คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #137 : ♡ Once Upon a Time (mpreg)
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วในยุคเรเนเซองส์
ในช่วงเวลาที่โลกมนุษย์ยังคงเต็มไปด้วยนิทานปรัมปรา ตำนานเล่าขาน บ้านเมืองตกอยู่ในความทรุดโทรมจนต้องเริ่มหันมาพัฒนากันใหม่
มีการฟื้นฟูศิลปะวิทยาและมีศูนย์กลางอยู่ที่อิตาลี
ผู้คนในยุคนั้นได้หันมาสนใจในเรื่องของ ความสุข ความสวย ความงาม ความโอ่อ่า
และนำมาซึ่งสถาปัตยกรรม ผลงานทางดนตรีและศิลปะ
ห่างออกไปจากเมืองที่มีสวยงามโอ่อ่า ณ
ชานเมืองที่ไร้ซึ่งความเจริญและแออัด รอบข้างกอปรด้วยต้นไม้ ทุ่งหญ้า สัตว์เกษตร
บ้านของช่างตัดฟืนและตลาดที่เต็มไปด้วยแม่ค้าพ่อค้านิสัยน่ารัก
ชายหนุ่มทั้งสามคนที่ซึ่งสนใจในเรื่องของวิทยาศาสตร์นั้นพากันออกเดินสำรวจในป่าที่ใครๆ
ต่างก็เล่าขานว่ามันช่างลึกลับและแฝงไปด้วยเรื่องมหัศจรรย์ต่างๆ มากมาย มือของพวกเขาถือเข็มทิศเอาไว้
สายตาสำรวจมองไปยังรอบตัวของตน พบว่ามีแต่ต้นไม้นานาพันธุ์ ความเปียกชื้น
กลิ่นไอดินและผีเสื้อโบยบิน
คริส เป็นนักสำรวจซึ่งออกเดินทางมาพร้อมกับเพื่อนของตนเพื่อมาศึกษาสายพันธุ์ของเจ้าแมลงทั้งหลาย
เขาออกสำรวจเพื่อนำข้อมูลที่ได้มาจดบันทึกเอาไว้และนำมันออกมาให้ความรู้กับนักเรียนในแถบชานเมือง
บางครั้งเขาก็มักจะถูกเรียกตัวให้เข้าไปสอนเจ้าหญิงและเจ้าชายน้อยในพระราชวัง
เนื่องจากในประเทศนี้ยังคงขาดผู้ที่มีความรู้เรื่องสัตวิทยาเป็นจำนวนมาก
คริสจึงเป็นอีกคนหนึ่งที่ใครๆ
ต่างก็ไว้ใจให้มาเพิ่มพูนการเรียนการสอนแก่บรรดาลูกหลาน
“ข้าคิดว่าเราคงจะต้องแยกกันตรงนี้ จอห์น.. เจ้าไปทางทิศตะวันออกนั่น
ส่วนเจ้าไปสำรวจป่าทางเหนือ ส่วนข้าจะสำรวจป่าทางใต้กับทางตะวันตกเอง” เจย์
– หนึ่งในนักสำรวจหยุดเดินและเอ่ยขึ้น
พวกเขาจ่ายงานให้กับเพื่อนทั้งสองก่อนจะคล้องเข็มทิศเอาไว้กับคอ
“แล้วเราจะมาเจอกันตอนไหน.. ก่อนพระอาทิตย์ตกหรือวันพรุ่งนี้ดี?”
จอห์นเอ่ยถาม
“ก่อนพระอาทิตย์ตกดีกว่านะ
พรุ่งนี้ตอนบ่ายพวกเราต้องเข้าเมืองเพื่อไปส่งตำราให้กับทางหอสมุดหลวง
เพราะงั้นรีบไปรีบกลับเถอะ” คริสออกความคิดเห็น
ก่อนที่เพื่อนทั้งสองจะพยักหน้าตามและพากันแยกย้ายออกจากพื้นที่ตรงนี้
ชายหนุ่มตัวสูงย่ำรองเท้าของเขาไปตามพื้นดินที่เปียกแฉะ
บางทีคราบมอสก็ทำให้เขาเผลอลื่นบ้างแต่ก็ไม่ถึงกับเป็นอันตรายใดๆ แผนที่ในมือถูกใช้เพื่อนำทางไปยังป่าทิศเหนือ
ขณะที่กำลังเดินเขาก็ได้พบกับแมลงปีกสวยที่กำลังเกาะอยู่บนดอกหญ้า
ขายาวค่อยๆ
ก้าวเข้าไปโดยพยายามไม่ให้กิ่งไม้ต่างๆ ขยับไหวตาม
เพราะถ้าหากมีกิ่งไม้สั่นไหวแม้แต่กิ่งเดียว เจ้าแมลงปีสวยนั่นอาจบินหนีไปได้
และโอกาสที่คริสจะได้ศึกษาเกี่ยวกับมันก็จะหายไปในพริบตา
เพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น – เจ้าแมลงปีกสวยก็ถูกจับไว้ในอุ้งมือใหญ่
คริสรีบย่อตัวลงวางกระเป๋าและหยิบกล่องกระจกใสออกมา
ก่อนจะปล่อยให้เจ้าแมลงนั่นเข้าไปพำนักด้านใน
“อย่าโกรธกันเลยนะ ฉันสัญญาว่าจะปล่อยแกไป”
เจ้าแมลงนั่นบินโผไปมาอยู่ในกล่องราวกับกำลังตื่นกลัว
แต่สุดท้ายแล้วมันก็ถูกขังเอาไว้ในกล่องกระจก
ก่อนที่โลกของมันจะมืดลงเพราะคริสได้นำกล่องใส่กระเป๋าและผูกเชือกกระเป๋าเอาไว้แล้ว
ไม่นานพ่อนักสำรวจหน้าตาคมคายก็ออกเดินทางต่อ โดยที่ไม่รู้เลยว่าทางที่ตนกำลังเดินไปนั้นกำลังนำพาตนไปเจอสิ่งแปลกประหลาดที่นักสำรวจ
100 ป่าอย่างเขาไม่เคยพบเห็นมาก่อน
สองเท้าย่างก้าวมาไกล
เข็มทิศที่ตนคล้องคอเอาไว้ถูกหยิบขึ้นมาตรวจดูทิศทางอีกครั้ง
แต่โชคร้านที่เข็มทิศของคริสไม่สามารถใช้การได้อีกต่อไปแล้ว มันไม่เคลื่อนไหว
ไม่ยอมบอกทิศทาง พอลองใช้มือเคาะตัวเข็มทิศดูก็พบว่ามันพังเข้าแล้วจริงๆ
ชายหนุ่มจึงถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
เขาหลับตาข่มอารมณ์หัวเสียของตนเอาไว้ก่อนที่จะหยิบแผนที่ในกระเป๋ากางเกงออกมา
มันถูกพับจนเหลือแผ่นเล็กนิดเดียว
เมื่อกางออกแล้วคริสจึงพยายามตรวจสอบเส้นทางของป่าอีกครั้งอย่างพินิจ ตอนนี้เขาไม่รู้แล้วว่าตนอยู่ที่จุดใด
เขาเดินมาไกลมาก แผนที่เองก็ไม่ละเอียดพอที่จะบอกตำแหน่งของร่างสูงได้
ดวงตะวันกำลังจะลับขอบฟ้าในอีกหนึ่งชั่วโมงและดูเหมือนว่านักสำรวจหนุ่มจำต้องรีบหาทางออกไปจากที่นี่ให้ได้อย่างเร็วที่สุด
คนตัวสูงจึงลุกขึ้นและก้าวเท้าออกเดินทางต่อ
ป่าไม้มีเป็นหลายร้อยแห่ง
แต่คริสและเพื่อนเลือกที่จะมาที่นี่เพราะได้ยินใครต่อใครเล่าขานกันมาว่ามันมีสิ่งแปลกประหลาดให้ค้นหามากมาย
บางคนก็ได้พบกับแมลงสายพันธุ์หายาก บ้างก็พบสมุนไพรที่ร่ำลือกันว่าสูญพันธุ์ไปแล้ว
เช่นนั้นนักสำรวจที่ต้องการความรู้เพิ่มเติมอย่างพวกเขาจึงออกเดินทางมาที่นี่
แม้อายุจะยังน้อยแต่ไฟกล้ากลับรุนแรงไม่แพ้พวกบรรดาศาสตราจารย์รุ่นใหญ่ๆ เลย
จนแล้วจนรอดคริสก็ไม่สามารถหาทางกลับออกไปได้
ทางที่เคยเดินมาก็มีแต่ต้นไม้น้อยใหญ่ชวนให้สับสนไปหมด
ยิ่งเดินกลับยิ่งเหมือนกำลังวนอยู่ที่เดิม ดูท่าร่างสูงคงจะติดแหงกอยู่ที่นี่เสียแล้ว
แน่นอนว่าการค้างแรมในป่าไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคริส
เขาไปเผชิญมาแล้วอย่างนับไม่ถ้วน แต่ป่าพวกนั้นไม่ได้มีความลึกเท่าที่นี่
คริสจึงไม่มั่นใจเลยว่าเขาจะสามารถออกไปจากที่นี่ในวันพรุ่งนี้ได้หรือไม่
เจย์กับจอห์นจะตามหาเขาหรือไม่ และระหว่างที่ต้องพักแรมอยู่ในป่านี้จะมีสิงสาราสัตว์ออกมาอาละวาดหรือไม่
ชายร่างสูงตัดสินใจเดินหาบ่อน้ำเพราะเขาได้ยินเสียงน้ำตกดังแว่วเข้าหู
อีกอย่างน้ำในกระบอกก็เริ่มจะหมดแล้วเสียด้วย เช่นนั้นคริสจึงออกเดินเท้าต่อ
หวังว่าจะได้ดื่มน้ำดับกระหาย และเขาอาจพักค้างแรมแถวริมบ่อน้ำเพราะอย่างน้อยก็จะได้มีน้ำไว้กินตลอดทั้งคืน
เสียงน้ำตกค่อยๆ ดังขึ้นในโสตประสาทเรื่อยๆ
คาดว่าอีกไม่ไกลก็คงจะถึงน้ำตกแล้ว
แต่ต้นไม้สูงใหญ่นั้นบดบังจนร่างสูงไม่สามารถมองเห็นน้ำตกได้อย่างชัดเจน
เขาจำต้องแหวกดึงมันออกไปให้พ้นสายตา กว่าจะได้เห็นน้ำตกจากผาสูงก็เล่นเอายากลำบากแสนทน
แต่เมื่อสายตาได้ประจักษ์กับธารน้ำที่พอจะสามารถใช้เลี้ยงชีวิตในค่ำคืนนี้ได้
รอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นที่มุมปาก ก่อนที่ร่างสูงจะก้าวเข้าไปเพื่อดื่มน้ำดับกระหาย
ขณะที่กำลังก้าวข้ามผ่าหินน้อยใหญ่ จู่ๆ
สิ่งที่คริสได้พบเห็นกลับไม่ได้มีแค่น้ำตกเท่านั้น
เขามองเห็นร่างของใครบางคนกำลังแหวกว่ายอยู่ในบ่อน้ำ
เรือนผมสีแดงสดสวยราวกับลูกเชอร์รี่ ผิวกายขาวเนียนละเอียดน่ามอง
คริสยังไม่สามารถแยกออกว่าคนๆ นั้นเป็นบุรุษหรือสตรี แต่ที่แน่ๆ ใบหน้าน่ารักจิ้มลิ้มกลับทำให้ร่างสูงเลือกที่จะหยุดฝีเท้าและจ้องมองคนในบ่อน้ำ
ทว่า.. สิ่งที่แปลกตาคือใบหู
เจ้าของเรือนผมสีแดงเข้มมีใบหูยาวผิดมนุษย์ สองมือขยับพลิ้วไหวเพื่อล่อให้เจ้าผีเสื้อตัวน้อยบินมาเกาะ
เขาพยายามถามตัวเองว่าตนไม่ได้ฝันไปใช่หรือไม่? สิ่งที่คนเลื่องลือกันเกี่ยวกับป่าแห่งนี้ก็คือ..
“นางฟ้างั้นเหรอ?”
ร่างสูงถามตัวเองเบาๆ ในขณะที่นางฟ้าบนผิวน้ำกำลังลอยตัวไปมาอย่างสนุกสนาน
ทรวดทรงองค์เอวกับผิวขาวเปลือยเป็นที่ประจักษ์ นางฟ้าหัวเราะร่าเริงอยู่กับเจ้าผีเสื้อสามตัวที่กำลังบินโผไปมาใกล้ๆ
ตัว ผมสีแดงเข้มเปียกน้ำแต่มันไม่ได้ทำให้นางฟ้าตนนั้นดูแปลกไปเลย กลับกันเสียงหัวเราะและดวงหน้าน่ารักกลับทำให้ใครบางคนที่กำลังแอบดูตนอยู่หลังต้นไม้ผุดรอยยิ้มออกมา
แกร่ก!
“เฮือก!!”
กิ่งไม้หักครึ่งเมื่อถูกน้ำหนักเท้าเหยียบลงมาเต็มแรง
คริสตกใจไม่น้อยที่เขาทำให้นางฟ้าตัวน้อยตื่นกลัว
แต่ดูเหมือนว่านางฟ้าจะตระหนกกว่าที่ร่างสูงคิดร้อยเท่า
เพราะร่างบางนั้นเบิ่งตาโพลงราวกับนกฮูกในยามราตรี
ก่อนจะรีบมุดไปใต้ผืนน้ำเพื่อหลบหลีกภัยซึ่งกำลังเข้ามาใกล้ตัว
สุดท้ายคริสจึงตัดสินใจเดินออกจากหลังต้นไม้
เขาค่อยๆ ก้าวไปยังธารน้ำตกในขณะที่ตะวันเริ่มจะลับขอบฟ้า ร่างสูงเองก็รู้สึกประหม่าเช่นกัน
เขายื่นมือออกไปตามสัญชาตญาณเพราะต้องการจะให้แม่นางฟ้าใจเย็นลงก่อนจะเริ่มพูดจาทักทายร่างเล็กที่กำลังหลบตนอยู่ใต้ผืนน้ำ
“เอ่อ.. ไม่ต้องกลัวนะ ข้ามาดี
ไม่ได้จะมาทำร้ายหรืออะไร” ร่างสูงพูดด้วยความใจเย็นและเป็นมิตร ดวงตาของเขายังคงมองเห็นเจ้านางฟ้ากำลังหลบหลีกอยู่ใต้ผืนน้ำ
“ออกมาคุยกันหน่อยนะ ได้ยินข้าหรือเปล่าแม่นางฟ้า?”
“…”
“แม่นางฟ้า
ช่วยบอกทางออกไปจากป่านี้ให้ข้าได้หรือไม่? เพื่อนข้ากำลังรออยู่ด้านนอกน่ะ”
“…”
“เอาล่ะ ข้ามาดี.. ไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายเจ้าแต่อย่างใด
เพราะงั้นได้โปรดช่วยเหลือข้าสักนิดเถอะนะ ข้าอยากกลับบ้าน”
“…”
“ข้าสัญญาว่าจะไม่แพร่งพรายเรื่องนี้
ข้าจะไม่เปิดเผยเรื่องของเจ้าอย่างแน่นอน”
คริสขุดทุกอย่างที่อยู่ในหัวออกมาพูด
แม้ว่าตะวันกำลังเร่งกดดันให้เขารีบหาทางออกไปจากป่าให้ได้
แต่ทว่าคริสก็ยังคงใจเย็นและยินดีที่จะรอให้แม่นางฟ้าหายกลัวก่อนแล้วจึงค่อยถามทางออกจากป่าทีหลัง
เพียงชั่วขณะในจังหวะที่สายลมอ่อนๆ กำลังพัดผ่าน
เจ้าของใบหน้าสวยก็ตัดสินใจยอมโผล่ออกจากผืนน้ำเพื่อคุยกัน
ดวงตาสีนิลคู่สวยที่ซึ่งโผล่ออกมาให้คริสจ้องมองเห็นเป็นสิ่งแรก แม่นางฟ้าค่อยๆ
แหวกว่ายผ่านม่านน้ำเข้ามาหาแม้จะยังไม่ยอมเปิดเผยใบหน้าทั้งหมด
จนกระทั่งคนทั้งสองอยู่ในระยะใกล้กัน.. แม่นางฟ้าผมสีน้ำแดงจึงยอมโผล่ขึ้นจากน้ำก่อนที่คริสจะได้เห็นตัวตนทั้งหมดของร่างบางในน้ำ
มนุษย์หนุ่มชะงักมิยอมเยื้องย่าง
ดวงตาสีนิลเป็นประกายร่ายมนต์สะกดให้เขาต้องตกอยู่ในภวังค์
หากแต่ใช่ความผิดของเจ้าดวงตาคู่นั้นเสียเมื่อไหร่
เพราะไม่ใช่แค่ดวงตาที่ทำให้มนุษย์ใจสั่นไหว
ดูเหมือนว่าริมฝีปากจิ้มลิ้มกับจมูกรั้นก็เป็นกับดักชั้นดีเช่นกัน
“ว้าว..” คริสเผลอร้องออกมาเบาๆ
โดยที่สายตายังไม่ยอมขยับไหว เขายังคงมองหน้านางฟ้าผู้โสภา
ก่อนที่สองหูจะได้ฟังเสียงหวานเอ่ยถาม
“ท่านเป็นใคร? มาทำอะไรในป่าต้องห้ามนี้หรือ?”
ในที่สุดคริสก็ประจักษ์ว่าแม่นางฟ้าคือบุรุษ
หาใช่สตรีแต่อย่างใด
ทว่าทรวดทรงองค์เอวอ้อนแอ้นนั่นทำให้เขาแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
กายเล็กคล้ายผู้หญิง ยิ่งใบหน้าหวานรับกับดวงตาสุกใสยิ่งแล้วใหญ่
หากใครได้มองมาจากที่ไกลก็คงต้องตอบเป็นเสียงเดียวกันว่านางฟ้าตนนี้เป็นหญิงอย่างแน่แท้
มากไปกว่านั้นคืออย่างน้อยคริสก็ได้รู้ว่านางฟ้าเดินดินมีอยู่จริง
สายตาของเขาไม่ยอมลดละจากดวงตาคู่สวยนั้นได้เลย
แม้สองหูจะได้สดับในสิ่งที่หนุ่มน้อยตรงหน้าถามแล้ว แต่ปากก็ยังอ้ำๆ อึ้งๆ
เพราะสตินั้นเบลอรวนไปหมด
“คือ..”
“…”
“ข้าเข้ามาสำรวจพืชพันธุ์และสัตว์มีปีกชนิดต่างๆ
แต่ดูเหมือนข้าจะพลัดหลงกับเพื่อน ยิ่งเดินหาทางออกเท่าไหร่กลับยิ่งหาทางออกไม่เจอเสมือนกำลังเดินวนอยู่กับที่”
คริสอธิบายให้กับนางฟ้าในผืนน้ำฟัง “อันที่จริงข้าตัดสินใจแล้วว่าข้าจะพักแรมที่นี่
แต่ในเมื่อข้าเจอเจ้าแล้ว.. เจ้าช่วยบอกทางออกไปจากป่านี้ได้หรือไม่แม่นางฟ้า?”
“แม่นางฟ้า.. อย่างนั้นเหรอ?”
เสียงหวานเอ่ยถาม รอยยิ้มเล็กๆ
ผุดขึ้นที่มุมปากก่อนจะร้องท้วงกับร่างสูงว่าเขาไม่ใช่อย่างที่เจ้ามนุษย์หลงทางตนนี้กำลังคิด
“ข้าไม่ใช่นางฟ้า ข้าต่างกับพวกนางลิบลับ และชาตินี้ข้าคงไม่มีวันได้เป็น..
เพราะงั้นอย่าเรียกข้าว่านางฟ้าเลยนะ”
“ถ้าอย่างนั้น.. เจ้าเป็นใครกันหรือ?
