ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    (exo) KRiSHO FICTION by MMANGMOOM

    ลำดับตอนที่ #133 : ♡ Time Lapse (Chapter 2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 472
      20
      18 เม.ย. 61

    Time Lapse
    Kris x Suho








    “คุณคิดว่ามันจะมีทางหายไหม?”

     

    เสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความสงบของห้องรับรองคนไข้ มือของคริสถูกยกขึ้นมาบีบนวดขมับด้วยนิ้วชี้และนิ้วกลาง เขากดหมุนวนนิ้วพวกนั้นไปมาพลางหลับตาลงระหว่างรอคำตอบจากผู้เป็นแพทย์

    บรรยากาศของคลินิกจิตเวชแห่งนี้ดูเสมือนบ้านพักของคนปกติ รอบข้างเป็นตู้หนังสือ หน้าต่างบานสูงมีผ้าม่านสีแดงเข้มปิดกั้นสิ่งรบกวนภายนอก ภายในมีโต๊ะทำงานของแพทย์และโซฟารับรองผู้ป่วย ซึ่งคริสก็กำลังนั่งอยู่ในตอนนี้ เขาไขว่ห้าง วางแขนข้างหนึ่งไว้บนตัก ส่วนมืออีกข้างนั้นนวดขมับไปเรื่อยๆ

     

    “จริงๆ ผมคิดว่านี่ไม่ใช่อาการทางจิตหรืออะไรแบบนั้นหรอกนะ มันก็เป็นแค่รสนิยม ไม่ใช่คุณคนเดียวที่มีรสนิยมชอบความรุนแรงแบบนี้ แต่ยังมีอีกเป็นล้านคนข้างนอก เพราะงั้นคุณไม่ใช่คนที่ผิดแปลกหรืออะไร”

    “แต่ผมอยากจะบำบัด มันกัดกินตัวผมมานานหลายปีแถมยังรุนแรงมากขึ้นทุกที และผมคิดว่ามันอาจจะกระทบกับปัจจัยอื่นๆ เช่น มีคนเอาไปนินทา ทำให้คนรอบข้างเริ่มตีตัวออกห่างจากผมมากขึ้น”

    “ผมคิดว่าคุณควรบำบัดความเครียดและความกดดันในจิตใจของคุณก่อน สาเหตุที่ทำให้คุณมีรสนิยมแบบนี้มาจากความกดดันที่คุณได้รับตั้งแต่ยังเด็ก คุณจะรู้สึกแข็งแกร่งก็ต่อเมื่อเห็นคู่นอนของคุณเจ็บปวด ความรู้สึกเหล่านี้ล่ะคือปัญหา มันทำให้คุณกลายเป็นคนหลงใหลในความรุนแรงและชอบเจ็บปวด”

    “เรามากำจัดปัญหาในใจของคุณก่อนดีไหมครับ? แล้วหลังจากนั้นเราจะค่อยๆ บำบัดรสนิยมของคุณจนกว่าคุณจะหายขาด”

    “เอาอย่างนั้นก็ได้ครับ”

     

    คริสสบตาคนตรงข้าม สองมือที่ยังประสานกันอยู่บนหน้าตักบวกกับท่านั่งที่ไร้ชีวิตชีวาทำให้เขาดูเหมือนนักโทษ ซึ่งสิ่งที่จองจำเขาเอาไว้ไม่ใช่คดีอาชญากรรมหรืออะไรเทือกนั้น แต่เป็นความผิดปกติทางจิตใจต่างหาก มันจองจำร่างสูงราวกับขังเขาเอาไว้ในคุกล่องหนมาตลอด 29 ปี ค่อยๆ ประหารหัวใจดวงน้อยนี้ด้วยการกัดกินความรู้สึกและความสุขในร่างกายจนร่างสูงรู้สึกเหมือนตายทั้งเป็น

