าท่านนักสำรวจกำลังยกสองแขนขึ้นกอดอกและเผยรอยยิ้มซึ่งเคล้าไปด้วยเล่ห์ร้ายคล้ายคนไร้สำนึก

    “ถึงแล้วล่ะ” จุนเอ่ยขึ้น

     

    หลังจากที่ใช้เวลาเดินเท้าจากบ้านต้นไม้มาจนถึงที่นี่ก็กินเวลาไปพอสมควร ทว่าเมื่อคนตัวเล็กเอ่ยบอกกับคริสว่าทั้งสองได้เดินทางมาจนถึงที่หมายแล้ว มือเรียวก็ยื่นไปแหวกพุ่มไม้ซึ่งซ่อนต้นโอ๊คสีแดงเอาไว้ สายตาคมคายมองภาพเบื้องหน้า เจ้าต้นไม้ใหญ่ตั้งตระหง่านและมีใบที่สวยงามอย่างน่าอัศจรรย์

    ใบโอ๊คเป็นสีแดงสดสวยงาม ลำต้นยืนสูงแข็งแรงดูไม่สะท้อนต่อสายลมยามหวนกระหน่ำ วงปีของต้นไม้ก็คงจะมีอายุเกิน 15 ปี ด้วยลำต้นที่ใหญ่กว้างประมาณ 4 คนโอบจึงทำให้คริสพอจะเดาออกได้

     

    “นี่คือต้นไม้ที่เป็นต้นประจำตัวของข้า ข้าปกปักษ์รักษาและดูแลมันมาตลอดตั้งแต่เกิด หมายถึง.. ข้าเกิด มันก็เกิด”

    “แล้วเจ้าต้นนี้มันสำคัญกับเจ้าอย่างไรหรือ?”

    “ก็.. ภูติทุกตัวมีสิ่งของที่ต้องปกปักษ์รักษาประจำตัว บางตัวก็ดูแลทารกแรกเกิดยันเติบโต ท่านคงเคยได้ยินคำว่า Fairy Godmother บางตัวก็เป็นภูติภูเขาหรือภูติแห่งสายน้ำ พวกเขาต้องดูแลสิ่งที่ถูกกำหนดมาให้นับตั้งแต่วันแรกที่เกิด ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้ป่าและธรรมชาติมีความอุดมสมบูรณ์ พวกเราห้ามละเลยเด็ดขาด เพราะถ้าหากพวกเราละทิ้งมันเมื่อไหร่ล่ะก็มันจะค่อยสลายหายไป ชีวิตของพวกเราก็จะสลายไปเช่นกันด้วย”

    “หมายความว่าเจ้าจะตายงั้นหรือ?”

    “ใช่ ถ้าข้าปกป้องต้นโอ๊คสีแดงนี้เอาไว้ไม่ได้ ข้าต้องตายตกไปตามมัน สภาพร่างกายจะเสื่อมและหายไปในที่สุด”

    “อ่าถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องช่วยเจ้ารักษาต้นโอ๊คนี่แล้วสินะ เพราะข้าไม่อยากให้เจ้าตายไปไหนเด็ดขาด”

    “ท่านพูดจาประหลาดอีกแล้วนะ”

    “ก็จริงนี่ ข้าพูดอะไรผิดตรงไหน”

    “เฮ้อ” จุนถอนหายใจอีกหนพลางเดินเข้าไปยังใต้ร่มเงาของต้นโอ๊คสีแดงต้นใหญ่ มือเล็กยกขึ้นลูบลำต้นของมันก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองใบโอ๊คซึ่งผลิเป็นสีแดง อีกไม่นาน.. ก็คงจะถึงฤดูออกดอกออกผล ภารกิจใหญ่ของจุนกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้เต็มที “ท่านว่าต้นนี้สวยไหม?”

    “สวยสิ สวยเหมือนเจ้าเลยล่ะ ใบสีแดงคล้ายสีผมของเจ้า มองทีไรก็ให้ความรู้สึกแปลกกว่ามองไปยังต้นอื่นๆ ที่มีใบเป็นสีเขียว นั่นแปลว่าเจ้าและต้นไม้ต้นนี้ไม่เหมือนใคร มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ซึ่งข้าชอบเหลือเกิน”

    “ชอบต้นไม้งั้นเหรอ?”

    “ถ้าบอกว่าชอบเจ้าล่ะ?”

    “มนุษย์นี่ช่างประหลาดชะมัด” จุนส่ายหัวพัลวัน

     

     

     

     

    “จุนอ่า.. พาใครมาเที่ยวเล่นแถวนี้รึ?”

    “ท่านนิมฟ์..

     

    เสียงของหญิงดังอยู่ไม่ห่างจากคริสมากนัก ร่างสูงจึงมองตามจุนซึ่งกำลังหันหน้าไปทางลำธารใกล้ต้นโอ๊คสีแดง เด็กหนุ่มตัวเล็กเผยรอยยิ้มก่อนที่คริสจะได้มองเห็นสิ่งมหัศจรรย์พันลึกซึ่งประหลาดกว่าเจ้าแฟร์รี่หูยาวเป็นไหนๆ

    ร่างของหญิงสาวผมยาวสลวยสีขาวผุดขึ้นจากผืนลำธารสายยาว ร่างเปลือยเปล่าของเธอทำให้คริสตกใจจนต้องรีบหันหนี เกิดมากี่ปีๆ ก็ยังไม่เคยเจอหญิงใดมาแก้ผ้าตรงหน้าเลยสักครั้ง นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่สายตาได้ประจักษ์กับร่างอ้อนแอ้นของสิ่งมีชีวิตอมนุษย์ดวงตาสีแดง ใบหน้าของพวกเธอนั้นออกจะสวยงดงาม หากแต่ร่างสูงนั้นไม่กล้าพอที่จะหันไปมอง เพราะในโลกมนุษย์นั้นไม่มีมนุษย์ปกติคนใดยืนมองหญิงงามร่างเปลือยกันโต้งๆ หรอก

     

    “ท่านนิมฟ์ ข้ามารบกวนเวลาพักผ่อนของพวกท่านหรือ?”

    “เปล่าหรอกจ้ะ พวกข้าเวียนว่ายอยู่ใต้น้ำกันตามปกติ แต่บังเอิญมองเห็นเจ้าพาใครบางคนมาที่นี่ด้วยก็เลยอยากจะมาทำความรู้จัก” หญิงสาวผิวกายขาวละเอียดเอ่ยขึ้น เส้นผมเปียกชื้นประดับอยู่ตามกรอบหน้าของนาง ขณะเดียวกันนั้นก็ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้อยู่ที่นี่เพียงตัวคนเดียว เพราะยังมีนิมฟ์ตัวอื่นๆ ผุดขึ้นมาจากลำธารและกำลังเดินเข้ามาใกล้ชายร่างสูงซึ่งกำลังก้มหน้างุดจนคางติดอก “ท่านราชินีส่งข่าวไปทั่วอาณาจักรว่ามีมนุษย์หลุดเข้ามาในนครของเรา แต่ข้าไม่คิดว่าเจ้ามนุษย์จะเป็นคนของเจ้า”

    “เขาเป็นเพื่อนข้าเองล่ะ ข้าช่วยเขาเอาไว้และให้ที่อยู่เพื่อรอคืนวันที่ดาวปรากฏ จากนั้นข้าจะพาเขาออกไปเอง”

    “อย่างนั้นหรือ?” แม่นิมฟ์สาวที่ดูเหมือนจะเป็นหัวโจกของนิมฟ์ทั้งหลายเดินเข้าไปประชิดตัวคริส ทำเอาร่างสูงสะดุ้งโหยงและต้องหันหน้าหนีเพื่อให้สายตามองไปยังต้นไม้แทนที่จะมองร่างเปลือยเปล่าของนาง สัมผัสจากมือนุ่มลูบไล้ตรงข้างแก้ม ริมฝีปากสีชมพูอ่อนจนเกือบซีดขยับเคลื่อนเข้ามาใกล้หูของร่างสูงก่อนจะเอ่ยปาก “ท่านไม่สนใจจะอยู่ที่นี่อย่างถาวรหรือ?”

    “ข.. ข้า.. ข้าไม่ค่อยคุ้นชินกับที่นี่เสียเท่าไหร่” ร่างสูงเอ่ยบอกอย่างติดๆ ขัดๆ สายตาต้องคอยชมนกชมไม้และจินตนาการว่าแม่นางนิมฟ์กำลังสวมอาภรณ์ครบทุกชิ้น ทว่าพาหันซ้ายก็ดันเจอนิมฟ์สาวอีกตัวเข้ามาเกาะแกะจนต้องเปลี่ยนมาเงยหน้ามองฟ้าสีสวยแทน “อ่า.. ได้โปรดปล่อยข้าเถิดนะแม่นางทั้งสอง ข้าต้องไปทำงานอย่างอื่นกับจุนอีกนะ”

    “จุน” เสียงของนิมฟ์สาวเรียกเจ้าภูติร่างบางที่กำลังหัวเราะคิกคักสะใจใส่คนที่ถูกบรรดานิมฟ์เย้าหยอกอยู่ “เจ้ามีงานอะไรที่ต้องทำกับมนุษย์ผู้นี้อีกหรือ?”

