ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) KRiSHO FICTION by MMANGMOOM

    ลำดับตอนที่ #134 : ♡ Time Lapse (Chapter 3)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 442
      21
      18 เม.ย. 61

    Time Lapse
    Kris x Suho






    “ผมพยายามเก็บอาการทุกอย่างตอนที่อยู่กับเขา เพราะผมไม่ต้องการให้เขาวิ่งหนีผมไปเหมือนคนอื่นๆ”

     

    วันที่สองของการบำบัดเริ่มต้นด้วยการเปิดโอกาสให้คริสได้พูดความในใจอีกครั้ง วันนี้ร่างสูงอยู่ในชุดสูทเช่นเดิม แต่เนคไทของเขาเป็นสีกรมท่าที่จุนมยอนเลือกให้เมื่อเช้า มันดูจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขาระบายยิ้มออกมาตลอดทั้งวันนี้

     

    “คุณเคยลองคิดอีกมุมบ้างหรือเปล่าครับ? ผมหมายถึงคุณเคยคิดไหมว่าถ้าเขารู้ความจริงเกี่ยวกับตัวคุณแล้ว คุณว่าเขาจะรับได้หรือเปล่า”

    “ผมว่าเขารับไม่ได้หรอก ขึ้นชื่อว่าจิตผิดปกติ.. ใครๆ ก็คงจะต้องตีความหมายไปว่าผมเป็นโรคจิต” คริสเอ่ยออกมา ในขณะที่แพทย์ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามนั้นจดข้อมูลจากคำพูดของคริสลงไปในสมุด

    “แล้วคุณคิดไหมครับว่าความสัมพันธ์นี้จะไปได้อีกนานแค่ไหน?”

    “ผมไม่คิด ผมแค่อยากจะใช้ชีวิตกับเขาไปเรื่อยๆ ตราบใดที่เรายังเข้าใจกันและมีความสุขเมื่ออยู่ด้วยกัน”

    “อ่า.. เข้าใจแล้วครับ”

     

    จิตแพทย์คนเดิมพยักหน้าช้าๆ พลางจดข้อมูลลงไปอีกหน เขาเม้มปากเพราะกำลังใช้ความคิด จากนั้นไม่นานเขาก็วางสมุดลงก่อนจะเปลี่ยนมาสบตาคนไข้ของเขา

     

    “ก่อนอื่นเลยคุณยังคิดว่าตัวเองเป็นโรคจิตอยู่ นั่นแปลว่าคุณให้ค่าตัวเองน้อยเกินไป คุณมีทัศนคติลบๆ กับตัวเอง ซึ่งอาจเกิดจากการที่คุณเจอคนต่อว่าและดูถูกมาตลอดตั้งแต่คุณยังเป็นเด็ก แต่สิ่งที่ผมจะบอกก็คือคุณต้องค่อยๆ ปรับเปลี่ยนความคิดนั้น”

    “คุณไม่ใช่คนไม่ดี คุณคือคริส วูเจ้าของบริษัทอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เครือใหญ่ที่สุดในประเทศ คุณสร้างมันมาเองกับมือเพราะคุณไม่ต้องการจะพึ่งพาคนในครอบครัว คุณกลายเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย อีกทั้งคุณยังสร้างอาชีพให้กับคนมากมายที่เข้ามาทำงานในบริษัทคุณ นั่นหมายความว่าคุณคือที่พึ่งของพวกเขา และนั่นมันยอดเยี่ยมมาก”

    “คุณต้องพยายามให้กำลังใจตัวเองมากกว่านี้นะครับ ลองหาของขวัญให้ตัวเองดูบ้าง และทุกสิ่งที่คุณทำสำเร็จนั้นไม่ว่ามันจะเป็นงานชิ้นเล็กๆ หรือชิ้นใหญ่แค่ไหนก็ตาม คุณต้องหาโอกาสฉลองให้กับตัวเองบ้าง”

     

    ค่อนชีวิตที่ผ่านมา คริสรู้ดีว่าเขากลายเป็นคนเก็บตัวและมีมิตรน้อยลงอย่างเห็นได้ ทัศนคติของเขาที่มีต่อตัวเองเริ่มถดถอยลงจนติดลบ จนพักหลังมานี้คริสเริ่มรู้สึกเกลียดตัวเองที่เกิดมาบนโลกใบนี้ เริ่มรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า เห็นสิ่งใดก็เบื่อหน่ายไปหมด แต่เขายังโชคดีที่ไม่เคยคิดสั้นหรืออะไรเทือกนั้นเลยสักครั้ง เขาโชคดีที่มีเพื่อนอีกสองคนคอยแวะเวียนมาหาและถามไถ่อยู่เสมอ พวกเขาเปรียบเสมือนบุคคลที่มาต่อลมหายให้กับร่างสูง

    มันน่าตลกสิ้นดีที่สุดท้ายแล้วคนที่เป็นไหล่พักพิงให้กับคริสคือคนนอกครอบครัวไม่ใช่ คนในครอบครัว อย่างที่ควรจะเป็น

     

    “ผมมีเรื่องอยากจะถามคุณหมอสักหน่อย”

    “ว่ามาสิครับ”

    “ถ้าการที่ผมรู้สึกรังเกียจครอบครัวของตัวเอง เกลียดแม่และคนอื่นๆ ผมคือลูกที่อกตัญญูใช่หรือเปล่า?”

    “คนชอบพูดกันว่าลูกควรจะต้องดูแลพ่อแม่ และต้องเป็นลูกที่ดี ไม่อกตัญญู.. แต่ถ้าพวกเขาไม่เคยทำดีกับเราเลย เราจะผิดไหมถ้าหากเราจะขอไม่ทำดีตอบกลับบ้าง” คริสพูด เขาสบตาของจิตแพทย์เพื่อรอคำตอบของชายตรงหน้าทั้งๆ ที่ร่างสูงมีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้ว ถ้าหากหมอตัดสินว่ามันผิด อย่างไรเสียคริสก็จะไม่มีวันกลับไปดูแลผู้หญิงคนนั้นเด็ดขาด

    “ผมบอกไม่ได้หรอกครับว่ามันจะถูกหรือผิด ผมไม่มีสิทธิ์ตัดสินอะไร มันเป็นเรื่องภายในครอบครัวของคุณซึ่งผมตัดสินไม่ได้” จิตแพทย์ชุดขาวพูด “คุณคงรู้สึกเจ็บปวดมากเลยใช่ไหมตอนที่คุณถูกแม่ของคุณทำร้าย”