หูของเจ้าดู…”
“พูดไปท่านก็ไม่เชื่อหรอก” แม่นางฟ้าร่างน้อยแหวกว่ายม่านน้ำหนีไปที่หลังโขดหินก้อนใหญ่ใกล้ๆ
กับธารน้ำตกที่กำลังเทลงมา ดูเหมือนว่าเขากำลังทำอะไรบางอย่างอยู่ที่หลังโขดหินโดยที่คริสไม่สามารถมองเห็นได้
แม้ว่าร่างสูงจะพยายามชะเง้อใบหน้าคอยมองดูอยู่ก็ตาม
กระทั่งเด็กหนุ่มรูปงามเดินออกมาจากโขดหินที่ซ่อนพร้อมกับเครื่องนุ่งห่มคลุมกายครบทุกชิ้น
เสื้อคอสูงสีฟ้าแขนยาว กางเกงสีครีมยาวกรอมถึงข้อเท้า
ทั้งยังมีเสื้อคลุมยาวลากพื้นดั่งที่เคยเห็นในสมัยเรเนซองส์
คริสจึงตระหนักได้ว่าทันทีว่านิทานปรัมปราของชาวกรีก-โรมันนั้นคือเรื่องจริง
“ท่านอยากกลับบ้านงั้นรึ?”
“ช.. ใช่
เพื่อนข้ากำลังรออยู่ที่กลางป่า ข้าต้องรีบออกไปก่อนที่พระอาทิตย์จะตกดิน
แม้ว่าตอนนี้มันใกล้จะลับขอบฟ้าแล้วก็ตาม”
“อ่า..”
“เจ้าช่วยข้าได้ไหมหนุ่มน้อย?”
“ข้าก็อยากช่วยท่าน
แต่ดูเหมือนท่านจะโชคร้ายเข้าแล้วล่ะ”
เด็กหนุ่มผู้มีใบหูยาวแสดงสีหน้าที่ผิดหวังปนกังวลออกมาเล็กน้อย
เขาเดินเข้ามาใกล้คริสทั้งๆ ที่สองเท้าเปล่าเปลือย รากไม้สีทองบนเสื้อผ้าระยิบระยับไปตามแสงของพระอาทิตย์ที่กำลังจะตกดินอยู่รำไร
“ท่านคงเดินหลงเข้ามาจนมาถึงส่วนที่ลึกที่สุดของป่า
สุดท้ายท่านก็เลยหลุดเข้าประตูมิติมาในป่าต้องห้ามนี้ซึ่งเป็นที่อาศัยของพวกข้า”
“ว่าไงนะ? ประตูมิติอย่างนั้นเหรอ?”
“ใช่ ข้ารู้ว่ามันฟังแล้วดูแปลกสำหรับมนุษย์อย่างท่าน
แต่ข้าหวังว่าท่านอาจจะเชื่อในสิ่งที่ข้ากำลังอธิบาย
เพราะการที่ข้ามายืนอยู่ตรงนี้.. ก็น่าจะช่วยให้ท่านเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ว่าเรื่องเหนือมหัศจรรย์มีอยู่จริง”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าเป็นใครกัน?
เจ้าไม่เหมือนมนุษย์เลยสักนิด”
“ข้า..”
“…”
“ข้าคือภูติต้นไม้”
เด็กหนุ่มตอบออกมาด้วยความกล้าๆ กลัวๆ
เขาขมวดคิ้วเพราะกลัวว่ามนุษย์ตรงหน้าอาจหาว่าเขาบ้า
ยิ่งไปกว่านั้นเขากังวลเหลือเกินว่าการเปิดเผยตัวตนเช่นนี้อาจทำให้มีผลร้ายตามมา
เพราะมนุษย์นั้นมีนิสัยพิลึกพิลั่น
ชอบล่าของป่ารูปทรงแปลกตาไปขายหาเงินเข้ากระเป๋า ดังนั้นเขาจึงกลัวว่าถ้าหากมนุษย์ตนนี้เปิดเผยเรื่องของเขา.. เขาอาจถูกตามล่าได้
“ท่านรู้ไหมว่าท่านกำลังยืนอยู่ในดินแดนต้องห้าม?”
“…”
“ที่ผู้คนเคยพูดกันว่าป่า Spruce เป็นป่าอันตรายและมีสิ่งลี้ลับซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของป่านี้คือเรื่องจริง
และที่ที่ท่านกำลังยืนอยู่ตอนนี้ไม่ใช่พื้นที่ของป่า Spruce เสียทีเดียว
แต่ที่นี่คือดินแดนน็อกซ์ ท่านมาอยู่ที่นี่ได้เพราะท่านเดินผ่านประตูมิติเข้ามา..
ประตูมิติที่มองไม่เห็น”
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องพาข้ากลับไปที่ประตูนั่น
เพราะข้าต้องกลับบ้าน”
“ไม่ได้หรอก”
“ทำไม? ทำไมข้าถึงออกไปไม่ได้ล่ะแม่นางฟ้า?”
“เพราะประตูนั่นปิดแล้วและจะเปิดอีกทีก็ต่อเมื่อเป็นคืนวันที่กลุ่มดาวเปอร์ซิอัสปรากฎบนท้องฟ้า
ซึ่งท่านต้องรออีก 3 เดือนกว่าฤดูฝนจะมาถึง
เพราะฤดูฝนก็คือฤดูที่กลุ่มดาวเปอร์ซิอัสปรากฎ”
“3 เดือน!?”
มนุษย์นักสำรวจร้องออกมาด้วยความตกใจ เขาพยายามสูดหายใจเข้าลึกๆ
หลังจากที่เห็นเสียงของเขาทำให้ภูติต้นไม้สะดุ้งขึ้นมาเบาๆ “คือ.. ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติหรอกนะ ข้าเชื่อสนิทใจตอนที่เห็นเจ้า
แต่ข้าแค่ไม่อยากจะเชื่อว่าข้ากลับบ้านไม่ได้ ถ้าข้าไม่กลับไป.. รับรองเลยว่าเพื่อนๆ ของข้าคงพากันไปขึ้นทะเบียนคนหาย”
“แต่ป่านี้ก็ไม่ได้มีเจตนาจะกักขังท่าน
อันที่จริงพวกเราไม่ต้องการให้มนุษย์มาเหยียบที่นี่หรือมาเจอพวกเราด้วยซ้ำ
เพราะมนุษย์คือสิ่งที่อันตรายที่สุดหรับชาวเรา แต่.. ข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าทำไมประตูมิติถึงเปิดรับท่าน..
ตลอดชีวิตที่ข้าเกิดมา ข้าเคยเห็นประตูมิติเปิดรับมนุษย์เข้ามาในดินแดนเพียงแค่
2 คนเท่านั้น”
“แล้วข้าต้องทำยังไงล่ะภูติน้อย?
ข้าต้องอยู่ที่นี่อย่างนั้นเหรอ? ข้ามีภาระหน้าที่ต้องกลับออกไปสอนหนังสือให้ธิดาของพระราชา”
“…” ภูติน้อยเม้มปากแน่น
สองมือกำสาบเสื้อสีเขียวพลางก้มหน้าลง หูของเขาขยับไปมาเพราะได้ยินเสียงอะไรบางอย่างมานานสองนานแล้ว
แต่เขาไม่ใจกล้าพอที่จะทักท้วงหรือถามอะไรออกไป
“เจ้าช่วยข้าไม่ได้จริงๆ เหรอ?”
“…” ภูติต้นไม้ส่ายหน้า
หัวคิ้วจรดเข้าหากัน “ข้าเสียใจ
แต่ดูเหมือนสิ่งที่ข้าทำได้คงเป็นแค่การให้ที่อยู่กับท่านเพื่อรอวันที่ประตูจะเปิดอีกครั้ง”
หนุ่มน้อยภูติต้นไม้นำทางพามนุษย์ร่างสูงมายังดินแดงมหัศจรรย์
พวกเขาเดินข้ามสะพานผ่านแม่น้ำที่กำลังไหลเชี่ยว
กลุ่มต้นสนสูงใหญ่ปิดบังดินแดนแห่งนี้เอาไว้ราวกับเป็นกำแพงเมืองเอาไว้ป้องกันแขกที่ไม่ได้รับเชิญ
บนต้นสนมีโพรงกระรอกน้อยใหญ่อยู่ทุกต้นเสมือนว่านี่คือป้อมปราการด่านแรก
ดูเหมือนว่าเจ้ากระรอกพวกนี้จะทำหน้าที่เป็นทหารตรวจคนเข้าเมือง
เพราะเมื่อคริสมองขึ้นไปด้านบน พวกมันกลับส่งสายตาไม่ไว้ใจร่างสูงเลยสักนิด บางตัวกลับส่งเสียงแทะถั่วดังกึกๆ
ต่อเนื่องมาให้คริสได้ยินตลอดเวลา
“เจ้ากระรอกพวกนั้นรู้ประสาคนหรือเปล่า?”
ร่างสูงเอ่ยถามภูติต้นไม้ที่กำลังเดินเท้าเปล่าเพื่อนำทางเขาเข้าไปยังเมืองน็อกซ์
“รู้สิ พวกข้าเองก็ฟังพวกนั้นรู้เรื่องเช่นกัน”
“หมายความว่าพวกกระรอกพูดภาษาคนได้อย่างนั้นเหรอ?”
“เปล่า พวกนั้นส่งเสียงเป็นภาษาของสัตว์ตามปกติ
แต่พวกข้าสามารถฟังเข้าใจได้เพราะพวกข้ามีความสามารถในการสื่อสารกับสัตว์ทุกตัว”
เจ้าภูติเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงหวาน ทว่าจู่ๆ เจ้าภูติน้อยก็กลับเหลือกที่จะหยุดเดินอย่างชะงัก
ซึ่งเขาทำให้คริสต้องหยุดเดินตามไปด้วย ทันที่เจ้าภูติน้อยหันมาสบมองคริสด้วยดวงตากลมสุกใส
ร่างสูงจึงเลิกคิ้วขึ้นทันที
“มีอะไรงั้นเหรอ? ทำไมถึงหยุดเดินล่ะ?”
“ข้าลืม”
“ลืม?”
“เพื่อนข้าอยู่ในกระเป๋าของท่าน
นางส่งเสียงร้องขอให้ข้าช่วยเจรจากับท่านตั้งแต่ตอนที่อยู่ตรงน้ำตกแล้ว
แต่ข้ามัวแต่กังวลเรื่องที่ท่านกลับบ้านไม่ได้ ข้าจึงไม่ได้บอกท่าน”
“เพื่อนเหรอ?”
“ใช่ เจ้าแมลงปอหางสีฟ้าน่ะ”
รูปลักษณะที่ภูติน้อยเอ่ยออกมาทำให้คริสตกใจนิดหน่อย
เพราะเจ้าแมลงที่เขาจับใส่กล่องเอาไว้นั้นมีปลายหางสีฟ้าดั่งที่ภูติน้อยเอ่ยจริงๆ
เช่นนั้นร่างสูงจึงต้องปลดกระเป๋าสะพายออกจากบ่าก่อนจะตัดสินใจนำกล่องแก้วซึ่งมีแมลงอยู่ข้างในออกมา
เจ้าแมลงบินวนไปทั่วก่อนจะมาเกาะกับกระจกใสบนกล่อง
ภูติตัวน้อยเองก็ขมวดคิ้วร่นก่อนจะเอ่ยถาม
“ทำไมท่านถึงจับเพื่อนข้ามาแบบนี้ล่ะ? นางกลัวนะ”
“ข้า.. ข้าก็แค่เห็นว่ามันสวยและแปลกตาไม่เคยเห็นมาก่อน
ข้าก็เลยอยากจับไปศึกษา เสร็จแล้วก็จะปล่อยมันไปน่ะ”
“งั้นท่านปล่อยนางไปเถอะ
หากท่านอยากรู้เรื่องแมลงหรือสัตว์ตัวใด.. ท่านถามข้าเอาก็ได้
เพราะข้ารู้จักสัตว์ทุกตัวในป่านี้”
“งั้นเหรอ?”
“ใช่ เจ้าหางฟ้านั่นข้าก็รู้จัก
เอาไว้ข้าจะอธิบายเรื่องของมันให้ท่านฟังตอนถึงบ้านก็แล้วกัน
ตอนนี้ท่านควรปล่อยนางไปก่อน นางหงุดหงิดจะแย่อยู่แล้ว”
“อ่า หวังว่านางคงจะไม่ต่อว่าข้านะ”
คริสพูดกับตัวเองเบาๆ ก่อนจะตัดสินใจปลดกุญแจบนกล่องแก้วออก
และทันทีที่ฝาของมันเปิดออก เจ้าแมลงปอหางฟ้าก็รีบบินออกมาทันควัน
มันหันมามองหน้าคริสและทำทีเหมือนกับกำลังต่อว่ามนุษย์โง่เง่าคนนี้ด้วยความเกรี้ยวโกรธ
“นางบอกว่าท่านนิสัยไม่ดี”
“ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำให้เจ้าหัวเสียนะ
ข้าขอโทษจริงๆ” คริสเอ่ยออกไป ทั้งๆ ที่เขาเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าภูติน้อยกำลังพูดจริงหรือพูดเล่น
แต่ดูจากทีท่าของเจ้าแมลงปอแล้วสิ่งที่ภูติน้อยเอ่ยออกมาน่าจะเป็นเรื่องจริง
เจ้าแมลงปอคงต่อว่าเขาไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
“ไปกันเถอะ ข้าอยากกลับบ้านแล้ว”
คริสพยักหน้าตามก่อนจะต้องเก็บกล่องแก้วลงกระเป๋าและหอบสัมภาระทุกอย่างขึ้นบ่าเดินตามเจ้าภูติน้อยไป
สายตาของเขายังคงสำรวจไปรอบๆ พบว่าต้นสนนั้นยังตั้งต้นซ้อนกันมากมาย
หากจะมองว่าต้นสนคือกำแพงเมือง ก็คงเป็นกำแพงเมืองที่หนามากยิ่งกว่ากำแพงของพระราชวังเอดินบะระ
และในที่สุดเจ้าภูติน้อยก็แหวกกิ่งสนต้นสุดท้ายออก
ก่อนจะพาคริสหลุดเข้าไปยังโลกใบใหม่ที่ร่างสูงไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต
เถาวัลย์เลี้ยวลดคดเคี้ยว มีสะพานลัดเลาะไปทั่วนครน็อกซ์ – เมืองแห่งต้นไม้
ต้นไม้สูงใหญ่มีประตูหน้าต่างและหลังคาประดับประดา
ทำให้รู้ว่านี่คือบ้านต้นไม้เหมือนกับที่คริสเคยอ่านเจอในนวนิยายเรื่องสิ่งเหนือมหัศจรรย์
แสงระยิบระยับจากปีกหิ่งห้อยล่องลอยไปมา ทว่าเมื่อลองเพ่งพินิจอีกที.. นี่หาใช่หิ่งห้อยเสียที่ไหน แต่พวกเขาคือพิกซี่ตัวน้อยต่างหาก
ยิ่งไปกว่านั้นคริสสังเกตได้ว่ายังมีคนอื่นๆ
ที่ตัวสูงปกติเหมือนภูติต้นไม้ที่กำลังเดินนำหน้าเขา
ทว่าทุกคนมีปีกติดหลังใช้เป็นเครื่องมือสำหรับโบยบินไปทั่วนคร แต่ภูติต้นไม้ตัวน้อยกลับไร้ปีก
ทั้งยังต้องไปมาไหนมาไหนด้วยการเดินเท้าเปล่าตลอดเวลา
“ท่านคงไม่เคยเห็นเมืองนี้มาก่อนสินะ” ภูติต้นไม้เอ่ยถามพร้อมกับหันไปมองมนุษย์ที่กำลังอ้าปากค้าง
สายตามองไปทั่วเมืองของเจ้าภูติอย่างเป็นประกาย
“ข้าเคยแต่จินตนาการเอาไว้ในหัวหลังจากที่ข้าอ่านหนังสือมามากมาย
ลึกๆ แล้วข้าก็เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ
แต่ไม่คิดมาก่อนว่าในชีวิตนี้จะได้เห็นของจริง มันสวยงามมากเลยล่ะ”
“ข้าดีใจที่ได้ยินท่านพูดแบบนั้น”
“เจ้าคงมีความสุขขณะที่อยู่ในเมืองนี้มากเลยใช่ไหมล่ะ?”
“ก็…” เจ้าภูติน้อยทิ้งช่วง นิ้วเท้าของเขาขยับจิกเข้าหากัน
“เอาเป็นว่าข้าชินตากับมันแล้วก็พอ”
“อ่า ก็เจ้าอยู่ที่นี่ตั้งแต่เกิดนี่นา.. ข้าถามอะไรออกไปเนี่ย”
“ฮ่ะๆ ท่านถามข้าได้ ข้าไม่ว่าอะไรหรอก” ภูติต้นไม้หัวเราะเบาๆ
“ไปกันเถอะ บ้านข้าคือหลังนั้น หลังที่อยู่สูงสุดบนต้นโอ๊คใบสีแดง”
นิ้วเรียวชี้ไปยังบ้านหลังบนสุดบนต้นโอ๊คใบสีแดง
คริสสังเกตเห็นเล็บของภูติต้นไม้เป็นสีเขียวประกาย แน่นอนว่ามันคงไม่ใช่สีที่มาจากยาทาเล็บสกัดจากใบคาโมมายล์หรือใบหญ้า
แต่มันดูเป็นสีเขียวที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติของผู้ที่เป็นภูติต้นไม้
ภูติน้อยนำทางร่างสูงไปยังบ้านของเขา
ในขณะที่คริสก็ยังคงสังเกตไปทุกซอกมุมของเมืองต้นไม้
สองเท้าก้าวขึ้นบันไดไปหลายชั้น ในขณะที่คนอื่นในเมืองนั้นมีปีกพาให้โบยบินไปได้ทุกที่โดยไม่ต้องออกแรงเดิน
กระทั่งสองเท้ามาหยุดอยู่ที่หน้าประตูไม้สีดำ เจ้าภูติน้อยจึงไขประตูบ้านออกด้วยกุญแจดอกโบราณสีทองเหลืองเก่าเก็บ
เมื่อเข้ามาในตัวบ้านแล้ว
ความวุ่นวายของเมืองด้านนอกก็ถูกตัดออกไปจากโสตประสาทหลังจากที่ประตูบ้านปิดลง แม้จะไม่ใช่บ้านหลังใหญ่โต
แต่มันก็ถือว่ากว้างพอสมควรสำหรับการอาศัยอยู่คนเดียว
เมื่อเปิดประตูเข้าไปก็พบกับเตียงนอนไม้ ใกล้ๆ กันมีโต๊ะไม้เล็กๆ
เอาไว้นั่งสำหรับทานอาหารหรือไม่ก็ดื่มกาแฟ ตามหน้าต่างมีผ้าม่านสีขาวซึ่งทำมาจากผ้าฝ้ายถูกติดเอาไว้ทุกบาน
“พอจะอยู่ได้ไหม?” ภูติน้อยหันมาเอ่ยถาม
ในขณะที่คริสกำลังวางกระเป๋าลงบนพื้นและสอดส่องสายตาไปทั่วตัวบ้านอีกครั้ง
“ไม่มีปัญหาหรอก” คริสตอบ
“ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าข้ากำลังยืนอยู่ในบ้านของภูติต้นไม้”
“…”
“ข้าต้องฝันไปแน่ๆ”
ร่างสูงหันมาส่งยิ้มให้กับเจ้าภูติที่กำลังยืนประสานมืออยู่ตรงหน้าประตู
“ท่านนอนกับพื้นได้ไหม? เดี๋ยวข้าจะไปหาอย่างอื่นมาปูรองนอนให้”
“ไม่ต้องหรอก ข้ามีถุงนอนที่ทอมาจากบ้าน
เจ้าไม่ต้องลำบากหาของให้ข้าหรอก”
“ถุงนอนเหรอ? คืออะไรกัน?”
“เดี๋ยวตอนกลางคืนข้าเอาออกมาเจ้าก็จะรู้เองภูติน้อย”
คริสส่งรอยยิ้มอีกครั้ง เขาเดินเข้าไปหาเจ้าภูติร่างน้อยเอวบางที่กำลังยืนพิงประตูอยู่คนเดียว
ก่อนจะโน้มหน้าลงไปใกล้เด็กหนุ่มเจ้าของใบหูยาว
“เรายังไม่ได้ทำความรู้จักกันเลยนะ”
“อะ.. จ.. จริงด้วย”
“เจ้าชื่ออะไรกัน?
ข้าอยากรู้ชื่อเสียงเรียงนามของคนที่ช่วยเหลือข้า จะได้เก็บเอาไว้ในใจตลอดเวลา”
“ข้า.. ข้าชื่อจุน”
คำพูดของชายนักสำรวจ
ซึ่งไม่แน่ใจว่าเขาตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจกันแน่ถึงได้พูดออกมาเช่นนั้น – ทำให้ภูติน้อยรู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า ทั้งยังพูดจาผิดๆ ถูกๆ
จนเจ้าตัวเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกในใจ
เหตุใดจริงหวั่นไหวและรู้สึกเคอะเขินเช่นนี้เล่า..