    “อันที่จริงไม่มีหรอก งานดูแลต้นไม้ก็เสร็จแล้ว งานเก็บเกี่ยวก็เสร็จแล้ว หลังจากนี้ข้าก็คงไม่ได้ทำอะไรนอกจากนอนตีพุงอยู่ที่บ้าน”

    “งั้นก็ดี ขอให้ข้าได้ทำความรู้จักกับเพื่อนเจ้าเสียหน่อยคงจะไม่เป็นอะไรนะ”

    “ตามสบายเถิดพวกท่าน ข้าจะกลับไปรอที่บ้านก็แล้วกัน”

    “ด.. เดี๋ยวสิจุน ข้าจะไปด้วย.. คือ.. คือข้าต้องกลับไปทอถุงนอนต่ออีกหน่อย ถุงนอนของข้าขาด ข้าต้องกลับไปจริงๆ”

    “เดี๋ยวข้าช่วยซ่อมให้ก็ได้นะท่านคริส ท่านอยู่เล่นกับพวกแม่นางนิมฟ์ไปเถอะ”

    “โธ่! จุน ไม่เอาแบบนี้สิ”

     

    คริสแทบจะร้องไห้เมื่อจุนไม่ยอมช่วยเขาออกมาจากเหล่านิมฟ์ที่กำลังมาเกาะแกะลูบคลำตามลำตัวของเขา แถมร่างสูงยังแอบเห็นจุนมยอนกำลังยืนหัวเราะอยู่คนเดียวจนน่าเจ็บใจ

    อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะพอใจมากที่เห็นคริสถูกพวกนิมฟ์หยอกเช่นนั้น ก็ชอบรังแกเจ้าภูติดีนักนี่ เห็นเจ้าภูติว่างงานเป็นไม่ได้ต้องหาคำพูดหวานดั่งน้ำผึ้งเดือนห้ามาพูดกระเซ้าเย้าแหย่ให้ร่างเล็กต้องหน้าแดงขึ้นมาทุกที

    นิมฟ์ หรือจะเรียกว่านางอัปสรก็คงไม่ผิด พวกนางเป็นอมนุษย์อีกประเภทที่มีลำดับชั้นไม่แตกต่างจากแฟร์รี่เท่าไหร่ พวกนางมักจะมีหน้าตาสละสลวย อ่อนเยาว์ไม่มีวันแก่ นิยมธรรมชาติอย่างถ่องแท้ ทำให้พวกนางไม่คิดจะใส่เสื้อผ้าเหมือนมนุษย์เพราะของพวกนั้นมาจากความคิดของมนุษย์ เช่นนั้นพวกนางจึงมักจะเปลือยกายท้าแดดท้าลมอยู่ตลอดเวลา แน่นอนว่าเรือนร่างของพวกนางทำให้ชายหรือเทพทั้งหลายเป็นต้องเหลียวมองและลงเอยด้วยการมีความสัมพันธ์กับพวกนาง ซึ่งโดยปกติแล้วคณานางนิมฟ์ก็มีนิสัยขี้เล่นและชอบโปรยเสน่ห์อยู่มากพอตัว นั่นจึงเป็นเรื่องง่ายที่ทำให้พวกนางจะสามารถหลอกล่อชายอื่นให้มาตกเป็นของพวกนางได้

    แต่ดูเหมือนว่าฝีปาก คารม หน้าอกกลมสวยซึ่งประดับด้วยเม็ดบัวสีชมพูชูชัน สะโพกผาย ดอกไม้ขาวกลางกลายและใบหน้าอันงดงามนั้นจะไม่สามารถโน้มน้าวใจของคริสได้เลยแม้แต่น้อย

     

    “ข้าไปแล้วนะท่านคริส เจอกันที่บ้านก็แล้วกัน แล้วข้าจะทำซุปไว้รอท่านนะ”

    “ย่าห์! จุนเจ้าทำกับข้าแบบนี้ไม่ได้นะ”

    “มาเถิดท่านชาย มาสนุกกับพวกข้าเถิด ฮ่ะๆ”

     

    เสียงหัวเราะของนิมฟ์แลน่ากลัวพิลึก ทำเอาร่างสูงขนลุกเกลียว พยายามขัดขืนออกจากแรงกอดรัดที่แขนทั้งสองข้างเพื่อเดินตามเจ้าแฟร์รี่ชุดเขียวนั่นไป หากแต่ก็ยังไม่เป็นผล เพราะนางนิมฟ์ทั้งหลายกำลังผลึกกำลังจับกุมร่างสูงเอาไว้ไม่ให้ออกเดิน

     

    “ปล่อยข้าเถอะแม่นาง พวกเจ้าช่างสละสลวยงดงาม แต่ถ้าหากพวกเจ้าบังคับข่มเหงข้าเช่นนี้ เห็นทีข้าคงไม่สามารถมองว่าพวกเจ้างดงามได้อีก”

     

     


     

     

    กว่าจะต่อรองเจรจากับคณานิมฟ์ได้ก็นับว่าใช้เวลานานพอสมควร มนุษย์ร่างสูงเดินกลับมาที่บ้านต้นไม้ด้วยสีหน้าและแววตาที่ออกจะบูดบึ้งสุดฤทธิ์ ประตูไม้ถูกเปิดออกทำให้คนที่กำลังนั่งคัดใบชาแห้งอยู่บนพื้นต้องเงยหน้าขึ้นมามอง พบว่าคริสนั้นไม่ได้ขมวดคิ้วแต่ก็ไม่แสดงสีหน้าไปในทางดีนักเท่าไหร่

     

    นี่เขาแกล้งคริสแรงไปนิดหน่อยหรือเปล่านะ

     

    “เล่นกับพวกนิมฟ์สนุกไหม?” เสียงหวานเอ่ยถาม ทำน้ำเสียงเจื้อยแจ้วสู้เสือไปอย่างนั้นทั้งๆ ที่ความจริงแล้วจุนมองเห็นสีหน้าไม่พอใจของคริสอย่างชัดเจน

    “เจ้าคิดว่าข้าสนุกไหมล่ะ?”

    “ทีนี้ท่านก็คงเข้าใจแล้วสินะว่าเวลาที่ข้าถูกท่านพูดจอเย้าหยอกใส่ ข้าจะรู้สึกอย่างไร”

    “แต่ที่ข้าพูดก็เพราะว่าข้าชอบเจ้าแล้วก็ต้องการให้เจ้าใจอ่อนต่างหาก ข้าไม่ได้คิดจะแกล้งเจ้าแบบนี้เสียหน่อย” ร่างสูงจ้องคนตัวเล็กบนพื้นเขม็ง “เวลาองค์รัชทายาทแอลอะไรนั่นมาตามตื๊อเจ้า เจ้าไม่รู้สึกรำคาญเขาเหมือนอย่างที่รำคาญข้าเลยหรือไง? ทั้งๆ ที่หมอนั่นก็กำลังเกี้ยวเจ้าเหมือนกัน นั่นแปลว่าเจ้าควรไปแกล้งหมอนั่นคืนด้วยสิ”

    “แอลไม่ได้เกี้ยวข้าเสียหน่อย ท่านอย่าใส่ความเขาสิ”

    “ดูเจ้าพูดเข้า.. ข้าไม่ได้ใส่ความ แต่ข้ามองออก” ร่างสูงยกมือขึ้นกอดอก “ข้ามองออกว่าแอลกำลังรู้สึกกับเจ้าเช่นไร เป็นผู้ชายด้วยกันน่ะเรื่องแค่นี้ทำไมจะมองไม่ออกล่ะ”

    “แต่ข้าก็เป็นผู้ชายนะ ข้าไม่เห็นรู้สึกว่าแอลชอบข้าตรงไหน”

    “แต่เจ้าไม่ใช่ชายที่ชอบเล่นหูเล่นตาป้อนคำหวานเหมือนพวกข้านี่”

    ” เจ้าแฟร์รี่ตัวบางกลายมาเป็นฝ่ายขมวดคิ้วแน่น เขากำใบชาในมือเอาไว้และรู้สึกอึดอัดนิดหน่อยที่ไม่สามารถต่อกลอนกับร่างสูงได้ ขณะเดียวกันคริสเองก็รู้ว่าใบหน้าเง้างอนนั่นช่างน่ามองเหลือเกิน หากแต่เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมาชมใครน่ารักในตอนนี้ ร่างสูงจึงใช้ความเงียบเป็นการต่อกลอนกับคิ้วที่ขมวดร่นของเจ้าภูติ “ถึงแอลจะเกี้ยวข้า แต่เขาก็ไม่เคยทำให้ข้ารู้สึกอายเหมือนที่ท่านทำ เขาไม่เคยทำให้ข้าเดินหนีเลยสักครั้ง มีแต่ท่านนั่นล่ะที่ชอบหาเรื่องมาพูดให้ข้าต้องรู้สึกอายจนต้องหนีไปสงบสติอารมณ์คนเดียว”

    “ในเมืองมนุษย์น่ะเรียกอาการแบบนี้ว่า เขิน มันไม่ใช่เรื่องน่าอายเสียหน่อย ที่เจ้าไม่รู้สึกเขินแอลก็เพราะว่าเจ้าไม่ได้ชอบแอลยังไงล่ะ แต่ที่เจ้ากำลังรู้สึกเขินกับข้านั้นอาจเป็นเพราะว่าเจ้ากำลังมีใจให้ข้า”

    “เอาเถอะ ยังไงเจ้าก็ต้องปกป้องแอลเพื่อนเจ้าอยู่ดี ข้าจะไม่พูดต่อหรือยุ่งย่ามกับเขาอีกแล้ว”

     

    พูดจบก็ทิ้งให้เจ้าภูติน้อยนั่งอยู่บนพื้นกับใบชาแต่เพียงคนเดียว ส่วนตนนั้นเดินหนีไปทางห้องครัวเพื่อหาสำรับอาหารเย็นมากินเพียงลำพัง ทั้งๆ ที่ปกติแล้วคริสไม่เคยไม่กินข้าวพร้อมจุนเลยแม้แต่มื้อเดียว เขาชอบการนั่งตรงข้ามจุน ชอบที่จะปรนนิบัติร่างเล็กให้ลองชิมอาหารฝีมือมนุษย์บ้าง แม้ว่ามันจะไม่ได้ต่างจากอาหารในโลกแฟร์รี่เสียเท่าไหร่ แต่เขาก็แค่ชอบการนั่งกินข้าวโดยมีจุนร่วมโต๊ะด้วย

    เจ้าภูติน้อยนั่งหงอยแต่เพียงผู้เดียว นี่เขากำลังถูกโกรธอย่างนั้นหรือ.. กลายเป็นว่าเรื่องนี้เขาเป็นคนผิดใช่หรือไม่.. แล้วที่ท่านมนุษย์บอกว่าเขากำลังมีใจให้คริสนั้นหมายความว่าอย่างไรกัน แล้วท่านนักสำรวจจะมาคิดเรื่องนี้แทนเขาได้อย่างไร ในท่านนักสำรวจไม่ใช่เขาเสียหน่อย!

     

     

    น่าโมโห!

    น่าโมโห!

    น่าโมโหที่สุด!

    น่าโมโหจนแก้มเปลี่ยนสีไปหมดแล้ว!

