ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) KRiSHO FICTION by MMANGMOOM

    ลำดับตอนที่ #136 : ♡ Time Lapse (End)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 637
      25
      20 พ.ค. 61

    Time Lapse
    Kris x Suho









    Other Songs
    ♡ Timeless - NCT U

    ♡ When would it be - 윤현상,IU





    (ตอนนี้ยาวมากๆ ค่ะ จะลองแบ่งอ่านเอาก็ได้นะคะ)










    “แน่ใจนะว่าจะไม่ให้ผมไปส่งที่สนามบิน?”

    “ถ้านายไปส่ง.. มีหวังฉันได้ยกเลิกตารางงานแล้วมานอนกอดนายแทนแน่ๆ”

    “ฮ่าๆ เด็กน้อยชะมัดเลยคุณเนี่ย”

     

    ขณะนี้เป็นเวลา 3 ทุ่มตรง คิมจุนมยอนกอดกายหนาเอาไว้แน่นก่อนจะเขย่งปลายเท้าจูบแก้มชายร่างสูงเป็นการบอกลาก่อนจะต้องส่งเขาไปทำงานที่ต่างประเทศเป็นเวลา 10 วัน คริสจึงส่งรอยยิ้มให้หลังจากที่เขาจูบจุนมยอนคืนไปอีกหนึ่งครั้ง ด้านหน้าประตูทางออกจากอาคารสูงแห่งนี้มีรถยนต์คันสีดำจอดเทียบอยู่โดยมีซูฮยอก เลขาหนุ่มคนเดิมกำลังยืนรอเจ้านายของเขา

     

    “ดูแลตัวเองด้วยนะ จะเข้ามานอนที่นี่ก็ได้ถ้านายเบื่อห้องนั่น อย่างน้อยก็จะได้มาใช้ครัวทำอาหารกินเองบ้าง ไม่ใช่กินแต่รามยอนหรือไม่ก็อาหารเวฟ ร่างกายนายมันจะแย่เอา”

    “เข้าใจแล้ว แต่ถ้าผมทำครัวคุณไหม้ล่ะก็ผมไม่รับผิดชอบหรอกนะ”

    “นายได้รับผิดชอบแน่ แต่ต้องจ่ายฉันด้วยตัวของนาย”

    “ทะลึ่งอีกแล้ว” จุนมยอนหัวเราะ เขาจูงมือร่างสูงเดินไปที่รถคันสีดำที่กำลังจอดรออยู่ก่อนจะส่งรอยยิ้มให้ซูฮยอก คุณเลขาจึงเปิดประตูให้กับเจ้านายของเขาก่อนที่คริสจะก้าวขึ้นไปนั่งบนรถและรับเสื้อโค้ทตัวยาวมาจากจุนมยอน “ห้ามป่วยนะฮะ ถ้านอนไม่หลับเมื่อไหร่ก็โทรหาผมได้ตลอดเลยนะ”

    “อืม ฉันเอายามาแล้วคงไม่น่ามีปัญหาอะไร” คริสพยักหน้า “ไปนะ เจอกันสัปดาห์หน้า”

    “ครับ.. ฝากด้วยนะครับคุณซูฮยอก”

    “ไม่มีปัญหาครับคุณจุนมยอน”

     

    ประตูรถถูกปิดลง ซูฮยอกเองก็รีบอ้อมไปทำหน้าที่สารถีประจำตัวของคริสทันที ไม่นานรถคันสีดำก็เคลื่อนตัวออกไปจากโถงของคอนโดสูงระฟ้าโดยมีจุนมยอนคอยมองตาม กระทั่งรถนั่นไปไกลลับจากสายตา เด็กหนุ่มจึงเดินกลับเข้ามาในตัวอาคารและกดลิฟท์ไปยังชั้นสูงสุดของตึกนี้ทันที

    วันนี้เป็นที่คริสจะต้องบินไปทำงานที่ประเทศเยอรมันนี อันที่จริงร่างสูงอยากให้จุนมยอนไปด้วยกันด้วยซ้ำ เขาบอกให้ซูฮยอกทำทุกวิถีทางเพื่อให้จุนมยอนได้วีซ่ามาเพื่อที่จะได้ติดตามคริสไปด้วยกัน ด้วยความที่ร่างสูงเริ่มจะขาดจุนมยอนไม่ได้ เขาจึงพยายามคะยั้นคะยอให้เด็กหนุ่มไปด้วยกันให้ได้ แต่โชคร้ายที่จุนมยอนไม่สามารถลางานที่คาเฟ่ต์ติดต่อกันเป็นระยะเวลาหลายวันได้ อีกทั้งฤดูการสอบไฟนอลก็จะมีขึ้นในวันพฤหัสนี้แล้ว จุนมยอนจึงปฏิเสธที่จะไปกับคริสตลอดเวลาที่เขาเอ่ยปาก

    แน่นอนว่าเด็กหนุ่มก็เป็นห่วงร่างสูงอยู่เหมือนกัน เขารู้ดีว่าคริสเริ่มจะขาดเขาไม่ได้เพราะตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาหลังจากจุนมยอนรู้เรื่องอาการป่วยของคริสทั้งหมด คริสก็แทบไม่กลับมาที่เพ้นท์เฮ้าส์เลย เขาไปค้างที่ห้องของจุนมยอนทุกคืน กอดร่างของเด็กหนุ่มเอาไว้ตลอดทั้งคืนบนเตียงแคบๆ เขายอมอุดอู้อยู่ในห้องเล็กๆ เพียงเพราะต้องการอยู่กับจุนมยอนเท่านั้น

    ยิ่งไปกว่านั้น จุนมยอนกลัวว่าคริสอาจจะทำงานหนักจนได้พักผ่อนน้อยเกินไป เพราะพักหลังมานี้คริสบอกว่าเขาหลับยากลงทุกคืน ถ้าไม่พึ่งยาก็จะตาค้างไปอีกหลายชั่วโมง รู้ตัวอีกทีนาฬิกาก็ชี้ไปยังเลข 4 ซึ่งคริสต้องตื่นตอน 6 โมงเช้าเป็นประจำทุกวันเพราะมีงานที่บริษัทรออยู่เป็นตั้ง เช่นนั้นการนอน 2 ชั่วโมงจึงทำลายสุขภาพของคริสในช่วงนี้พอสมควร จุนมยอนจึงกังวลเกี่ยวกับเรื่องการพักผ่อนของร่างสูงมากจนถึงขั้นย้ำเตือนให้คริสห้ามลืมยาคลายเครียดทุกวัน

    จะว่าไปพอไม่มีคริสอยู่ด้วยแล้วเพ้นท์เฮ้าส์นี่ก็เงียบลงอย่างผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด จากที่มักจะเคยได้ยินเสียงภาพยนตร์เก่าๆ ที่ร่างสูงมักจะชอบเปิดดูเป็นประจำ กลับกลายเป็นว่าจุนมยอนคงต้องอยู่กับความเงียบต่อไปอีก 10 วัน เขาคงเหงาแย่.. ซึ่งคริสเองก็คงมีสภาพไม่ต่างจากจุนมยอนเท่าไหร่นัก

     

     

    ไม่ทันไรก็คิดถึงเสียแล้ว..

     

    - - - - - - - - - - - - - - -

     

    ในที่สุดวันนี้คยองซูก็ได้ไปกินเนื้อย่างกับจุนมยอนเสียที หลังจากผิดนัดกันมาหลายครั้งคราวนี้คยองซูยื่นคำขาดว่าถ้าจุนมยอนไม่ไป เพื่อนตาโตจะงอนไปทั้งชีวิต จุนมยอนจึงหัวเราะออกมาและรีบรับปากเพื่อนทันที เมื่อเด็กหนุ่มทั้งสองทำงานในร้านกาแฟเสร็จแล้วพวกเขาจึงพากันเร่งฝีเท้าไปยังแหล่งช็อปปิ้งยามค่ำคืนในทันที ไม่ทันไรก็ได้เข้ามานั่งในร้านเนื้อย่างสมใจอยาก ทั้งสองต่างหิวโซไม่แพ้กันเพราะเรียนหนักมาทั้งวันแถมยังต้องมาทำงานพิเศษต่ออีก เช่นนั้นแล้วพวกเขาจึงไม่รอช้าที่จะย่างเนื้อกันอย่างรวดเร็ว

     

    “อร่อยชะมัด เราสั่งเพิ่มเถอะนะ”

    “กินถาดนั้นให้หมดก่อนเถอะจุนมยอน เดี๋ยวนี้โดนคุณคริสสปอยล์จนกลายเป็นเด็กตะกละไปแล้วเหรอ?”

    “เราเปล่าซะหน่อย แล้วคุณคริสก็ไม่ได้สปอยล์เราด้วย”

    “แหนะ” คยองซูยิ้มอย่างมีเลศนัย เขาแกล้งเพื่อนตัวขาวด้วยการคีบเนื้อที่จุนมยอนย่างเอาไว้มาใส่ในจานของตัวเองจนคนตรงข้ามเผลอทำหน้ายุ่งใส่เพราะถูกขโมยเนื้อไป

    “คยองซู!

    “ว่าไงเหรอ?”

    “อย่าแย่งเนื้อเราสิ!

    “อ้าว ก็นึกว่าย่างให้เลยคีบมา โทษๆ” คยองซูหัวเราะจนเห็นริมฝีปากรูปหัวใจของเขา ซึ่งจุนมยอนเองก็ยังคงทำปากยื่นไม่พอใจอยู่เหมือนเดิม แต่คยองซูนั้นสนใจที่ไหนล่ะ “นายดูแฮปปี้ขึ้นมากๆ เลยนะตั้งแต่ได้มาเจอคุณคริส”

    “ก็คงอย่างนั้น.. อย่างน้อยก็ไม่ต้องกลับไปทำงานพวกนั้นอีกแล้ว คุณคริสสั่งห้ามเด็ดขาดแถมยังเอาแต่พูดว่าเขาเลี้ยงเราได้ แต่ก็นะ.. เราแทบไม่แตะเงินคุณคริสเลยนอกจากเวลาที่เขาอยากพาไปกินข้าวนอกบ้าน เราก็อยากจะจ่ายคืนให้นะ แต่ร้านที่คุณคริสเลือกน่ะแพงทุกร้านเลย”

    “ก็แน่ล่ะ บ้านเขาไฮโซจะตาย.. เขาคงชินกับร้านหรูๆ มากกว่ากินข้างทาง อย่างน้อยบรรยากาศในร้านมันก็ดีกว่าเป็นร้อยเท่า ทั้งสงบ คนไม่พลุกพล่าน มีมารยาท ไม่มีพวกขี้เมา”

    “แต่ตอนนี้เรากำลังชวนเขาเข้าร้านปกติอยู่เพราะเราเองก็ทำตัวไม่ถูกเวลาไปร้านหรู คุณคริสเองก็ดูจะโอเคนะ นี่เราก็กะว่าจะชวนมากินร้านนี้ดูหลังจากที่เขากลับมาจากต่างประเทศ”

    “ก็ลองดูสิ เผื่อเขาอาจจะชอบก็ได้ ร้านนี้ก็ไม่เลวนะ”

    “อื้ม” จุนมยอนพยักหน้า

     

    จุนมยอนตัดสินใจเล่าเรื่องของคริสให้คยองซูฟังหลังจากที่เขาเบี้ยวนัดคยองซูคราวที่แล้ว ทีแรกคยองซูเองก็ตกใจเหมือนกันที่ได้ยินว่ามีคนมาชอบเพื่อนของเขา ทั้งยังมีดีกรีเป็นนักธุรกิจหมื่นล้านที่มาจากตระกูลดัง ในขณะที่เพื่อนของเขาเป็นแค่เด็กมหาวิทยาลัยธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น พวกเขาทั้งสองคนดูไม่น่าจะโคจรมาเจอกันได้ แต่ทุกอย่างมันเกิดขึ้นแล้ว พวกเขาต่อกันเร็ว แถมคริสยังติดจุนมยอนเหลือเกิน คยองซูเห็นว่าเขาโทรหาจุนมยอนเช้า บ่าย เย็นไม่เคยขาด นิสัยเหล่านี้จึงทำให้คยองซูพอจะเบาใจขึ้นมาได้บ้างว่าเพื่อนของเขาไม่ได้มีสถานะเป็นแค่ ของเล่นไฮโซ

     

    “อะแฮ่ม! หวัดดีจุนมยอน”

    “คุณจงอิน”

     

    ขณะที่เด็กหนุ่มทั้งสองกำลังสำราญอยู่กับเนื้อย่าง จู่ๆ ก็ดันมีชายร่างสูงในชุดสูทเดินเข้ามาทักจุนมยอนในขณะที่มือทั้งสองยังล้วงอยู่ในกระเป๋ากางเกง เขาส่งยิ้มให้ร่างเล็ก ในขณะที่คิมจุนมยอนเอ่ยทักเขาด้วยดวงตาโตและกระพุงแก้มที่เต็มไปด้วยผักกับเนื้อ

     

    “ขอนั่งด้วยได้ไหม? ถ้าฉันต้องนั่งคนเดียวมันจะแปลกๆ น่ะ”

    “ได้สิครับ เชิญเลย”

    “นั่งข้างนายแบบนี้นี่.. ไอ้คริสคงไม่ด่านะ” จงอินพูดและขยับไปนั่งข้างกันกับจุนมยอน

    “ไม่หรอกครับ คุณคริสไม่ได้มาด้วยเพราะเขาไปทำงานที่ต่างประเทศ ผมมากับเพื่อนแค่สองคนเท่านั้น”

    “ฉันรู้แล้วล่ะ ฉันฝากมันหิ้วรองเท้ามาให้อยู่ ไม่รู้ว่าคนอย่างมันจะไปหามาให้ได้หรือเปล่า? ยิ่งไม่เก่งเรื่องรองเท้ากีฬาซะด้วย”

    “น่าจะหาได้อยู่มั้งครับ”

    “อืม” จงอินพยักหน้า “อ้อ.. ขอโทษที ฉันมัวแต่คุยกับจุนมยอนเพลินไปหน่อย ยินดีที่ได้รู้จักนะ ฉันคิมจงอิน ส่วนนาย..

    “คยองซูครับ โดคยองซู ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”

    “อืม” จงอินหยักหน้าอีกหนและส่งรอยยิ้มให้อย่างเป็นมิตรก่อนที่เขาจะหันไปพูดอะไรบางอย่างกับจุนมยอนที่ทำให้คยองซูรู้สึกร้อนผ่าวที่หน้าขึ้นมาทันที “ไม่ยักรู้ว่ามีเพื่อนน่ารักขนาดนี้”

    “แต่นิสัยไม่ค่อยน่ารักเท่าไหร่หรอก ชอบแย่งของกินไปจากผม อ๊า! เจ็บ..

    “พูดจาไม่น่ารักเลยจุนมยอน ฉันเคยแย่งนายที่ไหน”

    “งืออ ฟ้องคุณคริสแน่!” จุนมยอนลูบหน้าผากตัวเองป้อยๆ เพราะถูกคยองซูเคาะหน้าผากด้วยตะเกียบ นั่นทำให้จงอินตกใจแต่ก็หัวเราะเสียงดังออกมา แน่นอนว่าเขาเคยพบกับจุนมยอนหลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่จงอินได้เห็นมุมน่ารักของเด็กหนุ่มเวลาอยู่กับเพื่อน

     

    จุนมยอนเป็นเด็กน่ารัก..

     

    “คุณมาคนเดียวเหรอครับ?” เป็นคยองซูที่เอ่ยปากถามโดยไม่สนใจว่าจุนมยอนกำลังวุ่นวายอยู่กับหน้าผากของเขาไม่หยุด

    “ใช่ ฉันเห็นพวกนายจากข้างนอกก็เลยเดินเข้ามา พอดียังไม่ได้กินมื้อเย็นมาด้วยก็เลยถือโอกาสมานั่งด้วยซะเลย”

    “แต่นี่มันจะ 4 ทุ่มแล้วนะครับ คุณอดมาได้ยังไงกันตั้งหลายชั่วโมง”

    “คนทำงานหนักก็จะเป็นแบบนี้ล่ะ กินนอนไม่ค่อยเป็นเวลาเท่าไหร่.. โตไปอย่าเป็นเจ้าของบริษัทนะถ้าทำได้ สุขภาพโคตรแย่เลยจะบอกให้”

    “พอกันกับคุณคริสเลยครับ ทั้งต้องบิน ต้องเคลียร์งานจนดึกดื่น แถมบางทีก็ไม่ทานมื้อเช้า ยิ่งตอนนี้คุณคริสนอนไม่ค่อยหลับด้วย ผมกลัวว่าวันนึงเขาจะทรุดไปจังเลย”

    “แต่มันมีนายไม่ใช่เหรอ? ได้ข่าวว่าห่างกันไม่ค่อยจะได้เลยหนิ” จงอินระบายยิ้มออกมาพลางเท้าคางมองเด็กหนุ่ม สายตาของเขาหวานหยาดเยิ้มพอสมควร คงเป็นเพราะจงอินรู้จักบริหารเสน่ห์ เขาจึงใช้สายตาหวานๆ นั่นกับคนอื่นไปทั่วไม่เว้นแม้กระทั่งกับจุนมยอน

    “คุณคริสต่างหากที่ติดผม”

    “นายก็ติดเขาเหมือนกันนั่นล่ะ คุณจงอินครับ.. หมอนี่ไปนอนบ้านคุณคริสทุกวันเลยครับ”

    “จริงเหรอเนี่ย?”

    “ก็คุณคริสเขาชวน”

    “อะไรๆ ก็คุณคริส.. คุณคริสอย่างนั้น คุณคริสอย่างนี้ ฉันชักเบื่อชื่อนี้แล้วสิจุนมยอน” คยองซูกลอกตา ทำเอาร่างสูงซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามเขาหัวเราะเสียงดังอีกครั้ง จงอินเห็นใบหน้าจุนมยอนซึ่งประดับไปด้วยริ้วแดงจากความเขินอาย เด็กหนุ่มพยายามยัดเนื้อย่างเข้าปากเพื่อกลบเกลื่อนความเคอะเขินนั่นหลังจากโดนเพื่อนแฉความจริง

     

    เห็นแล้วก็อดไม่ได้ที่จะมีความสุขตามไปด้วย..

     

    วันนี้จงอินไม่ได้หิวเนื้อย่าง เขาเลี่ยงอาหารปิ้งย่างมาได้สองปีแล้วเนื่องจากต้องการที่จะรักษาสุขภาพ แต่เขาเข้ามาในร้านเพื่อมาเช็คดูว่าจุนมยอนยังมีความสุขดีอยู่หรือเปล่า และแน่นอนว่าสิ่งที่เขาเห็นนั้นคือคำตอบที่ชัดเจน จงอินดีใจที่ได้เห็นคนตัวเล็กมีความสุขกับเพื่อนของเขาขนาดนั้น เพื่อนของเขาเองก็มีความสุขกับจุนมยอนมากเช่นกัน พวกเขาคือความสุขของกันและกันและไม่ต้องการให้ใครมาพรากมันไป แต่ดูเหมือนนิยายแสนหวานจำเป็นจะต้องจบลงแล้วในตอนนี้

     

    เพราะการ์ดงานแต่งงานได้ถูกร่อนมาส่งถึงห้องทำงานของจงอินเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

     

    จงอินรู้.. รู้ว่าอนาคตข้างหน้าจะมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง รู้แม้กระทั่งใครบ้างที่จะต้องเสียน้ำตา และไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่รู้เรื่องงานแต่งงานปิดหนี้ของตระกูล แต่เลย์เองก็รู้เรื่องนี้เช่นกัน พวกเขาสองคนได้แต่ภาวนาขอให้จุนมยอนกับคริสเลิกกันไวๆ เพราะถ้ายิ่งเลิกกันได้เร็วเมื่อไหร่ ความเจ็บปวดจะยิ่งน้อยลงเพราะไม่มีใครถลำลึกไปกับความสุขที่เกิดขึ้น แต่ตอนนี้ทุกอย่างกำลังกลับตาลปัตร.. เพราะคริสไม่ยอมปล่อยมือจุนมยอน จุนมยอนเองก็มีความสุขมากกับความรักครั้งนี้

    ช่วงสัปดาห์ก่อนที่คริสจะโดนส่งตัวไปยังสถานบำบัดใหม่ คริสมาปรึกษาพวกเขาถึงหนทางที่จะไม่ทำจุนมยอนต้องหายไปจากชีวิต ซึ่งพวกเขาพบว่ามันไม่มีทางใดเลยที่จะรั้งจุนมยอนเอาไว้ได้ ทั้งเลย์และจงอินต่างลงความเห็นว่ายังไงพวกเขาก็ต้องเลิกกันและต้องเลิกกันภายในสัปดาห์นี้ เพราะชุดเจ้าบ่าวถูกเตรียมพร้อมเอาไว้แล้ว สัญญาสมรสก็ถูกเตรียมเอาไว้แล้วเช่นกัน อีกทั้งเรือนหอและสินสมรสต่างๆ ก็ถูกจัดเอาไว้หมดแล้ว เหลือแค่รอให้คริสไปลองชุดและเดินเข้างานอย่างเดียว

    ดังนั้นนี่จึงเป็นเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คริสมีอาการเครียดหนักขึ้นจนนอนไม่หลับ เพราะเขาต้องโกหกและปิดบังจุนมยอนอยู่ตลอดเวลา ยิ่งเวลานั้นใกล้เข้ามาแค่ไหน คริสก็ยิ่งเครียดมากขึ้นเท่านั้น

     

    “จุนมยอน หลังจากกินมื้อนี้เสร็จแล้วเดี๋ยวฉันไปส่งนะ นายด้วยคยองซู พวกนายจะได้ไม่ต้องเสียค่ารถไฟกลับอีก”

    “ไม่เป็นไรดีกว่าครับ เดี๋ยวผมกลับเองก็ได้” คยองซูเอ่ยด้วยความเกรงใจ

    “ผมก็เหมือนกัน คุณจงอินควรกลับไปพักผ่อนนะครับ”

    “ไม่เป็นไร ไปด้วยกันนี่ล่ะ” จงอินส่งรอยยิ้มบางกลับไปให้คนทั้งสอง เขาตัดบทคยองซูกับจุนมยอนด้วยการทานอาหารต่อไปโดยไม่คิดจะถกเถียงเรื่องวิธีการเดินทางกลับบ้านอีก โดยที่เด็กหนุ่ทั้งสองก็ยังคงมองหน้ากันด้วยความงุนงง

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “ขอบคุณที่มาส่งนะฮะ” จุนมยอนโค้งให้กับคนที่ทำหน้าที่เป็นสารถีของเขาในวันนี้พลางส่งยิ้มให้ ก่อนที่เด็กหนุ่มหยิบกระเป๋าบนตักขึ้นมาสะพาย วันนี้จุนมยอนกลับมานอนที่ห้องเช่าเล็กเพราะพรุ่งนี้เขามีเรียนแต่เช้า เขาไม่อยากเสียเวลาในการเดินทาง เช่นนั้นแล้วเพ้นท์เฮ้าส์ของคริสจึงไม่ใช่ตัวเลือกของวันนี้ “ขับรถปลอดภัยนะครับ”

    “จุนมยอน”

    “ครับ? มีอะไรหรือเปล่า?”

    “คือ..

    “นายรักเพื่อนฉันมากเลยเหรอ? ทำไมถึงได้รักมันขนาดนั้นล่ะ?”

    “ทำไมอยู่ดีๆ ก็ถามขึ้นมาล่ะครับ?”

    “แค่อยากรู้น่ะ”

    “ทำไมนายถึงไม่ลองมองคนอื่นที่เขาสมบูรณ์แบบกว่านี้ ไม่ใช่คนที่มีชนักติดหลังแบบนั้น”

    “คุณจงอิน.. ทำไมพูดแบบนี้ล่ะครับ? ถ้าคุณคริสมาได้ยินเขาอาจจะเสียใจมากเลยก็ได้นะ คุณเป็นเพื่อนเขาแต่ทำไมถึงพูด.. พูดจาทำร้ายเขาแบบนี้..

    ” จงอินใช้ลิ้นดุนกระพุงแก้ม ปล่อยมือออกจากพวงมาลัยรถพลางเบนสายตาหนีไปที่อื่นเพื่อคิดคำพูดที่ดีกว่านี้ เขาไม่ได้ตั้งใจจะว่าเพื่อนตัวเองแบบนั้น แต่มันคือความจริงที่คริสมีความผิดติดตัว และดูเหมือนว่าจะเป็นความผิดอันใหญ่หลวงเสียด้วย

    “ผมรู้ว่าคุณคริสไม่ได้เหมือนคนอื่น ผมรู้ว่าเขาเป็นยังไง เขามีรสนิยมแบบไหน และอะไรที่ทำให้เขาเป็นแบบนั้น แต่ผมไม่สนใจสิ่งเหล่านั้นเพราะมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรครับ เขาก็แค่เป็นโรคซึมเศร้าแล้วก็ชอบเซ็กส์แบบรุนแรง แต่เขาก็เข้าพบจิตแพทย์ทุกอาทิตย์เพื่อรักษาให้มันหาย เขาพยายามทำตัวเป็นคนปกติและอยากจะหายจากอาการพวกนี้ไวๆ เพื่อผม”

    “คุณคริสทำเพื่อผมทุกอย่าง แล้วทำไมผมต้อง.. ไปมองคนอื่นด้วยล่ะครับ? ในเมื่อคนที่เพอร์เฟ็คที่สุดยืนอยู่ตรงนี้กับผมแล้ว เขาไม่สนใจด้วยซ้ำว่าผมจะเคยทำงานอะไรมา เละเทะแค่ไหน เคยนอนกับใครมาบ้าง แถมผมยังเป็นพวกเห็นเงินเป็นพระเจ้า แต่เขาก็ไม่เคยระแวงเลยว่าจะโดนผมหลอกเอาเงินหรือเปล่า”

    “คุณคริสให้ผมทุกอย่างเท่าที่เขาจะให้ได้” จุนมยอนหันไปตอบร่างสูงพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ ราวกับเขาภูมิใจในตัวของคริสมาก ในขณะที่สายตาของจงอินนั้นเต็มไปด้วยความไม่เข้าใจและขุ่นเคืองสุดขีด

    “มันไม่ใช่เรื่องนั้นจุนมยอน เรื่องจิตใจของไอ้คริสน่ะฉันรู้ว่านายรับได้ แต่มันมีอีก

     

    ครืด.. ครืด..

     

    ขณะที่บรรยากาศในรถกำลังจะแปรเปลี่ยน แต่จู่ๆ โทรศัพท์ของจุนมยอนก็กลับดังขึ้นมาก่อน บนหน้าจอปรากฏชื่อของชายร่างสูงที่เด็กน้อยคิดถึงมาหลายชั่วโมงและรอให้เขาโทรมาตลอดทั้งวัน เมื่อสายสำคัญโทรเข้ามาแล้ว จุนมยอนจึงต้องบอกลาจงอิน

     

    “อย่ารับ”

    “เรายังคุยกันไม่จบ”

    “คงไม่ได้หรอกครับคุณจงอิน ผมขอโทษด้วยแต่คุณคริสกำลังรอผม”

    “ขอบคุณที่มาส่งผมกับเพื่อนอีกครั้งนะครับ ไว้เจอกันใหม่นะ ขับรถดีๆ นะฮะ”

     

    จุนมยอนปิดประตูรถและจงอินทำได้แค่นั่งมองอยู่ข้างใน เขาเห็นเด็กหนุ่มกดรับโทรศัพท์และเดินคุยไปเรื่อยๆ พร้อมกับยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หยุด ความคิดถึงของคนทั้งสองคงมีมากจนไม่สามารถบรรยายได้ ไม่ต่างอะไรกับความกังวลของจงอินในตอนนี้ ที่เขาอยากจะบอกให้จุนมยอนรับรู้ก็คือเรื่องที่คริสจะแต่งงาน แน่นอนว่าเขาไม่อยากเข้าไปเอี่ยวกับเรื่องที่ไม่ใช่ธุระของตน แต่.. ยิ่งมองเห็นความสดใสในตัวจุนมยอนทีไร เขากลับยิ่งรู้สึกสงสารจุนมยอนมากเท่านั้น เขาอยากให้จุนมยอนหลุดพ้นจากเรื่องพวกนี้อย่างไม่เจ็บปวดจึงคิดหาทางช่วย แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ทันเสียแล้ว..

     

    - - - - - - - - - - - - - - -

     

    เยอรมันนี 10:42 PM.

    งานสำรวจเครื่องจักรรุ่นใหม่เป็นไปตามเป้าหมายที่คริสวางแผนไว้ตั้งแต่ก่อนจะมา เขาเซ็นเช็คและสัญญาสั่งซื้อเครื่องจักรใหม่ไปมากกว่าหลายพันล้านวอน การประชุมและการทานมื้อค่ำที่โรงแรมหรูในกลางเมืองก็เสร็จสิ้นโดยไม่มีการต่อเวลา คริสไม่แตะแอลกอฮอล์แม้แต่แก้วเดียวเพราะเขาตั้งใจจะตัดขาดจากมัน เหลือก็เพียงแค่เจ้าบุหรี่ยี่ห้อดังที่เจ้าตัวยังคงเลิกสูบไม่ได้ มันเป็นตัวช่วยอีกทางหนึ่งที่ทำให้คริสผ่อนคลายรองจากการใช้ยาที่แพทย์สั่งมาให้

    แต่สิ่งที่ทำให้ร่างสูงผ่อนคลายได้มากที่สุดก็เห็นจะเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาน่ารักที่อยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ของคริสมาตลอดหลายเดือน จุนมยอนคือยาคลายเครียดชั้นดี ทานได้ทุกครั้งที่ต้องการ ไม่มีวันหมดอายุ ไม่มีผลข้างเคียง เพียงแต่ต้องเก็บรักษาเอาไว้ให้ดีเพราะยาตัวนี้มีมูลค่ามากพอสมควร

    ตั้งแต่รองเท้าหนัง TOMFORD คู่เก่งแตะบนพื้นประเทศเยอรมันนี ไม่มีนาทีไหนที่ร่างสูงจะไม่คิดถึงเด็กน้อยของเขา กลิ่นกายหอมราวกับดอกไม้เมืองหนาว สัมผัสนุ่มบนแก้ม เสียงหวานที่คอยปลุกให้เขาตื่นทุกเช้า ทั้งหมดนี้คือความคิดถึงที่ร่างสูงโหยหามาตลอด 6 วัน และยังเหลืออีก 4 วันกว่าจะได้กลับไปฟัดแก้มเด็กคนนั้นให้หนำใจ การพูดคุยผ่านทางโทรศัพท์ก็พอจะบรรเทาอาการคิดถึงได้บ้าง แต่อย่างไรเสียคริสก็แทบจะอดใจรอวันสุดท้ายของการอยู่ที่นี่แทบไม่ไหว

     

    ครืด.. ครืด..

