คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #134 : ♡ Time Lapse (Chapter 3)
“ผมพยายามเก็บอาการทุกอย่างตอนที่อยู่กับเขา
เพราะผมไม่ต้องการให้เขาวิ่งหนีผมไปเหมือนคนอื่นๆ”
วันที่สองของการบำบัดเริ่มต้นด้วยการเปิดโอกาสให้คริสได้พูดความในใจอีกครั้ง
วันนี้ร่างสูงอยู่ในชุดสูทเช่นเดิม แต่เนคไทของเขาเป็นสีกรมท่าที่จุนมยอนเลือกให้เมื่อเช้า
มันดูจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เขาระบายยิ้มออกมาตลอดทั้งวันนี้
“คุณเคยลองคิดอีกมุมบ้างหรือเปล่าครับ?
ผมหมายถึงคุณเคยคิดไหมว่าถ้าเขารู้ความจริงเกี่ยวกับตัวคุณแล้ว
คุณว่าเขาจะรับได้หรือเปล่า”
“ผมว่าเขารับไม่ได้หรอก ขึ้นชื่อว่าจิตผิดปกติ.. ใครๆ
ก็คงจะต้องตีความหมายไปว่าผมเป็นโรคจิต” คริสเอ่ยออกมา
ในขณะที่แพทย์ซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามนั้นจดข้อมูลจากคำพูดของคริสลงไปในสมุด
“แล้วคุณคิดไหมครับว่าความสัมพันธ์นี้จะไปได้อีกนานแค่ไหน?”
“ผมไม่คิด ผมแค่อยากจะใช้ชีวิตกับเขาไปเรื่อยๆ
ตราบใดที่เรายังเข้าใจกันและมีความสุขเมื่ออยู่ด้วยกัน”
“อ่า.. เข้าใจแล้วครับ”
จิตแพทย์คนเดิมพยักหน้าช้าๆ
พลางจดข้อมูลลงไปอีกหน เขาเม้มปากเพราะกำลังใช้ความคิด
จากนั้นไม่นานเขาก็วางสมุดลงก่อนจะเปลี่ยนมาสบตาคนไข้ของเขา
“ก่อนอื่นเลยคุณยังคิดว่าตัวเองเป็นโรคจิตอยู่
นั่นแปลว่าคุณให้ค่าตัวเองน้อยเกินไป คุณมีทัศนคติลบๆ กับตัวเอง
ซึ่งอาจเกิดจากการที่คุณเจอคนต่อว่าและดูถูกมาตลอดตั้งแต่คุณยังเป็นเด็ก
แต่สิ่งที่ผมจะบอกก็คือคุณต้องค่อยๆ ปรับเปลี่ยนความคิดนั้น”
“…”
“คุณไม่ใช่คนไม่ดี คุณคือคริส
วูเจ้าของบริษัทอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เครือใหญ่ที่สุดในประเทศ
คุณสร้างมันมาเองกับมือเพราะคุณไม่ต้องการจะพึ่งพาคนในครอบครัว
คุณกลายเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย อีกทั้งคุณยังสร้างอาชีพให้กับคนมากมายที่เข้ามาทำงานในบริษัทคุณ
นั่นหมายความว่าคุณคือที่พึ่งของพวกเขา และนั่นมันยอดเยี่ยมมาก”
“…”
“คุณต้องพยายามให้กำลังใจตัวเองมากกว่านี้นะครับ
ลองหาของขวัญให้ตัวเองดูบ้าง
และทุกสิ่งที่คุณทำสำเร็จนั้นไม่ว่ามันจะเป็นงานชิ้นเล็กๆ หรือชิ้นใหญ่แค่ไหนก็ตาม
คุณต้องหาโอกาสฉลองให้กับตัวเองบ้าง”
“…”
ค่อนชีวิตที่ผ่านมา คริสรู้ดีว่าเขากลายเป็นคนเก็บตัวและมีมิตรน้อยลงอย่างเห็นได้
ทัศนคติของเขาที่มีต่อตัวเองเริ่มถดถอยลงจนติดลบ
จนพักหลังมานี้คริสเริ่มรู้สึกเกลียดตัวเองที่เกิดมาบนโลกใบนี้
เริ่มรู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า เห็นสิ่งใดก็เบื่อหน่ายไปหมด
แต่เขายังโชคดีที่ไม่เคยคิดสั้นหรืออะไรเทือกนั้นเลยสักครั้ง เขาโชคดีที่มีเพื่อนอีกสองคนคอยแวะเวียนมาหาและถามไถ่อยู่เสมอ
พวกเขาเปรียบเสมือนบุคคลที่มาต่อลมหายให้กับร่างสูง
มันน่าตลกสิ้นดีที่สุดท้ายแล้วคนที่เป็นไหล่พักพิงให้กับคริสคือคนนอกครอบครัวไม่ใช่
คนในครอบครัว อย่างที่ควรจะเป็น
“ผมมีเรื่องอยากจะถามคุณหมอสักหน่อย”
“ว่ามาสิครับ”
“ถ้าการที่ผมรู้สึกรังเกียจครอบครัวของตัวเอง
เกลียดแม่และคนอื่นๆ ผมคือลูกที่อกตัญญูใช่หรือเปล่า?”