     

     


     

     

    เช้าวันถัดมา ตลอดทั้งคืนไม่มีใครพูดอะไรกันแม้แต่คำว่าฝันดี คริสยังคงไม่พอใจที่ร่างเล็กเอาแต่เข้าข้างเจ้าภูติชายตัวนั้น ทั้งๆ ที่เขาก็อุตส่าห์พูดไปจนหมดเปลือกแล้วว่าตนรู้สึกกับร่างเล็กเช่นไร แต่ดูเหมือนเจ้าภูติจะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เขากำลังจะสื่อ ขนาดคำว่า เขิน เจ้าภูติเองก็ยังไม่รู้จักเลย แล้วจะนับประสาอะไรกับการรับรู้ความรู้สึกในใจของตัวเอง

    คนตัวสูงตื่นแต่เช้า แขนแกร่งยกขึ้นก่ายหน้าผาก ในหัวยังคงคิดไปถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้จนต้องหลับตาลงเพื่อบังคับให้ตัวเองหยุดคิดเรื่องของเจ้าคนที่นอนอยู่บนเตียงเสียที ร่างเล็กนั้นเข้านอนก่อนคริสเสียด้วยซ้ำ ร่างสูงใช้เวลาทั้งคืนง่วนอยู่กับการวาดรูปของแมลงและดอกไม้นานาพันธุ์ลงในสมุดที่พกติดตัวเป็นประจำ เขาเห็นจุนกระโดดขึ้นเตียงและผล็อยหลับไปภายในเวลาไม่กี่นาที จนตอนนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น

     

    ก๊อกๆ

     

    เสียงเคาะประตูจากหน้าบ้านทำให้ร่างสูงต้องยกแขนออกจากหน้าผากและลุกขึ้นชะโงกหน้ามอง ร่างสูงเดินออกมาจากถุงนอนที่ตนเป็นคนทอขึ้นเองไปยังหน้าประตูก่อนจะเปิดมันออกและพบว่าคนที่เขาไม่อยากเห็นหน้ามากที่สุดในอาณาจักรนี้กำลังยืนอยู่ตรงหน้า

     

    “มาทำอะไร?”

    “ข้าอยากคุยกับเจ้าของบ้าน”

    “จุนยังไม่ตื่น”

    “งั้น.. รบกวนเจ้าช่วยปลุกข้าให้หน่อยสิ วันนี้ข้านัดกับจุนเอาไว้ว่าจะไปเดินเล่นกันแถวๆ ท้ายป่านิดหน่อย นี่ก็.. ใกล้จะถึงเวลานัดแล้วด้วย”

    “จะไปเดทกันงั้นหรือ?”

    “ด.. เดท? คืออะไรหรือท่านมนุษย์?” องค์รัชทายาทเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อย เขาไม่เข้าใจภาษาของมนุษย์จริงๆ หากแต่เมื่อย้ำถามขอคำตอบไปแล้ว แต่ร่างสูงของมนุษย์หนุ่มกลับเลือทกี่จะไม่ตอบ แถมยังกอดอกอย่างโอหังเสียด้วย

    “ช่างเถอะ นัดกันไว้ที่ไหนล่ะ? ข้าจะได้ปลุกจุนและจะบอกให้เขาตามไป”

    “อ่า.. ข้ามาถึงที่นี่แล้วคงไม่ต้องตามไปเจอกันอีกที่ให้เสียเวลาหรอก”

    “แล้วจะเอายังไง?”

     

    “ท่านคริส ใครมางั้นหรือ?”

     

    เสียงหวานปนสะลึมสะลือเอ่ยถาม ร่างสูงจึงหันกลับไปมองและพบว่าจุนกำลังงัวเงียลุกขึ้นมา มือเล็กยกขึ้นขยี้ตาเบาๆ เรือนผมสีแดงติดจะยุ่งเหยิงนิดหน่อยจากการนอนพลิกไปพลิกมาทั้งคืน ช่างน่าเอ็นดูนัก แต่จะให้ออกปากชมตอนนี้ก็ดูจะเสียมาดคนกำลังงอน คริสจึงเลือกที่จะไม่ขอหยอดคำหวานหนึ่งวันและปล่อยให้จุนได้พบกับแอลเพียงลำพัง ทั้งๆ ที่ในใจนั้นหงุดหงิดจนแทบบ้า

     

    “เพื่อนเจ้ามา” ร่างสูงตอบแค่นั้นก่อนจะเดินออกมาจากประตู เขาพับถุงนอนของตัวเองอย่างงุ่นง่าน แต่กลับบังคับสีหน้าให้เรียบเฉยได้อย่างน่าอัศจรรย์ เมื่อจัดการกับที่นอนของตัวเองเสร็จแล้วร่างสูงจึงเดินหลบเลี่ยงไปทางห้องครัวเพื่อหามื้อเช้าให้ตัวเองอิ่มท้อง เขาใช้เศษฟืนที่มีอยู่แล้วมาวางสุมลงบนเตาก่อนจะนำไม้ขีดไฟมาจุดเพื่อสร้างเปลวเพลิงสำหรับการปรุงอาหาร เห็นทีเมนูของวันนี้ก็คงจะไม่พ้นเนื้อย่างดังที่เคยกินมาตลอดหลายวัน

     

    ทุกการกระทำของคริสตกอยู่ในสายตาของจุนตลอดทุกย่างก้าว เขาไม่ชอบบรรยากาศอันแสนอึดอัดนี้เลย ปกติแล้วในทุกๆ เช้าคริสจะเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายอรุณสวัสดิ์ ช่วยจุนเตรียมอาหาร ชงชาจากดอกพีโอนีมาให้จุนได้ดื่มทุกครั้ง แต่วันนี้.. ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด ไม่มีแม้แต่คำทักทาย ไร้ซึ่งรอยยิ้ม และดูเหมือนจะไร้เยื่อใยอีกเช่นกัน

     

    “ทำไมวันนี้เจ้าตื่นสายล่ะหื้ม?” แอลยืนพิงกรอบประตูพลางกอดอกพร้อมกับส่งรอยยิ้มให้ภูติประจำต้นโอ๊คสีแดง รอยยิ้มของแอลยังอบอุ่นเสมอ แม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเย็นชาก็ตาม ทว่าแอลกลับไม่ใช่ผู้ชายเย็นชาโดยเนื้อแท้ เขาเป็นคนใจดีและอัธยาศัยดี ทั้งยังรับหน้าที่สอนหนังสือให้กับเด็กๆ ในเมืองโดยที่การสอนหนังสือไม่ใช่ราชโองการจากพระราชินี

    “ข้าเหนื่อยๆ น่ะ ขอโทษที่สายนะ”

    “ไม่เป็นไร ข้ารอได้.. เจ้าไปจัดการตัวเองเถอะ ข้าจะนั่งรออยู่หน้าบ้านก็แล้วกัน”

    “ข้าจะพยายามรีบนะ”

    “อืม”

     

    จุนลุกขึ้นจากเตียง มือเล็กลูบผมสีแดงให้ลู่ลงนิดหน่อยก่อนจะพาตัวเองไปชำระล้างร่างกายจนเสร็จสรรพ ขณะเดียวกันคนตัวสูงเองก็เพิ่งจะทานมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อย เขาจึงยกจานของตัวเองไปล้างซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับตอนที่จุนเดินผ่านหลังเขาไป จมูกพลันได้กลิ่นหอมหวานจากร่างเล็กเสมือนที่เคยได้สัมผัสผ่านจมูกอยู่เป็นประจำ และถึงแม้ว่าจะยังมีอารมณ์น้อยใจร่างเล็กอยู่นิดหน่อย แต่ก็ยังมิวายแอบเหลือบหันไปมองร่างบางที่กำลังยืนจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองอยู่หน้ากระจกบานใหญ่

    วันนี้จุนยังคงสวมเสื้อแขนยาวคอสูงสีเขียวมรกตเช่นเดิม ไรผมสีแดงเปียกชื้อนิดหน่อยจากการเร่งรีบอาบน้ำเพราะไม่อยากให้แอลรอนานเกินไป สายตาสำรวจความเรียบร้อยของตนเอง หยิบเสื้อคลุมสีเขียวซึ่งมีความยาวลากถึงพื้นมาคลุมไหล่เอาไว้และมัดปมของมันป้อนกันไม่ให้ไหลร่วงไปกองกับพื้น สายตาพันมองเห็นแผ่นหลังหนาที่กำลังง่วนอยู่กับการล้างจานผ่านกระจกเงา จุนจึงกัดริมฝีปากแสดงอาการพะวงนิดหน่อย แต่ก็ยังเลือกที่จะเดินเข้าไปหาและพูดกับร่างสูงเบาๆ

     

    “เดี๋ยวข้ากลับมานะ คงไปไม่นานหรอก”

    “อืม”

     

    เมื่อสองหูยาวได้รับฟังน้ำเสียงที่ตอบกลับมาอย่างเย็นชา จู่ๆ จุนก็รู้สึกเจ็บเสียดที่อกข้างซ้าย ใบหน้าหงอยลงอย่างเห็นได้ชัด ดวงตาที่เคยสุกใสเป็นประกายบัดนี้กลับหม่นหมองเพราะความรู้สึกผิดที่แล่นเข้ามาในอก ความเงียบกัดกินความรู้สึกของจุนจนไม่กล้าพูดอะไรต่อ เกรงว่าอาจจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญจนต้องมาอารมณ์เสียอีก เช่นนั้นร่างเล็กจึงถูมือไปมาก่อนจะดึงหมวกที่ติดอยู่กับชุดคลุมมาสวมศีรษะและตัดสินใจเดินออกไป

     

     


     

     

    “เจ้าเตรียมตัวสำหรับคืนวันฉลองหรือยัง?”

    “เรียกว่าเตรียมใจจะดีกว่านะข้าว่า”

     

    แอลหัวเราะออกมาเบาๆ ในขณะที่สองเท้ากำลังย่างก้าวไปพร้อมกับเพื่อนตัวบาง วันนี้นับว่าเป็นอีกวันที่เขาได้ออกมาใช้เวลาอยู่กับจุนเพียงลำพัง หลังจากที่ต้องคอยสอนหนังสือให้กับเด็กๆ ในโรงเรียนภูติฝึกหัดมาตลอด เวลาสำหรับการหยุดพักจึงน้อยลงสำหรับแอลและไม่มากพอที่จะมาพบกับจุนได้ แต่วันนี้ร่างสูงได้ตัดสินใจแล้วว่าอย่างไรก็ต้องมาเจอจุนให้ได้ ยิ่งมี เจ้ามนุษย์หน้าโง่ คนนั้นมาอยู่ในวงโคจรของจุนยิ่งแล้วใหญ่ เห็นทีแอลคงต้องหาทางสกัดขาไม่ให้เจ้ามนุษย์นั่นมาแย่งจุนไปได้

     

    “ข้าไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร แต่พอถึงเวลา.. เดี๋ยวก็คงทำเป็นเองล่ะมั้ง”

    “ข้าก็เหมือนกัน ตอนที่ข้าต้องทำแบบนั้นครั้งแรก.. ข้าก็งกๆ เงิ่นๆ พอตัว”

     