“แล้วท่านล่ะ?”
“ข้าชื่อคริส”
“คริส..”
“อืม จากนี้ไปก็ฝากตัวด้วยนะ”
แสงแดดยามเช้าส่องสว่างไปทั่วทั้งผืนแผ่นดินน็อกซ์
เสียงนกน้อยร้องบอกส่งสารถึงกันเหมือนดั่งทุกๆ วัน
เจ้าพิราบยังคงทำหน้าที่เป็นนักส่งข่าวและสารต่างๆ เสมือนพิราบในโลกมนุษย์
ในขณะที่เจ้านกหัวพู่กำลังทำหน้าที่เป็นนาฬิกาปลุกยามเช้าให้กับนักสำรวจหนุ่มซึ่งยังคงนอนขดอยู่ในถุงนอน
ชายตัวสูงขยับตัวนิดหน่อยก่อนจะรู้สึกได้ว่าบ้านต้นไม้ที่เคยมืดนั้นสว่างไปทั่วทั้งบ้าน
ร่างสูงจึงเปิดเปลือกตาก่อนจะลุกขึ้นนั่งกับพื้น สองแขนเหยียดยาวเพื่อบิดคลายกล้ามเนื้อซึ่งรู้สึกปวดเมื่อยนิดหน่อยเนื่องจากต้องนอนบนพื้นไม้แข็งมาทั้งคืน
สายตาสอดส่องมองหาภูติหนุ่มแสนโสภา หากแต่กลับพบความว่างเปล่าและความเงียบเท่านั้น
ชายร่างสูงจึงลุกออกจากที่นอนของตนก่อนจะพาร่างกายเดินไปหาประตูไม้ ซึ่งทันทีที่เปิดประตูนั้นออก
โลกใบใหม่ที่ตนยังไม่คุ้นชินก็ปรากฏสู่สายตาจนร่างสูงเผลอลอบยิ้มออกมา
นี่อาจเป็นความฝันก็ได้.. หากแต่ช่างเป็นฝันที่แสนสวยงามเสียจนไม่อยากตื่นลืมตา
โลกของภูตินั้นช่างน่าอัศจรรย์เหลือเกิน
นกน้อยบินว่อนไปทั่วเมือง เหล่าภูติมีปีกเองก็บินโผไปยังบ้านต้นไม้บ้าง
บ้างก็เดินดินด้วยเท้าเปล่า ต้นไม้น้อยใหญ่เขียวชอุ่ม ดอกใบและผลของมันสร้างสีสันให้กับดินแดนน็อกซ์จนมิอาจละสายตาออกไป
ภูติตัวอื่นๆ ส่งเสียงพูดคุยและเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
ส่วนภูติเด็กน้อยนั้นพากันวิ่งเล่นส่งเสียงหัวเราะคิกคักไม่ต่างจากบรรยากาศของบ้านเมืองมนุษย์ที่คริสอาศัยอยู่เลยสักนิด
แต่ที่นี่ช่างพิเศษกว่า ปีกสวยงามของเหล่าภูติ บ้านต้นไม้
และแมลงหลากสีคือมนต์เสน่ห์ที่ทำให้ร่างสูงละสายตาออกไปไม่ได้เลย
“ท่านตื่นแล้วหรือ?”
เสียงหวานทำให้ชายหนุ่มหันไปมอง พบว่าจุนกำลังเดินขึ้นบันไดมาหาร่างสูงพร้อมกับส่งรอยยิ้มสดใสดั่งแรกอรุณของวันมาให้
ปลุกให้คริสหายสะลึมสะลือจากความง่วงที่ยังคงปะปนอยู่นิดหน่อย
“อ่า.. ข้ากำลังตามหาเจ้าอยู่พอดี”
“ท่านไปล้างหน้าล้างตาเสียเถอะ
ข้าไม่ค่อยชินตากับผมยุ่งๆ ของท่านเท่าไหร่
อีกอย่างผมท่านดูเหมือนนกหัวพู่มากในตอนนี้ ถ้าภูติตนอื่นๆ
มาเห็นพวกเขาคงพากันหัวเราะท่านน่าดู”
ภูติน้อยส่งรอยยิ้มหวาน บนผมของเขามีดอกไม้เล็กๆ
ทัดอยู่ข้างหู สีขาวของมันช่างตัดกับเรือนผมสีแดงจนทำให้ร่างสูงเผยรอยยิ้มกว้าง
“ผมเจ้าก็สวยเช่นกัน
ข้าชอบดอกไม้ที่อยู่ตรงหูเจ้า”
“อ.. เอ่อ..”
เจ้าภูติน้อยตกใจนิดหน่อยหลังจากถูกแซวกลับมา
มือเล็กซึ่งถูกประดับไปด้วยเล็บสีเขียวนั้นรีบแตะดอกไม้บนหูของตนก่อนจะดึงออกมาเพราะความขัดเขิน
“คงจะเป็นฝีมือของพวกกระรอก”
“ข้าไม่ได้ว่าว่ามันไม่สวย
เพราะงั้นเจ้าไม่ต้องดึงมันออกหรอก มีดอกไม้ทัดผมอยู่แบบนี้เจ้าก็ดูสดใสไปอีกแบบ”
ร่างสูงคว้าดอกไม้ดอกเล็กจากมือของจุนมาถือเอาไว้และนำมันกลับไปทัดไว้บนเรือนผมสีแดงเช่นเดิม
หารู้ไม่ว่าเจ้าภูติน้อยกำลังเม้มปากแน่นเพื่อสกัดกั้นความรู้สึกบางอย่างที่กำลังพุ่งพล่านเข้ามา
ยิ่งพอได้เห็นรอยยิ้มจากใบหน้าคมคาย เขากลับยิ่งไม่กล้าสู้สายตาของมนุษย์ตนนี้เลย
“ท.. ท่านไปล้างหน้าล้างตาเสียทีเถอะ
ข้ามีงานที่อยากจะขอแรงให้ท่านช่วยหน่อย หวังว่าท่านจะไม่รังเกียจ…”
“ไม่เป็นไรหรอก
ข้าช่วยเจ้าได้ทุกอย่างเพื่อตอบแทนที่เจ้าให้ที่อยู่อาศัยกับข้า”
“ข้าดีใจที่ได้ยินเช่นนั้น”
“งั้นเดี๋ยวข้ามานะ”
เจ้าภูติน้อยพยักหน้าพลางมองดูชายร่างสูงเดินกลับเข้าไปในบ้านของตน
ตลอดชีวิตของภูติน้อยนั้นแทบจะเงียบเหงาคล้ายคนอับเฉาก็ไม่ปาน
เขาไม่ได้มีเพื่อนเยอะแยะเท่าไหร่เพราะความแปลกประหลาดบางอย่างที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด
วันๆ หนึ่งก็พูดคุยอยู่แต่กับคนสนิทหรือไม่ก็นกน้อยที่โบยบิน แต่ส่วนใหญ่มักจะเลี่ยงไปอยู่อย่างสันโดษเสียมากกว่า
ความสันโดษนั้นจึงเป็นเหตุทำให้จุนหนีไปเล่นน้ำตกคนเดียวอยู่เป็นประจำทุกๆ
สัปดาห์ ภูติต้นไม้อย่างเขามีงานมากมายให้ทำตั้งแต่ปกป้องรักษาต้นไม้ประจำตัว
ไปจนถึงการดูแลดอกไม้ในนครร่วมกับเพื่อนภูติตัวอื่นๆ เช่นนั้นแล้วเมื่อวันว่างงานมาถึงเขาจึงชอบไปวิ่งเล่นที่ป่าใกล้กับเขตแดนและแช่น้ำตกเพียงลำพัง
ซึ่งตลอดเวลาที่ผ่านมาจุนไม่เคยพบพานใครที่น้ำตกแห่งนั้นเลยจนกระทั่งเมื่อวาน จู่ๆ
มนุษย์หนุ่มก็ปรากฏตัว เขานั้นช่างไร้ซึ่งความตื่นตระหนก
เขาไม่แม้แต่จะโหวกเหวกยามเจอสิ่งแปลกประหลาดเช่นจุน กลับกันเขาพยายามทำให้เจ้าภูติน้อยเชื่อใจและพูดคุยกันอย่างเป็นมิตร
และในที่สุดร่างเล็กก็ใจอ่อนยอมช่วยเหลือมนุษย์ตนนี้แทนที่จะวิ่งหนีไปเสียให้พ้น
ตั้งแต่เล็กจนโต จุนเคยคิดว่าพวกมนุษย์นั้นน่ากลัว
เป็นกลุ่มคนที่เจ้าเล่ห์ที่ไม่น่าไว้ใจ ใจร้ายใจดำ ทั้งยังไม่น่าคบหา
เขามักจะได้ยินข่าวคาวจากพวกกระรอกหน้าประตูเมืองที่นำมาเล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆ
ว่าเคยเห็นมนุษย์เข้ามาล่ากวาง ทั้งยังพยายามตับสัตว์หายากต่างๆ
นำไปขายในเมืองกันอย่างโจ่งแจ้ง
นั่นจึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชาวนครน็อกซ์รวมไปถึงจุนรู้สึกเกลียดกลัวมนุษย์เสียเหลือเกิน
“ท่านช่วยข้าลงเมล็ดดอกไม้ตรงนี้ได้หรือไม่?
ข้าเกรงว่าถ้าต้องทำคนเดียวอาจเสร็จไม่ทันการ ข้ายังมีงานต้องทำต่ออีกในช่วงเย็น”
“ได้สิ ข้าถนัดเพาะปลูกอยู่แล้ว
ข้าจะช่วยเจ้าแล้วกันหนุ่มน้อย”
จุนส่งรอยยิ้มให้กับชายร่างสูงที่ดูจะกระตือรือร้นต่อการช่วยงานเสียเหลือเกิน
เขาส่งตะกร้าเมล็ดให้กับคริสก่อนตนจะนำอีกตะกร้าหนึ่งไปเพาะปลูกตรงที่อีกแปลง
แดดยามสายถือว่ายังไม่ได้ร้อนแรงนัก
ซึ่งอากาศในดินแดงน็อกซ์ก็ไม่ได้เลวร้ายมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
เพราะดินแดนนั้นเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ของต้นไม้ใบหญ้า ให้ความร่มรื่นและเขียวขจีสบายตา
อิทธิพลจากน้ำตกและแม่น้ำลำธารสายใหญ่ก็ส่งผลให้ทั้งเมืองนั้นมีอากาศเย็นสบายอยู่ตลอดทั้งปี
สิ่งหนึ่งที่ยังคงติดอยู่ในหัวของคริสนั้นไม่ใช่เรื่องที่เขาหลุดเขามาในดินแดนนี้ได้อย่างไร
แต่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเจ้าภูติตัวเล็กล้วนๆ เมื่อคืนร่างสูงนั้นอยากจะเอ่ยปากถามแต่ความเหนื่อยก็ดันเข้ามาแทรกทำให้หลับไปเสียก่อน
ภูติหลายตัวมีปีกสวยงามและพากันบินว่อนไปทั่วนภา
หากแต่จุนนั้นไร้ซึ่งปีกติดสันหลัง
ไม่มีสิ่งใดโผล่พ้นออกมาจากเสื้อสีขาวเลยแม้แต่นิดหน่อย
ในขณะที่ภูติตัวอื่นมีปีกใช้บินเพื่อเดินทาง แต่จุนนั้นเดินไปไหนมาไหนด้วยเท้าเปล่า
เล็บสีเขียวแสดงออกมาอย่างเด่นหรา ไร้ซึ่งรองเท้าหอหุ้มปกปิดส้นเท้าแต่อย่างใด
นั่นจึงทำให้ร่างสูงสงสัยไม่น้อยว่าเหตุใดจุนมยอนจึงไม่เหมือนคนอื่น
“จุน” ในขณะที่มือหนากำลังใช้ที่พรวนดินตักดินชื้นตรงหน้า
สองหูก็ดันได้ยินน้ำเสียงเข้มของใครบางคนเอ่ยเรียกภูติน้อยของเขาอยู่ไม่ใกล้
ร่างสูงจึงเงยหน้าขึ้นไปมองตามน้ำเสียงนั้นก่อนจะเห็นว่าจุนกำลังส่งยิ้มให้กับผู้ชายมีปีกคนหนึ่ง
ซึ่งมีลักษณะการแต่งตัวแปลกไปจากชาวภูติตัวอื่นๆ
“แอล มาทำอะไรที่นี่หรือ?”
“มาหาเจ้านั่นล่ะ ข้าไปที่บ้านมาแต่ไม่มีใครออกมาเปิดรับก็เลยลองมาตามหาที่นี่ดู”
“แล้วท่านมีอะไรงั้นหรือ?”
จุนเอ่ยถามพร้อมกับส่งรอยยิ้มหวานให้
โดยที่ไม่รู้ตัวว่ามีใครบางคนกำลังแอบฟังบทสนทนาอยู่
ทั้งยังเอาแต่ขมวดคิ้วสงสัยว่าเจ้าภูติน้อยกำลังยืนคุยกับใครอยู่
“พวกกระรอกมารายงานให้ข้าฟังว่าเจ้าพามนุษย์เข้ามาที่นี่
เป็นเรื่องจริงงั้นรึ?”
“อ่า.. ใช่แล้วล่ะ คือเขา…”
จุนมองไปทางขวามือของตนเองซึ่งเป็นทางแปลงดอกไม้ที่ตนมอบหมายให้คริสช่วยทำงาน
ร่างสูงที่รู้ตัวว่ากำลังถูกพูดถึงอยู่จึงลุกขึ้นยืนก่อนจะเดินเข้ามาหา
“เขาพลัดหลงเข้ามาน่ะ เขาคงมองไม่เห็นประตูมิติจึงเดินเข้ามาโดยไม่รู้ตัว พอข้าจะพาออกไปประตูก็ดันปิดเสียแล้ว
ข้าก็เลยต้องพาเขามาพักที่นี่ก่อน ไม่อย่างนั้นเขาคงอดตายอยู่ท้ายป่า”
“แล้วเจ้ามนุษย์ผู้นั้นน่ะไว้ใจได้หรือ? ทำไมจู่ๆ
เจ้าก็เกิดใจดีและเชื่อใจมนุษย์ขึ้นมาแบบนี้ล่ะ?”
“เฮ้ พูดจาดีๆ หน่อยนะ ข้ารู้ว่าพวกภูติกลัวมนุษย์แต่อย่าพาลคิดว่ามนุษย์ทุกคนจะชั่วร้ายเสียหมดสิ”
เป็นคริสเองที่เอ่ยออกมาก่อนจะก้าวมายืนอยู่ข้างกันกับจุน
สายตาคมคายประชันกับดวงตาเรียวของคนที่จุนเอ่ยเรียกนามว่า แอล ด้วยคำพูดที่ฟังดูเหมือนกำลังไม่พอใจอยู่ของคริสจึงทำให้แอลยกมือขึ้นกอดอกก่อนจะยกยิ้มเบาๆ
“ใครว่าพวกข้ากลัวมนุษย์ แต่พวกข้าเกลียมนุษย์ต่างหากเล่า
เจ้าคงไม่รู้ว่าพวกมนุษย์ทำเรื่องต่ำช้าไว้กับสัตว์ป่าไว้มากเพียงใด
นั่นจึงไม่แปลกที่พวกเราจะเกลียดมนุษย์
และก็ไม่แปลกที่ข้าจะถามจุนออกไปเช่นนั้นเพราะข้ากลัวว่าเจ้าอาจทำให้จุนเดือดร้อน”
“ไม่มีทางเสียหรอก
เพราะจุนน่ะน่ารักกับข้าเอาเสียมากๆ เช่นนั้นข้าจึงพร้อมที่จะตอบแทน
ดูแลและปกป้องจุน ไม่มีทางที่ข้าจะทำร้ายภูติน้อยนี่อย่างแน่นอน”
ในขณะที่คริสกำลังจ้องตาแอลเขม็งอย่างไม่ลดละ
แต่คนที่กำลังยืนหันไปหันมาก็คือเจ้าภูติน้อยนั่นเอง จุนกำลังเป็นกังวลเอาเสียมากๆ
เพราะตอนนี้คนที่คริสกำลังพูดด้วยนั้นหาใช่ภูติธรรมดาเหมือนเขาเสียเมื่อไหร่
แต่แอลเป็นถึงรัชทายาทของราชินี ณ แผ่นดินนี้
และถ้าคริสยังคงไม่หยุดทำสายตาท้าทายแบบนั้น.. มีหวังเขาต้องโดนจับไปอยู่ที่คุกท้ายเมืองแน่นอน
“ไม่ต้องห่วงหรอกแอล ข้าดูแลตัวเองได้ ท่านมนุษย์ผู้นี้ก็คงไม่ได้มีเจตนาร้ายแต่อย่างใด
ถ้าเขาใจดำจริง เขาคงทำร้ายข้าเสียตั้งแต่แรกพบ”
จุนมยอนจำต้องเป็นฝ่ายห้ามทับ
แต่คำพูดของเขาฟังดูเหมือนกำลังปกป้องเจ้ามนุษย์หน้าประหลาดอยู่ชัดๆ
จึงทำให้แอลไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่และยิ่งรู้สึกขัดใจมากกว่าเดิมยามเห็นเจ้ามนุษย์เลิกคิ้วทำหน้าตาเย้ยหยันราวกับเป็นผู้ชนะในสงครามน้ำลายนี้
เขาจึงถอนหายใจยาวก่อนจะเบนสายตาหนีไปทางอื่น
“ข้าจะเชื่อเจ้าก็แล้วกัน
แต่ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลล่ะก็ข้าไม่ปล่อยเจ้าแน่เจ้ามนุษย์”
“ท่านคงไม่มีวันทำอะไรข้าได้แน่นอน
เพราะข้าจะไม่ทำร้ายจุนหรือทำให้เขาเดือดร้อนเด็ดขาด”
“หนักแน่นแบบนี้ก็ดี ข้าจะคอยดูก็แล้วกัน”
แอลกระตุกยิ้ม “จุน วันหลังหาเวลาว่างไปเดินเล่นกับข้าบ้างนะ ข้าได้ยินมาว่าตอนนี้ต้นไวท์
แอชของยอลเติบโตเต็มที่แล้ว ข้าอยากพาเจ้าไปดูพร้อมๆ กัน”
“ได้สิ ข้าจะหาเวลาว่างนะ”
“ขอบใจ ส่วนเรื่องเจ้ามนุษย์นี่… ข้าจะรายงานให้ท่านแม่ฟัง
ช่วงนี้คงมีทหารคอยสอดส่องพวกเจ้ามากผิดปกติแต่ก็อย่าเพิ่งตกใจไปล่ะ
มันเป็นเรื่องปกติที่พวกเราพึงทำ”
“ข้าเข้าใจ แล้วก็ขอบคุณที่ท่านไม่ไล่เขาออกไปจากเมือง”
“อืม ถ้างั้นข้าไปล่ะ”
ให้ตาย.. นี่มันคือการชวนไปเดทในแบบของชาวภูติใช่หรือไม่ คริสได้แต่สงสัยพลางขมวดคิ้วแน่น
เขาไม่ชอบหมอนี่เลยสักนิด สายตาและท่าทางดูผิดวิสัยแปลกๆ
และถ้าให้ผู้ชายขี้เล่นเสน่ห์แรงแบบเขาเดาล่ะก็.. ไอ้ท่านแอลเอิวอะไรนี่กำลังเกี้ยวพาราสีภูติน้อยของเขาอย่างแน่นอน
แอลบินกลับไปแล้ว เหลือก็แต่จุนและคริสที่ยังคงยืนอยู่ในแปลงดอกไม้กลางแจ้ง
เช่นนั้นแล้วจุนจึงหันกลับมาขมวดคิ้วใส่นิดหน่อยก่อนจะร่ายยาวใส่ร่างสูงทันที
“ทำไมท่านทำตัวหยาบคายเช่นนี้เล่า?
แอลน่ะไม่ใช่เพื่อนเล่นของท่านนะ”
“อ้าว ก็หมอนั่นมาว่าข้าก่อนนี่
เป็นคนประเภทไหนกันถึงได้มาต่อว่าคนที่ไม่รู้จักกันว่าไม่น่าไว้ใจ”
“ก็มนุษย์น่ะไม่น่าไว้ใจจริงๆ นี่นา ท่านเองก็เข้าใจแล้วนี่ว่าทำไมพวกเราบางคนถึงเกลียดกลัวพวกมนุษย์นัก
เพราะอย่างนั้นท่านก็ไม่ควรจะไปเถียงกับแอลเช่นนั้น”
“สรุปข้าผิดหรือไง?”