“…”
“คนชอบพูดกันว่าลูกควรจะต้องดูแลพ่อแม่
และต้องเป็นลูกที่ดี ไม่อกตัญญู.. แต่ถ้าพวกเขาไม่เคยทำดีกับเราเลย
เราจะผิดไหมถ้าหากเราจะขอไม่ทำดีตอบกลับบ้าง” คริสพูด
เขาสบตาของจิตแพทย์เพื่อรอคำตอบของชายตรงหน้าทั้งๆ
ที่ร่างสูงมีคำตอบอยู่ในใจอยู่แล้ว ถ้าหากหมอตัดสินว่ามันผิด
อย่างไรเสียคริสก็จะไม่มีวันกลับไปดูแลผู้หญิงคนนั้นเด็ดขาด
“ผมบอกไม่ได้หรอกครับว่ามันจะถูกหรือผิด
ผมไม่มีสิทธิ์ตัดสินอะไร มันเป็นเรื่องภายในครอบครัวของคุณซึ่งผมตัดสินไม่ได้”
จิตแพทย์ชุดขาวพูด “คุณคงรู้สึกเจ็บปวดมากเลยใช่ไหมตอนที่คุณถูกแม่ของคุณทำร้าย”
“ใช่ ผมไม่เคยยกโทษให้ผู้หญิงคนนั้นได้เลย
มีแต่จะสั่งสมความแค้นมากขึ้นทุกวัน แต่ก็อย่างที่เห็นนั่นล่ะ.. ผมทำอะไรเธอไม่ได้เพราะเธอเป็นแม่ผม
ผมเลยตัดสินใจหนีออกมาจากชีวิตของเธอและตั้งตัวเองโดยไม่ขอเงินจากเธอสักแดง
ผมคิดว่าชีวิตนี้ผมคงไม่ได้พบเจอเธออีกแล้ว
แต่สุดท้ายโลกก็เหวี่ยงให้เรามาเจอกันอีกครั้ง”
“…”
“นี่สินะที่เขาเรียกว่าสายสัมพันธ์ของแม่ลูกไม่มีวันตัดขาด”
“นี่เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ชัดเจนมากๆ
เพราะคุณเอาคืนแม่ของคุณไม่ได้ คุณถึงมาลงที่คนอื่นแทน
และนั่นทำให้คุณรู้สึกมีความสุขมากๆ เมื่อเห็นคนอื่นเจ็บปวดทุรนทุราย
สุดท้ายแล้วคุณก็กลายเป็นคนที่เสพติดความรุนแรง”
“ก็คงใช่ ผมชอบทำให้คนพวกนั้นตายใจด้วยการเล้าโลม
หลังจากนั้นผมจึงลงมือ แต่ผมไม่ได้วิตถารถึงขั้นทำร้ายร่างกายอะไรแบบนั้นหรอกนะ
ผมรู้ดีว่าอะไรควรหรือไม่ควร แต่ผมก็แค่.. ชอบมองเห็นรอยแผลและรอยต่างๆ
บนร่างกายของคนพวกนั้น ขอแค่ให้มีสักแผลที่ผมเป็นคนทำมันเอง
แค่นี้ผมก็มีความสุขแล้ว มันทำให้ผมสำเร็จความใคร่ง่ายขึ้นยิ่งกว่าเดิม”
“เข้าใจแล้วล่ะครับ แล้วตอนนี้แม่ของคุณยังพยายามติดต่อมาหาคุณหรือเปล่า?”
“แน่นอน
เธอพยายามทำทุกช่องทางเพื่อเรียกร้องให้ผมกลับไปอยู่ที่บ้านและทำเหมือนกับว่าเราเป็นครอบครัวสุขสันต์
มีแม่ ผม สามีใหม่ของเธอ ลูกติดจากสามีของเธอ และลูกของเธอกับสามีใหม่เองอีก 2 คน”
“…”
“เธออยากให้มันเป็นแบบนั้น เพื่อที่จะได้ไม่ต้องรู้สึกอับอายขายหน้าต่อคนภายนอก
ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วเธอไม่ได้รักผมสักนิด
เธอก็แค่อยากจะจัดฉากบังหน้านักข่าวกับวงการไฮโซของเธอ”
“ทุกครั้งที่เธอติดต่อคุณมา มันทำให้คุณเครียด
อารมณ์เสียแล้วก็ไม่พอใจมากๆ ใช่ไหม?”
“ใช่ ผมจะรู้สึกเหมือนปรอทแตกทุกครั้งที่ได้ยินชื่อนี้”
เรื่องของครอบครัวเป็นเรื่องที่ยากจะเสวนาที่สุดสำหรับคริส
เขาเหยียบเรื่องนี้เอาไว้ตลอดเวลาตั้งแต่หนีออกมาจากบ้านหลังใหญ่
เหยียบแม้กระทั่งเรื่องที่เขาเคยถูกทำร้ายจิตใจและร่างกาย
จนในสุดปมเหล่านี้ก็หล่อหลอมให้คริสกลายมาเป็นคริสแบบทุกวันนี้
คือกลายเป็นคนนิสัยแรงกล้า กลายเป็นคนเก็บทุกสิ่งทุกอย่างเอาไว้ในใจโดยไม่คิดจะพูด
กลายเป็นคนไม่สนใครหน้าไหนทั้งนั้น และท้ายที่สุดคือเป็นคนชอบเห็นคนอื่นเจ็บปวด
ในเรื่องของนิสัยซาดิสม์นั้นมีที่มาที่ไปไม่ใช่แค่ชอบจึงกลายเป็นคนคลั่งไคล้ความรุนแรง
คริสเคยเจอเหตุการณ์สะเทือนใจจากในบ้านและถูกทำร้ายร่างกายในตอนที่ยังเด็ก
ไม่ใช่แค่หนเดียวแต่นับหลายสิบครั้ง
มากพอที่จะทำให้เด็กชายคนนี้เก็บเอาความกดดันนั้นไว้ในใจจนแสดงออกมาในรูปแบบของเซ็กส์
ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ทำร้ายร่างกายของเขาก็คือแม่แท้ๆ ของตน นั่นทำให้คริสไม่สามารถเอาคืนคนๆ
นั้นได้เลยแม้แต่น้อย เขาจึงต้องไปแสดงออกกับคนอื่นแทน
“อีกคำถามเดียวนะครับคุณคริส
จบจากนี้แล้วผมจะจ่ายยา แล้วเราค่อยว่ากันใหม่สัปดาห์หน้า”
“ว่ามาสิครับ”
“ผมอยากรู้ว่าคุณเริ่มรู้จักเซ็กส์ในแบบซาดิสม์ได้ยังไงน่ะครับ?”
“…” คริสฟังคำถามนั้นในขณะที่ดวงตาของเขายังมองพื้นพรมสีครีมอยู่
“โอ.. ช่างเป็นคำถามที่ตอบได้ยากเหลือเกิน”
“…”
“เริ่มรู้จักเซ็กส์แบบนี้ได้ยังไงอย่างนั้นเหรอ?... คิดว่าน่าจะเป็นตอนอายุ
15 ครับ มีพี่ชายอยู่คนหนึ่งเป็นพี่ข้างบ้านของผม
เราสนิทกันมากๆ พี่เขาก็ได้รับรู้มาตลอดว่าผมเจออะไรมาบ้าง
เขาเป็นที่พึ่งเดียวของผมในตอนนั้น สุดท้ายแล้วเขาก็ลองให้ผมระบายความเครียดด้วยการให้ผมผูกแขนของเขาเอาไว้กับเตียง
จากนั้นเขาก็เริ่มให้ผมทำตามใจชอบ เขาบอกผมว่าผมจะฟาดเขาด้วยเข็มขัดเท่าไหร่ก็ได้
ผมก็เลยลอง”
“…”
“พี่เขาก็ดูจะชอบ เขาขอให้ผมทำอีก
แล้วเราก็เริ่มเรียนรู้เรื่องนี้ด้วยกันอยู่บ่อยๆ
แต่หลังจากนั้นไม่นานผมก็ทนกับสภาพในบ้านไม่ไหว ผมจึงหนีออกมา
แล้วเราก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลย”
“แสดงว่าคุณไม่ได้เป็นคนเริ่มต้นการมีเซ็กส์แบบนี้เอง
เพียงแต่คุณถูกชักพาให้ลองทำ คุณถึงได้เสพติดมัน”
“คงใช่”
- - - - - - - - - - - - - - -
เป็นอีกครั้งที่การบำบัดทำให้คริสรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกิน
ครั้งนี้เขาขุดเอาเรื่องในอดีตออกมาพูดเยอะกว่าครั้งที่แล้ว
แถมยังได้ย้อนไปถึงต้นสายปลายเหตุของสิ่งผิดปกติที่กัดกินหัวใจของเขามานาน
ขณะนี้เป็นเวลาเกือบสามทุ่มตรงแล้วแต่ยังไม่มีอะไรตกถึงท้องร่างสูงเลยสักอย่าง
ครั้นจะแวะหาร้านอาหารข้างทางก็คงจะไม่ไหวเพราะตอนนี้สายฝนกำลังสาดเทลงมาจนคริสไม่อยากออกจากรถ
ครืด..