    ชายร่างสูงพอจะเดาออกว่าสาเหตุที่ทำให้เกิดความผิดปกติเหล่านี้มาจากไหน เขาพยายามลืมมันไปโดยใช้เวลานานหลายปีพอสมควร คริสพยายามรักษาจิตใจของตนด้วยตัวเอง เขาค้นคว้าหาข้อมูลและนำปรับใช้เอาในชีวิตประจำวันตลอดหลายปี ทว่ามันกลับไม่ช่วยอะไรเลยแม้แต่น้อย เพราะเมื่อถึงคราวต้องขึ้นเตียงกับคู่นอนเมื่อไหร่ สุดท้ายเขาก็ปล่อยให้สัญชาตญาณดิบกับรสนิยมที่แท้จริงออกมา มันไม่เคยหายขาดได้เลยสักครั้ง.. สุดท้ายแล้วร่างสูงก็ต้องมาพึ่งจิตแพทย์ เขาหวังว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายสำหรับการบำบัดจิตใจของเขาให้หายขาดเสียที

     

     

     

     

     

     

     

     

    สองชั่วโมงหลังการบำบัด

    การบำบัดในวันแรกนั้นไม่มีอะไรซับซ้อนเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นการถูกซักถามถึงเรื่องพื้นฐานครอบครัวและนิสัยในวัยเด็ก เพื่อให้แพทย์ได้นำข้อมูลพวกนี้ไปเป็นตัวช่วยในการวินิจฉัยและทำการรักษาต่อไป ทั้งนี้คริสใช้เวลาทั้งหมด 2 ชั่วโมงในการระบายสิ่งต่างๆ ออกมา ก่อนที่จิตแพทย์จะเอ่ยว่าวันนี้ขอพอเท่านี้ก่อน เพราะคริสดูเหนื่อยล้าจากการทำงานมากพอแล้ว ยิ่งต้องมาพูดถึงความหลังต่างๆ ในชีวิตมันกลับยิ่งดูดพลังงานของเขาไปจนเกือบหมด

    ชายตัวสูงเอนหลังพิงศีรษะเข้ากับพนักพิง เขาเลิกที่จะสนใจแสงสีข้างทางและหลับตาลง กรุงโซลในยามค่ำคืนไม่ได้น่าตื่นเต้นเท่าไหร่นักสำหรับคนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด ขณะเดียวกันชายคนขับรถซึ่งเป็นเลขาคนสนิทก็ได้เหลือบมองเจ้านายผ่านกระจกมองหลัง ซูฮยอกมองดูเจ้านายของเขาด้วยความเห็นใจ.. เขาทำงานกับคริสมา 4 ปีแล้ว ค่อนข้างได้รับรู้เรื่องราวต่างๆ ของผู้ชายคนนี้มามากพอสมควร เขารู้ดีว่าคริสต้องเจอกับอะไรบ้าง ทั้งยังเข้าใจดีว่าทำไมคริสจึงยังต้องอดทนอดกลั้นขนาดนี้

     

    “ซูฮยอก เดือนหน้าเราต้องไปต่างประเทศอีกแล้วใช่ไหม?”

    “ใช่ครับ บริษัทเครื่องจักรที่เยอรมันติดต่อมาว่าอยากให้คุณคริสเข้าไปเช็คงานที่โน่นสักหน่อย คุณคริสอยากไปพักผ่อนยาวๆ ไหมล่ะครับ? ผมจะได้จัดการเรื่องงานให้”

    “ก็ดีนะ ตั้งแต่ทริปที่ไปบาหลีกับพวกไอ้จงอินปีโน้น.. ฉันก็ไม่ได้ไปเที่ยวที่ไหนอีกเลย ถึงจะได้บินไปต่างประเทศบ่อยๆ แต่มันก็คือการไปทำงาน ฉันแทบจะไม่ได้พักร่างกายเลย”

    “งั้นคุณคริสอยากไปกี่วันดีล่ะครับ? ผมว่าสัปดาห์นึงกำลังดีเลยนะครับ ดูงาน 3 วัน เที่ยวอีก 4 วัน”

    “ฉันอยากจะไปนั่งหายใจทิ้งสัก 2 สัปดาห์”

    “ว่าไงนะครับ?”

