คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #133 : ♡ Time Lapse (Chapter 2)
“คุณคิดว่ามันจะมีทางหายไหม?”
เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความสงบของห้องรับรองคนไข้
มือของคริสถูกยกขึ้นมาบีบนวดขมับด้วยนิ้วชี้และนิ้วกลาง
เขากดหมุนวนนิ้วพวกนั้นไปมาพลางหลับตาลงระหว่างรอคำตอบจากผู้เป็นแพทย์
บรรยากาศของคลินิกจิตเวชแห่งนี้ดูเสมือนบ้านพักของคนปกติ
รอบข้างเป็นตู้หนังสือ หน้าต่างบานสูงมีผ้าม่านสีแดงเข้มปิดกั้นสิ่งรบกวนภายนอก
ภายในมีโต๊ะทำงานของแพทย์และโซฟารับรองผู้ป่วย ซึ่งคริสก็กำลังนั่งอยู่ในตอนนี้
เขาไขว่ห้าง วางแขนข้างหนึ่งไว้บนตัก ส่วนมืออีกข้างนั้นนวดขมับไปเรื่อยๆ
“จริงๆ
ผมคิดว่านี่ไม่ใช่อาการทางจิตหรืออะไรแบบนั้นหรอกนะ มันก็เป็นแค่รสนิยม ไม่ใช่คุณคนเดียวที่มีรสนิยมชอบความรุนแรงแบบนี้
แต่ยังมีอีกเป็นล้านคนข้างนอก เพราะงั้นคุณไม่ใช่คนที่ผิดแปลกหรืออะไร”
“แต่ผมอยากจะบำบัด มันกัดกินตัวผมมานานหลายปีแถมยังรุนแรงมากขึ้นทุกที
และผมคิดว่ามันอาจจะกระทบกับปัจจัยอื่นๆ เช่น มีคนเอาไปนินทา
ทำให้คนรอบข้างเริ่มตีตัวออกห่างจากผมมากขึ้น”
“ผมคิดว่าคุณควรบำบัดความเครียดและความกดดันในจิตใจของคุณก่อน
สาเหตุที่ทำให้คุณมีรสนิยมแบบนี้มาจากความกดดันที่คุณได้รับตั้งแต่ยังเด็ก คุณจะรู้สึกแข็งแกร่งก็ต่อเมื่อเห็นคู่นอนของคุณเจ็บปวด
ความรู้สึกเหล่านี้ล่ะคือปัญหา มันทำให้คุณกลายเป็นคนหลงใหลในความรุนแรงและชอบเจ็บปวด”
“…”
“เรามากำจัดปัญหาในใจของคุณก่อนดีไหมครับ?
แล้วหลังจากนั้นเราจะค่อยๆ บำบัดรสนิยมของคุณจนกว่าคุณจะหายขาด”
“เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ”
คริสสบตาคนตรงข้าม
สองมือที่ยังประสานกันอยู่บนหน้าตักบวกกับท่านั่งที่ไร้ชีวิตชีวาทำให้เขาดูเหมือนนักโทษ
ซึ่งสิ่งที่จองจำเขาเอาไว้ไม่ใช่คดีอาชญากรรมหรืออะไรเทือกนั้น
แต่เป็นความผิดปกติทางจิตใจต่างหาก
มันจองจำร่างสูงราวกับขังเขาเอาไว้ในคุกล่องหนมาตลอด 29 ปี ค่อยๆ
ประหารหัวใจดวงน้อยนี้ด้วยการกัดกินความรู้สึกและความสุขในร่างกายจนร่างสูงรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น
ชายร่างสูงพอจะเดาออกว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดความผิดปกติเหล่านี้มาจากไหน
เขาพยายามลืมมันไปโดยใช้เวลานานหลายปีพอสมควร – คริสพยายามรักษาจิตใจของตนด้วยตัวเอง
เขาค้นคว้าหาข้อมูลและนำปรับใช้เอาในชีวิตประจำวันตลอดหลายปี
ทว่ามันกลับไม่ช่วยอะไรเลยแม้แต่น้อย
เพราะเมื่อถึงคราวต้องขึ้นเตียงกับคู่นอนเมื่อไหร่
สุดท้ายเขาก็ปล่อยให้สัญชาตญาณดิบกับรสนิยมที่แท้จริงออกมา
มันไม่เคยหายขาดได้เลยสักครั้ง.. สุดท้ายแล้วร่างสูงก็ต้องมาพึ่งจิตแพทย์
เขาหวังว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับการบำบัดจิตใจของเขาให้หายขาดเสียที
สองชั่วโมงหลังการบำบัด
การบำบัดในวันแรกนั้นไม่มีอะไรซับซ้อนเท่าไหร่
ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการถูกซักถามถึงเรื่องพื้นฐานครอบครัวและนิสัยในวัยเด็ก
เพื่อให้แพทย์ได้นำข้อมูลพวกนี้ไปเป็นตัวช่วยในการวินิจฉัยและทำการรักษาต่อไป
ทั้งนี้คริสใช้เวลาทั้งหมด 2 ชั่วโมงในการระบายสิ่งต่างๆ ออกมา
ก่อนที่จิตแพทย์จะเอ่ยว่าวันนี้ขอพอเท่านี้ก่อน
เพราะคริสดูเหนื่อยล้าจากการทำงานมากพอแล้ว ยิ่งต้องมาพูดถึงความหลังต่างๆ
ในชีวิตมันกลับยิ่งดูดพลังงานของเขาไปจนเกือบหมด
ชายตัวสูงเอนหลังพิงศีรษะเข้ากับพนักพิง
เขาเลิกที่จะสนใจแสงสีข้างทางและหลับตาลง
กรุงโซลในยามค่ำคืนไม่ได้น่าตื่นเต้นเท่าไหร่นักสำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด
ขณะเดียวกันชายคนขับรถซึ่งเป็นเลขาคนสนิทก็ได้เหลือบมองเจ้านายผ่านกระจกมองหลัง
ซูฮยอกมองดูเจ้านายของเขาด้วยความเห็นใจ.. เขาทำงานกับคริสมา 4 ปีแล้ว ค่อนข้างได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ ของผู้ชายคนนี้มามากพอสมควร
เขารู้ดีว่าคริสต้องเจอกับอะไรบ้าง ทั้งยังเข้าใจดีว่าทำไมคริสจึงยังต้องอดทนอดกลั้นขนาดนี้
“ซูฮยอก เดือนหน้าเราต้องไปต่างประเทศอีกแล้วใช่ไหม?”
“ใช่ครับ
บริษัทเครื่องจักรที่เยอรมันติดต่อมาว่าอยากให้คุณคริสเข้าไปเช็คงานที่โน่นสักหน่อย
คุณคริสอยากไปพักผ่อนยาวๆ ไหมล่ะครับ? ผมจะได้จัดการเรื่องงานให้”
“ก็ดีนะ
ตั้งแต่ทริปที่ไปบาหลีกับพวกไอ้จงอินปีโน้น.. ฉันก็ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนอีกเลย
ถึงจะได้บินไปต่างประเทศบ่อยๆ แต่มันก็คือการไปทำงาน ฉันแทบจะไม่ได้พักร่างกายเลย”
“งั้นคุณคริสอยากไปกี่วันดีล่ะครับ?
ผมว่าสัปดาห์นึงกำลังดีเลยนะครับ ดูงาน 3 วัน เที่ยวอีก 4 วัน”
“ฉันอยากจะไปนั่งหายใจทิ้งสัก 2 สัปดาห์”
“ว่าไงนะครับ?”
“ฉันเหนื่อยซูฮยอก ฉันอยากหนีคนที่นี่ไปพักสมองนานๆ
หน่อย” คริสเอ่ยออกมาก่อนจะเปิดเปลือกตา เขามองเห็นซูฮยอกผ่านกระจกมองหลัง
เห็นได้ชัดว่าสายตาของซูฮยอกนั้นดูประหลาดใจมากกับคำพูดของเขา
“จัดการให้ฉันด้วยแล้วกัน แล้วถ้าใครมีปัญหา.. บอกให้เขาโทรมาคุยกับฉันโดยตรงได้ตลอด
24 ชั่วโมง”
“อ่า.. ครับผม”
“ส่วนนาย.. จะเที่ยวต่อหรือจะกลับก่อนก็ได้
ฉันไม่ห้าม”
“ถ้าคุณคริสอยากให้ผมอยู่เป็นเพื่อนคอยจัดการเรื่องต่างๆ
ให้เหมือนเดิม ผมก็จะอยู่ครับ”
“ขอบใจ”
ดูเหมือนว่าจะมีแค่ซูฮยอกเท่านั้นที่สามารถรองรับในทุกๆ
ความแปรปรวนของคริสได้ เขาคอยทำหน้าที่ทุกอย่างตามที่เจ้านายของเขาออกคำสั่ง
คนภายนอกมักมองว่าคริสเป็นคนนิสัยแข็งกระด้าง ชอบใช้อำนาจในการออกคำสั่งกับผู้คน
ซึ่งซูฮยอกไม่ขัดต่อคำทัดทานพวกนั้น เพราะคริสเป็นถึงเจ้าของบริษัท
แน่นอนว่าเขามีสิทธิ์ออกคำสั่งและสามารถไล่คนออกได้ยามเจอคนทำงานพลาด เขามีอำนาจล้นมือในทุกๆ
เรื่อง แต่ก็น้อยครั้งที่คริสจะใช้อำนาจในทางที่ผิด
อันที่จริงแล้วคริสเป็นพวกไม่ฝักใฝ่ในอำนาจ
เขาไม่ชอบออกหน้าออกตา ไม่ชอบโชว์ความองอาจ เขาก็แค่ชอบการอยู่เฉยๆ
ก้มหน้าก้มตาทำงานที่อยู่ในมือให้เสร็จเพราะไม่อยากเอางานกลับไปทำที่บ้าน
ไปต่างประเทศเพื่อดูงานตามหน้าที่ วันเสาร์-อาทิตย์ก็นอนพักผ่อนอยู่บ้าน
น้อยครั้งนักที่เขาจะไปออกงานสังคมให้ช่างภาพมาสาดแสงแฟลชเอารูปไปลงหนังสือพิมพ์
ไม่นานซูฮยอกก็พาเจ้านายของเขามาส่งที่หน้าตึกสูงระฟ้า
เขาเดินลงจากรถพร้อมกับผู้เป็นนาย ก่อนจะส่งรอยยิ้มให้เหมือนที่เคยทำมาตลอดทุกวัน
“คุณคริสจะเอารถไปจอดเองใช่ไหมครับ?”