‘ทำอะไรอยู่ครับ?’
เสียงสั่นของโทรศัพท์ทำให้ซูฮยอกเหลือบมองเจ้านายของเขาผ่านกระจกมองข้างหลัง
เขาเห็นคริสหยิบโทรศัพท์เครื่องบางออกมาดู
ปกติแล้วคริสก็จะแค่อ่านข้อความจากการแจ้งเตือนและเก็บโทรศัพท์ลงในกระเป๋าเหมือนเดิม
เขาจะไม่อ่านหรือตอบอีเมล์ใดๆ ทั้งนั้นหากไม่ใช่เวลางาน
แต่คราวนี้ร่างสูงกลับระบายยิ้มออกมาก่อนจะปลดล็อคหน้าจอและส่งข้อความตอบกลับไป
‘อยู่บนรถน่ะ’
คริสส่งข้อความกลับไปหาเด็กผู้ชายคนนั้นสั้นๆ เสร็จแล้วจึงทอดสายตามองออกไปยังท้องถนนที่กำลังเปียกแฉะ
วันนี้ไม่มีผู้คนออกมาเดินเพ่นพ่านเนื่องจากพวกเขาพากันเข้าไปหลบฝนในคาเฟ่ต์กันหมด
นั่นจึงทำให้ภาพของท้องถนนไม่ได้ดูแออัดจากผู้คนมากจนเกินไป
มันทำให้คริสรู้สึกสบายตาขึ้นมาทันที
“ซูฮยอก
เดี๋ยวเลี้ยวซ้ายข้างหน้าแล้ววิ่งเส้นซินชอนนะ”
“จะไปไหนเหรอครับคุณคริส?”
“ไปหาจุนมยอน”
“ครับผม”
ซูฮยอกพยักหน้าและตบไฟเลี้ยวเตรียมชิดซ้ายและมุ่งหน้าสู่ถนนซินชอน
เขาไม่ได้ถามอะไรต่อหลังจากที่ร่างสูงบอกว่าจะไปหาจุนมยอน แต่ดูท่าแล้ว.. เจ้านายของเขาติดเด็กคนนั้นแจ
เขาไม่เคยเห็นคริสรู้สึกติดใจใครที่ไหนจนได้กลับมาสานสัมพันธ์กันต่อแบบนี้
ไม่นานรถยุโรปคันสีดำก็เคลื่อนตัวไปตามเส้นทางที่ร่างสูงเป็นคนบอกอยู่เป็นระยะๆ
จนกระทั่งมันมาจอดเทียบฟุตบาธหน้าตึกสีขาว 4 ชั้นแห่งหนึ่ง คริสจึงก้มตัวลงไปหยิบร่มคันสีดำซึ่งถูกใส่เอาไว้ในช่องเก็บของข้างประตูและดึงปลอกของมันออก
“กลับไปก่อนเลยนะซูฮยอก
แล้วพรุ่งนี้ค่อยมารับฉันที่นี่ตอน 7 โมงเช้า อย่าสายล่ะ”
“ได้ครับ”
เมื่อเลขาคนสนิทตอบรับแล้ว
คริสจึงเปิดประตูรถออกไป เสียงของเม็ดฝนดังชัดอยู่ในหูยิ่งกว่าเดิม
ชายหนุ่มกางร่มออกเพื่อให้มันกำบังศีรษะของตัวเองเอาไว้
ก่อนที่เขาจะรีบสาวเท้าอย่างว่องไว้ไปยังตัวอาคารสีขาวโดยไม่สนว่าหยดน้ำที่กระเซ็นมาโดนขากางเกงสแล็คราคาแพงจะทำให้มันเปื้อนมากน้อยแค่ไหน
ร่างสูงรีบขึ้นบันไดไปยังชั้นที่ 4 ของตึกหลังนี้
และทันทีที่หลังคาของตึกสามารถกำบังเม็ดฝนให้เขาได้แล้ว ร่มสีดำจึงถูกหุบลงในทันที
ก๊อกๆๆ
คริสเดินมาหยุดที่ห้อง 405 ซึ่งเป็นห้องสุดท้ายของทางเดิน
เขายืนรออยู่ครู่หนึ่งก็ได้ยินเสียงก๊อกแก๊กจากข้างใน
เดาว่าคนในห้องกำลังจะเปิดประตูออกมาหา
และคริสเองก็แทบอดใจไม่ไหวที่จะได้เห็นจุนมยอนทำหน้าประหลาดใจ
“คุณคริส มาได้ไงครับเนี่ย?”
เด็กหนุ่มเอ่ยถามด้วยสีหน้าที่ตกใจ
เขารีบเปิดประตูให้คริสเข้ามาด้านในห่อนจะมองเห็นว่าบนเสื้อสูทราคาแพงนั่นมีละอองฝนเกาะอยู่มาก
“ฉันลองให้ซูฮยอกขับมาตามเส้นทางที่นายเคยบอกเมื่อเช้า
นายบอกว่านายพักอยู่แถวๆ ห้าง M ไม่ใช่เหรอ? ฉันก็ลองขับวนดูแล้วก็เจอตึกสีขาว 4
ชั้นที่นายพูด”
“แล้วรู้ได้ยังไงว่าผมอยู่ห้องนี้ล่ะ?”
จุนมยอนถามพลางช่วยคริสถอดสูทออก
เขาใช้มือปัดละอองน้ำฝนออกจากสูทสีดำตัวนั้นก่อนจะเอามันไปพาดไว้กับพนักพิงเก้าอี้
“ฉันดูเลขห้องมาจากกุญแจห้องของนาย
ตอนที่นายลืมมันไว้บนโต๊ะกินข้าวจนฉันต้องหยิบไปให้” คริสพูดและยกมือขึ้นเท้าเอว
เขาสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะโน้มตัวลงไปกระซิบอะไรบางอย่างที่ข้างหูของเด็กหนุ่ม
“คราวหลังอย่าวางมันไว้สุ่มสี่สุ่มห้าอีก
ไม่อย่างอาจจะไม่ได้มีแค่ฉันคนเดียวที่มาเคาะห้องนายนะเด็กน้อย”
“น่ากลัวจังเลยครับ” จุนมยอนหดคอลงทันทีที่ได้ยินน้ำเสียงเย็นๆ
จากร่างสูง แน่นอนว่าคริสทำให้จุนมยอนรู้สึกร้อนไปทั้งใบหน้าอีกแล้ว
การจะต้านทานผู้ชายคนนี้มันเป็นเรื่องที่ยากเหลือเกิน
ขนาดเคยใช้เวลาอยู่ด้วยกันมาหลายวันแล้วแต่จุนมยอนก็ยังเคอะเขินต่อร่างสูงอยู่
“คุณทานอะไรมาหรือยัง?”