    “ฉันเหนื่อยซูฮยอก ฉันอยากหนีคนที่นี่ไปพักสมองนานๆ หน่อย” คริสเอ่ยออกมาก่อนจะเปิดเปลือกตา เขามองเห็นซูฮยอกผ่านกระจกมองหลัง เห็นได้ชัดว่าสายตาของซูฮยอกนั้นดูประหลาดใจมากกับคำพูดของเขา “จัดการให้ฉันด้วยแล้วกัน แล้วถ้าใครมีปัญหา.. บอกให้เขาโทรมาคุยกับฉันโดยตรงได้ตลอด 24 ชั่วโมง”

    “อ่า.. ครับผม”

    “ส่วนนาย.. จะเที่ยวต่อหรือจะกลับก่อนก็ได้ ฉันไม่ห้าม”

    “ถ้าคุณคริสอยากให้ผมอยู่เป็นเพื่อนคอยจัดการเรื่องต่างๆ ให้เหมือนเดิม ผมก็จะอยู่ครับ”

    “ขอบใจ”

     

    ดูเหมือนว่าจะมีแค่ซูฮยอกเท่านั้นที่สามารถรองรับในทุกๆ ความแปรปรวนของคริสได้ เขาคอยทำหน้าที่ทุกอย่างตามที่เจ้านายของเขาออกคำสั่ง คนภายนอกมักมองว่าคริสเป็นคนนิสัยแข็งกระด้าง ชอบใช้อำนาจในการออกคำสั่งกับผู้คน ซึ่งซูฮยอกไม่ขัดต่อคำทัดทานพวกนั้น เพราะคริสเป็นถึงเจ้าของบริษัท แน่นอนว่าเขามีสิทธิ์ออกคำสั่งและสามารถไล่คนออกได้ยามเจอคนทำงานพลาด เขามีอำนาจล้นมือในทุกๆ เรื่อง แต่ก็น้อยครั้งที่คริสจะใช้อำนาจในทางที่ผิด

    อันที่จริงแล้วคริสเป็นพวกไม่ฝักใฝ่ในอำนาจ เขาไม่ชอบออกหน้าออกตา ไม่ชอบโชว์ความองอาจ เขาก็แค่ชอบการอยู่เฉยๆ ก้มหน้าก้มตาทำงานที่อยู่ในมือให้เสร็จเพราะไม่อยากเอางานกลับไปทำที่บ้าน ไปต่างประเทศเพื่อดูงานตามหน้าที่ วันเสาร์-อาทิตย์ก็นอนพักผ่อนอยู่บ้าน น้อยครั้งนักที่เขาจะไปออกงานสังคมให้ช่างภาพมาสาดแสงแฟลชเอารูปไปลงหนังสือพิมพ์

    ไม่นานซูฮยอกก็พาเจ้านายของเขามาส่งที่หน้าตึกสูงระฟ้า เขาเดินลงจากรถพร้อมกับผู้เป็นนาย ก่อนจะส่งรอยยิ้มให้เหมือนที่เคยทำมาตลอดทุกวัน

     

    “คุณคริสจะเอารถไปจอดเองใช่ไหมครับ?”