“อืม ฉันจัดการเองได้ นายไปเอารถของนายเถอะ.. ป่านนี้อึนบยอลคงร้องหานายแย่แล้ว”
“ครับ อาจจะเป็นอย่างที่คุณว่าก็ได้”
“พรุ่งนี้ไม่ต้องรีบมานักหรอก
ไปส่งลูกที่โรงเรียนให้เสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยเข้าบริษัทก็ได้ เพราะฉันเองก็ว่าจะเข้างานสายเหมือนกัน”
“ครับผม ตามนั้นก็ได้ครับ”
“งั้นฉันไปล่ะ ขอบคุณที่ช่วยจัดการเรื่องต่างๆ
ให้นะ”
“ยินดีครับ เจอกันพรุ่งนี้นะครับคุณคริส”
“เจอกัน”
เมื่อซูฮยอกโค้งให้ คริสจึงส่งรอยยิ้มจางๆ กลับไป
เขากลับขึ้นไปอยู่บนรถยุโรปคันเดิม แต่คราวนี้คริสต้องทำหน้าที่เป็นคนขับ
เพราะเขากับซูฮยอกต้องแยกกัน ณ ตรงนี้
ซูฮยอกจะกลับไปเอารถของเขาซึ่งจอดไว้ที่หน้าตึกและตรงกลับบ้าน
ส่วนคริสจะนำรถขึ้นไปจอดบนที่จอดส่วนตัวที่ทางอาคารจัดไว้ให้
รถยุโรปถูกขับออกขึ้นไปบนอาคารจอดรถ
ในหัวคริสถูกเติมแต่งไปด้วยภาพครอบครัวสุขสันต์ของซูฮยอก – เลขาคนสนิท
เขาแต่งงานเมื่อสี่ปีที่แล้วและมีลูกสาววัยกำลังน่ารัก
ซึ่งคริสเองก็มีโอกาสได้พบเจออยู่บ่อยครั้ง
ทั้งยังได้ทำหน้าที่เป็นคุณลุงคอยซื้อของเล่นไปให้อยู่บ่อยๆ แน่นอนว่าอึนบยอลเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยคนแรกที่ทำให้คุณลุงคริสใจละลาย
จากที่ไม่เคยยุ่งกับเด็กแต่ก็ยอมอุ้มเจ้าหญิงตัวน้อยที่กำลังหลับคอพับคออ่อนอยู่บนไหล่ไปส่งที่บ้านพัก
ในตอนที่พวกเขาจัดงานเลี้ยงบริษัทที่ฮาวายซึ่งซูฮยอกได้พาครอบครัวไปด้วย
พอเห็นครอบครัวของซูฮยอกแล้ว.. ร่างสูงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากมีกับเขาบ้าง
หากแต่มันคงจะเป็นไปไม่ได้สำหรับคริส เพราะว่าเขาไม่ได้พึงที่จะแต่งงานในตอนนี้
พูดง่ายๆ ก็คือคริสยังไม่พร้อมที่จะแต่งงาน เขายังมีงานต้องรับผิดชอบ
มีสิ่งที่อยากทำอยู่หลายอย่าง และเขายังไม่เจอคนที่ใช่
เพราะงั้นเรื่องแต่งงานจึงตกไปเป็นเรื่องสุดท้ายที่เขาคิดจะทำในตอนนี้
แต่ถ้าพูดถึงเรื่องลูก.. แน่นอนว่ามันคือความฝันของมนุษย์ทุกคน
ซึ่งคริสเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ฝันอยากจะมีครอบครัวสุขสันต์เพื่อมาเติมเต็มในส่วนที่ขาด
และถ้าหากว่าคริสจะต้องมีลูกจริงๆ เขาจะเลี้ยงเด็กคนนั้นให้ดีที่สุด
อย่างน้อยก็จะไม่เลี้ยงแค่ให้โตและเอาลูกมาใช้เป็นเครื่องมือในการหาผลประโยชน์ให้ตนเอง
- - - - - - - - - - - - - - -
วันถัดมา
วันนี้ไม่มีฝน
สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าของจุนมยอนคือแสงแดดในยาม 8 โมงเช้า
เด็กหนุ่มที่กำลังยืนรอสัญญาณไฟข้ามถนนหน้ามหาวิทยาลัยหยิบลิปบาล์มของเขาขึ้นมาทาอย่างลวกๆ
เพราะจุนมยอนนั้นเกลียดความแห้งผาก
ทำให้ริมฝีปากนั้นดูอิ่มเอิบและมีสีแดงระเรื่อขึ้นมา
รับกับผิวแก้มซึ่งเป็นสีชมพูพีชซึ่งเปล่งปลั่งแบบนี้มาตั้งแต่เกิด
ยิ่งพอโดนแสงแดดสาดส่องเข้ามาแล้ว
ผิวแก้มจึงกลายเป็นสีสวยบ่มแดดจนทำให้จุนมยอนดูน่ารักจนยากจะละสายตา
เด็กหนุ่มเดินเข้ามาในรั้วมหาวิยาลัยและตรงไปยังโรงอาหาร
ดูเหมือนว่าเช้าวันนี้จุนมยอนจะต้องนั่งกินข้าวคนเดียว
เนื่องจากคยองซูตื่นสายและจะไม่แวะมากินข้าวด้วยกัน
เพราะงั้นเด็กหนุ่มเจ้าของพวงแก้มสีสวยจึงเดินไปต่อแถวที่ร้านอาหาร
จัดการสั่งมื้อเช้าให้ตัวเองและยกถาดมานั่งกินที่โต๊ะคนเดียว
“ขอนั่งด้วยได้ไหม? เพื่อนฉันไม่มา
ก็เลยเหลือแค่ฉันคนเดียว”
เสียงนั่นทำให้จุนมยอนเงยหน้าขึ้นไปมอง
พบว่าเป็นคิมจงแดที่กำลังยืนถือถาดอาหารและส่งยิ้มให้เขา
จุนมยอนจึงรีบเอ่ยทักทายและบอกให้จงแดนั่งด้วยกัน
“ทำไมวันนี้เพื่อนจงแดไม่มากันล่ะ?”
“เมื่อคืนพวกนั้นปาร์ตี้กันจนหนักก็เลยตื่นไม่ไหวสักคน
แต่ฉันไม่ได้ไปด้วยก็เลยรอดชีวิตน่ะ”
จงแดหัวเราะออกมาก่อนจะดึงตะเกียบไม้ออกจากกัน “แล้วคยองซูล่ะ?”
“คยองซูตื่นสายน่ะ จะตามมาทีหลังตอนเก้าโมง”
“อ่า.. งั้นเหรอ?
แล้วนั่นมือไปโดนอะไรมาน่ะ?”
“กาแฟลวกน่ะ”
“ที่ร้านเหรอ?”
“เปล่า มีคนวิ่งมาชนแล้วเขาถือกาแฟร้อนๆ มาพอดี
ก็เลยเป็นอย่างที่เห็นนี่ล่ะ”
“แย่จัง หวังว่ามันจะดีขึ้นไวๆ นะ” จงแดพูด
เขามองดูแก้มสีชมพูอมส้มของจุนมยอนก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา เขารู้ดีว่าใครๆ
ต่างก็อิจฉาพวงแก้มระเรื่อของเด็กหนุ่มคนนี้ เพราะใครๆ
ต่างก็พากันพูดว่าจุนมยอนเป็นเด็กหน้าตาน่ารัก เรียกได้ว่าเป็นตัวท็อปของคณะ
แต่เสียอย่างเดียว.. คนชอบพูดกันว่าจุนมยอนทำอาชีพไม่สุจริต
หาเงินโดยการใช้ร่างการของตัวเอง ประมาณว่า..