“ข้าไม่ได้บอกว่าท่านผิด
แต่ข้าจะบอกว่าท่านน่ะทำตัวไม่ดี แอลไม่ใช่ภูติธรรมดาเหมือนกับข้าหรอกนะ
เขาเป็นรัชทายาทของราชินีน็อกซ์ ถ้าท่านทำตัวไม่ดีเป็นครั้งที่สอง.. ท่านโดนเนรเทศไปอยู่คุกท้ายป่าอย่างแน่นอน
แล้วท่านก็จะไม่ได้ออกไปยังโลกมนุษย์อีก ข้าเองก็หมดสิทธิ์จะช่วยท่านด้วย”
“…”
“เอาล่ะ ข้าจะไปทำงานต่อแล้ว ท่านก็รีบๆ
เพาะเมล็ดก็แล้วกัน”
“เข้าใจแล้ว
ข้าขอโทษสำหรับเรื่องเมื่อกี้ก็แล้วกัน”
“ช่างเถอะ แต่คราวหลังท่านอย่าใจร้อนอีกล่ะ”
“เอาเป็นว่าถ้าหมอนั่นไม่มาพูดจากวนประสาทใส่ข้าก่อน
ข้าก็จะไม่ยุ่งกับหมอนั่น”
“เฮ้อ ท่านนี่ช่างดื้อเหลือเกิน”
จุนถอนหายใจออกและเดินหนีคริสไปทันที ร่างสูงซึ่งถูกทิ้งเอาไว้คนเดียวจึงได้แต่สงสัยว่าสรุปแล้วเรื่องนี้เขาเป็นฝ่ายผิดอย่างนั้นหรอกหรือ?
อีกอย่าง… เป็นรัชทายาทแล้วมันยังไง?
คิดว่าเป็นคนใหญ่คนโตแล้วจะมาทำตัวใหญ่เบียดเบียนคนอื่นได้อย่างนั้นหรือ?
คำถามในใจทำให้ร่างสูงขมวดคิ้วไม่หยุดไม่หย่อน
สุดท้ายก็ต้องจำใจเดินไปเพาะเมล็ดดอกไม้ต่อเพียงลำพัง
ช่วงเวลาค่ำคืนวนมาถึงอีกครั้ง ทั้งคริสและจุนต่างเพิ่งจะทานมื้อค่ำเสร็จสรรพ
คนตัวสูงนั่งอนยู่บนถุงนอนที่ตัวเองเป็นคนถักทอขึ้นมาจากใยบัวหลวงด้วยจนได้เป็นผ้าผืนใหญ่
ร่างสูงจึงนำผ้าผืนใหญ่ทั้งหมดสี่ผืนนั้นมาเย็บติดกันให้เป็นผ้ารองนอนและผ้าห่มในตัว
โดยไม่ลืมที่จะยัดนุ่นเข้าไปเพื่อให้รู้สึกนุ่มสบาย
ด้วยภูมิปัญญาของยุคนี้จึงทำได้เพียงเท่านี้ ส่วนหมอนนั้น – ทีแรกเขาใช้ประเป๋ามาหนุนหัว
แต่จุนคงรู้สึกเวทนาจึงแบ่งหมอนให้เขาหนึ่งใบ
ขณะที่ตะเกียงไฟนั้นกำลังส่องแสงภายในบ้าน ในมือของคริสมีสมุดและดินสอ
เขากำลังจดอะไรบางอย่างลงไปในสมุด ส่วนจุนนั้นก็กำลังใช้เศษผ้าเล็กๆ
ซึ่งชุบน้ำอุ่นมาเช็ดทำความสะอาดเท้าทั้งสองข้างขณะที่กำลังนั่งอยู่ปลายเตียง
คริสซึ่งแอบสังเกตการณ์กระทำของร่างเล็กอยู่จึงขมวดคิ้วนิดหน่อย
เขาเห็นรอยดำต่างๆ บนฝ่าเท้าของจุน อีกทั้งเมื่อกลางวันก็ยังเห็นจุนเดินเหยียบเศษไม้จนเผลอกระโดดโหยงและร้องออกมาเสียงเบา
คริสเห็นจึงได้แต่รู้สึกสงสารอยู่ไม่น้อยที่โลกของภูติไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่ารองเท้า
เนื่องจากทุกคนมีปีกซึ่งทำหน้าที่เป็นอวัยวะนำพาพวกเขาไปถึงไหนต่อไหน
ทำให้ภูติน้อยต้องคอยระมัดระวังทุกครั้งเวลาจะเดินเหินไปไหน
ร่างสูงเองก็ไม่อยากจะคิดสภาพถ้าหากเท้าของจุนถูกของมีคมหรือเศษไม้ทิ่มเข้า
“จุน”
“หืม?” เสียงหวานหันมาตอบรับ วางผ้าผืนบางซึ่งใช้ทำความสะอาดเท้าของตัวเองลงบนพื้นก่อนจะขยับตัวขึ้นมาบนเตียง
“ข้าสงสัย.. และหวังว่าเจ้าจะไม่รังเกียจที่จะตอบคำถามนี้”
“ว่ายังไงหรือ? มีอะไรหรือเปล่าท่านนักสำรวจ?”
“ข้าแค่อยากรู้ว่าทำไมเจ้าไม่โบยบินเหมือนคนอื่นๆ”
คำถามในใจถูกส่งออกไป ทำเอาร่างเล็กชะงักนิดหน่อย รอยยิ้มหวานสวยค่อยๆ
หุบลงก่อนจะเบนหน้าหนีไปทางอื่น จุนเม้มปากแน่น ซึ่งคริสเองก็ยังคงรอคำตอบจากชายร่างเล็กบนเตียง
“ท่านไม่เข้าใจหรอก
ข้าก็แค่ถูกสร้างมาในแบบที่ไม่เหมือนคนอื่น” จุนตอบ
แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่สามารถไขความกระจ่างให้กับร่างสูงได้
คริสจึงตัดสินใจที่จะลุกออกจากถุงนอนของตัวเองก่อนจะถือวิสาสะปีนขึ้นไปนั่งบนเตียงกับร่างเล็กทันที
“ข้าน่ะ เป็นเด็กกำพร้าพ่อแม่ที่ถูกคนเลี้ยงหมูเลี้ยงให้เติบโตมา
ข้าสนใจเรื่องพืชพรรณ แมลง ข้าจึงหาทางเรียนหนังสือเพื่อให้อ่านออกเขียนได้
พอข้าชำนาญการอ่านเขียนข้าจึงศึกษาทุกอย่างด้วยตัวเองจนได้มาเป็นครูสอนหนังสือให้กับใครหลายๆ
คน ข้าสอนหนังสือให้กับธิดาของพระราชา ข้ามีเพื่อนชื่อจอห์นกับเจย์ที่เป็นนักสำรวจเช่นกัน
ข้าอาศัยอยู่ในบ้านหลังเล็กติดกับร้านอบขนมปัง ข้าชอบกินพายแอปเปิ้ลของคุณป้าเจ้าของร้าน
ข้าท่องเที่ยวทั่วทุกสารทิศโดยใช้ม้า ที่ที่ข้าชอบที่สุดคือป่ากับน้ำตก”
“…”
“ข้าเล่าเรื่องของตัวเองแล้ว ทีนี้ก็ถึงตาเจ้าต้องเล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังแล้ว”
“แต่ข้ายังไม่ได้ถามเรื่องของท่านเสียหน่อย?”
“แต่ข้าอยากเล่า.. เราจะได้แลกเปลี่ยนเรื่องของกันและกันยังไงล่ะ”
ร่างสูงเอ่ยและยิ้มออกมาอย่างเบาบาง มือหนาถือวิสาสะอีกครั้งด้วยการดึงมือน้อยๆ
ของจุนมากอบกุมเอาไว้ทั้งสองข้างก่อนจะจดจ้องไปยังนัยน์ตาสีนิลสวยเป็นประกายดั่งดาวด้านนอกหน้าต่าง
ซึ่งกำลังพร่างพราวบนฟากฟ้ายามค่ำคืน “เล่าเรื่องของเจ้าให้ข้าฟังได้ไหม?”
“…” จุนเผลอกัดริมฝีปากนิดหน่อย
มือของเขาถูกชายร่างสูงกุมเอาไว้ทั้งๆ
ที่ก่อนหน้านี้ตั้งแต่เกิดจนโตกลับไม่มีใครเคยได้จับมือคู่นี้เลย “ข้า.. ข้าเป็นภูติต้นไม้อย่างที่ข้าเคยบอก ต้นไม้ประจำตัวของข้าคือต้น Red
Oak”
“เพราะอย่างนั้นเจ้าถึงมีผมสีแดงใช่ไหม?”
“ก็คงใช่” จุนพยักหน้า “ข้าเป็น Blue Fairy ข้าหมายถึงในโลกของพวกเรามีทั้งฝ่ายดีและไม่ดี
ฝ่ายที่ไม่ดีก็คือ Black Fairy พวกนั้นจะฉลาดแกมโกง พูดจาหลอกล่อผู้อื่นได้เก่ง
แล้วก็ชอบขโมยของ ชอบกลั่นแกล้งผู้อื่น แต่ข้าเป็น Blue Fairy ที่ตรงกันข้ามกันพวกนั้น พวกเรามีกฎว่าต้องพึงทำความดี
ช่วยเหลือกันและปกป้องป่าโดยจะมีต้นไม้ประจำตัวเป็นของตัวเอง”
“ข้าเพิ่งจะเคยรู้เรื่องนี้
แล้วที่เจ้าช่วยข้าก็เป็นคงเป็นการทำความดีอย่างหนึ่งสินะ”
“ข้าช่วยท่านเพราะอยากช่วยจริงๆ ไม่ได้จะช่วยเพราะต้องพึงทำความดีตามกฎของภูติ”
จุนยิ้ม “ข้าเคยมีพ่อกับแม่ แต่พวกเขาแอบไปรับใช้แบนชีด้วยการขโมยลูกของของราชินี Black Fairy ไปให้แบนชีใช้บูชายัน
ราชินีโกรธมากจึงบุกมาถึงถิ่นนี้ พวกเขาสำเร็จโทษพ่อแม่ข้าที่ท้ายป่าโดยที่ราชินี Blue
Fairy เองก็ช่วยอะไรไม่ได้ แต่ท่านก็ได้ร้องขอให้ราชินีแบล็คฯ
ไว้ชีวิตข้า ข้าจึงไม่ต้องตายตามพ่อแม่ไป แต่กลับโดนสาปให้ปีกหัก
ไม่มีวันที่จะได้บินตลอดชีวิต”
“แบนชี? ข้าถามได้ไหมว่ามันคืออะไร?”
“เป็นวิญญาณผู้หญิงที่มักจะชอบร้องโหยหวนเวลาได้กลิ่นความตาย
นางออกอุบายว่านางได้กลิ่นความตายของพ่อแม่ข้า
แต่นางมีวิธีที่จะทำให้พ่อแม่ข้ามีอายุไขยืนยาวได้
นั่นก็คือการลักพาลูกของราชินีแบล็คฯ มาบูชายัน พ่อแม่ข้าก็เชื่อแบบนั้น
แต่สุดท้ายก็ต้องมาพบว่าพวกเขาถูกแบนชีหลอก จะเอาความก็ทำไม่ได้เพราะแบนชีหนีหายไปพร้อมกับลูกของราชินีไปโดยไม่มีวันกลับคืนมา
พวกคนในเมืองจึงสันนิษฐานกันว่าแบนชีอาจจะกลืนกินลูกของราชินีแบล็คไปเป็นอาหารแล้วก็ได้”
“…”
“ตอนแรกข้าก็เสียใจที่ไม่มีปีกให้บินเหมือนคนอื่น
แถมยังโดนภูติตัวอื่นๆ ล้อเลียนเรื่องที่มีพ่อแม่นิสัยไม่ดี
ข้าเลยไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่นอกจากแอล นั่นจึงเป็นเหตุให้ข้าอยู่อย่างสันโดษ
แล้วก็ชอบออกไปเล่นน้ำตกคนเดียวโดยไม่ชวนใคร ข้าถึงได้พบกับท่านเมื่อวานยังไงเล่า”
“นับว่าโชคดีเหลือเกินที่ราชินีไม่สาปให้เจ้าตาย
ไม่อย่างนั้นข้าคงจะไม่ได้พบเจอกับคนน่ารักสดใสเช่นเจ้า”
“ท่านช่างปากคอเราะร้ายนัก
ข้าไม่เชื่อหรอกว่าท่านจะไม่มีหญิงงามจากในเมืองมนุษย์ครองหัวใจท่านได้”
“ข้าสาบาน ข้าไม่มีใครจริงๆ
แต่ในอนาคตก็อาจจะมีเจ้าที่ได้ครองใจข้านะ”
“ข้าจะไปอาบน้ำ” จุนมยอนดึงมือของตนออกมาจากการกอบกุม
เขาเบนสายตาหนีไปทางอื่นพลางทำท่าจะลุกหนี
แต่กลับต้องชะงักอีกครั้งเมื่อสองหูได้ยินเสียงเอ่ยถามจากคริส
“ข้าอาบด้วยได้หรือเปล่าหื้ม?”
“…”
“…”
“ช่างมากตัณหาเสียเหลือเกิน ข้าไม่ให้ท่านไปหรอก”
หนึ่งสัปดาห์ถัดมา
คริสก็ยังคงติดแหงกอยู่ในดินแดนน็อกซ์
“จุน วันนี้เราจะไปไหนกัน?”
“ข้าได้ยินท่านบ่นเมื่อคืนว่าอยากเห็นต้นเรดโอ๊คของข้า
ข้าจึงจะพาท่านไปดูยังไงเล่า”
“ถ้างั้นเดินรอข้าด้วยสิ
ถ้าข้าหลงขึ้นมาเจ้าจะเสียใจเอานะ”
“ดูพูดเข้า ทำอย่างกับข้าอยากอยู่กับท่านงั้นล่ะ”
“โธ่ ให้ข้าได้หยอกเจ้านิดหยอกเจ้าหน่อยก็ไม่ได้
จริงจังไปเสียทุกเรื่องเลยนะแม่นางฟ้า”
“ข้าบอกว่าข้าไม่ใช่นางฟ้ายังไงล่ะ! แล้วก็นะ.. เผื่อท่านจะยังไม่รู้ ท่านไม่ควรทำให้พวกแฟร์รี่หงุดหงิดนะรู้ตัวไหม?
ไม่อย่างนั้นพวกแฟร์รี่จะกลั่นแกล้งท่านคืนอย่างเจ็บแสบ เพราะงั้นท่านก็ไม่ควรจะหือกับข้าเข้าใจหรือเปล่า?”
เสียงหวานดังปรี๊ดขึ้นมาทันทีเพราะถูกเจ้ามนุษย์เย้าแหย่มาตลอดทาง
สองเท้าเปล่าของจุนนำทางชายร่างสูงไปตามผืนป่าเปียกชื้น
ทั้งโขดหินและตะไคร่สีเขียวที่ได้เหยียบทีไรเป็นต้องลื่นถลาทุกที – ทำให้คริสอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วเพราะรู้สึกเหมือนตนกำลังถูกพามาทรมานในที่แปลกตา
นิสัยเจ้าเล่ห์ปากคอชอบหยอดคำหวานนั้นติดตัวคริสมาแต่ไหนแต่ไร
ซึ่งเขาก็คิดจะเว้นหยุดพูดจาหยอกเย้าร่างเล็กเลยแม้ตาชั่วโมงเดียว
ใกล้กันทีไรเป็นต้องหาเรื่องมาทำให้เจ้าภูติตัวน้อยเขินทุกที จะว่าไปแล้ว.. เจ้าภูติเองก็น่าแกล้งใช่น้อยเสียทีไหน
ใบหน้าจิ้มลิ้มยามถูกหยอกให้ขัดเขินมักจะแสดงสีแดงระเรื่อออกมา
แถมยังพยายามก้มหน้างุดหรือไม่ก็หันหนีไปทางอื่น
จะเรียกว่าเจ้าภูติน้อยกำลังทำให้ใครบางคนตกหลุมพรางอยู่ก็คงได้
แถมยังดูเหมือนว่าเขาคนนั้นกลับไม่อยากขึ้นมาจากหลุมพรางแล้วเสียด้วยสิ
“ข้าไม่กล้าหือกับเจ้าหรอกนะ
ข้าไม่อยากให้เจ้าโกรธหรืองอนข้าด้วยเรื่องใดๆ ทั้งนั้น
ไม่อย่างนั้นตอนกลางคืนข้าคงไม่มีคนนอนคุยด้วยจนหลับไป”
“ก็ถ้าท่านยังเผลอพูดจากวนอารมณ์ข้าอีก
ข้าจะส่งท่านไปนอนกับพวกกระรอกหน้าประตูเมืองโน่น
แล้วก็จะไม่มีวันพาท่านหลับมาที่นี่อีก”
“ข้าสำนึกแล้ว อย่าไล่ข้าไปไหนเลยนะ” ปากว่าสำนึก
หากแต่เพราะตนกำลังเดินรั้งท้ายอยู่
จุนจึงไม่เห็นว่าท่านนักสำรวจกำลังยกสองแขนขึ้นกอดอกและเผยรอยยิ้มซึ่งเคล้าไปด้วยเล่ห์ร้ายคล้ายคนไร้สำนึก
“ถึงแล้วล่ะ” จุนเอ่ยขึ้น
หลังจากที่ใช้เวลาเดินเท้าจากบ้านต้นไม้มาจนถึงที่นี่ก็กินเวลาไปพอสมควร
ทว่าเมื่อคนตัวเล็กเอ่ยบอกกับคริสว่าทั้งสองได้เดินทางมาจนถึงที่หมายแล้ว
มือเรียวก็ยื่นไปแหวกพุ่มไม้ซึ่งซ่อนต้นโอ๊คสีแดงเอาไว้ สายตาคมคายมองภาพเบื้องหน้า
เจ้าต้นไม้ใหญ่ตั้งตระหง่านและมีใบที่สวยงามอย่างน่าอัศจรรย์
ใบโอ๊คเป็นสีแดงสดสวยงาม ลำต้นยืนสูงแข็งแรงดูไม่สะท้อนต่อสายลมยามหวนกระหน่ำ
วงปีของต้นไม้ก็คงจะมีอายุเกิน 15 ปี ด้วยลำต้นที่ใหญ่กว้างประมาณ 4 คนโอบจึงทำให้คริสพอจะเดาออกได้
“นี่คือต้นไม้ที่เป็นต้นประจำตัวของข้า
ข้าปกปักษ์รักษาและดูแลมันมาตลอดตั้งแต่เกิด หมายถึง.. ข้าเกิด
มันก็เกิด”
“แล้วเจ้าต้นนี้มันสำคัญกับเจ้าอย่างไรหรือ?”
“ก็.. ภูติทุกตัวมีสิ่งของที่ต้องปกปักษ์รักษาประจำตัว
บางตัวก็ดูแลทารกแรกเกิดยันเติบโต ท่านคงเคยได้ยินคำว่า Fairy Godmother บางตัวก็เป็นภูติภูเขาหรือภูติแห่งสายน้ำ
พวกเขาต้องดูแลสิ่งที่ถูกกำหนดมาให้นับตั้งแต่วันแรกที่เกิด
ทั้งนี้ก็เพื่อทำให้ป่าและธรรมชาติมีความอุดมสมบูรณ์ พวกเราห้ามละเลยเด็ดขาด
เพราะถ้าหากพวกเราละทิ้งมันเมื่อไหร่ล่ะก็มันจะค่อยสลายหายไป
ชีวิตของพวกเราก็จะสลายไปเช่นกันด้วย”
“หมายความว่าเจ้าจะตายงั้นหรือ?”
“ใช่ ถ้าข้าปกป้องต้นโอ๊คสีแดงนี้เอาไว้ไม่ได้
ข้าต้องตายตกไปตามมัน สภาพร่างกายจะเสื่อมและหายไปในที่สุด”
“อ่า… ถ้าอย่างนั้นข้าคงต้องช่วยเจ้ารักษาต้นโอ๊คนี่แล้วสินะ
เพราะข้าไม่อยากให้เจ้าตายไปไหนเด็ดขาด”
“ท่านพูดจาประหลาดอีกแล้วนะ”
“ก็จริงนี่ ข้าพูดอะไรผิดตรงไหน”
“เฮ้อ”
จุนถอนหายใจอีกหนพลางเดินเข้าไปยังใต้ร่มเงาของต้นโอ๊คสีแดงต้นใหญ่
มือเล็กยกขึ้นลูบลำต้นของมันก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองใบโอ๊คซึ่งผลิเป็นสีแดง
อีกไม่นาน..