    “อืม ฉันจัดการเองได้ นายไปเอารถของนายเถอะ.. ป่านนี้อึนบยอลคงร้องหานายแย่แล้ว”

    “ครับ อาจจะเป็นอย่างที่คุณว่าก็ได้”

    “พรุ่งนี้ไม่ต้องรีบมานักหรอก ไปส่งลูกที่โรงเรียนให้เสร็จเรียบร้อยแล้วค่อยเข้าบริษัทก็ได้ เพราะฉันเองก็ว่าจะเข้างานสายเหมือนกัน”

    “ครับผม ตามนั้นก็ได้ครับ”

    “งั้นฉันไปล่ะ ขอบคุณที่ช่วยจัดการเรื่องต่างๆ ให้นะ”

    “ยินดีครับ เจอกันพรุ่งนี้นะครับคุณคริส”

    “เจอกัน”

     

    เมื่อซูฮยอกโค้งให้ คริสจึงส่งรอยยิ้มจางๆ กลับไป เขากลับขึ้นไปอยู่บนรถยุโรปคันเดิม แต่คราวนี้คริสต้องทำหน้าที่เป็นคนขับ เพราะเขากับซูฮยอกต้องแยกกัน ณ ตรงนี้ ซูฮยอกจะกลับไปเอารถของเขาซึ่งจอดไว้ที่หน้าตึกและตรงกลับบ้าน ส่วนคริสจะนำรถขึ้นไปจอดบนที่จอดส่วนตัวที่ทางอาคารจัดไว้ให้

    รถยุโรปถูกขับออกขึ้นไปบนอาคารจอดรถ ในหัวคริสถูกเติมแต่งไปด้วยภาพครอบครัวสุขสันต์ของซูฮยอกเลขาคนสนิท เขาแต่งงานเมื่อสี่ปีที่แล้วและมีลูกสาววัยกำลังน่ารัก ซึ่งคริสเองก็มีโอกาสได้พบเจออยู่บ่อยครั้ง ทั้งยังได้ทำหน้าที่เป็นคุณลุงคอยซื้อของเล่นไปให้อยู่บ่อยๆ แน่นอนว่าอึนบยอลเป็นเจ้าหญิงตัวน้อยคนแรกที่ทำให้คุณลุงคริสใจละลาย จากที่ไม่เคยยุ่งกับเด็กแต่ก็ยอมอุ้มเจ้าหญิงตัวน้อยที่กำลังหลับคอพับคออ่อนอยู่บนไหล่ไปส่งที่บ้านพัก ในตอนที่พวกเขาจัดงานเลี้ยงบริษัทที่ฮาวายซึ่งซูฮยอกได้พาครอบครัวไปด้วย

    พอเห็นครอบครัวของซูฮยอกแล้ว.. ร่างสูงก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอยากมีกับเขาบ้าง หากแต่มันคงจะเป็นไปไม่ได้สำหรับคริส เพราะว่าเขาไม่ได้พึงที่จะแต่งงานในตอนนี้ พูดง่ายๆ ก็คือคริสยังไม่พร้อมที่จะแต่งงาน เขายังมีงานต้องรับผิดชอบ มีสิ่งที่อยากทำอยู่หลายอย่าง และเขายังไม่เจอคนที่ใช่ เพราะงั้นเรื่องแต่งงานจึงตกไปเป็นเรื่องสุดท้ายที่เขาคิดจะทำในตอนนี้ แต่ถ้าพูดถึงเรื่องลูก.. แน่นอนว่ามันคือความฝันของมนุษย์ทุกคน ซึ่งคริสเองก็เป็นหนึ่งในนั้นที่ฝันอยากจะมีครอบครัวสุขสันต์เพื่อมาเติมเต็มในส่วนที่ขาด และถ้าหากว่าคริสจะต้องมีลูกจริงๆ เขาจะเลี้ยงเด็กคนนั้นให้ดีที่สุด

     

     

     

    อย่างน้อยก็จะไม่เลี้ยงแค่ให้โตและเอาลูกมาใช้เป็นเครื่องมือในการหาผลประโยชน์ให้ตนเอง

     

    - - - - - - - - - - - - - - -

     