    “ใช่ ผมไม่เคยยกโทษให้ผู้หญิงคนนั้นได้เลย มีแต่จะสั่งสมความแค้นมากขึ้นทุกวัน แต่ก็อย่างที่เห็นนั่นล่ะ.. ผมทำอะไรเธอไม่ได้เพราะเธอเป็นแม่ผม ผมเลยตัดสินใจหนีออกมาจากชีวิตของเธอและตั้งตัวเองโดยไม่ขอเงินจากเธอสักแดง ผมคิดว่าชีวิตนี้ผมคงไม่ได้พบเจอเธออีกแล้ว แต่สุดท้ายโลกก็เหวี่ยงให้เรามาเจอกันอีกครั้ง”

    “นี่สินะที่เขาเรียกว่าสายสัมพันธ์ของแม่ลูกไม่มีวันตัดขาด”

    “นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ชัดเจนมากๆ เพราะคุณเอาคืนแม่ของคุณไม่ได้ คุณถึงมาลงที่คนอื่นแทน และนั่นทำให้คุณรู้สึกมีความสุขมากๆ เมื่อเห็นคนอื่นเจ็บปวดทุรนทุราย สุดท้ายแล้วคุณก็กลายเป็นคนที่เสพติดความรุนแรง”

    “ก็คงใช่ ผมชอบทำให้คนพวกนั้นตายใจด้วยการเล้าโลม หลังจากนั้นผมจึงลงมือ แต่ผมไม่ได้วิตถารถึงขั้นทำร้ายร่างกายอะไรแบบนั้นหรอกนะ ผมรู้ดีว่าอะไรควรหรือไม่ควร แต่ผมก็แค่.. ชอบมองเห็นรอยแผลและรอยต่างๆ บนร่างกายของคนพวกนั้น ขอแค่ให้มีสักแผลที่ผมเป็นคนทำมันเอง แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้ว มันทำให้ผมสำเร็จความใคร่ง่ายขึ้นยิ่งกว่าเดิม”

    “เข้าใจแล้วล่ะครับ แล้วตอนนี้แม่ของคุณยังพยายามติดต่อมาหาคุณหรือเปล่า?”

    “แน่นอน เธอพยายามทำทุกช่องทางเพื่อเรียกร้องให้ผมกลับไปอยู่ที่บ้านและทำเหมือนกับว่าเราเป็นครอบครัวสุขสันต์ มีแม่ ผม สามีใหม่ของเธอ ลูกติดจากสามีของเธอ และลูกของเธอกับสามีใหม่เองอีก 2 คน”

    “เธออยากให้มันเป็นแบบนั้น เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรู้สึกอับอายขายหน้าต่อคนภายนอก ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเธอไม่ได้รักผมสักนิด เธอก็แค่อยากจะจัดฉากบังหน้านักข่าวกับวงการไฮโซของเธอ”

    “ทุกครั้งที่เธอติดต่อคุณมา มันทำให้คุณเครียด อารมณ์เสียแล้วก็ไม่พอใจมากๆ ใช่ไหม?”

    “ใช่ ผมจะรู้สึกเหมือนปรอทแตกทุกครั้งที่ได้ยินชื่อนี้”

     

    เรื่องของครอบครัวเป็นเรื่องที่ยากจะเสวนาที่สุดสำหรับคริส เขาเหยียบเรื่องนี้เอาไว้ตลอดเวลาตั้งแต่หนีออกมาจากบ้านหลังใหญ่ เหยียบแม้กระทั่งเรื่องที่เขาเคยถูกทำร้ายจิตใจและร่างกาย จนในสุดปมเหล่านี้ก็หล่อหลอมให้คริสกลายมาเป็นคริสแบบทุกวันนี้ คือกลายเป็นคนนิสัยแรงกล้า กลายเป็นคนเก็บทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ในใจโดยไม่คิดจะพูด กลายเป็นคนไม่สนใครหน้าไหนทั้งนั้น และท้ายที่สุดคือเป็นคนชอบเห็นคนอื่นเจ็บปวด

    ในเรื่องของนิสัยซาดิสม์นั้นมีที่มาที่ไปไม่ใช่แค่ชอบจึงกลายเป็นคนคลั่งไคล้ความรุนแรง คริสเคยเจอเหตุการณ์สะเทือนใจจากในบ้านและถูกทำร้ายร่างกายในตอนที่ยังเด็ก ไม่ใช่แค่หนเดียวแต่นับหลายสิบครั้ง มากพอที่จะทำให้เด็กชายคนนี้เก็บเอาความกดดันนั้นไว้ในใจจนแสดงออกมาในรูปแบบของเซ็กส์ ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ทำร้ายร่างกายของเขาก็คือแม่แท้ๆ ของตน นั่นทำให้คริสไม่สามารถเอาคืนคนๆ นั้นได้เลยแม้แต่น้อย เขาจึงต้องไปแสดงออกกับคนอื่นแทน

     

    “อีกคำถามเดียวนะครับคุณคริส จบจากนี้แล้วผมจะจ่ายยา แล้วเราค่อยว่ากันใหม่สัปดาห์หน้า”

    “ว่ามาสิครับ”

    “ผมอยากรู้ว่าคุณเริ่มรู้จักเซ็กส์ในแบบซาดิสม์ได้ยังไงน่ะครับ?”

    ” คริสฟังคำถามนั้นในขณะที่ดวงตาของเขายังมองพื้นพรมสีครีมอยู่ “โอ.. ช่างเป็นคำถามที่ตอบได้ยากเหลือเกิน”

    “เริ่มรู้จักเซ็กส์แบบนี้ได้ยังไงอย่างนั้นเหรอ?... คิดว่าน่าจะเป็นตอนอายุ 15 ครับ มีพี่ชายอยู่คนหนึ่งเป็นพี่ข้างบ้านของผม เราสนิทกันมากๆ พี่เขาก็ได้รับรู้มาตลอดว่าผมเจออะไรมาบ้าง เขาเป็นที่พึ่งเดียวของผมในตอนนั้น สุดท้ายแล้วเขาก็ลองให้ผมระบายความเครียดด้วยการให้ผมผูกแขนของเขาเอาไว้กับเตียง จากนั้นเขาก็เริ่มให้ผมทำตามใจชอบ เขาบอกผมว่าผมจะฟาดเขาด้วยเข็มขัดเท่าไหร่ก็ได้ ผมก็เลยลอง”

    “พี่เขาก็ดูจะชอบ เขาขอให้ผมทำอีก แล้วเราก็เริ่มเรียนรู้เรื่องนี้ด้วยกันอยู่บ่อยๆ แต่หลังจากนั้นไม่นานผมก็ทนกับสภาพในบ้านไม่ไหว ผมจึงหนีออกมา แล้วเราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย”

    “แสดงว่าคุณไม่ได้เป็นคนเริ่มต้นการมีเซ็กส์แบบนี้เอง เพียงแต่คุณถูกชักพาให้ลองทำ คุณถึงได้เสพติดมัน”

    “คงใช่”

     

    - - - - - - - - - - - - - - -

     

    เป็นอีกครั้งที่การบำบัดทำให้คริสรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน ครั้งนี้เขาขุดเอาเรื่องในอดีตออกมาพูดเยอะกว่าครั้งที่แล้ว แถมยังได้ย้อนไปถึงต้นสายปลายเหตุของสิ่งผิดปกติที่กัดกินหัวใจของเขามานาน

    ขณะนี้เป็นเวลาเกือบสามทุ่มตรงแล้วแต่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องร่างสูงเลยสักอย่าง ครั้นจะแวะหาร้านอาหารข้างทางก็คงจะไม่ไหวเพราะตอนนี้สายฝนกำลังสาดเทลงมาจนคริสไม่อยากออกจากรถ

     

    ครืด..