    วันฉลองต้นไม้ เป็นอีกวันสำคัญของอาณาจักรน็อกซ์ เหล่าภูติต้นไม้ทุกตัวจะมารวมตัวกันที่ลานหน้าต้นไม้ใหญ่ประจำเมืองเพื่อรอฟังคำปราสัยและรอรับพรจากราชินีแฟร์รี่ หรือที่จุนรู้จักในนามแม่ของแอล ราชินีจะให้พรแก่ภูติที่อายุครบ 18 ปีในปีนี้ทุกตัว ก่อนที่เหล่าภูติจะต้องแยกย้ายกันไปยังต้นไม้ของตัวเองและเริ่มปฏิบัติภารกิจสำคัญ

    ภารกิจที่ว่านั่นก็คือการบรรลุนิติภาวะด้วยตัวเอง ซึ่งในภาษามนุษย์เรียกว่าการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง หยดน้ำสีขาวจากกายที่หลั่งลงบนพื้นดินบริเวณที่รากไม้หยั่งไว้จะช่วยให้ต้นไม้นั้นยืนต้นแข็งแรง ไม่หักโค่นหรือเปราะบางอีกต่อไปแล้ว ทั้งยังจะช่วยให้ต้นไม้นั้นผลิดอกออกผลดั่งแฟร์รี่หนุ่มสาวที่กำลังแตกหน่อเนื้อ

    ซึ่งจุนเองก็เป็นหนึ่งในแฟร์รี่ที่กำลังจะมีอายุครบ 18 ปีในปีนี้ แม้เดือนเกิดจะยังมาไม่ถึง แต่ก็ต้องเข้าทำพิธีพร้อมกับเพื่อนๆ ตัวอื่นเช่นกัน โดยที่แอลนั้นโตกว่าและได้ผ่านการทำพิธีมาแล้ว ต้นไม้ของเขายืนต้นเติบใหญ่ ซึ่งถือว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อีกต้นของนครเลยก็ว่าได้ เพราะต้น Alder นั้นสามารถใช้รักษาอาการบาดเจ็บหรือสมานบาดแผลลึกได้ ทั้งยังช่วยในเรื่องของอาการเจ็บป่วยได้เป็นอย่างดี ต้นไม้ต้นนี้จึงเป็นต้นไม้สำคัญของนครน็อกซ์ ยามมีคนเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ที่มุมใดของนคร องค์รัชทายาทจะนำใบมาบดยา สกัดออกมาเป็นยารักษาโรคชั้นดี และนำไปให้กับคนป่วยอย่างไม่ถือตัว

    คนทั้งคู่เดินมาด้วยกันจนถึงทุ่งดอกไม้นานาพันธุ์ทางด้านตอนใต้ของเมือง ต้น White Ash ของเพื่อนแฟร์รี่ตนหนึ่งเติบโตขึ้นจนผลิใบสวยเป็นพุ่มใหญ่ ให้ร่มเงาแก่เจ้าแฟร์รี่ตัวอื่นๆ ที่กำลังทำงานปลูกดอกไม้ได้มานั่งพักหลบแดดหลบลมยามว่าง

     

    “องค์ชาย จุน.. มาช้ากว่าเวลาที่นัดข้าเอาไว้นะ”

    “ข้าผิดเองล่ะยอล วันนี้ข้าตื่นสายจึงพลอยทำให้แอลช้าไปด้วย ขอโทษนะ”

     

    ยอล คือเพื่อนคนที่ยังเหลืออยู่สำหรับจุนในตอนนี้ สาเหตุที่คบกันได้ก็คงจะเพราะมีชะตากรรมไม่ต่างกัน เพราะยอลเป็นลูกครึ่งแบล็ค แฟร์รี่กับบลู แฟร์รี่ จึงทำให้ภูติตัวอื่นๆ พากันใส่ความว่าเขาอาจเป็นตัวอันตรายอีกตัวหนึ่งของเมือง เนื่องจากยอลเองก็มีเลือดแบล็ค แฟร์รี่อยู่ในตัว ชาวเมืองจึงพากันหวั่นว่ายอลอาจสร้างความลำบากให้พวกเขาก็เป็นได้ เช่นนั้นจึงไม่มีใครคิดจะคบหาเจ้าภูติตัวสูงคนนี้เสียเท่าไหร่นอกจากจุนและแอล

    ขณะนี้ยอลเองก็โตมาจวบจนอายุครบ 16 ปีแล้ว หากแต่ก็ยังไม่เคยสร้างปัญหาในเมืองเลยสักครั้ง กลับกันเขามักจะติดตามแอลไปทุกที่ยามมีคนเจ็บไข้ได้ป่วย และช่วยแอลคิดค้นยาต่างๆ เพื่อรักษาโรคให้กับชาวเมือง

     

    “ต้นไวท์ แอชของเจ้าช่างสูงใหญ่เหลือเกิน สงสัยเจ้าคงจะบำรุงดีเป็นพิเศษเลยใช่ไหม?” จุนเอ่ยถามพลางเดินเข้าไปยังใต้ร่มไม้ ปลายนิ้วแตะจับใบสีเขียวของเจ้าต้นไม้ เห็นได้ถึงความสดไร้เพลี้ยหรือโรคของต้นไม้ให้ต้องกังวล

    “ไม่ใช่ฝีมือข้าหรอก อาทิตย์ก่อนข้าเป็นลมอยู่ริมบึง พอลองกลับมาดูที่ต้นไม้ก็พบว่ามันเริ่มจะมีเพลี้ยแป้ง องค์ราชินีจึงประทานให้ผงแฟร์รี่กับข้ามาใช้เยียวยาร่างกายกับต้นไม้ในระยะสั้นก่อน ระหว่างนี้ข้าคงต้องหาวิธีกำจัดเพลี้ยและฟูมฟักมันให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่อย่างนั้นข้าคงต้องแย่แน่ๆ

    “ทำไมข้าไม่เห็นรู้เรื่องนี้เลยล่ะ? แล้วตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”

    “ข้าไม่มีแรงจะส่งนกร้องเพลงไปบอกเจ้าน่ะ ข้าก็แค่เอาแต่นอนขลุกอยู่ในบ้าน พอเริ่มหายดีก็ต้องออกมาจัดการกับต้นไม้ต่อ อีกอย่างข้าเห็นว่าร่างกายข้าไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว ข้าจึงไม่ได้บอก” ยอลตอบ รอยยิ้มเบาบางของเขาเผยให้เห็นลักยิ้มข้างแก้มที่ตามมาประดับใบหน้าทุกที เมื่อได้ฟังคำแก้ต่างของเพื่อนแล้วจุนจึงส่ายหัวเบาๆ พลางถอนหายใจ

    “เฮ้อ เจ้าเนี่ยนะ.. ไม่ต้องเอาอาการป่วยมาอ้างเลย เจ้าน่ะปากหนักขี้เกรงใจไปทั่ว ทำไมข้าจะไม่รู้”

    “ก็ถ้าเจ้ารู้ว่าข้าป่วย เจ้าก็คงต้องพาองค์ชายวิ่งแจ้นมาที่บ้านข้าเพื่อมาอยู่เฝ้าข้าทั้งวันทั้งคืน แบบนี้จะไม่ให้ข้าเกรงใจได้ยังไงล่ะ” ยอลพูดพลางลงไปนั่งบนพื้นข้างๆ แอล องค์รัชทายาทเลือกที่จะนั่งรวมกับพวกกระต่ายโดยไม่สนถึงฐานันดร ทั้งยังยื่นมือไปลูบหัวพวกมันอย่างไม่รู้สึกรังเกียจ “ว่าแต่เจ้าเถอะ ข้าได้ยินเรื่องมนุษย์.. ทำไมเจ้าไม่เห็นบอกข้าเลยว่าเจ้าพามนุษย์เข้ามา”

    “ก็ข้าไม่อยากให้ใครต่อใครแตกตื่น ข้าก็เลยกะว่าจะให้เขาพำนักอยู่ในบ้านไม่ต้องออกไปไหน แต่ก็จะให้ออกมาช่วยงานบ้างแก้เบื่อ แต่นี่แอลก็เอาไปรายงานองค์ราชินีแล้ว ป่านนี้พวกทหารคงเฝ้าระวังกันเต็มที่”

    “โทษข้าไม่ได้นะ มันเป็นหน้าที่ที่ข้าต้องทำ” แอลยกมือขึ้นปฏิเสธ “เจ้ามนุษย์นั่นคงทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก เวทย์มนต์ก็ไม่มี ดีแต่ปากแค่นั้นเอง อีกอย่างเมื่อวันที่ต้องกลับไปยังโลกมนุษย์เช่นเดิม จุนเองก็คงจะทำการลบความทรงจำเพื่อไม่ให้เขาแพร่งพรายเรื่องของพวกเรา เช่นนั้นข้าจึงคิดว่าคงไม่มีอะไรน่าห่วง”

    “ถ้าพระองค์ตรัสเช่นนั้น กระหม่อมก็ย่อมเห็นด้วย”

    “เลิกใช้คำพวกนั้นกับข้าเสียที รู้จักกันมาเป็นแรมปีแล้วไม่เห็นต้องทางการขนาดนั้น เจ้าเองก็เพื่อนข้านะยอล”

    “ขอประทานอภัย แต่ข้าไม่ชินจริงๆ”

    “ถ้าต่อไปเจ้ายังพูดอยู่อีก ข้าจะไม่ให้เจ้ามาติดตามข้ายามไปช่วยเหลือแฟร์รี่ตัวอื่นๆ อีกแล้ว”

    “อ่า.. .. ทราบแล้ว”

     

    ภูติทั้งสามพากันนั่งเสวนาเรื่องนั้นเรื่องนี้อย่างเรื่องเปื่อยตามประสาคนไม่ค่อยได้เจอกัน ถึงแม้ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทกัน หากแต่พวกเขาก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ด้านแอลนั้นยิ่งแล้วใหญ่ เพราะนอกจากจะต้องสอนหนังสือเด็กๆ และทำตัวเป็นหมอคอยรักษาชาวเมืองแล้ว ตนเองก็ยังมีงานสำคัญต่างๆ ที่ต้องคอยติดตามพระมารดาไปทุกแห่งหน ในขณะที่ชานยอลก็ต้องดูแลสวนดอกไม้ในบริเวณของตัวเอง ทั้งยังต้องรักษาตัวเองที่จู่ๆ ก็ดันมาอ่อนแอเข้าเสียดื้อๆ ส่วนจุนนั้นก็ต้องยุ่งย่ามอยู่กับการดูแลต้นโอ๊คสีแดง เตรียมตัวเตรียมใจสำหรับคืนวันฉลอง ดูแลสวนดอกไม้และให้อาหารกระต่ายอยู่ทุกวัน