เงินมาผ้าก็หลุดอะไรทำนองนั้น นั่นทำให้ใครหลายๆ คนตัดสินใจที่จะไม่เข้าหาจุนมยอน
ทำให้เด็กหนุ่มกลายเป็นคนมีเพื่อนน้อยไปโดยปริยาย อันที่จริง.. จุนมยอนมีแค่คยองซูคนเดียวมาตั้งนานแล้วต่างหาก “จุนมยอน
ช่วงนี้ได้รับงานบ้างไหม?”
“เพิ่งรับไปเมื่อวันก่อนน่ะ
หลังจากไม่ได้แตะงานนั้นมาเกือบหกเดือน”
คิมจงแดเป็นอีกคนที่จุนมยอนสามารถบอกเล่าเรื่องทุกอย่างในชีวิตของตัวเองให้ฟังได้
นอกจากคยองซูแล้วก็มีจงแดนั่นล่ะที่มองข้ามเรื่องอาชีพของจุนมยอนไปได้
อาจเป็นเพราะจงแดก็มีชะตากรรมไม่ต่างจากจุนมยอนเช่นกัน
พวกเขาทั้งสองต้องดิ้นรนหาเงินให้ตัวเองใช้เพราะไม่มีพ่อแม่คอยหาให้เหมือนเด็กคนอื่น
และคนที่ชักนำจุนมยอนให้มาเป็นเด็กไซด์ไลน์แบบนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน.. จงแดเองล่ะที่เป็นคนบอกต่องานแบบนี้ให้
“แล้วจงแดเป็นยังไงบ้าง? ตอนนี้จงแดได้รับงานบ้างหรือเปล่า?”
“งานล่าสุดคือเมื่อเดือนที่แล้วน่ะ.. จริงๆ
มีคนมาขอดูแลฉันด้วยนะ ฉันก็กำลังคิดอยู่เหมือนกันว่าจะตอบตกลงไปดีหรือเปล่า
เพราะเอาเข้าจริงฉันไม่ได้อยากจะไปเป็นเด็กเสี่ยของใครทั้งนั้น
ก็อย่างที่นายรู้ว่าถ้าตอบตกลงไปแล้วเราก็อาจจะหมดความเป็นอิสระในทันที”
“เขาเป็นใครเหรอ? มีครอบครัวหรือยัง?”
“ยังหรอก เราเคยเจอกันนอกเวลางานประมาณ 5-6 ครั้งแล้ว
ฉันเองก็รู้สึกดีกับเขาเหมือนกันนะ เขาค่อนข้างสุภาพบุรุษแล้วก็ใจดีสุดๆ ไปเลยล่ะ”
“หมายความว่าจงแดชอบเขาเหรอ?”
“ก็…” จงแดเงียบไปอีกครั้ง
เขาเบนสายตาไปทางอื่นเพื่อถ่วงเวลาในการเรียบเรียงคำตอบของเขา “ก็คงใช่
แต่นายก็คงจะรู้ว่าคนแบบพวกเราคงไม่มีทางไปมีความสัมพันธ์ที่จริงจังกับพวกเขาได้
เข้าใจไหม.. เราต่างกัน ไม่มีใครชอบเด็กทำงานบริการแบบพวกเราหรอกนะ ถึงแม้ว่าบางทีงานของเราจะไม่มีเรื่องเซ็กส์เข้ามาเกี่ยวก็ตาม แต่แค่พวกเขาได้ยินคำว่างานบริการ.. แค่นี้พวกเขาก็พร้อมจะวิ่งหนีอยู่แล้ว อีกอย่างฉันพอจะรู้ว่าเขาไม่ได้ชอบฉันหรอก เขาก็แค่เสนอเงินมาเพื่อหวังอย่างอื่น
เพราะงั้นฉันถึงได้คิดหนักอยู่นี่ไงล่ะ”
“ก็จริง..” จุนมยอนหลุบตาลง
เพราะตอนนี้เขาก็กำลังเผชิญสภาวะเดียวกับจงแดเช่นกัน
ผู้ชายคนนั้นยังคงติดอยู่ในหัวมาจนถึงวันนี้ อันที่จริงจุนมยอนไม่เคยลบภาพของคริสได้เลย
และทุกครั้งที่เขาคิดถึงชายคนนั้น.. จู่ๆ
รอยยิ้มและความเขินอายก็กลับปรากฏขึ้น
เขายังจำจูบบนลาดไหล่ที่คริสมอบให้
ก่อนร่างสูงจะออกไปทำงานได้.. ตอนนั้นตัวของจุนมยอนเต็มไปด้วยคิสมาร์กแล้ว และเขาเดินออกมาจากห้องนอนพร้อมกับผ้าห่มผืนใหญ่ซึ่งคลุมตัวอยู่
เขาเดินหาคริสไปทั่วห้องพักแห่งนั้น
ก่อนจะเห็นว่าร่างสูงกำลังสวมรองเท้าอยู่หน้าประตู
คริสกำลังจะออกไปทำงานและเขาบอกลาจุนมยอนด้วยการจูบลงบนไหล่มนก่อนจะบอกลาเด็กหนุ่ม
แค่คิดถึงภาพนั้น.. ก็เขินจนไม่เป็นอันจะกินข้าวแล้ว
แต่ก็อย่างที่จงแดบอก.. เขาไม่มีทางไปมีความสัมพันธ์จริงจังกับแขกเขาได้แน่นอน
“อันที่จริงเราก็ว่าจะถามจงแดอยู่เหมือนกัน
เราแค่อยากรู้ว่าจงแดเคยรู้สึกดีกับพวกเขาบ้างไหม? หมายถึง.. เคยหวั่นไหวบ้างหรือเปล่า?”
“ก็คงจะมีแค่คนนี้ล่ะที่ฉันรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาแบบจริงจัง
ไม่รู้สิ.. มองหน้าทีไรต้องหลบตาหนีทุกที
เขาทำให้ฉันต้านทานไม่อยู่”
“ฮ่าๆ เขาคงจะหล่อน่าดูเลยสินะ”
“ว่าแต่นายเถอะ ที่ถามแบบนี้ก็เพราะว่า.. ตอนนี้กำลังรู้สึกดีกับใครอยู่หรือเปล่า?”
“เอ่อ..”
คราวนี้เป็นจุนมยอนที่เบนสายตาไปทางอื่นเพื่อถ่วงเวลาหาคำตอบ
แต่แน่นอนว่าจงแดสามารถจับผิดเพื่อนตัวเล็กได้ทันที
เขาหัวเราะออกมาก่อนจะวางตะเกียบลงและใช้มือทั้งสองเท้าคางเพื่อรอคำตอบ “คือจริงๆ
เรา.. เราเคยเจอกันก่อนหน้านี้
ก่อนที่เราจะได้มาเจอกันที่คลับ เขาวิ่งมาชนเราแล้วก็ทำกาแฟลวกมือเรา
ตอนนั้นเขาใจดีมากๆ เลยนะ เขาพยายามจะพาเราไปโรงพยาบาลให้ได้
แต่เราเป็นคนขอไว้ว่าไม่อยากไป
ก็เลยกลายเป็นว่าเขาต้องวิ่งไปร้านขายยาและทำแผลให้เราตรงป้ายรถเมล์จนเสร็จ”
“…”
“แล้วสุดท้ายเราก็มาบังเอิญเจอกันที่คลับ
เราต้องทำงานให้เขา เพราะเพื่อนของเขาเป็นคนติดต่อเรามา
บอกว่าอยากให้เราไปเป็นของขวัญวันเกิดให้เขาสักคืน”
“แสดงว่านายชอบเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอสินะ”
“ใช่ แต่พอเขาได้รู้แล้วว่าจริงๆ เราทำงานอะไร.. เราก็ไม่กล้าที่จะเดินหน้าต่อ
เพราะเรากลัวเขาจะรังเกียจน่ะ ก็อย่างที่จงแดเคยบอก.. ไม่มีใครอยากเอาคนแบบพวกเราเป็นแฟนจริงๆ
จังๆ หรอกถ้าพวกเขาได้รู้ว่าเราทำงานแบบนี้”
“ชักอยากจะรู้แล้วสิว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร?
ใช่พวกคังแดเนียลหรือเปล่า?
ได้ข่าวว่าพวกนั้นก็เพิ่งจะฉลองวันเกิดให้ฮวังมินฮยอนไป”
“เปล่า เป็นเพื่อนของคุณจงอินน่ะ
ไม่ใช่เด็กวัยรุ่นเหมือนพวกนั้นหรอก?”
“เพื่อนของคุณจงอิน!?”
จงแดร้องออกมาด้วยความตกใจ เขาอ้าปากค้างและพยายามนึกหาชื่อของคนในกลุ่มนี้ “ม..
ไม่ใช่.. ไม่ใช่คุณเลย์ใช่ไหม?”
“…”
“ใช่ไหมจุนมยอน!?”
“ไม่ใช่สักหน่อย
ทำไมต้องเสียงดังขนาดนั้นด้วยเล่า?” จุนมยอนขมวดคิ้ว
ในขณะที่จงแดนั้นถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก “เขาชื่อคุณคริส
คนที่เป็นเจ้าของบริษัทอุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้านเราน่ะ เราว่าจงแดต้องรู้จัก”
“คุณคริสน่ะเหรอ!?”