     

    ขณะที่ร่างสูงกำลังถอดเครื่องแต่งกายราคาแพงของเขาออก โทรศัพท์เครื่องบางก็สั่นเตือน เรียกให้คนที่กำลังปลดกระดุมเสื้ออยู่ต้องเดินไปหยิบมารับ คราแรกร่างสูงนึกว่าคนที่โทรมาอาจจะเป็นจุนมยอน แต่พอมองชื่อบนหน้าจออีกที.. มันกลับเป็นชื่อของว่าที่เจ้าสาวของเขา

     

    “ว่าไงฮเยริน”

    “พี่คะ งานเสร็จหรือยัง? คุยได้หรือเปล่าคะ?”

    “เรียบร้อยแล้วล่ะ ว่ามาเลย”

    “หนูจะโทรมาบอกว่าสัญญาที่เราช่วยกันทำเสร็จหมดแล้วนะคะ เหลือแค่เราต้องเซ็นเท่านั้น สรุปก็คือเราจะแต่งงานกันแค่ปีเดียวแล้วหลังจากนั้นเราก็จะหย่ากัน หลังวันแต่งงานพี่ต้องเซ็นเช็คใช้หนี้ของคุณป้าก่อนครึ่งหนึ่ง หรือถ้าพี่จะเปลี่ยนจำนวนก็ได้นะคะ แก้ตอนนี้ก็ยังทัน”

    “ครึ่งหนึ่งนั่นล่ะฮเยริน ทำบุญครั้งสุดท้ายก็ต้องทำให้หนักหน่อย ที่เหลือพี่จะให้แม่พี่ชดใช้ด้วยเงินของเธอเอง”

    “ก็ได้ค่ะ แล้วก็พอหลังจากที่พี่เซ็นเช็คแล้ว พอครบ 1 ปีและถึงวันเซ็นใบหย่าเมื่อไหร่พี่จะเซ็นมอบบริษัทอสังหาริมทรัพย์ให้ฉันคนเดียว คนอื่นจะไม่มีสิทธิ์ได้แทรกแซงหรือเข้ามาเกี่ยวข้องอีก ถูกต้องตามนี้ไหมคะ?”

    “ถูกแล้วล่ะ เธอจำตรงนี้เอาไว้ให้ดีๆ นะ อย่าให้ใครเข้ามาแทรกแซงไม่ว่าพวกเขาจะเคยใจดีกับเธอขนาดไหน โดยเฉพาะแม่ของพี่ เป็นผู้บริหารแล้วต้องรู้จักใจร้ายให้เป็น เพราะถ้าเธอใจอ่อนเมื่อไหร่เธอจะแพ้เกมทันที”

    “ยากจังเลยค่ะพี่ หนูไม่รู้ว่าหนูจะทำได้ไหม.. แม่หนูเธอยิ่งโน้มน้าวคนเก่งเสียด้วยสิ”

    “ไม่ต้องกังวลนะ ตราบใดที่พี่ยังอยู่พี่ก็จะช่วยเธอไปเรื่อยๆ”

    “แล้วพี่แน่ใจเหรอคะว่าจะปล่อยให้คุณป้ากับสามีของเธอคุมบริษัทนี้ต่อไปอีก 1 ปีจนถึงวันที่เราหย่ากัน พี่ไม่กลัวว่าจะมีการยักยอกหรืออะไรแบบนี้บ้างเหรอคะ? เพราะครั้งที่แล้วที่พี่ลงไปตรวจสอบบริษัทลูก.. มันก็มาจากฝีมือของคนพวกนั้นไม่ใช่เหรอคะ?”

    “พี่มีแผนสำรองน่ะ ตอนนี้มีมือขวาของพี่คอยตรวจสอบบัญชีอยู่ ถ้ามีความไม่ชอบมาพากลเมื่อไหร่พี่จะเรียกตำรวจทันที แต่ตอนนี้จะปล่อยให้คุมไปก่อนจะได้ตายใจ.. ถึงวันหย่าเมื่อไหร่พี่ยึดคืนหมดแน่ๆ แต่เธอต้องรักษามันเอาไว้ดีๆ อย่างที่พี่ย้ำมาตลอด” คริสตอบปลายสาย “อย่างอื่นล่ะ มีอะไรเพิ่มเติมอีกไหม?”

    “ก็มีเรื่องสินสอดกับเรือนหอค่ะ ทุกอย่างตกเป็นของหนูหมดตามที่พี่ร่างเอาไว้ ส่วนเรื่องมีลูกก็จะเป็นไปตามที่เราเคยคุยกันว่าจะไม่มี”

    “อ่า.. เธอโอเคใช่ไหมกับเรื่องลูกน่ะ? คือถ้าจะมีพี่ก็..

    “ไม่เป็นไรค่ะ หนูว่าไม่มีนั่นล่ะดีแล้ว เพราะถ้ามี.. มีหวังลูกเราได้ตกเป็นเครื่องมือของคนหิวเงินในครอบครัวเราแน่นอน”

    “โอเค งั้นก็เอาตามนี้ล่ะ ขอบคุณมากๆ นะฮเยรินที่ช่วยเป็นธุระให้ แล้วก็ขอโทษด้วยที่บ้านพี่ทำให้ชีวิตของเธอวุ่นวาย ต้องมาตกระกำลำบากกับคนไม่ดีในบ้านพี่ พี่รู้สึกระอายที่ไม่สามารถปฏิเสธการแต่งงานได้ พี่ขอโทษจริงๆ”

    “ไม่เป็นไรค่ะพี่ ความจริงเรื่องนี้พี่ไม่ผิดนะคะ มันเกิดขึ้นจากความละโมบของบ้านเราทั้งคู่ นอกจากโลภมากแล้วก็ยังหน้าบางด้วย กลัวบริษัทจะเจ๊ง กลัวเรื่องหนี้จะแดงจนต้องมาลำบากพวกเรา แต่หนูแค่คิดว่าถ้าเรารีบช่วยกันตอนนี้มันอาจจะดีในระยะยาว รีบเช็ดรีบแก้มันจะได้จบๆ”

    “พี่อายเหลือเกินที่มีแม่แบบนี้.. จริงๆ นะฮเยริน พี่พยายามจะไม่พูดคำนี้เพราะรู้ว่ามันเป็นบาปที่หนัก พระเจ้าคงอยากพาพี่ลงนรก แต่พี่อายจริงๆ”

    “ช่างมันเถอะนะคะ ตอนนี้พี่อยู่ห่างเขาได้ก็อยู่ไปก่อน หนูเชื่อว่าหลังจากที่เราแต่งงานกันแล้วทุกอย่างมันคงดีขึ้นเอง พอหมดหนี้แล้วแม่พี่เขาก็คงไม่มายุ่งกับพี่อีก”

    “รู้ไหม.. ถ้าเจ้าสาวของพี่ไม่ใช่เธอ พี่คงแย่แน่ๆ”

    “พูดไปนั่น ฮ่าๆ ถ้าไม่ใช่พี่หนูก็คงหนีไปไกลแล้ว จริงๆ ตอนนั้นหนูมีโอกาสหนีนะ หนูอยู่สวิตเซอร์แลนด์ กำลังจะเรียนต่อ ถ้าหนีไปอยู่เมืองเล็กๆ ที่ไม่มีใครตามเจอหนูก็คงไม่ต้องมาแต่งงาน แต่นี่เป็นพี่หนูถึงยอม เพราะพี่ดีกับหนูมาตลอดไงพี่คริส”

     

    อีก 2 สัปดาห์จะมีงานแต่งงานเกิดขึ้นที่สวนสวยซึ่งประดับประดาไปด้วยต้นไม้ร่มรื่นและดอกไม้นานาพันธุ์ มันดูเหมือนจะเป็นงานแต่งงานท่ามกลางความสุขที่ใครหลายๆ คนใฝ่ฝัน แต่ไม่ใช่กับบ่าวสาวคู่นี้ เพราะคริสและฮเยรินไม่เคยรักกัน พวกเขานับถือกันในแบบพี่น้องมาตลอดตั้งแต่คริสเริ่มเรียนมหาวิทยาลัย นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเขาจึงต้องช่วยกันร่างสัญญายกทรัพย์สินกันลับหลังพ่อและแม่ของทั้งสองฝ่าย

    เหตุผลของการแต่งงานนั้นมีอยู่ไม่กี่ประการ ประการแรกคือเพื่อความพอใจของพ่อแม่ ประการที่สองคือพวกเขาต้องการจะดัดนิสัยคนหิวเงินในครอบครัว ที่พากันเข้าบ่อนและลงทุนกิจการต่างๆ อย่างไม่มีความรู้จนทำให้ขาดทุนและมีหนี้ตามมามากมาย ทั้งสองบ้านจึงต้องจัดงานแต่งงานขึ้นเพื่อผนวกบริษัทเข้าด้วยกัน หวังให้คริสและฮเยรินเข้ามาช่วยกันจัดการเพื่อล้างหนี้ให้และทำให้บริษัทกลับมามั่นคงเหมือนเดิม หารู้ไม่ว่ากำลังถูกลูกสาวและลูกชายเข้าซ้อนแผนอยู่

    แผนของคนทั้งคู่คือคริสตั้งใจจะบริหารบริษัทให้กลับมาคงที่เหมือนเดิมภายใน 1 ปี หลังจากหย่ากับฮเยรินแล้วเขาจะยึดทุกอย่างมาจากแม่และส่งมอบให้ฮเยรินดูแล รวมไปถึงการถอดชื่อคนที่เขาไม่ต้องการให้เข้ามาเกี่ยวข้องออกทั้งหมด ดังนั้นทรัพย์สินจะตกเป็นของฮเยรินแต่เพียงผู้เดียว

    ยังมีรายละเอียดอีกมากมายภายในสัญญาที่คริสกับฮเยรินช่วยกันร่างขึ้นมา ซึ่งตัวสัญญาเองก็เสร็จสมบูรณ์ครบทุกอย่าง เหลือก็แค่คริสต้องกลับไปเซ็นหลังวันแต่งงาน เมื่อแต่งงานกันแล้วพวกเขาจะใช้ชีวิตกันแบบคู่รักจอมปลอมเพื่อสนองความต้องการของพ่อกับแม่ ครบ 1 ปีเมื่อไหร่พวกเขาจะหย่ากันทันทีและต่างฝ่ายก็จะกลับไปใช้ชีวิตตามที่เคยต้องการ ซึ่งคริสก็จะไม่ไว้หน้าใครอีกแล้วนับจากนั้น เขาไม่สนพวกหัวหงอกหัวดำทั้งหลาย ไม่สนด้วยซ้ำว่ามันจะตกเป็นข่าวดังขนาดไหน และความต้องการสูงสุดของคริสก็คือการลาออกจากการเป็นลูกของคุณนายคนนั้นเสียที

     

    “ขอบใจที่ยังนึกถึงกัน พี่เกือบลืมไปแล้วเราเคยทำอะไรกันบ้างเพราะในหัวของพี่มีเรื่องมากมาย”

    “เรื่องคุณจุนมยอนใช่ไหมล่ะคะ?”

    “พี่ยังไม่บอกคุณจุนมยอนอีกเหรอ?”

    “พี่คริส.. ทำไมทำแบบนี้ล่ะ? อีกแค่ 2 อาทิตย์ก็จะถึงวันงานแล้วนะ”

    “มันยากเหลือเกินฮเยริน พี่หมดหนทาง.. จนปัญญา.. เห็นจุนมยอนมีความสุขทีไรพี่ก็จะไม่กล้าทุกที ขนาดเรื่องโรคที่พี่เป็นอยู่พี่ยังไม่กล้าบอกจนจุนมยอนมารู้เอง”

    “แล้วพี่ไม่กลัวว่าครั้งนี้เขาจะมารู้เองบ้างเหรอคะ? นี่มันเรื่องใหญ่มากกว่าโรคซึมเศร้าอีกนะพี่คริส พี่ไม่ควรปล่อยเอาไว้ขนาดนี้”

    “พี่กำลังพยายามอยู่ คิดว่าหลังจากกลับไปก็คงจะบอก”

    “ยังไงก็ต้องบอกนะคะ อย่าปล่อยเอาไว้เลย”

    “อืม”

    “พี่คะ หนูลืมบอก.. กลับมาแล้วพี่ต้องไปลองชุดเจ้าบ่าวนะคะ เดี๋ยวหนูจะส่งรายละเอียดให้อีกที”

    “ขอบใจมาก ไว้ให้พี่พักแล้วหายเหนื่อยเมื่อไหร่จะไปหาก็แล้วกัน”

    “ค่ะ งั้นหนูวางนะคะ ไปพักผ่อนเถอะ”

     

    คริสยกมือขึ้นนวดขมับทันทีที่เขากดวางโทรศัพท์จากฮเยริน ดูเหมือนว่าคืนนี้เขาจะต้องใช้ยานอนหลับอีกแล้วเพราะความกลัววิตกกังวลต่างๆ เริ่มจะลุกลาม

    งานแต่งงานถูกจัดการไปอย่างเงียบๆ โดยที่คริสคอยปิดบังจุนมยอนมาตลอด อันที่จริงเขาไม่ได้ตั้งใจจะหลบเลี่ยงจุนมยอนมาได้นานถึงขนาดนี้ หากแต่ร่างสูงกลับไม่กล้าพอที่จะเอ่ยปากขอเลิกกับเด็กน้อย อันที่จริงมันเกิดจากความเห็นแก่ตัวเล็กๆ ที่คริสอยากจะขอต่อเวลาใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับจุนมยอนต่ออีกสักหน่อย โดยที่ไม่คิดว่าการต่อเวลานั้นคือการเพิ่มความเจ็บปวดให้แก่พวกเขาทั้งคู่อย่างทวีคูณ

    ครั้งนี้คงจะเป็นครั้งสุดท้ายที่คริสจะเลิกต่อเวลา เขาจะบอกจุนมยอนทุกอย่าง เขาจะอธิบายให้จุนมยอนฟังด้วยตัวเอง และเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจุนมยอนจะรับฟังเกี่ยวกับสัญญา 1 ปีที่เขากับฮเยรินแอบสร้างมันขึ้นมาลับหลังครอบครัวทั้งสองฝ่าย คริสอยากให้จุนมยอนรอเขา ระยะเวลา 1 ปีมันอาจจะนาน แต่สำหรับคริสเขารู้สึกว่ามันดูคุ้มค่าที่จะรอ เพียงแต่เขายังไม่รู้ว่าจุนมยอนจะรอไหวหรือไม่ก็แค่นั้นเอง

     

    - - - - - - - - - - - - - - -

     

    วันนี้ที่คณะของจุนมยอนค่อนข้างจะวุ่นวายนิดหน่อยเพราะพรุ่งนี้จะมีกิจกรรมประจำปี ทุกคนจึงต้องอยู่ช่วยกันจัดงานของสาขาตัวเองกันจนมือเป็นระวิง จุนมยอนเองก็เช่นกัน เขาวุ่นอยู่กับการทำของประดับตกแต่งซุ้มจนมือเลอะกาวไปหมด ข้างกายมีโดคยองซูกับคิมจงแดนั่งประกบ คยองซูกำลังเช็คไดอะล็อกที่จะต้องให้ตัวแทนพูดแนะนำสาขาของตัวเองในวันพรุ่งนี้ ส่วนจงแดก็กำลังง่วนอยู่กับการทาสีบนป้ายจนเสื้อผ้าเลอะอยู่นิดหน่อย

     

    “เสร็จจากนี่แล้วไปหาอะไรกินกันไหม? วันนี้พวกนายลางานกันใช่หรือเปล่า?” จงแดเป็นฝ่ายหันมาถามเพื่อนทั้งสอง แม้ว่าเขาจะไม่ค่อยสนิทกับคยองซูมากเท่าไหร่เพราะไม่ค่อยได้มาเรียน แต่เขาก็อยากจะทำความรู้จักกับอีกฝ่ายให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่

    “ใช่แล้วล่ะ เพราะไม่รู้ว่าจะเสร็จจากกิจกรรมกี่โมงก็เลยลางานกันดีกว่าต้องไปเข้าร้านสาย” จุนมยอนตอบ

    “งั้นไปหาอะไรอร่อยๆ กินกัน แล้วก็ไปเดินฮงแดด้วยกันดีไหม?”

    “ไปก็ได้นะ แต่ว่าอย่าพาฉันซื้ออะไรก็พอ เงินจะหมดอยู่แล้ว” คยองซูพูด

    “อะไรกัน? เงินจะหมดได้ยังไง รอบที่ไปกินปิ้งย่างมาคุณจงอินก็เป็นคนเลี้ยง แถมยังพาไปส่งบ้านไม่ต้องเสียค่ารถเดินทางเองอีก แล้วเงินหายไปไหนหมดล่ะหื้ม?” จุนมยอนหันไปถาม แต่ทว่าเมื่อจงแดได้ยินชื่อของจงอินเขาจึงเอียงคอและรีบหันไปถามเพื่อนทันที

    “คุณจงอิน? คุณจงอินที่เป็นเพื่อนกับคุณคริสน่ะเหรอ?”

    “ใช่แล้วล่ะ วันนั้นพวกเรากำลังนั่งกินกันอยู่แล้วคุณจงอินมาเจอพอดี ก็เลยนั่งด้วยกันแล้วคุณจงอินก็จ่ายให้ทั้งหมดเลย”

    “ว้าว แก๊งนี้นี่นิสัยเหมือนกันทั้งแก๊งเลยนะ ชอบจ่ายให้คนอื่นไปทั่ว”

    “ก็พวกเขามีเงินนี่นา” จุนมยอนพูดและหัวเราะออกมาเบาๆ

     

    เด็กหนุ่มทั้งสามเร่งมือกันทำงานตรงหน้าเพราะอยากจะหนีอากาศร้อนๆ ไปเข้าร้านที่มีแอร์เย็นบริการให้เสียที การทำกิจกรรมในฤดูร้อนไม่ใช่เรื่องที่น่าบันเทิงสำหรับจุนมยอน เพราะเขาเกลียดเหงื่อและความอบอ้าว ที่น่าหงุดหงิดยิ่งไปกว่านั้นก็คือการถูกผู้ชายคณะอื่นเดินมาส่งเสียงแซวขณะที่กำลังตั้งใจทำงาน

    มันเหมือนกับ.. พอทุกคนรู้ว่าจุนมยอนเคยทำงานบริการมาก่อน พวกเขาก็เอาอาชีพของจุนมยอนมาล้อเลียนจนเด็กหนุ่มรู้สึกบั่นทอน ยิ่งไปกว่านั้นเรื่องที่จุนมยอนกำลังคบกับคริสก็ถูกแพร่สะพัดออกไปในหมู่นักศึกษาคณะเดียวกัน ทำเอาหลายๆ คนชอบเข้ามาแซวจุนมยอนว่าคริสจ่ายให้จุนมยอนครั้งละเท่าไหร่ หรือบางครั้งจุนมยอนก็มักจะถูกถามว่าต้องจ่ายให้หนักเท่าคริสหรือเปล่าจึงจะได้นอนกับจุนมยอน

    แน่นอนว่าเด็กหนุ่มแบกรับคำพูดพวกนี้มาแสนนาน นับวันมันยิ่งมีแต่จะหนักข้อขึ้น แต่เพราะจุนมยอนรู้ดีว่าระหว่างเขากับคริสไม่ใช่เรื่องเงินหรือผลประโยชน์ พวกเขารักกัน คริสบำบัดจิตใจเพื่อจุนมยอน จุนมยอนพยายามตั้งใจเรียนเพื่อจะได้เป็นเด็กดีของคริส พยายามทำงานให้เต็มที่เพราะไม่อยากรบกวนเงินของคริส แค่ร่างสูงให้เข้าไปอยู่ในบ้านที่แสนจะสุขสบายนั่นมันก็เพียงพอแล้วสำหรับจุนมยอน เพราะฉะนั้นร่างเล็กจะปัดคำพูดเหล่านั้นให้ตกไป แต่ก็มีบ้างที่บางคำมันสร้างความเจ็บปวดให้จุนมยอนมากมายเหลือเกิน

     

    ครืด.. ครืด..

    ‘Incoming call from Daddy K’

     

    วันนี้เป็นวันที่ 9 ที่คริสห่างจุนมยอนไปเพราะต้องไปทำงานที่ต่างประเทศ คืนก่อนหน้านี้ร่างสูงเฟสไทม์มาบอกจุนมยอนว่าต้องอยู่ที่นี่ต่ออีก 2 คืนเพราะงานยังไม่เสร็จ แถมซูฮยอกก็เลื่อนตั๋วให้แล้วเรียบร้อย แน่นอนว่าเด็กน้อยของคุณคริสนั่งตาละห้อยปากคว่ำจนร่างสูงต้องปลอบใจอยู่สองนาน เขาเองก็คิดถึงจุนมยอนไม่ต่างจากร่างเล็กเลย ยิ่งต้องจุนมยอนเปรียบเสมือนยาสามัญประจำตัวที่ขาดไม่ได้ ร่างสูงกลับยิ่งโหยหาอยากจะกลับไปฟัดให้เร็วที่สุด

     

    “คุณคริส ~

     

    เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กหนุ่มทำให้เพื่อนทั้งสองหันมามองหน้าจุนมยอนพร้อมกัน ทั้งคยองซูและจงแดส่ายหัวยกใหญ่ก่อนจะหัวเราะออกมา เข้าใจแล้วจุนมยอนติดผู้ชายคนนี้มากแค่ไหน ถึงขนาดอยู่ไกลหันแต่ก็ยังโทรหาเช้า กลาง วัน เย็นไม่ขาด แบบนี้มันทำให้พวกเขาอิจฉาชะมัด

     

    “ทำอะไรอยู่?”

    “ทำไมไม่โทรหาผมเลยล่ะ คุณหายไปตั้งแต่ตอนบ่ายเมื่อวานแล้วเพิ่งจะโทรกลับมาตอนเย็นวันนี้เนี่ยนะ ลืมผมแล้วเหรอ?”

    “งานมันเยอะน่ะ ฉันเหนื่อยก็เลยนอนยาวเลย นี่เพิ่งจะได้ออกมาหาอะไรกินข้างนอก”

    “ที่นู่นกี่โมงแล้วเหรอฮะ?”

    “บ่ายสองโมงแล้ว”

    “แล้วได้กินอะไรหรือยังครับ?”

    “เรียบร้อยแล้ว แต่ตอนนี้ขาดของหวานก็เลยมาเดินดูเรื่อยๆ แต่ไม่ค่อยมีร้านไหนถูกใจเลย ฉันคิดว่าคงไม่มีอะไรหวานเท่าตัวนายแล้วล่ะ”

    “เฮ้.. ผมคุยเรื่องนี้ที่มหาวิทยาลัยไม่ได้นะ เพื่อนผมอยู่กันเต็มเลย”

    “ฮ่ะๆ ฉันล้อเล่น” เสียงปลายสายเอ่ยเบาๆ ขณะนั้นสายลมก็พัดผ่านใบหน้าที่กำลังชื้นเหงื่อของจุนมยอน มันพอจะช่วยให้เด็กน้อยรู้สึกเย็นขึ้นมาบ้าง และที่สำคัญคือเขาได้ยินเสียงลมจากปลายสายด้วย “เพื่อนนายที่ชื่อว่าจงแดนี่ใช่เด็กไอ้เลย์ไหม? หน้าคุ้นๆ เหมือนฉันจะเคยเห็นมาก่อน”

    “ใช่ครับ แต่ว่าจงแดบอกว่าตอนนี้ไม่ค่อยได้คุยกับคุณเลย์แล้ว สงสัยคุณเลย์คงจะมีเด็กใหม่น่ะครับ ชื่อว่าสวี่คุน.. อะไรทำนองนั้น”

    “อ่อ”

    “ทำไมอยู่ดีๆ ถึงถามล่ะครับ?”

    “เปล่า แค่อยากรู้” คริสตอบ ส่วนจุนมยอนก็ใช้แก้มหนีบโทรศัพท์เอาไว้ก่อนจะใช้สองมือทำงานตรงหน้าต่อ “ฉันวางดีกว่า นายจะได้ทำงานสะดวกๆ”

    “อืม”

    “แค่นี้

    “เดี๋ยว!.. คุณรู้ได้ยังไงว่าผมทำงานอยู่?

    “คุณคริส คุณอยู่ไหนเนี่ย? ออกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ”

    “ฮ่าๆ หันจนคอหลุดก็ไม่เจอหรอก”

    “ฮื่ออ อยู่ไหนฮะ? ไม่งั้นจะวิ่งตามหาแล้วนะ!

    “ฮ่ะๆ” ปลายสายยังคงหัวเราะหยอกเย้าเด็กน้อยไม่หยุด ในขณะที่จุนมยอนกำลังทำหน้ายุ่งจนเพื่อนหันมาถามว่าเป็นอะไร สุดท้ายคริสก็ต้องยอมเฉลยเด็กน้อยด้วยความสงสาร เขามองช่อดอกไม้ในกำมือก่อนจะพูดกับจุนมยอน “เงยหน้าขึ้นมองบนชั้นสองของอาคารข้างหลังนาย”

    “ฉันมารับกลับบ้านแล้วเด็กดี”

    “คุณคริส!

     

    เพียงแค่สบตา จุนมยอนก็ตัดสินใจวิ่งออกมาจากลานกิจกรรมและรีบขึ้นบันไดมายังอาคารชั้น 2 ซึ่งไร้ผู้คนโดยมีสายตาของคยองซูและจงแดมองตาม เมื่อสองเท้าเหยียบพื้นบนอาคาร เด็กหนุ่มก็หอบหายใจอย่างรุนแรง ในขณะที่ร่างสูงของใครบางคนที่กำลังยืนถือดอกไม้กำลังส่งรอยยิ้มให้พลางยื่นมือออกไปหาจุนมยอน

    ตอนนั้นจุนมยอนจับมือหนาเอาไว้ก่อนจะโดนดึงมากอดจนแน่น เด็กหนุ่มซบหน้าลงกับอกแกร่งเพื่อซ่อนใบหน้าเขินเคล้าน้ำตาเอาไว้ ในขณะที่คริสนั้นได้แต่ลูบหลังและจูบหัวเด็กน้อยด้วยความคิดถึง

     

    “มาตั้งแต่ตอนไหนครับ?”

    “มาตั้งแต่ตอนเด็กผู้ชายหัวหยิกๆ เดินมาแซวนายแล้ว ทำไมถึงปล่อยให้มันมาทำแบบนั้นได้ล่ะ ฉันหวงนะรู้ไหม?”

    “อือ” จุนมยอนส่งเสียงในลำคอ คริสไม่แน่ใจนักว่าจุนมยอนกำลังปฏิเสธหรืออย่างไร แต่ที่แน่ๆ เด็กหนุ่มไม่ยอมเงยหน้ามาคุยกับเขาเลย “ไหนบอกว่าจะอยู่ต่ออีกสองวัน?”

    “ก็ถ้าไม่โกหกมันก็ไม่เซอร์ไพรส์สิ”

    “คุณอ่ะ! ผมไม่ชอบให้คุณโกหกแบบนี้เลยนะ”

    “งั้นฉันให้ดอกไม้นี่เป็นการขอโทษก็แล้วกัน” ช่อดอกไม้สีชมพูอ่อนปนส้มถูกยื่นมาให้กับจุนมยอน “ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันเรียกว่าดอกอะไร ชีวิตนี้รู้จักแต่ดอกกุหลายอย่างเดียว แต่ดอกกุหลาบมันซ้ำกับคนอื่นเยอะแล้ว พอหันไปเห็นเจ้านี่ก็เลยเดินไปดูแล้วก็คิดว่ามันเข้ากับนายดีก็เลยเลือกมา พนักงานที่ร้านก็บอกชื่ออยู่นะแต่ว่าลืมไปแล้วล่ะ”

    “เขาเรียกว่าเดซี่ครับ”

    “รู้จักด้วยเหรอ?” คริสถาม จุนมยอนจึงพยักหน้าตอบรับเบาๆ “ฉันว่าเรากลับบ้านกันดีกว่า ฉันซื้อของมาฝากนายเยอะแยะ ฉันก็เลยคิดว่านายควรกลับไปแกะกล่องของขวัญตอนนี้”

    “งั้นผมขอลงไปเก็บกระเป๋าก่อนนะ”

    “อืม”

     

    คริสพยักหน้าและปล่อยให้เด็กน้อยวิ่งลงไปเก็บของที่อยู่บนโต๊ะข้างลานกิจกรรม ส่วนเขานั้นเลือกที่จะเดินตามไปทีหลังและคอยอยู่ให้ห่างจากจุนมยอนเอาไว้เพราะไม่ต้องการให้ใครเห็นว่าเขาอยู่ที่นี่ ร่างสูงรู้สถานการณ์ของจุนมยอนในมหาวิทยาลัยดี เด็กหนุ่มเคยบ่นเรื่องนี้กับคยองซูผ่านโทรศัพท์อยู่บ่อยๆ ซึ่งคริสเองก็พอจะได้ยินมาบ้างว่าจุนมยอนเริ่มเบื่อคนในคณะเต็มทน

    เมื่อเจ้าเด็กน้อยเก็บของเสร็จแล้วก็รีบเดินมาหาคริสที่กำลังยืนหลบมุมอยู่ข้างเสาต้นใหญ่

     

    “ไปกันเถอะครับ”

     

    คนทั้งสองพากันเดินออกจากคณะของจุนมยอนไป มหาวิทยาลัยยามค่ำคืนในวันนี้พลุกพล่านกว่าปกติเพราะทุกคนต้องอยู่เตรียมงานสำหรับวันพรุ่งนี้ แต่จุนมยอนเลือกที่จะออกมาก่อนเพราะเขาอยากจะใช้เวลาอยู่กับคริส ซึ่งเขาก็สัญญากับจงแดและคยองซูแล้วว่าพรุ่งนี้จะรีบมาช่วยงานแต่เช้า ไม่มีทางสายแน่นอน

    เจ้ารถหรูคันสีดำคันเดิมถูกจอดเทียบฟุตพาธเอาไว้ ชายร่างสูงทำหน้าที่เปิดประตูให้กับจุนมยอนทันทีที่มาถึงรถ เด็กหนุ่มรีบเอ่ยขอบคุณก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งแล้วคริสจึงขึ้นตามมา

     

    “สวัสดีครับคุณซูฮยอก ไม่ได้เจอกันนานเลยนะครับ”

    “เช่นกันจุนมยอน ดีใจที่เจอนะ”

    “ดีใจที่ได้เจอเหมือนกันครับ” จุนมยอนส่งรอยยิ้มไปให้คุณสารถีคนดีคนเดิมขณะที่กำลังถอดกระเป๋าเป้ออกจากตัว เมื่อรถเคลื่อนออกไปจากหน้าคณะ จุนมยอนจึงหันไปเอ่ยถามถึงสถานที่ทานอาหารมื้อค่ำที่กำลังจะเดินทางไป “เราจะไปกินร้านไหนกันครับ?”