    ทำอะไรอยู่ครับ?

     

    เสียงสั่นของโทรศัพท์ทำให้ซูฮยอกเหลือบมองเจ้านายของเขาผ่านกระจกมองข้างหลัง เขาเห็นคริสหยิบโทรศัพท์เครื่องบางออกมาดู ปกติแล้วคริสก็จะแค่อ่านข้อความจากการแจ้งเตือนและเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋าเหมือนเดิม เขาจะไม่อ่านหรือตอบอีเมล์ใดๆ ทั้งนั้นหากไม่ใช่เวลางาน แต่คราวนี้ร่างสูงกลับระบายยิ้มออกมาก่อนจะปลดล็อคหน้าจอและส่งข้อความตอบกลับไป

     

    อยู่บนรถน่ะ

     

    คริสส่งข้อความกลับไปหาเด็กผู้ชายคนนั้นสั้นๆ เสร็จแล้วจึงทอดสายตามองออกไปยังท้องถนนที่กำลังเปียกแฉะ วันนี้ไม่มีผู้คนออกมาเดินเพ่นพ่านเนื่องจากพวกเขาพากันเข้าไปหลบฝนในคาเฟ่ต์กันหมด นั่นจึงทำให้ภาพของท้องถนนไม่ได้ดูแออัดจากผู้คนมากจนเกินไป มันทำให้คริสรู้สึกสบายตาขึ้นมาทันที

     

    “ซูฮยอก เดี๋ยวเลี้ยวซ้ายข้างหน้าแล้ววิ่งเส้นซินชอนนะ”

    “จะไปไหนเหรอครับคุณคริส?”

    “ไปหาจุนมยอน”

    “ครับผม”

     

    ซูฮยอกพยักหน้าและตบไฟเลี้ยวเตรียมชิดซ้ายและมุ่งหน้าสู่ถนนซินชอน เขาไม่ได้ถามอะไรต่อหลังจากที่ร่างสูงบอกว่าจะไปหาจุนมยอน แต่ดูท่าแล้ว.. เจ้านายของเขาติดเด็กคนนั้นแจ เขาไม่เคยเห็นคริสรู้สึกติดใจใครที่ไหนจนได้กลับมาสานสัมพันธ์กันต่อแบบนี้

    ไม่นานรถยุโรปคันสีดำก็เคลื่อนตัวไปตามเส้นทางที่ร่างสูงเป็นคนบอกอยู่เป็นระยะๆ จนกระทั่งมันมาจอดเทียบฟุตบาธหน้าตึกสีขาว 4 ชั้นแห่งหนึ่ง คริสจึงก้มตัวลงไปหยิบร่มคันสีดำซึ่งถูกใส่เอาไว้ในช่องเก็บของข้างประตูและดึงปลอกของมันออก

     

    “กลับไปก่อนเลยนะซูฮยอก แล้วพรุ่งนี้ค่อยมารับฉันที่นี่ตอน 7 โมงเช้า อย่าสายล่ะ”

    “ได้ครับ”

     

    เมื่อเลขาคนสนิทตอบรับแล้ว คริสจึงเปิดประตูรถออกไป เสียงของเม็ดฝนดังชัดอยู่ในหูยิ่งกว่าเดิม ชายหนุ่มกางร่มออกเพื่อให้มันกำบังศีรษะของตัวเองเอาไว้ ก่อนที่เขาจะรีบสาวเท้าอย่างว่องไว้ไปยังตัวอาคารสีขาวโดยไม่สนว่าหยดน้ำที่กระเซ็นมาโดนขากางเกงสแล็คราคาแพงจะทำให้มันเปื้อนมากน้อยแค่ไหน

    ร่างสูงรีบขึ้นบันไดไปยังชั้นที่ 4 ของตึกหลังนี้ และทันทีที่หลังคาของตึกสามารถกำบังเม็ดฝนให้เขาได้แล้ว ร่มสีดำจึงถูกหุบลงในทันที

     

    ก๊อกๆๆ

     

    คริสเดินมาหยุดที่ห้อง 405 ซึ่งเป็นห้องสุดท้ายของทางเดิน เขายืนรออยู่ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กจากข้างใน เดาว่าคนในห้องกำลังจะเปิดประตูออกมาหา และคริสเองก็แทบอดใจไม่ไหวที่จะได้เห็นจุนมยอนทำหน้าประหลาดใจ

     

    “คุณคริส มาได้ไงครับเนี่ย?” เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่ตกใจ เขารีบเปิดประตูให้คริสเข้ามาด้านในห่อนจะมองเห็นว่าบนเสื้อสูทราคาแพงนั่นมีละอองฝนเกาะอยู่มาก

    “ฉันลองให้ซูฮยอกขับมาตามเส้นทางที่นายเคยบอกเมื่อเช้า นายบอกว่านายพักอยู่แถวๆ ห้าง M ไม่ใช่เหรอ? ฉันก็ลองขับวนดูแล้วก็เจอตึกสีขาว 4 ชั้นที่นายพูด”

    “แล้วรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ห้องนี้ล่ะ?” จุนมยอนถามพลางช่วยคริสถอดสูทออก เขาใช้มือปัดละอองน้ำฝนออกจากสูทสีดำตัวนั้นก่อนจะเอามันไปพาดไว้กับพนักพิงเก้าอี้

    “ฉันดูเลขห้องมาจากกุญแจห้องของนาย ตอนที่นายลืมมันไว้บนโต๊ะกินข้าวจนฉันต้องหยิบไปให้” คริสพูดและยกมือขึ้นเท้าเอว เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะโน้มตัวลงไปกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูของเด็กหนุ่ม “คราวหลังอย่าวางมันไว้สุ่มสี่สุ่มห้าอีก ไม่อย่างอาจจะไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวที่มาเคาะห้องนายนะเด็กน้อย”

    “น่ากลัวจังเลยครับ” จุนมยอนหดคอลงทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงเย็นๆ จากร่างสูง แน่นอนว่าคริสทำให้จุนมยอนรู้สึกร้อนไปทั้งใบหน้าอีกแล้ว การจะต้านทานผู้ชายคนนี้มันเป็นเรื่องที่ยากเหลือเกิน ขนาดเคยใช้เวลาอยู่ด้วยกันมาหลายวันแล้วแต่จุนมยอนก็ยังเคอะเขินต่อร่างสูงอยู่ “คุณทานอะไรมาหรือยัง?”