“ยัง ที่มาเคาะห้องก็เพราะอยากจะมาฝากท้องหรอก
ใช่ว่าอยากจะมาเซอร์ไพรส์นายเมื่อไหร่”
“งั้นกลับไปเลยฮะ ห้องผมไม่มีที่ให้ทำอาหาร
เพราะงั้นผมก็ไม่มีอะไรจะให้คุณกินหรอกนะ” จุนมยอนเบ้ปาก
ยกมือขึ้นกอดอกและเดินหนีผู้ชายร่างสูงไปนั่งบนเตียงอยู่คนเดียว เมื่อคริสเห็นเช่นนั้นแล้ว
เขาจึงเผยรอยยิ้มบางๆ ออกมาก่อนจะเดินไปนั่งข้างกายเล็ก
“ใครว่า”
“…”
“ฉันอยากมาหานายต่างหาก”
“ไม่ทันแล้วครับ ผมงอนคุณไปแล้ว”
“แล้วต้องทำยังไงถึงจะหายโกรธ” ร่างสูงถาม
ยกมือขึ้นไปบีบต้นแขนนิ่มๆ ของจุนมยอนจนร่างเล็กต้องรีบเอนตัวหนี “อ้วน”
“ผมไม่ได้อ้วนนะ
นี่แกล้งผมไม่พอแล้วยังจะมาว่าผมอีกเหรอ?”
“ก็อยากทำตัวน่ารักทำไมล่ะ”
ยกมือขึ้นไปยีผมเด็กน้อยเบาๆ ก่อนจะพาดแขนแกร่งของตัวเองให้ไปโอบรอบไหล่เล็กเอาไว้
“ไม่มีอะไรให้กินจริงๆ เหรอ? ฉันหิวมากเลยนะรู้ไหม?”
“ผมมีแต่รามยอน ถ้าคุณจะกินผมก็จะกินด้วย
แต่ถ้าคุณไม่ชอบเราก็อาจจะต้องรอให้ฝนซาลงกว่านี้นิดหน่อยแล้วถึงจะวิ่งไปที่ร้านสะดวกซื้อได้”
“ฉันรอไม่ไหวแล้วล่ะ กินรามยอนเถอะ
ฉันแสบท้องไปหมดแล้ว”
“งั้นผมว่าเรามากินรามยอนแบบเผ็ดกันดีกว่า
ผมเห็นวิดีโอบนอินเตอร์เน็ตแล้วมันน่าตลกดีก็เลยอยากลองดู”
“รามยอนแบบเผ็ดงั้นเหรอ?”
“อื้อ เป็นรามยอนแบบเผ็ดคูณสอง
กติกาก็คือห้ามกินน้ำระหว่างที่กินรามยอน
และใครที่กินหมดคนสุดท้ายจะต้องตามใจอีกฝ่ายหนึ่งวัน”
“…”
คริสเลิกคิ้วมองเด็กน้อยก่อนจะเหยียดยิ้มและตอบออกไปอย่างมั่นใจ
“ฉันไม่มีทางแพ้แน่นอน ของเผ็ดน่ะเป็นของโปรดของฉันเลยล่ะเด็กน้อย”
“งั้นเหรอ.. ผมจะคอยดูก็แล้วกันนะ”
คริสพยักหน้ารับปากเด็กน้อยโดยที่ไม่รู้ว่านั่นคือกัปดัก
ส่วนจุนมยอนก็ลุกออกไปจากเตียงและปล่อยให้คริสนั่งสอดส่องสายตาสำรวจห้องพักสี่เหลี่ยมขนาดเล็กไปทั่วบริเวณ
มันไม่ใช่ห้องที่กว้างใหญ่เหมือนเพ้นท์เฮ้าส์ของคริส กลับกันมันเป็นแค่ห้องเช่าขนาดเล็กกว่าของคริสหลายเท่า
ห้องสี่เหลี่ยมมีเฟอร์นิเจอร์ประดับอยู่ไม่กี่อย่าง
เตียงนอนนี่ก็ออกจะเล็กนิดหน่อยแต่ก็ยังพอดีสำหรับขนาดตัวของจุนมยอน
และถึงแม้ว่าห้องนี้จะเล็ก
แต่จุนมยอนก็สามารถจัดระเบียบห้องพักของเขาให้ดูโปร่งโล่งสบายตาได้
ทุกอย่างในห้องของจุนมยอนเป็นสีขาวแทบทั้งหมด
ยกเว้นผ้าปูที่นอนสีเทากับหมอนอิงใบสีน้ำเงินนั่น
แสงจากเทียนหอมในภาชนะทรงสวยทำให้ทุกอย่างในห้องนี้ดูอบอุ่นตัดกับสายฝนข้างนอก
จะว่าไปแล้วตอนนี้ก็มีแค่แสงไฟสีเหลืองนวลจากโคมไฟบนโต๊ะเขียนหนังสือกับแสงจากเทียนหอมเท่านั้นที่ให้แสงสว่างกับห้องนี้
คริสจึงอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและหันไปถามเด็กน้อย
“ทำไมถึงไม่เปิดไฟในห้องให้สว่างๆ ล่ะ?”
“ผมเป็นพวกเสพติดความมืดสลัวไปแล้วน่ะครับ”
จุนมยอนตอบพลางก้มลงไปเสียบปักหม้อต้มน้ำร้อนและกดเปิดสวิตช์ “ผมชอบเปิดไฟดวงเล็กๆ
แล้วก็จุดเทียนหอมเอามากกว่าเปิดไฟให้มันสว่างทั้งห้อง
พอทำแบบนี้แล้วผมจะรู้สึกสงบมากขึ้น
แล้วหลังจากนั้นผมก็จะกระโดดขึ้นเตียงไปนอนอ่านการ์ตูนหรือไม่ก็ดูหนังสักเรื่อง”
“แต่ทำแบบนี้มันจะเสียสายตาเอานะ”
“ผมรู้น่า แต่จะทำยังไงได้ล่ะ… นี่เป็นวิธีเดียวที่จะช่วยให้ผมหายเหนื่อยจากมหาวิทยาลัยได้”
พูดจบก็ฉีกซองรามยอนออกและเทบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปนั่นลงในชามกว้างก่อนจะเดินมานั่งข้างๆ
คริสระหว่างที่กำลังรอให้น้ำในหม้อเดือด
“เรียนหนักเหรอเทอมนี้?”