ก็คงจะถึงฤดูออกดอกออกผล ภารกิจใหญ่ของจุนกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้เต็มที
“ท่านว่าต้นนี้สวยไหม?”
“สวยสิ สวยเหมือนเจ้าเลยล่ะ
ใบสีแดงคล้ายสีผมของเจ้า มองทีไรก็ให้ความรู้สึกแปลกกว่ามองไปยังต้นอื่นๆ
ที่มีใบเป็นสีเขียว นั่นแปลว่าเจ้าและต้นไม้ต้นนี้ไม่เหมือนใคร
มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ซึ่งข้าชอบเหลือเกิน”
“ชอบต้นไม้งั้นเหรอ?”
“ถ้าบอกว่าชอบเจ้าล่ะ?”
“มนุษย์นี่ช่างประหลาดชะมัด” จุนส่ายหัวพัลวัน
“จุนอ่า.. พาใครมาเที่ยวเล่นแถวนี้รึ?”
“ท่านนิมฟ์..”
เสียงของหญิงดังอยู่ไม่ห่างจากคริสมากนัก
ร่างสูงจึงมองตามจุนซึ่งกำลังหันหน้าไปทางลำธารใกล้ต้นโอ๊คสีแดง
เด็กหนุ่มตัวเล็กเผยรอยยิ้มก่อนที่คริสจะได้มองเห็นสิ่งมหัศจรรย์พันลึกซึ่งประหลาดกว่าเจ้าแฟร์รี่หูยาวเป็นไหนๆ
ร่างของหญิงสาวผมยาวสลวยสีขาวผุดขึ้นจากผืนลำธารสายยาว
ร่างเปลือยเปล่าของเธอทำให้คริสตกใจจนต้องรีบหันหนี เกิดมากี่ปีๆ
ก็ยังไม่เคยเจอหญิงใดมาแก้ผ้าตรงหน้าเลยสักครั้ง
นี่นับว่าเป็นครั้งแรกที่สายตาได้ประจักษ์กับร่างอ้อนแอ้นของสิ่งมีชีวิตอมนุษย์ดวงตาสีแดง
ใบหน้าของพวกเธอนั้นออกจะสวยงดงาม หากแต่ร่างสูงนั้นไม่กล้าพอที่จะหันไปมอง
เพราะในโลกมนุษย์นั้นไม่มีมนุษย์ปกติคนใดยืนมองหญิงงามร่างเปลือยกันโต้งๆ หรอก
“ท่านนิมฟ์
ข้ามารบกวนเวลาพักผ่อนของพวกท่านหรือ?”
“เปล่าหรอกจ้ะ
พวกข้าเวียนว่ายอยู่ใต้น้ำกันตามปกติ
แต่บังเอิญมองเห็นเจ้าพาใครบางคนมาที่นี่ด้วยก็เลยอยากจะมาทำความรู้จัก”
หญิงสาวผิวกายขาวละเอียดเอ่ยขึ้น เส้นผมเปียกชื้นประดับอยู่ตามกรอบหน้าของนาง
ขณะเดียวกันนั้นก็ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้อยู่ที่นี่เพียงตัวคนเดียว เพราะยังมีนิมฟ์ตัวอื่นๆ
ผุดขึ้นมาจากลำธารและกำลังเดินเข้ามาใกล้ชายร่างสูงซึ่งกำลังก้มหน้างุดจนคางติดอก
“ท่านราชินีส่งข่าวไปทั่วอาณาจักรว่ามีมนุษย์หลุดเข้ามาในนครของเรา
แต่ข้าไม่คิดว่าเจ้ามนุษย์จะเป็นคนของเจ้า”
“เขาเป็นเพื่อนข้าเองล่ะ
ข้าช่วยเขาเอาไว้และให้ที่อยู่เพื่อรอคืนวันที่ดาวปรากฏ
จากนั้นข้าจะพาเขาออกไปเอง”
“อย่างนั้นหรือ?”
แม่นิมฟ์สาวที่ดูเหมือนจะเป็นหัวโจกของนิมฟ์ทั้งหลายเดินเข้าไปประชิดตัวคริส
ทำเอาร่างสูงสะดุ้งโหยงและต้องหันหน้าหนีเพื่อให้สายตามองไปยังต้นไม้แทนที่จะมองร่างเปลือยเปล่าของนาง
สัมผัสจากมือนุ่มลูบไล้ตรงข้างแก้ม
ริมฝีปากสีชมพูอ่อนจนเกือบซีดขยับเคลื่อนเข้ามาใกล้หูของร่างสูงก่อนจะเอ่ยปาก
“ท่านไม่สนใจจะอยู่ที่นี่อย่างถาวรหรือ?”
“ข.. ข้า.. ข้าไม่ค่อยคุ้นชินกับที่นี่เสียเท่าไหร่”
ร่างสูงเอ่ยบอกอย่างติดๆ ขัดๆ สายตาต้องคอยชมนกชมไม้และจินตนาการว่าแม่นางนิมฟ์กำลังสวมอาภรณ์ครบทุกชิ้น
ทว่าพาหันซ้ายก็ดันเจอนิมฟ์สาวอีกตัวเข้ามาเกาะแกะจนต้องเปลี่ยนมาเงยหน้ามองฟ้าสีสวยแทน
“อ่า.. ได้โปรดปล่อยข้าเถิดนะแม่นางทั้งสอง
ข้าต้องไปทำงานอย่างอื่นกับจุนอีกนะ”
“จุน”
เสียงของนิมฟ์สาวเรียกเจ้าภูติร่างบางที่กำลังหัวเราะคิกคักสะใจใส่คนที่ถูกบรรดานิมฟ์เย้าหยอกอยู่
“เจ้ามีงานอะไรที่ต้องทำกับมนุษย์ผู้นี้อีกหรือ?”
“อันที่จริงไม่มีหรอก งานดูแลต้นไม้ก็เสร็จแล้ว
งานเก็บเกี่ยวก็เสร็จแล้ว
หลังจากนี้ข้าก็คงไม่ได้ทำอะไรนอกจากนอนตีพุงอยู่ที่บ้าน”
“งั้นก็ดี ขอให้ข้าได้ทำความรู้จักกับเพื่อนเจ้าเสียหน่อยคงจะไม่เป็นอะไรนะ”
“ตามสบายเถิดพวกท่าน
ข้าจะกลับไปรอที่บ้านก็แล้วกัน”
“ด.. เดี๋ยวสิจุน ข้าจะไปด้วย..
คือ.. คือข้าต้องกลับไปทอถุงนอนต่ออีกหน่อย
ถุงนอนของข้าขาด ข้าต้องกลับไปจริงๆ”
“เดี๋ยวข้าช่วยซ่อมให้ก็ได้นะท่านคริส
ท่านอยู่เล่นกับพวกแม่นางนิมฟ์ไปเถอะ”
“โธ่! จุน ไม่เอาแบบนี้สิ”
คริสแทบจะร้องไห้เมื่อจุนไม่ยอมช่วยเขาออกมาจากเหล่านิมฟ์ที่กำลังมาเกาะแกะลูบคลำตามลำตัวของเขา
แถมร่างสูงยังแอบเห็นจุนมยอนกำลังยืนหัวเราะอยู่คนเดียวจนน่าเจ็บใจ
อีกฝ่ายก็ดูเหมือนจะพอใจมากที่เห็นคริสถูกพวกนิมฟ์หยอกเช่นนั้น
ก็ชอบรังแกเจ้าภูติดีนักนี่
เห็นเจ้าภูติว่างงานเป็นไม่ได้ต้องหาคำพูดหวานดั่งน้ำผึ้งเดือนห้ามาพูดกระเซ้าเย้าแหย่ให้ร่างเล็กต้องหน้าแดงขึ้นมาทุกที
นิมฟ์ หรือจะเรียกว่านางอัปสรก็คงไม่ผิด
พวกนางเป็นอมนุษย์อีกประเภทที่มีลำดับชั้นไม่แตกต่างจากแฟร์รี่เท่าไหร่ พวกนางมักจะมีหน้าตาสละสลวย
อ่อนเยาว์ไม่มีวันแก่ นิยมธรรมชาติอย่างถ่องแท้
ทำให้พวกนางไม่คิดจะใส่เสื้อผ้าเหมือนมนุษย์เพราะของพวกนั้นมาจากความคิดของมนุษย์
เช่นนั้นพวกนางจึงมักจะเปลือยกายท้าแดดท้าลมอยู่ตลอดเวลา
แน่นอนว่าเรือนร่างของพวกนางทำให้ชายหรือเทพทั้งหลายเป็นต้องเหลียวมองและลงเอยด้วยการมีความสัมพันธ์กับพวกนาง
ซึ่งโดยปกติแล้วคณานางนิมฟ์ก็มีนิสัยขี้เล่นและชอบโปรยเสน่ห์อยู่มากพอตัว
นั่นจึงเป็นเรื่องง่ายที่ทำให้พวกนางจะสามารถหลอกล่อชายอื่นให้มาตกเป็นของพวกนางได้
แต่ดูเหมือนว่าฝีปาก คารม
หน้าอกกลมสวยซึ่งประดับด้วยเม็ดบัวสีชมพูชูชัน สะโพกผาย
ดอกไม้ขาวกลางกลายและใบหน้าอันงดงามนั้นจะไม่สามารถโน้มน้าวใจของคริสได้เลยแม้แต่น้อย
“ข้าไปแล้วนะท่านคริส เจอกันที่บ้านก็แล้วกัน
แล้วข้าจะทำซุปไว้รอท่านนะ”
“ย่าห์! จุน… เจ้าทำกับข้าแบบนี้ไม่ได้นะ”
“มาเถิดท่านชาย มาสนุกกับพวกข้าเถิด ฮ่ะๆ”
เสียงหัวเราะของนิมฟ์แลน่ากลัวพิลึก
ทำเอาร่างสูงขนลุกเกลียว
พยายามขัดขืนออกจากแรงกอดรัดที่แขนทั้งสองข้างเพื่อเดินตามเจ้าแฟร์รี่ชุดเขียวนั่นไป
หากแต่ก็ยังไม่เป็นผล
เพราะนางนิมฟ์ทั้งหลายกำลังผลึกกำลังจับกุมร่างสูงเอาไว้ไม่ให้ออกเดิน
“ปล่อยข้าเถอะแม่นาง พวกเจ้าช่างสละสลวยงดงาม
แต่ถ้าหากพวกเจ้าบังคับข่มเหงข้าเช่นนี้
เห็นทีข้าคงไม่สามารถมองว่าพวกเจ้างดงามได้อีก”
กว่าจะต่อรองเจรจากับคณานิมฟ์ได้ก็นับว่าใช้เวลานานพอสมควร
มนุษย์ร่างสูงเดินกลับมาที่บ้านต้นไม้ด้วยสีหน้าและแววตาที่ออกจะบูดบึ้งสุดฤทธิ์ ประตูไม้ถูกเปิดออกทำให้คนที่กำลังนั่งคัดใบชาแห้งอยู่บนพื้นต้องเงยหน้าขึ้นมามอง
พบว่าคริสนั้นไม่ได้ขมวดคิ้วแต่ก็ไม่แสดงสีหน้าไปในทางดีนักเท่าไหร่
นี่เขาแกล้งคริสแรงไปนิดหน่อยหรือเปล่านะ
“เล่นกับพวกนิมฟ์สนุกไหม?” เสียงหวานเอ่ยถาม
ทำน้ำเสียงเจื้อยแจ้วสู้เสือไปอย่างนั้นทั้งๆ
ที่ความจริงแล้วจุนมองเห็นสีหน้าไม่พอใจของคริสอย่างชัดเจน
“เจ้าคิดว่าข้าสนุกไหมล่ะ?”
“ทีนี้ท่านก็คงเข้าใจแล้วสินะว่าเวลาที่ข้าถูกท่านพูดจอเย้าหยอกใส่
ข้าจะรู้สึกอย่างไร”
“แต่ที่ข้าพูดก็เพราะว่าข้าชอบเจ้าแล้วก็ต้องการให้เจ้าใจอ่อนต่างหาก
ข้าไม่ได้คิดจะแกล้งเจ้าแบบนี้เสียหน่อย” ร่างสูงจ้องคนตัวเล็กบนพื้นเขม็ง
“เวลาองค์รัชทายาทแอลอะไรนั่นมาตามตื๊อเจ้า
เจ้าไม่รู้สึกรำคาญเขาเหมือนอย่างที่รำคาญข้าเลยหรือไง? ทั้งๆ
ที่หมอนั่นก็กำลังเกี้ยวเจ้าเหมือนกัน นั่นแปลว่าเจ้าควรไปแกล้งหมอนั่นคืนด้วยสิ”
“แอลไม่ได้เกี้ยวข้าเสียหน่อย
ท่านอย่าใส่ความเขาสิ”
“ดูเจ้าพูดเข้า.. ข้าไม่ได้ใส่ความ แต่ข้ามองออก”
ร่างสูงยกมือขึ้นกอดอก “ข้ามองออกว่าแอลกำลังรู้สึกกับเจ้าเช่นไร เป็นผู้ชายด้วยกันน่ะเรื่องแค่นี้ทำไมจะมองไม่ออกล่ะ”
“แต่ข้าก็เป็นผู้ชายนะ ข้าไม่เห็นรู้สึกว่าแอลชอบข้าตรงไหน”
“แต่เจ้าไม่ใช่ชายที่ชอบเล่นหูเล่นตาป้อนคำหวานเหมือนพวกข้านี่”
“…”
เจ้าแฟร์รี่ตัวบางกลายมาเป็นฝ่ายขมวดคิ้วแน่น
เขากำใบชาในมือเอาไว้และรู้สึกอึดอัดนิดหน่อยที่ไม่สามารถต่อกลอนกับร่างสูงได้
ขณะเดียวกันคริสเองก็รู้ว่าใบหน้าเง้างอนนั่นช่างน่ามองเหลือเกิน
หากแต่เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะมาชมใครน่ารักในตอนนี้
ร่างสูงจึงใช้ความเงียบเป็นการต่อกลอนกับคิ้วที่ขมวดร่นของเจ้าภูติ
“ถึงแอลจะเกี้ยวข้า แต่เขาก็ไม่เคยทำให้ข้ารู้สึกอายเหมือนที่ท่านทำ
เขาไม่เคยทำให้ข้าเดินหนีเลยสักครั้ง มีแต่ท่านนั่นล่ะที่ชอบหาเรื่องมาพูดให้ข้าต้องรู้สึกอายจนต้องหนีไปสงบสติอารมณ์คนเดียว”
“ในเมืองมนุษย์น่ะเรียกอาการแบบนี้ว่า เขิน
มันไม่ใช่เรื่องน่าอายเสียหน่อย
ที่เจ้าไม่รู้สึกเขินแอลก็เพราะว่าเจ้าไม่ได้ชอบแอลยังไงล่ะ
แต่ที่เจ้ากำลังรู้สึกเขินกับข้านั้นอาจเป็นเพราะว่าเจ้ากำลังมีใจให้ข้า”
“…”
“เอาเถอะ
ยังไงเจ้าก็ต้องปกป้องแอลเพื่อนเจ้าอยู่ดี
ข้าจะไม่พูดต่อหรือยุ่งย่ามกับเขาอีกแล้ว”
พูดจบก็ทิ้งให้เจ้าภูติน้อยนั่งอยู่บนพื้นกับใบชาแต่เพียงคนเดียว
ส่วนตนนั้นเดินหนีไปทางห้องครัวเพื่อหาสำรับอาหารเย็นมากินเพียงลำพัง ทั้งๆ
ที่ปกติแล้วคริสไม่เคยไม่กินข้าวพร้อมจุนเลยแม้แต่มื้อเดียว เขาชอบการนั่งตรงข้ามจุน
ชอบที่จะปรนนิบัติร่างเล็กให้ลองชิมอาหารฝีมือมนุษย์บ้าง
แม้ว่ามันจะไม่ได้ต่างจากอาหารในโลกแฟร์รี่เสียเท่าไหร่
แต่เขาก็แค่ชอบการนั่งกินข้าวโดยมีจุนร่วมโต๊ะด้วย
เจ้าภูติน้อยนั่งหงอยแต่เพียงผู้เดียว นี่เขากำลังถูกโกรธอย่างนั้นหรือ.. กลายเป็นว่าเรื่องนี้เขาเป็นคนผิดใช่หรือไม่..
แล้วที่ท่านมนุษย์บอกว่าเขากำลังมีใจให้คริสนั้นหมายความว่าอย่างไรกัน
แล้วท่านนักสำรวจจะมาคิดเรื่องนี้แทนเขาได้อย่างไร
ในท่านนักสำรวจไม่ใช่เขาเสียหน่อย!
น่าโมโห!
น่าโมโห!
น่าโมโหที่สุด!
น่าโมโหจนแก้มเปลี่ยนสีไปหมดแล้ว!
เช้าวันถัดมา
ตลอดทั้งคืนไม่มีใครพูดอะไรกันแม้แต่คำว่าฝันดี
คริสยังคงไม่พอใจที่ร่างเล็กเอาแต่เข้าข้างเจ้าภูติชายตัวนั้น ทั้งๆ
ที่เขาก็อุตส่าห์พูดไปจนหมดเปลือกแล้วว่าตนรู้สึกกับร่างเล็กเช่นไร
แต่ดูเหมือนเจ้าภูติจะไม่ค่อยเข้าใจในสิ่งที่เขากำลังจะสื่อ ขนาดคำว่า เขิน เจ้าภูติเองก็ยังไม่รู้จักเลย
แล้วจะนับประสาอะไรกับการรับรู้ความรู้สึกในใจของตัวเอง
คนตัวสูงตื่นแต่เช้า แขนแกร่งยกขึ้นก่ายหน้าผาก
ในหัวยังคงคิดไปถึงเรื่องนั้นเรื่องนี้จนต้องหลับตาลงเพื่อบังคับให้ตัวเองหยุดคิดเรื่องของเจ้าคนที่นอนอยู่บนเตียงเสียที
ร่างเล็กนั้นเข้านอนก่อนคริสเสียด้วยซ้ำ
ร่างสูงใช้เวลาทั้งคืนง่วนอยู่กับการวาดรูปของแมลงและดอกไม้นานาพันธุ์ลงในสมุดที่พกติดตัวเป็นประจำ
เขาเห็นจุนกระโดดขึ้นเตียงและผล็อยหลับไปภายในเวลาไม่กี่นาที จนตอนนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่น
ก๊อกๆ
เสียงเคาะประตูจากหน้าบ้านทำให้ร่างสูงต้องยกแขนออกจากหน้าผากและลุกขึ้นชะโงกหน้ามอง
ร่างสูงเดินออกมาจากถุงนอนที่ตนเป็นคนทอขึ้นเองไปยังหน้าประตูก่อนจะเปิดมันออกและพบว่าคนที่เขาไม่อยากเห็นหน้ามากที่สุดในอาณาจักรนี้กำลังยืนอยู่ตรงหน้า
“มาทำอะไร?”
“ข้าอยากคุยกับเจ้าของบ้าน”
“จุนยังไม่ตื่น”
“งั้น.. รบกวนเจ้าช่วยปลุกข้าให้หน่อยสิ
วันนี้ข้านัดกับจุนเอาไว้ว่าจะไปเดินเล่นกันแถวๆ ท้ายป่านิดหน่อย นี่ก็.. ใกล้จะถึงเวลานัดแล้วด้วย”
“จะไปเดทกันงั้นหรือ?”
“ด.. เดท? คืออะไรหรือท่านมนุษย์?”
องค์รัชทายาทเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อย เขาไม่เข้าใจภาษาของมนุษย์จริงๆ
หากแต่เมื่อย้ำถามขอคำตอบไปแล้ว แต่ร่างสูงของมนุษย์หนุ่มกลับเลือทกี่จะไม่ตอบ
แถมยังกอดอกอย่างโอหังเสียด้วย
“ช่างเถอะ นัดกันไว้ที่ไหนล่ะ?
ข้าจะได้ปลุกจุนและจะบอกให้เขาตามไป”
“อ่า.. ข้ามาถึงที่นี่แล้วคงไม่ต้องตามไปเจอกันอีกที่ให้เสียเวลาหรอก”
“แล้วจะเอายังไง?”