“จงแด.. อย่าเสียงดังสิ”
จุนมยอนขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิมพลางอ้อนขอ
แต่คราวนี้ท่าทีของจงแดดูเป็นกังวลมากกว่ารู้สึกประหลาดใจ
เขาเริ่มขมวดคิ้วตามจุนมยอนก่อนจะพูด
“คุณคริสที่ตัวสูงๆ หน้าเข้มๆ เป็นลูกครึ่งจีนใช่ไหม?”
“อื้อ”
“นายเพิ่งไปทำงานให้เขามาเหรอ?”
“ใช่”
“ฉันได้ยินมาจากคนอื่นๆ ว่าหมอนี่โรคจิต
ดูเหมือนคนวิปริต ชอบทำอะไรรุนแรงๆ
เพื่อนฉันที่เคยรับงานกับเขาก็เคยพูดว่าให้ระวังชื่อนี้เอาไว้ให้ดี
เพราะว่าเขาน่ะน่ากลัว.. ดูโรคจิตแปลกๆ”
“แต่ตอนที่เราอยู่กับเขา คุณคริสเขาก็ปกตินะ
ที่บอกว่าชอบทำตัวแปลกๆ นี่คือแปลกยังไงเหรอ?”
“เพื่อนฉันบอกว่าเขาเป็นพวกซาดิสม์
ชอบใช้ความรุนแรงตอนที่มีอะไรกัน
เขาเคยบีบคอเพื่อนฉันจนเป็นรอยมือแล้วก็ต้องเอาเสื้อมาปิดอยู่ตั้งหลายวัน”
“งั้นเหรอ?”
“ใช่ ตอนที่นายอยู่กับเขา.. เขาไม่ได้ทำอะไรนายเลยเหรอ?”
“ก็ไม่นะ เขาก็เหมือนแขกคนอื่นทั่วๆ ไปเลย
ไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่บีบคอเราหรือจับตัวเราแรงๆ เลย”
“จริงเหรอจุนมยอน?
จะใช่คริสคนเดียวกันหรือเปล่าเนี่ย..”
“คริสเพื่อนคุณจงอินก็มีอยู่คนเดียวนี่”
“ใช่ ฉันถึงได้สงสัยยังไงล่ะว่าทำไมเขาถึง.. แต่ช่างมันเถอะ
นายไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แล้วนี่นายจะเอายังไงต่อล่ะ?
หมายถึงนายจะไม่เดินหน้าต่อแล้วใช่ไหม?”
“ก็คงจะเป็นอย่างนั้นล่ะ
เพราะว่าเราไม่มีทางรู้เลยว่าเราจะได้เจอกันตอนไหนอีก
อีกอย่างคุณจงอินก็บอกว่าปกติคุณคริสไม่เที่ยวกลางคืน
จะหาใครไปนอนด้วยแต่ละทีก็ต้องให้คุณจงอินหาให้”
“…”
“ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเราไม่อยากให้คุณคริสมาเจอเราในสภาพแบบนั้นอีก
เราแค่อยากเจอกันในสถานการณ์ปกติ ไม่มีเรื่องเซ็กส์เข้ามาเกี่ยว”
“อ่า.. ฉันเข้าใจนายนะ
แต่แบบนี้คงจะยากหน่อย
เพราะอย่างที่นายบอกว่าเราไม่มีทางรู้เลยว่าเขาจะได้มาเจอเราอีกตอนไหน”
“ใช่ บางทีนั่นอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายของเรา”
จุนมยอนดูดน้ำหวานจากหลอดก่อนจะเม้มปากเพื่อกลบความผิดหวังที่ปรากฏผ่านดวงตาสีน้ำตาลของเขา
แค่คิดว่าถ้าหากคืนนั้นคือครั้งสุดท้ายที่จะได้เจอกัน.. จุนมยอนก็รู้สึกห่อเหี่ยวจนเผลอถอนหายใจออกมา
ทำเอาจงแดแอบหัวเราะอยู่คนเดียวจนต้องคีบคิมบับมากินแก้อาการขบขันเหล้านั้น
- - - - - - - - - - - - - - -
“เอสเพรสโซ่ร้อนได้แล้วครับ ~”
เป็นเสียงของคยองซูเองที่กำลังขานชื่อและส่งแก้วเครื่องดื่มให้ลูกค้า
เด็กหนุ่มส่งรอยยิ้มกลับไปให้ลูกค้าด้วยความสดใสไร้ความเหน็ดเหนื่อยแม้ว่าวันนี้ตนจะเรียนมาทั้งวันแล้วก็ตาม
ขณะเดียวกัน
จุนมยอนก็กำลังจัดตู้เบเกอรี่อยู่ทางขวามือ เขาค่อยๆ เรียงเค้กสตรอเบอร์รี่
ชูครีมและของหวานรับฤดูร้อนอย่างละเมียดละไม แน่นอนว่ามันขายดิบขายดีเพราะใครๆ
ก็อยากลิ้มลองความหวานคลายร้อน จุนมยอนจึงต้องคอยเอาขนมพวกนี้มาเติมใส่ในตู้ตลอดเวลา
เสร็จแล้วจึงปิดตู้และเดินเอาถาดไปเก็บก่อนจะขยับไปยืนข้างๆ คยองซู
“วันนี้กินอะไรดีคยองซู?”
“อยากไปกินเนื้อย่างจัง
แต่กว่าเราจะเลิกงานร้านเนื้อย่างก็คงปิดพอดี”
“หรือไม่เราก็ต้องนั่งรถไฟที่ฮงแด
ที่นั่นมีร้านที่เปิดยันดึก เราจะได้กินแบบสบายๆ ไม่ต้องรีบหรือกลัวว่าร้านจะปิดก่อน”
“ถ้านายไม่เหนื่อยเกินไป เราไปที่นั่นก็ได้นะ”
“แน่นอน ถ้างั้นเลิกงานแล้วไปด้วยกันนะ”
“อื้อ”
จุนมยอนและคยองซูทำงานพิเศษในร้านกาแฟแห่งเดียวกัน
สมัยที่พวกเรียนอยู่ปี 1 พวกเขาพากันเดินหางานพิเศษไปตามถนนแห่งนี้จนเกือบสุดทาง
กว่าจะเจอร้านที่รับพนักงานพาร์ทไทม์ก็เล่นเอาเหงื่อตกอยู่เหมือนกัน
โชคดีที่ร้านนี้เพิ่งเปิดใหม่และต้องการพนักงานคอยบริการลูกค้า
พวกเขาจึงได้เข้าทำงานนี้พร้อมกันและก็ทำมาจนถึงทุกวันนี้
สำหรับจุนมยอนรายได้หลักของเขามาจากการทำงานในร้านกาแฟ
ไม่ใช่การตกลงเป็นคู่นอนให้กับคนอื่น เขายอมรับว่างานไซด์ไลน์นั่นได้เงินเยอะมากก็จริง
แต่เขาไม่ได้รับงานนั่นทุกวัน เขาทำก็ต่อเมื่อยามจำเป็นเท่านั้น
เพราะงั้นรายได้หลักของจุนมยอนจึงมาจากการเป็นพนักงานในร้านกาแฟ
และแน่นอนว่าที่นี่ไม่มีใครรู้เรื่องของเขานอกจากคยองซู เพราะถ้าขืนเปิดปากออกไป.. มีหวังคงถูกมองด้วยสายตาดูแคลนไม่ต่างจากตอนที่อยู่ในมหาวิทยาลัย
ในชั้นปีของจุนมยอนนั้นมีเพื่อนร่วมชั้นแค่ 32 คนเท่านั้น
คนพวกนั้นเกลียดจุนมยอนไปแล้ว 10 คนเพราะรู้ว่าเด็กหนุ่มทำงานแบบนี้
อีก 15 คนเลือกที่จะไม่คุยกับจุนมยอนเพราะเห็นว่าเขาหน้าตาดีกว่า
พูดง่ายๆ ก็คือ 15 คนนี้หมั่นไส้จุนมยอนนั่นเอง อีก 5
คนเป็นพวกไม่สนใจเพื่อนในห้องเรียนและไม่เอากิจกรรม
แน่นอนว่าพวกนั้นจึงไม่สนิทกับจุนมยอน อีก 1 คนเป็นเด็กเนิร์ดที่บางทีก็คุยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง
ส่วนอีก 1 คนที่เหลือก็คือคยองซู และแน่นอนว่าจุนมยอนรู้สึกผิดมาตลอดที่ทำให้คยองซูกลายเป็นคนไม่มีเพื่อนไปด้วยเพราะเด็กหนุ่มตาโตเลือกที่จะมาคบกับคนทำงานแปลกๆ
แบบเขา
แต่คยองซูไม่เคยสนใจสายตาและคำดูแคลนที่คนพวกนั้นส่งมาให้เขากับจุนมยอน
เขายอมรับว่าครั้งแรกที่จุนมยอนสารภาพว่าตนเองรับงานแบบนี้ เขาเองก็ตกใจไม่น้อยเลย
เพราะสำหรับคยองซูนั้นเรื่องไซด์ไลน์เป็นเรื่องไกลตัวมาก
พอได้รับรู้ว่ามีคนใกล้ตัวทำงานแบบนี้ เด็กหนุ่มจึงตกใจแต่ก็เลือกที่จะเดินหน้าต่อ
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเข้าใจเหตุผลของจุนมยอนและรับรู้ว่าจุนมยอนไม่ได้ยึดอาชีพนี้เป็นหลัก
เขาก็แค่ทำตอนขัดสนจริงๆ ซึ่งถ้าหากคยองซูเกิดมารวยและมีเงินมากพอที่จะให้จุนมยอนยืม
แน่นอนว่าเขาจะไม่ปล่อยให้จุนมยอนไปรับงานพวกนั้นอย่างเด็ดขาด
“คยองซู มาหลังร้านหน่อยสิ.. ช่วยยกของพวกนี้ไปทีรถที”
เสียงของผุ้จัดการร้านเดินมาเรียกโดคยองซูให้ไปช่วยงาน
คยองซุจึงพยักหน้ารับแต่จุนมยอนก็ทำท่าจะเดินไปด้วย
เจ้าของดวงตากลมโตจึงรีบหันกลับมาปรามทันที
“นายอยู่ตรงนี้ล่ะ
เฝ้าเค้าเตอร์เอาไว้เดี๋ยวฉันไปช่วยเข้าเอง”
“อื้อ”
จุนมยอนพยักหน้าและมองตามเพื่อนที่กำลังเดินหายไปทางหลังร้าน
จุนมยอนเอนกายพิงกับบาร์เครื่องดื่มเพื่อรอรับลูกค้าคนใหม่ เขามองออกไปยังด้านนอกของร้าน
พบว่าตะวันกำลังจะตกดินในอีกไม่กี่นาที เพราะนี่ก็เริ่มจะมืดแล้ว
กริ๊ง..