    “ยัง ที่มาเคาะห้องก็เพราะอยากจะมาฝากท้องหรอก ใช่ว่าอยากจะมาเซอร์ไพรส์นายเมื่อไหร่”

    “งั้นกลับไปเลยฮะ ห้องผมไม่มีที่ให้ทำอาหาร เพราะงั้นผมก็ไม่มีอะไรจะให้คุณกินหรอกนะ” จุนมยอนเบ้ปาก ยกมือขึ้นกอดอกและเดินหนีผู้ชายร่างสูงไปนั่งบนเตียงอยู่คนเดียว เมื่อคริสเห็นเช่นนั้นแล้ว เขาจึงเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมาก่อนจะเดินไปนั่งข้างกายเล็ก

    “ใครว่า”

    “ฉันอยากมาหานายต่างหาก”

    “ไม่ทันแล้วครับ ผมงอนคุณไปแล้ว”

    “แล้วต้องทำยังไงถึงจะหายโกรธ” ร่างสูงถาม ยกมือขึ้นไปบีบต้นแขนนิ่มๆ ของจุนมยอนจนร่างเล็กต้องรีบเอนตัวหนี “อ้วน”

    “ผมไม่ได้อ้วนนะ นี่แกล้งผมไม่พอแล้วยังจะมาว่าผมอีกเหรอ?”

    “ก็อยากทำตัวน่ารักทำไมล่ะ” ยกมือขึ้นไปยีผมเด็กน้อยเบาๆ ก่อนจะพาดแขนแกร่งของตัวเองให้ไปโอบรอบไหล่เล็กเอาไว้ “ไม่มีอะไรให้กินจริงๆ เหรอ? ฉันหิวมากเลยนะรู้ไหม?”

    “ผมมีแต่รามยอน ถ้าคุณจะกินผมก็จะกินด้วย แต่ถ้าคุณไม่ชอบเราก็อาจจะต้องรอให้ฝนซาลงกว่านี้นิดหน่อยแล้วถึงจะวิ่งไปที่ร้านสะดวกซื้อได้”

    “ฉันรอไม่ไหวแล้วล่ะ กินรามยอนเถอะ ฉันแสบท้องไปหมดแล้ว”

    “งั้นผมว่าเรามากินรามยอนแบบเผ็ดกันดีกว่า ผมเห็นวิดีโอบนอินเตอร์เน็ตแล้วมันน่าตลกดีก็เลยอยากลองดู”

    “รามยอนแบบเผ็ดงั้นเหรอ?”

    “อื้อ เป็นรามยอนแบบเผ็ดคูณสอง กติกาก็คือห้ามกินน้ำระหว่างที่กินรามยอน และใครที่กินหมดคนสุดท้ายจะต้องตามใจอีกฝ่ายหนึ่งวัน”

    ” คริสเลิกคิ้วมองเด็กน้อยก่อนจะเหยียดยิ้มและตอบออกไปอย่างมั่นใจ “ฉันไม่มีทางแพ้แน่นอน ของเผ็ดน่ะเป็นของโปรดของฉันเลยล่ะเด็กน้อย”

    “งั้นเหรอ.. ผมจะคอยดูก็แล้วกันนะ”

     

    คริสพยักหน้ารับปากเด็กน้อยโดยที่ไม่รู้ว่านั่นคือกัปดัก ส่วนจุนมยอนก็ลุกออกไปจากเตียงและปล่อยให้คริสนั่งสอดส่องสายตาสำรวจห้องพักสี่เหลี่ยมขนาดเล็กไปทั่วบริเวณ มันไม่ใช่ห้องที่กว้างใหญ่เหมือนเพ้นท์เฮ้าส์ของคริส กลับกันมันเป็นแค่ห้องเช่าขนาดเล็กกว่าของคริสหลายเท่า ห้องสี่เหลี่ยมมีเฟอร์นิเจอร์ประดับอยู่ไม่กี่อย่าง เตียงนอนนี่ก็ออกจะเล็กนิดหน่อยแต่ก็ยังพอดีสำหรับขนาดตัวของจุนมยอน และถึงแม้ว่าห้องนี้จะเล็ก แต่จุนมยอนก็สามารถจัดระเบียบห้องพักของเขาให้ดูโปร่งโล่งสบายตาได้

    ทุกอย่างในห้องของจุนมยอนเป็นสีขาวแทบทั้งหมด ยกเว้นผ้าปูที่นอนสีเทากับหมอนอิงใบสีน้ำเงินนั่น แสงจากเทียนหอมในภาชนะทรงสวยทำให้ทุกอย่างในห้องนี้ดูอบอุ่นตัดกับสายฝนข้างนอก จะว่าไปแล้วตอนนี้ก็มีแค่แสงไฟสีเหลืองนวลจากโคมไฟบนโต๊ะเขียนหนังสือกับแสงจากเทียนหอมเท่านั้นที่ให้แสงสว่างกับห้องนี้ คริสจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและหันไปถามเด็กน้อย

     

    “ทำไมถึงไม่เปิดไฟในห้องให้สว่างๆ ล่ะ?”

    “ผมเป็นพวกเสพติดความมืดสลัวไปแล้วน่ะครับ” จุนมยอนตอบพลางก้มลงไปเสียบปักหม้อต้มน้ำร้อนและกดเปิดสวิตช์ “ผมชอบเปิดไฟดวงเล็กๆ แล้วก็จุดเทียนหอมเอามากกว่าเปิดไฟให้มันสว่างทั้งห้อง พอทำแบบนี้แล้วผมจะรู้สึกสงบมากขึ้น แล้วหลังจากนั้นผมก็จะกระโดดขึ้นเตียงไปนอนอ่านการ์ตูนหรือไม่ก็ดูหนังสักเรื่อง”

    “แต่ทำแบบนี้มันจะเสียสายตาเอานะ”

    “ผมรู้น่า แต่จะทำยังไงได้ล่ะนี่เป็นวิธีเดียวที่จะช่วยให้ผมหายเหนื่อยจากมหาวิทยาลัยได้” พูดจบก็ฉีกซองรามยอนออกและเทบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนั่นลงในชามกว้างก่อนจะเดินมานั่งข้างๆ คริสระหว่างที่กำลังรอให้น้ำในหม้อเดือด