คริสถามด้วยน้ำเสียงบางเบา
เขายื่นมือไปเกลี่ยปรอยผมสีน้ำตาลของจุนมยอนให้เลื่อนไปทัดหูของเด็กน้อยแทน จุนมยอนส่ายเบาๆ
ก่อนจะเริ่มพูดถึงสิ่งที่ตนเก็บเอาไว้ในใจ
“ผมแค่รู้สึกเหนื่อยกับคำพูดเหยียดหยามของคนในคณะน่ะ
เพราะว่าเพื่อนบางคนรู้เรื่องที่ผมทำงานนั่น
พวกเขาก็เลยดูถูกแล้วก็เอาไปพูดลับหลังกันตลอดเวลา ผมพยายามเลิกใส่ใจแล้วนะ
แต่บางทีมันก็แล่นกลับมาในหัวผมอีก”
“ไม่ค่อยจะต่างกันหรอก” คริสพูด
นั่นจึงทำให้จุนมยอนเลิกคิ้วขั้นมานิดหน่อย
“คุณน่ะเหรอจะโดนนินทาเหมือนผม”
“ฉันเจอมามากกว่านายอีก.. มีหลายเรื่องที่ฉันพบเจอ
แต่ส่วนที่ทำให้บั่นทอนก็คือคำพูดของอื่นเหมือนที่นายเจอนั่นล่ะ
แต่เรื่องแบบนี้ไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากตัวเราเอง
ถ้านายไม่เอาตัวนายออกมาจากคำพูดของคนอื่น นายจะเดินหน้าต่อได้ยังไงกัน”
“…”
“นายมีเหตุผลที่ทำให้ต้องเลือกทางเดินนั่นไม่ใช่เหรอ?
อีกอย่างตอนนี้นายก็ตัดสินใจเลิกทำงานนั่นแล้ว
เพราะงั้นนายก็ควรจะเลิกสนใจคำพูดจากคนภายนอกเสียที สิ่งที่นายควรทำตอนนี้คือตั้งใจเรียนและโทรหาฉันก่อนนอนทุกวัน”
“ฮ่ะๆ อย่างหลังน่ะไม่มีทางลืมแน่นอนฮะ
อันที่จริงผมอยากจะโทรหาคุณทุกชั่วโมงเลยด้วยซ้ำ แต่ถ้าทำแบบนั้นคุณคงรำคาญผมแน่ๆ”
“ฉันต้องทำงานนะเด็กน้อย
ฉันมีเวลาว่างแค่ตอนเช้าก่อนไปทำงาน ตอนพักกลางวันและตอนเลิกงานแล้ว
เพราะงั้นถ้าอยากจะคุยกันยาวๆ ก็ควรจะรอให้ถึงตอนที่ฉันว่างยาวๆ”
“ผมรู้น่า
ผมรู้ว่าคุณต้องทำงานแล้วก็ต้องรับผิดชอบหลายๆ อย่าง
เพราะงั้นผมสัญญาว่าจะไม่ทำตัวงี่เง่าให้คุณหนักใจเพิ่มไปอีก”
“แค่เข้าใจในสิ่งที่ฉันเป็นและอยู่กับฉันไปนานๆ
แค่นี้ฉันก็พอใจแล้ว” คริสเอ่ย จุนมยอนจึงเผยรอยยิ้มออกมา
ไม่ถึงเสี้ยววินาทีเด็กน้อยก็เลื่อนใบหน้าไปจูบริมฝีปากของร่างสูงเบาๆ
คนถูกจูบยกมือขึ้นมารั้งท้ายทอยของจุนมยอนทันที
เนื่องจากเขาไม่ต้องการให้จุนมยอนละออกไปในตอนนี้
จูบจากร่างเล็กนั้นทำให้โลกของคริสสดใสมากขึ้นจากแต่ก่อนตอนที่จุนมยอนยังไม่เดินเข้ามา
ซึ่งเด็กน้อยก็ได้ทำการเริ่มแต่งแต้มสีสันให้โลกของคริสทีละน้อย
“เมื่อไหร่น้ำจะเดือด? ฉันหิว”
“อีกสักพักครับ แต่เราจูบกันระหว่างรอมันได้”
เด็กหนุ่มพูดทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่
เขาเปลี่ยนอิริยาบถท่านั่งด้วยการลุกขึ้นไปนั่งคร่อมตักของคริสพลางคล้องแขนโอบล้อมไว้ที่ท้ายทอยของร่างสูง
“แน่นอนเด็กน้อย
ตั้งแต่เข้ามาฉันยังไม่ได้จูบนายเลย”
“อืม.. งั้นจูบนานๆ เลยนะฮะ”
“อือ”
นี่เป็นวิธีฆ่าเวลาได้ดีที่สุดเท่าที่คริสเคยทำมา
ปกติแล้วถ้าต้องรออะไรบางอย่าง
หากไม่นั่งอ่านหนังสือพิมพ์ก็ต้องนั่งเล่นโทรศัพท์เช็คอีเมล์ซ้ำไปซ้ำมา
ซึ่งตอนนี้คริสรู้สึกว่าการจูบฆ่าเวลาคือวิธีที่ยอดเยี่ยมที่สุดในชีวิตเลย
“อา.. จุนมยอน ไม่ไหว..”
“อื้ออ”
“เผ็ดอ่ะ ขอกินน้ำหน่อยไม่ได้เหรอ?”
“ไม่ได้ครับ ถ้ากินน้ำจะถือว่าแพ้ทันที”
“ให้ตายเถอะ ทำไมเด็กสมัยนี้ชอบเล่นอะไรกันแปลกๆ
นะ ซี๊ด...”