    แม้ตัวจะเป็นแฟร์รี่ หรือจะเรียกว่าอมนุษย์ก็ไม่ปาน หากแต่ชาวภูติก็ใช้ชีวิตกันดั่งเป็นมนุษย์จริงๆ มีเวทย์มนต์หากแต่ไม่สามารถใช้ได้อย่างสุรุ่ยสุร่าย ดินแดนนี้กำหนดข้อบังคับในการใช้เวทย์มนต์ได้เพียง 2 สถานการณ์ หนึ่งคือใช้เพื่อป้องกันตัวยามถูกศัตรูโจมตี สองคือใช้เพื่อลบความทรงจำของมนุษย์ยามได้พบโดยบังเอิญ นอกเหนือจากนั้นแล้วก็จะไม่สามารถใช้เวทย์มนต์ทำอะไรได้อีก

     

     

     

     

     

     

     

    จุนใช้เวลาอยู่ข้างนอกจนถึงช่วงบ่าย นั่นแปลว่าเขากลับมาช้ากว่าที่เคยบอกคริสเอาไว้ว่าจะออกมาข้างนอกแค่ครู่เดียวเท่านั้น เรียวเท้าเปลือยเปล่าก้าวไปตามบันไดสูงชันของบ้านต้นไม้ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในบ้าน

    บ้านไม้หลังน้อยเงียบสงัดไร้ซึ่งเสียงหรือแม้แต่ความเคลื่อนไหว จุนจึงใช้สายตาสอดส่องและเดินค้นหาชายร่างสูงให้ทั่วอีกครั้ง พบว่าไม่มีแม้แต่วี่แววใดๆ ซึ่งสถานการณ์นี้ทำให้จุนอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้เพราะเขาเองก็นึกไม่ออกเช่นกันว่าท่านนักสำรวจนั้นจะหายไปที่ใดได้บ้าง หากจะบอกว่าเขาคงกลับโลกมนุษย์ไปแล้วก็ไม่น่าจะใช่ เพราะนี่ไม่ใช่วันพระจันทร์เต็มดวงที่ประตูมิติจะเปิดทางให้เสียหน่อย

     

    “หายไปไหนกันนะ?” เสียงหวานร้องถาม สายตาเหลือบไปทางซ้ายทีขวาทีด้วยความวุ่นวายใจ ทว่าจุนกลับมองเห็นสิ่งของแปลกประหลาดซึ่งวางอยู่บนปลายเตียง เด็กหนุ่มจึงเดินไปหยิบมันขึ้นมาไว้ในมือ รูปร่างของมันช่างประหลาดเหลือเกิน แต่สัมผัสของมันนั้นกลับไม่ได้แปลกออกไปมาก สิ่งของชิ้นนี้ถูกถักสานขึ้นจากเชือกปอที่จุนขอให้คริสช่วยตากเอาไว้ตรงโคนต้นไม้เมื่อสัปดาห์ก่อน บัดนี้มันได้แห้งลงพร้อมนำมาใช้งานแล้ว ซึ่งมันก็ถูกนำมาถักทอร้อยเรียงให้กลายเป็นสิ่งของหน้าตาแปลกประหลาดที่จุนไม่เคยรู้จักมาก่อน

    อย่างไรเสียจุนก็ไม่คิดที่จะปล่อยให้สถานการณ์นี้ผ่านตาไปได้ง่ายๆ เขาถือสิ่งของเอาไว้ในมือก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากตัวบ้านและเริ่มออกตามหามนุษย์ผู้นั้นโดยทันที

    สองเท้าย่างกรายไปตามสถานที่ต่างๆ ที่ตนพอจะนึกออกว่าเคยพาคริสไปที่ไหนบ้าง โดยจุนเริ่มจากบริเวณรอบๆ บ้านต้นไม้ก่อน อาศัยไถ่ถามจากพวกแมลงปอหางสีฟ้าที่คริสเคยจับมาไว้ในกล่องแก้วแต่เจ้าพวกนั้นก็ดันส่ายหน้าและบอกว่าไม่เห็น เช่นนั้นจุนจึงออกเดินต่อไปยังต้นโอ๊คสีแดงของตน

    บริเวณต้นโอ๊คสีแดงนั้นมีคณานางนิมฟ์ปีนขึ้นมานั่งเล่นอยู่ตามลำธาร จุนเอ่ยปากถามกับพวกนางว่าเห็นคริสผ่านมาแถวนี้หรือไม่ แต่พวกนางก็ส่ายหน้าและปฏิเสธไม่ต่างจากพวกแมลงปอหางสีฟ้าเลย เพราะอย่างนั้นจุนจึงต้องออกเดินเท้าต่อไปยังทุ่งดอกไม้ของตน เพราะมันคือที่สุดท้ายที่ร่างเล็กเคยพามนุษย์ตนนั้นไปช่วยงานด้วย

    เท้าเปล่าเดินเหยียบเศษใบไม้ใบหญ้าจนเปรอะเปื้อนไปหมด บางทีก็รู้สึกเจ็บเพราะโดนเจ้ากรวดทิ่มเอาจนเผลอกระโดดโหยงเป็นกระต่ายไปเสียได้ เรียวคิ้วเริ่มขมวดแน่นขึ้นเพราะรู้สึกงุ่นง่านเหลือเกิน ไม่รู้ว่าเพราะหงุดหงิดเจ้าก้อนกรวดหรือหงุดหงิดที่ผู้ชายคนนั้นหายไปกันแน่.. และในที่สุดสายตาก็ประจักษ์เห็นใครบางคนกำลังนั่งพิงต้นไม้ใหญ่บนเนินดินอยู่เพียงลำพังท่ามกลางสายลมอ่อนๆ

    จุนสาวเท้าก้าวเข้าไปหาเพราะแน่ใจว่านั่นคือคริส แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้.. จู่ๆ คำบ่นที่ตนอุตส่าห์เตรียมมานั้นก็ดันถูกกลืนหาย กลับกลายเป็นความรู้สึกโล่งอกโล่งใจเมื่อเห็นว่าเขายังอยู่ตรงนี้ ยังไม่ได้หายไปไหน จุนจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรและยอมนั่งลงข้างๆ คนที่กำลังผล็อยหลับคอตกอย่างน่าสงสาร ในมือกลับถือสมุดและดินสอที่ตนพกติดตัวมาจากโลกมนุษย์เอาไว้

    มือเล็กตั้งใจจะยื่นไปช่วยประคองศีรษะให้กลับมาตั้งตรงเช่นเดิม เกรงว่าถ้าต้องนอนท่านี้นานๆ มีหวังคงปวดคอเป็นแน่แท้ จุนจึงพยายามใช้สัมผัสเบามือช่วยประคองช้าๆ ทว่าคนตัวสูงนั้นกลับรู้สึกตัวเสียก่อนเพราะถูกรบกวนเวลานอน เขาจึงลืมตาขึ้นมาและสบมองดวงตาสีนิลสวยซึ่งอยู่ในระยะใกล้เอาเสียมากๆ เมื่อได้สบตาแล้วก็จำต้องเบนหนี เพราะเจ้ามนุษย์ตัวสูงนั้นยังไม่ลืมว่าตนกำลังงอนเจ้าภูติน้อยอยู่

     

    “ทำไม่มานอนตรงนี้ล่ะ? ที่บ้านก็นอนได้นี่นา”

    “เบื่อแล้ว อยากออกมาเดินเล่นบ้าง”

    “ข้านึกว่าท่านหายไปไหนเสียอีก.. ตกใจแทบแย่” เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงหวานหู พยายามส่งรอยยิ้มจางๆ ให้แม้ว่าคนตัวสูงจะยังไม่ยอมหันกลับมามองก็เถอะ “ท่านเขียนอะไรอยู่หรือ? ขอข้าดูได้ไหม?”

    “ข้าก็วาดรูปแมลงไปทั่วแล้วก็เขียนเรื่องของมันไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก ลายมือข้าก็แย่ ในสมุดมีแต่ลายเส้นชุ่ยๆ ทั้งนั้น เจ้าอย่าดูเลย”

     

    เหตุใดถึงได้งอนนักงอนหนาและงอนได้นานถึงเพียงนี้กัน? จุนคิดว่าตนนั้นหมดปัญญาจะง้อเจ้ามนุษย์ตนนี้แล้ว พูดดีด้วยก็ไม่ฟังแถมยังประชดกลับมา ส่งยิ้มให้ก็ยังไม่มอง นี่น่ะหรือที่คริสบอกว่าชอบจุนนักหนาทำไมจุนถึงรู้สึกเหมือนกำลังถูกเกลียดอยู่ก็มิปาน

    ไม้ตายสุดท้ายถูกหยิบยกมาใช้ วัตถุแปลกประหลาดสองชิ้นถูกหยิบขึ้นมาวางเอาไว้บนมือที่กำลังแบออก จุนยื่นมันไปตรงหน้าคริสก่อนจะเอ่ยปากถามถึงมาของสองสิ่งนี้ เพราะมันช่างหน้าตาประหลาด และจุนเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร ทั้งยังมาวางอยู่บนเตียงนอนของเขาอีก

     

    “นี่ใช่ของท่านหรือเปล่า?” คราวนี้เจ้ามนุษย์ยอมหันกลับมา เมื่อเห็นสิ่งของที่อยู่บนมือของจุนแล้วเขาจึงพยักหน้ารับ

    “ใช่ ข้าถักให้เจ้า”

    “มันคืออะไรหรือ?”

    “รองเท้า มันคือรองเท้า.. เจ้าไม่รู้จักหรือไง?”

    ” จุนส่ายหัว ดวงตากลมสวยใสนั่นทำให้คริสจนปัญญาที่จะวางมาดคนขี้งอนต่อ เขาถอนหายใจเบาๆ และยอมขยับตัวหันกลับมาคุยกับจุนอย่างที่ควรจะทำเสียตั้งแต่ทีแรก

    “มันก็เหมือนกับที่ข้าใส่ออกไปเดินกับเจ้าทุกวัน”

    “ข้าเห็นเจ้าเอาแต่เดินเท้าเปล่า ลองสังเกตภูติตัวอื่นๆ ว่ามีรองเท้าใส่เหมือนมนุษย์ไหมแต่พวกเขากลับไม่มีเช่นกัน แต่พวกเขาก็คงจะไม่เคยเดินเหยียบเศษไม้เศษกรวดเช่นเจ้า เพราะพวกเขาไม่เคยปล่อยให้เท้าสัมผัสดิน” คริสอธิบายและหยิบรองเท้าข้างหนึ่งมาพินิจอีกครั้งว่าของขวัญชิ้นนี้มีความประณีตพอแล้วหรือยัง แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะพินิจแล้วพินิจอีกจนมั่นใจพอที่จะวางเอาไว้ให้จุนเห็น “แต่เจ้าไม่มีปีก เจ้ายังต้องใช้เท้าเดิน เพราะอย่างนั้นข้าจึงไม่อยากเห็นเจ้าทนเดินเท้าเปล่าอีก ข้าก็เลยเอาเชือกปอที่ตากไว้มาถักให้ ข้าใช้เวลาตลอดทั้งช่วงเช้าทำออกมาเพื่อให้เจ้าได้ใส่ อาจจะไม่สวยเหมือนของมนุษย์ แต่ข้าหาวัตถุดิบได้เท่านี้จริงๆ”

    “แล้วข้าต้องทำอย่างไรกับมันหรือ?”