    “เรียนหนักเหรอเทอมนี้?” คริสถามด้วยน้ำเสียงบางเบา เขายื่นมือไปเกลี่ยปรอยผมสีน้ำตาลของจุนมยอนให้เลื่อนไปทัดหูของเด็กน้อยแทน จุนมยอนส่ายเบาๆ ก่อนจะเริ่มพูดถึงสิ่งที่ตนเก็บเอาไว้ในใจ

    “ผมแค่รู้สึกเหนื่อยกับคำพูดเหยียดหยามของคนในคณะน่ะ เพราะว่าเพื่อนบางคนรู้เรื่องที่ผมทำงานนั่น พวกเขาก็เลยดูถูกแล้วก็เอาไปพูดลับหลังกันตลอดเวลา ผมพยายามเลิกใส่ใจแล้วนะ แต่บางทีมันก็แล่นกลับมาในหัวผมอีก”

    “ไม่ค่อยจะต่างกันหรอก” คริสพูด นั่นจึงทำให้จุนมยอนเลิกคิ้วขั้นมานิดหน่อย

    “คุณน่ะเหรอจะโดนนินทาเหมือนผม”

    “ฉันเจอมามากกว่านายอีก.. มีหลายเรื่องที่ฉันพบเจอ แต่ส่วนที่ทำให้บั่นทอนก็คือคำพูดของอื่นเหมือนที่นายเจอนั่นล่ะ แต่เรื่องแบบนี้ไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากตัวเราเอง ถ้านายไม่เอาตัวนายออกมาจากคำพูดของคนอื่น นายจะเดินหน้าต่อได้ยังไงกัน”

    “นายมีเหตุผลที่ทำให้ต้องเลือกทางเดินนั่นไม่ใช่เหรอ? อีกอย่างตอนนี้นายก็ตัดสินใจเลิกทำงานนั่นแล้ว เพราะงั้นนายก็ควรจะเลิกสนใจคำพูดจากคนภายนอกเสียที สิ่งที่นายควรทำตอนนี้คือตั้งใจเรียนและโทรหาฉันก่อนนอนทุกวัน”

    “ฮ่ะๆ อย่างหลังน่ะไม่มีทางลืมแน่นอนฮะ อันที่จริงผมอยากจะโทรหาคุณทุกชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าทำแบบนั้นคุณคงรำคาญผมแน่ๆ”

    “ฉันต้องทำงานนะเด็กน้อย ฉันมีเวลาว่างแค่ตอนเช้าก่อนไปทำงาน ตอนพักกลางวันและตอนเลิกงานแล้ว เพราะงั้นถ้าอยากจะคุยกันยาวๆ ก็ควรจะรอให้ถึงตอนที่ฉันว่างยาวๆ”

    “ผมรู้น่า ผมรู้ว่าคุณต้องทำงานแล้วก็ต้องรับผิดชอบหลายๆ อย่าง เพราะงั้นผมสัญญาว่าจะไม่ทำตัวงี่เง่าให้คุณหนักใจเพิ่มไปอีก”

    “แค่เข้าใจในสิ่งที่ฉันเป็นและอยู่กับฉันไปนานๆ แค่นี้ฉันก็พอใจแล้ว” คริสเอ่ย จุนมยอนจึงเผยรอยยิ้มออกมา ไม่ถึงเสี้ยววินาทีเด็กน้อยก็เลื่อนใบหน้าไปจูบริมฝีปากของร่างสูงเบาๆ คนถูกจูบยกมือขึ้นมารั้งท้ายทอยของจุนมยอนทันที เนื่องจากเขาไม่ต้องการให้จุนมยอนละออกไปในตอนนี้ จูบจากร่างเล็กนั้นทำให้โลกของคริสสดใสมากขึ้นจากแต่ก่อนตอนที่จุนมยอนยังไม่เดินเข้ามา ซึ่งเด็กน้อยก็ได้ทำการเริ่มแต่งแต้มสีสันให้โลกของคริสทีละน้อย “เมื่อไหร่น้ำจะเดือด? ฉันหิว”

    “อีกสักพักครับ แต่เราจูบกันระหว่างรอมันได้” เด็กหนุ่มพูดทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่ เขาเปลี่ยนอิริยาบถท่านั่งด้วยการลุกขึ้นไปนั่งคร่อมตักของคริสพลางคล้องแขนโอบล้อมไว้ที่ท้ายทอยของร่างสูง

    “แน่นอนเด็กน้อย ตั้งแต่เข้ามาฉันยังไม่ได้จูบนายเลย”

    “อืม.. งั้นจูบนานๆ เลยนะฮะ”

    “อือ”

     

    นี่เป็นวิธีฆ่าเวลาได้ดีที่สุดเท่าที่คริสเคยทำมา ปกติแล้วถ้าต้องรออะไรบางอย่าง หากไม่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ก็ต้องนั่งเล่นโทรศัพท์เช็คอีเมล์ซ้ำไปซ้ำมา ซึ่งตอนนี้คริสรู้สึกว่าการจูบฆ่าเวลาคือวิธีที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตเลย

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    “อา.. จุนมยอน ไม่ไหว..

    “อื้ออ”

    “เผ็ดอ่ะ ขอกินน้ำหน่อยไม่ได้เหรอ?”

    “ไม่ได้ครับ ถ้ากินน้ำจะถือว่าแพ้ทันที”

    “ให้ตายเถอะ ทำไมเด็กสมัยนี้ชอบเล่นอะไรกันแปลกๆ นะ ซี๊ด...

    “ผมจะหมดแล้วนะ”

     

    ตอนนี้เกมรามยอนกำลังดำเนินไปอย่างสนุกสนาน คริสนั่งสูดปากสูดคอหลายสิบหนเพราะความเผ็ดของรามยอน หยดเหงื่อไหลเปียกไปทั่วจนเลอะลงมาถึงคอเสื้อ ริมฝีปากเริ่มแดงเถือกจากการกินของเผ็ดเข้าไป ซึ่งสภาพของจุนมยอนในตอนนี้ก็ไม่ต่างไปจากคริสเท่าไหร่ เขาลุกขึ้นไปเปิดเครื่องปรับอากาศหลังจากที่กินไปได้แค่ครึ่งถ้วย เด็กน้อยซี๊ดปากอยู่หลายหนจนบางทีคริสก็หันมาหัวเราะใส่นิดหน่อย

    จุนมยอนรีบกวาดเส้นมารวมกันและคีบมากินเป็นคำสุดท้าย เขาสูดเส้นเข้าปากพร้อมกับวางถ้วยรามยอนลงอย่างรวดเร็วจนคริสต้องหันไปมอง

     