“ยินดีต้อนรับครับ”
เมื่อเสียงกระดิ่งที่ประตูดัง
นั่นหมายความว่ามีลูกค้ากำลังเข้ามาในร้าน
ทำให้จุนมยอนขานต้อนรับโดยอัตโนมัติเพราะเขาทำแบบนี้ประจำมาตลอดปีกว่า
เด็กหนุ่มเดินกลับยืนตรงเค้าเตอร์
กระทั่งสายตาเหลือบมาเห็นว่าคุณลูกค้าคนนี้เป็นใคร
เขาถึงกับเผยรอยยิ้มกว้างออกมาอย่างควบคุมไม่ได้
“คุณคริส”
“เจอกันอีกแล้วนะ”
“ครับ บังเอิญจังเลยแฮะ”
จุนมยอนเผลอหลบตาชายตรงหน้า
อาการต้านทานสายตาของคนที่เราชอบไม่ไหวมันเป็นแบบนี้นี่เอง เด็กหนุ่มพยายามควบคุมรอยยิ้มและอาการเห่อร้อนบนหน้าของเขาให้เป็นปกติโดยการเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“รับอะไรดีครับ? เครื่องดื่มหรือเบเกอรี่ หรือว่าจะรับทั้งสองอย่างเลย?”
“วันนี้อยากกินเค้กอร่อยๆ สักชิ้น
เลือกให้หน่อยได้ไหม? ปกติฉันไม่ค่อยกินของหวานก็เลยไม่รู้ว่าควรจะกินอันไหนดี”
“แล้วทำไมวันนี้ถึงอยากกินล่ะครับ?
มีอะไรพิเศษหรือเปล่า?”
“เปล่า ก็แค่.. อ่านเจอในอินเตอร์เน็ตว่าของหวานจะช่วยลดความเครียดได้”
“เครียดงั้นเหรอครับ?”
“อืม วันนี้ทำงานเยอะไปหน่อยน่ะ ก็เลย..”
“เข้าใจแล้ว ถ้างั้นรอสักครู่นะครับ ผมจะพยายามหาอันที่อร่อยที่สุดให้”
จุนมยอนพูดและเดินหนีไปที่ตู้เบเกอรี่ทันทีโดยที่ไม่เห้นว่าคริสนั้นเผยรอยยิ้มจางๆ
ออกมา “คุณชอบผลไม้หรือเปล่าครับ? หมายถึงสตรอเบอร์รี่ ส้ม อะไรแบบนี้”
“สตรอเบอร์รี่ก็พอได้อยู่”
“งั้นเอานี่แล้วกันนะครับ”
จุนมยอนเปิดตู้ออกและหยิบเอาเบเกอรี่ซึ่งอัดแน่นไปด้วยครีมและสตรอเบอร์รี่ชิ้นใหญ่มาโชว์ให้คุณลูกค้าที่กำลังยืนรออยู่หน้าเค้าเตอร์ดู
“จะรับกี่ชิ้นดีครับ?”
“ขอสองเลยแล้วกัน
มันดูน่ากินจนฉันคิดว่าชิ้นเดียวคงไม่พอ”
“ฮ่ะๆ”
จุนมยอนหัวเราะออกมา
เขาเอาเจ้าเค้กสตรอเบอร์รี่นั่นไปห่อใส่กล่องลายน่ารักอย่างระมัดระวัง
ก่อนจะนำมันมาส่งให้ชายร่างสูงในชุดสูทสีดำเหมือนที่เขาเคยเห็นจากสองครั้งก่อน
กล่องลายน่ารักนั่นดูจะไม่เข้ากับคริสเท่าไหร่ยามที่เขาถือมันไว้ในมือ
มันดูขัดกับลุคเจ้าของบริษัทผู้เกลียดงานสังคม จุนมยอนจัดการคิดเงินให้เรียบร้อย
ส่งแบล็คการ์ดคืนให้กับคริสโดยไม่ลืมที่จะส่งรอยยิ้มกลับไปด้วย
“ปกติทำงานประจำที่นี่เหรอ?”
“ครับ ปกติผมทำงานที่นี่กับเพื่อน ส่วนงานนั้น.. นานๆ ทีจะรับครับ”
“อ๋อ” คริสพยักหน้า
เขาสอดส่องสายไปทั่วบริเวณร้าน พบว่าจุนมยอนคิดถูกแล้วที่มาทำงานในคาเฟ่ต์น่ารักๆ
แบบนี้ มันดูปลอดภัยต่างจากไนต์คลับเป็นสิบเท่า แถมยูนิฟอร์มของพนักงานก็ดูจะเหมาะกับจุนมยอนมากกว่าเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวบางนั่นอีก
“แล้ววันนี้นายรับงานหรือเปล่า?”
“ครับ?”
“ถ้ารับ.. ฉันจะรออยู่ที่ลานน้ำพุ
เลิกงานแล้วไปเจอกันที่นั่นก็แล้วกัน แต่ถ้าไม่รับก็ไม่เป็นไร”
คริสพูดแค่นั้นก่อนจะเดินออกไปตรงนั้น
ปล่อยให้จุนมยอนยืนค้างอยู่คนเดียวโดยที่ยังไม่ทันจะได้ตอบคำถามของคริส
ตอนนี้ในหัวของเด็กหนุ่มเริ่มทำการประมวลผล มันมีแต่คำว่า
‘ทำยังไงดีๆๆ’ วิ่งอยู่ในหัวเต็มไปหมด
เพราะเขาเคยบอกกับตัวเองว่าเขาจะไม่รับงานพร่ำเพรื่อ จะไม่แตะงานนี้อีกถ้าหากไม่มีความจำเป็น
ตอนนี้เขาก็ไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินแต่อย่างใด
เพราะเม็ดเงินที่จงอินเพิ่งโอนมาให้เมื่อเช้าก็นับว่ามากโขพอสมควร แต่ในเมื่อ..
จุนมยอนกลัวว่าจะไม่ได้เจอคริสอีกหากไม่ตอบตกลง เขากลัวโอกาสจะหลุดลอยและใครๆ
ต่างก็พูดว่าเมื่อโอกาสมาถึงแล้วเราไม่ควรปล่อยให้หลุดไปจากมือ
เช่นนั้นแล้วจุนมยอนจึงต้องตัดสินใจ…
“คยองซู วันนี้ไม่ไปกินปิ้งย่างแล้วได้ไหม?”
- - - - - - - - - - - - - - -
“อ๊ะ.. อ๊า… คุณคริส..