    “วันนี้จะพาไปกินที่ที่ไกลหน่อย มันอยู่นอกเมืองแล้วก็คงใช้เวลา 1 ชั่วโมงในการเดินทาง”

    “โอ.. แบบนั้นผมต้องหิวตายก่อนแน่เลย”

    “ฉันรู้แล้ว ฉันก็เลยซื้อขนมปังมาให้นายรองท้องก่อน” คริสพูดและดึงเด็กน้อยให้ขยับเข้ามานั่งใกล้ จุนมยอนจึงรีบขยับมาซบอกคนตัวสูงพร้อมกับเลื่อนขึ้นไปหอมแก้มอีกคนหนึ่งฟอดถ้วน

    “ขอบคุณนะครับ คุณนี่รู้ใจผมชะมัด”

    “แค่หอมแก้มมันไม่พอหรอกนะ เราไม่ได้เจอกัน 10 วันและฉันก็คิดถึงนายมากรู้หรือเปล่า?”

    “งั้นคืนนี้ผมจะไม่รีบนอน”

    “ฉันรอให้ถึงตอนกลางคืนไม่ไหวหรอกเด็กดื้อ”

    “แล้ว.. อื้อ! ฮืออ คุณคริส!

     

    ริมฝีปากของจุนมยอนถูกรวบไว้แล้ว คริสบดขยี้ความโหยหายลงบนริมฝีปากนุ่มจนเด็กหนุ่มต้านทานไม่ทัน ลิ้นร้อนที่กำลังกวาดชิมไปทั่วโพรงปากเล็กบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าคริสกำลังกระหาย มือที่กำลังลูบไล้กายเล็กไปมาเสมือนกำลังบอกให้จุนมยอนเตรียมรับกับสถานการณ์ต่อไป

     

    “อืม คิดถึงชะมัด” ร่างสูงร้องบอกก่อนจะสอดมือเข้าไปใต้เสื้อเชิ้ตตัวบางของจุนมยอน เขาบดขยี้ยอดสีสวยจนมันเริ่มเต่งตึงสู้มือ และตอนนั้นเองที่จุนมยอนเลื่อนมือของเขามาตะครุบมือหนาเอาไว้ ก่อนจะละออกจากจูบของคริสและมองหน้าร่างสูงด้วยสายตาหวานหยาดเยิ้ม

    “รอให้ถึงตอนถึงบ้านดีกว่านะครับ เราทำในนี้ไม่ได้หรอก เราไม่ได้อยู่กันสองคนนะ”

    “อายงั้นเหรอ?”

    ” จุนมยอนไม่ตอบ แต่นั่นล่ะคือคำตอบที่ชัดเจนที่สุด

    “ซูฮยอก กดปุ่มนั่นซะ ฉันต้องการเวลาส่วนตัวกับจุนมยอน”

    “ครับผม” จุนมยอนได้ยินคริสออกคำสั่งก่อนจะเห็นว่าซูฮยอกกำลังเอื้อมไปกดปุ่มอะไรสักอย่างที่ทำให้ Partition เลื่อนขึ้นมากั้นระหว่างห้องโดยสารด้านหน้าและห้องโดยสารด้านหลัง มันเลื่อนขึ้นมาปิดกั้นจนถึงเพดานของรถ และจุนมยอนก็ไม่สามารถมองเห็นซูฮยอกได้อีกเลย

    “ทีนี้ก็ไม่มีใครมารบกวนเราแล้วนะ” คริสบอกกับเด็กน้อย เขาดันให้จุนมยอนนั่งอยู่กับที่ก่อนจะปรับเอนเบาะของเด็กน้อยให้ราบลง ทีนี้ก็สะดวกและเข้าทางมากขึ้นต่อราชสีห์ที่กำลังหิวโหย

     

    กางเกงยีนส์ถูกปลดออก ชั้นในตัวจิ๋วก็เช่นกัน มันค่อยๆ ถูกเลื่อนออกจากสะโพกจนเห็นกายส่วนล่างของจุนมยอน เมื่อจัดการกับเสื้อผ้าของเด็กน้อยเสร็จแล้ว ร่างสูงจึงถอดของตัวเองออกบ้าง ทำให้จุนมยอนเห็นว่าท่อนกายร้อนกำลังพองโตพร้อมที่ใช้งานแล้ว

     

    “จะทาเองหรือจะให้ฉันทาให้” เจลหล่อลื่นถูกหยิบออกมาจากกล่องใส่ของข้างประตู ดวงตาสีนิลมองมันก่อนที่ความเขินอายจะเล่นงานจนคริสหัวเราะออกมา

    “ห.. ให้คุณทาเองอีกกว่า”

    “ฮ่าๆ” คริสหัวเราะออกมาอีกหน ฝาขวดเจลถูกเปิดออกและถูกชโลมไปทั่วช่องทางสีชมพูสวย นิ้วยาวถูกส่งเข้าไปก่อนจนจุนมยอนแอ่นก้นของเขาขึ้น

    “อื้ออ!” เบาะหนังของรถคันสวยถูกจิกแน่น ส่วนคริสนั้นเลือกที่จะมองใบหน้าซึ่งเต็มไปด้วยอารมณ์คุกรุ่น เขาขยับนิ้วเข้าออกก่อนจะเพิ่มจำนวนไปเป็นสองนิ้ว “อ๊า คุณคริส! ฮืออ.. เอานิ้วออกได้ไหม?”

    “ถ้าใส่ของฉันเข้าไปเลยมันจะเจ็บนะจุนมยอน”

    “ไม่เป็นไรฮะ ใส่มันเข้ามาเลย”

    “ใจร้อนกว่าฉันอีกนะเด็กน้อย”

     

    กายเล็กถูกสอดใส่และกระแทกกระทั้นจนจุนมยอนครางออกมาเสียงดังลั่น และถึงแม้ว่าจะมี Partition ปิดกั้นระหว่างคนขับกับผู้โดยสารด้านหลัง แต่แน่นอนว่าซูฮยอกได้ยินเสียงคนทั้งคู่ชัดเจน เขาพยายามไม่สนใจและจ้องมองถนนอย่างตั้งใจที่สุด แต่เสียงของจุนมยอนทำเขาเสียสมาธิทุกที

    10 วันที่ไม่ได้เจอกันมันทำให้พวกเขาคิดถึงกันอย่างรุนแรง หลายครั้งที่จุนมยอนอยากจะโทรไปอ้อน แต่กลับเกรงใจเพราะคริสไม่เคยเลิกงานเป็นเวลาเลยสักวัน ในขณะที่ร่างสูงกลัวว่าจุนมยอนอาจจะกำลังหลับอยู่หรืออาจจะยุ่งอยู่กับการเตรียมสอบ เขาจึงทำได้แค่เข้าไปปลดปล่อยในห้องน้ำเพียงคนเดียว อยากได้ยินเสียงเด็กน้อยร้องขออยู่ข้างหูสุดขีด แต่เขาไม่กล้าพอที่จะขอจุนมยอนมีเซ็กส์โฟนด้วยกัน เพราะแค่เซ็กส์บนเตียง.. จุนมยอนก็เขินหน้าแดงจะแย่อยู่แล้ว

    แต่เพราะบทเรียน 10 วันทำให้คริสเรียนรู้อะไรมากมาย เขาจึงตัดสินใจแล้วว่าต่อไปนี้เขาจะสอนให้จุนมยอนเรียนรู้ว่าต้องทำอย่างไรยามอยู่ห่างไกลกัน

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เป็นอีกวันที่จุนมยอนจะต้องมาทำงานในร้านกาแฟเช่นเดิมหลังจากที่เขาหยุดไปสองวัน วันนี้คยองซูไม่ได้มาด้วยเพราะวันนี้เป็นวันหยุดของเพื่อนตัวเล็ก ที่นี่จึงมีแค่จุนมยอนกับพี่พนักงานคนอื่นๆ อีกสองสามคนที่ต้องช่วยกันดูแลร้านภายในวันนี้ เด็กหนุ่มบอกคริสเอาไว้แล้วว่าวันนี้จะกลับดึกและไม่ต้องเป็นห่วง ซึ่งคริสเองก็รับรู้และบอกว่าจะทำมื้อเย็นเอาไว้ให้เด็กหนุ่มกินหลังจากทำงานกลับมาเหนื่อยๆ

     

    กริ๊ง..

     

    ประตูร้านถูกเปิดออก เมื่อสองหูได้ยินเสียงกระดิ่งหน้าประตู เด็กหนุ่มจึงรีบเงยหน้าขึ้นอย่างอัตโนมัติเพื่อต้อนรับลูกค้าที่มาใหม่ เช่นนั้นแล้วจุนมยอนจึงพบกับหญิงวัยกลางคนซึ่งสวมเดรสสีดำดูดีมีราคา ด้านหลังมีบุคคลคุ้นตากำลังเดินติดตามมาด้วยกัน แต่ดูเหมือนว่าสีหน้าของเขาจะไม่ค่อยสู้ดีเท่าไหร่ เขาเอาแต่ก้มหน้าในขณะที่ผู้หญิงคนนั้นกำลังฉีกยิ้มให้กับจุนมยอน

     

    “ยินดีต้อนรับครับ รับอะไรดีครับคุณผู้หญิง?”

    “เธอใช่คิมจุนมยอนหรือเปล่าจ้ะ? พอดีฉันมีเรื่องอยากจะคุยด้วยนิดหน่อย พอจะมีเวลาสัก 2-3 นาทีไหม?”

    “อ่า..” จุนมยอนส่งเสียงในลำคอ สายตาไม่ค่อยกล้าสบตาผู้หญิงตรงหน้าเท่าไหร่ เขาจึงเหลือบไปมองชายชุดสูทที่กำลังยืนอยู่ด้านหลังของเธอ พบว่าซูฮยอกกำลังขมวดคิ้วแน่นจนจุนมยอนเริ่มรู้สึกว่านี่อาจไม่ใช่สถานการณ์ที่ดีเสียเท่าไหร่ แต่เขาไม่สามารถปฏิเสธเธอได้ “งั้นเชิญที่โต๊ะก็ได้ครับ”

    “ไม่ต้องหรอกจ้ะ คุยกันตรงนี้นี่ล่ะ ฉันอยากคุยแค่ครู่เดียวเท่านั้นเพราะฉันไม่อยากทำให้เธอเสียเวลา”

    “เอ่อ.. ครับผม ถ้างั้นคุยกันตรงนี้ก็ได้ครับ” จุนมยอนพยักหน้า ตอนนี้ดวงตาของเขากำลังประชันอยู่กับแรงกดดันที่หญิงสาวส่งมาให้ สายตาของเธอส่งความมีอำนาจและความน่าเกรงขามออกมา ความมีสง่าราศีของเธอแผ่ไปทั่วรัศมีรอบตัว ในขณะที่เด็กหนุ่มอยากจะหนีออกไปจากตรงนี้เสียที

    “ฉันเป็นแม่ของตาคริสนะ ที่ฉันมาที่นี่ก็เพื่อที่จะเอาการ์ดงานแต่งงานมาให้เธอเพราะเห็นซูฮยอกบอกว่าเธอก็เป็นเพื่อนอีกคนหนึ่งของตาคริส ถ้าฉันไม่แจกการ์ดเพื่อนของลูกชายก็คงจะกระไรอยู่ เพราะงั้นก็เลยอยากจะเอาการ์ดมาให้เธอเพื่อเชิญเธอไปร่วมงานด้วย”

    “งานแต่งงานเหรอฮะ?” ทั้งๆ ที่จุนมยอนยังไม่รู้ว่างานแต่งงานที่ผู้หญิงคนนี้กำลังพูดถึงนั้นเป็นงานของใคร แต่ทำไมเขาถึงได้รู้สึกชาไปทั้งตัว จู่ๆ ก็ยิ้มไม่ออก รู้สึกว่าใบหน้าที่กำลังแสดงความรู้สึกอยู่ในตอนนี้คือการปั้นแต่งขึ้นมาเพื่อซ่อนอาการที่อยู่ในใจ

    “จ้ะ งานแต่งงานของตาคริสเอง” เธอเอ่ยออกมาก่อนจะหยิบการ์ดในกระเป๋ายื่นมาให้จุนมยอน และทันทีที่มือเล็กสัมผัสซองสีชมพูนั่น เด็กหนุ่มก็ได้แต่ภาวนาว่าขอให้นี่เป็นเพียงแค่ความฝัน หากแต่เมื่อหยิบการ์ดเนื้อในออกมาเปิดดูชื่อของบ่าวสาว มันปรากฏชื่ออู๋อี้ฟาน ซึ่งเป็นชื่อจริงของคริส และยังมีผู้หญิงที่ชื่อว่าซอฮเยริน พร้อมทั้งระบุวันที่ เวลา และสถานที่ในการจัดงาน “ตาคริสไม่ได้บอกเหรอจ้ะว่าเขาจะแต่งงาน? ไหนว่าเป็นเพื่อนกันยังไงล่ะ?”

    “อ๋า.. คือว่าคุณคริสน่าจะยุ่งน่ะครับ ได้ข่าวว่าช่วงนี้งานเยอะแถมยังต้องบินไปต่างประเทศ ก็เลยอาจจะไม่ได้ว่างมาบอกผม อีกอย่าง.. เราไม่ค่อยได้คุยกันด้วยครับ”

    “ฉันเข้าใจว่าตาคริสมีเพื่อนน้อย แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนพูดน้อยจนไม่ยอมบอกกล่าวกับเธอแบบนี้ นี่โชคดีนะที่ฉันรู้จากซูฮยอกว่าเธอเป็นเพื่อนเขาด้วย ไม่อย่างนั้นเธอก็คงจะไม่รู้เรื่องนี้ไปอีกนาน

    “อ่า.. ครับ”

    “หวังว่าจะได้เจอกันที่งานนะจ้ะ ถ้าไม่มีชุดใส่ก็บอกฉันได้นะ จะได้แนะนำร้านเช่าชุดถูกๆ ให้”

    “ครับ ขอบคุณนะครับ”

    “ลาก่อนนะจุนมยอน.. ขอโทษแทนตาคริสด้วยที่ไม่ยอมมาเชิญเธอด้วยตัวเอง สงสัยคงจะยุ่งจริงๆ ทั้งเรื่องงานบริษัท งานแต่ง วุ่นวายจนหัวหมุนแทนเลยล่ะ”

    “ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจ ขอบคุณที่แวะมาครับ”

     

    หญิงสาวส่งรอยยิ้มให้จุนมยอนอีกครั้งก่อนจะเดินนำซูฮยอกออกไป ขณะเดียวกันซูฮยอกก็พยายามที่จะหันมาบอกจุนมยอนว่าอย่าเพิ่งตีโพยตีพา แต่เขากลับถูกผู้หญิงคนนั้นเรียกเอาไว้จนต้องถอยทัพ

     

    “จุนมยอน คือ..

    “ซูฮยอก ไปสตาร์ทรถ ฉันมีธุระที่จะต้องไปสะสางต่ออีกเยอะเลยนะ”

    “ครับ คุณผู้หญิง”

     

    จุนมยอนได้แต่มองตามคนทั้งสอง ในมือนั้นถือการ์ดแต่งงานซึ่งระบุชื่อของแฟนตัวเอง เมื่อผู้หญิงคนนั้นออกไปจากร้านจนพ้นสายตาของจุนมยอนแล้ว เด็กหนุ่มก็ถดหนีและพิงหลังเข้ากับบาร์ทันที เขาทำอะไรไม่ถูก มันชาไปหมดทั้งร่างกายและหัวใจ มือสั่นจนแทบจะไม่มีแรงถือการ์ดเอาไว้ น้ำตาพลันจะไหลออกมาแต่จุนมยอนกลับพยายามกลั้นมันเอาไว้และพยายามหายใจเข้าลึกๆ

    คริสไม่เคยพูดเรื่องนี้กับเขาเลย และงานแต่งงานก็กำลังจะถูกจัดขึ้นในอีก 11 วันข้างหน้านี้แล้ว คนที่พร่ำบอกรักเขาทุกคืนก่อนนอนกำลังจะแต่งงานกับผู้หญิงที่ชื่อว่าซอฮเยริน ถ้าอย่างนั้น.. คิมจุนมยอนเป็นใครกัน? เป็นแค่ของเล่นและทาสอารมณ์ของคริสเท่านั้นเหรอ? คำว่ารักที่คริสเคยบอกเด็กน้อยมันคือเรื่องโกหกใช่ไหม? จุนมยอนได้แต่ถามตัวเองวนซ้ำอยู่แบบนั้น

    ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ยืนต่อไม่ไหวจนต้องเดินออกไปข้างหลังร้าน เขาเปิดประตูเพื่อออกไปสูดอากาศข้างนอกและหวังที่จะอยู่คนเดียว

    ดูเหมือนว่าเขาจะโง่เสียเองที่เอาแต่ฝันลมๆ แล้งๆ ไปกับคำว่ารักของคริส คิดว่าร่างสูงอาจจะรักเขาจริงๆ ทว่ามันกลับไม่ใช่อย่างที่จุนมยอนเคยจินตนาการเลย เขาไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองกำลังถูกหลอก.. ร่างเล็กไม่อยากจะเชื่อว่าที่ผ่านมาเขาก็เป็นแค่เด็กขายตัวที่คริสแอบคู่หมั้นของเขามาเล่นสนุกด้วยก็เท่านั้น

    ขณะนั้นดูเหมือนว่าจุนมยอนจะนึกถึงใครบางคนขึ้นมาได้พอดิบพอดี วันที่จงอินมาส่งเขาที่ห้องพัก.. ดูเหมือนว่าจงอินพยายามจะพูดอะไรบางอย่างกับจุนมยอน และคนตัวเล็กคิดว่ามันอาจจะเป็นเรื่องนี้ที่จงอินอยากจะเตือนให้จุนมยอนรู้ แต่เป็นเขาเองที่ตีความหมายผิดไปจนไม่ยอมฟังร่างสูง

    เด็กหนุ่มควักโทรศัพท์และใช้มือสั่นๆ ของเขาไล่หาเบอร์ของจงอินก่อนจะกดโทรออกไปหาโดยไม่สนใจว่าเขากำลังยุ่งอยู่กับงานหรือไม่ แต่จุนมยอนต้องคุยกับจงอินตอนนี้เท่านั้น

     

    “ฮัลโหล ว่าไงจุนมยอน?”

    “คุณจงอิน.. ฮึก.. ผม.. คุณคริส.. คุณคริสจะแต่งงานเหรอฮะ?”

     

    - - - - - - - - - - - - - - -

     

    เสียงปลดล็อกประตูดังขึ้นเหมือนอย่างที่เป็นมาตลอด คริสที่กำลังอุ่นอาหารอยู่ในครัวจึงตะโกนถามคนที่เข้ามาตามปกติ เขารู้อยู่แล้วว่าจะต้องเป็นจุนมยอนเพราะเด็กคนนั้นเป็นคนเดียวที่มีคีย์การ์ดของเพ้นท์เฮ้าส์หลังนี้ แต่วันนี้จุนมยอนกลับมาเร็วกว่าที่เขาบอกก่อนออกไปเรียนเมื่อเช้า

     

    “ทำไมกลับมาเร็วจังล่ะ? วันนี้ที่ร้านขายดีเหรอ?”

    “ฉันกำลังอุ่นมื้อเย็นให้นะ นายไปอาบน้ำให้สบายตัวซะจะได้มากินแล้วก็จะได้เข้านอน พรุ่งนี้มีเรียนเช้านี่นา”

    “ไม่ต้องอุ่นแล้วครับ ผมไม่หิว”

     

    คำตอบของจุนมยอนทำให้คริสต้องหยุดมือที่กำลังค้นซุปในหม้อ เขาหันไปเหลือบมองเด็กหนุ่มที่กำลังวางกระเป๋าลงบนพื้นข้างๆ กับโซฟา พบว่าจุนมยอนมีท่าทีเหนื่อยอ่อนและดูไม่ค่อยสนใจอาหารมื้อค่ำอย่างที่เคยเป็น ร่างสูงจึงจัดการกดปุ่มสัมผัสเพื่อปิดเตาไฟฟ้าก่อนจะเดินไปหาเด็กน้อย

     

    “กินมาจากข้างนอกแล้วเหรอหื้ม?”

    “เปล่า แต่ผมไม่หิว” จุนมยอนตอบเสียงเรียบ ใบหน้ายังคงเรียบเฉยแม้ว่าจะพยายามปั้นหน้าให้เป็นปกติที่สุด “ผมจะไปอาบน้ำแล้วก็จะเข้านอนเลย คุณไปเก็บมื้อเย็นนั่นเถอะ”

    “เป็นอะไรไป? วันนี้เหนื่อยมากเลยเหรอ? ถึงขั้นไม่ยอมกินข้าวกินปลาแบบนี้” คริสยื่นมือไปประคองแก้มสีพีชที่เขาชื่นชอบมาตลอด พยายามส่งรอยยิ้มและเอาใจจุนมยอนอย่างที่เคยทำ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผลสักเท่าไหร่

    “นิดหน่อยฮะ แต่เดี๋ยวก็ดีขึ้น”

    “แล้วนี่กลับไปห้องมาเหรอถึงได้เอากระเป๋าใบใหญ่ขนาดนี้มาด้วย จะเอามาขนอะไรกันเนี่ย?”

    “พรุ่งนี้พี่รหัสจะเอาชีดกับหนังสือมาให้ก็เลยต้องเอากระเป๋ามาขนกลับ ใบนั้นมันใหญ่ไม่พอ”

    “งั้นพรุ่งนี้ให้ฉันไปรับนะ ฉันว่านายแบกหนังสือขึ้นรถไฟไม่ได้หรอก ตัวเล็กขนาดนี้จะถือไหวได้ยังไง”

    “ไม่ต้องหรอก ผมถือได้” จุนมยอนตอบและดึงมือที่กำลังสัมผัสแก้มของเขาอยู่ให้หลุดพ้นไปจากใบหน้า ก่อนจะเดินหนีอีกฝ่ายไปเพราะไม่ต้องการพูดคุยอะไรกับร่างสูงในตอนนี้ ทว่าคนที่ยังไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นกลับดึงจุนมยอนเข้ามากอดจากด้านหลังก่อนจะเอาคางเกยไหล่มนไว้

    “ฉันอาบน้ำด้วยได้ไหม? ถ้านายเหนื่อยฉันจะได้นวดให้ แล้วเราก็แช่น้ำกันสักชั่วโมง จะได้หลับสบายๆ ด้วยกันทั้งคู่ เพราะวันนี้ฉันเองก็ไม่อยากกินยาเหมือนกัน”

    “ไม่เป็นไร ผมอยากรีบอาบให้เสร็จแล้วก็เข้านอน”

    “น่า.. อยู่ด้วยกันในอ่างสักชั่วโมงจะเป็นอะไรไป ฉันไม่ทำอะไรนายหรอกคนดี ขอแค่หอมแก้มให้ชื่นใจสักสองสามทีก็พอแล้ว” พูดจบก็ยื่นหน้าไปประดับจูบแก้มคนตัวเล็กพร้อมทั้งล็อกข้อมือเด็กหนุ่มเอาไว้ แต่จุนมยอนหลับรู้สึกไม่ต้องการสัมผัสนั้นจากคริสอีกต่อไปแล้ว เขาเบี่ยงตัวหนีและพยายามดึงข้อมือออก

    “ผมบอกว่าผมอยากอาบน้ำคนเดียวไง!” กระทั่งข้อมือของเขาหลุดออกจากการกอบกุมได้ เด็กหนุ่มจึงเผลอผลักร่างสูงออกจนคริสเซไปชนโซฟา ก่อนจะต้องพบกับสายตาขุ่นเคืองของจุนมยอนจนร่างสูงเริ่มจะไม่พอใจความดื้อด้านของเด็กน้อยในครั้งนี้

    “อะ..” ตอนนั้นเอง.. จุนมยอนเพิ่งจะได้สติว่าตนกำลังควบคุมตัวเองไม่ได้ แถมยังโกรธคริสจนสติแตกและเผลอใช้ความรุนแรงกับคริสลงไปนิดหน่อย แต่ถ้าแม้ว่ามันจะนิดหน่อย.. มันก็ไม่ควรจะเกิดขึ้น "เป็นอะไรของนาย.. เหนื่อยจนต้องพาลมาลงกับฉันเลยเหรอ?”

    ...

     

    ทั้งสองส่งความเงียบให้กันอยู่นานสองนาน จุนมยอนหลบตามองพื้นโดยไม่คิดจะตอบอะไร อันที่จริงเขาอยากจะตะโกนใส่หน้าคริสให้รู้แล้วรู้รอดว่ามันเกิดอะไรขึ้น แต่ทำไปก็คงไร้ประโยชน์ ตอนนี้คงแก้ไขปัญหาต่างๆ นานาไม่ได้อีกแล้ว ทะเลาะกันไปคริสก็คงไม่ยกเลิกงานแต่งงานและมาอยู่กับเขาหรอก

     

    “ผมจะไปอาบน้ำและเข้านอนเลย ผมไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น คุณไปจัดการมื้อเย็นนั่นซะ แล้วถ้าคุณอยากจะแช่น้ำสักกี่ชั่วโมงมันก็เรื่องของคุณ”

    “งั้นฉันจะไปนอนที่อื่น ถ้าอารมณ์ดีเมื่อไหร่ค่อยมาเรียกก็แล้วกัน”

     

    ตอนนั้นคริสเป็นฝ่ายเดินหนีออกมา เขากลับมาอยู่ในครัวและยกหม้อซุปลงจากเตา พักมันไว้บนเค้าเตอร์ก่อนจะดึงปลั๊กหม้อหุงข้าวออกเพราะจุนมยอนไม่ต้องการจะกินมันอีกแล้ว ถ้วย จาน ช้อนส้อมที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้บนโต๊ะอาหารถูกจัดเก็บเข้าตู้เหมือนเดิม จากนั้นร่างสูงจึงปิดไฟในครัวและเดินมาหยิบหมอนบนโซฟา เขาเดินผ่านจุนมยอนไปเสมือนกับว่าร่างเล็กคืออากาศก่อนจะปิดประตูห้องทำงานและไม่กลับออกมาอีกเลย

    นี่เป็นครั้งแรกที่คนทั้งสองไม่เข้าใจกันจนทำให้เกิดบรรยากาศลบๆ ขึ้นมาภายในบ้าน ซึ่งคริสก็เป็นคนเกลียดการทะเลาะเบาะแว้งอยู่แล้ว เขาจึงเลือกที่จะเดินหนีจุนมยอนไปแทนที่จะยืนเถียงต่อ ทั้งๆ ที่เขาเองก็โมโหจุนมยอนเช่นกัน ในขณะที่อีกฝ่ายเองก็รู้สึกแย่ที่ต้องทะเลาะกับร่างสูงแบบนี้ แต่ร่างเล็กควบคุมอารมณ์ไม่ไหวจริงๆ เรื่องที่เขาเจอมาในวันนี้หนักหนาสาหัสเหลือเกิน มันยากเกินกว่าจะส่งรอยยิ้มให้อีกฝ่าย และมันยากที่จะต้องฝืนหัวเราะไปคริสทั้งๆ ที่ในใจนั้นถูกปั่นจนแหลกละเอียดไปหมดแล้ว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    03:12 AM.