    “ผมหมดแล้ว! ผมหมดแล้ว! เยสสสส!!” เด็กน้อยตบเข่าด้วยความดีใจ เมื่อหันไปมองชามบะหมี่ของคนข้างกลับพบว่ามันยังเหลืออยู่อีกนิดหน่อย คริสถอนหายใจออกมา ในขณะเดียวกันเขาก็แลบลิ้นมาเลียริมฝีปากก่อนจะสูดปากอีกหน

    “โอเค ฉันยอมแพ้แล้ว ฉันกินต่อไปไม่ไหวแล้วล่ะ ถ้ากินอีกมีหวังไฟคงลุกท่วมกระเพาะแน่นอน” ร่างสูงและวางชามลง เช่นนั้นแล้วจุนมยอนจึงรีบวิ่งไปหยิบน้ำกับของหวานแก้เผ็ดออกมาจากตู้เย็นหลังเล็ก

    “น่าสงสารจังเลยแฮะ ไหนใครบอกว่าชอบกินของเผ็ดๆ ไง”

    “อย่าซ้ำเติมน่า ขอกินน้ำหน่อยเร็ว”

    “นี่ครับ” จุนมยอนรินน้ำเย็นใส่แก้วและส่งให้คริสทันที ชายร่างสูงดูทรมานจากรามยอนนรกนั่นจริงๆ ปากของเขาแดงก่ำ ขนาดที่ว่ากระดกน้ำไปแล้วหนึ่งแก้วใหญ่ๆ ก็ยังยื่นแก้วมาขอน้ำจากจุนมยอนอีก เด็กหนุ่มจึงต้องรินให้เป็นหนที่สองก่อนจะคุกเข่านั่งลงบนพื้นข้างๆ และแกะขนมเค้กออกจากกล่อง “ผมได้เค้กฟรีมาจากที่ร้าน กินด้วยกันนะครับจะได้หายเผ็ด”

    “อื้ม” คริสพยักหน้าและวางแก้วลงบนโต๊ะ หยิบช้อนพลาสติกมาตักครีมจากเค้กสตรอเบอร์รี่แบบเดิมที่เขาเคยกินมาชิมก่อน และทันทีที่เนื้อครีมนุ่มสัมผัสโดนลิ้น ร่างสูงจึงรู้สึกโล่งราวกับว่าอาการแสบร้อนในโพรงปากถูกบรรเทาไปหมดแล้ว “เหงื่อนายออกเต็มเลย”

    ” เด็กน้อยหันไปหาคริสขณะที่กำลังจะตักเค้กมาชิมบ้าง แต่ไม่ทันไรก็ถูกมือหนาจับเอากระดาษทิชชู่มาเช็ดตามกรอบหน้าเพื่อซับเหงื่อให้

     

    ปกติริมฝีปากของจุนมยอนนั้นน่าจูบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งพอได้กินของเผ็ดเข้าไปจนปากแดงขนาดนี้ ระดับความน่าจูบจึงพุ่งพรวด แต่ตอนนี้คริสไม่มีอารมณ์จะจูบหรือทำอะไรทั้งนั้น เพราะเขายังรู้สึกแสบร้อนริมฝีปากอยู่ สิ่งที่เขาอยากทำในตอนนี้คือทำอย่างไรก็ได้ให้รู้สึกหายเผ็ดและอาบน้ำเอาคราบเหงื่อบนตัวออกไป

     

    “สรุปแล้วคนแพ้จะต้องตามใจคนชนะหนึ่งวันเหรอ? นายอยากให้ฉันทำอะไรล่ะ?”

    “ยังคิดไม่ออกเลยครับ เอาคิดออกแล้วจะมาบอกอีกทีได้ไหม?”

    “ให้เวลาคิดสองวัน”

    “น้อยไปอ่ะ”

    “ถ้านานกว่านั้นของรางวัลจะหมดอายุ เพราะงั้นนายก็จะหมดสิทธิ์ในการออกคำสั่ง”

    “อะไรกัน! ของรางวัลมีการหมดอายุด้วยเหรอ? ไม่ยุติธรรมเลยฮะ”

    “ช่วยไม่ได้” ร่างสูงยักไหล่ก่อนจะยื่นมือไปขยี้ผมของจุนมยอนจนยุ่งเหยิงขึ้นมานิดหน่อย เด็กน้อยจึงหดคอก่อนจะหันไปสนใจเค้กสตรอเบอร์รี่ตรงหน้าต่อ

    “อาบน้ำด้วยกันไหมฮะ? แต่ห้องผมไม่มีอ่างอาบน้ำแบบห้องคุณหรอกนะ มีแค่ฝักบัวกับเครื่องทำน้ำอุ่นเก่าๆ เท่านั้นแหละ”

    “ฉันไม่สนเรื่องพวกนั้นหรอก ฉันแค่อยากอาบน้ำกับนาย ยิ่งห้องน้ำเป็นห้องเล็กๆ ยิ่งดี เราจะได้อาบกันแบบเนื้อแนบเนื้อ”

    “ทะลึ่ง! ผมไม่น่าชวนคุณเลย”

    “ฮ่าๆ ทีนายยังหลอกให้ฉันกินรามยอนนรกนี่ได้เลย แล้วทำไมฉันจะหลอกให้นายไปอาบน้ำด้วยกันไม่ได้”

    “ชิ!” เด็กหนุ่มเบ้ปาก มือเล็กเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มือถือบนเตียงนอนออกมาสไลด์เล่นเหมือนที่คริสเคยเห็นอยู่ประจำ และนั่นทำให้เขาขมวดคิ้วนิดหน่อย สงสัยเหลือเกินว่าทำไมจุนมยอนถึงได้ชอบอ่านการ์ตูนบนโทรศัพท์ หรือบางทีในโทรศัพท์นั่นมันอาจจะมีอะไรที่มากกว่าการ์ตูนก็ได้

    “นายติดโทรศัพท์มากเลยนะ รู้ตัวหรือเปล่า?”        

    “รู้ครับ เพราะว่าห้องของผมไม่มีโทรทัศน์ผมก็เลยมีแต่โทรศัพท์คอยแก้เหงาแค่อย่างเดียว ผมไม่สามารถออกไปเดินช็อปปิ้งแก้เบื่อเหมือนคนอื่นๆ ได้เพราะว่าผมไม่มีเงินมากขนาดนั้น ก็เลยต้องใช้โทรศัพท์นี่ล่ะให้เป็นตัวช่วยผ่อนคลาย” พูดจบก็หันไปก้มมองดูหน้าจอสี่เหลี่ยมต่อ เด็กหนุ่มกดเข้าแอพพลิเคชั่นที่ตัวเล่นอยู่เป็นประจำ พบว่ามีแจ้งเตือนจากคนที่มากดไลค์รูปเป็นจำนวนไม่น้อย อีกทั้งยังมีคอมเม้นท์จากโดคยองซูโผล่มาอีกด้วย

     

     

    ‘dks__ksp : ทำไมถึงมีสองห่อ?