    “ก็สวมเข้าไปกับเท้าเหมือนที่ข้าสวม”

    ” ได้ยินเช่นนั้นแล้วก็ลองมองที่เท้าของคริสดูบ้าง เท้านั่นออกจะใหญ่กว่าของจุนเป็นไหนๆ ออกจะเหมือนเท้ายักษ์ด้วยซ้ำ ยิ่งมีรองเท้าขนาดใหญ่มาสวมทับยิ่งทำให้ดูใหญ่ แต่เมื่อจุนได้ลองเรียนรู้จากการมองดูแล้ว เขาจึงใส่รองเท้าข้างที่เหลืออยู่ในมือลงกับเท้าของตัวเองดูบ้าง ทว่ายังไม่ทันจะได้สวมก็ดันถูกมือหนารั้งเอาไว้เสียก่อน

    “เฮ้ๆ จะใส่ลงไปทั้งอย่างนั้นเลยหรือไง? เท้าเจ้าไปหยิบอะไรต่อมิอะไรมาจนเลอะไปหมด ถ้าใส่ลงไปแบบนั้นรองเท้าข้าต้องเละแน่ๆ อีกอย่างนั่นมันข้างซ้ายแต่เจ้ากลับจะเอาสวมลงไปบนเท้าข้างขวามันผิดข้างนะแบบนั้น ข้างซ้ายก็ต้องสวมกับเท้าซ้าย ข้างขวาก็ต้องสวมกับเท้าขวา”

    “มา ข้าจะสอนให้” ว่าแล้วก็ต้องเป็นคนตัวสูงที่ต้องเป็นคนสอนวิธีใส่รองเท้าให้กับเจ้าภูติน้อย ผ้าเช็ดหน้าผืนสีน้ำตาลในกระเป๋ากางเกงถูกหยิบออกมาสะบัดให้คลี่ออก ก่อนที่คริสจะใช้มันบรรจงเช็ดเท้าของจุนให้สะอาดมากพอเท่าที่จะทำได้แล้วจึงจัดการสวมรองเท้าให้ร่างเล็กทีละข้าง “เรียบร้อยแล้ว”

    “ขอบใจ มันน่ารักมากๆ เลยล่ะ”

    “ชอบอย่างนั้นหรือ?”

    “ใช่ มันดูเหมาะกับเท้าของข้ามาก ตั้งแต่เกิดมาข้าไม่เคยเห็นอะไรประหลาดๆ แบบนี้มาก่อน แถมมันยังสามารถใช้งานได้จริงด้วย ข้าชอบมากเลยล่ะ”

    “ก็ดีแล้ว แต่ถ้ามันแน่นเกินไปก็บอกนะ ข้าจะแก้ให้ เพราะถ้าฝืนใส่ไปมันจะทำให้เจ้าเจ็บเท้ายิ่งกว่าเดิม”

    “อื้อ เข้าใจแล้วล่ะ” จุนพยักหน้าและส่งรอยยิ้มไปให้กับชายที่ยังคงมองหน้าเขาอยู่ คนตัวเล็กเหยียดขาออกก่อนจะขยับส่ายเท้าไปมาอย่างสนุกสนาน จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนและรองเดินไปรอบๆ ต้นไม้ใหญ่ พบว่ารองเท้าของคริสช่างแสนนุ่มและใส่สบายเหลือเกิน เมื่อได้ลองรองเท้าใหม่จนหนำใจแล้วจุนจึงกลับมานั่งกับคริสเช่นเดิมก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถามในสิ่งที่ตนสงสัย “ท่านโกรธข้า แต่ทำไมถึงยังถักรองเท้าให้ข้าล่ะ?”

    “ข้าไม่ได้โกรธ”

    “ไม่ได้โกรธหรือ? แต่ท่านเงียบใส่ข้าตั้งแต่เมื่อคืนเลยนะ”

    “เรื่องเมื่อคืนน่ะหายโกรธแล้ว แต่.. แต่ข้าแค่หงุดหงิดกับเรื่องวันนี้ ข้าหงุดหงิดที่เห็นเจ้าไปเที่ยวเล่นข้างนอกสองต่อสอง เจ้าบอกจะไปแค่แป๊บเดียวแต่เจ้าก็ยังไม่ยอมกลับมาเสียที มันยิ่งทำให้ข้าหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม”

    “งั้นข้าขอโทษได้ไหม? คราวหลังจะไม่ผิดคำพูดอีกแล้ว แล้วก็จะไม่หยอกล้อท่านแรงๆ แบบนั้นด้วย”

    “ข้าขอโทษนะท่านคริส”

    “ช่างเถอะ ข้าไม่ติดใจอะไรแล้ว เพราะอย่างน้อยท้ายที่สุดเจ้าก็กลับมาหาข้า เอาเป็นว่าพวกเราลืมมันไปเถอะนะ ข้าเองก็ต้องขอโทษที่ทำตัวเป็นเด็กไม่ยอมพูดไม่ยอมจากับเจ้า”

    “ข้าไม่โกรธเลย งั้นเราสองคนลืมมันไปก็แล้วกันนะ”

    “อืม” คริสพยักหน้าเบาๆ ยามนี้หัวใจของเขากลับมาเต้นระรัวอีกครั้ง สายลมอ่อนหวานพัดโบกมาปะทะกับร่างของเขาทั้งสอง ทำให้ผมสีแดงของจุนปลิวมาบดบังแก้มสีสวยนิดหน่อย แต่เช่นนั้นคริสก็กลับรู้สึกไม่ชอบใจเท่าไหร่ เขาจึงยื่นมือไปเกลี่ยปอยผมสีแดงให้ยกขึ้นไปทัดหู พอได้เห็นเด็กหนุ่มทำผมทัดหูเช่นนี้แล้วก็แปลกตาไปอีกแบบจนอดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้

    “เอ่อ.. คือข้าจะไปเล่นน้ำตกที่ท้ายเมืองนิดหน่อย ท่านอยากไปกับข้าไหม?”

    “น้ำตกหรือ?”

    “อือ”

    “เอาสิ ข้าอยากเล่นน้ำตกกับเจ้า”

     

    ดูเหมือนว่าเจ้ามนุษย์จอมเจ้าเล่ห์ได้หวนกลับคืนมาแล้ว ทันทีที่ถูกชวนให้ไปลงเล่นน้ำตกด้วยกัน ความคิดประหลาดปนประหลาดก็ผุดขึ้นมาในหัว จุนแทบไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มของคริสนั้นแฝงไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมมากมาย การที่ร่างเล็กชวนคนอย่างคริสไปเล่นน้ำตกด้วยกันนั้นเสมือนการยื่นเนื้อเข้าปากเสือก็ไม่ปาน เช่นนั้นจึงรอดูชะตากรรมของเจ้าภูติตัวน้อยได้เลย

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ท่านต้องหันไปก่อน ข้าจะได้ถอดชุดแล้วก็จะได้ลงน้ำก่อนท่าน”

    “ก็ลงพร้อมกันสิ เกิดเจ้าลื่นถลาไปจะทำยังไงล่ะ?”

    “แต่ข้าไม่อยากลงพร้อมท่าน”

    “จะอายอะไรเล่า? เราสองคนก็เป็นผู้ชายเหมือนกันนะ”

    “ท่านไม่อายแต่ข้าอายนี่นา หันไปเดี๋ยวนี้เลยนะ ไม่งั้นข้าก็ไม่เล่นและจะกลับบ้านเสียเดี๋ยวนี้”

    “อ่ะๆ ข้าหันแล้วก็ได้ สาบานว่าจะไม่แอบมอง”

    “ก็ลองแอบมองดูสิ”

    “จะดีหรือ? นี่เจ้าอยากให้ข้าลองแอบมองดูจริงๆ หรือ?”

    “ท่านนี่ประสารทจริง! พอหายโกรธข้าก็พูดจายียวนกวนอารมณ์ข้าเลยนะ”

    “ฮ่าๆ ไม่เอา ไม่เสียงดังสิแม่แฟร์รี่ตัวน้อยของข้า”

     

    มนุษย์นี่ช่างเรื่องเยอะอย่างที่เขาว่ากันจริงๆ โดยเฉพาะเจ้ามนุษย์ตัวสูงนี่ที่ชอบทำจุนหัวเสียอยู่บ่อยๆ พวกเขาใช้เวลาในการตกลงกันว่าใครจะลงน้ำก่อนกันอยู่หลายนาที เหตุผลหลักของจุนคือเขาเขินอายในร่างกายของตน ไม่เคยมีใครได้เห็นเรือนร่างนี้มาตั้งแต่เขาอายุ 6 ขวบปี อีกเหตุผลหนึ่งที่จุนรู้สึกเป็นกังวลอย่างมากก็คือรอยแผลเป็นที่หลัง

    รอยแผลเป็นเป็นขีดยาวสองขีดจากบนลงล่างเป็นสิ่งที่จุนไม่เคยเผยให้ใครต่อใครเห็น มันคือร่องรอยของปีกที่จุนเคยมีเมื่อตอนเด็กๆ แต่เมื่อต้องก้มหน้ารับโทษตามพ่อกับแม่ ราชินีแบล็คแฟร์รี่จึงสาปให้เด็กน้อยกลายเป็นแฟร์รี่ปีกหัก จากที่เคยมีปีกสีฟ้ามรกตเลื่อมระยิบระยับแสนสวย ยิ่งน่าหลงใหลขึ้นไปอีกในยามกลางคืนเพราะปีกสีเลื่อมนั้นกลับหยอกล้อกับแสงของพระจันทร์จนได้เห็นสีม่วงแซมออกมา ปีกของจุนจึงทำให้ใครๆ ต่างอิจฉาและเฝ้าฝันว่าจะได้ปีกเช่นเจ้าภูติน้อยตัวนี้บ้าง