    เด็กหนุ่มหลับไม่ลงทั้งคืน เขาคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้วนไปมา ร้องไห้จนไม่เหลือน้ำตาจะให้ร้อง จุนมยอนตัดสินใจแล้วว่าพรุ่งนี้เขาจะไม่ไปเรียนเพราะเขาไม่สามารถแบกหน้าบวมๆ ไปเจอเพื่อนได้ เขาจึงส่งข้อความบอกคยองซูถึงสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้เล่าออกมาทั้งหมด

    กายเล็กลุกออกจากเตียงที่ไม่มีคริสมานอนด้วยในคืนนี้ เขาหยิบแจ็คเก็ตหนังสีดำที่ตนพาดเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้งเอาไว้ก่อนจะสวมมันทับกับเสื้อยืดสีขาวตัวบาง กางเกงนอนขายาวถูกเปลี่ยนมาเป็นกางเกงยีนส์สีดำขาดเข่า หมวกใบสีดำถูกหยิบขึ้นมาสวม ดึงมันให้กระชับและปกปิดใบหน้าของตัวเอง เด็กหนุ่มคว้าเอากระเป๋าเป้ใบใหญ่ที่ตนเตรียมมาจากห้องพักสวมขึ้นหลัง คราวนี้น้ำหนักของมันหนักกว่าตอนขามาเพราะมันถูกบรรจุไปด้วยของใช้ส่วนตัวของจุนมยอนที่อยู่ในบ้านหลังนี้

    มือเล็กเปิดประตูห้องนอนออกไป พบกับความมืดของห้องรับแขกและความเงียบสงัด ขณะนี้เป็นเวลาตี 3 เศษๆ จุนมยอนคิดว่าคริสคงกำลังหลับลึกอยู่ในห้องทำงาน และเมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องนั้น ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่เด็กหนุ่มคาดเดา เพราะเขาเห็นคริสกำลังนอนอยู่บนพื้นพร้อมกับหมอนและผ้าห่มผืนเล็กที่พอจะคลุมกายได้

    เด็กหนุ่มนั่งคุกเข่าลงบนพื้นพรมข้างกายคริส แสงจันทร์สาดส่องให้เห็นใบหน้าคมคายที่กำลังหลับสนิท หันไปมองบนโต๊ะทำงานพบกระปุกยาวางอยู่ จุนมยอนจึงรู้ได้ทันทีว่าก่อนนอนคริสกินยาเพื่อช่วยให้ตัวเองหลับ ไม่ใช่การแช่น้ำอย่างที่เจ้าตัวเอ่ยชวนจุนมยอน ก็แหงล่ะ.. ทะเลาะกันไปแล้ว ร่างสูงคงไม่มีอารมณ์จะมาแช่น้ำหรืออะไรทั้งนั้น

    จุนมยอนลูบแก้มสากของอีกฝ่าย ส่งรอยยิ้มจางๆ ให้กับเจ้าชายของเขา คริสคือแฟนคนแรกของเด็กหนุ่ม เป็นรักแรกของคิมจุนมยอน เด็กหนุ่มนักศึกษาชั้นปีที่ 2 คนนี้เอง คริสเข้ามาเปลี่ยนอะไรหลายๆ อย่างในชีวิตของจุนมยอนมากมาย อย่างน้อยจุนมยอนก็รีบหยุดงานตามที่คริสขอ เขาไม่ต้องไปนอนกับใครต่อใครเพื่อแลกเงิน เพราะคริสสัญญาว่าจะดูแลเขาเอง

    ชายร่างสูงผู้แสนเพอร์เฟ็คและเป็นถึงผู้บริหารยอมลดสายตาลงมามองเด็กหนุ่มที่ไม่มีอะไรเลยเพียงเพราะอยากได้คนที่เข้าใจกัน มากกว่าอยากได้คนที่พยายามจะเข้าใจ คริสไม่สนว่าจุนมยอนจะมาจากไหน จะเคยนอนกับใครมาบ้าง.. เพียงแต่เขาอุ่นใจเวลามีจุนมยอนอยู่ข้างกาย และนั่นทำให้เด็กหนุ่มเริ่มรู้สึกถึงคุณค่าของตัวเอง เพราะอย่างน้อยเด็กที่ไม่มีอะไรเลยอย่างเขากลับสามารถเป็นที่พักพิงให้ชายคนนี้ได้

    จุนมยอนยิ้มให้กับความทรงจำดีๆ ที่ผ่านมา เขามีความสุขมากเหลือเกินกับผู้ชายคนนี้ เด็กหนุ่มคิดว่าเรื่องระหว่างเขาทั้งสองอาจเป็นไปได้เหมือนกับนิยายโรแมนติกที่จุนมยอนเคยอ่าน แต่ความจริงแล้วพวกเขากำลังจะจากกัน

     

    ทำไมคุณคริสต้องหลอกผม.. ฮึก.. ทำไมต้องหลอกกันด้วย ผมเจ็บไปหมดแล้วนะ

    ไอ้คริสมันจำเป็นต้องทำเพื่อแม่มันเป็นครั้งสุดท้าย หลังจากนี้มันจะถอดชื่อตัวเองออกจากตระกูลและจะไม่ขอเกี่ยวข้องใดๆ กับแม่มันอีก นายก็รู้ว่ามันกลัวแม่มันแค่ไหน ไม่ใช่กลัวเพราะมีแม่ดุหรืออะไรทำนองนั้น แต่กลัวเพราะมีแม่เหมือนปีศาจ มันกลัวแม่จะมาทำอะไรมันอีก มันถึงได้ยอมแต่งงาน ฮเยรินเองก็รู้ว่านายสองคนรักกัน และเธอเองก็ไม่ขัดถ้าไอ้คริสมันจะคบนายต่อหลังจากแต่งงานแล้ว ถ้าฉันได้ยินมาไม่ผิด.. ฮเยรินเองก็มีแฟนเหมือนกัน

    แต่เขาไม่คิดจะบอกผมเลย จนจะวันแต่งงานอยู่แล้วเขาก็ยังไม่ยอมเอ่ยปากสักคำ เขาจะปิดบังผมไปตลอดเลยเหรอฮะ?

    ฉันรู้ว่ามันน่าโมโหที่มันปิดบังนาย แต่คริสมันไม่อยากเห็นน้ำตาของนายนะจุนมยอน และมันไม่อยากให้นายเกลียดมันด้วย มันอยากจะรักษานายเอาไว้และอยากต่อเวลาเพื่ออยู่กับนายให้นานที่สุด

     

    ไม่ว่าคริสจะแต่งงานด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม รักจริงหรือแค่ธุรกิจอย่างที่จงอินบอก อย่างไรเสียพวกเขาก็ต้องแยกกันอยู่ดี เพราะฉะนั้นจุนมยอนจึงขอเป็นฝ่ายหยุดทุกอย่างเอาไว้แค่วันนี้และตรงนี้ เขาจะไม่รบกวนคริสอีก จะไม่ทำให้ครอบครัวของคริสไม่พอใจอีกต่อไปแล้ว

    แสงไฟบนหน้าจอโทรศัพท์สว่างขึ้น โชคดีที่โหมด Silent ของโทรศัพท์ไม่มีทั้งการสั่นเตือนและเสียงสั่นเตือน ไม่อย่างนั้นมันอาจรบกวนการนอนของร่างสูง แต่หน้าจอที่กำลังปรากฏชื่อของคนโทรเข้านามว่าคิมจงอินนั้นทำให้จุนมยอนรู้ตัวว่าเวลาของเขาหมดลงแล้วแต่เพียงเท่านี้ เขาต้องบอกลาคริสแล้ว

     

    “ขอบคุณสำหรับทุกอย่างเลยนะครับ” จุนมยอนส่งรอยยิ้มจางๆ และน้ำตาก็ร่วงลงมาเปื้อนแก้มสีพีชที่คริสหวงแหนหนักหนา เด็กหนุ่มก้มลงจูบหน้าผากเพื่อบอกฝันดีร่างสูงเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูงและวางคีย์การ์ดที่คริสเคยให้ติดตัวเอาไว้ลงบนโต๊ะทำงาน

     

    ของทุกอย่างที่คริสเคยซื้อให้ ตอนนี้จุนมยอนเอาเก็บเข้าที่เดิมหมดแล้ว ส่วนของใช้ส่วนตัวที่จุนมยอนเคยเอามาไว้ที่นี่ก็ถูกเก็บเข้ากระเป๋าเป้ที่เตรียมมา เขาหวังว่าตนคงไม่ลืมอะไรเอาไว้ที่นี่อีก เพราะถ้าภรรยาของคริสมาเห็นมันคงจะไม่ดีเท่าไหร่นัก เด็กหนุ่มสวมรองเท้าและเปิดประตูออกไปท่ามกลางความเงียบ หมวกแก็ปใบสีดำถูกกระชับให้ปกคลุมใบหน้าอีกครั้ง ก่อนที่ร่างเล็กจะเดินไปกดลิฟท์และออกจากที่อาคารสูงระฟ้าแห่งนี้ไปโดยจะไม่มีวันกลับมาอีก

     

    - - - - - - - - - - - - - - -

     

    เช้าวันถัดมา คริสตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดเนื้อเมื่อยตัวเนื่องจากการนอนบนพื้นแข็งๆ เป็นเวลานาน เมื่อเปลือกทั้งสองเปิดรับแสงสว่างยามเช้า คริสก็พบว่าเขาถูกทิ้งให้นอนอยู่ในห้องทำงานมาตลอดทั้งคืน แน่นอนว่าเขาหวังให้จุนมยอนมาเรียกกลับไปนอนบนเตียงด้วยกัน แต่ดูเหมือนว่าเด็กคนนั้นจะไม่สนใจเขาเสียแล้ว

    เช้านี้การตื่นนอนของคริสจึงถูกปะปนมาด้วยความหงุดหงิดแทนที่จะเป็นความสดใส เขาไม่เข้าใจว่าจุนมยอนเป็นอะไรหรือกำลังเจอเรื่องอะไรอยู่ ทำไมถึงได้มาพาลใส่เขาขนาดนั้น ตลอดเวลาที่ผ่านมาจุนมยอนไม่เคยทำตัวแย่กับเขาเลย นี่เป็นครั้งแรกที่เด็กน้อยฉุนเฉียวใส่ร่างสูงจนทำให้คริสรู้สึกไม่พอใจไปด้วย

    กายสูงลุกออกไปจากห้องทำงาน คิดว่ายังไงเช้านี้เขาก็ต้องคุยกับจุนมยอนให้รู้เรื่องเพราะเขาไม่ชอบการทะเลาะเบาะแว้งและค้างคาอยู่แบบนี้ เขาอยากมีช่วงเวลาที่ดีกับเด็กน้อยมากกว่าจะต้องมางอนกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่อง มือหนาเปิดประตูห้องนอนเข้าไป พบว่าเตียงใหญ่ไร้ผู้คน มันถูกจัดการพับผ้าห่มและวางหมอนอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว คริสจึงเดินเข้าไปสำรวจในห้องน้ำแทนแต่ก็ยังพบว่ามันว่างเปล่าเฉกเช่นเดียวกับในห้องนอน

     

    “ออกไปเรียนแล้วงั้นเหรอ?”

     

    ร่างสูงพึมพำกับตัวเองก่อนจะเดินต่อไปยังห้องรับแขกและห้องครัว แต่ทุกห้องกลับร้างและว่างเปล่าราวกับไม่เคยมีใครมาเหยียบมันเลย พอลองสำรวจที่ชั้นวางรองเท้า คริสกลับพบว่ารองเท้าของจุนมยอนนั้นหายไปแล้ว เช่นนั้นร่างสูงจึงรีบเดินมาหยิบโทรศัพท์บนโต๊ะตัวเล็กหน้าโทรทัศน์และต่อสายหาจุนมยอนทันที

     

    “ขออภัยค่ะ เลขหมายปลายทางที่ท่านเรียกยังไม่เปิดใช้บริการ”

     

    เสียงตอบกลับอัตโนมัติทำให้คริสขมวดคิ้วแน่นขึ้นมาทันที เขากดวางสายและลองโทรออกอีกครั้ง แต่ก็พบว่าสายของเขายังคงถูกปฏิเสธด้วยข้อความตอบกลับอัตโนมัติเช่นเดิม และมันทำให้คริสหัวเสียซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนต้องวิ่งไปหยิบกุญแจรถในห้องนอนทันที

     

     

     

     

     

     

     

    บีเอ็มดับเบิ้ลยูคันเดิมของคริสพุ่งทะยานไปตามท้องถนนด้วยความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เสียงล้อเบียดถนนเพราะคนขับนั้นกำลังใจร้อนสุดขีด ในมือยังกดเบอร์โทรศัพท์ของจุนมยอนไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ไม่มีวี่แววว่าจุนมยอนจะตอบรับสายของเขาเลย ข้อความตอบกลับอัตโนมัติยังคงทำงานตามปกติ ซึ่งมันหมายถึงว่าจุนมยอนได้ทิ้งซิมการ์ดนี้ไปแล้ว แต่คริสยังไม่อยากจะเชื่อว่าจุนมยอนกำลังเล่นตลกอะไรอยู่กันแน่ เขาจึงเอาแต่กดโทรออก จนสุดท้ายก็ต้องดึงอุปกรณ์บลูทูธออกจากหูด้วยความฉุนเฉียวก่อนจะเลี้ยวเข้าจอดหน้าหอพักของจุนมยอน

    บางทีความหละหลวมในความปลอดภัยของตึกนี้ก็ถือเป็นเรื่องดี เพราะมันทำให้คริสขึ้นไปหาจุนมยอนถึงห้องได้อย่างสบายๆ โดยไม่ต้องแตะคีย์การ์ดใดๆ ให้เสียเวลาเหมือนกับเพ้นธ์เฮ้าส์ของร่างสูงเอง ชายหนุ่มวิ่งขึ้นไปยังชั้นสุดท้ายของตึกแห่งนี้ก่อนจะระรัวมือเคาะประตูห้องของจุนมยอนโดยไม่เกรงใจเพื่อนบ้านคนอื่นๆ

     

    “จุนมยอน! อยู่ในนั้นหรือเปล่า? เปิดประตูให้ฉันเดี๋ยวนี้นะ”

     

    ปั้งๆๆๆ

     

    “คิมจุนมยอน ฉันไม่ตลกกับความงี่เง่านายนะ อย่าทำให้ฉันโมโหได้ไหม!?”

     

    ปั้งๆๆๆ

     

    “คิมจุนมยอน! ฉันบอกให้เปิด!!

     

    คริสส่งความโกรธไปที่ประตูนั่น เขาเคาะมันจนประตูแทบจะหลุดออกจากบานของมันอยู่แล้ว ใบหน้าโกรธจัดในตอนนี้น่ากลัวยิ่งกว่าตอนที่คริสตะหวาดใส่ลูกน้องซึ่งทำงานพลาด ทั้งๆ ที่เขาก็พยายามจะข่มมันเอาไว้และพยายามจะควบคุมอารมณ์ของตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าการกระทำของจุนมยอนในครั้งนี้จะแย่มากจนทำให้คริสควบคุมความโกรธของเขาต่อไปไม่ได้

     

    “คุณคะ.. จุนมยอนไม่น่าจะอยู่หรอกนะคะ”

     

    เพื่อนบ้านของจุนมยอนเปิดประตูออกมา เด็กผู้หญิงวัยรุ่นเอ่ยบอกกับคริสด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ คงเพราะเธอได้ยินเสียงตะหวาดซึ่งดังสนั่นไปทั่วตึกและสีหน้าอันแสนจะไม่พอใจของผู้ชายร่างสูงคนนี้

     

    “ฉันอ่านหนังสือจนถึง 6 โมงเช้าแต่ไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูเลย”

    “ถ้างั้น.. ถ้าจุนมยอนกลับมา คุณช่วยบอกผมได้ไหม? เอาเบอร์โทรศัพท์ผมไปแล้วช่วยโทรมาหาผมทันทีที่จุนมยอนมาที่นี่ ผมติดต่อเขาไม่ได้ตั้งแต่เช้า ที่บ้านของผมเขาก็ไม่อยู่”

    “เขาอาจจะไปเรียนก็ได้นะคะ คุณลองไปดูที่มหาวิทยาลัยหรือยัง?”

    “ยังครับ”

    “ถ้าไม่อยู่ที่มหาวิทยาลัย ก็คงจะอยู่ที่ร้านล่ะมั้งคะ เขาทำงานพิเศษไม่ใช่เหรอ? คุณลองไปตามหาที่นั่นดูค่ะเผื่อจะเจอ แล้วถ้าจุนมยอนกลับมาเมื่อไหร่ ฉันจะบอกให้เขาติดต่อกลับไปหาคุณทันที”

    “ขอบคุณมากนะครับ”

     

     

     

     

     

     

     

    คริสยังไม่ได้วนรถไปที่มหาวิยาลัยเพราะเขาอยากจะเช็คภาพจากกล้องวงจรปิดให้แน่ใจก่อนว่าจุนมยอนออกไปจากเพ้นท์เฮ้าส์ตั้งแต่ตอนไหน ร่างสูงจึงขับรถของเขากลับมาที่ตึกเช่นเดิม ขณะกำลังจะเดินเข้าไปในลิฟท์ก็พบว่าซูฮยอกมานั่งรออยู่ก่อนแล้ว เป็นเพราะคริสโทรบอกให้ซูฮยอกรับรู้ว่าตอนนี้จุนมยอนหายตัวไป เลขาหนุ่มจึงรีบบึ่งมาถึงเพ้นท์เฮ้าส์เพื่อช่วยเจ้านายของเขาตามหาคิมจุนมยอนอีกแรง

     

    “คุณคริสครับ” ซูฮยอกรีบลุกขึ้นและเดินมาหา เห็นคริสกำลังหน้าดำคร่ำเครียดอยู่กับโทรศัพท์ของเขา

    “ซูฮยอก วันนี้ฉันจะเข้างานตอนบ่ายนะ ไม่แน่ก็อาจจะไม่เข้าไปเลยถ้าฉันยังไม่เจอจุนมยอน และฉันก็คงต้องขอแรงให้นายช่วยไปตามดูจุนมยอนที่มหาวิทยาลัยหน่อย ที่คณะเดิมที่นายเคยไปจอดรถรอฉัน ถ้าพบจุนมยอนเมื่อไหร่ล่ะก็รีบพาเขามาหาฉันทันที ส่วนฉันจะไปขอนิติบุคคลเช็คภาพจากกล้องวงจรปิดดู”

    “คือว่า..

    “ไม่ต้องไปตามให้เสียเวลาหรอก”

     

    ใครบางคนพูดขึ้นมาก่อนจะก้าวเท้ามายืนอยู่ข้างหลังเจ้านายของซูฮยอกที่หัวเสียมาตั้งแต่เช้า คิมจงอินมาอยู่ที่นี่ตั้งแต่ตอนไหนคริสเองก็ไม่ทันได้สังเกต แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมาที่นี่เพื่อรอพบกับคริสและพูดคุยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างจริงจัง

    จงอินมองสภาพของเพื่อนในขณะนี้ คริสแทบไม่เหลือคราบผู้บริหารคนเก่งเลยแม้แต่น้อย เขาสวมกางเกงนอนขายาวสีขาว ใส่รองเท้าผ้าใบแทนที่จะเป็นรองเท้าหนังเหมือนอย่างที่จงอินเคยเห็นมาตลอด มีแจ็คเก็ตตัวหนาคลุมกายเอาไว้ ผมเผ้าไม่ได้หวีให้เป็นทรงเรียบร้อยเหมือนทุกวัน ดูแล้วคริสคงจะรีบออกไปตามหาจุนมยอนจริงๆ ถึงได้ไม่ห่วงสภาพของตัวเองเลย

     

    “มึงไม่ต้องไปตามหาเขาหรอกนะ เพราะเขาจะไม่กลับเข้ามาในชีวิตมึงอีกแล้ว”

    “มึงพูดเรื่องอะไรเนี่ย?” คริสหันมาขมวดคิ้วใส่จงอิน ทำท่าจะเหวี่ยงฉุนเฉียวใส่เพื่อนอีกคนโดยที่ตนนั้นลืมตัวไปว่าตอนนี้ตัวเองมีคดีอะไรบ้างที่กำลังติดตัวอยู่

    “จุนมยอนรู้เรื่องมึงหมดแล้วนะ แม่มึงบังคับให้ซูฮยอกพาเธอไปหาจุนมยอนถึงร้านพร้อมกับการ์ดแต่งงาน แถมยังขู่ซูฮยอกอีกว่าถ้าไม่พาไปก็จะเอาอึนบยอลออกจากโรงเรียน เลขามึงเขาก็เลยต้องจำใจพาไปทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เรื่องของเขาเลย”

    “ซูฮยอก..” คริสหันไปหาลูกน้องคนสนิท พบว่าซูฮยอกกำลังมีสีหน้าไม่สู้ดี เขาพยายามจะอธิบายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่คำพูดทุกอย่างกลับจุกอยู่ในคอหมด

    “ผมไม่ได้ตั้งใจนะครับคุณคริส”

    “เลขามึงไม่ผิดหรอกคริส อย่าไปโทษเขาเลย” จงอินเอ่ย “กูไม่อยากจะพูดหรอกนะว่านี่มันก็เป็นความผิดส่วนหนึ่งของมึงเหมือนกัน มึงไม่ยอมบอกเขา ไม่ยอมพูดความจริงจนปล่อยให้เขามารู้เอง จุนมยอนโทรมาร้องไห้กับกูเป็นชั่วโมงเพราะเขาคิดว่าเขาโดนมึงหลอก แต่กูก็อธิบายไปหมดแล้วว่ามึงไม่ได้มีเจตนาแบบนั้น ไอ้เรื่องแต่งงานมันก็เป็นแค่ธุรกิจเท่านั้น แต่จุนมยอนทำใจไม่ได้เลย

    “จุนมยอนรู้เรื่องเมื่อวานงั้นเหรอ?”

    “ใช่ พอเขารู้เขาก็ตัดสินใจที่จะเดินออกมาจากชีวิตมึงทันที เขาแทบไม่ลังเลด้วยซ้ำ เด็กนั่นขอร้องให้กูช่วยพาเขาไปที่ไกลๆ ซึ่งกูก็รับปาก เมื่อคืนกูเป็นคนมารับจุนมยอนออกไปเอง”

    “แล้วตอนนี้จุนมยอนอยู่ที่ไหน? กูต้องคุยกับเขาให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้ กูปล่อยให้จุนมยอนทิ้งกูไปแบบนี้ไม่ได้!” คริสถามจงอินด้วยความลนลาน แต่จู่ๆ ขอบตาของเขาก็ร้อนผ่าวจนจงอินสังเกตเห็นได้ว่าเพื่อนตัวสูงกำลังจะร้องไห้

    “กูไม่รู้ กูไม่รู้ว่าตอนนี้จุนมยอนไปอยู่ที่ไหนแล้ว เมื่อคืนกูส่งเขาที่หน้าสถานีรถไฟแล้วหลังจากนั้นกูก็ติดต่อเขาไม่ได้อีกเลย”

    “มึงส่งเขาตั้งแต่ตอนไหน? เขาออกไปจากบ้านกูตั้งแต่เมื่อไหร่!?”

    “ตี 3 เกือบจะตี 4 แล้วตอนที่กูมารับเขา”

    “ต้องเป็นบ้านคยองซูแน่ๆ จุนมยอนไม่มีเพื่อนที่ไหนอีกแล้วนอกจากคยองซูกับจงแด ถ้าไม่ใช่บ้านคยองซูก็ต้องเป็นบ้านของจงแด กูจะไปหาเขาให้เจอภายในวันนี้ แล้วมึงก็ไม่ต้องมาห้ามด้วย”

    “กูบอกว่าไม่ต้องไปไงคริส! มึงเป็นบ้าไปแล้วเหรอ!?” เสียงตะหวาดลั่นของจงอินดังไปทั่วทั้งล็อบบี้ ทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมานั้นต่างพากันหันมามองเป็นสายตาเดียว ในขณะที่พนักงานประจำตึกมีทีท่าเหมือนกำลังจะเรียกรปภ.รักษาความปลอดภัยมาช่วยดูแลสถานการณ์คับขันในตอนนี้ “กูขอร้องเถอะนะ มึงอย่าไปตามหาจุนมยอนเลย ปล่อยจุนมยอนไปเถอะ จำไม่ได้เหรอว่าอีกไม่กี่วันมึงจะแต่งงานแล้วนะเว้ย ที่ผ่านมามึงมีความสุขมากพอแล้ว มึงต่อเวลาไม่ได้แล้วเข้าใจไหม? ถึงมึงไปอ้อนวอนให้จุนมยอนกลับมาคบมึงยังไง.. ถึงฮเยรินจะใจกว้างขนาดไหน.. แต่แม่มึงเขาไม่ได้ใจกว้างเหมือนฮเยริน แล้วจุนมยอนเองเขาก็ไม่อยากจะกลับมาอยู่กับมึงอีกแล้ว”

    “แต่กูอยู่ไม่ได้จริงๆ จงอิน ถ้าจุนมยอนไม่อยู่กับกู.. แล้วกูจะอยู่ยังไงวะ? ที่ผ่านมา.. ที่กูพยายามรักษาตัวเอง ทุกอย่างก็เพื่อจุนมยอนคนเดียว แล้วจะให้กูปล่อยเขาไปง่ายๆ แบบนี้น่ะเหรอ?”

    “เพราะมันถึงเวลาที่มึงต้องปล่อยแล้วไง ถึงมึงจะยอมจ่ายหนี้ทั้งก้อน ยกบริษัททั้งหมดให้ฮเยริน แล้วยกเลิกงานแต่งงานวันนี้ ยังไงมันก็ไม่มีประโยชน์เพราะเวลาของมึงกับจุนมยอนหมดแล้ว.. มึงทำอะไรไม่ได้แล้ว” เสียงของจงอินอ่อนแรงลง ในขณะที่คริสปล่อยให้น้ำตาของเขาไหลลงมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี “ถ้ามึงทำ.. แม่มึงไม่เอาจุนมยอนไว้แน่”

    “มันเป็นความผิดของกูเองล่ะที่พาเขามารู้จักกับมึง”

    “อย่าตามหาจุนมยอนเลยนะ”

     

    คริสไม่อยากเชื่อ.. ไม่อยากจะเชื่อว่าเขาทำจุนมยอนหลุดมือไปเพราะการกระทำบ้าๆ ของเขาเอง เขาคิดว่าตัวเองจะรับมือไหว แต่ความจริงแล้วเขาไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้เลย เขาคิดเอาเองว่าตนคงใช้ชีวิตแบบที่หวังได้ ก็คือการแต่งงานปลอมๆ กับฮเยริน แต่อยู่กินฉันท์คนรักกับจุนมยอน หากแต่เรื่องมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น แถมยังเป็นไปได้ยาก ซึ่งผลลัพธ์ของมันก็ออกมาให้คริสได้ประจักษ์แล้ว.. จุนมยอนหนีไป ส่วนเขากับฮเยรินก็คงต้องก้มหน้าชดใช้ในสิ่งที่ครอบครัวก่อ

    จะแก้ตัวตอนนี้ก็คงสายไปเสียแล้ว คริสจินตนาการไม่ออกเช่นกันว่าชีวิตที่ไม่มีจุนมยอนจะเป็นอย่างไร แต่เขาคิดว่ามันก็คงจะเงียบเหงาไร้สีสันเหมือนเมื่อก่อน ราวกับดอกไม้แห้งเหี่ยวที่กำลังจะเฉาตาย อาจมีความทรมานเข้ามาผสมปนเปให้ได้เจ็บหัวใจเล่นบ้างชั่วครั้งชั่วคราว

     

    - - - - - - - - - - - - - - -

     

    วันนี้เป็นวันที่ฝนตกหนักอีกหนึ่งวัน มันตกหนักทั้งนอกหน้าต่างและในหัวใจของจุนมยอน เด็กหนุ่มได้แต่นั่งเกาะขอบหน้าต่างมองดูเม็ดฝนอย่างไร้อารมณ์ เปลือกตาทั้งสองข้างบวมแดงไม่หายเพราะจุนมยอนไม่เคยหยุดร้องไห้เลยสักคืน

    จุนมยอนพยายามแล้ว พยายามสุดความสามารถที่จะไม่นึกหาสาเหตุว่าทำไมเรื่องของเขากับคริสถึงจบลงแบบนี้ เขาพยายามบอกตัวเองว่าคริสไม่ผิด แต่มันยากเหลือเกินที่จะต้องยอมรับว่าร่างสูงปกปิดความจริงเอาไว้โดยไม่คิดจะบอกจุนมยอนเลย ยิ่งไปกว่านั้นโลกที่ไม่มีคริสมันช่างเงียบเหงาจนเด็กน้อยเผลอเก็บไปฝันว่าโลกของเขายังมีคริสอยู่เสมอ เขายังได้ยินเสียงหัวเราะของอีกคนดังอยู่ในความฝัน แต่พอตื่นขึ้นมาพบกับห้องมืดๆ และเสียงเครื่องปรับอากาศที่กำลังทำงานจุนมยอนจึงตระหนักได้ว่าเขาแค่ฝันไปเท่านั้น

     

    “จุนมยอน พวกเรากลับมาแล้ว”

     

    เสียงของคิมจงแดทำให้จุนมยอนยอมละสายตาออกเม็ดฝนและสวนข้างบ้านซึ่งประดับประดาไปด้วยไม้ดอกแสนสวย เด็กหนุ่มในชุดสีขาวพยายามปรับสีหน้าให้เป็นปกติก่อนจะหันไปส่งรอยยิ้มจางๆ ให้กับจงแดและคยองซูที่พากันรีบเข้ามาในบ้านเพื่อหลบสายฝนด้านนอก

    เพื่อนทั้งสองหอบหิ้วถุงมากมายมาเต็มสองมือจนจุนมยอนอดสงสัยไม่ได้ว่าในนั้นมีอะไรถูกบรรจุอยู่บ้าง เด็กหนุ่มจึงลุกขึ้นจากโซฟาและเดินเข้าไปช่วยถือถุงพวกนั้นมาวางไว้บนโต๊ะกินข้าว

     

    “มือหายเจ็บแล้วเหรอถึงได้มาช่วยถือเนี่ย”

    “อืม”

     

    ในขณะที่จุนมยอนกำลังวางถุงลงบนโต๊ะ คิมจงแดก็เอ่ยถามพลางมองไปที่หลังมือข้างซ้ายของจุนมยอน จากที่มันเคยเป็นสีแดงและมีเลือดไหลซิบ ตอนนี้มันกำลังแปรเปลี่ยนเป็นสีม่วงช้ำ เส้นเลือดปูดโปนขึ้นจนเห็นสีของมันอย่างชัดเจน ทั้งหมดนี้เป็นผลพวงมาจากวิกฤตที่จุนมยอนเจอในวันแรก เขาต่อยกำแพงอย่างแรงจนหลังมือบวมแดงอักเสบ โชคดีที่ไม่มีกระดูกส่วนไหนแตก แต่มันก็ทำให้จุนมยอนเจ็บจนมือสั่นทำอะไรไม่ได้อยู่สองสามวัน

     

    “ซื้ออะไรมาเยอะแยะเลย?”