     

     

    คอมเม้ท์ที่ปรากฏอยู่ใต้ภาพล่าสุดที่จุนมยอนเพิ่งจะอัพโหลดลงไปทำให้เด็กหนุ่มยิ้มบางๆ ออกมา จุนมยอนจึงกดตอบคอมเม้นท์นั่นกลับไปโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนลอบสังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆ

     

     

    ‘jexliq : @dks__ksp ความลับ

     

     

     

    “ขอดูหน่อยว่าเล่นอะไร” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นพลางยื่นมือไปแย่งโทรศัพท์ของจุนมยอนมาถือไว้ ทำเอาเด็กน้อยต้องรีบเอี้ยวตัวมาเพื่อแย่งโทรศัพท์คืน หากแต่ไม่ทันคนตัวสูงเสียแล้ว ตอนนี้คริสได้ทำการเลื่อนดูอินสตาแกรมของเขาอย่างไม่ละสายตา

    “คุณคริส อย่าแย่งของผมไปแบบนี้สิ”

    “นี่ไอจีของนายเหรอ?”

    “งือ”

    “จำเป็นต้องลงรูปโชว์ขนาดนี้ไหมเนี่ย?”

     

    คริสพลิกหน้าจอโทรศัพท์ให้อีกคนดู ปรากฏว่ามันคือรูปที่จุนมยอนใส่ชุดวาบหวิวคล้ายคลึงกับชุดของเด็กผู้หญิง เสื้อเอวลอยตัวจิ๋วเผยให้เห็นหน้าท้องแบนราบ แพนตี้ลูกไม้น่ารักนั่นโค้งเว้าจนเห็นแก้มก้น มีถุงเท้าซีทรูสีขาวประดับต้นขาทั้งสองข้างไว้ บวกกับท่านั่งที่ดูล้อแหลมนั่นจึงทำให้ร่างสูงคิ้วกระตุกนิดหน่อย

     

    “คนอื่นถ่ายยิ่งกว่านี้อีกนะครับ”

    “ก็ช่างคนอื่นสิ นายไม่จำเป็นจะต้องไปทำอะไรแบบนี้ตามคนพวกนั้นเสียหน่อย” คริสพูดและเปลี่ยนไปไล่ดูรูปอื่นๆ ของจุนมยอนต่อ แน่นอนว่ามันยังมีรูปภาพประเภทนี้อีกหลายภาพ เขายอมรับว่ามันช่างปลุกใจเหลือเกิน แต่ใครกันล่ะที่จะอยากให้คนของตัวเองโพสต์รูปพวกนี้ให้เสือสิงห์ข้างนอกแห่เข้ามาดู “คราวหลังถ้าจะถ่ายอะไรแบบนี้ไม่ต้องเอาลงนะ”

    “ส่งมาให้ฉันดูแทนดีกว่า”

    “คุณคริส! เอาคืนมาเดี๋ยวนี้เลย” ตอนนี้หน้าของจุนมยอนแดงแจ๋ไปหมดแล้ว เด็กน้อยขมวดคิ้วและพยายามจะแย่งมือถือคืนมา หากแต่เขาก็ยังเอื้อมมือไปไม่ถึงเพราะคริสกลับยกโทรศัพท์หนีเขาไปทางอื่น จนแล้วจนรอดก็ยังเอาคืนมาไม่ได้ มิหนำซ้ำร่างสูงยังลุกหนีจุนมยอนและตัวเองขึ้นไปนอนคว่ำบนเตียงแทน

    “ไหนขอดูซิว่ามีรูปอื่นในเครื่องอีกไหม ถ้ามีนายต้องส่งมาให้ฉันทุกรูปนะ”

    “ไม่เอา ผมไม่มีรูปอื่นแล้ว ขอโทรศัพท์ผมเถอะนะฮะ ผมอยากเล่นเกมแล้ว”

    “ไปอาบน้ำก่อนสิเดี๋ยวค่อยมาเล่น”

    “ขอเล่นตอนนี้ตานึง”

    “ไม่เอา” คริสปฏิเสธทั้งๆ ที่เขายังกดเลื่อนดูรูปไม่หยุด แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่พบสิ่งที่น่าสนใจนอกจากภาพแคปหน้าจอที่มีลิสต์สูตรเกมต่างๆ และรายชื่อการ์ตูนน่าอ่านมากมาย ร่างสูงจึงกดกลับมาเข้าอินสตแกรมของจุนมยอนเช่นเดิม ก่อนจะเห็นว่าภาพล่าสุดที่จุนมยอนอัพโหลดลงไปนั้นคือภาพของซองบะหมี่นรก 2 ซองซึ่งวางอยู่คู่กัน พร้อมกับมีคำบรรยายใต้ภาพประกอบ

     

     

    ‘@jexliq : คนแพ้ต้องนอนกอดคนชนะทั้งคืน #spicynoodlechallenge’ ข้อความนั่นทำให้คริสเผยรอยยิ้มออกมาก่อนจะอ่านข้อความบนหน้าจอออกมาเสียงดัง

     

    “คนแพ้ต้องนอนกอดคนชนะทั้งคืน..” คนตัวสูงพูดพร้อมกับรอยยิ้มก่อนจะหันไปหาเด็กหนุ่มที่กำลังนั่งเม้มปากอยู่ใกล้ๆ จุนมยอนกำลังเขินหนักมาก แต่ก็ใช่ว่าคริสจะไม่เขินเหมือนกัน บอกแล้วว่านี่เป็นครั้งแรกที่คริสยอมเปิดหัวใจของตนเองให้คนอื่นเดินเข้ามา ความรักในแบบฉบับของจุนมยอนมักสร้างความประหลาดใจให้เขาเสมอ และทุกครั้งก็มักจะมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะแทรกแซงเข้ามาช่วยให้คริสมีความสุขมากขึ้นในทุกๆ วัน แม้ว่าคนทั้งสองจะเพิ่งเจอกันได้แค่ไม่กี่วันเท่านั้น.. แต่ถ้าคนเราถูกใจกันโดยไม่มีข้อแม้ ก็ไม่แปลกถ้าหากพวกเขาจะสามารถเข้ากันได้โดยไว

     

    ไม่คิดเหมือนกันว่าจะต้องมาแพ้อะไรแบบนี้

     