    แต่ยามนี้ปีกนั้นที่เคยเป็นที่อิจฉากลับถูกแปรเปลี่ยนให้กุดหาย เหลือร่องรอยเอาไว้แต่แผลเป็นเพื่อย้ำเตือนถึงเรื่องชั่วร้ายในอดีตที่พ่อแม่ของตนเคยทำ จุนจึงรู้สึกอายที่จะต้องเผยมันให้คริสเห็นถึงร่องรอยพวกนี้

    ในที่สุดเจ้าภูติตัวเล็กก็จัดการกับเสื้อผ้าของตัวเองจนหมดเรียบร้อย เด็กหนุ่มไม่ลืมที่จะถอดรองเท้าที่คริสให้เป็นของขวัญและวางมันเอาไว้บนโขดหิน ขาเล็กพาร่างขาวเนียนสวยลงไปสัมผัสกับไอเย็นของน้ำ เสียงน้ำตกกระทบผืนน้ำในบ่อกว้างดังก้องอยู่ในหูของคริส เขาเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่กันจุนจึงจะบอกให้เขาหันไป

     

    “ข้าเสร็จแล้ว” เมื่อได้ยินดังนั้น คริสจึงคลายมือซึ่งเท้าเอวเอาไว้ก่อนจะหันไปมองร่างเล็กเจ้าของเรือนผมสีแดงดั่งเชอร์รี่ จุนรอเขาอยู่ในสระเรียบร้อยแล้ว เหลือก็แต่ตัวเขาเองที่ยังมีอาภรณ์ครบทุกตัว เช่นนั้นคริสจึงจัดการกับเสื้อผ้าของตัวเองบ้าง เขามองเห็นจุนหันหนีไปทางอื่นนิดหน่อยซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับตอนที่เจ้าผีเสื้อตัวน้อยเพื่อนของจุนบินมาเกาะบนเรียวนิ้วสวย จุนจึงเลือกที่จะสนใจเจ้าผีเสื้อแทนที่จะหันมามองคริสแทน

     

    แต่เป็นเพราะตนเอาแต่สนใจผีเสื้อขาวหางริ้ว จึงไม่รู้ว่าอสูรร้ายกำลังจู่โจมมาจากทางด้านหลัง รู้ตัวอีกทีก็ถูกแขนแกร่งโอบล็อกเอวบางเสียแล้ว จุนในยามนี้ดูเหมือนไม่ใช่ภูติต้นไม้น่ารักอีกต่อไป แต่กลับเหมือนแม่นางไม้ในตำราที่มีร่างกายงดงามเย้ายวนตา ชวนให้กอดหอมและยากที่จะละออก

     

    “โอ้ย! นี่ท่าน!...

    “มัวแต่เล่นกับเจ้าผีเสื้อ ไม่สนใจข้าเลยสักนิด”

    “ก็ท่านกำลังถอด.. เปลี่ยนเสื้อผ้า จะให้ข้าหันไปจ้องหรือไง?”

    “จะจ้องก็ได้นะ ข้าชอบ”

    “บ้า! ท่านน่ะบ้าที่สุด! เป็นคนที่พิลึกที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาเลย”

    “ข้ายอมรับว่าข้าอาจจะพิลึก ข้ายอมให้เจ้าต่อว่าเช่นนั้นแลกกับการได้อยู่ใกล้ๆ เจ้าไปเรื่อยๆ”

     

    นี่เขาโดนท่านมนุษย์แกล้งอีกแล้วหรืออย่างไร? คำพูดสองแง่สองง่ามถูกส่งมาทำให้ร่างเล็กต้องรู้สึกร้อนไปทั้งตัวและใบหน้า ซึ่งเขาไม่ชอบอาการนี้เอาเสียเลย มันทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกไฟลนให้อ่อนไหวจนแทบละลาย ยิ่งแทบจะยืนไม่อยู่ยามถูกจ้องหน้าหรือถูกจู่โจมในระยะใกล้ขนาดนี้ จะใช้เวทย์มนต์มาเสกให้เจ้ามนุษย์กระเด็นไปไกลๆ ก็เห็นจะทำไม่ได้ เพราะเจ้ามนุษย์ไม่ได้กำลังจู่โจมจะทำร้ายร่างกายอะไรแบบนั้น เขาก็แค่.. จู่โจมเพื่อทำให้จุนอ่อนใจก็เท่านั้น

    ยามเนื้อถูกแนบด้วยเนื้อ มันเป็นมัสผัสที่ทำให้จุนไม่คุ้นชินเท่าไหร่ ออกจะทำให้เขาตัวแข็งจนไม่กล้าขยับด้วยซ้ำ ดวงตาพยายามจะหันไปสบมองเพื่อขอร้องให้ร่างสูงปล่อย แต่เมื่อหันก็ดันเจอกับสายตาคมคายซึ่งอยู่ห่างถัดไปเพียงไม่ถึงคืบ เช่นนั้นจึงจำต้องหลบตาหนีไปอีกทางแล้วใช้เสียงร้องบอกแทน

     

    “ปล่อยข้าได้แล้วท่านคริส ข้าอยากไปว่ายน้ำเล่นแล้ว” จุนพูดในขณะที่กำลังพยายามจะรั้งตัวออกไป ทว่าคนที่กำลังกอดเขาอยู่กลับไม่สนใจแต่อย่างใด

    “นี่ใช่รอยปีกของเจ้าหรือไม่?”

    “ที่ข้าเคยบอกว่ายังดีที่ราชินีไว้ชีวิตเจ้า ข้าขอเปลี่ยนคำพูดได้ไหม? รอยนี่มันช่างโหดร้ายเหลือเกิน”

    “มันไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้นหรอก ข้าอยู่กับมันมาจนชินแล้ว”

    “มันเจ็บหรือเปล่า? ตอนที่โดนสาปให้ปีกของเจ้าหายไป”

    “ไม่รู้สิ ข้ายังเด็กมาก จำอะไรไม่ได้หรอก” จุนตอบเสียงเบา น้ำเสียงออกจากสั่นเครือนิดหน่อยหากแต่ร่างสูงนั้นไม่ทันได้สังเกต ยิ่งไปกว่านั้นคือการที่คริสยืนกอดจุนอยู่ข้างหลังทำให้เขาไม่เห็นว่าดวงตาของจุนกำลังเคล้าหยดน้ำใสจวนจะร้องไห้ “แต่แอลบอกข้าว่าตอนนั้นข้ากรีดร้องเสียงดังจนบางคนในเมืองก็ทนไม่ไหวเผลอร้องไห้ตาม แอลเองก็เป็นหนึ่งในนั้น”

    “ให้ตายเถอะ.. เจ้าคงจะทรมานมาก ตอนนั้นเจ้าเองก็ยังเด็ก.. ข้าจินตนาการไม่ออกเลยว่าเจ้าจะเจ็บขนาดไหน”

    “ข้าจำความรู้สึกนั้นไม่ได้แล้วล่ะ”

     

    อันที่จริงจุนจำมันได้ขึ้นใจ เขาจำได้ว่าตัวเองกรีดร้องเสียงดังขนาดไหน ดิ้นพล่านทุรนทุรายอยู่บนพื้นนานขนาดไหน ทั้งยังร้องไห้ใจแทบขาดตายเมื่อเห็นพ่อและแม่ของตัวเองถูกไปสำเร็จโทษโดยไม่มีคำเอ่ยลา หลังจากนั้นจุนก็ต้องใช้ชีวิตอย่างเดียวดายมาตลอด ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพียงลำพังเพราะไม่มีพ่อแม่คอยอยู่ข้างกายอีกต่อไปแล้ว

    ในช่วงแรกของชีวิตนั้นยากลำบากมากเหลือเกินกว่าจะก้าวผ่านแต่ละวันไปได้ โชคยังดีที่ราชินีบลูแฟร์รี่นึกสงสารเมตตา เพราะนางเองก็เห็นจุนเป็นเพื่อนเล่นแอลมาตั้งแต่เกิด หลังจากอ้อนวอนขอให้ราชินีแบล็คแฟร์รี่ไว้ชีวิตจุนเอาไว้ได้สำเร็จ นางจึงเมตตาส่งคนในวังมาช่วยดูแลจุนจนร่างเล็กสามารถโตพอที่จะช่วยเหลือตัวเองได้ ยามเห็นแววตาเศร้าซึมของเด็กน้อยที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรกลับยิ่งปวดใจ จึงได้แต่กำชับองค์รัชทายาทว่าอย่าปล่อยให้จุนโดดเดี่ยว ขณะเดียวกันจุนเองก็ได้พบกับยอล แฟร์รี่ลูกครึ่งที่มีเลือดวายร้ายไหลอยู่ในกาย

    ยามคนทั้งสองไม่ปริปากใดๆ ปล่อยให้เสียงของน้ำตกกังผ่านโสตประสาทไปเรื่อยๆ คริสเลือกที่จะใช้มือลูบไปตามแผลเป็นซึ่งเป็นทางยาวจากปีกหลังไปจนถึงเอว ก่อนจะก้มลงไปใช้ริมฝีปากสัมผัสกับรอยแผลพวกนั้นอย่างเบาบางจนจุนต้องหันไปเหลือบมองด้วยความเอะใจ

     

    “ต่อไปนี้ข้าจะไม่ให้ใครมาทำร้ายเจ้าให้ต้องเจ็บปวดแบบนี้อีกแล้ว ข้าจะปกป้องเจ้าเองภูติน้อย”

    ” จุนยังคงเงียบเสียงเช่นเดิม ในหัวของเขามีสิ่งต่างๆ ไหลเวียนมาให้คิดจนวุ่นวายใจไปหมด ขณะเดียวกันอ้อมแขนของคริสก็กระชับแน่นขึ้นก่อนที่คางมนจะเลื่อนมาเกยไหล่ของร่างเล็กเอาไว้

    “เจ้าผีเสื้อบินไปไหนเสียแล้วล่ะ?”

    “นางบินหนีไปตั้งแต่ตอนที่ท่านเอาแขนมารัดข้าแล้ว”

    “เขาเรียกว่ากอดต่างหาก”

    “ภาษาบ้านข้า ถ้าอีกฝ่ายยังไม่ได้กอดตอบ นั่นไม่ถือว่าเป็นการกอด”

    “อ่า.. งั้นหรอ?” ริมฝีปากของคนด้านหลังยกยิ้มนิดหน่อย ใช้สายตาจู่โจมคนตัวเล็กอีกครั้งจนจุนต้องหันหนีอีกรอบ แต่ด้วยเลือดเจ้าเล่ห์ซึ่งข้นอยู่ในจิตใจ ทำให้คริสเลือกที่จะคลายกอดออกนิดหน่อยพลางดึงให้จุนหันมาประชันหน้ากัน เล่ห์ร้ายพาลให้คริสแกล้งหยอกเย้าจุนด้วยกันอุ้มคนตัวเล็กให้ลอยหวือจากผืนน้ำจนจุนต้องรีบคว้ามือเกาะไหล่ร่างสูงเอาไว้ทันทีเพราะกลัวจะไหลตกลงไป

    “ท่าน! ทำอะไรของท่านเนี่ยปล่อยข้านะ!