“ผมจะหมดแล้วนะ”
ตอนนี้เกมรามยอนกำลังดำเนินไปอย่างสนุกสนาน
คริสนั่งสูดปากสูดคอหลายสิบหนเพราะความเผ็ดของรามยอน
หยดเหงื่อไหลเปียกไปทั่วจนเลอะลงมาถึงคอเสื้อ
ริมฝีปากเริ่มแดงเถือกจากการกินของเผ็ดเข้าไป
ซึ่งสภาพของจุนมยอนในตอนนี้ก็ไม่ต่างไปจากคริสเท่าไหร่ เขาลุกขึ้นไปเปิดเครื่องปรับอากาศหลังจากที่กินไปได้แค่ครึ่งถ้วย
เด็กน้อยซี๊ดปากอยู่หลายหนจนบางทีคริสก็หันมาหัวเราะใส่นิดหน่อย
จุนมยอนรีบกวาดเส้นมารวมกันและคีบมากินเป็นคำสุดท้าย
เขาสูดเส้นเข้าปากพร้อมกับวางถ้วยรามยอนลงอย่างรวดเร็วจนคริสต้องหันไปมอง
“ผมหมดแล้ว! ผมหมดแล้ว! เยสสสส!!” เด็กน้อยตบเข่าด้วยความดีใจ
เมื่อหันไปมองชามบะหมี่ของคนข้างกลับพบว่ามันยังเหลืออยู่อีกนิดหน่อย
คริสถอนหายใจออกมา ในขณะเดียวกันเขาก็แลบลิ้นมาเลียริมฝีปากก่อนจะสูดปากอีกหน
“โอเค ฉันยอมแพ้แล้ว ฉันกินต่อไปไม่ไหวแล้วล่ะ
ถ้ากินอีกมีหวังไฟคงลุกท่วมกระเพาะแน่นอน” ร่างสูงและวางชามลง
เช่นนั้นแล้วจุนมยอนจึงรีบวิ่งไปหยิบน้ำกับของหวานแก้เผ็ดออกมาจากตู้เย็นหลังเล็ก
“น่าสงสารจังเลยแฮะ ไหนใครบอกว่าชอบกินของเผ็ดๆ
ไง”
“อย่าซ้ำเติมน่า ขอกินน้ำหน่อยเร็ว”
“นี่ครับ”
จุนมยอนรินน้ำเย็นใส่แก้วและส่งให้คริสทันที ชายร่างสูงดูทรมานจากรามยอนนรกนั่นจริงๆ
ปากของเขาแดงก่ำ ขนาดที่ว่ากระดกน้ำไปแล้วหนึ่งแก้วใหญ่ๆ
ก็ยังยื่นแก้วมาขอน้ำจากจุนมยอนอีก เด็กหนุ่มจึงต้องรินให้เป็นหนที่สองก่อนจะคุกเข่านั่งลงบนพื้นข้างๆ
และแกะขนมเค้กออกจากกล่อง “ผมได้เค้กฟรีมาจากที่ร้าน กินด้วยกันนะครับจะได้หายเผ็ด”
“อื้ม” คริสพยักหน้าและวางแก้วลงบนโต๊ะ
หยิบช้อนพลาสติกมาตักครีมจากเค้กสตรอเบอร์รี่แบบเดิมที่เขาเคยกินมาชิมก่อน
และทันทีที่เนื้อครีมนุ่มสัมผัสโดนลิ้น
ร่างสูงจึงรู้สึกโล่งราวกับว่าอาการแสบร้อนในโพรงปากถูกบรรเทาไปหมดแล้ว
“เหงื่อนายออกเต็มเลย”
“…” เด็กน้อยหันไปหาคริสขณะที่กำลังจะตักเค้กมาชิมบ้าง
แต่ไม่ทันไรก็ถูกมือหนาจับเอากระดาษทิชชู่มาเช็ดตามกรอบหน้าเพื่อซับเหงื่อให้
ปกติริมฝีปากของจุนมยอนนั้นน่าจูบเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว
ยิ่งพอได้กินของเผ็ดเข้าไปจนปากแดงขนาดนี้ ระดับความน่าจูบจึงพุ่งพรวด
แต่ตอนนี้คริสไม่มีอารมณ์จะจูบหรือทำอะไรทั้งนั้น
เพราะเขายังรู้สึกแสบร้อนริมฝีปากอยู่
สิ่งที่เขาอยากทำในตอนนี้คือทำอย่างไรก็ได้ให้รู้สึกหายเผ็ดและอาบน้ำเอาคราบเหงื่อบนตัวออกไป
“สรุปแล้วคนแพ้จะต้องตามใจคนชนะหนึ่งวันเหรอ?
นายอยากให้ฉันทำอะไรล่ะ?”
“ยังคิดไม่ออกเลยครับ เอาคิดออกแล้วจะมาบอกอีกทีได้ไหม?”
“ให้เวลาคิดสองวัน”
“น้อยไปอ่ะ”
“ถ้านานกว่านั้นของรางวัลจะหมดอายุ
เพราะงั้นนายก็จะหมดสิทธิ์ในการออกคำสั่ง”
“อะไรกัน! ของรางวัลมีการหมดอายุด้วยเหรอ?
ไม่ยุติธรรมเลยฮะ”
“ช่วยไม่ได้”
ร่างสูงยักไหล่ก่อนจะยื่นมือไปขยี้ผมของจุนมยอนจนยุ่งเหยิงขึ้นมานิดหน่อย
เด็กน้อยจึงหดคอก่อนจะหันไปสนใจเค้กสตรอเบอร์รี่ตรงหน้าต่อ
“อาบน้ำด้วยกันไหมฮะ?
แต่ห้องผมไม่มีอ่างอาบน้ำแบบห้องคุณหรอกนะ มีแค่ฝักบัวกับเครื่องทำน้ำอุ่นเก่าๆ
เท่านั้นแหละ”
“ฉันไม่สนเรื่องพวกนั้นหรอก ฉันแค่อยากอาบน้ำกับนาย
ยิ่งห้องน้ำเป็นห้องเล็กๆ ยิ่งดี เราจะได้อาบกันแบบเนื้อแนบเนื้อ”
“ทะลึ่ง! ผมไม่น่าชวนคุณเลย”
“ฮ่าๆ ทีนายยังหลอกให้ฉันกินรามยอนนรกนี่ได้เลย
แล้วทำไมฉันจะหลอกให้นายไปอาบน้ำด้วยกันไม่ได้”
“ชิ!” เด็กหนุ่มเบ้ปาก
มือเล็กเอื้อมไปหยิบโทรศัพท์มือถือบนเตียงนอนออกมาสไลด์เล่นเหมือนที่คริสเคยเห็นอยู่ประจำ
และนั่นทำให้เขาขมวดคิ้วนิดหน่อย
สงสัยเหลือเกินว่าทำไมจุนมยอนถึงได้ชอบอ่านการ์ตูนบนโทรศัพท์
หรือบางทีในโทรศัพท์นั่นมันอาจจะมีอะไรที่มากกว่าการ์ตูนก็ได้
“นายติดโทรศัพท์มากเลยนะ
รู้ตัวหรือเปล่า?”
“รู้ครับ เพราะว่าห้องของผมไม่มีโทรทัศน์ผมก็เลยมีแต่โทรศัพท์คอยแก้เหงาแค่อย่างเดียว
ผมไม่สามารถออกไปเดินช็อปปิ้งแก้เบื่อเหมือนคนอื่นๆ
ได้เพราะว่าผมไม่มีเงินมากขนาดนั้น
ก็เลยต้องใช้โทรศัพท์นี่ล่ะให้เป็นตัวช่วยผ่อนคลาย”
พูดจบก็หันไปก้มมองดูหน้าจอสี่เหลี่ยมต่อ เด็กหนุ่มกดเข้าแอพพลิเคชั่นที่ตัวเล่นอยู่เป็นประจำ
พบว่ามีแจ้งเตือนจากคนที่มากดไลค์รูปเป็นจำนวนไม่น้อย
อีกทั้งยังมีคอมเม้นท์จากโดคยองซูโผล่มาอีกด้วย
‘dks__ksp : ทำไมถึงมีสองห่อ?’