    ตอนนี้คริสอายุ 29 ปีและผ่านโลกมาเยอะพอสมควร แบกรับความเครียดความกดดันจนต้องพบจิตแพทย์เพื่อบำบัด ในขณะที่จุนมยอนอาย 20 ปีและยังเป็นนักศึกษาวัยสดใส ทำงานใช้ตัวแลกเงิน แลดูเหมือนพวกเขาไม่น่าจะโคจรมาเจอกันได้เลย ทว่าเมื่อได้พบกันแล้ว.. พวกเขากลับเติมความสุขให้แก่กัน ทำให้คนที่แบกอะไรๆ มาทั้งชีวิตอย่างคริสรู้สึกเบา และทำให้คนที่เฝ้ารอคอยความรักจากใครสักคนอย่างจุนมยอนเลิกที่จะเฝ้ารอ เพราะเขาหาคนๆ นั้นเจอแล้ว

     

    “ทำไงดี.. ฉันไม่ได้เอาเสื้อผ้าติดมาเลย สงสัยคืนนี้คงจะต้องถอดเสื้อผ้านอนยันเช้าแล้วล่ะ นายโอเคใช่ไหมถ้าฉันจะกอดนายทั้งๆ ที่ฉันเองก็เปลือย”

    “นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากจะขอสักคุณสักหน่อย เพราะยังไงคืนนี้คุณก็ต้องนอนกอดผมอยู่แล้ว หรือถ้าคุณไม่กอด ผมก็จะกอดคุณเอง” จุนมยอนพูด “ผมบอกแล้วไงว่าผมยังคิดไม่ออกว่าจะให้คุณทำอะไรดี”

    “อ้าว แล้วทำไมเขียนข้อความลงไปแบบนั้นล่ะ?”

    “ก็เพราะว่าผมอยากให้คนอื่นรู้ไงครับว่าผมมีเจ้าของแล้ว

    “ด้วยการถ่ายรูปซองรามยอนนรกคู่กันเนี่ยนะ?”

    “มันไม่ใช่รามยอนนรกสักหน่อย คุณอย่าไปตั้งชื่อมั่วๆ แบบนั้นสิ” จุนมยอนพูดก่อนจะเคลื่อนตัวไปคว้าโทรศัพท์ออกมาจากมือของคริสมาไว้กับตัวเอง

    “หึ” คริสส่งเสียงในลำคอ เขาเลียปากตัวเองที่ยังมีรสชาติเผ็ดร้อนติดอยู่ “เด็กน้อย”

    “ถ้าอยากให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองมีเจ้าของแล้วน่ะ มันต้องทำแบบนี้”

    “เฮ้ย! นี่คุณ! งื้ออ อย่าดึงแรงเดี๋ยวเสื้อขาด”

    “ขาดก็ซื้อใหม่ ฉันมีเงินซื้อให้นายได้เป็นร้อยๆ ตัวน่า”

     

    มือหนาดึงคอเสื้อสีขาวของจุนมยอนลงก่อนจะแตะริมฝีปากลงไปอย่างจาบจ้วง เขาใช้ลิ้นดุนผิวหนังบริเวณเนินอกของจุนมยอนจนเปียกชื้นก่อนจะจัดการขบเม้มเพื่อสร้างรอยสีแดงช้ำ ฟันคมออกแรงกัดจนคนตัวเล็กสะดุ้งโหยงแต่ไม่คิดจะห้าม เพราะความจริงแล้ว.. จุนมยอนชอบให้คริสทำแบบนี้

     

     

     

     

     

     (เจอกันที่ไบโอทวิตเช่นเคยงับ มิใช่ฉากกินจุนมยอนแต่อย่างใด แต่เนื้อหาเข้มข้นเกินกว่าที่จะเอามาลงงับ)






    - - - - - - - - - - - - - - -

     

    “คุณคริส~

     

    คริสเผยรอยยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยินเสียงของไอ้ตัวยุ่ง ภายในห้องรับแขกซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยความมือ ร่างสูงคือความเคลื่อนไหวเดียวที่ยังคงนั่งอยู่บนโซฟาและจับโทรศัพท์ของเขาเอาไว้

     

    “ไง นึกว่าหลับไปแล้วเสียอีก”

    “ยังหรอก ผมว่าจะรอคุณโทรมาฝันดีนี่ล่ะแล้วค่อยนอน”

    “ฮ่าๆ แล้วนี่ทำอะไรอยู่ล่ะ? เล่นโทรศัพท์อีกล่ะสิใช่ไหม?”

    “เปล่าสักหน่อย ผมเพิ่งรีดเสื้อที่จะใส่พรุ่งนี้เสร็จ”

    “อา.. สงสัยต้องให้มารีดเสื้อที่บ้านด้วยแล้วมั้ง จะได้ไม่ต้องไปเสียเงินจ้างร้านซักรีดของตึก ที่นี่คิดราคาแพงชะมัด”

    “ของผมก็แพงนะฮะ รีดหนึ่งตัวเลี้ยงพิซซ่าหนึ่งถาด”

    “นี่ยังอ้วนไม่พออีกเหรอหื้ม? วันนั้นที่ชั่งบนตัวฉันก็หนักไม่ใช่ย่อยเลยนะ”

    “ทะลึ่ง!

     

    คริสเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงยังยิ้มและยังทำหน้าระรื่นอยู่ได้ ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งจะเกือบมีอะไรกับมินซอกมาหมาดๆ เขาอาจจะดูมีความสุขที่ได้ยินเสียงของจุนมยอน แต่ความจริงคือตอนนี้ในหัวใจของเขามันเจ็บไปหมด ยิ่งได้ยินเสียงอันสดใสร่าเริงของจุนมยอนเขายิ่งรู้สึกผิด ยิ่งนึกถึงภาพตอนที่มินซอกกำลังเล้าโลมเขา.. เขายิ่งเกลียดตัวเอง เกลียดที่เผลอเอานิสัยของผู้หญิงคนนั้นมาใช้ เกลียดที่ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือทุกอย่างจนเกือบจะนอกใจจุนมยอน

     

     

    ถ้าจุนมยอนรู้และรับไม่ได้.. เขาจะทำยังไงดีนะ

    เขาคงอยู่ไม่ได้ถ้าต้องถูกจุนมยอนทิ้ง

     

     

    - - - - - - - - - - - - - - - - - -

     

     

                @mmangmoom : พาร์ทนี้จะเป็นพาร์ทของพี่คริสทั้งหมดนะคะ อย่าเพิ่งตกใจว่าทำไมถึงไม่มีความคิดของหนูจุนเลย แล้วก็ต้องขออภัยด้วยนะงับที่ต้องให้ไปอ่านในเว็บอื่นบางส่วน เพราะพาร์ทนี้มีฉากรุนแรงหลายฉากเลย เสี่ยงต่อการปลิวเป็นอย่างยิ่ง

     

    อย่าลืมไปหวีดในแท็กนะงับ #KHtimelapse

    และอย่าลืมไปฟอลไอจียัยจุ้นกันนะงับ @jexliq

    เจอกันตอนหน้างับบบบบ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×