    “ห้ามดิ้นเชียวนะ ไม่งั้นเขาจะกอดแน่นกว่าเดิม”

    “แล้วท่านจะอุ้มข้าขึ้นมาทำไมกันเล่า!? ปล่อยเดี๋ยวนี้ถ้าไม่อยากให้ข้าเรียกพวกนางนิมฟ์ออกมา”

    “ใจเย็นก่อนเจ้าภูติน้อย ข้าไม่ได้มีเจตนาจะแกล้งเจ้าเสียหน่อย” คริสแก้ตัวทั้งๆ ที่แขนของเขายังโอบอุ้มกายเล็กเอาไว้โดยไม่คิดจะปล่อย “วันนี้ข้าขอขึ้นไปนอนบนเตียงกับเจ้าได้ไหม?”

    ” รอบนี้จุนหลบตาหนีอีกครั้ง พยายามจะหันหนีไปทางอื่นแต่เพราะคริสรู้ดีว่าถ้าปล่อยให้จุนเมินเฉยเขาคงไม่ได้สิ่งที่ตนร้องขออย่างแน่นอน เขาจึงตัดสินใจปล่อยให้เท้าของจุนสัมผัสกับหินด้านล่างอีกครั้ง มือหนาจึงเลื่อนขึ้นมาประคองแก้มสวยที่กำลังผลิสีแดงระเรื่อออกมาราวกุหลาบที่กำลังผลิบานสะพรั่ง เด็กหนุ่มจึงไม่สามารถพาสายตาหลบหนีไปที่ใดได้อีก “งั้นข้าขอฟังเหตุผลดีๆ สักสามข้อที่จะทำให้ข้ายอมให้ท่านขึ้นมานอนด้วยกัน”

    “อ่า..” คริสระบายยิ้มออกมาอย่างเบาบาง แต่มันกลับเป็นรอยยิ้มที่ทำให้จุนเผลอยิ้มตามไปด้วย “หนึ่ง ข้าอยากกอดเจ้า”

    ...

    “สอง ข้าอยากกอดเจ้า”

    “สาม ข้าอยากกอดเจ้า”

    “ขี้โกงอีกแล้วนะท่าน เหตุผลของท่านน่ะยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ข้าใจอ่อนเลยสักนิด ยังไงวันนี้ท่านก็ต้องนอนที่เดิมของท่าน” จุนส่ายหัว ในขณะที่คริสเผลอกรอกตานิดหน่อยเพราะเขากำลังถูกจุนแกล้ง แต่ร่างสูงก็ยังแอบมีรอยยิ้มเล็กๆ ประดับบนใบหน้าพลางมองเจ้าภูติน้อยซึ่งแสดงแววตาซุกซนออกมา

    “งั้นเจ้าอยากได้อีกเหตุผลหนึ่งไหมล่ะ? ข้ารับรองว่าเหตุผลนี้คงมีน้ำหนักพอที่จะทำให้เจ้าใจอ่อนยอมให้ข้าขึ้นไปนอนกอดเจ้าทั้งคืนแน่นอน”

    “ยังจะมีเหตุผลอะไรอีกสำหรับคนเจ้าเล่ห์อย่างท่าน ท่านน่ะ.. อื้อ!..

     

    เสียงคำต่อล้อต่อกลอนถูกดับลงอย่างทันควันเมื่อเจ้ามนุษย์บังอาจประทับริมฝีปากของตนลงบนริมฝีปากของเจ้าแฟร์รี่ตัวขาว โลกทั้งใบของจุนหยุดหมุน รู้สึกได้เพียงแค่ริมฝีปากของร่างสูงที่กำลังละเลียดชิมความหวานจากเขาโดยไม่คิดจะปล่อย เป็นอีกครั้งที่ใบหน้าของจุนร้อนผ่าว ร้อนจนแทบละลาย บทจะพูดจาอ้างนู่นอ้างนี่กลับถูกกลืนหายไปโดยไม่สามารถตามกลับคืนมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นร่างเล็กกลับเคลิบเคลิ้มหลงใหลในสัมผัสจากชายร่างสูงอย่างไร้ข้อกังขา กลายเป็นว่าเปลือกตาสีมุกนั้นยอมปิดลงเพื่อรับสัมผัสนุ่มนวลจากร่างสูงแต่โดยดี

     

    “เหตุผลนี้พอจะใช้ได้ไหม?”

    “อ.. อืม..

     

    สายลมยามเย็นพัดผ่านต้นไม้ใบหญ้าให้ปลิวไสว เจ้าดอกแมกโนเลียเอนโยกไปตามแรงลม ชายทั้งสองยังคงไม่ออกห่างจากกัน กระทั่งเจ้ามนุษย์ได้โลมชิมน้ำหวานจนสมใจอยาก เขาจึงปล่อยเอวบางให้เป็นอิสระ ขยับกายหนีไปทางเพื่อให้เจ้าภูติต้นไม้ละเลาะเล่นกับชายน้ำท่ามกลางแมกไม้และแสงแดดจากตะวันที่กำลังอ่อนแรงลง

    ยามผีเสื้อบินมาเกาะทักทาย เจ้าภูติต้นไม้ก็มักจะขยับกายขึ้นไปนั่งบนโขดหินและปล่อยให้เจ้ากลุ่มผีเสื้อมาเกาะอยู่บนเรียวนิ้วอย่างคุ้นชิน รอยยิ้มสดใสปรากฏทุกครั้งที่ได้ฟังคำเอ่ยหยอกเย้าจากผีเสือ แม้คริสจะไม่รู้ว่าเจ้าภูติต้นไม้กำลังสื่อสารสิ่งใดอยู่กับพวกผีเสื้อ แต่ภาพนี้ช่างน่ามองจนไม่อยากจะละสายตา ยามร่างเล็กหันกลับมาเพื่อให้คริสลองมาทำความรู้จักกับเจ้าผีเสื้อด้วยกัน ร่างสูงก็เดินเข้าไปซ้อนหลังคนที่นั่งอยู่บนโขดหอนก่อนจะหยัดกายขึ้นไปนั่งเล่นด้วย

    เมื่อเจ้าผีเสื้อกลางวันจากไปแล้ว คนทั้งคู่จึงพากันลงมาเล่นน้ำต่อ ปล่อยให้สายน้ำเย็นไหลผ่านกายอย่างชื่นอุรา ผู้เป็นมนุษย์เลือกที่จะพาดแขนไปกับขอบสระและมองดูเจ้าภูติต้นไม้แหวกว่ายไปทั่วสระ เรือนกายอ้อนแอ้นพลิ้วไหวอย่างมิอาจจะละสายตาไปได้ โชคยังดีที่ส่วนสำคัญกลางลำตัวของเจ้าภูติน้อยยังมีผ้าปิดบังเอาไว้ ไม่อย่างนั้นคริสคงได้ปะทุอารมณ์ต่างๆ ออกมา เพราะเท่าที่เห็น.. เม็ดบัวสีชมพูบนแผ่นอกก็ทำให้คริสแทบจะเป็นบ้าอยู่รอมร่อ

     

     


     to be continued..

     

    อ่านตรงนี้สักนิด




    @mmangmoom : สวัสดีค่ะ มาลงฟิคเรื่องใหม่สนองนี๊ดตัวเองล้วนๆ รอบนี้พี่แอลเป็นพระรองจ้าาา 55555 ยากฝุดๆ ไปเลยกับการแต่งแนวแฟนตาซีเนี่ย รายละเอียดยิบย่อยเยอะอีกแล้ว เยอะจนต้องไปหาหนังสือมาอ่านเพราะมีความสับสนในเรื่องของแฟร์รี่เหลือเกิน แถมยังต้องกลับไปย้อนดู Once Upon a Time อีก โอ่ยยย ตอนแรกเราจะเขียนแบบ AU THAI ด้วย แบบอยู่ในป่าหิมพานต์งี้ สรุปต้องข้ามเพราะข้อมูลไม่แน่นพอ เรียนมานานเกินค่ะ ลืมไปหมดแล้ววววว

     

    อย่างที่บอกค่ะ เรื่องนี้ไม่เหมาะกับที่ชอบอะไรแบบแฟนตาซีจ๋า เพราะมันจะมีบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกเอ๊ะ แปลกจัง.. อะไรแบบนี้ บางอย่างอ่านแล้วอาจจะรู้สึกจั๊กจี้ เพราะอย่างนั้นถ้าไม่ได้ prefer แนวนี้ก็ไม่เป็นไรค่า ข้ามเลยก็ได้ฮับ

     

    ปล.ขอโทษที่มาลงช้าไปหนึ่งวันนะฮับ เราไม่มั่นใจในรายละเอียดต่างๆ ก็เลยต้องตัดสินใจยังไม่ลง วันนี้ลองมานั่งอ่านอีกทีกว่าจะตัดสินใจลงได้ก็นานเหมือนกัน 5555555555 แต่สุดท้ายก็ได้มาลงจนได้ค่ะ

    ปล2. 3 ตอนจบนะงับ อย่าเพิ่งเบื่อกันล่ะ

    ปล3. Mpreg เด้อข่าาา

    ปล4. ไม่มีแท็กค่ะ เพราะมีแค่ 3 ตอน คงจะไม่มีใครไปสกรีม 555555555555555555555555555

    ปล5. เข้ามาแก้ใหม่ค่ะ ความเบลอทำให้เราเปิด word ผิดไฟล์แล้วก็อปลงมาทั้งไฟล์เลย ซึ่งมันเป็นเนื้อเรื่องที่ยังไม่สมบูรณ์แถยังมีเนื้อหาของตอน 2 อยู่ด้วย TTOTT ร้องไห้แป๊บ.. ใครที่ได้อ่านแล้วก็ยินดีด้วยนะคะ ส่วนใครที่มาไม่ทันไม่ต้องเสียใจค่ะ ยังไงเราก็มาต่ออยู่แล้วและจะมาอัพวันอังคารนี้ค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ

     

     

    ( credits : Fairy, Nymph จากหนังสือสัตว์พิสดารจากเทพนิยาย / ยุคเรเนซองส์ https://goo.gl/7F1WHg )

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×