คอมเม้ท์ที่ปรากฏอยู่ใต้ภาพล่าสุดที่จุนมยอนเพิ่งจะอัพโหลดลงไปทำให้เด็กหนุ่มยิ้มบางๆ
ออกมา จุนมยอนจึงกดตอบคอมเม้นท์นั่นกลับไปโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่ามีคนลอบสังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆ
‘jexliq : @dks__ksp ความลับ’
“ขอดูหน่อยว่าเล่นอะไร”
เสียงทุ้มเอ่ยขึ้นพลางยื่นมือไปแย่งโทรศัพท์ของจุนมยอนมาถือไว้
ทำเอาเด็กน้อยต้องรีบเอี้ยวตัวมาเพื่อแย่งโทรศัพท์คืน หากแต่ไม่ทันคนตัวสูงเสียแล้ว
ตอนนี้คริสได้ทำการเลื่อนดูอินสตาแกรมของเขาอย่างไม่ละสายตา
“คุณคริส อย่าแย่งของผมไปแบบนี้สิ”
“นี่ไอจีของนายเหรอ?”
“งือ”
“จำเป็นต้องลงรูปโชว์ขนาดนี้ไหมเนี่ย?”
คริสพลิกหน้าจอโทรศัพท์ให้อีกคนดู
ปรากฏว่ามันคือรูปที่จุนมยอนใส่ชุดวาบหวิวคล้ายคลึงกับชุดของเด็กผู้หญิง
เสื้อเอวลอยตัวจิ๋วเผยให้เห็นหน้าท้องแบนราบ
แพนตี้ลูกไม้น่ารักนั่นโค้งเว้าจนเห็นแก้มก้น
มีถุงเท้าซีทรูสีขาวประดับต้นขาทั้งสองข้างไว้
บวกกับท่านั่งที่ดูล้อแหลมนั่นจึงทำให้ร่างสูงคิ้วกระตุกนิดหน่อย
“คนอื่นถ่ายยิ่งกว่านี้อีกนะครับ”
“ก็ช่างคนอื่นสิ นายไม่จำเป็นจะต้องไปทำอะไรแบบนี้ตามคนพวกนั้นเสียหน่อย”
คริสพูดและเปลี่ยนไปไล่ดูรูปอื่นๆ ของจุนมยอนต่อ
แน่นอนว่ามันยังมีรูปภาพประเภทนี้อีกหลายภาพ เขายอมรับว่ามันช่างปลุกใจเหลือเกิน
แต่ใครกันล่ะที่จะอยากให้คนของตัวเองโพสต์รูปพวกนี้ให้เสือสิงห์ข้างนอกแห่เข้ามาดู
“คราวหลังถ้าจะถ่ายอะไรแบบนี้ไม่ต้องเอาลงนะ”
“…”
“ส่งมาให้ฉันดูแทนดีกว่า”
“คุณคริส! เอาคืนมาเดี๋ยวนี้เลย”
ตอนนี้หน้าของจุนมยอนแดงแจ๋ไปหมดแล้ว เด็กน้อยขมวดคิ้วและพยายามจะแย่งมือถือคืนมา
หากแต่เขาก็ยังเอื้อมมือไปไม่ถึงเพราะคริสกลับยกโทรศัพท์หนีเขาไปทางอื่น
จนแล้วจนรอดก็ยังเอาคืนมาไม่ได้
มิหนำซ้ำร่างสูงยังลุกหนีจุนมยอนและตัวเองขึ้นไปนอนคว่ำบนเตียงแทน
“ไหนขอดูซิว่ามีรูปอื่นในเครื่องอีกไหม
ถ้ามีนายต้องส่งมาให้ฉันทุกรูปนะ”
“ไม่เอา ผมไม่มีรูปอื่นแล้ว ขอโทรศัพท์ผมเถอะนะฮะ
ผมอยากเล่นเกมแล้ว”
“ไปอาบน้ำก่อนสิเดี๋ยวค่อยมาเล่น”
“ขอเล่นตอนนี้ตานึง”
“ไม่เอา” คริสปฏิเสธทั้งๆ
ที่เขายังกดเลื่อนดูรูปไม่หยุด
แต่สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่พบสิ่งที่น่าสนใจนอกจากภาพแคปหน้าจอที่มีลิสต์สูตรเกมต่างๆ
และรายชื่อการ์ตูนน่าอ่านมากมาย
ร่างสูงจึงกดกลับมาเข้าอินสตแกรมของจุนมยอนเช่นเดิม ก่อนจะเห็นว่าภาพล่าสุดที่จุนมยอนอัพโหลดลงไปนั้นคือภาพของซองบะหมี่นรก
2 ซองซึ่งวางอยู่คู่กัน
พร้อมกับมีคำบรรยายใต้ภาพประกอบ
‘@jexliq : คนแพ้ต้องนอนกอดคนชนะทั้งคืน
#spicynoodlechallenge’ ข้อความนั่นทำให้คริสเผยรอยยิ้มออกมาก่อนจะอ่านข้อความบนหน้าจอออกมาเสียงดัง
“คนแพ้ต้องนอนกอดคนชนะทั้งคืน..”
คนตัวสูงพูดพร้อมกับรอยยิ้มก่อนจะหันไปหาเด็กหนุ่มที่กำลังนั่งเม้มปากอยู่ใกล้ๆ
จุนมยอนกำลังเขินหนักมาก แต่ก็ใช่ว่าคริสจะไม่เขินเหมือนกัน
บอกแล้วว่านี่เป็นครั้งแรกที่คริสยอมเปิดหัวใจของตนเองให้คนอื่นเดินเข้ามา
ความรักในแบบฉบับของจุนมยอนมักสร้างความประหลาดใจให้เขาเสมอ
และทุกครั้งก็มักจะมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะแทรกแซงเข้ามาช่วยให้คริสมีความสุขมากขึ้นในทุกๆ
วัน แม้ว่าคนทั้งสองจะเพิ่งเจอกันได้แค่ไม่กี่วันเท่านั้น.. แต่ถ้าคนเราถูกใจกันโดยไม่มีข้อแม้
ก็ไม่แปลกถ้าหากพวกเขาจะสามารถเข้ากันได้โดยไว
ไม่คิดเหมือนกันว่าจะต้องมาแพ้อะไรแบบนี้
ตอนนี้คริสอายุ 29 ปีและผ่านโลกมาเยอะพอสมควร
แบกรับความเครียดความกดดันจนต้องพบจิตแพทย์เพื่อบำบัด ในขณะที่จุนมยอนอาย 20
ปีและยังเป็นนักศึกษาวัยสดใส ทำงานใช้ตัวแลกเงิน
แลดูเหมือนพวกเขาไม่น่าจะโคจรมาเจอกันได้เลย ทว่าเมื่อได้พบกันแล้ว.. พวกเขากลับเติมความสุขให้แก่กัน ทำให้คนที่แบกอะไรๆ
มาทั้งชีวิตอย่างคริสรู้สึกเบา
และทำให้คนที่เฝ้ารอคอยความรักจากใครสักคนอย่างจุนมยอนเลิกที่จะเฝ้ารอ
เพราะเขาหาคนๆ นั้นเจอแล้ว
“ทำไงดี.. ฉันไม่ได้เอาเสื้อผ้าติดมาเลย
สงสัยคืนนี้คงจะต้องถอดเสื้อผ้านอนยันเช้าแล้วล่ะ
นายโอเคใช่ไหมถ้าฉันจะกอดนายทั้งๆ ที่ฉันเองก็เปลือย”
“นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากจะขอสักคุณสักหน่อย
เพราะยังไงคืนนี้คุณก็ต้องนอนกอดผมอยู่แล้ว หรือถ้าคุณไม่กอด ผมก็จะกอดคุณเอง”
จุนมยอนพูด “ผมบอกแล้วไงว่าผมยังคิดไม่ออกว่าจะให้คุณทำอะไรดี”
“อ้าว แล้วทำไมเขียนข้อความลงไปแบบนั้นล่ะ?”