อื้อ”
“อา.. เค้กสตรอเบอร์รี่นี่.. ช่วยให้หายเครียดได้จริงๆ”
“มันเลอะโซฟาไปหมดแล้วนะครับ เสียดายของออก.. อื้อ”
“เป็นเพราะนายเอาแต่ดิ้นไปมานั่นล่ะ อา.. กระแทกลงมาจุนมยอน
หรือจะให้ฉันเป็นคนกระแทกนายเอง”
“ม.. ไม่เอา พอแล้ว ผมเหนื่อยแล้ว”
ขณะนี้เป็นเวลาเกือบห้าทุ่มตรงแล้ว
จุนมยอนยกเลิกนัดของคยองซูและเลื่อนมันไปเป็นพรุ่งนี้แทน กระทั่งเมื่อถึงเวลาเลิกงานปุ๊บ
คนตัวเล็กก็รีบบอกลาเพื่อนกับผู้จัดการและวิ่งออกจากร้านปั๊บ ทำเอาคยองซูสงสัยนิดหน่อยว่าจุนมยอนนั้นจะรีบไปไหน
แต่เพราะเพื่อนตัวขาววิ่งไปไกลแล้ว คยองซูจึงได้แต่เก็บคำถามของเขาเอาไว้ในใจ
ไม่ทันไรจุนมยอนก็วิ่งมาถึงลานน้ำพุใจกลางเมือง
ซึ่ง ณ ตอนนั้นเป็นเวลาสี่ทุ่มเศษๆ
แต่ก็ยังมีคนเดินพลุกพล่านราวกับพวกเขาไม่เคยหลับใหล ขณะเดียวกันเขาก็มองเห็นใครบางคนในชุดสูทนั่งอยู่บนขอบลานน้ำพุโดยมีกล่องเบเกอรี่วางอยู่ข้างๆ
ตัว จุนมยอนจึงเดินเข้าไปหาชายคนนั้นก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมาและส่งรอยยิ้มให้
คริสพาจุนมยอนมาที่เพ้นท์เฮ้าส์ส่วนตัวของเขา
อันซึ่งเป็นบ้านที่ตนใช้พักผ่อนมานานนับหลายปี
เขาไม่เคยให้ใครมาเหยียบที่นี่นอกจากเลย์กับจงอินและซูฮยอก
และแน่นอนว่าจุนมยอนคือคนแรกที่คริสพาเข้ามาก่อนจะพาคนตัวเล็กมาเล่นสนุกอยู่ในห้องรับแขกบนตึกสูงระฟ้า
โดยมีเจ้าเค้กสตรอเบอร์รี่เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการเล่นสนุกครั้งนี้
บนลำตัวของจุนมยอนถูกแต่งแต้มเอาไว้ด้วยครีมสีขาว
บางทีก็เป็นจุดใหญ่
บางทีก็เป็นปื้นเพราะถูกร่างสูงใช้ลิ้นจัดการชิมรสไปแล้วเรียบร้อย
และแน่นอนว่าเจ้าครีมพวกนี้เปรอะเปื้อนโซฟาของคริสไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“อะ.. อา.. อา
จุนมยอน”
คริสดันจุนมยอนจนหลังของเด็กน้อยติดโซฟา
และทันใดนั้นจุนมยอนก็ได้สังเกตเห็นการกระทำบางอย่างที่ผิดแปลกไป
และมันทำให้เขานึกถึงคำเตือนของจงแด เมื่อมือข้างหนึ่งของคริสย้ายขึ้นมาจับเข้าที่ลำคอขาวของจุนมยอนเอาไว้
ก่อนจะออกแรงกดราวกับไม่ต้องการให้จุนมยอนดิ้นหนีไปไหนได้อีก
จุนมยอนไม่รู้ว่าคริสตั้งใจหรือกำลังเผลอไผลเพราะไม่มีสติ
เนื่องจากร่างสูงกำลังตกอยู่ในห้องอารมณ์ เขาหลับตา สูดปากสูดคอ
ส่งเสียงครางออกมายามใกล้ถึงสรวงสวรรค์ ขยับบั้นเอวระรัวจนจุนมยอนอดเก็บเสียงร้องนั้นไม่ไหว
กระทั่งคนตัวสูงปล่อยของเหลวสีขาวออกมาเต็มอุปกรณ์ป้องกัน
เขาจึงคลายมือซึ่งบีบลำคอของจุนมยอนออกราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เขาเลื่อนไปชิมครีมที่ติดอยู่บนต้นแขนของจุนมยอนก่อนจะจูบริมฝีปากของคนตัวเล็กและต่อด้วยการซุกไซร้ลำคอ
“พรุ่งนี้ทำอะไร?”
ร่างสูงถามพลางถอนกายออกจากช่องทางซึ่งเปียกชื้นไปด้วยเจลหล่อลื่น
“พรุ่งนี้เรียนแล้วก็ทำงานครับ”
“นายทำงานทุกวันเลยเหรอ?”
“แค่วันพุธถึงวันเสาร์ครับ
นอกนั้นก็คือได้หยุดพักสองวัน” จุนมยอนตอบ ในขณะที่คริสเปลี่ยนตำแหน่งไปนั่งข้างๆ
จุนมยอนแทน เขาโน้มตัวลงข้างหน้าและหยิบเค้กสตรอเบอร์รี่ที่เหลืออยู่อีกหนึ่งชิ้นขึ้นมา
“จุนมยอน..”
“ครับ?”
“ทำไมนายถึงต้องมาเป็นเด็กไซด์ไลน์ล่ะ ทั้งๆ
ที่นายก็ทำงานอยู่ที่คาเฟ่ต์ไม่ใช่เหรอ?”
“…”
“ขอโทษที่ถามนะ
แต่ฉันก็แค่อยากจะรู้จักนายให้มากกว่านี้”
“ไม่เป็นไรครับ” จุนมยอนส่ายหัว “ตอนนั้นผมเลือกเข้ามาทำก็เพราะว่าผมไม่มีเงิน
ผมไม่มีครอบครัว ผมเข้ามาในโซลเพราะอยากเรียนต่อ แต่ไม่เคยประมาณตัวเองเลย
ผมรู้ว่าตัวเองไม่มีเงินแต่ก็ยังดันทุรัง
ก็เลยตัดสินใจมาทำงานนี้เพราะเห็นว่ามันได้เงินเยอะดีก็แค่นั้นเอง”
“แล้วนายเข้ามาในวงการนี้ได้ยังไง?
นายรู้จักมันด้วยตัวเองเหรอ?”
“เพื่อนเป็นคนแนะนำครับ พอเพื่อนบอก.. พวกเราก็เลยลองโพสรูปลงบนอินเตอร์เน็ตก่อน
ยังไม่ทันข้ามคืนก็มีคนติดต่อมา
แล้วหลังจากนั้นผมก็รับงานไปหลายงานเพราะต้องรวบรวมเงินมาจ่ายค่าเทอม
พอจ่ายค่าเทอมเสร็จผมก็ลบข้อมูลพวกนั้นทิ้ง แต่ว่าตอนนี้ก็ยังมีคนติดต่อเข้ามาเรื่อยๆ
ผ่านทางเพื่อนผมน่ะครับ ผมก็จะรับบ้างเป็นบางทีถ้าหากผมร้อนเงิน
แต่มันก็น้อยครั้งจริงๆ ครับ เพราะผมโตขึ้นแล้วก็รู้จักวางแผนเรื่องเงินแล้ว
มันก็เลยไม่ค่อยขัดสนเหมือนแต่ก่อนแล้ว”
“แล้ววันนั้นทำไมนายถึงตอบรับไอ้จงอินมันล่ะ?”
“คุณจงอินเคยจ้างผมไปนั่งเล่นด้วยกันหลายครั้งครับ
เขาจ่ายผมหนักทุกครั้งแม้ว่าเราจะไม่ได้มีอะไรกัน ผมก็เลยรู้สึกเกรงใจ
พอวันนั้นที่คุณจงอินติดต่อมาผมก็เลยตัดสินใจรับเพราะไม่อยากให้คุณจงอินลำบากใจ”
“แล้วไอ้จงอินมันได้บอกก่อนไหมว่านายต้องทำอะไรบ้าง?”
“บอกครับ”
“จงอินมันจ่ายให้นายไปเท่าไหร่?”
“ก็เยอะครับ มากพอที่จะซื้อโทรศัพท์รุ่นท็อปๆ ได้อีกเครื่อง”
“แล้วนายเคยคิดจะเลิกทำงานนี้บ้างไหม?”
“คิดฮะ คิดมาตลอด หลังๆ มานี้ผมปฏิเสธหมดทุกงาน
ไม่ว่าจะแค่ไปนั่งกินข้าว ไปดูหนัง ไปนั่งดื่ม หรือแม้แต่เข้าโรงแรมด้วยกัน
ผมเหนื่อยแล้วผมก็ละอาย จนกระทั่งมาเจองานของคุณจงอินนี่ล่ะ”
“…”
“คุณรังเกียจผมเหรอฮะ?”
“เปล่า ฉันแค่อยากรู้จักนายอย่างที่บอกไป
เพราะฉันก็ตกใจเหมือนกันตอนที่เห็นนายในคลับวันก่อน”
คริสพูดก่อนจะหันไปมองเด็กน้อยที่กำลังมองเขาตาละห้อย ดวงตาของจุนมยอนคล้ายกับกำลังอ้อนวอน
ไม่อยากให้คริสกลายมาเป็นอีกคนที่พลอยรังเกียจเขาเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ในคณะ “ต้องขอโทษด้วยนะที่วันนั้นฉันพูดจาไม่ดีกับนาย
ฉันไม่ได้ตั้งใจ จู่ๆ มันก็พูดออกไปเอง”
“ไม่เป็นไรครับ”
ครืด.. ครืด..
เสียงสั่นเตือนของโทรศัพท์ทำให้คริสและจุนมยอนหันไปมองหา
ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นโทรศัพท์ของคริสที่กำลังสั่นแจ้งเตือนจากสายเข้า
ร่างสูงจึงเอื้อมไปหยิบสูทที่ตกอยู่บนพื้นก่อนจะหยิบเอาโทรศัพท์ออกมาดูชื่อคนโทรเข้า
พบว่าเป็นซูฮยอกลูกน้องคนสนิทอีกตามเคย
“ว่าไงซูฮยอก โทรมาดึกดื่นเชียว”
“คุณคริสครับ คุณบล็อกเบอร์ของคุณผู้หญิงเหรอ?