    “ก็ขนมปังแล้วก็พวกวัตถุดิบที่ต้องใช้ทำอาหารน่ะ ไหนๆ คยองซูก็จะมาอยู่ที่นี่อีกคนแล้วก็เท่ากับว่าเราจะมีพ่อครัวมาเพิ่มอีกคนนึง เพราะงั้นฉันเลยชวนคยองซูแวะซื้อของกันที่ซูเปอร์ฯ เราจะได้ทำอาหารกินกันเองไม่ต้องออกไปกินข้างนอกให้เปลืองเงิน” จงแดพูด

    “ซื้อมาเท่าไหร่ล่ะ? เดี๋ยวเราช่วยออกเงิน”

    “เรื่องนั้นไว้ก่อนเถอะ ตอนนี้มาช่วยกันคิดเมนูเถอะนะว่าจะกินอะไรกันดี” คยองซูพูด

    “เรากินอะไรก็ได้ที่คยองซูอยากทำ เดี๋ยวเราคอยช่วยข้างๆ ก็แล้วกัน” จุนมยอนส่งรอยยิ้มบางๆ พลางหยิบของในถุงออกมาจัดเรียง พบว่ามันมีทั้งขนมนมเนยหลายยี่ห้อ รวมไปถึงช็อกโกแลต เนื้อสัตว์ และผักชนิดต่างๆ มากมายที่คาดว่าน่าจะกินไม่ทันวันหมดอายุของมัน

    “ขอซื้อคำว่า อะไรก็ได้ได้ไหม? ฉันอยากเอาคำนี้ไปทิ้งจัง” คยองซูหัวเราะเบาๆ “ลองเสิร์ชอินเตอร์เน็ตดูสิ อยากกินอะไรเดี๋ยวฉันจะทำให้หมดเลย”

    “อ่า.. โอเค” จุนมยอนพยักหน้ารับและทำตามที่คยองซูบอก

     

    เด็กหนุ่มเดินมาหยิบโทรศัพท์ของตัวเองและนั่งลงบนโซฟาตัวเดิม เขาพยายามค้นหาเมนูน่าทานหรือเมนูอะไรก็ได้ที่มันพอจะช่วยให้เขาอารมณ์ดีขึ้นมาบ้าง

    จุนมยอนเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ เขาทิ้งซิมเบอร์โทรศัพท์อันเก่าไว้ในกระเป๋าเป้ แต่เขายังใจไม่กล้าพอที่จะลบรูปของผู้ชายคนนั้นออก แม้ว่าจะไม่กล้ากดเข้าไปดูแต่ก็กลับไม่กล้าที่จะลบออกเช่นกัน มันเป็นความรู้สึกแบบที่เรียกว่าสับสน อยากจะลืมเลือน แต่ก็กลัวเขาจะหายไปตลอดกาล จุนมยอนคิดว่าเขาจะรอให้ตัวเองทำใจให้ได้มากกว่านี้ก่อนแล้วจึงจะกลับไปลบมันออก หรือบางทีเขาอาจจะลบมันออกในวันที่คริสแต่งงานเรียบร้อยแล้ว

     

    “กินนี่ได้ไหม?”

    “ไหนขอดูหน่อย”

     

    ภาพอาหารมื้อเย็นที่จุนมยอนเป็นคนเลือกถูกส่งไปให้คยองซูและจงแดช่วยดู เด็กหนุ่มทั้งสามคนถกเรื่องอาหารเย็นกันอยู่พักใหญ่กว่าจะได้เมนูของวันนี้

    หลังจากนั้นพวกเขาก็ใช้เวลาอยู่ในครัวกันเกือบชั่วโมง แน่นอนว่าจงแดและคยองซูพยายามจะชวนจุนมยอนทำกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้ลืมเรื่องของหัวใจ สองวันแล้วที่จุนมยอนมาหลบพักใจอยู่กับจงแดแทนที่จะไปพักอยู่ในห้องเช่าของตัวเอง แต่เพราะร่างเล็กรู้ดีว่าคริสต้องตามไปหาเขาที่นั่นแน่นอน เด็กหนุ่มจึงตัดสินใจโทรหาจงแดขอมาพักอยู่ด้วยสักระยะ เมื่อจงแดทราบเรื่องเขาจึงอนุญาตให้จุนมยอนมาพักได้ทันที และแน่นอนว่าเมื่อจงแดเปิดประตูออกไปรับเพื่อนตัวเล็ก เขาก็ต้องตกใจกับสภาพน้ำตานองใบหน้าของเด็กน้อยจนต้องคว้ามากอดแน่น

    จุนมยอนสะอึกสะอื้นอยู่กับไหล่ของจงแดอยู่นานสองนาน ซึ่งจงแดเองก็เล็งเห็นแล้วว่ามันไม่ได้การแล้ว เขาจึงรีบรายงานให้คยองซูฟังก่อนที่เพื่อนตาโตจะรีบตามมาประกบจุนมยอนด้วยในวันนี้ แน่นอนว่าคยองซูก็ตัดสินใจที่จะพักอยู่กับจุนมยอนและจงแดที่นี่ด้วยกัน อย่างน้อยมีกัน 3 คนก็น่าจะดีกว่า 2 คน

     

    “วันนี้เขาไปที่คณะหรือเปล่า?”

     

    ท่ามกลางเสียงซาวด์แทร็คของซีรี่ย์เรื่อง Stranger Things ที่กำลังเล่นอยู่บนหน้าจอโทรทัศน์เครื่องใหญ่ของจงแด จู่ๆ จุนมยอนก็เลือกที่จะวางส้อมลงบนจานของเขาและถามเพื่อนทั้งสองที่ไปมหาวิทยาลัยมาในวันนี้

    จงแดซึ่งนั่งอยู่บนพื้นจึงเงยหน้าขึ้นไปมองจุนมยอนนิดหน่อย ส่วนคยองซูเองก็เลือกที่จะเคี้ยวอาหารอย่างเงียบๆ พลางหันไปมองจงแด

     

    “เขาไป เขามารอนายทั้งวัน พอถึงตอน 5 โมงเย็นเขาก็ขับรถออกไป คิดว่าน่าจะไปรอนายอยู่ที่ร้านกาแฟหรือไม่ก็ไปหานายที่ห้องพัก” จงแดเป็นคนตอบ

    “เขาทำให้ฉันไม่อยากไปทำงาน เพราะถ้าฉันไปเจอเขาเข้า.. ฉันได้ตอบคำถามยาวเหยียดแน่” คยองซูพูดหลังจากที่เขากัดเบคอนรสชาติดีเข้าปาก

    “เราขอโทษแทนเขาด้วยนะ”

    “ช่างมันเถอะ ขืนเขามาซักไซ้มากความเกินไป ฉันไล่เขาออกจากร้านแน่ๆ”

     

    จุนมยอนก้มหน้าลงมองจานอาหารบนตักของเขา เขากินมันไม่ลงแล้ว อันที่จริงเขาไม่มีอารมณ์จะกินอะไรมาตั้งแต่แรกแล้ว แต่เขาไม่อยากถูกจงแดดุเลยต้องกินบ้าง ซึ่งตอนนี้มันฝรั่งอบกับอะโวคาโดสเปรดทำให้เขาเอียนจนต้องวางจานลง

     

    “เราคิดถึงคุณคริสทั้งวันเลย ทำยังไงก็ไม่หายคิดถึง อยากได้ยินเสียงจะแย่อยู่แล้ว”

     

    เสียงอู้อี้ทำให้คยองซูต้องวางจานบนโต๊ะก่อนจะขยับเข้าไปหาจุนมยอน และทันที่มือของคยองซูแตะลงบนไหล่ของจุนมยอน น้ำตาของเด็กน้อยก็ร่วงเผาะ จุนมยอนพยายามเช็ดมันออกแต่ดูเหมือนว่ายิ่งเช็ดก็ยิ่งมีแต่จะไหลออกมา

     

    “ทำไมมันยากแบบนี้ล่ะคยองซู? เราเหนื่อยแล้วนะ”

    “นายอกหัก ไม่ได้หกล้มสักหน่อยถึงจะได้หายเจ็บภายในวันสองวัน ทุกอย่างมันต้องใช้เวลาทั้งนั้นล่ะจุนมยอน ฉันเชื่อว่าตอนนี้คุณคริสเองก็คงไม่ต่างจากนายสักเท่าไหร่หรอก นายสองคนเจ็บเหมือนกันทั้งคู่ เพราะงั้นอดทนหน่อยนะ สักวันความเจ็บพวกนี้มันจะหายไปเอง”

    ” จุนมยอนสูดจมูก ส่วนจงแดเองก็ต้องวางจานข้าวแล้วขึ้นมานั่งบนโซฟาและลูบหัวเพื่อนตัวเล็กเพื่อปลอบใจ

    “นายอยู่กับพวกเราแล้ว ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้นนะ พวกเราจะช่วยเยียวยานายเอง” จงแดพูด

    “เรายังมีจงแดกับคยองซู แต่คุณคริสไม่มีใครเลย.. คุณคริสมีแค่เราคนเดียว เราเป็นห่วงเขามากๆ เราอยากเจอเขามากๆ เลยจงแด ฮึก..

     

    จงแดทำได้เพียงแค่ลูบหลังของจุนมยอน เขาไม่รู้เกี่ยวกับวิธีการรับมือกับอาการอกหักมากนัก อาจเป็นเพราะเขาเป็นพวกเย็นชา ไร้ความรู้สึก ตอนที่ได้ยินว่าจางอี้ชิงกำลังติดเด็กคนใหม่.. จงแดไม่ได้มีปฏิกิริยาอะไรมาก เขาแค่รับรู้ ทำใจ และใช้ชีวิตต่อ เพราะเขาตระหนักได้ว่าจางอี้ชิงไม่ใช่คนของเขาอย่างถาวร และเขาเองก็ไม่ได้เป็นอะไรกับผู้ชายคนนั้นนอกจากคู่นอน จงแดจึงเหมือนกับคนที่ตายด้านในเรื่องความรักอยู่ตลอดเวลา

    ในขณะที่คยองซูนั้นมีความสุขดีกับคนคุยปัจจุบันและเขาไม่เคยอกหักมาก่อน การปลอบจุนมยอนจึงเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร แต่เขาก็พยายามอย่างเต็มที่ที่จะช่วยให้จุนมยอนหยุดจมอยู่กับความเศร้า เขาให้จุนมยอนสัญญาว่าจะกลับไปเรียนในอาทิตย์หน้า เพราะการนั่งอยู่กับที่มันยิ่งทำให้เด็กหนุ่มดำดิ่ง ซึ่งจุนมยอนเองก็รับปากว่าจะกลับไปเรียนและทำงานตามปกติอย่างที่คยองซูขอ

    เพื่อนทั้งสองคอยอยู่ข้างจุนมยอนตลอดเวลา เหลือก็เพียงแค่จุนมยอนเท่านั้นที่ต้องดึงตัวเองออกมาจากความเจ็บปวด แม้มันจะต้องใช้เวลาแต่ยังไงจุนมยอนก็ต้องทำ

     

    - - - - - - - - - - - - - - -

     

    อีกฟากหนึ่งของคนที่ต้องเผชิญกับความเศร้าในครั้งนี้ ทุกๆ ยังคงถูกดำเนินการต่อไปโดยเฉพาะเรื่องของงานแต่งงาน วันนี้คริสเข้ามาลองสูทเป็นครั้งสุดท้ายพร้อมกับฮเยรินและจางอี้ชิง ขณะที่ฮเยรินกำลังช่วยจัดปกเสื้อสีขาวให้เข้าที่ สายตาและจิตใจของคริสไม่ได้อยู่ที่ชุดสูทหรือวันแต่งงานที่กำลังจะใกล้เข้ามาเลย เขาเอาแต่คิดถึงจุนมยอน.. ตลอดทั้งวันเวลาที่ผ่านมาในหัวของเขามีแค่จุนมยอนคนเดียวเท่านั้น

     

    “เรียบร้อยแล้วค่ะ ลองส่องกระจกดูนะคะ”

    “ขอบใจ” คนตัวสูงเอ่ยเสียงเบา เขาส่งรอยยิ้มให้ฮเยรินอย่างเบาบาง แต่เด็กสาวก็ยังคงสังเกตเห็นเรียวคิ้วหนาที่ยังขมวดอยู่นิดหน่อย และมันทำให้เธอยิ่งรู้สึกผิดเข้าไปทุกที

     

    อกผายของคริสรับกับสูทสีเทาและเสื้อเชิ้ตคอปกสีขาวเป็นอย่างดี เขาใช้มือจัดเนคไทสีขาวให้เข้าที่ก่อนจะหันหน้าไปมองกระจกเงา ถ้าติดดอกไม้ไว้ที่อกทุกอย่างก็จะดูเพอร์เฟ็คและพร้อมสำหรับการเดินเข้างานทันที หากแต่สีหน้าของว่าที่เจ้าบ่าวนั้นดูไม่ค่อยจะพร้อมนัก ซึ่งฮเยรินเองก็สังเกตเห็นได้ว่าคริสกำลังเผชิญอยู่กับความเจ็บที่ยากจะรักษาให้หายได้ภายในเร็ววัน

    ฮเยรินรู้ว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง คริสบอกเธอว่าจุนมยอนรู้เรื่องทุกอย่างแล้ว และพวกเขาจบแบบไม่สวยเท่าไหร่นัก และตอนนี้จุนมยอนเองก็หายตัวไปโดยที่คริสไม่สามารถเดาออกเลยว่าเด็กน้อยของเขาหายไปอยู่ที่ไหน เขาได้แต่ภาวนาให้ได้เจอจุนมยอนสักวันหรือโทรกลับมาหาเขาบ้าง แต่กลับไร้วี่แววว่าเด็กหนุ่มจะติดต่อกลับมา ไม่มีแม้แต่ข้อความหรือเสียงตอบรับจากปลายสาย ทุกครั้งที่คริสโทรไปหาจุนมยอน.. เสียงที่ตอบกลับมาก็ยังคงเป็นเสียงข้อความอัตโนมัติเช่นเดิม

    6 วันแล้วที่คริสไปเฝ้ารอจุนมยอนหน้าห้องพักทุกคืน คนที่ผ่านไปผ่านมาแถวนั้นคงเห็นคริสนั่งสัปหงกอยู่หน้าห้องจุนมยอนจนชิน ไม่ต่างอะไรจากพวกนักศึกษาในคณะของจุนมยอนที่มองเห็นชายชุดสูทสีดำมานั่งรอใครสักคนใต้ตึกทุกวันตั้งแต่เช้ายันเย็น คริสไปทุกๆ ที่อย่างไร้ความหวัง ในขณะที่จงอินเอาแต่พร่ำบอกว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรที่ต้องเจอจุนมยอนในตอนนี้ ทุกอย่างมันไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ ยังไงเสียงานแต่งงานก็จะต้องเกิดขึ้นและพวกเขาต้องปล่อยให้เรื่องที่เกิดขึ้นในอดีตเป็นเพียงแค่ความทรงจำอันแสนสวยงาม

     

    “คงไม่มีอะไรต้องแก้แล้วล่ะฮเยริน เอาชุดนี้กลับบ้านเลยก็ได้”

    “แน่ใจนะคะ? ถ้าถึงวันงานแล้วใส่ไม่ได้.. พี่ต้องเอาสูทที่พี่ใส่ทำงานมาใส่แทนนะคะ”

    “อืม ใส่ได้อยู่แล้วล่ะ พี่คงไม่อ้วนขึ้นไปมากกว่านี้หรอก พี่กินอะไรไม่ลง”

    “พี่คริส

    “รู้ไหม จุนมยอนอยากเห็นพี่ใส่สูทสีนี้มาตลอด แต่พี่บอกเขาว่าพี่ไม่ชอบสูทสีสว่าง จุนมยอนก็เลยหาเนคไทสีสว่างมาให้พี่ใส่แทนเพราะเขาไม่ชอบความอึมครึมในตัวพี่ เขาอยากให้มีสีสว่างสดใสแทรกมาบ้าง”

    “แล้วชุดเจ้าสาวของเธอล่ะ ต้องแก้อะไรอีกไหม?”

    “ไม่แล้วค่ะ มันเสร็จเรียบร้อยแล้ว”

    “แล้วทำไมไม่เห็นใส่มาให้พี่ดูบ้าง?”

    “หนูคิดว่าพี่คงไม่อยากเห็นมันเท่าไหร่ ก็เลยเอาลงกล่องแล้วเรียบร้อย”

     

    คริสพยักหน้ารับเบาๆ เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำให้ฮเยรินซึมไปด้วย แต่ปากเจ้ากรรมและหัวใจที่มันเอาแต่คิดถึงเด็กคนนั้นทำให้เผลอพลั้งพูดออกไป ให้ตายยังไงคริสก็ไม่มีวันลบจุนมยอนได้แน่นอน เด็กคนนั้นเป็นคนเดียวที่เข้ามาทำให้ชีวิตของคริสกลับมามีสีสัน ทำให้ผู้ชายคนนึงที่กำลังป่วยทางจิตใจกลับมาเป็นผู้เป็นคนขึ้นและอยากจะมีชีวิตอยู่ต่อ คนที่สำคัญกับเราขนาดนั้น.. ยังไงก็ไม่มีทางลืมมันลง

    ไม่นานฮเยรินก็ออกไปและปล่อยให้คริสถอดสูทออกภายในห้องลองเพียงลำพัง ปล่อยให้คริสอาศัยอยู่กับความเงียบที่เขาสร้างขึ้นมาเองโดยไม่พูดไม่จากับใคร แม้ว่าวันนี้จะมีเพื่อนสนิทอีกคนติดสอยห้อยตามมาด้วยก็ตาม

    วันนี้เลย์ตามมาช่วยคริสแก้สูทด้วย อันที่จริงเรื่องสูทนั้นเป็นแค่ประเด็นรอง แต่ประเด็นหลักที่เลย์มาหาเพื่อนในวันนี้ก็คืออยากจะมาดูว่าเพื่อนของเขายังไหวหรือไม่ เพราะคริสมีโรคประจำตัว และการเจอเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจขนาดนี้อาจทำให้ร่างสูงคิดอะไรบ้าๆ ได้ เลย์จึงอดห่วงไม่ได้จนต้องขอลางานครึ่งวันมาขลุกอยู่ในห้องทำงานของคริสตั้งแต่บ่าย

    ขณะที่คริสกำลังติดกระดุมเสื้อเชิ้ตคอปกสีดำตัวเดิมที่เขาใส่เข้ามาในร้าน เลย์ก็เดินเข้ามาก่อนจะสอดมือของเขาเอาไว้ที่กระเป๋ากางเกงแล้วยืนพิงกับขอบประตูของห้องลองชุด พลางมองดูใบหน้าไร้อารมณ์ของคริส

     

    “จะไปส่งฮเยรินหรือเปล่า?”

    “ฮเยรินจะกลับเอง เธอมีนัดทานข้าวกับเพื่อนต่อแถวๆ นี้ก็เลยจะแยกกับเราตรงนี้เลย”

    “อ่อ” เลย์ตอบเสียงเบา

    “แล้วมึงไม่ไปหาเด็กมึงเหรอ?”

    “คนไหนล่ะ?”

    “ก็คนใหม่ที่มึงเอาไปนอนด้วยทุกคืน”

    “วันนี้กูบอกเขาแล้วว่าจะอยู่คนเดียว ช่วงนี้กูเบื่อๆ ก็เลยไม่อยากสุงสิงกับใครนัก”

    “อืม”

     

    กับบางคน.. การตัดใจหรือการเปลี่ยนใจช่างเป็นเรื่องง่ายเหลือเกิน ในขณะที่คริสไม่เคยลืมจุนมยอนแม้แต่วินาทีเดียว ราวกับว่าจุนมยอนถูกฝังอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของหัวใจ พยายามจะดึงออกไปเท่าไหร่ก็รังแต่จะยิ่งจำมากขึ้น

     

    “เด็กกูโทรมาบอกว่าเด็กมึงหนีไปอยู่บ้านเขา” ก่อนที่เลย์จะตัดสินใจพูดคำนี้ ร่างสูงสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่

     

    เมื่อคืนจงแดโทรมาหาเลย์ในระหว่างที่เขากำลังจะขับรถไปรับเด็กหนุ่มอีกคน จงแดพูดด้วยน้ำเสียงเบาบางคล้ายกับเกรงใจเหลือเกินที่ต้องโทรมารบกวนเลย์ในยามนี้ เขาบอกว่าจุนมยอนหลบภัยมาอยู่กับตนได้หลายวันแล้ว แถมยังไม่ไปเรียน ไม่ไปทำงานที่ร้านกาแฟ และซึมเศร้าจนน่าเห็นใจ พอร่างสูงได้ยินดังนั้นจึงอดคิดไม่ได้ว่าเขาควรบอกให้คริสรู้ดีหรือไม่? เพราะตัวคริสเองก็เป็นห่วงจุนมยอนมากเช่นกัน เขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้จุนมยอนอยู่ที่ไหน สบายดีหรือเปล่า เจ็บป่วยตรงไหนบ้างหรือไม่

    เช่นนั้นแล้วเพื่อลดความวิตกของคริสลง.. เลย์จึงตัดสินใจที่จะบอก และทันทีที่เขาพูดออกไปนั้นเพื่อนของเขาก็ชะงักมือที่กำลังผูกเนคไทและหันมามองทันที

     

    “จุนมยอนอยู่กับจงแดงั้นเหรอ?”

    “ใช่ อยู่กับจงแดแล้วก็เพื่อนอีกคน”

    “เขาเป็นอะไรไหม? จงแดได้บอกหรือเปล่าว่าจุนมยอนสบายดีหรือเปล่า?”

    “เด็กมึงสบายดี ในทางร่างกายก็ไม่ได้แย่แต่ก็ไม่ได้ดี ส่วนในทางจิตใจน่ะสาหัตพอสมควร จุนมยอนร้องไห้จนตาอักเสบ กินข้าวน้อย ไม่ค่อยมีแรงเดินออกไปไหน นอนอยู่ในบ้านอย่างเดียว”

    “เพราะกูสินะ.. กูทำให้เด็กคนนั้นเจ็บตัวอีกแล้ว”

    ” เลย์เลียริมฝีปากอันแห้งผากของเขานิดหน่อย ยังมีอีกเรื่องที่เขาใช้เวลาคิดมาอย่างหนัก คิดมาตลอดทั้งวันว่าควรจะบอกคริสดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็เลือกที่จะพูดเพราะเขาทนเห็นเพื่อนซึมเศร้าเป็นหมาคอตกต่อไปไม่ไหวแล้ว “กูจะให้ที่อยู่จงแดกับมึง แต่มึงต้องสัญญากับกูก่อนว่ามึงจะไปเพื่อบอกลา ไม่ใช่ไปลากเขากลับมา”

    “รู้ตัวไหมว่ามึงกำลังพูดแบบเดียวกับไอ้จงอิน”

    “แล้วรู้ตัวไหมว่าที่สิ่งมึงอยากทำคือการลากจุนมยอนกลับมาลงเหว”

    “กูขอเถอะคริส อย่าทำให้จุนมยอนมาลำบากกับมึงเลย”

     

    - - - - - - - - - - - - - - -

     

    “ฉันจะออกไปซื้อของ มีใครจะเอาอะไรไหม?”

    “เราไม่เอาคยองซู ขอบใจนะ”

    “ไม่เอาเหมือนกัน แต่ต้องให้ไปเป็นเพื่อนไหม?”

    “ไม่เป็นไรจงแด ฉันไปเองได้”

    “อื้อ งั้นเอาร่มไปด้วยนะ ฝนเริ่มลงเม็ดแล้ว”

    “เข้าใจแล้ว”

     

    วันนี้ก็ยังคงเป็นอีกวันที่จุนมยอนไม่คิดจะออกไปข้างนอกบ้าน เขายังคงนอนขลุกอยู่กับความเศร้าหมองต่อไป แต่พรุ่งนี้เขาต้องทำตามสัญญาของคยองซู นั่นก็คือการออกไปเรียนและกลับเข้าทำงานเช่นเดิม

    แม้ว่าอากาศจะไม่เป็นใจเท่าไหร่แต่เด็กน้อยที่ชอบสายฝนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วอย่างคยองซูกลับไม่ได้รู้สึกแย่อะไรมากนัก เขาดึงฮู้ดสีดำขึ้นมาคลุมหัว ก่อนจะรีบวิ่งออกจากตัวบ้านและเปิดประตูรั้วไม้บานเล็กออก ร่มคันเล็กสำหรับคนเดียวถูกกางให้คุมหัวเอาไว้ มือข้างที่ยังว่างสอดเข้าในกระเป๋าเสื้อฮู้ดก่อนเด็กหนุ่มตาโตจะเดินตรงไปยังร้านสะดวกซื้อใกล้บ้าน

    แม้ว่าวันนี้จะมีสายฝนคอยบดบังตึกรางสูงใหญ่ แต่เขาก็ยังคงมองเห็นแสงสีจากตึกพวกนั้น มันเป็นความสวยงามอย่างหนึ่งค่ำคืนวันฝนตก เพราะนอกจากจะได้นั่งมองหยดน้ำที่กำลังหยดลงบนหน้าต่างแล้ว สายฝนก็ยังช่วยกันผู้คนออกจากถนนและความวุ่นวายต่างๆ ในเมือง ทำให้เมืองใหญ่แห่งนี้ตกอยู่ในความสงบชั่วขณะ

    แต่เมื่อเดินไปได้เพียงไม่กี่ก้าว คยองซูก็สังเกตเห็นได้ถึงชายร่างสูงที่กำลังหยุดอยู่ไม่ไกล เขายืนห่างจากคยองซูไม่มากนัก และเมื่อเพ่งสายมองผ่านเม็ดฝนอีกที เขาก็พบว่าคริสกำลังยืนเอามือป้องศีรษะเพื่อบังสายฝนเอาไว้ เพียงเท่านั้นคยองซูก็รีบหมุนกลับและเตรียมจะออกวิ่งหนี หากแต่เขาโดนมือของชายตัวสูงคว้าเอาไว้

     

    “คยองซู เธอคือคยองซูใช่ไหม?”

    ” เด็กหนุ่มตาโตหันมามองคริสอย่างกล้าๆ กลัวๆ เขาไม่ตอบรับหรือแม้แต่จะพยักหน้า แต่ร่างเล็กคิดว่าคริสคงจะได้รับคำตอบแล้ว “คุณมาทำอะไรที่นี่ฮะ?”

    “จุนมยอนอยู่กับนายแล้วก็จงแดใช่ไหม?”

    “ใครบอกคุณ? คุณรู้เรื่องนี้ได้ยังไง? จงแดบอกคุณงั้นเหรอ?”

    “มันไม่สำคัญว่าใครจะบอกฉัน แต่ฉันขอคุยกับจุนมยอนได้ไหม? ฉันอยากเจอเขาจริงๆ”

    “แต่จุนมยอนเขาไม่ได้อยากเจอคุณนะ ขืนถ้าเขาเห็นคุณอยู่ที่นี่เขาต้องทรุดลงอีกแน่ๆ พรุ่งนี้เขากำลังจะไปเรียนแล้วนะครับ อย่าทำให้เขาเหนื่อยใจไปมากกว่านี้เลย”

    “ไม่ได้ ฉันจะปล่อยให้จุนมยอนกับฉันเดินจากกันไปแบบนี้ไม่ได้”

    “คยองซูฉันขอร้องล่ะ ฉันมีเรื่องต้องคุยกับจุนมยอนจริงๆ” คริสอ้อนวอน พลางปล่อยมือออกจากข้อมือเล็ก สีหน้าของเขาแสดงความเศร้าหมองออกมาไม่ต่างจากจุนมยอนเลย ดวงตาของเขาดูว่างเปล่าและเหมือนคนหมดอาลัยตายอยาก เขาดูอับจนหนทาง มืดมิดไปทุกด้าน “ฉันมีเรื่องต้องคุย.. ต้องขอโทษเขา”

    “ผมจะลองไปตามให้นะครับ แต่ถ้าจุนมยอนไม่ยอมออกมา คุณก็ต้องกลับไป..

    “ได้ ฉันจะทำตามที่นายบอก”

     

    คยองซูพยักหน้าเบาๆ เขายอมให้คริสพบจุนมยอนเพียงเพราะเขาอยากให้คนทั้งสองจบกันด้วยดีจริงๆ แม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันจะแย่มากก็เถอะ แต่ในเมื่อคริสตามหาจุนมยอนเจอแล้ว.. เขาก็สมควรที่จะได้รับโอกาสอีกครั้ง

    ในขณะที่คยองซูเดินกลับเข้าไปยังบ้านชั้นเดียวหลังเล็กนั่น คริสก็กำลังยืนรอเด็กหนุ่มอย่างมีความหวัง เขาอยากพบจุนมยอนมาตลอดหลายวัน เขาภาวนาเพื่อให้ทั้งสองได้พบกันอีกครั้ง เขาอยากกอดจุนมยอนจะแย่ อยากถามว่าสบายดีหรือไม่ทั้งๆ ที่เขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าจุนมยอนกำลังเจ็บ

    10 นาทีสำหรับการยืนตากฝนยังน้อยไปด้วยซ้ำสำหรับคนที่โกหกปิดบังจุนมยอนมาตลอดเวลา สายฝนเริ่มเทลงมาหนักมากขึ้น และดูเหมือนว่ามือที่คริสใช้บังศีรษะของตนเอาไว้จะไม่สามารถช่วยอะไรได้แล้ว ขณะนั้นร่างสูงก็ได้ยินเสียงคนเลื่อนประตูรั้วออกมา ไม้เลื้อยที่ซึ่งเลื้อยเกาะตามประตูขยับไหวไปตามแรงเคลื่อน ตอนนั้นดวงตาของคริสเต็มไปด้วยความหวัง หวังว่าคนที่กำลังเดินออกมานั้นจะเป็นคิมจุนมยอน เด็กผู้ชายคนที่เขารอมาทั้งอาทิตย์ แต่เสมือนกำลังรอมาทั้งชีวิต (ตรงนี้ถ้าฟังเพลง Timeless – NCT U ด้วยจะดีมากๆ ค่ะ)

    และใช่.. คิมจุนมยอนกำลังเดินออกมา ใบหน้าของเขายังคงประดับไปด้วยรอยยิ้มจางๆ แต่คริสมองเห็นว่าดวงตาของจุนมยอนนั้นบวมเป่ง ยิ่งไปกว่านั้นมือซึ่งถือคันร่มอยู่มีความฟกช้ำจนน่าตกใจ ทำเอาใจร่างสูงร่วงไปถึงไหนต่อไหน

     

    “ทำไมเลิกงานเร็วจังเลยล่ะฮะ?”