“ท่านคริส ใครมางั้นหรือ?”
เสียงหวานปนสะลึมสะลือเอ่ยถาม
ร่างสูงจึงหันกลับไปมองและพบว่าจุนกำลังงัวเงียลุกขึ้นมา มือเล็กยกขึ้นขยี้ตาเบาๆ
เรือนผมสีแดงติดจะยุ่งเหยิงนิดหน่อยจากการนอนพลิกไปพลิกมาทั้งคืน ช่างน่าเอ็นดูนัก
แต่จะให้ออกปากชมตอนนี้ก็ดูจะเสียมาดคนกำลังงอน
คริสจึงเลือกที่จะไม่ขอหยอดคำหวานหนึ่งวันและปล่อยให้จุนได้พบกับแอลเพียงลำพัง
ทั้งๆ ที่ในใจนั้นหงุดหงิดจนแทบบ้า
“เพื่อนเจ้ามา”
ร่างสูงตอบแค่นั้นก่อนจะเดินออกมาจากประตู เขาพับถุงนอนของตัวเองอย่างงุ่นง่าน
แต่กลับบังคับสีหน้าให้เรียบเฉยได้อย่างน่าอัศจรรย์
เมื่อจัดการกับที่นอนของตัวเองเสร็จแล้วร่างสูงจึงเดินหลบเลี่ยงไปทางห้องครัวเพื่อหามื้อเช้าให้ตัวเองอิ่มท้อง
เขาใช้เศษฟืนที่มีอยู่แล้วมาวางสุมลงบนเตาก่อนจะนำไม้ขีดไฟมาจุดเพื่อสร้างเปลวเพลิงสำหรับการปรุงอาหาร
เห็นทีเมนูของวันนี้ก็คงจะไม่พ้นเนื้อย่างดังที่เคยกินมาตลอดหลายวัน
ทุกการกระทำของคริสตกอยู่ในสายตาของจุนตลอดทุกย่างก้าว
เขาไม่ชอบบรรยากาศอันแสนอึดอัดนี้เลย ปกติแล้วในทุกๆ
เช้าคริสจะเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายอรุณสวัสดิ์ ช่วยจุนเตรียมอาหาร ชงชาจากดอกพีโอนีมาให้จุนได้ดื่มทุกครั้ง
แต่วันนี้..
ทุกอย่างกลับตาลปัตรไปหมด ไม่มีแม้แต่คำทักทาย ไร้ซึ่งรอยยิ้ม
และดูเหมือนจะไร้เยื่อใยอีกเช่นกัน
“ทำไมวันนี้เจ้าตื่นสายล่ะหื้ม?” แอลยืนพิงกรอบประตูพลางกอดอกพร้อมกับส่งรอยยิ้มให้ภูติประจำต้นโอ๊คสีแดง
รอยยิ้มของแอลยังอบอุ่นเสมอ แม้ว่าดวงตาของเขาจะดูเย็นชาก็ตาม
ทว่าแอลกลับไม่ใช่ผู้ชายเย็นชาโดยเนื้อแท้ เขาเป็นคนใจดีและอัธยาศัยดี
ทั้งยังรับหน้าที่สอนหนังสือให้กับเด็กๆ
ในเมืองโดยที่การสอนหนังสือไม่ใช่ราชโองการจากพระราชินี
“ข้าเหนื่อยๆ น่ะ ขอโทษที่สายนะ”
“ไม่เป็นไร ข้ารอได้.. เจ้าไปจัดการตัวเองเถอะ
ข้าจะนั่งรออยู่หน้าบ้านก็แล้วกัน”
“ข้าจะพยายามรีบนะ”
“อืม”
จุนลุกขึ้นจากเตียง
มือเล็กลูบผมสีแดงให้ลู่ลงนิดหน่อยก่อนจะพาตัวเองไปชำระล้างร่างกายจนเสร็จสรรพ
ขณะเดียวกันคนตัวสูงเองก็เพิ่งจะทานมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อย
เขาจึงยกจานของตัวเองไปล้างซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับตอนที่จุนเดินผ่านหลังเขาไป
จมูกพลันได้กลิ่นหอมหวานจากร่างเล็กเสมือนที่เคยได้สัมผัสผ่านจมูกอยู่เป็นประจำ
และถึงแม้ว่าจะยังมีอารมณ์น้อยใจร่างเล็กอยู่นิดหน่อย
แต่ก็ยังมิวายแอบเหลือบหันไปมองร่างบางที่กำลังยืนจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเองอยู่หน้ากระจกบานใหญ่
วันนี้จุนยังคงสวมเสื้อแขนยาวคอสูงสีเขียวมรกตเช่นเดิม
ไรผมสีแดงเปียกชื้อนิดหน่อยจากการเร่งรีบอาบน้ำเพราะไม่อยากให้แอลรอนานเกินไป
สายตาสำรวจความเรียบร้อยของตนเอง
หยิบเสื้อคลุมสีเขียวซึ่งมีความยาวลากถึงพื้นมาคลุมไหล่เอาไว้และมัดปมของมันป้อนกันไม่ให้ไหลร่วงไปกองกับพื้น
สายตาพันมองเห็นแผ่นหลังหนาที่กำลังง่วนอยู่กับการล้างจานผ่านกระจกเงา
จุนจึงกัดริมฝีปากแสดงอาการพะวงนิดหน่อย
แต่ก็ยังเลือกที่จะเดินเข้าไปหาและพูดกับร่างสูงเบาๆ
“เดี๋ยวข้ากลับมานะ คงไปไม่นานหรอก”
“อืม”
เมื่อสองหูยาวได้รับฟังน้ำเสียงที่ตอบกลับมาอย่างเย็นชา
จู่ๆ จุนก็รู้สึกเจ็บเสียดที่อกข้างซ้าย ใบหน้าหงอยลงอย่างเห็นได้ชัด
ดวงตาที่เคยสุกใสเป็นประกายบัดนี้กลับหม่นหมองเพราะความรู้สึกผิดที่แล่นเข้ามาในอก
ความเงียบกัดกินความรู้สึกของจุนจนไม่กล้าพูดอะไรต่อ
เกรงว่าอาจจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกรำคาญจนต้องมาอารมณ์เสียอีก เช่นนั้นร่างเล็กจึงถูมือไปมาก่อนจะดึงหมวกที่ติดอยู่กับชุดคลุมมาสวมศีรษะและตัดสินใจเดินออกไป
“เจ้าเตรียมตัวสำหรับคืนวันฉลองหรือยัง?”
“เรียกว่าเตรียมใจจะดีกว่านะข้าว่า”
แอลหัวเราะออกมาเบาๆ
ในขณะที่สองเท้ากำลังย่างก้าวไปพร้อมกับเพื่อนตัวบาง วันนี้นับว่าเป็นอีกวันที่เขาได้ออกมาใช้เวลาอยู่กับจุนเพียงลำพัง
หลังจากที่ต้องคอยสอนหนังสือให้กับเด็กๆ ในโรงเรียนภูติฝึกหัดมาตลอด
เวลาสำหรับการหยุดพักจึงน้อยลงสำหรับแอลและไม่มากพอที่จะมาพบกับจุนได้
แต่วันนี้ร่างสูงได้ตัดสินใจแล้วว่าอย่างไรก็ต้องมาเจอจุนให้ได้ ยิ่งมี เจ้ามนุษย์หน้าโง่
คนนั้นมาอยู่ในวงโคจรของจุนยิ่งแล้วใหญ่
เห็นทีแอลคงต้องหาทางสกัดขาไม่ให้เจ้ามนุษย์นั่นมาแย่งจุนไปได้
“ข้าไม่รู้ว่าต้องทำตัวอย่างไร แต่พอถึงเวลา.. เดี๋ยวก็คงทำเป็นเองล่ะมั้ง”
“ข้าก็เหมือนกัน ตอนที่ข้าต้องทำแบบนั้นครั้งแรก.. ข้าก็งกๆ เงิ่นๆ
พอตัว”
วันฉลองต้นไม้ เป็นอีกวันสำคัญของอาณาจักรน็อกซ์
เหล่าภูติต้นไม้ทุกตัวจะมารวมตัวกันที่ลานหน้าต้นไม้ใหญ่ประจำเมืองเพื่อรอฟังคำปราสัยและรอรับพรจากราชินีแฟร์รี่
หรือที่จุนรู้จักในนามแม่ของแอล ราชินีจะให้พรแก่ภูติที่อายุครบ 18 ปีในปีนี้ทุกตัว
ก่อนที่เหล่าภูติจะต้องแยกย้ายกันไปยังต้นไม้ของตัวเองและเริ่มปฏิบัติภารกิจสำคัญ
ภารกิจที่ว่านั่นก็คือการบรรลุนิติภาวะด้วยตัวเอง
ซึ่งในภาษามนุษย์เรียกว่าการสำเร็จความใคร่ด้วยตนเอง
หยดน้ำสีขาวจากกายที่หลั่งลงบนพื้นดินบริเวณที่รากไม้หยั่งไว้จะช่วยให้ต้นไม้นั้นยืนต้นแข็งแรง
ไม่หักโค่นหรือเปราะบางอีกต่อไปแล้ว
ทั้งยังจะช่วยให้ต้นไม้นั้นผลิดอกออกผลดั่งแฟร์รี่หนุ่มสาวที่กำลังแตกหน่อเนื้อ
ซึ่งจุนเองก็เป็นหนึ่งในแฟร์รี่ที่กำลังจะมีอายุครบ
18 ปีในปีนี้
แม้เดือนเกิดจะยังมาไม่ถึง แต่ก็ต้องเข้าทำพิธีพร้อมกับเพื่อนๆ ตัวอื่นเช่นกัน
โดยที่แอลนั้นโตกว่าและได้ผ่านการทำพิธีมาแล้ว ต้นไม้ของเขายืนต้นเติบใหญ่
ซึ่งถือว่าเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อีกต้นของนครเลยก็ว่าได้ เพราะต้น Alder นั้นสามารถใช้รักษาอาการบาดเจ็บหรือสมานบาดแผลลึกได้
ทั้งยังช่วยในเรื่องของอาการเจ็บป่วยได้เป็นอย่างดี
ต้นไม้ต้นนี้จึงเป็นต้นไม้สำคัญของนครน็อกซ์
ยามมีคนเจ็บไข้ได้ป่วยอยู่ที่มุมใดของนคร องค์รัชทายาทจะนำใบมาบดยา
สกัดออกมาเป็นยารักษาโรคชั้นดี และนำไปให้กับคนป่วยอย่างไม่ถือตัว
คนทั้งคู่เดินมาด้วยกันจนถึงทุ่งดอกไม้นานาพันธุ์ทางด้านตอนใต้ของเมือง
ต้น White Ash ของเพื่อนแฟร์รี่ตนหนึ่งเติบโตขึ้นจนผลิใบสวยเป็นพุ่มใหญ่
ให้ร่มเงาแก่เจ้าแฟร์รี่ตัวอื่นๆ
ที่กำลังทำงานปลูกดอกไม้ได้มานั่งพักหลบแดดหลบลมยามว่าง
“องค์ชาย จุน.. มาช้ากว่าเวลาที่นัดข้าเอาไว้นะ”
“ข้าผิดเองล่ะยอล
วันนี้ข้าตื่นสายจึงพลอยทำให้แอลช้าไปด้วย ขอโทษนะ”
ยอล คือเพื่อนคนที่ยังเหลืออยู่สำหรับจุนในตอนนี้
สาเหตุที่คบกันได้ก็คงจะเพราะมีชะตากรรมไม่ต่างกัน เพราะยอลเป็นลูกครึ่งแบล็ค
แฟร์รี่กับบลู แฟร์รี่ จึงทำให้ภูติตัวอื่นๆ
พากันใส่ความว่าเขาอาจเป็นตัวอันตรายอีกตัวหนึ่งของเมือง
เนื่องจากยอลเองก็มีเลือดแบล็ค แฟร์รี่อยู่ในตัว
ชาวเมืองจึงพากันหวั่นว่ายอลอาจสร้างความลำบากให้พวกเขาก็เป็นได้
เช่นนั้นจึงไม่มีใครคิดจะคบหาเจ้าภูติตัวสูงคนนี้เสียเท่าไหร่นอกจากจุนและแอล
ขณะนี้ยอลเองก็โตมาจวบจนอายุครบ 16 ปีแล้ว
หากแต่ก็ยังไม่เคยสร้างปัญหาในเมืองเลยสักครั้ง กลับกันเขามักจะติดตามแอลไปทุกที่ยามมีคนเจ็บไข้ได้ป่วย
และช่วยแอลคิดค้นยาต่างๆ เพื่อรักษาโรคให้กับชาวเมือง
“ต้นไวท์ แอชของเจ้าช่างสูงใหญ่เหลือเกิน
สงสัยเจ้าคงจะบำรุงดีเป็นพิเศษเลยใช่ไหม?” จุนเอ่ยถามพลางเดินเข้าไปยังใต้ร่มไม้
ปลายนิ้วแตะจับใบสีเขียวของเจ้าต้นไม้ เห็นได้ถึงความสดไร้เพลี้ยหรือโรคของต้นไม้ให้ต้องกังวล
“ไม่ใช่ฝีมือข้าหรอก อาทิตย์ก่อนข้าเป็นลมอยู่ริมบึง
พอลองกลับมาดูที่ต้นไม้ก็พบว่ามันเริ่มจะมีเพลี้ยแป้ง องค์ราชินีจึงประทานให้ผงแฟร์รี่กับข้ามาใช้เยียวยาร่างกายกับต้นไม้ในระยะสั้นก่อน
ระหว่างนี้ข้าคงต้องหาวิธีกำจัดเพลี้ยและฟูมฟักมันให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
ไม่อย่างนั้นข้าคงต้องแย่แน่ๆ…”
“ทำไมข้าไม่เห็นรู้เรื่องนี้เลยล่ะ?
แล้วตอนนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ข้าไม่มีแรงจะส่งนกร้องเพลงไปบอกเจ้าน่ะ
ข้าก็แค่เอาแต่นอนขลุกอยู่ในบ้าน พอเริ่มหายดีก็ต้องออกมาจัดการกับต้นไม้ต่อ
อีกอย่างข้าเห็นว่าร่างกายข้าไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว ข้าจึงไม่ได้บอก” ยอลตอบ
รอยยิ้มเบาบางของเขาเผยให้เห็นลักยิ้มข้างแก้มที่ตามมาประดับใบหน้าทุกที
เมื่อได้ฟังคำแก้ต่างของเพื่อนแล้วจุนจึงส่ายหัวเบาๆ พลางถอนหายใจ
“เฮ้อ เจ้าเนี่ยนะ.. ไม่ต้องเอาอาการป่วยมาอ้างเลย
เจ้าน่ะปากหนักขี้เกรงใจไปทั่ว ทำไมข้าจะไม่รู้”
“ก็ถ้าเจ้ารู้ว่าข้าป่วย เจ้าก็คงต้องพาองค์ชายวิ่งแจ้นมาที่บ้านข้าเพื่อมาอยู่เฝ้าข้าทั้งวันทั้งคืน
แบบนี้จะไม่ให้ข้าเกรงใจได้ยังไงล่ะ” ยอลพูดพลางลงไปนั่งบนพื้นข้างๆ แอล
องค์รัชทายาทเลือกที่จะนั่งรวมกับพวกกระต่ายโดยไม่สนถึงฐานันดร
ทั้งยังยื่นมือไปลูบหัวพวกมันอย่างไม่รู้สึกรังเกียจ “ว่าแต่เจ้าเถอะ
ข้าได้ยินเรื่องมนุษย์.. ทำไมเจ้าไม่เห็นบอกข้าเลยว่าเจ้าพามนุษย์เข้ามา”
“ก็ข้าไม่อยากให้ใครต่อใครแตกตื่น
ข้าก็เลยกะว่าจะให้เขาพำนักอยู่ในบ้านไม่ต้องออกไปไหน แต่ก็จะให้ออกมาช่วยงานบ้างแก้เบื่อ
แต่นี่แอลก็เอาไปรายงานองค์ราชินีแล้ว ป่านนี้พวกทหารคงเฝ้าระวังกันเต็มที่”
“โทษข้าไม่ได้นะ มันเป็นหน้าที่ที่ข้าต้องทำ”
แอลยกมือขึ้นปฏิเสธ “เจ้ามนุษย์นั่นคงทำอะไรพวกเราไม่ได้หรอก เวทย์มนต์ก็ไม่มี
ดีแต่ปากแค่นั้นเอง อีกอย่างเมื่อวันที่ต้องกลับไปยังโลกมนุษย์เช่นเดิม
จุนเองก็คงจะทำการลบความทรงจำเพื่อไม่ให้เขาแพร่งพรายเรื่องของพวกเรา
เช่นนั้นข้าจึงคิดว่าคงไม่มีอะไรน่าห่วง”
“ถ้าพระองค์ตรัสเช่นนั้น กระหม่อมก็ย่อมเห็นด้วย”
“เลิกใช้คำพวกนั้นกับข้าเสียที
รู้จักกันมาเป็นแรมปีแล้วไม่เห็นต้องทางการขนาดนั้น เจ้าเองก็เพื่อนข้านะยอล”
“ขอประทานอภัย แต่ข้าไม่ชินจริงๆ”
“ถ้าต่อไปเจ้ายังพูดอยู่อีก
ข้าจะไม่ให้เจ้ามาติดตามข้ายามไปช่วยเหลือแฟร์รี่ตัวอื่นๆ อีกแล้ว”
“อ่า.. ท.. ทราบแล้ว”
ภูติทั้งสามพากันนั่งเสวนาเรื่องนั้นเรื่องนี้อย่างเรื่องเปื่อยตามประสาคนไม่ค่อยได้เจอกัน
ถึงแม้ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทกัน หากแต่พวกเขาก็มีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ
ด้านแอลนั้นยิ่งแล้วใหญ่ เพราะนอกจากจะต้องสอนหนังสือเด็กๆ
และทำตัวเป็นหมอคอยรักษาชาวเมืองแล้ว ตนเองก็ยังมีงานสำคัญต่างๆ
ที่ต้องคอยติดตามพระมารดาไปทุกแห่งหน ในขณะที่ชานยอลก็ต้องดูแลสวนดอกไม้ในบริเวณของตัวเอง
ทั้งยังต้องรักษาตัวเองที่จู่ๆ ก็ดันมาอ่อนแอเข้าเสียดื้อๆ
ส่วนจุนนั้นก็ต้องยุ่งย่ามอยู่กับการดูแลต้นโอ๊คสีแดง
เตรียมตัวเตรียมใจสำหรับคืนวันฉลอง ดูแลสวนดอกไม้และให้อาหารกระต่ายอยู่ทุกวัน
แม้ตัวจะเป็นแฟร์รี่ หรือจะเรียกว่าอมนุษย์ก็ไม่ปาน
หากแต่ชาวภูติก็ใช้ชีวิตกันดั่งเป็นมนุษย์จริงๆ
มีเวทย์มนต์หากแต่ไม่สามารถใช้ได้อย่างสุรุ่ยสุร่าย
ดินแดนนี้กำหนดข้อบังคับในการใช้เวทย์มนต์ได้เพียง 2 สถานการณ์ หนึ่งคือใช้เพื่อป้องกันตัวยามถูกศัตรูโจมตี
สองคือใช้เพื่อลบความทรงจำของมนุษย์ยามได้พบโดยบังเอิญ
นอกเหนือจากนั้นแล้วก็จะไม่สามารถใช้เวทย์มนต์ทำอะไรได้อีก
จุนใช้เวลาอยู่ข้างนอกจนถึงช่วงบ่าย
นั่นแปลว่าเขากลับมาช้ากว่าที่เคยบอกคริสเอาไว้ว่าจะออกมาข้างนอกแค่ครู่เดียวเท่านั้น
เรียวเท้าเปลือยเปล่าก้าวไปตามบันไดสูงชันของบ้านต้นไม้ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปในบ้าน
บ้านไม้หลังน้อยเงียบสงัดไร้ซึ่งเสียงหรือแม้แต่ความเคลื่อนไหว
จุนจึงใช้สายตาสอดส่องและเดินค้นหาชายร่างสูงให้ทั่วอีกครั้ง
พบว่าไม่มีแม้แต่วี่แววใดๆ
ซึ่งสถานการณ์นี้ทำให้จุนอดที่จะขมวดคิ้วไม่ได้เพราะเขาเองก็นึกไม่ออกเช่นกันว่าท่านนักสำรวจนั้นจะหายไปที่ใดได้บ้าง
หากจะบอกว่าเขาคงกลับโลกมนุษย์ไปแล้วก็ไม่น่าจะใช่
เพราะนี่ไม่ใช่วันพระจันทร์เต็มดวงที่ประตูมิติจะเปิดทางให้เสียหน่อย
“หายไปไหนกันนะ?” เสียงหวานร้องถาม
สายตาเหลือบไปทางซ้ายทีขวาทีด้วยความวุ่นวายใจ ทว่าจุนกลับมองเห็นสิ่งของแปลกประหลาดซึ่งวางอยู่บนปลายเตียง
เด็กหนุ่มจึงเดินไปหยิบมันขึ้นมาไว้ในมือ รูปร่างของมันช่างประหลาดเหลือเกิน
แต่สัมผัสของมันนั้นกลับไม่ได้แปลกออกไปมาก
สิ่งของชิ้นนี้ถูกถักสานขึ้นจากเชือกปอที่จุนขอให้คริสช่วยตากเอาไว้ตรงโคนต้นไม้เมื่อสัปดาห์ก่อน
บัดนี้มันได้แห้งลงพร้อมนำมาใช้งานแล้ว
ซึ่งมันก็ถูกนำมาถักทอร้อยเรียงให้กลายเป็นสิ่งของหน้าตาแปลกประหลาดที่จุนไม่เคยรู้จักมาก่อน
อย่างไรเสียจุนก็ไม่คิดที่จะปล่อยให้สถานการณ์นี้ผ่านตาไปได้ง่ายๆ
เขาถือสิ่งของเอาไว้ในมือก่อนจะรีบวิ่งออกไปจากตัวบ้านและเริ่มออกตามหามนุษย์ผู้นั้นโดยทันที
สองเท้าย่างกรายไปตามสถานที่ต่างๆ
ที่ตนพอจะนึกออกว่าเคยพาคริสไปที่ไหนบ้าง โดยจุนเริ่มจากบริเวณรอบๆ บ้านต้นไม้ก่อน
อาศัยไถ่ถามจากพวกแมลงปอหางสีฟ้าที่คริสเคยจับมาไว้ในกล่องแก้วแต่เจ้าพวกนั้นก็ดันส่ายหน้าและบอกว่าไม่เห็น
เช่นนั้นจุนจึงออกเดินต่อไปยังต้นโอ๊คสีแดงของตน
บริเวณต้นโอ๊คสีแดงนั้นมีคณานางนิมฟ์ปีนขึ้นมานั่งเล่นอยู่ตามลำธาร
จุนเอ่ยปากถามกับพวกนางว่าเห็นคริสผ่านมาแถวนี้หรือไม่
แต่พวกนางก็ส่ายหน้าและปฏิเสธไม่ต่างจากพวกแมลงปอหางสีฟ้าเลย
เพราะอย่างนั้นจุนจึงต้องออกเดินเท้าต่อไปยังทุ่งดอกไม้ของตน เพราะมันคือที่สุดท้ายที่ร่างเล็กเคยพามนุษย์ตนนั้นไปช่วยงานด้วย
เท้าเปล่าเดินเหยียบเศษใบไม้ใบหญ้าจนเปรอะเปื้อนไปหมด
บางทีก็รู้สึกเจ็บเพราะโดนเจ้ากรวดทิ่มเอาจนเผลอกระโดดโหยงเป็นกระต่ายไปเสียได้
เรียวคิ้วเริ่มขมวดแน่นขึ้นเพราะรู้สึกงุ่นง่านเหลือเกิน ไม่รู้ว่าเพราะหงุดหงิดเจ้าก้อนกรวดหรือหงุดหงิดที่ผู้ชายคนนั้นหายไปกันแน่.. และในที่สุดสายตาก็ประจักษ์เห็นใครบางคนกำลังนั่งพิงต้นไม้ใหญ่บนเนินดินอยู่เพียงลำพังท่ามกลางสายลมอ่อนๆ
จุนสาวเท้าก้าวเข้าไปหาเพราะแน่ใจว่านั่นคือคริส
แต่เมื่อเดินเข้าไปใกล้.. จู่ๆ คำบ่นที่ตนอุตส่าห์เตรียมมานั้นก็ดันถูกกลืนหาย
กลับกลายเป็นความรู้สึกโล่งอกโล่งใจเมื่อเห็นว่าเขายังอยู่ตรงนี้
ยังไม่ได้หายไปไหน จุนจึงเลือกที่จะไม่พูดอะไรและยอมนั่งลงข้างๆ
คนที่กำลังผล็อยหลับคอตกอย่างน่าสงสาร
ในมือกลับถือสมุดและดินสอที่ตนพกติดตัวมาจากโลกมนุษย์เอาไว้
มือเล็กตั้งใจจะยื่นไปช่วยประคองศีรษะให้กลับมาตั้งตรงเช่นเดิม
เกรงว่าถ้าต้องนอนท่านี้นานๆ มีหวังคงปวดคอเป็นแน่แท้
จุนจึงพยายามใช้สัมผัสเบามือช่วยประคองช้าๆ
ทว่าคนตัวสูงนั้นกลับรู้สึกตัวเสียก่อนเพราะถูกรบกวนเวลานอน
เขาจึงลืมตาขึ้นมาและสบมองดวงตาสีนิลสวยซึ่งอยู่ในระยะใกล้เอาเสียมากๆ
เมื่อได้สบตาแล้วก็จำต้องเบนหนี
เพราะเจ้ามนุษย์ตัวสูงนั้นยังไม่ลืมว่าตนกำลังงอนเจ้าภูติน้อยอยู่
“ทำไม่มานอนตรงนี้ล่ะ? ที่บ้านก็นอนได้นี่นา”
“เบื่อแล้ว อยากออกมาเดินเล่นบ้าง”
“ข้านึกว่าท่านหายไปไหนเสียอีก.. ตกใจแทบแย่”
เอ่ยบอกด้วยน้ำเสียงหวานหู พยายามส่งรอยยิ้มจางๆ
ให้แม้ว่าคนตัวสูงจะยังไม่ยอมหันกลับมามองก็เถอะ “ท่านเขียนอะไรอยู่หรือ?