คุณผู้หญิงบอกผมว่าเธอโทรหาคุณไม่ติดก็เลยต้องติดต่อมาหาผมแทน
เธอบอกว่าพรุ่งนี้จะเข้าไปพบคุณตอนบ่าย อยากให้คุณอยู่รอรับครับ”
“บอกเธอไปว่าสัปดาห์นี้ฉันไม่รับแขก แล้วก็อย่าพยายามที่จะติดต่อฉันอีก
ฉันกับเธอไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว”
“แต่คุณคริสครับ.. ผมพูดแบบนั้นไม่ได้จริงๆ
ผมคิดว่าคุณจะรับสายเธอสักหน่อยนะครับ”
“นายไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉันนะซูฮยอก
นายก็น่าจะรู้ว่าฉันไม่เคยคิดจะญาติดีกับผู้หญิงคนนั้น เพราะงั้นนี่คืออีกหนึ่งหน้าที่ของนายที่จะต้องกันเธอออกไปให้อยู่ห่างจากฉันมากที่สุด
ถ้าแค่นี้นายทำไม่ได้ก็ไปลาออกซะ”
“คุณคริส ใจเย็นๆ สิครับ
ผมเองก็โดนคุณผู้หญิงขู่มาเหมือนกัน”
“ฉันไม่สน นายจะหาว่าฉันงี่เง่าหรืออะไรก็ตาม
แต่พรุ่งนี้ห้ามให้ฉันเห็นหรือได้ยินว่าผู้คนนั้นมาเหยียบที่บริษัทของฉันอีก
เข้าใจไหม? ไม่อย่างนั้นนายก็ไปเซ็นต์ใบลาออกซะ
หรือไม่ก็ฉันก็จะเขียนจดหมายลาออกให้นายเอง”
“คุณคริสครับ เดี๋ยว…”
คริสตัดสายของซูฮยอกทิ้งและปิดเครื่องมือสื่อสารของเขาทันที
เขาหลับตาลงเพื่อข่มความไม่พอใจเอาไว้
แต่จุนมยอนนั้นกลับมองเห็นหางคิ้วซึ่งกระตุกขึ้น เด็กหนุ่มที่กำลังเม้มปากแน่นจึงไม่กล้าพูดจาอะไรออกไปเพราะกลัวจะไปทำให้ร่างสูงอารมณ์เสียหนักมากกว่าเดิม
เค้กสตรอเบอร์รี่ชิ้นโตถูกหยิบขึ้นมากัด
คริสหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามันจะช่วยทำให้อารมณ์ขุ่นมัวของเขาจางลงไปได้
“ทำไมพูดแรงขนาดนั้นล่ะครับ? น่าสงสารเขาออก..” จุนมยอนพูด
แต่พอเจอสายตาดุๆ ของคริสหันกลับมามอง ร่างเล็กก็รีบงับปากและกลืนคำพูดทุกอย่างลงคอทันที
เด็กหนุ่มมีทีท่าเลิกลักอย่างเห็นได้ชัด และนั่นทำให้คริสรู้ว่าเขาไม่ควรจะพาลมาอารมณ์เสียใส่คนอื่น
“เรื่องปกติ
หมอนั่นรู้ว่าฉันมักจะเป็นแบบนี้ถ้าฉันได้ยินชื่อของคนที่ฉันไม่พึงประสงค์จะได้ยิน”
“แต่คุณก็ไม่น่าไปไล่เขาแบบนั้น เขาคงเสียใจน่าดู”
“ซูฮยอกไม่ใช่เด็ก 5 ขวบนะ หมอนั่น 25
แล้ว อีกอย่างฉันพูดคำนี้มาเป็นร้อยครั้งแล้ว แต่ฉันก็ไม่เคยไล่เขาออกเลยสักครั้ง
เขาคงชินกับคำขู่พวกนี้แล้วล่ะ”
“เขาอดทนกับคุณมาแล้ว 100 ครั้ง
แต่ไม่แน่ครั้งนี้เขาอาจจะไม่ทนอีกต่อไปแล้วก็ได้”
“นี่นายจะงัดกับฉันให้ได้เลยใช่ไหมคิมจุนมยอน?”
“เปล่าครับ ผมแค่ไม่อยากให้คุณพูดจาไม่ดีใส่คนอื่นแบบนี้
คนฟังเขาเสียใจนะครับ”
“…”
คริสไม่ได้ตอบอะไรนอกจากถอนหายใจเบาๆ มันก็จริงอย่างที่จุนมยอนบอก
ซูฮยอกอาจจะทนมานานแล้ว และครั้งนี้เขาอาจจะไม่ทนกับการต้องมารองรับอารมณ์แปรปรวนของคริส
และคริสเองก็ไม่มีสิทธิ์ไปข่มขู่ซูฮยอกแบบนั้น มันช่างเป็นนิสัยอันเลวร้ายที่คริสแก้ไม่หายเสียที
“ห้องน้ำไปทางไหนเหรอครับ? ผมจะไปอาบน้ำ
ผมรู้สึกเหนอะตัวไปหมดแล้ว”
“เดี๋ยวสิ..” เมื่อจุนมยอนทำท่าจะลุกขึ้น
ร่างสูงก็รีบเอื้อมมือไปคว้าแขนเล็กเอาไว้ “ฉันยังกินไม่หมดเลย รอฉันก่อนสิ”
“คุณจะไปอาบน้ำกับผมงั้นเหรอ?”
“อืม ฉันจะอาบด้วย”
จุนมยอนกำลังสนุกสนานอยู่กับการอ่านเว็บตูนบนโทรศัพท์
ในขณะที่ลาดไหล่ของเขาถูกริมฝีปากหนาไล่จูบวนซ้ำไปมาจากด้านหลัง
เด็กหนุ่มเอียงหัวนิดหน่อยเพื่อให้ร่างสูงจูบถนัดขึ้น
แต่ดูเหมือนว่าจูบของคริสจะไม่สามารถดึงดูดความสนใจจากร่างเล็กได้
“ในโทรศัพท์นั่นมีดีอะไรนักหนาเหรอ?
นายถึงได้เอาแต่หัวเราะไปกับมัน”
“ก็การ์ตูนเรื่องที่ผมชอบมันเพิ่งอัพนี่นา”
“เอาไว้อ่านก่อนนอนก็ได้ไม่ใช่เหรอ?”
“ไม่ได้ครับ ผมน่ะ.. หัวถึงหมอนทีไรก็หลับทันที
แถมยังหลับเป็นตายด้วย”
“หึ..” คริสส่งเสียงในลำคอ
และสุดท้ายเขาก็ใช้มือเปียกๆ
ของเขามาคว้าโทรศัพท์ออกจากมือของจุนมยอนและวางมันเอาไว้บนขอบอ่างทางด้านหลังของเขา
“อยู่กับฉันก็ต้องห้ามสนใจสิ่งอื่นๆ นอกจากฉัน”
“เผด็จการ”
“แล้วชอบไหมล่ะ?”
“ฮ่าๆ ถามอะไรแบบนั้นล่ะครับ”
จุนมยอนหัวก่อนจะเอนกายพิงหลังไปกับอกแกร่งของคริส
ปล่อยให้ร่างสูงใช้มือลูบไล้ต้นขาของเขาอยู่ใต้ผืนน้ำ
ในขณะที่จุนมยอนนั้นคว้าเอาฟองสบู่มาเป่าเล่น “วันนี้คุณจะไปส่งผมที่หอพักใช่ไหม?”
“มันดึกแล้ว นอนที่นี่ล่ะ”
“นอนได้ด้วยเหรอครับ?”
“อืม” คริสตอบออกมาสั้นๆ
เขาก้มลงจูบขมับเด็กน้อยเบาๆ
ก่อนจะกระซิบอะไรบางอย่างที่ทำให้จุนมยอนหลุดยิ้มออกมา “คืนนี้ฉันต้องการคนนอนกอด”
“ว่าไงนะ?”
“ฉันอยากได้คนนอนกอด”
“อยากให้ผมนอนกอดคุณงั้นเหรอ?
ถ้างั้นคุณก็ต้องขอร้องผมสิ ไม่ใช่มามัดมือชกกันดื้อๆ แบบนี้” จุนมยอนงอแง
เขาดันตัวออกจากอ้อมกอดของคริส แล้วจึงเห็นว่าร่างสูงกำลังยิ้มบาง
แต่สายตาของเขาช่างเจ้าเล่ห์เหลือเกิน
“…”
“พูดสิครับ”
“พูดอะไร?”
“อ้อนผม”
“ห๊ะ?”
“บอกผมสิว่าคุณอยากให้ผมนอนกอด พูดแบบสุภาพๆ
ไม่เอาแบบหยาบกระด้าง ห้วนๆ ไม่มีหางเสียงแบบที่คุณกำลังทำอยู่ตอนนี้”
“ฉันพูดไม่เป็น” คริสยิ้มและเบนหน้าหนี
แต่ก็ยังมิวายโดนจุนมยอนขยับเข้ามาใกล้พลางใช้มือยืดแก้มของเขาจนคริสร้องออกมา “อะๆ.. เจ็บนะ อย่าทำแบบนี้สิ”
“ก็คุณปากแข็งอ่ะ
ต้องยืดปากยืดแก้มให้มันอ่อนลงสักหน่อยจะได้พูดเพราะๆ เป็น”
“เกี่ยวกันตรงไหนเนี่ย?”