    “จุนมยอน มือไปโดนอะไรมา?” มือข้างที่ถือคันร่มถูกจับมาสำรวจอย่างเบามือ อาการฟกช้ำพวกนั้นทำให้คริสขมวดคิ้วแน่น และตอนนั้นเองที่จุนมยอนคิดว่าหัวใจของเขาเต้นแรงที่สุดในชีวิต เขาจำได้ว่าวันที่เขาเจอคริสในร้านกาแฟ.. หัวใจดวงน้อยยังไม่เต้นแรงขนาดนี้เลย

    “หกล้ม”

    ” เมื่อสองหูได้รับฟัง แทนที่หัวใจจะเชื่อแบบนั้น.. แต่หัวสมองกลับบอกว่าจุนมยอนกำลังโกหก เด็กน้อยไม่ได้หกล้ม แต่เขาทำอะไรบางอย่างลงไปเหมือนกับที่คริสเคยทำตอนเด็กๆ ในวันที่แม่ตบหน้าเขาต่อคนทั้งบ้าน เพียงเพราะเขาไม่ยอมออกมาจากบ้านของมินซอกตามเวลาที่ตกลงกันไว้ แผลต่อยกำแพงมันไม่ได้น่าฉงน มันเจ็บปวด และอาจรุนแรงถึงขั้นกระดูกแตก รูปร่างผิดไปจากเดิม

     

    ในเมื่อจุนมยอนเลือกที่จะไม่บอกความจริง คริสก็เลือกที่จะไม่ซักไซ้ จะไม่ถามว่าเพราะเหตุใดถึงต่อยกำแพงจนเป็นแผลขนาดนี้ เพราะเขารู้คำตอบนั้นอยู่แล้ว.. ขนาดเขายังปิดบังเรื่องทุกอย่างจากจุนมยอนได้เลย แล้วทำไมจุนมยอนจะปิดบังไม่ได้บ้าง

     

    “เจ็บไหม?”

    “ก็เจ็บ..จุนมยอนพยายามอย่างมากที่จะบังคับไม่ให้น้ำตาไหลออกมา พยายามสุดชีวิตที่จะไม่กอดคริสและอ้อนวอนกับเขาว่าช่วยอยู่กับผมเถอะ ผมไม่อยากเสียคุณไป แต่เพราะงานแต่งงานกำลังจะเกิดขึ้นในอีก 4 วัน เช่นนั้นแล้วการอ้อนวอนจึงไม่มีประโยชน์

    “จุนมยอน.. ฉันอยากอธิบายให้ฟัง อยากจะขอโทษแล้วก็อยากจะบอกว่าฉันไม่.. ฉันไม่อยากเสียนายไป”

    “ผมรู้หมดแล้วล่ะ คุณจงอินเล่าให้ผมฟังแล้ว คุณไม่ต้องอธิบายหรอกครับผมเข้าใจ”

    “ฉันจะแต่งงานแค่ปีเดียวเท่านั้น หลังจากที่สะสางทุกอย่างเสร็จฉันจะตัดทุกคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตออกไปให้หมด มันจะน่ารังเกียจไหมถ้าฉันจะ.. จะขอให้นายรอ”

    “ฉันไม่อยากเสียนายไปจริงๆ นะ ฉันทนไม่ไหวจริงๆ ถ้าจะต้องปล่อยนายไป จุนมยอนนา..” เป็นคริสเองที่ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้ เขาก้มลงซบใบหน้าเข้ากับไหล่ของจุนมยอน เสียงสั่นๆ ของเขาทำให้เด็กน้อยเริ่มควบคุมน้ำตาของตัวเองไม่ได้ “ขอโทษ ฉันขอโทษนะจุนมยอน”

    “ผม.. คงรอคุณไม่ได้หรอกฮะ ขอโทษด้วย”

    “ทำไมล่ะ? ทำไมถึงรอไม่ได้? 1 ปีเท่านั้นจุนมยอน ฉันสัญญาว่าฉันจะไม่ทำให้นายเสียเวลา ฉันอยากอยู่กับนายจริงๆ”

    “จุนมยอน..

    “ผมไม่อยากรอคุณแล้ว”

    “คุณคริส ผมกลัวคุณ กลัวครอบครัวคุณ กลัวคนรอบตัวคุณ ผมเป็นแค่เด็กคนนึงที่สู้ใครไม่ได้เลย เพราะงั้นผมถึงไม่อยากกลับเข้าไปเผชิญหน้ากับแม่คุณอีก ถ้าผมกลับไปอยู่กับคุณ นอกจากผมที่จะโดนแม่คุณรังควานแล้ว คุณเองก็จะโดนไปด้วยนะฮะ”

    “แต่ฉันจะไม่ปล่อยให้ใครมาทำร้ายนายอีกแล้วจุนมยอน ฉันจะปกป้องนาย..

    “ถ้าคุณทำได้อย่างที่พูด เราคงไม่เป็นแบบนี้หรอกครับ”

     

    จุนมยอนสูดหายใจเข้าและดุงข้อมือของตนออกมาจากมือหนา เขาสูดจมูกเล็กน้อยก่อนจะกลั้นใจพูดกับคริส

     

    “คุณคริส อีก 4 วันก็จะถึงวันแต่งงานของคุณแล้ว เพราะงั้นอย่ามาเสียเวลากับผมเลยนะครับ คุณควรพักผ่อน รักษาสุขภาพแล้วก็เตรียมตัวเข้าพิธีวิวาห์”

    “คุณต้องหล่อมากแน่ๆ เลยถ้าให้ผมเดา คุณคงจะใส่สูทสีขาวหรือไม่ก็สีสว่างเหมือนในภาพยนตร์ที่เราเคยดู ซึ่งผมเองก็อยากเห็นคุณใส่ชุดนั้นมาตลอด..

    “ไม่เอาน่าจุนมยอน อย่าพูดแบบนี้

    “ถ้าผมว่างผมจะไปนะฮะ แต่ถ้าผมไม่ไปก็อย่าแปลกใจ เพราะจริงๆ งานนั่นก็ไม่ได้เชิญแขกอย่างผมอยู่แล้ว”

    “ลาก่อนนะครับ ขอบคุณที่เข้ามาทำให้ชีวิตผมมีความสุขนะครับ ถึงจะเป็นช่วงเวลาที่ไม่นาน แต่ผมมีความสุขมากๆ เลยล่ะ”

    “จุนมยอน ได้โปรด..

    “ฝันดีนะฮะ”

     

    เด็กหนุ่มดึงมือของคริสขึ้นมาถือร่มแทนตัวเอง และสุดท้ายก็ต้องตัดสินใจเดินกลับเข้าบ้านไปโดยต้องทิ้งให้คริสยืนอยู่กับสายฝนเพียงลำพัง และเมื่อพ้นประตูรั้วมาแล้ว.. เมื่อประตูรั้วสามารถกั้นจุนมยอนออกจากคริสได้แล้ว เด็กน้อยก็ปล่อยโฮออกมาท่ามกลางเม็ดฝนซึ่งหล่นมาไม่ขาดสาย สองแขนยกขึ้นกอดตัวเองขณะพาร่างอันไร้เรี่ยวแรงกลับเข้าไปในตัวบ้าน

    คริสกำคันร่มเอาไว้แน่น มันจบแล้ว.. เรื่องระหว่างเขากับจุนมยอนจบลงแล้วจริงๆ ไม่มีการต่อเวลา ไม่การขอให้รอคอย ไม่มีแม้กระทั่งความหวังใดๆ ทั้งสิ้น เขาทำทุกอย่างพังด้วยน้ำมือของเขาเอง เขาทำหัวใจของจุนมยอนป่นปี้จนไม่เหลือชิ้นดี เป็นเขาเอง.. เป็นความผิดของเขาเอง เขามันโง่เองทั้งนั้น และนี่ก็คือจุดจบของคนที่ทำลายหัวใจดวงน้อยดวงนั้น

     

    - - - - - - - - - - - - - - -

     

    กลิ่นอายจากเมล็ดกาแฟอบอวลไปทั่วร้าน มือเล็กกดปุ่มบนเครื่องชงกาแฟด้วยความคุ้นชิน เมื่อได้กาแฟที่มีกลิ่นหอมแล้วจุนมยอนจึงนำมันมาตกแต่งลาเต้อาร์ตก่อนจะจัดเสิร์ฟให้กับลูกค้าที่กำลังนั่งรออยู่ตรงโต๊ะริมหน้าต่าง

    วันนี้จุนมยอนค่อนข้างทำได้ดีเลยทีเดียวกับการไม่ใส่ใจเรื่องที่ชวนหนักหัวและพยายามตั้งใจทำงาน สองมือจัดเตรียมกาแฟและเบเกอรี่ให้ลูกค้าอย่างคล่องแคล่วโดยมีคยองซูคอยดูอยู่ห่างๆ

     

    พรุ่งนี้ก็จะถึงวันแต่งงานแล้ว

     

    นั่นเป็นเสียงความคิดของคยองซูเอง เขาไม่รู้ว่าจุนมยอนทำใจได้มากน้อยแค่ไหน แต่สภาพจิตใจนั้นดีขึ้นมาในระดับหนึ่งแล้ว เพราะจุนมยอนสามารถออกมาเรียนและทำงานได้ สายตาของเขาจดจ่อไปที่โปรเจคเตอร์ตลอดเวลา ที่สำคัญไปกว่านั้นเพื่อนตัวเล็กนั้นหยุดร้องไห้ตั้งแต่วันที่เขาได้พบกับคริสเป็นครั้งสุดท้าย แม้ว่าจะไม่มีน้ำตาแต่ใบหน้าก็ยังคงไร้รอยยิ้มสดใสดั่งเมื่อก่อน

     

    “จุนมยอน.. จงแดส่งข้อความมาชวนไปเดินเล่นที่ฮงแดคืนนี้อ่ะ ไปด้วยกันนะ”

    “วันนี้ไม่ได้หรอกคยองซู เรามีธุระต้องไปจัดการน่ะ ว่าจะวิ่งไปซื้อของเข้าห้องสักหน่อย”

    “อ่าว ไปนานขนาดนั้นเลยเหรอ?”

    “ก็.. น่าจะสัก 2 ชั่วโมงได้”

    “งั้นทำธุระเสร็จแล้วก็ตามมาสิ”

    “อ่า.. ถ้าเสร็จเร็วจะตามไปนะ แต่ไม่ต้องรอเรา.. เดินกันตามสบายเลย จะกลับตอนไหนก็กลับเลยไม่ต้องรอ แต่ถ้าเราเสร็จเร็วเราจะโทรหาแล้วกัน”

    “อื้อ”

     

    วันนี้จุนมยอนตัดสินใจที่จะกลับไปนอนห้องพักสี่เหลี่ยมนั่นเหมือนเดิมเพราะเขารบกวนจงแดมาหลายวันแล้ว แม้ว่าเด็กหนุ่มจะกังวลนิดหน่อยถ้าต้องอยู่โดยไม่มีเพื่อน แต่เขาคิดว่ามันก็คงจะไม่ได้แย่ขนาดนั้น

     

     

     

     

     

    จุนมยอนใช้เวลาตลอดช่วงค่ำอยู่ในร้านกาแฟมาจนถึง 3 ทุ่มตรง เมื่อหมดหน้าที่ในร้านกาแฟแล้วเด็กหนุ่มจึงรีบเก็บผ้ากันเปื้อนลงกระเป๋าและแยกกับคยองซูที่ร้านสะดวกซื้อ จุนมยอนเลือกการนั่งรถไฟไปยังอีแทวอนเพื่อตามหาสิ่งของบางอย่างที่จำเป็นสำหรับวันพรุ่งนี้

     

    หนึ่ง.. ชุดที่สุภาพแต่ดูดีมีราคา

    สอง.. ของขวัญสำหรับแสดงความยินดี

     

    จุนมยอนตัดสินใจแล้วว่าพรุ่งนี้เขาจะไปแสดงความยินดีกับบ่าวสาวตามคำเชิญของแม่ของคริส ทั้งๆ ที่ก็ไม่รู้เหตุผลว่าทำไมเขาถึงต้องทำเรื่องโง่ๆ พวกนี้ด้วย แต่เด็กหนุ่มจะไป.. อยากรู้ว่าเมื่อคริสใส่สูทสีสว่างแล้วจะเป็นอย่างไร เจ้าสาวของคริสจะสวยขนาดไหน ทุกๆ คนจะมีความสุขกันแค่ไหน เช่นนั้นจุนมยอนจึงตัดสินใจนั่งรถมาที่อิแทวอน

    เด็กหนุ่มใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการเดินเข้าออกร้านรวงต่างๆ เพื่อหาชุดและของขวัญที่ตนถูกใจ กว่าจะได้ของแต่ละชิ้นก็เล่นเอาเด็กน้อยปวดหัวเข่าจนต้องหาที่นั่งพัก

    เนื่องจากจุนมยอนไม่ค่อยจะมีเสื้อผ้าดีๆ ใส่กับคนอื่น ปกติเขาจะใส่แต่เสื้อฮู้ดกับกางเกงขายาว หรือไม่ก็เสื้อเชิ้ตสกรีนลาย Minimal เล็กๆ ซึ่งสวมใส่สบาย เวลาทำงานก็มักจะสวมเสื้อตัวบางทะลุปรุโปร่ง บางทีก็เป็นเสื้อเว้าช่วงแขนจนมาถึงเอว การจะหาเสื้อผ้าที่ดูดีและเป็นทางการนั้นจึงเป็นเรื่องยาก ดังนั้นเด็กน้อยจึงต้องมาเดินเลือกหาซื้อชุดใหม่เพื่อใส่ไปงาน แถมยังต้องเป็นชุดที่ดูดี ไม่ควรทำให้งานของตระกูลใหญ่แบบคริสดรอปลงเพราะมีเด็กคนหนึ่งที่แต่งตัวไม่เป็นเข้ามาในงาน

    เมื่อได้เครื่องดื่มเย็นๆ ดับความกระหายแล้ว จุนมยอนจึงเดินเท้าต่อเพื่อหาของขวัญสำหรับคนทั้งสอง เขาไม่รู้รสนิยมของเจ้าสาวเท่าไหร่เพราะเขาไม่รู้จักเธอ แต่ได้ยินจงอินบอกว่าเป็นคนที่ใจดีมากๆ และรู้จักกับคริสตั้งแต่ตอนอยู่มหาวิทยาลัย เช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงสบายใจได้ว่าถ้าหากเขาซื้อของขวัญราคาถูก สีเรียบๆ ไปให้เธอ เธออาจจะไม่หัวเสียและโยนของจุนมยอนทิ้ง ในทางตรงกันข้ามจุนมยอนรู้รสนิยมของคริสเป็นอย่างดี.. ผู้ชายคนนี้ไม่เคยชอบสีสว่าง ชีวิตติดอยู่กับความอึมครึม สิ่งเดียวที่เป็นสีสันในชีวิตของคริสก็คือจุนมยอนเองนั่นล่ะ

    สองชั่วโมงกับการหาชุดและของขวัญเพื่องานนี้ เงินหลายหมื่นวอนที่จุนมยอนยอมเสียเพื่องานนี้งานเดียว ทุกอย่างนี้เกิดมาจากความตั้งใจของจุนมยอนล้วนๆ เพราะเด็กหนุ่มตั้งใจจะทำให้คริสเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่พวกเขาจะต้องแยกทางกันไป จุนมยอนตั้งใจว่าพรุ่งนี้เขาจะยิ้มให้คริสเยอะๆ เพราะรู้ว่าคริสชอบรอยยิ้มของเขาและจะแสดงความยินดีกับพวกเขาอย่างที่ตัวเองลองเขียนบทพูดเอาไว้ในโทรศัพท์..

     

    - - - - - - - - - - - - - - -

     








    (Time Lapse - Taeyeon)

    สถานที่จัดงานแต่งงานในเช้าวันนี้คือสวนสวยที่มีแขกเหรื่อมาร่วมงานประมาณ 60 คน แน่นอนว่าแขกพวกนั้นมาจากคำเชื้อเชิญของผู้ใหญ่ แต่แขกที่คริสเชิญมาด้วยตัวเองนั้นเห็นจะมีอยู่แค่ 3 คน คือ จงอิน เลย์ และซูฮยอกที่ต้องมาทำหน้าที่ขับรถให้คริสอยู่แล้ว

    สูทสีเทาที่คริสเคยลองถูกหยิบมาสวมใส่ สิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาในวันนี้คือดอกไม้ติดหน้าอก มันถูกนำมาติดให้ร่างสูงตั้งแต่ยังอยู่หน้าตึกเพ้นท์เฮ้าส์โดยแม่ของเขาเอง หญิงสาวคนเดิมเข้ามาจัดแจงทุกอย่างให้ลูกชายตั้งแต่เช้าด้วยความตั้งอกตั้งใจ และวันนี้เธอเองก็ดูสง่างามมากเพราะชุดที่ใส่และเครื่องเพชรอีกหลายกระรัตบนร่างกาย ใบหน้าของเธอถูกตกแต่งด้วยเครื่องสำอางและรอยยิ้มซึ่งพร้อมรับแขกตลอดตั้งแต่เช้า

    ในขณะที่คริสกำลังยืนหลบมุมอยู่ที่พุ่มไม้เพื่อหาความสงบให้ตัวเอง จงอินกับเลย์ก็เดินมาเจอเขาพอดี พวกเขาทั้งสองไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เห็นรอยยิ้มของคริสในเวลานี้ แน่นอนว่าคนถูกบังคับให้แต่งงานและเพิ่งผ่านพ้นความเจ็บปวดมาหมาดๆ คงปั้นหน้ายิ้มไม่ออกใดๆ ทั้งสิ้น มือหนาของจงอินเอื้อมไปตบบ่าคริสเบาๆ ก่อนจะส่งรอยยิ้มเบาบางให้ร่างสูงแทน

     

    “สู้นะมึง หนักหน่อยนะวันนี้”

    “หนักกว่านี้ก็เจอมาแล้ว วันนี้กูคงไหวล่ะ ไม่ต้องห่วง” คริสตอบ

     

    ครืด..

     

    โทรศัพท์เครื่องบางซึ่งอยู่ในกระเป๋ากางเกงสั่นเตือน คริสจึงหยิบมันออกมาเช็คว่าข้อความที่ได้มานั้นเป็นของใคร

     

    พี่คะ สัญญาอยู่ที่บ้านพี่ใช่ไหม? ไม่มีอะไรผิดพลาดแน่นะคะ?ฮเยริน

    ใช่ พี่เก็บไว้ในเซฟและแม่ก็ยังไม่เห็น เสร็จงานแล้วเข้ามาเซ็นได้เลย คริส

    โอเคค่ะ หนูจะถึงงานในอีก 15 นาทีนะคะ ฮเยริน

    อืม แขกเต็มงานแล้วตอนนี้ คริส

     

    เมื่อจบการสนทนากับฮเยรินแล้วร่างสูงจึงเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋า เขาสูดหายใจอีกครั้งเพื่อเตรียมรับมือกับงานที่จะต้องถูกดำเนินต่อไปในวันนี้ เขาต้องให้คำสาบาน สวมแหวน และจูบฮเยริน ต้องยิ้มให้กล้องที่กำลังจับภาพมาทางเขากับว่าที่ภรรยา ต้องปั้นหน้าเสแสร้งว่าตนกับแม่นั้นยังรักกันดี ทั้งๆ ที่สายสัมพันธ์มันขาดสะบั้นตั้งแต่วันแรกที่เขารู้ว่าแม่นอกใจพ่อไปแล้ว

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    วันนี้จุนมยอนตั้งใจแต่งตัวเป็นพิเศษ เขาพิถีพิถันกับการจัดทรงผม เขาส่องกระจกซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อเช็คว่าตัวเองนั้นดูดีหรือยัง สุดท้ายก็ตัดสินใจออกมาจากห้องเช่าราคาถูกและขึ้นรถไฟมายังสถานที่จัดงานแต่งงานใจกลางย่านคนรวย

    จุนมยอนพารองเท้าหนังแก้วของตัวเองเดินไปตามจีพีเอสบนโทรศัพท์ แอบกังวลอยู่นิดหน่อยว่าการไม่ใส่ถุงเท้าตามแบบฉบับการแต่งตัวให้สุภาพจะดูไม่ดีหรือเปล่า เพราะกางเกงที่ยาวถึงแค่ครึ่งข้อนั้นปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าจุนมยอนไม่มีถุงเท้า แต่เขาคิดว่ารองเท้าหนังแก้วราคาแพงคู่นี้น่าจะพอช่วยให้กายช่วงล่างดูดีขึ้นมาบ้าง

    สายลมพัดให้เสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาวซึ่งประดับด้วยระบายตรงช่วงคอและรังดุมพลิ้วไหว มันเป็นเสื้อที่จุนมยอนชอบที่สุดในร้าน มันไม่ได้ดูหวานเกินไปหรือแย่เกินไป เช่นนั้นจุนมยอนจึงหยิบมันมาคิดเงินโดยไม่สนราคา แม้ว่าราคาจริงของมันจะเท่ากับเงินเดือนจากร้านกาแฟ 1 เดือนเต็ม

    ในที่สุดจีพีเอสก็พาเด็กหนุ่มมาถึงสถานที่จัดงานแต่งงาน ดูเหมือนงานจะเริ่มไปได้พักหนึ่งแล้ว เขาเห็นสวนสวยและผู้คนมากมายกำลังยืนยิ้มร่วมฉลองให้กับคู่บ่าวสาวในงาน จุนมยอนเองก็เหมือนกันเขามีความสุขที่จะได้เห็นคริสแต่งงาน แม้ว่าคนที่คริสเลือกจะไม่ใช่เขาก็ตาม

    เด็กหนุ่มเดินเข้าไปในงาน มองหาโต๊ะที่ใช้วางของขวัญให้กับบ่าวสาวเพื่อวางของขวัญที่ตนเตรียมมาให้คริสกับฮเยริน

     

    “สวัสดีค่ะคุณปาร์ค เดี๋ยวเชิญในงานได้เลยนะคะ ตอนนี้งานเริ่มไปได้สักพักแล้วค่ะ”

    “อ่า งั้นเหรอ? งั้นผมฝากของขวัญนี่ให้คุณคริสด้วยนะ มันเป็นไวน์ปี 1992 จากโรงหมักที่ฝรั่งเศส ผมยอมเอามันออกมาจากตู้เพื่องานนี้เลยนะ”

    “ได้เลยค่ะ เดี๋ยวดิฉันจะดูแลให้เป็นอย่างดีนะคะ”

    “ขอบคุณมากครับ”

     

    เสียงของคนทั้งสองทำให้จุนมยอนเม้มปากและก้มลงมองรองเท้าของตัวเอง มือข้างหนึ่งซึ่งกำอะไรบางอย่างอยู่ในกระเป๋ากางเกงตัดสินใจทิ้งของสิ่งนั้นให้นอนแน่นิ่งอยู่ในกระเป๋าแทนที่จะเอามันออกมา ของขวัญของเขาเทียบกับไวน์ราคาแพงนั่นไม่ได้เลย เพราะงั้น.. ของขวัญราคาถูกแสนถูกพวกนี้ก็ไม่ควรจะไปอยู่บนโต๊ะปะปนกับของแพงๆ

    เมื่อจุนมยอนตัดสินใจไม่ฝากของขวัญ เขาจึงเลือกที่จะเดินเข้าไปในงาน ตามทางเดินถูกประดับไปด้วยดอกไม้สีขาวที่ถูกโปรยเอาไว้ จุนมยอนเดินไปหาที่ยืนของตัวเองโดยเลือกที่จะยืนอยู่ในแถวสุดท้ายที่เก้าอี้ตัวริมซ้ายมือสุด หวังว่าแขกเหรื่อด้านหน้าอาจช่วยบังไม่ให้แม่ของคริสเห็นว่าเขาเองก็อยู่ที่

     

     

    “อู๋อี้ฟานและซอฮเยริน ท่านทั้งสองมาที่นี้โดยไม่ถูกบังคับ แต่มาโดยสมัครใจใช่อย่างแท้จริงเพื่อเข้าสู่พิธีสมรสใช่หรือไม่?”

    “ครับ / ค่ะ”

     

     

    นั่น.. จุนมยอนเห็นคริสแล้ว เด็กหนุ่มปล่อยให้ตัวเองเผยรอยยิ้มออกมาจนกว้างเพราะในที่สุดเขาก็ได้เห็นคริสใส่สูทสีสว่างเสียที มันเป็นสูทสีเทา มีดอกไม้ประดับหน้าอก ด้านในมีเสื้อเชิ้ตคอปกสีขาวถูกสวมทับและยังมีเนคไทสีขาวคล้องคอเอาไว้ด้วย มือของเขากำลังกุมมือของเจ้าสาวเอาไว้

    เจ้าสาวของคริสเองก็สวยไม่แพ้กัน เธอเปรียเสมือนเจ้าหญิงในนิยายที่ได้อภิเษกกับเจ้าชายในฝัน เธอสวมชุดฟูฟ่องลากยาวถึงพื้น ช่วงบนเป็นลูกไม้ที่ทำให้เห็นช่วงไหล่และหลังอย่างชัดเจน

    พวกเขาทั้งสองคนเหมาะสมกันมากในความคิดของจุนมยอน ฮเยรินดูเป็นผู้หญิงใจดีเหมือนกับที่จงอินเคยเล่าให้ฟัง และจุนมยอนเองก็มั่นใจว่าคริสโชคดีมากที่ได้เจอผู้หญิงยิ้มสวยและดูเป็นมิตรคนนี้ สิ่งเดียวที่จุนมยอนอยากอ้อนวอนขอต่อพระเจ้าคือ.. ขอให้เธอยอมรับในตัวคริส ขอให้เธออย่ารังเกียจในสิ่งที่คริสเป็น ขอให้เธอช่วยคริสให้ผ่านพ้นจากวิกฤตต่างๆ ในจิตใจด้วยเถอะ

    ในขณะที่จุนมยอนกำลังยิ้มและขอพรจากพระเจ้า เขาไม่ทันได้สังเกตว่าตอนนี้บรรยากาศในงานเงียบลงอย่างสงัดและผิดปกติ จนกระทั่งเด็กหนุ่มเริ่มได้สติและเงยหน้าขึ้นมา สิ่งแรกที่เขาพบก็คือสายตาของคริส ก่อนจะได้เห็นว่าคนทั้งหมดในงานกำลังมองมาที่เขา

    ทางฟากของเลย์นั้นก็ตกใจไม่แพ้กันที่เห็นจุนมยอนในงานนี้ เด็กคนนั้นดูน่ารักผิดหูผิดตา แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นสำคัญในตอนนี้ ประเด็นคือตอนนี้หัวใจของคริสหลุดลอย เขาไม่ได้ยินคำที่บาทหลวงกำลังพูด เขาไม่ได้ยินเสียงของฮเยริน เขามองไม่เห็นสายตาดุรั้นของแม่ที่กำลังส่งมา สิ่งเดียวที่คริสกำลังจ้องมองก็คือเด็กผู้ชายที่ยืนอยู่ตรงเก้าอี้ตัวสุดท้าย

    ท้ายที่สุดแล้วสิ่งที่จงอินและเลย์ไม่อยากเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นภายในพริบตา จุนมยอนวิ่งออกไปจากงาน ในขณะที่คริสแทบไม่นึกถึงแม่หรือใครทั้งนั้น เขาปล่อยมือฮเยรินและวิ่งตามจุนมยอนออกมา สามีใหม่ของแม่คริสรีบเข้ามากักตัวร่างสูงเอาไว้ ทว่าเขาดันเจอแรงของลูกเลี้ยงซึ่งมีมากกว่ากระทุ้งศอกใส่ก่อนจะหันไปชกแก้มผู้ชายคนนั้นเต็มแรง

    วินาทีนั้นทุกคนรู้แล้วว่าพวกเขาไม่สามารถห้ามคริสได้ แล้วหลังจากนั้นทุกๆ อย่างในงานก็วุ่นวายเสมือนมีสงครามกลางเมืองเกิดขึ้น ผู้คนแตกฮือ ซูฮยอกวิ่งตามคริสออกไป ทั้งเลย์และจงอินต่างหันมามองหน้ากันก่อนจะตัดสินใจพากันวิ่งตามเพื่อนไปด้วย

     

    “ไอ้คริส! รอพวกกูก่อน!!

    “ตาคริส!! กลับมานี่นะ!

     

     

     

     

     

     

     

    “จุนมยอนรอก่อน!

     

    จุนมยอนวิ่งชนคนบนทางเท้าไปทั่ว เขาขอโทษขอโพยเป็นสิบครั้งพลางเช็ดน้ำตาไปด้วย เสียงเรียกของคริสยิ่งทำให้เล็กต้องเร่งฝีเท้า เด็กน้อยไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมอง

    เขาไม่น่ามาที่นี่เลย.. ไม่น่าตัดสินใจทำอะไรโง่ๆ เขาควรจบกับคริสตั้งแต่วันที่ฝนตกหนักวันนั้น เขาเป็นฝ่ายบอกให้คริสเดินออกไป แต่กลับเป็นตัวจุนมยอนเองที่ยังตอแยคริสไม่เลิก เหตุผลที่มาวันนี้ไม่ใช่แค่เพราะอยากจะมาแสดงความยินดีอย่างเดียว แต่เป็นเพราะจุนมยอนคิดถึงร่างสูงมากๆ แค่ได้เห็นหน้าสักนิดก็เพียงพอแล้ว

     

    “จุนมยอน รอฉันด้วย!

     

    ผลั่ก!