ขอข้าดูได้ไหม?”
“ข้าก็วาดรูปแมลงไปทั่วแล้วก็เขียนเรื่องของมันไปเรื่อยเปื่อย
ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอก ลายมือข้าก็แย่ ในสมุดมีแต่ลายเส้นชุ่ยๆ ทั้งนั้น
เจ้าอย่าดูเลย”
“…”
เหตุใดถึงได้งอนนักงอนหนาและงอนได้นานถึงเพียงนี้กัน?
จุนคิดว่าตนนั้นหมดปัญญาจะง้อเจ้ามนุษย์ตนนี้แล้ว
พูดดีด้วยก็ไม่ฟังแถมยังประชดกลับมา ส่งยิ้มให้ก็ยังไม่มอง
นี่น่ะหรือที่คริสบอกว่าชอบจุนนักหนา… ทำไมจุนถึงรู้สึกเหมือนกำลังถูกเกลียดอยู่ก็มิปาน
ไม้ตายสุดท้ายถูกหยิบยกมาใช้
วัตถุแปลกประหลาดสองชิ้นถูกหยิบขึ้นมาวางเอาไว้บนมือที่กำลังแบออก
จุนยื่นมันไปตรงหน้าคริสก่อนจะเอ่ยปากถามถึงมาของสองสิ่งนี้
เพราะมันช่างหน้าตาประหลาด และจุนเองก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไร
ทั้งยังมาวางอยู่บนเตียงนอนของเขาอีก
“นี่ใช่ของท่านหรือเปล่า?”
คราวนี้เจ้ามนุษย์ยอมหันกลับมา
เมื่อเห็นสิ่งของที่อยู่บนมือของจุนแล้วเขาจึงพยักหน้ารับ
“ใช่ ข้าถักให้เจ้า”
“มันคืออะไรหรือ?”
“รองเท้า มันคือรองเท้า.. เจ้าไม่รู้จักหรือไง?”
“…” จุนส่ายหัว
ดวงตากลมสวยใสนั่นทำให้คริสจนปัญญาที่จะวางมาดคนขี้งอนต่อ เขาถอนหายใจเบาๆ
และยอมขยับตัวหันกลับมาคุยกับจุนอย่างที่ควรจะทำเสียตั้งแต่ทีแรก
“มันก็เหมือนกับที่ข้าใส่ออกไปเดินกับเจ้าทุกวัน”
“…”
“ข้าเห็นเจ้าเอาแต่เดินเท้าเปล่า
ลองสังเกตภูติตัวอื่นๆ ว่ามีรองเท้าใส่เหมือนมนุษย์ไหมแต่พวกเขากลับไม่มีเช่นกัน
แต่พวกเขาก็คงจะไม่เคยเดินเหยียบเศษไม้เศษกรวดเช่นเจ้า
เพราะพวกเขาไม่เคยปล่อยให้เท้าสัมผัสดิน”
คริสอธิบายและหยิบรองเท้าข้างหนึ่งมาพินิจอีกครั้งว่าของขวัญชิ้นนี้มีความประณีตพอแล้วหรือยัง
แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะพินิจแล้วพินิจอีกจนมั่นใจพอที่จะวางเอาไว้ให้จุนเห็น
“แต่เจ้าไม่มีปีก เจ้ายังต้องใช้เท้าเดิน
เพราะอย่างนั้นข้าจึงไม่อยากเห็นเจ้าทนเดินเท้าเปล่าอีก
ข้าก็เลยเอาเชือกปอที่ตากไว้มาถักให้
ข้าใช้เวลาตลอดทั้งช่วงเช้าทำออกมาเพื่อให้เจ้าได้ใส่ อาจจะไม่สวยเหมือนของมนุษย์
แต่ข้าหาวัตถุดิบได้เท่านี้จริงๆ”
“แล้วข้าต้องทำอย่างไรกับมันหรือ?”
“ก็สวมเข้าไปกับเท้าเหมือนที่ข้าสวม”
“…”
ได้ยินเช่นนั้นแล้วก็ลองมองที่เท้าของคริสดูบ้าง
เท้านั่นออกจะใหญ่กว่าของจุนเป็นไหนๆ ออกจะเหมือนเท้ายักษ์ด้วยซ้ำ
ยิ่งมีรองเท้าขนาดใหญ่มาสวมทับยิ่งทำให้ดูใหญ่
แต่เมื่อจุนได้ลองเรียนรู้จากการมองดูแล้ว เขาจึงใส่รองเท้าข้างที่เหลืออยู่ในมือลงกับเท้าของตัวเองดูบ้าง
ทว่ายังไม่ทันจะได้สวมก็ดันถูกมือหนารั้งเอาไว้เสียก่อน
“เฮ้ๆ จะใส่ลงไปทั้งอย่างนั้นเลยหรือไง?
เท้าเจ้าไปหยิบอะไรต่อมิอะไรมาจนเลอะไปหมด ถ้าใส่ลงไปแบบนั้นรองเท้าข้าต้องเละแน่ๆ
อีกอย่างนั่นมันข้างซ้ายแต่เจ้ากลับจะเอาสวมลงไปบนเท้าข้างขวา… มันผิดข้างนะแบบนั้น
ข้างซ้ายก็ต้องสวมกับเท้าซ้าย ข้างขวาก็ต้องสวมกับเท้าขวา”
“…”
“มา ข้าจะสอนให้”
ว่าแล้วก็ต้องเป็นคนตัวสูงที่ต้องเป็นคนสอนวิธีใส่รองเท้าให้กับเจ้าภูติน้อย
ผ้าเช็ดหน้าผืนสีน้ำตาลในกระเป๋ากางเกงถูกหยิบออกมาสะบัดให้คลี่ออก
ก่อนที่คริสจะใช้มันบรรจงเช็ดเท้าของจุนให้สะอาดมากพอเท่าที่จะทำได้แล้วจึงจัดการสวมรองเท้าให้ร่างเล็กทีละข้าง
“เรียบร้อยแล้ว”
“ขอบใจ มันน่ารักมากๆ เลยล่ะ”
“ชอบอย่างนั้นหรือ?”
“ใช่ มันดูเหมาะกับเท้าของข้ามาก
ตั้งแต่เกิดมาข้าไม่เคยเห็นอะไรประหลาดๆ แบบนี้มาก่อน
แถมมันยังสามารถใช้งานได้จริงด้วย ข้าชอบมากเลยล่ะ”
“ก็ดีแล้ว แต่ถ้ามันแน่นเกินไปก็บอกนะ
ข้าจะแก้ให้ เพราะถ้าฝืนใส่ไปมันจะทำให้เจ้าเจ็บเท้ายิ่งกว่าเดิม”
“อื้อ เข้าใจแล้วล่ะ”
จุนพยักหน้าและส่งรอยยิ้มไปให้กับชายที่ยังคงมองหน้าเขาอยู่
คนตัวเล็กเหยียดขาออกก่อนจะขยับส่ายเท้าไปมาอย่างสนุกสนาน
จากนั้นจึงลุกขึ้นยืนและรองเดินไปรอบๆ ต้นไม้ใหญ่
พบว่ารองเท้าของคริสช่างแสนนุ่มและใส่สบายเหลือเกิน
เมื่อได้ลองรองเท้าใหม่จนหนำใจแล้วจุนจึงกลับมานั่งกับคริสเช่นเดิมก่อนจะตัดสินใจเอ่ยถามในสิ่งที่ตนสงสัย
“ท่านโกรธข้า แต่ทำไมถึงยังถักรองเท้าให้ข้าล่ะ?”
“ข้าไม่ได้โกรธ”
“ไม่ได้โกรธหรือ?
แต่ท่านเงียบใส่ข้าตั้งแต่เมื่อคืนเลยนะ”
“เรื่องเมื่อคืนน่ะหายโกรธแล้ว แต่.. แต่ข้าแค่หงุดหงิดกับเรื่องวันนี้
ข้าหงุดหงิดที่เห็นเจ้าไปเที่ยวเล่นข้างนอกสองต่อสอง
เจ้าบอกจะไปแค่แป๊บเดียวแต่เจ้าก็ยังไม่ยอมกลับมาเสียที
มันยิ่งทำให้ข้าหงุดหงิดยิ่งกว่าเดิม”
“งั้นข้าขอโทษได้ไหม?
คราวหลังจะไม่ผิดคำพูดอีกแล้ว แล้วก็จะไม่หยอกล้อท่านแรงๆ แบบนั้นด้วย”
“…”
“ข้าขอโทษนะท่านคริส”
“ช่างเถอะ ข้าไม่ติดใจอะไรแล้ว
เพราะอย่างน้อยท้ายที่สุดเจ้าก็กลับมาหาข้า เอาเป็นว่าพวกเราลืมมันไปเถอะนะ
ข้าเองก็ต้องขอโทษที่ทำตัวเป็นเด็กไม่ยอมพูดไม่ยอมจากับเจ้า”
“ข้าไม่โกรธเลย งั้นเราสองคนลืมมันไปก็แล้วกันนะ”
“อืม” คริสพยักหน้าเบาๆ
ยามนี้หัวใจของเขากลับมาเต้นระรัวอีกครั้ง
สายลมอ่อนหวานพัดโบกมาปะทะกับร่างของเขาทั้งสอง ทำให้ผมสีแดงของจุนปลิวมาบดบังแก้มสีสวยนิดหน่อย
แต่เช่นนั้นคริสก็กลับรู้สึกไม่ชอบใจเท่าไหร่
เขาจึงยื่นมือไปเกลี่ยปอยผมสีแดงให้ยกขึ้นไปทัดหู
พอได้เห็นเด็กหนุ่มทำผมทัดหูเช่นนี้แล้วก็แปลกตาไปอีกแบบจนอดเผยรอยยิ้มออกมาไม่ได้
“เอ่อ.. คือข้าจะไปเล่นน้ำตกที่ท้ายเมืองนิดหน่อย
ท่านอยากไปกับข้าไหม?”
“น้ำตกหรือ?”
“อือ”
“เอาสิ ข้าอยากเล่นน้ำตกกับเจ้า”
ดูเหมือนว่าเจ้ามนุษย์จอมเจ้าเล่ห์ได้หวนกลับคืนมาแล้ว
ทันทีที่ถูกชวนให้ไปลงเล่นน้ำตกด้วยกัน ความคิดประหลาดปนประหลาดก็ผุดขึ้นมาในหัว
จุนแทบไม่รู้ตัวว่ารอยยิ้มของคริสนั้นแฝงไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมมากมาย การที่ร่างเล็กชวนคนอย่างคริสไปเล่นน้ำตกด้วยกันนั้นเสมือนการยื่นเนื้อเข้าปากเสือก็ไม่ปาน
เช่นนั้นจึงรอดูชะตากรรมของเจ้าภูติตัวน้อยได้เลย
“ท่านต้องหันไปก่อน
ข้าจะได้ถอดชุดแล้วก็จะได้ลงน้ำก่อนท่าน”
“ก็ลงพร้อมกันสิ เกิดเจ้าลื่นถลาไปจะทำยังไงล่ะ?”
“แต่ข้าไม่อยากลงพร้อมท่าน”
“จะอายอะไรเล่า?
เราสองคนก็เป็นผู้ชายเหมือนกันนะ”
“ท่านไม่อายแต่ข้าอายนี่นา หันไปเดี๋ยวนี้เลยนะ
ไม่งั้นข้าก็ไม่เล่นและจะกลับบ้านเสียเดี๋ยวนี้”
“อ่ะๆ ข้าหันแล้วก็ได้ สาบานว่าจะไม่แอบมอง”
“ก็ลองแอบมองดูสิ”
“จะดีหรือ? นี่เจ้าอยากให้ข้าลองแอบมองดูจริงๆ
หรือ?”
“ท่านนี่ประสารทจริง! พอหายโกรธข้าก็พูดจายียวนกวนอารมณ์ข้าเลยนะ”
“ฮ่าๆ ไม่เอา
ไม่เสียงดังสิแม่แฟร์รี่ตัวน้อยของข้า”
มนุษย์นี่ช่างเรื่องเยอะอย่างที่เขาว่ากันจริงๆ
โดยเฉพาะเจ้ามนุษย์ตัวสูงนี่ที่ชอบทำจุนหัวเสียอยู่บ่อยๆ พวกเขาใช้เวลาในการตกลงกันว่าใครจะลงน้ำก่อนกันอยู่หลายนาที
เหตุผลหลักของจุนคือเขาเขินอายในร่างกายของตน
ไม่เคยมีใครได้เห็นเรือนร่างนี้มาตั้งแต่เขาอายุ 6 ขวบปี
อีกเหตุผลหนึ่งที่จุนรู้สึกเป็นกังวลอย่างมากก็คือรอยแผลเป็นที่หลัง
รอยแผลเป็นเป็นขีดยาวสองขีดจากบนลงล่างเป็นสิ่งที่จุนไม่เคยเผยให้ใครต่อใครเห็น
มันคือร่องรอยของปีกที่จุนเคยมีเมื่อตอนเด็กๆ
แต่เมื่อต้องก้มหน้ารับโทษตามพ่อกับแม่
ราชินีแบล็คแฟร์รี่จึงสาปให้เด็กน้อยกลายเป็นแฟร์รี่ปีกหัก จากที่เคยมีปีกสีฟ้ามรกตเลื่อมระยิบระยับแสนสวย
ยิ่งน่าหลงใหลขึ้นไปอีกในยามกลางคืนเพราะปีกสีเลื่อมนั้นกลับหยอกล้อกับแสงของพระจันทร์จนได้เห็นสีม่วงแซมออกมา
ปีกของจุนจึงทำให้ใครๆ ต่างอิจฉาและเฝ้าฝันว่าจะได้ปีกเช่นเจ้าภูติน้อยตัวนี้บ้าง
แต่ยามนี้ปีกนั้นที่เคยเป็นที่อิจฉากลับถูกแปรเปลี่ยนให้กุดหาย
เหลือร่องรอยเอาไว้แต่แผลเป็นเพื่อย้ำเตือนถึงเรื่องชั่วร้ายในอดีตที่พ่อแม่ของตนเคยทำ
จุนจึงรู้สึกอายที่จะต้องเผยมันให้คริสเห็นถึงร่องรอยพวกนี้
ในที่สุดเจ้าภูติตัวเล็กก็จัดการกับเสื้อผ้าของตัวเองจนหมดเรียบร้อย
เด็กหนุ่มไม่ลืมที่จะถอดรองเท้าที่คริสให้เป็นของขวัญและวางมันเอาไว้บนโขดหิน
ขาเล็กพาร่างขาวเนียนสวยลงไปสัมผัสกับไอเย็นของน้ำ
เสียงน้ำตกกระทบผืนน้ำในบ่อกว้างดังก้องอยู่ในหูของคริส
เขาเฝ้ารอว่าเมื่อไหร่กันจุนจึงจะบอกให้เขาหันไป
“ข้าเสร็จแล้ว” เมื่อได้ยินดังนั้น
คริสจึงคลายมือซึ่งเท้าเอวเอาไว้ก่อนจะหันไปมองร่างเล็กเจ้าของเรือนผมสีแดงดั่งเชอร์รี่
จุนรอเขาอยู่ในสระเรียบร้อยแล้ว เหลือก็แต่ตัวเขาเองที่ยังมีอาภรณ์ครบทุกตัว
เช่นนั้นคริสจึงจัดการกับเสื้อผ้าของตัวเองบ้าง
เขามองเห็นจุนหันหนีไปทางอื่นนิดหน่อยซึ่งเป็นจังหวะเดียวกันกับตอนที่เจ้าผีเสื้อตัวน้อยเพื่อนของจุนบินมาเกาะบนเรียวนิ้วสวย
จุนจึงเลือกที่จะสนใจเจ้าผีเสื้อแทนที่จะหันมามองคริสแทน
แต่เป็นเพราะตนเอาแต่สนใจผีเสื้อขาวหางริ้ว
จึงไม่รู้ว่าอสูรร้ายกำลังจู่โจมมาจากทางด้านหลัง
รู้ตัวอีกทีก็ถูกแขนแกร่งโอบล็อกเอวบางเสียแล้ว จุนในยามนี้ดูเหมือนไม่ใช่ภูติต้นไม้น่ารักอีกต่อไป
แต่กลับเหมือนแม่นางไม้ในตำราที่มีร่างกายงดงามเย้ายวนตา
ชวนให้กอดหอมและยากที่จะละออก
“โอ้ย! นี่ท่าน!...”