“พูดสิครับ แค่นี้เองนะ.. ทีผมยังปล่อยให้คุณเอาครีมมาละเลงตัวผมเลย”
คำพูดของจุนมยอนทำให้คริสหลุดหัวเราะออกมาทันที เขาส่ายหัวพัลวันพลางเม้มปาก
สายตาจ้องมองจุนมยอนอย่างเจ้าเล่ห์
เขาปล่อยให้จุนมยอนรออยู่เกือบนาทีแล้วจึงพูดออกมาสั้นๆ
“นอนด้วยกันนะ”
“ว่าไงนะ? ผมไม่ได้ยิน”
“นอนด้วยกันนะ”
“พูดดังๆ หน่อยสิ พูดด้วยความดัง 1 เดซิเบลแบบนั้นใครจะไปได้ยิน
พูดให้มดฟังหรือไงฮะ? เฮ้ยยย!.. คุณคริส!” จุนมยอนยังบ่นไม่ทันขาดคำเขาก็ถูกแขนแกร่งคว้ากายเข้าไปหา
ทำเอาน้ำในอ่างขนาดใหญ่กระเพื่อมสาดลงพื้นจนเปียกไปทั่วบริเวณ
ขณะเดียวกันคริสก็ล็อกคอร่างเล็กเอาไว้ด้วยแขนสีคล้ำแดดของเข
“นอนด้วยกันนะ” คริสกระซิบลงที่ข้างหูคนตัวเล็ก
เด็กหนุ่มจึงย่นคอหนีเพราะลมหายใจร้อนที่เป่ารดลงมา
บวกกับความเขินอายที่มีอยู่เป็นทุนเดิม
“ก็.. ก็ได้ โอเค.. คืนนี้ผมจะนอนด้วย”
“พอใจแล้วสินะ ทีนี้ก็นั่งเฉยๆ ได้แล้ว”
“อื้อ” จุนมยอนพยักหน้า ตอนนี้เขากลายเป็นลูกแมวสุดเชื่องที่กำลังปล่อยให้คุณเจ้าของอาบน้ำให้อีกครั้ง เหนือผืนน้ำทุกอย่างดูปกติเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีเพียงแค่ชายสองคนกอดกันอยู่ในอ่าง แต่ใต้ผืนน้ำนั้นแตกต่าง เพราะมือหนากำลังลูบวนไปตามหน้าท้องของจุนมยอน
สำหรับคริส นี่มันเหมือนราวกับเป็นความฝันที่แสนสวยงามจนทำให้เขาไม่อยากจะตื่น เขาไม่เคยได้กอดใครและรู้สึกดีแบบนี้กับใครมาก่อน มันเหมือนกับภาพยนตร์ตะวันตกที่ตัวเอกกอดคนรักของเขาเอาไว้ในอ่างอาบน้ำ ปล่อยให้คนรักของเขาเอนกาบพักพิง พวกเขาจับมือกันและเลิกสนใจโลกภายนอก เพราะเขาต้องการที่จะอยู่ในโลกส่วนตัวที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเองกันแค่สองคน
“ผมชอบให้คุณยิ้มแบบที่คุณยิ้มเมื่อกี้”
“เหรอ?”
“อืม”
“งั้นก็อยู่ทำให้ฉันยิ้มแบบนี้ไปนานๆ สิ”
“หา? อยู่ทำให้คุณยิ้มไปนานๆ เหรอ?”
จุนมยอนหันไปทวนถามอีกหน และคำตอบที่ได้คือการที่คริสยักคิ้วให้ “อยู่ได้เหรอครับ?”
“ได้”
“จริงเหรอ?”
“จริง”
“…”
“แต่มีข้อแม้นะ”
“ข้อแม้อะไรเหรอครับ?”
“นายต้องหยุดรับงานทุกอย่าง เพราะต่อไปนี้ฉันจะเป็นคนดูแลนายเอง”
- - - - - - - - - - - - - - -
วันถัดมา
รถยุโรปคันสีดำเคลื่อนไปบนท้องถนน
แต่คราวนี้มันไม่ได้ตรงที่บริษัท W โดยตรงเหมือนวันก่อนๆ
เพราะเส้นทางที่รถกำลังแล่นอยู่ในตอนนี้คือทางไปมหาวิทยาลัย K ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยของเด็กหนุ่มตัวขาว
ผู้ที่กำลังนั่งอยู่เบาะหลังตรงริมหน้าต่าง
ซูฮยอกมองเห็นเด็กของคุณคริสกำลังจับจ้องไปบนท้องถนน
ในขณะที่เจ้านายของเขาเองกำลังยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่ม ซูฮยอกไม่รู้ที่มาที่ไปของเด็กคนนี้
แต่เขาคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้คงจะมีอะไรที่พิเศษว่าคนอื่นๆ
เพราะไม่มีใครเคยได้มาเหยียบบ้านของคริสและได้นอนค้างคืนด้วยกันแบบนี้
ยิ่งไปกว่านั้นคือคริสพามาส่งถึงมหาวิทยาลัย
นั่นนับว่าเป็นสิทธิพิเศษที่เหนือกว่าใครอื่นทั้งหมด
ไม่ทันไรรถยุโรปคันสีดำก็จอดเทียบฟุตบาธของมหาวิยาลัย
K เด็กหนุ่มจึงหันไปหาร่างสูงเจ้านายของซูฮยอกก่อนจะต้องบอกลา
“ผมไปแล้วนะ”
“เลิกเรียนแล้วโทรมาด้วยนะ ฉันจะรอ”
“ครับ ขอบคุณที่มาส่ง ไว้ผมจะโทรหาแล้วกัน”
“อืม” คริสพยักหน้าให้
มองดูจุนมยอนที่กำลังสะพายกระเป๋าเป้และกระชับเสื้อฮู้ดของเขา
ก่อนที่เด็กน้อยจะทำอะไรบางอย่างที่ทำให้คริสแทบคุมความเขินอายของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่
จุ๊บ..
“ไปแล้วนะครับ”
พูดจบก็รีบหนีความผิดจากการทิ้งบอมบ์ลูกใหญ่เอาไว้
จุนมยอนปิดประตูและวิ่งเข้ามหาวิทยาลัยไปทันที
ปล่อยให้คริสนั่งหน้าแดงอยู่ในรถอชคนเดียวโดยมีซูฮยอกแอบสังเกตการณ์จากการมองผ่านกระจกหลัง
เขาสาบานว่าเขาไม่เคยเห็นคริสเป็นแบบนี้มาก่อน
ไม่เคยเห็นเจ้านายพยายามควบคุมรอยยิ้มโดยการเม้มปากและแกว่งแก้วกาแฟในมือไปมา และถึงแม้ว่าเขาจะพยายามอดกลั้นเอาไว้มากแค่ไหน
แต่ดวงตาของเขานั้นแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่ากำลังมีความสุขเหลือเกิน
“ผมออกรถแล้วนะครับคุณคริส”
“อืม” คริสพยักหน้า
หลังจากนั้นรถยุโรปของเขาก็เคลื่อนตัวออกไปจากบริเวณมหาวิทยาลัย
และเริ่มเข้าสู่เส้นทางที่จะนำพาพวกเขาไปยังบริษัท W “ซูฮยอก”
“ครับ?”
“เวลาอยู่ต่อหน้าจุนมยอน นายห้ามหลุดปากเรื่องคลินิกจิตเวชออกมาเด็ดขาด
ฉันไม่อยากให้จุนมยอนรู้เรื่องนี้”
“เข้าใจแล้วครับ”
ตอนนี้สำหรับคริสแล้ว.. โจทย์ที่ยากกว่าบำบัดจิตใจให้หายเป็นปกติโดยไว
คือการปิดบังอย่างไรไม่ให้จุนมยอนรับรู้ถึงความผิดปกติเหล่านี้
- - - - - - - - - - - - - - -
@mmangmoom : ตอนที่ 2 มาแล้วเจ้าค่ะ ล่อแหลมเหลือเกินค่ะคุณพี่ หลังจากอ่านตอนแรกกันมาแล้วมีใครไปฟังเพลง time lapse - Taeyeon บ้างมั้ยคะ? รู้สึกยังไงกันบ้างเอ่ย? เพราะใช่มั้ยล่ะคะ 55555555 อย่าลืมติดแท็ก #KHtimelapse
กันนะคะ เรารออ่านอยู่น้าาา ฮือออ สำหรับตอนนี้คุณป๊ากับคุณม๊าก็ได้พัฒนาความสัมพันธ์ไปอย่างรวดเร็ว
กราบในความไวนี้ 555555555555
หากมีอะไรผิดพลาดต้องขออภัยด้วยนะคะ ส่วนคำผิดเราจะมาแก้พรุ่งนี้ค่ะ
วันนี้มิไหวแล้ว อยากแก้แต่ไม่ไหวแล้วจริงๆ ง่วงมากๆ
ก็เลยต้องเอามาลงก่อนแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาตามแก้ค่ะ
ขอบคุณที่ตามอ่านกันนะคะ
![นิยายแฟร์ 2024](https://image.dek-d.com/contentimg/2024/writer/assets/fair/07/reader_850x90.webp)
ความคิดเห็น