     

    “ขอโทษครับๆ ผมไม่ได้ตั้งใจ” เป็นอีกครั้งที่จุนมยอนชนคนบนทางเท้า และมันยิ่งทำให้คริสไล่ตามเขาได้เร็วขึ้น

     

    ทางฝั่งของจงอิน เลย์และซูฮยอกก็ยังคงวิ่งตามมาเช่นกัน พวกเขาส่งเสียงเรียกชายตัวสูงดังไปทั่วถนน ทำให้คนแถวนั้นพากันหันมามองเป็นสายตาเดียว

     

    “ไอ้คริส! รอพวกกูก่อน”

     

     

     

     

    “คุณคริสครับ! จะไปไหนครับ”

     

     

     

     

    “จุนมยอน! รอฉันด้วย”

     

     

     

     

    “จุนมยอน!...

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    เอี๊ยด! โครม!!

     

     

     

     

    วินาทีนั้น.. ตอนที่เสียงของล้อรถเบียดถนน ตอนที่เสียงของอะไรบางอย่างกระแทกเข้ากับรถอย่างรุนแรง ตอนที่เสียงกรีดร้องของผู้คนดังลั่น หัวใจของใครบางคนแทบหยุดเต้นในทันที

     

     

     

     

     

     

     

    “จุนมยอน!

     

     

     

    หูของคริสดับลงในทันที สองเท้าที่เคยวิ่งตามจุนมยอนมาหยุดลงอย่างกะทันหัน มันก้าวไม่ออกแม้แต่ก้าวเดียว มือทั้งสองสั่นเทา ริมฝีปากอ้าค้าง น้ำตาร่วงลงทันทีที่เห็นร่างของจุนมยอนลอยลงมากระแทกถนนอย่างแรง

    เสียงกระแทกหยุดทุกการเคลื่อนไหวของเลย์ จงอินและซูฮยอก พวกเขาทั้งสามมีอาการไม่ต่างจากคริสเลยแม้แต่น้อย และพวกเขาก็กลับมาได้สติอีกครั้งในตอนที่คริสวิ่งออกไปกลางถนนเพื่อไปประคองร่างที่กำลังจมกองเลือดมาไว้ในอ้อมแขน

     

     

     

    “จุนมยอน! ไม่นะ จุนมยอนลืมตาก่อนอยู่กับฉันก่อนนะเด็กดี” คริสประคองหัวซึ่งเต็มไปด้วยธารเลือดไหลไม่หยุดมาไว้บนตักของเขา มือทั้งเปื้อนเลือด สูทสีเทาสว่างสว่างเองก็เช่นกัน แต่คริสไม่ได้สนใจเลยว่ามันจะสกปรกหรือเละเทะขนาดไหน เขาใช้มือสั่นๆ นั่นหยิบโทรศัพท์ออกมาโทรเรียกรถพยาบาล พยายามจะประคองสติของตัวเองเอาไว้ทั้งๆ ที่ตอนก่อนหน้า ก่อนที่เขาจะวิ่งมาถึงตัวจุนมยอน เขาเห็นจุนมยอนกระตุกอยู่ 2-3 ทีและนิ่งไป “ช่วยด้วยครับ.. .. มีอุบัติเหตุที่ถนนชินซาครับ ช่วยส่ง.. ส่งรถพยาบาลมาด่วนเลยนะครับ มีคนเจ็บอยู่ที่นี่ครับ”

     

    จงอิน เลย์และซูฮยอกวิ่งตามมาจนถึงที่เกิดเหตุในที่สุด ซูฮยอกรีบเดินเข้าไปหวังจะเอาคริสที่กำลังกอดจุนมยอนอยู่ออกมาจากตัวร่างเล็กเพราะไม่อยากให้ร่างกายของจุนมยอนถูกเคลื่อนที่มากนัก ในขณะที่เลย์เบือนหน้าหนีกลิ่นคาวเลือดและภาพอันน่ากลัวนั่น ส่วนจงอินก็ได้แต่ถามตัวเองว่ามันเกิดอะไรขึ้น นี่คือเรื่องจริงหรือแค่ความฝัน? ทว่าเสียงกรีดร้องของคริสนั้นย้ำเตือนให้เขารู้ว่านี่คือความเป็นจริงทั้งหมด

     

    “จุนมยอน! ไม่เอานะ.. ห้ามเป็นอะไรนะ อยู่กับฉันก่อนคนดี อย่าเพิ่งทิ้งฉันนะ ฉันขอโทษ”

     

    คริสใช้มือเปื้อนเลือดของเขาลูบแก้มของเด็กหนุ่มที่กำลังนอนแน่นิ่ง สภาพของจุนมยอนค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าโอกาสรอดนั้นมีน้อย หัวที่กระแทกอย่างรุนแรงจนเลือดไหลไม่หยุดทั้งตามรอยแผลบนศีรษะและที่กำลังไหลออกมาทางจมูก แต่ลมหายใจโรยรินนั้นทำให้คริสยังมีความหวัง เขาคอยเรียกชื่อของจุนมยอนท่ามกลางสายตาของคนมากมายที่อยู่บนถนน

     

    “จุนมยอน.. ขอโทษ ยกโทษให้ฉันนะ อย่าเป็นอะไรนะ.. อยู่กับฉันก่อนได้ไหม?”

     

    นี่เป็นครั้งแรกที่จงอินเห็นคริสร้องไห้และกรีดร้องออกมาเหมือนคนจะขาดใจตาย ภาพตรงหน้าทำให้เขาทนดูไม่ไหวจนต้องหันหนีเช่นเดียวกับเลย์ เสียงร้องฟูมฟายของเพื่อนทำเอากลั้นน้ำตาไว้ไม่ไหว มันล้นทะลักราวกับเขื่อนแตก

     

     

     

    ดูเหมือนว่างานแต่งงานคงต้องถูกยกเลิกเสียแล้ว..

     

    - - - - - - - - - - - - - - -

     

    ตอนนี้ทุกคนควรอยู่ที่งานแต่งงาน ไม่ใช่โรงพยาบาล แต่เป็นเพราะเจ้าบ่าวขึ้นรถพยาบาลตามจุนมยอนมาและซอฮเยรินประกาศกร้าวต่อหน้าคนทั้งงานว่าจะไม่มีงานแต่งงานเกิดขึ้นอีกแล้ว ความกลลาหนจึงเกิดขึ้นอีกครั้ง ฮเยรินตัดสินใจถอดแหวนและชุดเจ้าสาวออกก่อนจะขับรถของเธอมาที่โรงพยาบาลโดยไม่รอใคร

    เมื่อมาถึงหน้าห้องฉุกเฉิน เธอก็พบกับพี่ชายคนสนิทที่กำลังนั่งอยู่หน้าห้องฉุกเฉินเพียงลำพัง แม้จะมีซูฮยอก จงอินและเลย์อยู่ด้วย แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่กล้าเดินเข้าไปเฉียดคริสเพราะร่างสูงไม่ต้องการที่จะพูดคุยกับใครหน้าไหนทั้งนั้นในตอนนี้ แต่ในเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว.. ฮเยรินตัดสินใจที่จะเดินเข้าไปก่อนจะพูดกับคริส

     

    “พี่คะ เป็นยังไงบ้าง?”

    “คงไม่เป็นอะไรมากหรอก เขาอยู่ในมือหมอแล้ว.. ปลอดภัยแล้วล่ะ”

     

    ปลอดภัยงั้นเหรอ?... ฮเยรินได้ยินซูฮยอกโทรมาบอกว่าจุนมยอนกะโหลกเปิด ชีพจรดับไปตั้งแต่ตอนอยู่ในรถพยาบาล แต่แพทย์กู้ชีพสามารถปั้มหัวใจขึ้นมาได้อีกครั้ง ทว่าชีพจรที่กำลังเต้นอยู่ในตอนนั้นมันช่างอ่อนแรง พูดง่ายๆ ก็คือจุนมยอนคงไม่ได้กลับมาอยู่บนโลกนี้อีกแล้ว

     

    “หนูยกเลิกงานแต่งงานแล้วนะคะ ทุกคนรับรู้แล้วว่าหนูกับพี่จะไม่แต่งงานกัน และจะไม่มีการโน้มน้าวเพื่อให้แต่งรอบสองอะไรอีกทั้งนั้น”

    “อือ ขอบใจที่ทำทุกอย่างแทนพี่นะ” คริสพยักหน้า

     

    ฮเยรินสำรวจสภาพของพี่ชายของเธออีกครั้ง ชุดสูทของคริสเปื้อนเลือดไปแล้วเกือบทั้งตัว มีแค่ด้านหลังเท่านั้นที่ยังสะอาดดี มือของคริสมีแต่คราบสีแดงเต็มไปหมด มันเปื้อนมาจนถึงคอและดอกไม้ติดหน้าอก

     

    “พี่คะ หนูขอโทษ.. ฮึก.. หนูน่าจะหนีไปตั้งแต่ตอนนั้น พี่จะได้ไม่ต้องมาเจออะไรแบบนี้ พี่จะได้อยู่กับคุณจุนมยอนแทนที่จะต้องมาทนทุกข์แบบนี้ หนูขอโทษนะคะ ขอโทษจริงๆ” ฮเยรินร้องไห้ออกมาอย่างหนัก เธอคุกเข่าลงกับพื้นเพื่ออ้อนวอนขอให้คริสให้อภัยเธอ เสียงร้องไห้ของหญิงสาวทำให้ชายหนุ่มทั้ง 3 ซึ่งอยู่กับคริสมาตั้งแต่ต้นหันมามอง “ขอโทษนะคะพี่ ที่ทำให้พี่กับคุณจุนมยอนต้องมาเจอเรื่องนี้”

    “ไม่เป็นไรหรอกฮเยริน ช่างมันเถอะ” คริสพูด และดึงน้องสาวของเขาให้ลุกขึ้น ดวงตาของฮเยรินแดงก่ำ คาดว่าน่าจะร้องไห้มาตั้งแต่ตอนอยู่ในงานแล้ว เธอเองก็คงจะโดนมาไม่น้อยเหมือนกันในตอนที่ต้องประกาศยกเลิกงานแต่งงาน “มันไม่ใช่ความผิดของเธอ ไม่ต้องโทษตัวเองหรอกนะ ปล่อยมันไปเถอะ”

    “ฮึก..

    “เดี๋ยวจุนมยอนก็หาย ไม่ต้องกังวลหรอก”

    “พี่คริส

    “เขาจะปลอดภัย เขาต้องกลับมาหาพี่อยู่แล้ว เด็กนั่นติดพี่จะตายไป”

    “รอฟังข่าวดีจากหมอเถอะนะ”

     

    ฮเยรินค่อนข้างแน่ใจว่าตอนนี้สติของคริสหลุดลอยไปแล้ว ดวงตาของเขาว่างเปล่า แต่ก็ยังพยายามที่จะยิ้มเหมือนใจดีสู้เสือ ทั้งๆ ที่ตอนนี้ในห้องผ่าตัดกำลังวุ่นวายไปหมด ชีพจรของจุนมยอนค่อยๆ อ่อนแรงลง ความดันเริ่มตก ร่างกายเริ่มไม่ตอบสนองใดๆ อีกแล้ว

    ขณะที่ฮเยรินพยายามจะหยุดร้องไห้ เธอได้ยินเสียงกลุ่มคนอีกกลุ่มกำลังเดินมาที่นี่ เมื่อหันไปมองจึงพบว่าเป็นพ่อแม่ของเธอและครอบครัวของคริส สีหน้าของคริสเปลี่ยนไปในทันทีที่ได้มองเห็นผู้หญิงคนนั้น เขาเบนสายตาหนีไปที่อื่นเพราะไม่อยากจะมองหน้าเธออีกต่อไปแล้ว

    คุณนายแห่งตระกูลอู๋ แม่ของอู๋อี้ฟาน เจ้าของอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์หลายแห่ง และเจ้าของธุรกิจอื่นๆ ที่ฐานะเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ ตอนนี้เธอดูไร้ราศีและดูน่าสมเพช เธอเดินเข้ามาลูกชายของเธอพลางสำรวจไปที่ชุดเปื้อนเลือด เธอเห็นอย่างเต็มตาว่าคริสไม่ยอมมองหน้าเธอ..

     

    “ตาคริส”

    “พันล้าน..

    “พันล้านวอนสุดท้ายที่ผมจะให้แม่ หลังจากนั้นไม่ต้องมาให้ผมเห็นหน้าอีก” คริสคนเมื่อกี้ที่ใจดีกับฮเยรินมากๆ หายไปในพริบตา ตอนนี้กลายเป็นคริสที่โกรธเกรี้ยวและเด็ดขาด พร้อมจะเฉดหัวทุกคนออกจากโรงพยาบาลได้ทุกวินาที “แม่จะเอาไปบริหารจัดการยังไงก็แล้วแต่ บริษัทนั่นจะเอาใครมาบริหารให้มันล่มจมตายไปจากประเทศนี้ก็เรื่องของแม่ แต่อย่าเอาคนของผมไปเอี่ยวด้วยเด็ดขาด”

    “ผมจะเซ็นเช็คให้แม่วันนี้ แม่เอาไปขึ้นได้เลยแล้วผมจะขอถอดชื่อตัวเองออกจากตระกูล เราจะไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กันอีก หรือถ้าแม่ไม่อยากให้ผมออกไปจากตระกูลนี้”

    “ก็ต้องเป็นแม่ที่ต้องออกไปเอง”

    “ตาคริส ใจเย็นๆ ก่อนได้ไหม? แม่มาที่นี่เพื่อยอมทุกอย่างนะ”

    “เราไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว ได้โปรดไปให้พ้นจากผม เลิกตามหลอกหลอนผมสักที การมีแม่เป็นแม่มันทรมานชีวิตผมมาก แม่ทำให้ผมไม่เป็นผู้เป็นคนปกติเหมือนที่คนอื่นเขาเป็นกัน แต่แม่ไม่เคยรู้เลยว่าผมทรมานขนาดไหน.. มีแค่จุนมยอนคนเดียวเท่านั้นที่รับรู้อาการป่วยของผมมาตลอด แค่จุนมยอนคนเดียวจริงๆ”

    “ทำไมฉันจะไม่รู้.. ฉันรู้มาตลอดว่าแกกำลังเจออะไรอยู่บ้าง”

    “แต่แม่ก็ยังคงตามทำร้ายจิตใจผม พอเห็นว่าข่มผมได้ก็ข่ม.. จนสุดท้ายผมก็ต้องมาเจอเรื่องพวกนี้”

    “ทุกอย่างมันเป็นเพราะแม่คนเดียว” น้ำเสียงนี้ช่างเย็นชา เย็นชาเสียจนคนเป็นแม่ใจกระตุกวาบ “แค่แม่ช่วยลืมว่าผมเคยเกิดมา.. แค่นั้นที่ผมต้องการ”

    “ขอร้องล่ะ อย่าทำให้ผมรังเกียจแม่กับไอ้เวรนั่นไปมากกว่านี้เลยนะ”

     

    หญิงคนนั้นเป็นอีกรายที่ต้องสูญเสียน้ำตาในวันนี้ เธอร้องไห้ทันทีที่ได้ยินว่าคริสรังเกียจเธอ คำพูดนี้กรีดแทงหัวใจของคนเป็นแม่จนแทบยืนไม่อยู่ แต่ถ้าเทียบกับสิ่งที่คริสโดนมาตลอดทั้งชีวิตมันคงเทียบกันไม่ได้เลย

    การถูกแม่ทำร้ายจิตใจ ทำร้ายร่างกายและตามจิกใช้งานเสมือนมีลูกเป็นเครื่องผลิตเงิน หล่อหลอมให้คริสกลายเป็นคนที่ไร้หัวใจมาตลอดเวลา จนกระทั่งวันที่เขาได้พบกับคิมจุนมยอน.. ตอนนั้นเองที่คริสรู้ว่าหัวใจของเขายังเต้นอยู่ แถมจุนมยอนยังเปรียบเสมือนผู้พิทักษ์ที่เข้ามาช่วยให้ชีวิตของคริสหลุดพ้นจากมรสุมชีวิตที่เผชิญมาตลอดหลายสิบปี มันจึงไม่แปลกเลยที่คริสจะโกรธแม่จัดขนาดนี้..

     

    “ไปซะ ออกไปจากที่นี่ ไม่อย่างนั้นผมจะเรียกรปภ.

    “คริส”

    “ฉันขอโทษ..

    “ซูฮยอก ส่งแขกด้วย”

    “ตาคริส!

     

    เมื่อซูฮยอกได้ยินเสียงเจ้านายเรียก เขาจึงต้องเดินมาทำหน้าที่ของเลขาที่ดีโดยการทำตามคำสั่งของเจ้านาย ชายร่างสูงผายมือ พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบในการเชิญแม่ของคริสออกจากโรงพยาบาล

     

    “เชิญครับคุณนาย”

     

    ในที่สุดผู้หญิงคนนั้นก็แพ้ภัยตัวเอง เธอใช้อำนาจข่มลูกชายของเธอมาตลอด เธอทำร้ายจิตใจและร่างกายคริสตั้งแต่ยังเป็นเด็กๆ นับว่าโชคดีเท่าไหร่แล้วที่ร่างสูงไม่เสียสติไปตั้งแต่ยังเล็ก อันที่จริงเธอควรตระหนักตั้งแต่ตอนที่คริสหนีออกจากบ้านไป แต่สิ่งที่เธอทำก็คือการตามค้นหาตัวลูกชายและแอบติดตามคริสไปเรื่อยๆ กระทั่งคริสสามารถเรียนจบและเปิดบริษัทของตัวเองได้ เธอก็เริ่มกลับแทรกแซงในชีวิตของคริสอีกครั้ง ใช้คำว่าแม่ทวงสิทธิ์ในการขอเงินไปทำอะไรมากมาย จนสุดท้ายเธอก็ได้เรียนรู้รสชาติของคำว่าทรมานที่แท้จริง นั่นก็คือการถูกลูกตัดขาดโดยการใช้เงินฟาดหัวเป็นก้อนสุดท้าย

    หญิงสาวจำต้องเดินออกจากโรงพยาบาลและก้มหน้ารับในสิ่งที่ตัวเองก่อ เธอเคยคิดว่าเธอสามารถควบคุมลูกได้ แต่ตอนนี้ความคิดนี้คงใช้การไม่ได้อีกต่อไปแล้ว..

     

    “ญาติของคุณคิมจุนมยอนอยู่หรือเปล่าครับ?”

    “ผมเองครับ”

     

    เสียงของแพทย์ที่ทำหน้าที่ผ่าตัดให้กับจุนมยอนเสมือนเสียงกลองที่ทำให้ทุกคนหลุดออกจากภวังค์ จงอินและเลย์ซึ่งคอยดูเหตุการณ์จากระยะ 4 เมตรมาตลอดรีบเดินเข้าไปประกบหลังคริสทันที ในขณะที่คริสกำลังรอฟังคำพูดของหมออย่างใจจดใจจ่อ

     

    “คนไข้

     

    - - - - - - - - - - - - - - -

     





    14 เดือนถัดมา (When would it be - When would it be – Yoo Sang Hyuk,IU)

    เย็นนี้รถไฟฟ้าไม่ค่อยมีผู้คนเยอะเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะทุกคนคงกำลังหลบฝนอยู่ตามตัวอาคารต่างๆ นั่นจึงทำให้คริสไม่ได้รู้สึกอึดอัดเท่าไหร่ที่จะต้องยืนอยู่บนรถไฟขบวนนี้

    รถไฟฟ้าใต้ดินเดินทางมาถึงสถานีจุดหมายของคริส ร่างสูงจึงเดินลงและหยิบร่มคันสีดำออกมาจากกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวนำมันมาใช้บังสายฝนจากพายุฤดูร้อน และทันทีที่ปลายเท้าแตะบันไดขั้นแรก ณ ทางออกจากสถานี ทั้งสองหูก็ได้ยินเสียงของเม็ดที่กำลังหล่นลงมาเริงระบำอยู่บนท้องถนน

    เสียงซ่าจากสายฝนที่ตกลงมากระทบบนพื้นถนนช่วยลดความน่ารำคาญจากเสียงของเครื่องยนต์ได้เป็นอย่างดี ชายร่างสูงคนหนึ่งรีบพาร่างกายของเขาวิ่งขึ้นบันไดบนตึกสีขาวพร้อมกับร่มในมือและกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมซึ่งอยู่ในมืออีกข้าง และทันทีที่หลังคาจากตึก 4 ชั้นนั้นสามารถกำบังเม็ดฝนให้เขาได้แล้ว ร่างสูงก็หุบร่มคันสีดำในมือลง เผยให้เห็นหน้าค่าตาของชายคนนั้นอย่างชัดเจนมากขึ้น เขาสะบัดหยดน้ำออกจากร่มนิดหน่อยก่อนจะรีบสาวเท้าเดินไปยังห้องหมายเลข 405 ซึ่งอยู่ริมสุดของชั้นนี้

    พวงกุญแจห้องพักราคาถูกหยิบมาไขประตู เสียงกริกของมันบ่งบอกว่าตอนนี้ร่างสูงสามารถเปิดประตูเข้าไปได้แล้ว และทันทีที่ประตูไม้ถูกเปิดเข้าไป มือหนาก็กดเปิดสวิตช์ไฟตรงหน้าประตู ทำให้มีแสงไฟสีเหลืองนวลจากดวงตรงหน้าประตูพอจะให้แสงสว่างได้บ้าง ภายในเป็นเพียงแค่ห้องพักสี่เหลี่ยมขนาดเล็ก มีเฟอร์นิเจอร์ประกอบอยู่ไม่กี่ชิ้นเพื่อไม่ให้ห้องนี้ดูอึดอัดจนเกินไป

    คนตัวสูงวางกระเป๋าทรงสี่เหลี่ยมลงพื้น เก็บร่มเอาไว้ในกระถางทรงสูง จัดการถอดสูทสีดำของเขาออกและแขวนมันไว้กับพนักเก้าอี้ ก่อนที่สายตาจะมองหาแก้วเทียนหอมและก้านไม้ขีด

     

    ฟู่ว..

     

    เสียงจากก้านไม่ขีดไฟคงจะเป็นเสียงที่ดังที่สุดในห้อง ณ ตอนนี้ ร่างสูงจัดการจุดมันลงเทียนหอมกลิ่นวานิลลา ปล่อยให้เปลวเพลิงจุดเล็กๆ พลิ้วไหวไปมาอยู่บนไส้เทียนหอมยี่ห้อดังราคาแพง

    ไม่นานเจ้าเทียนหอมก็เริ่มทำงาน มันส่งกลิ่นหวานให้คนตัวสูงได้สูดกลิ่นจนรู้สึกผ่อนคลาย เขาทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มที่มีขนาดเพียงไม่กี่ฟุต แต่ก็กว้างพอที่จะนอนกัน 2 คนได้อย่างพอดิบพอดี ร่างสูงเงยหน้าและสูดหายใจเข้าจนสุดปอด ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนลมออกมา

    วันนี้เขาหิวเหลือเกิน เขาไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่ช่วงบ่ายเพราะงานที่บริษัทเยอะเกินกว่าจะมีเวลาว่างเหลือให้กิน แถมตอนเลิกงานฝนก็ตกหนักจนไม่สามารถวิ่งไปที่ร้านสะดวกซื้อได้ ทำให้ร่างสูงต้องหยิบรามยอนรสธรรมดามาต้มกินแทน แน่นอนว่าเขาเข็ดจากรามยอนรสเผ็ดคูณสองของจุนมยอนแล้ว เขาพยายามลองกินมันอยู่หลายครั้ง แต่ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือลิ้นชาและปากชาไปหลายชั่วโมง

    เครื่องทำน้ำร้อนถูกเสียบปลั๊ก ชามและตะเกียบถูกหยิบมาเตรียมเอาไว้ ระหว่างที่กำลังรอน้ำเดือดอยู่นั้น คริสตัดสินใจกระโดดขึ้นเตียงและหยิบโทรศัพท์ออกมาอ่านเว็บตูนเพื่อฆ่าเวลา

    คนตัวสูงหัวเราะออกมาเบาๆ หลังจากได้อ่านการ์ตูนบนเว็บในโทรศัพท์ นี่คงจะเป็นสิ่งเดียวที่ช่วยให้คริสผ่อนคลายความเหน็ดเหนื่อยที่ตนแบกรับเอาไว้ เขามักจะอ่านการ์ตูนพวกนี้ในช่วงเวลาที่ว่างเพราะในห้องเช่าสี่เหลี่ยมนี้ไม่มีโทรทัศน์หรือสิ่งที่ช่วยสร้างความบันเทิงอื่นๆ คริสมีแค่โทรศัพท์เครื่องเดียวที่สามารถใช้ทำทุกอย่างได้ตั้งแต่ดูวิดีโอบนยูทูป เข้าเว็บไซต์อ่านข่าวและบทความต่างๆ โทรศัพท์คือทุกสิ่งทุกอย่างของร่างสูงในช่วงเวลานี้

    ไม่นานเสียงเด้งกลับของปุ่มกดบนเครื่องทำน้ำร้อนดังเตือนให้คริสรู้ว่าน้ำเดือดแล้ว ร่างสูงจึงลุกออกจากเตียงนุ่มซึ่งมีกลิ่นหอมติดผ้าห่มเพื่อไปทำมื้อเย็นกินหลังจากที่ปล่อยให้ท้องร้องมาตั้งแต่อยู่บนรถไฟ

    คริสไม่ได้กลับเข้าไปอยู่ที่เพ้นท์เฮ้าส์มานานแล้ว เหตุผลนั้นก็ไม่มีอะไรมากนอกจากการที่เพ้นท์เฮ้าส์มีขนาดใหญ่เกินไป มันใหญ่เสียจนรู้สึกอ้างว้าง เปล่าเปลี่ยวจนอยู่คนเดียวไม่ไหว เขาจึงตัดสินใจขนเสื้อผ้าบางส่วนใส่กระเป๋าและล็อกรหัสหน้าประตูโดยไร้กำหนดกลับไปพักอาศัยต่อ คริสจะแวะเข้าไปเมื่อมีเรื่องจำเป็นเท่านั้น และการย้ายมาอยู่ในห้องเช่าเล็กๆ นี่มันก็ไม่ได้แย่อะไรนอกเสียจากไม่มีครัวให้ใช้และเจอเพื่อนบ้านแปลกๆ ก็เท่านั้นเอง

    แม้เจ้าของห้องจะจากไปอย่างถาวรแล้ว แต่คริสกลับไม่เคยรู้สึกว่าจุนมยอนหายไปไหนเลย เขายังรู้สึกได้ว่าจุนมยอนอยู่กับเขาตลอดเวลา กลิ่นหอมของเครื่องนอนย้ำเตือนให้คริสรู้เสมอว่านี่คือกลิ่นแบบเดียวกันกับกลิ่นที่ติดอยู่บนเสื้อผ้าของจุนมยอน ยามเอนกายลงบนเตียงหลังจากเลิกงาน.. กลิ่นหอมละมุนพวกนี้สามารถช่วยให้คริสหายเหนื่อยล้าและคลายความคิดถึงที่มีต่อเด็กน้อยลงได้บ้าง เช่นนั้นร่างสูงจึงไม่เคยปล่อยให้กลิ่นนี้จางหาย ยามรู้สึกว่าเครื่องนอนเริ่มไม่หอม เขาจะรีบหาวันว่างและใช้เวลาพิถีพิถันอยู่กับการซักอบแห้งตลอดทั้งบ่าย

    โลกที่ไม่มีจุนมยอนมันช่างเงียบเหงาราวกับโลกสีมืดไร้เสียง สิ่งเดียวที่ยังคงทำให้คริสจำเสียงของจุนมยอนได้ก็คือคลิปเสียงที่เด็กหนุ่มชอบส่งมาให้ระหว่างเวลาทำงาน ตอนนั้นคริสไม่ใช่แค่ฟังและกดตอบข้อความนั่นก่อนจะเลื่อนผ่านไป แต่เขาทำการบันทึกมันเอาไว้ทุกคลิปเพราะอยากจะเก็บความทรงจำดีๆ ของรักครั้งนี้เอาไว้ และร่างสูงก็รู้สึกว่าเขาโชคดีเหลือเกินที่คิดแบบนี้ ไม่อย่างนั้นโลกของเขาคงบอดสนิทและเขาคงจะจำเสียงหวานของเด็กหนุ่มคนนั้นไม่ได้อีกต่อไป

    หน้าจอโทรศัพท์ของคริสยังคงเป็นรูปของจุนมยอนเช่นเดิม ตั้งแต่คริสใช้โทรศัพท์มาเขาไม่ค่อยได้ถ่ายภาพหรือเก็บรูปต่างๆ เอาไว้นัก ส่วนใหญ่จะเป็นรูปวิวสวยของประเทศสวิตเซอร์แลนด์และรูปถ่ายของเอกสารงานต่างๆ ที่เป็นข้อมูลสำคัญ แต่หลังจากที่ร่างสูงได้พบกับจุนมยอนเมื่อปีก่อน.. เขากลับเรียนรู้ที่จะเก็บภาพของเด็กหนุ่มเอาไว้โดยไม่มีเหตุผล เขารู้แต่ว่าเวลาหยิบออกมาเปิดดูความสดใสจากรอยยิ้มนั่นทีไร หัวใจของเขามักจะพองโตทุกที

    วันเวลาหมุนและแปรเปลี่ยน ทุกอย่างรอบตัวคริสล้วนแล้วแต่เปลี่ยนไปหมด ทุกคนๆ ก็ยังคงดำเนินชีวิตของตัวเองต่อไป จุนมยอนเองก็จากไปแล้ว หากแต่ร่างสูงนั้นยังคงติดอยู่กับความรักครั้งนี้ไม่เคยลืมเลือน และไม่คิดจะปล่อยวาง

     

     

     

     

     

     

    เช้าวันถัดมา

     

    การบำบัดในวันนี้ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง คริสเล่าเรื่องหลายๆ เรื่องให้กับจิตแพทย์และนักจิตวิทยาฟัง รวมไปถึงเรื่องของจุนมยอนด้วย อันที่จริงเขาพูดถึงจุนมยอนเป็นประจำอยู่แล้ว เพราะนี่คือคนๆ ที่ติดอยู่ในหัวสมองและเข้ามาทำให้ชีวิตของคริสเปลี่ยนไปตลอดกาล แต่วันนี้การพูดถึงจุนมยอนนั้นว่าด้วยเรื่องของ ของขวัญ