“ก็เพราะว่าผมอยากให้คนอื่นรู้ไงครับว่าผมมีเจ้าของแล้ว”
“ด้วยการถ่ายรูปซองรามยอนนรกคู่กันเนี่ยนะ?”
“มันไม่ใช่รามยอนนรกสักหน่อย
คุณอย่าไปตั้งชื่อมั่วๆ แบบนั้นสิ” จุนมยอนพูดก่อนจะเคลื่อนตัวไปคว้าโทรศัพท์ออกมาจากมือของคริสมาไว้กับตัวเอง
“หึ” คริสส่งเสียงในลำคอ
เขาเลียปากตัวเองที่ยังมีรสชาติเผ็ดร้อนติดอยู่ “เด็กน้อย”
“…”
“ถ้าอยากให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองมีเจ้าของแล้วน่ะ
มันต้องทำแบบนี้”
“เฮ้ย! นี่คุณ! งื้ออ
อย่าดึงแรงเดี๋ยวเสื้อขาด”
“ขาดก็ซื้อใหม่ ฉันมีเงินซื้อให้นายได้เป็นร้อยๆ
ตัวน่า”
มือหนาดึงคอเสื้อสีขาวของจุนมยอนลงก่อนจะแตะริมฝีปากลงไปอย่างจาบจ้วง
เขาใช้ลิ้นดุนผิวหนังบริเวณเนินอกของจุนมยอนจนเปียกชื้นก่อนจะจัดการขบเม้มเพื่อสร้างรอยสีแดงช้ำ
ฟันคมออกแรงกัดจนคนตัวเล็กสะดุ้งโหยงแต่ไม่คิดจะห้าม เพราะความจริงแล้ว.. จุนมยอนชอบให้คริสทำแบบนี้
(เจอกันที่ไบโอทวิตเช่นเคยงับ มิใช่ฉากกินจุนมยอนแต่อย่างใด แต่เนื้อหาเข้มข้นเกินกว่าที่จะเอามาลงงับ)
- - - - - - - - - - - - - - -
“คุณคริส~”
คริสเผยรอยยิ้มออกมาทันทีที่ได้ยินเสียงของไอ้ตัวยุ่ง
ภายในห้องรับแขกซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยความมือ
ร่างสูงคือความเคลื่อนไหวเดียวที่ยังคงนั่งอยู่บนโซฟาและจับโทรศัพท์ของเขาเอาไว้
“ไง นึกว่าหลับไปแล้วเสียอีก”
“ยังหรอก
ผมว่าจะรอคุณโทรมาฝันดีนี่ล่ะแล้วค่อยนอน”
“ฮ่าๆ แล้วนี่ทำอะไรอยู่ล่ะ? เล่นโทรศัพท์อีกล่ะสิใช่ไหม?”
“เปล่าสักหน่อย
ผมเพิ่งรีดเสื้อที่จะใส่พรุ่งนี้เสร็จ”
“อา.. สงสัยต้องให้มารีดเสื้อที่บ้านด้วยแล้วมั้ง
จะได้ไม่ต้องไปเสียเงินจ้างร้านซักรีดของตึก ที่นี่คิดราคาแพงชะมัด”
“ของผมก็แพงนะฮะ รีดหนึ่งตัวเลี้ยงพิซซ่าหนึ่งถาด”
“นี่ยังอ้วนไม่พออีกเหรอหื้ม?
วันนั้นที่ชั่งบนตัวฉันก็หนักไม่ใช่ย่อยเลยนะ”
“ทะลึ่ง!”
คริสเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเขาถึงยังยิ้มและยังทำหน้าระรื่นอยู่ได้
ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งจะเกือบมีอะไรกับมินซอกมาหมาดๆ เขาอาจจะดูมีความสุขที่ได้ยินเสียงของจุนมยอน
แต่ความจริงคือตอนนี้ในหัวใจของเขามันเจ็บไปหมด
ยิ่งได้ยินเสียงอันสดใสร่าเริงของจุนมยอนเขายิ่งรู้สึกผิด ยิ่งนึกถึงภาพตอนที่มินซอกกำลังเล้าโลมเขา.. เขายิ่งเกลียดตัวเอง
เกลียดที่เผลอเอานิสัยของผู้หญิงคนนั้นมาใช้
เกลียดที่ปล่อยให้อารมณ์อยู่เหนือทุกอย่างจนเกือบจะนอกใจจุนมยอน
ถ้าจุนมยอนรู้และรับไม่ได้.. เขาจะทำยังไงดีนะ
เขาคงอยู่ไม่ได้ถ้าต้องถูกจุนมยอนทิ้ง
- - - - - - -
- - - - - - - - - - -
@mmangmoom : พาร์ทนี้จะเป็นพาร์ทของพี่คริสทั้งหมดนะคะ
อย่าเพิ่งตกใจว่าทำไมถึงไม่มีความคิดของหนูจุนเลย
แล้วก็ต้องขออภัยด้วยนะงับที่ต้องให้ไปอ่านในเว็บอื่นบางส่วน เพราะพาร์ทนี้มีฉากรุนแรงหลายฉากเลย
เสี่ยงต่อการปลิวเป็นอย่างยิ่ง
อย่าลืมไปหวีดในแท็กนะงับ #KHtimelapse
และอย่าลืมไปฟอลไอจียัยจุ้นกันนะงับ @jexliq
เจอกันตอนหน้างับบบบบ
ความคิดเห็น