“มัวแต่เล่นกับเจ้าผีเสื้อ ไม่สนใจข้าเลยสักนิด”
“ก็ท่านกำลังถอด.. เปลี่ยนเสื้อผ้า
จะให้ข้าหันไปจ้องหรือไง?”
“จะจ้องก็ได้นะ ข้าชอบ”
“บ้า! ท่านน่ะบ้าที่สุด! เป็นคนที่พิลึกที่สุดเท่าที่ข้าเคยเห็นมาเลย”
“ข้ายอมรับว่าข้าอาจจะพิลึก
ข้ายอมให้เจ้าต่อว่าเช่นนั้นแลกกับการได้อยู่ใกล้ๆ เจ้าไปเรื่อยๆ”
“…”
นี่เขาโดนท่านมนุษย์แกล้งอีกแล้วหรืออย่างไร?
คำพูดสองแง่สองง่ามถูกส่งมาทำให้ร่างเล็กต้องรู้สึกร้อนไปทั้งตัวและใบหน้า
ซึ่งเขาไม่ชอบอาการนี้เอาเสียเลย
มันทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกไฟลนให้อ่อนไหวจนแทบละลาย
ยิ่งแทบจะยืนไม่อยู่ยามถูกจ้องหน้าหรือถูกจู่โจมในระยะใกล้ขนาดนี้
จะใช้เวทย์มนต์มาเสกให้เจ้ามนุษย์กระเด็นไปไกลๆ ก็เห็นจะทำไม่ได้
เพราะเจ้ามนุษย์ไม่ได้กำลังจู่โจมจะทำร้ายร่างกายอะไรแบบนั้น เขาก็แค่.. จู่โจมเพื่อทำให้จุนอ่อนใจก็เท่านั้น
ยามเนื้อถูกแนบด้วยเนื้อ
มันเป็นมัสผัสที่ทำให้จุนไม่คุ้นชินเท่าไหร่
ออกจะทำให้เขาตัวแข็งจนไม่กล้าขยับด้วยซ้ำ ดวงตาพยายามจะหันไปสบมองเพื่อขอร้องให้ร่างสูงปล่อย
แต่เมื่อหันก็ดันเจอกับสายตาคมคายซึ่งอยู่ห่างถัดไปเพียงไม่ถึงคืบ
เช่นนั้นจึงจำต้องหลบตาหนีไปอีกทางแล้วใช้เสียงร้องบอกแทน
“ปล่อยข้าได้แล้วท่านคริส
ข้าอยากไปว่ายน้ำเล่นแล้ว” จุนพูดในขณะที่กำลังพยายามจะรั้งตัวออกไป
ทว่าคนที่กำลังกอดเขาอยู่กลับไม่สนใจแต่อย่างใด
“นี่ใช่รอยปีกของเจ้าหรือไม่?”
“…”
“ที่ข้าเคยบอกว่ายังดีที่ราชินีไว้ชีวิตเจ้า
ข้าขอเปลี่ยนคำพูดได้ไหม? รอยนี่มันช่างโหดร้ายเหลือเกิน”
“มันไม่ได้โหดร้ายขนาดนั้นหรอก
ข้าอยู่กับมันมาจนชินแล้ว”
“มันเจ็บหรือเปล่า?
ตอนที่โดนสาปให้ปีกของเจ้าหายไป”
“ไม่รู้สิ ข้ายังเด็กมาก จำอะไรไม่ได้หรอก”
จุนตอบเสียงเบา น้ำเสียงออกจากสั่นเครือนิดหน่อยหากแต่ร่างสูงนั้นไม่ทันได้สังเกต
ยิ่งไปกว่านั้นคือการที่คริสยืนกอดจุนอยู่ข้างหลังทำให้เขาไม่เห็นว่าดวงตาของจุนกำลังเคล้าหยดน้ำใสจวนจะร้องไห้
“แต่แอลบอกข้าว่าตอนนั้นข้ากรีดร้องเสียงดังจนบางคนในเมืองก็ทนไม่ไหวเผลอร้องไห้ตาม
แอลเองก็เป็นหนึ่งในนั้น”
“ให้ตายเถอะ.. เจ้าคงจะทรมานมาก
ตอนนั้นเจ้าเองก็ยังเด็ก.. ข้าจินตนาการไม่ออกเลยว่าเจ้าจะเจ็บขนาดไหน”
“ข้าจำความรู้สึกนั้นไม่ได้แล้วล่ะ”
อันที่จริงจุนจำมันได้ขึ้นใจ
เขาจำได้ว่าตัวเองกรีดร้องเสียงดังขนาดไหน ดิ้นพล่านทุรนทุรายอยู่บนพื้นนานขนาดไหน
ทั้งยังร้องไห้ใจแทบขาดตายเมื่อเห็นพ่อและแม่ของตัวเองถูกไปสำเร็จโทษโดยไม่มีคำเอ่ยลา
หลังจากนั้นจุนก็ต้องใช้ชีวิตอย่างเดียวดายมาตลอด ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพียงลำพังเพราะไม่มีพ่อแม่คอยอยู่ข้างกายอีกต่อไปแล้ว
ในช่วงแรกของชีวิตนั้นยากลำบากมากเหลือเกินกว่าจะก้าวผ่านแต่ละวันไปได้
โชคยังดีที่ราชินีบลูแฟร์รี่นึกสงสารเมตตา
เพราะนางเองก็เห็นจุนเป็นเพื่อนเล่นแอลมาตั้งแต่เกิด
หลังจากอ้อนวอนขอให้ราชินีแบล็คแฟร์รี่ไว้ชีวิตจุนเอาไว้ได้สำเร็จ
นางจึงเมตตาส่งคนในวังมาช่วยดูแลจุนจนร่างเล็กสามารถโตพอที่จะช่วยเหลือตัวเองได้
ยามเห็นแววตาเศร้าซึมของเด็กน้อยที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรกลับยิ่งปวดใจ
จึงได้แต่กำชับองค์รัชทายาทว่าอย่าปล่อยให้จุนโดดเดี่ยว
ขณะเดียวกันจุนเองก็ได้พบกับยอล – แฟร์รี่ลูกครึ่งที่มีเลือดวายร้ายไหลอยู่ในกาย
ยามคนทั้งสองไม่ปริปากใดๆ
ปล่อยให้เสียงของน้ำตกกังผ่านโสตประสาทไปเรื่อยๆ
คริสเลือกที่จะใช้มือลูบไปตามแผลเป็นซึ่งเป็นทางยาวจากปีกหลังไปจนถึงเอว
ก่อนจะก้มลงไปใช้ริมฝีปากสัมผัสกับรอยแผลพวกนั้นอย่างเบาบางจนจุนต้องหันไปเหลือบมองด้วยความเอะใจ
“ต่อไปนี้ข้าจะไม่ให้ใครมาทำร้ายเจ้าให้ต้องเจ็บปวดแบบนี้อีกแล้ว
ข้าจะปกป้องเจ้าเองภูติน้อย”
“…” จุนยังคงเงียบเสียงเช่นเดิม
ในหัวของเขามีสิ่งต่างๆ ไหลเวียนมาให้คิดจนวุ่นวายใจไปหมด
ขณะเดียวกันอ้อมแขนของคริสก็กระชับแน่นขึ้นก่อนที่คางมนจะเลื่อนมาเกยไหล่ของร่างเล็กเอาไว้
“เจ้าผีเสื้อบินไปไหนเสียแล้วล่ะ?”
“นางบินหนีไปตั้งแต่ตอนที่ท่านเอาแขนมารัดข้าแล้ว”
“เขาเรียกว่ากอดต่างหาก”
“ภาษาบ้านข้า – ถ้าอีกฝ่ายยังไม่ได้กอดตอบ
นั่นไม่ถือว่าเป็นการกอด”
“อ่า.. งั้นหรอ?”
ริมฝีปากของคนด้านหลังยกยิ้มนิดหน่อย
ใช้สายตาจู่โจมคนตัวเล็กอีกครั้งจนจุนต้องหันหนีอีกรอบ
แต่ด้วยเลือดเจ้าเล่ห์ซึ่งข้นอยู่ในจิตใจ
ทำให้คริสเลือกที่จะคลายกอดออกนิดหน่อยพลางดึงให้จุนหันมาประชันหน้ากัน เล่ห์ร้ายพาลให้คริสแกล้งหยอกเย้าจุนด้วยกันอุ้มคนตัวเล็กให้ลอยหวือจากผืนน้ำจนจุนต้องรีบคว้ามือเกาะไหล่ร่างสูงเอาไว้ทันทีเพราะกลัวจะไหลตกลงไป
“ท่าน! ทำอะไรของท่านเนี่ยปล่อยข้านะ!”
“ห้ามดิ้นเชียวนะ ไม่งั้นเขาจะกอดแน่นกว่าเดิม”
“แล้วท่านจะอุ้มข้าขึ้นมาทำไมกันเล่า!?
ปล่อยเดี๋ยวนี้ถ้าไม่อยากให้ข้าเรียกพวกนางนิมฟ์ออกมา”
“ใจเย็นก่อนเจ้าภูติน้อย ข้าไม่ได้มีเจตนาจะแกล้งเจ้าเสียหน่อย”
คริสแก้ตัวทั้งๆ ที่แขนของเขายังโอบอุ้มกายเล็กเอาไว้โดยไม่คิดจะปล่อย “วันนี้ข้าขอขึ้นไปนอนบนเตียงกับเจ้าได้ไหม?”
“…” รอบนี้จุนหลบตาหนีอีกครั้ง
พยายามจะหันหนีไปทางอื่นแต่เพราะคริสรู้ดีว่าถ้าปล่อยให้จุนเมินเฉยเขาคงไม่ได้สิ่งที่ตนร้องขออย่างแน่นอน
เขาจึงตัดสินใจปล่อยให้เท้าของจุนสัมผัสกับหินด้านล่างอีกครั้ง มือหนาจึงเลื่อนขึ้นมาประคองแก้มสวยที่กำลังผลิสีแดงระเรื่อออกมาราวกุหลาบที่กำลังผลิบานสะพรั่ง
เด็กหนุ่มจึงไม่สามารถพาสายตาหลบหนีไปที่ใดได้อีก “งั้นข้าขอฟังเหตุผลดีๆ
สักสามข้อที่จะทำให้ข้ายอมให้ท่านขึ้นมานอนด้วยกัน”
“อ่า..” คริสระบายยิ้มออกมาอย่างเบาบาง
แต่มันกลับเป็นรอยยิ้มที่ทำให้จุนเผลอยิ้มตามไปด้วย “หนึ่ง ข้าอยากกอดเจ้า”
“...”
“สอง ข้าอยากกอดเจ้า”
“…”
“สาม ข้าอยากกอดเจ้า”
“ขี้โกงอีกแล้วนะท่าน
เหตุผลของท่านน่ะยังไม่เพียงพอที่จะทำให้ข้าใจอ่อนเลยสักนิด
ยังไงวันนี้ท่านก็ต้องนอนที่เดิมของท่าน” จุนส่ายหัว
ในขณะที่คริสเผลอกรอกตานิดหน่อยเพราะเขากำลังถูกจุนแกล้ง
แต่ร่างสูงก็ยังแอบมีรอยยิ้มเล็กๆ
ประดับบนใบหน้าพลางมองเจ้าภูติน้อยซึ่งแสดงแววตาซุกซนออกมา
“งั้นเจ้าอยากได้อีกเหตุผลหนึ่งไหมล่ะ? ข้ารับรองว่าเหตุผลนี้คงมีน้ำหนักพอที่จะทำให้เจ้าใจอ่อนยอมให้ข้าขึ้นไปนอนกอดเจ้าทั้งคืนแน่นอน”
“ยังจะมีเหตุผลอะไรอีกสำหรับคนเจ้าเล่ห์อย่างท่าน
ท่านน่ะ.. อื้อ!..”
เสียงคำต่อล้อต่อกลอนถูกดับลงอย่างทันควันเมื่อเจ้ามนุษย์บังอาจประทับริมฝีปากของตนลงบนริมฝีปากของเจ้าแฟร์รี่ตัวขาว
โลกทั้งใบของจุนหยุดหมุน
รู้สึกได้เพียงแค่ริมฝีปากของร่างสูงที่กำลังละเลียดชิมความหวานจากเขาโดยไม่คิดจะปล่อย
เป็นอีกครั้งที่ใบหน้าของจุนร้อนผ่าว ร้อนจนแทบละลาย
บทจะพูดจาอ้างนู่นอ้างนี่กลับถูกกลืนหายไปโดยไม่สามารถตามกลับคืนมาได้ ยิ่งไปกว่านั้นร่างเล็กกลับเคลิบเคลิ้มหลงใหลในสัมผัสจากชายร่างสูงอย่างไร้ข้อกังขา
กลายเป็นว่าเปลือกตาสีมุกนั้นยอมปิดลงเพื่อรับสัมผัสนุ่มนวลจากร่างสูงแต่โดยดี
“เหตุผลนี้พอจะใช้ได้ไหม?”
“อ.. อืม..”
สายลมยามเย็นพัดผ่านต้นไม้ใบหญ้าให้ปลิวไสว
เจ้าดอกแมกโนเลียเอนโยกไปตามแรงลม ชายทั้งสองยังคงไม่ออกห่างจากกัน
กระทั่งเจ้ามนุษย์ได้โลมชิมน้ำหวานจนสมใจอยาก เขาจึงปล่อยเอวบางให้เป็นอิสระ
ขยับกายหนีไปทางเพื่อให้เจ้าภูติต้นไม้ละเลาะเล่นกับชายน้ำท่ามกลางแมกไม้และแสงแดดจากตะวันที่กำลังอ่อนแรงลง
ยามผีเสื้อบินมาเกาะทักทาย
เจ้าภูติต้นไม้ก็มักจะขยับกายขึ้นไปนั่งบนโขดหินและปล่อยให้เจ้ากลุ่มผีเสื้อมาเกาะอยู่บนเรียวนิ้วอย่างคุ้นชิน
รอยยิ้มสดใสปรากฏทุกครั้งที่ได้ฟังคำเอ่ยหยอกเย้าจากผีเสือ
แม้คริสจะไม่รู้ว่าเจ้าภูติต้นไม้กำลังสื่อสารสิ่งใดอยู่กับพวกผีเสื้อ
แต่ภาพนี้ช่างน่ามองจนไม่อยากจะละสายตา ยามร่างเล็กหันกลับมาเพื่อให้คริสลองมาทำความรู้จักกับเจ้าผีเสื้อด้วยกัน
ร่างสูงก็เดินเข้าไปซ้อนหลังคนที่นั่งอยู่บนโขดหอนก่อนจะหยัดกายขึ้นไปนั่งเล่นด้วย
เมื่อเจ้าผีเสื้อกลางวันจากไปแล้ว คนทั้งคู่จึงพากันลงมาเล่นน้ำต่อ
ปล่อยให้สายน้ำเย็นไหลผ่านกายอย่างชื่นอุรา ผู้เป็นมนุษย์เลือกที่จะพาดแขนไปกับขอบสระและมองดูเจ้าภูติต้นไม้แหวกว่ายไปทั่วสระ
เรือนกายอ้อนแอ้นพลิ้วไหวอย่างมิอาจจะละสายตาไปได้ โชคยังดีที่ส่วนสำคัญกลางลำตัวของเจ้าภูติน้อยยังมีผ้าปิดบังเอาไว้
ไม่อย่างนั้นคริสคงได้ปะทุอารมณ์ต่างๆ ออกมา เพราะเท่าที่เห็น.. เม็ดบัวสีชมพูบนแผ่นอกก็ทำให้คริสแทบจะเป็นบ้าอยู่รอมร่อ
to be continued..
อ่านตรงนี้สักนิด
@mmangmoom
: สวัสดีค่ะ มาลงฟิคเรื่องใหม่สนองนี๊ดตัวเองล้วนๆ รอบนี้พี่แอลเป็นพระรองจ้าาา 55555 ยากฝุดๆ ไปเลยกับการแต่งแนวแฟนตาซีเนี่ย
รายละเอียดยิบย่อยเยอะอีกแล้ว
เยอะจนต้องไปหาหนังสือมาอ่านเพราะมีความสับสนในเรื่องของแฟร์รี่เหลือเกิน แถมยังต้องกลับไปย้อนดู
Once Upon a Time อีก โอ่ยยย ตอนแรกเราจะเขียนแบบ AU
THAI ด้วย แบบอยู่ในป่าหิมพานต์งี้
สรุปต้องข้ามเพราะข้อมูลไม่แน่นพอ เรียนมานานเกินค่ะ ลืมไปหมดแล้ววววว
อย่างที่บอกค่ะ เรื่องนี้ไม่เหมาะกับที่ชอบอะไรแบบแฟนตาซีจ๋า
เพราะมันจะมีบางอย่างที่ทำให้เรารู้สึกเอ๊ะ แปลกจัง.. อะไรแบบนี้
บางอย่างอ่านแล้วอาจจะรู้สึกจั๊กจี้ เพราะอย่างนั้นถ้าไม่ได้ prefer แนวนี้ก็ไม่เป็นไรค่า ข้ามเลยก็ได้ฮับ
ปล.ขอโทษที่มาลงช้าไปหนึ่งวันนะฮับ เราไม่มั่นใจในรายละเอียดต่างๆ ก็เลยต้องตัดสินใจยังไม่ลง วันนี้ลองมานั่งอ่านอีกทีกว่าจะตัดสินใจลงได้ก็นานเหมือนกัน 5555555555 แต่สุดท้ายก็ได้มาลงจนได้ค่ะ
ปล2. 3 ตอนจบนะงับ อย่าเพิ่งเบื่อกันล่ะ
ปล3. Mpreg เด้อข่าาา
ปล4. ไม่มีแท็กค่ะ เพราะมีแค่ 3 ตอน คงจะไม่มีใครไปสกรีม 555555555555555555555555555
ปล5. เข้ามาแก้ใหม่ค่ะ ความเบลอทำให้เราเปิด word ผิดไฟล์แล้วก็อปลงมาทั้งไฟล์เลย ซึ่งมันเป็นเนื้อเรื่องที่ยังไม่สมบูรณ์แถยังมีเนื้อหาของตอน 2 อยู่ด้วย TTOTT ร้องไห้แป๊บ.. ใครที่ได้อ่านแล้วก็ยินดีด้วยนะคะ ส่วนใครที่มาไม่ทันไม่ต้องเสียใจค่ะ ยังไงเราก็มาต่ออยู่แล้วและจะมาอัพวันอังคารนี้ค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ
ความคิดเห็น