     

     

    ย้อนกลับไปในวันที่คริสได้ยินเสียงล้อเบียดถนนและเสียงตึงของอะไรบางอย่าง วินาทีนั้นโลกคริสค่อยๆ ดับลงเสมือนจอโทรทัศน์ที่กำลังจะเสีย สัญญาณทีวีขาดหาย ความคมชัดไม่มี มีแต่จอลายขาวดำติดๆ ดับๆ สลับกับภาพของรายการโทรทัศน์ จนกระทั่งมันดับลงเป็นสีดำสนิทก่อนจะเปิดไม่ติดอีกเลยไปตลอดกาล คริสจำได้ว่าเขาวิ่งออกไปกลางถนนท่ามกลางเสียงกรีดร้องของผู้คน ภาพที่เขาเห็นคือร่างที่กำลังนอนจมกองเลือดกระตุกเกร็งอยู่ 2-3 ครั้งก่อนจะนิ่งสนิทไป

    สายเลือด แผลบนศีรษะ และขาซึ่งผิดรูปคือสัญญาณบอกร่างสูงว่าจุนมยอนกำลังเจ็บอย่างรุนแรง คริสจำได้ว่าเขากำลังประคองศีรษะของจุนมยอนเอาไว้ด้วยมือที่สั่นเทา แต่ขณะนั้นเขาพยายามกดโทรศัพท์เพื่อเรียกรถพยาบาล ชุดสูทสีเทาเปรอะเปื้อนไปหมดไม่ต่างจากเสื้อระบายสีขาวของจุนมยอน เสียงกรีดร้องของเขาดังมากพอที่จะทำให้คนทั้งถนนรู้ได้ว่าผู้ชายคนนี้กำลังจะสูญเสียคนรักไป

    ตลอดเวลาที่อยู่บนรถพยาบาลนั้นคริสไม่เคยปล่อยมือเด็กน้อยเลย เขาภาวนาขอให้จุนมยอนอยู่กับเขาแม้ว่าลมหายใจของจุนมยอนจะเบาลงเรื่อยๆ เขาขอให้จุนมยอนกลับมาอยู่กับเขาไม่ว่าจะกลับมาในสภาพใดก็ตาม ขอแค่จุนมยอนยังอยู่ด้วยกัน

    แต่หลังจากที่ทีมแพทย์ใช้เวลาในการพาจุนมยอนกลับมาประมาณ 1 ชั่วโมงกับอีก 45 นาที และหลังจากที่คริสใช้เงินก้อนสุดท้ายฟาดหัวแม่ของเขาอย่างเต็มแรง ข่าวร้ายก็ถูกประกาศให้ทุกคนบริเวณนั้นพากันใจสลาย

     

    คนไข้เสียแล้วนะครับ

     

    เลย์และจงอินรีบเดินเข้ามาประคองร่างของเขาเอาไว้ ในขณะที่คริสยังคงบอกตัวเองว่านี่ต้องเป็นฝันร้ายแน่ๆ มันต้องเป็นเพราะยานอนหลับที่เขากินเมื่อคืน ถึงได้ทำให้เขาหลับยาวจนต้องมาเจอกับความฝันอันแสนเลวร้ายเช่นนี้ กว่าจะได้สติและต้องยอมรับความจริงว่าจุนมยอนไม่อยู่กับเขาแล้วก็ตอนที่เลย์เดินมาบอกว่าเขาต้องเขาไปเซ็นเอกสารพาจุนมยอนออกจากโรงพยาบาล คริสจึงต้องสูดหายใจและพาเรี่ยวแรงทั้งหมดของตัวเองไปยังห้องกรอกเอกสาร

    หลังจากที่ทุกอย่างในโรงพยาบาลถูกเคลียร์จนเสร็จเรียบร้อย คริสก็ถูกพามาพบกับจุนมยอนเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินเข้าไปหาเด็กน้อย คริสก็ได้รับกล่องใส่ของจากเจ้าหน้าที่ เมื่อเปิดออกมาจึงพบกับนาฬิกาข้อมือที่หน้าปักแตกละเอียด โทรศัพท์เคสสีดำที่มีสภาพไม่ต่างจากนาฬิกาเท่าไหร่ กุญแจห้องพัก รองเท้าหนังแก้วสีดำ และพวงกุญแจหนังสีฟ้ากับชมพู

    พวงกุญแจหนังทั้ง 2 ชิ้นถูกสลักชื่อของคริสและฮเยรินเอาไว้ ไม่ต้องถามก็พอจะรู้ว่าเด็กนี่ทำของขวัญวันแต่งงานมาให้เขาทั้ง 2 คน และนั่นยิ่งทำให้คริสเจ็บปวดจนต้องปล่อยน้ำตาออกมาอีกระลอก และยิ่งร้องหนักขึ้นก็ตอนที่ได้เข้าไปพบจุนมยอนเป็นครั้งสุดท้าย มือหนาดึงมือของเด็กน้อยมากุมเอาไว้และอ้อนวอนอีกครั้ง ทั้งอ้อนวอนและขอโทษ หวังว่าจุนมยอนจะให้อภัยกัน หวังว่าจุนมยอนจะกลับมาอยู่ด้วยกัน หากแต่เด็กน้อยคงจะโกรธเขามากๆ ถึงได้ไม่ยอมฟังคำอ้อนวอนจากเขาและปล่อยให้เขาต้องอยู่คนเดียว

     

     

    การบำบัดในวันนี้จึงว่าด้วยเรื่องของขวัญที่จุนมยอนทำมาให้ แม้ตอนที่เล่าจะมีรอยยิ้มประดับอยู่บ้าง แต่ภายในใจนั้นเจ็บเจียนตาย เจ็บจนไม่อยากจะรับรู้อะไรบนโลกนี้อีกต่อไปแล้ว

    เมื่อการบำบัดของวันนี้สิ้นสุดลง ชายหนุ่มตัวสูงก็พาตัวเองออกมาจากโรงพยาบาลก่อนจะเดินทางไปยังร้านดอกไม้เขาไปอุดหนุนเป็นประจำ ร้านดอกไม้สีขาวสไตล์อังกฤษตั้งตระหง่านอยู่ที่มุมถนน คริสจึงต้องยืนรอสัญญาณไฟข้ามถนนอยู่พักนึง

     

     

    เอี๊ยดดดด!

     

     

     

    เฮือก! นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชายหนุ่มตัวสูงตกใจกับเสียงล้อเบียดถนน มันเป็นครั้งที่ 3 แล้วที่เสียงนั่นทำให้คริสใจหาย มือสั่น หายใจติดขัดและไม่กล้าออกเดินต่อ ดวงตาคมคายหันไปมองบนท้องถนน พบว่ารถคันใหญ่จำต้องเหยียบเบรกกะทันหันเนื่องจากมีรถเลี้ยวข้ามแยกโดยฝ่าไฟแดงมาจากถนนทางซ้ายมือ ดูเหมือนรถที่มาทางตรงจะหัวเสียมาก เขาเปิดกระจกและด่าทอรถคันนั้น แต่รถที่ทำผิดกฎกลับไม่สนใจใยดีอะไร

    หลายครั้งที่เสียงเบรกทำให้นึกถึงจุนมยอน ภาพของกองเลือดวันนั้นยังคงหลอกหลอนคริสมาจนถึงตอนนี้ กลายเป็นว่าทุกๆ วันนี้คริสไม่กล้าขับรถและไม่กล้าแม้แต่จะนั่งบนยานพาหนะพวกนั้น ทั้งๆ ที่ซูฮยอกก็อาสาจะทำหน้าที่เป็นคนขับรถให้เหมือนที่เคยทำมาตลอด เขาบอกคริสว่าจะขับอย่างปลอดภัย และจะไม่ทำให้คริสเจอกับอุบัติเหตุแน่นอน แต่เจ้านายของซูฮยอกก็ยังเกลียดกลัวการใช้ยานยนต์ส่วนตัวบนท้องถนนอยู่ดี ต่อให้มันจะถูกประกอบด้วยวัสดุที่ดีมีราคาแพงและมีนวัตกรรมช่วยคนจากอุบัติเหตุล่ำเลิศแค่ไหนก็ตาม แต่คริสรู้สึกกังวลทุกครั้งที่จะต้องขึ้นไปนั่งบนนั้น ดังนั้นนี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมร่างสูงถึงได้ใช้บริการรถสาธารณะทุกครั้งเวลาจะเดินทางไปไหนมาไหน ไม่ว่าจะใกล้หรือไกล ในขณะที่รถหรูของคริสทั้งหมด 3 คันถูกจอดเรียงเอาไว้ที่ลานจอดรถของเพ้นท์เฮ้าส์ พวกมันกำลังรอคอยเจ้าของให้กลับมาขับบ้าง

    กว่าจะสงบสติอารมณ์ตัวเองได้ก็ต้องรอสัญญาณไฟข้ามถนนใหม่ถึง 2 รอบ ในที่สุดขายาวๆ ก็กล้าเดินข้ามถนนไปหาร้านดอกไม้ ประตูร้านถูกเปิดออก คุณเจ้าของร้านยิ้มและทักทายต้อนรับคริสอย่างทุกครั้ง ซึ่งคริสเองก็ยิ้มตอบกลับไปเช่นกัน

     

    “วันนี้จะให้จัดช่อดอกไม้แบบไหนดีคะ?”

    “อ่า วันนี้ขอเป็นสีฟ้ากับขาวก็แล้วกันครับ จัดมาเลย”

    “ได้เลยค่ะ”

     

    ระหว่างที่ต้องรอดอกไม้ช่อพอดีมือ คริสจึงพาตัวเองมานั่งรอที่โซฟาเหมือนอย่างเคย เขามาที่นี่ทุกวันเสาร์และวันพุธ ไซส์ของช่อดอกไม้และโบว์ตกแต่งนั้นเป็นสิ่งที่เจ้าของร้านรู้ดีว่าคริสชอบแบบไหน คริสกุมมือสั่นๆ ของเขาเอาไว้และถูมันไปมา หวังจะให้มันหยุดสั่นเสียที อาการแพนิคพวกนี้ควรจะหายไปตั้งแต่เขายืนรอสัญญาณไฟรอบที่ 3 แล้ว

     

    “เสร็จแล้วค่ะ วันนี้มีดอกใหม่เข้ามาก็เลยเอาจัดไปให้ด้วย หวังว่าแฟนของคุณจะชอบนะคะ” คริสลุกขึ้นไปยืนหน้าโต๊ะจัดดอกไม้พลางมองดูดอกไม้นานาพันธุ์ซึ่งเป็นสีฟ้าล้วนถูกจัดให้อยู่ในช่อเดียวกัน

    “ดอกอะไรเหรอครับ?”

    “เวโรนิก้า ดอกนี้น่ะค่ะ” คุณเจ้าของร้านชี้ให้คริสดูดอกไม้สีฟ้าทรงแปลก มันไม่ได้มีกลีบหรือดอกเหมือนดอกไม้ชนิดอื่นๆ หากแต่มันเป็นทรงตั้งคล้ายกับดอกหญ้าแต่มีสีฟ้าสวยสะพรั่ง

    “อ่อครับ” คริสทำได้แค่ตอบแบบงกๆ เงิ่นๆ คนอย่างเขาทำได้แค่เพียงจดชื่อดอกไม้ทุกดอกที่คุณเจ้าของร้านเคยจัดให้ลงในสมุดโน๊ต แต่ถึงแม้ว่าจะจดมาหลายชื่อแล้วก็ยังไม่เคยจำได้สักที “ขอบคุณที่ช่วยตกแต่งให้นะครับ ผมไม่รู้เรื่องพวกนี้เลย ต้องรบกวนคุณเจ้าของร้านทุกครั้งตลอด ขอบคุณที่ช่วยจริงๆ นะครับ”

    “มันเป็นงานของฉันอยู่แล้วค่ะ ไม่ต้องห่วงหรอกนะคะ”

    “ขอบคุณครับ”

    “นี่การ์ดนะคะ เอาไปนั่งเขียนได้เลย”

    “ขอบคุณครับ” คริสโค้งนิดหน่อยก่อนจะรับการ์ดใบสีฟ้าพาสเทลกับปากกามาไว้ในมือ เขาเดินเลี่ยงเจ้าของร้านออกมานั่งบนโซฟาเช่นเดิม มือหนากดปลายปากกาพลางคิดหาข้อความที่จะเขียนหาคิมจุนมยอนในวันนี้

     

     

    วันนี้จะลองกินรามยอนแบบเผ็ดอีกรอบ เป็นกำลังใจให้ด้วยนะ

    คิดถึงเสมอแล้วก็ยังรักเหมือนเดิม

    อย่าเพิ่งหนีกันไปก่อนล่ะ อีกไม่นานจะตามไปแล้ว คริส

     

     

    “คิดเงินเลยครับ” ร่างสูงเอ่ยบอกกับเจ้าของร้านก่อนหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมา

     

    สถานที่ถัดไปที่คริสจะต้องไปไปในวันนี้ก็คือหลุมศพของจุนมยอน รถไฟใต้ดินถูกใช้บริการอีกครั้ง ครั้งแรกที่คริสต้องนั่งรถไฟใต้ดิน.. เขายืนงงอยู่หน้าแผนผังสถานีเกือบ 20 นาที สุดท้ายก็ต้องไปขอให้เจ้าหน้าที่ประจำสถานีช่วยและสุดท้ายก็ต้องกลับมาให้ซูฮยอกช่วยอธิบายอีกทีว่าสายไหนเป็นสายไหนบ้าง

     มีหลายคนมองว่ามันน่าตลกดีที่ผู้บริหารสูงสุดของเครือข่าย Wu ต้องมานั่งรถไฟปะปนกับคนทั่วไปแบบนี้ แต่พวกเขาไม่เคยรู้ว่าคริสเจออะไรมาบ้าง บ้างก็นินทากันต่างๆ นานาว่าร่างสูงหมดตัวหลังจากจ่ายเงินก้อนใหญ่ให้แม่ผู้บังเกิดเกล้า แต่ความจริงแล้ว.. คริสยังเหลือเงินใช้อีกบาน

    แน่นอนว่าคริสยังดำรงตำแหน่งสูงสุดของบริษัทและบริหารงานในเครือข่ายออกมาอย่างสวยงามทุกไตรมาส ฝีมือของเขาไม่เคยตก ผลประกอบการเป็นที่น่าอิจฉาทุกไตรมาสจนบริษัทคู่แข่งต้องเข้ามาขอร่วมหุ้นด้วย แต่คริสก็ยังเป็นคริสเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน ยังหยิ่งผยอง หวงอำนาจ และไม่คิดจะให้ใครมาแตะของของเขา

    หลังจากที่เขาเซ็นเช็คใบสุดท้ายให้แม่ไป ร่างสูงก็จัดการย้ายชื่อตัวเองออกมาจากบ้านหลังนั้น ตัดชื่อแม่ออกจากธุรกิจที่เขาเคยยอมให้แม่ดูแล เอาบริษัทคืนกลับมาและเลิกติดต่อกับผู้หญิงคนนั้นอย่างเด็ดขาด คริสขอไม่รับรู้อะไรเกี่ยวกับแม่อีก

    ส่วนฮเยรินก็ได้กลับไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศเหมือนที่เธอต้องการ เธอเข้าเรียนต่อ และกำลังคบหากับคนที่เธอรักจริงๆ ไม่ใช่เขาที่ถูกส่งมาให้แต่งงานด้วยเพราะเหตุผลทางธุรกิจ

    ทุกๆ คนดำเนินชีวิตของตัวเองต่อไปในทางที่ดี ในขณะที่คริสก็ยังคงดำเนินตัวเองต่อเช่นกัน เพียงแต่หัวใจของเขายังคงติดอยู่กับจุนมยอน ไม่ยอมก้าวออกไปไหนทั้งนั้น

     

     

    รถไฟใช้เวลาประมาณ 20 นาทีมาจนถึงสถานีจุดหมาย ร่างสูงเดินตามถนนมาประมาณ 300 เมตรกว่าจะถึงสุสานของจุนมยอน ชายหนุ่มทักทายเจ้าหน้าที่แถวๆ นั้นนิดหน่อยก่อนจะขอยืมอุปกรณ์ทำความสะอาดมาจากพวกเขา

    กระทั่งเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าสุสานของเด็กน้อย คริสจึงเริ่มทำการกวาดเศษใบไม้ออกและทำความสะอาดที่อยู่ของคนตัวเล็กจนสะอาดเรียบร้อยแล้วจึงนำดอกไม้มาวาง คนตัวสูงดึงการ์ดออกจากช่อดอกไม้และเก็บมันลงกระเป๋ากางเกงก่อนจะนั่งลงตรงหน้าสุสานและทักทายคนรักของเขาเหมือนอย่างที่เคยทำ

     

    “เฮ้ วันนี้อากาศร้อนหน่อยนะ แต่พยากรณ์อากาศบอกว่าเย็นวันนี้ฝนจะตกล่ะ”

    “วันนี้ฉันไปหาหมอมา พวกเขาบอกว่าต้องเพิ่มยาให้ฉันเพราะฉันมีอาการอย่างอื่นแทรกซ้อน แถมยังหลับยากกว่าเดิมด้วย”

    “ปกติก็หลับยากอยู่แล้ว คราวนี้ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ ฉันนอนตอนตี 5 เกือบทุกวัน แล้วก็ต้องเลื่อนเวลาเข้าทำงานไปเป็นตอน 10 โมง พอเลื่อนเวลาเข้างานแล้วก็ต้องเลิกช้ากว่าเมื่อก่อน แทนที่จะได้กลับห้องตอน 5 โมงเย็น เดี๋ยวนี้ฉันกลับมาตอนเกือบ 4 ทุ่มทุกที”

    “แล้วนายล่ะเป็นยังไงบ้าง? หวังว่าคงจะหลับฝันดีทุกคืนนะ”

    “วันนี้ไม่ได้เอาหนังสือมา ขอโทษด้วย เมื่อวานฝนตกก็เลยไม่ได้แวะเข้าร้านหนังสือน่ะ”

     

    คริสมองดูช่อดอกไม้สีฟ้าของเขา ริมฝีปากถูกเม้มก่อนที่ร่างสูงจะสูดลมหายใจเข้าปอด โลกที่ไร้จุนมยอนมันช่างทรมานเหลือเกิน ในทุกๆ วันคริสเหมือนจะมีอาการดีขึ้น พูดคุยและยิ้มได้ปกติ แต่ข้างในของคริสพังจนแทบไม่เหลือชิ้นดี หัวใจ ที่ครั้งหนึ่งเคยเต้นแรงเพราะใครบางคน บัดนี้มันเต้นช้าและอ่อนแรง ทำท่าจะหมดลมหายใจทุกที แต่ก็ยังไม่ตายไปเสียที คริสเองก็ไม่เข้าใจเช่นกันเพราะอะไร หรือฟ้าอาจจะอยากลงโทษให้คนอย่างเขาต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างทรมาน

     

    “จุนมยอน”

    “คิดถึงจังคนเก่ง”

     

    นี่คงเป็นแค่คำพูดเดียวที่คริสมักจะพูดออกมาทุกวัน ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ต่อให้อยู่ที่บริษัทหรือในซูเปอร์มาเก็ต เขาก็มักจะเผลอพูดคำนี้ออกมาเวลาที่ทำอะไรแล้วคิดถึงจุนมยอน ซึ่งคนในความทรงจำก็คงดีใจไม่น้อยที่คริสมีเขาอยู่ในหัวใจตลอดเวลา

    ไม่รู้ว่าตอนนี้จุนมยอนจะกำลังยิ้มอยู่หรือไม่ แต่คริสกำลังยิ้มให้กับรูปขาวดำบนหลุมศพนั่น มันเป็นรูปที่ดูดีที่สุดของร่างเล็กเพราะมันเป็นรูปที่ร่างเล็กชอบที่สุดตามที่คยองซูเคยกล่าว รูปนั่นถูกถ่ายเมื่อวันรับน้องในตอนที่จุนมยอนกำลังยิ้มและหัวเราะอยู่กับเพื่อนๆ และถึงแม้ว่ามันจะเป็นภาพที่ถูกแอบถ่ายในตอนที่จุนมยอนกำลังเผลอ แต่มันก็ดูดีจริงๆ อย่างที่ร่างเล็กชอบพูดกับคยองซูตลอด

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ตกเย็น คริสกลับมาที่ห้องพักสี่เหลี่ยมเพราะเขาถูกฝนไล่ให้กลับห้อง แน่นอนว่าเขาหัวเสียที่ไม่ได้นั่งเล่นกับจุนมยอนนานๆ ร่างสูงจำใจเดินกลับไปยังสถานีรถไฟก่อนจะแวะเข้าร้านรามยอนเพื่อทานมื้อเย็นเข้ามาก่อนกลับ และเพื่อรอให้ฝนเบาลงกว่านี้

    กระทั่งสายฝนเบาบางคริสจึงกางร่มเดินกลับมาที่ห้องพัก กลับมาจมอยู่กับแสงไฟสีเหลืองนวลและผ้าห่มกลิ่นหอมเช่นเดิม

    กล่องกระดาษสีดำถูกหยิบออกมาจากลิ้นชักตรงโต๊ะเขียนหนังสือของจุนมยอน คริสวางมันลงบนเตียงและกระโดดขึ้นไปนั่งข้างๆ กับกล่อง เปิดฝาสี่เหลี่ยมออกพร้อมกับหยิบอะไรบางอย่างในกระเป๋ากางเกงออกมา

     

    วันนี้จะลองกินรามยอนแบบเผ็ดอีกรอบ เป็นกำลังใจให้ด้วยนะ

    คิดถึงเสมอแล้วก็ยังรักเหมือนเดิม

    อย่าเพิ่งหนีกันไปก่อนล่ะ อีกไม่นานจะตามไปแล้ว คริส

     

    การ์ดใบสีฟ้าไม่ได้ถูกผูกเอาไว้กับช่อดอกไม้ กลับกันมันถูกดึงออกมาเก็บไว้กับตัวเจ้าของแทน ในกล่องกระดาษสี่เหลี่ยมนั่นเต็มไปด้วยการ์ดหลายใบซึ่งถูกเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ สีสันของมันต่างออกไป แต่เกือบทุกใบนั้นมีโลโก้ร้านดอกไม้ร้านเดิมประทับอยู่ มีอยู่ไม่กี่ใบเท่านั้นที่เป็นโลโก้ของร้านอื่น เนื่องจากบางทีร้านประจำของคริสก็ปิดในบางโอกาส เขาจึงต้องไปใช้บริการจากร้านอื่นแทน

    การ์ดใบสีฟ้าถูกสอดเก็บลงไปในกล่อง เหตุผลที่คริสทำแบบนี้ก็เพราะเขาอยากจะเก็บความคิดถึงของเขาลงในกล่องใบนี้ เขาไม่ต้องการให้การ์ดและข้อความของเขาถูกติดไปกับดอกไม้ เพราะสุดท้ายแล้วเจ้าดอกไม้ก็จะถูกเจ้าหน้าที่เคลียร์ทิ้งในที่สุด คริสจึงเก็บการ์ดกลับมาที่บ้านทุกครั้ง บางทีเขาก็หยิบมันออกมาอ่านบ้าง ข้อความบางอันก็น่าขำ ข้อความบางอันก็แสดงความคิดถึงแสนจับใจ

     

    ฉันรู้สึกว่าเตียงของเรามันใหญ่เหลือเกิน คริส

    วันนี้นายแกล้งกันหรือเปล่าเนี่ย? ฉันปวดท้องชะมัดตอนอยู่ในที่ประชุม เกือบอั้นไม่อยู่แล้วรู้ไหมตัวแสบ คริส

    หิมะตกหนักมาก ช่วยไปบอกแจ็ค ฟรอสต์หรือไม่ก็เอลซ่าให้หน่อยว่าพวกเขากำลังจะทำให้ฉันเป็นหวัด คริส

    จงอินคบกับคยองซูแล้วนะรู้ไหม? คริส

    คนดี.. ต้องทำยังไงฉันถึงจะได้เจอนายอีก คริส

    จุนมยอนนา.. มันทรมานเหลือเกิน คริส

     

    คนตัวสูงนอนราบลงบนเตียงนุ่ม ในมือของเขาถือการ์ดสีชมพูอ่อนใบเก่าเก็บ สายตาไล่อ่านข้อความที่เขาเคยเขียนให้จุนมยอนเมื่อเดือนที่แล้ว โลกทั้งใบเงียบสงัดอีกครั้ง หัวใจพลันกระตุกวูบสลับกับรู้สึกเจ็บแปลบ และจู่ๆ น้ำตาก็ไหลลงมา

    คิดถึง.. คิดถึงมากๆ ทุกอย่างมันเป็นเพราะเขาเองทั้งหมด ถ้าเขากล้าพอที่จะปฏิเสธการแต่งงาน.. ทุกอย่างก็คงไม่จบลงแบบนี้ มันเป็นความผิดของเขาเอง ถ้าจะโทษก็ต้องโทษเขาคนเดียวที่ทำให้จุนมยอนตาย เขาเองนั่นล่ะที่ฆ่าจุนมยอน.. เป็นเขาเอง.. เพราะเขาคนเดียว

     

     

     

     

    เพราะผมคนเดียว..

     

     

    Time Lapse เป็นการถ่ายภาพในช่วงเวลาหนึ่งๆ ใช้เทคนิคเหมือนการถ่ายทำภาพยนตร์แบบเร่งความเร็ว สามารถย่นระยะเวลาจาก ปี เดือน วัน ชั่วโมง มาเหลือเพียงนาที หรือไม่กี่วินาทีเท่านั้น การบันทึกภาพต้องใช้ขาตั้งกล้อง เพื่อให้ภาพในเฟรมที่ไม่เคลื่อนไหว จะหยุดนิ่งอยู่ที่เดิม มีเพียงแค่วัตถุที่เราอยากเห็นความเปลี่ยนแปลง (กำลังนิยม, n.d.)

    Time Lapse ในเพลงของคิมแทยอนนั้นเอ่ยถึงผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้แยกทางกับคนรักแล้ว แต่หัวใจของเธอยังคงติดอยู่กับความทรงจำเหล่านั้น ต่อให้วันเวลาจะผ่านไปกี่ปี กี่เดือน ต่อให้ผู้คนจะดำเนินชีวิตกันไปตามทางของตัวเองแล้ว แต่เธอก็ยังคงเป็นกล้องที่ยืนมองดูผู้คนใช้ชีวิต มองดูสิ่งต่างๆ เปลี่ยนแปลงไป และมองดูผู้ชายคนนั้นดำเนินชีวิตต่อไป ในขณะที่เธอยังคงติดอยู่กับผู้ชายคนนั้นอยู่ที่เดิม เธอพยายามจะลืมเลือน แต่เธอกลับได้ความเจ็บปวดกลับมาแทน

    Time Lapse อาจเปรียบเสมือนชีวิตของคริส ที่ต่อให้จุนมยอนจะจากไปอย่างไม่มีวันกลับแล้ว และต่อให้ผู้คนใช้ชีวิตกันไปถึงไหนต่อไหนแล้วก็ตาม แต่คริสยังคงติดอยู่กับความเจ็บปวดกับความผิดของเขาอยู่ตรงที่เดิม คริสพยายามจะเดินทางตามจุนมยอนไป แต่สิ่งที่ได้กลับมาคือความเจ็บปวดแทน

     

    - - - - - - - - - - - - - - -

    END.

     

     

     

    @mmangmoom : ถึงเวลาต้องเขียนคำว่า End แล้ว ในที่สุดเรื่องนี้ก็จบแล้วค่ะ ใช้เวลานานมากกับตอนจบ จากที่ตอนแรกว่าจะแบ่งออกไป 2 พาร์ท แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจไม่แบ่งดีกว่า ลงไปทีเดียวเลยแล้วกัน

    อันที่จริงเราก็ใบ้มาตั้งแต่ต้นแล้วนะว่าจุนมยอนคงไม่ได้อยู่กับคริส แต่ไม่รู้มีคนสังเกตป่าว 5555555555 ต้องขอโทษด้วยนะคะที่จบด้วยความดราม่าอีกแล้ว เป็นดราม่าที่หินและยาวเหลือเกิน แต่เรื่องหน้าจะเขียนแบบน่ารักๆ มาดับความเศร้าให้นะคะ ฮือออ

    สำหรับเรื่องหน้าเรากำลังจะลงมือร่างพล็อตค่ะ เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ Fairy เหนือธรรมชาติอีกแล้ว น้องจุนของเราจะเป็นภูตแสนสวยที่มาทำให้มนุษย์รูปหล่ออย่างพี่คริสใจละลายล่ะ แต่ตอนนี้มีรายละเอียดเยอะมากที่ต้องอ่านเกี่ยวกับประวัติ Fairy ทั้งหลาย มันมีหลายสายพันธุ์หลายแบบมาก แถมยังหาสัตว์แปลกๆ กับภูตตัวอื่นๆ มาไว้ในฟิคด้วย ความยากได้บังเกิดขึ้นแล้ว 5555555555555555 แต่ที่ยากกว่าคือต้องเลือกว่าจะให้น้องจุนเป็นภูตสาวไปเลยดีไหม? ถ้าเป็นภูตสาวก็จะเป็น fem!AU ไปเลย หรือเราควรจะคงตัวละครให้น้องจุนเป็นผู้ชายน่ารักเหมือนเดิมดีคะ? ทุกคนช่วยเราที ฮือออออ

    ยังไงก็ขอบคุณนะคะที่อ่านเรื่องนี้แล้วชอบกัน สำหรับคนที่ติดตามมาตลอดเราขอบคุณจริงๆ ไม่มีอะไรจะพูดนอกจากขอบคุณจริงๆ ค่ะ เรารักทุกคนน้าา

     

    เจอกันเรื่องหน้าค่ะ

    ปล.กิจกรรมแจกของกำลังจะมานะคะ รอให้มันเสร็จเรียบร้อยก่อนแล้วเราจะมาลงรายละเอียดนะคะ ตอนนี้กำลังติดต่อโรงพิมพ์นะงับ ฝากติดตามกันด้วยนะคะ สำหรับคริสโฮชิปเปอร์เท่านั้น!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×