    วันถัดมา

    วันนี้ไม่มีฝน สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าของจุนมยอนคือแสงแดดในยาม 8 โมงเช้า เด็กหนุ่มที่กำลังยืนรอสัญญาณไฟข้ามถนนหน้ามหาวิทยาลัยหยิบลิปบาล์มของเขาขึ้นมาทาอย่างลวกๆ เพราะจุนมยอนนั้นเกลียดความแห้งผาก ทำให้ริมฝีปากนั้นดูอิ่มเอิบและมีสีแดงระเรื่อขึ้นมา รับกับผิวแก้มซึ่งเป็นสีชมพูพีชซึ่งเปล่งปลั่งแบบนี้มาตั้งแต่เกิด ยิ่งพอโดนแสงแดดสาดส่องเข้ามาแล้ว ผิวแก้มจึงกลายเป็นสีสวยบ่มแดดจนทำให้จุนมยอนดูน่ารักจนยากจะละสายตา

    เด็กหนุ่มเดินเข้ามาในรั้วมหาวิยาลัยและตรงไปยังโรงอาหาร ดูเหมือนว่าเช้าวันนี้จุนมยอนจะต้องนั่งกินข้าวคนเดียว เนื่องจากคยองซูตื่นสายและจะไม่แวะมากินข้าวด้วยกัน เพราะงั้นเด็กหนุ่มเจ้าของพวงแก้มสีสวยจึงเดินไปต่อแถวที่ร้านอาหาร จัดการสั่งมื้อเช้าให้ตัวเองและยกถาดมานั่งกินที่โต๊ะคนเดียว

     

    “ขอนั่งด้วยได้ไหม? เพื่อนฉันไม่มา ก็เลยเหลือแค่ฉันคนเดียว”

     

    เสียงนั่นทำให้จุนมยอนเงยหน้าขึ้นไปมอง พบว่าเป็นคิมจงแดที่กำลังยืนถือถาดอาหารและส่งยิ้มให้เขา จุนมยอนจึงรีบเอ่ยทักทายและบอกให้จงแดนั่งด้วยกัน

     

    “ทำไมวันนี้เพื่อนจงแดไม่มากันล่ะ?”

    “เมื่อคืนพวกนั้นปาร์ตี้กันจนหนักก็เลยตื่นไม่ไหวสักคน แต่ฉันไม่ได้ไปด้วยก็เลยรอดชีวิตน่ะ” จงแดหัวเราะออกมาก่อนจะดึงตะเกียบไม้ออกจากกัน “แล้วคยองซูล่ะ?”

    “คยองซูตื่นสายน่ะ จะตามมาทีหลังตอนเก้าโมง”

    “อ่า.. งั้นเหรอ? แล้วนั่นมือไปโดนอะไรมาน่ะ?”

    “กาแฟลวกน่ะ”

    “ที่ร้านเหรอ?”

    “เปล่า มีคนวิ่งมาชนแล้วเขาถือกาแฟร้อนๆ มาพอดี ก็เลยเป็นอย่างที่เห็นนี่ล่ะ”

    “แย่จัง หวังว่ามันจะดีขึ้นไวๆ นะ” จงแดพูด เขามองดูแก้มสีชมพูอมส้มของจุนมยอนก่อนจะเผยรอยยิ้มออกมา เขารู้ดีว่าใครๆ ต่างก็อิจฉาพวงแก้มระเรื่อของเด็กหนุ่มคนนี้ เพราะใครๆ ต่างก็พากันพูดว่าจุนมยอนเป็นเด็กหน้าตาน่ารัก เรียกได้ว่าเป็นตัวท็อปของคณะ แต่เสียอย่างเดียว.. คนชอบพูดกันว่าจุนมยอนทำอาชีพไม่สุจริต หาเงินโดยการใช้ร่างการของตัวเอง ประมาณว่า.. เงินมาผ้าก็หลุดอะไรทำนองนั้น นั่นทำให้ใครหลายๆ คนตัดสินใจที่จะไม่เข้าหาจุนมยอน ทำให้เด็กหนุ่มกลายเป็นคนมีเพื่อนน้อยไปโดยปริยาย อันที่จริง.. จุนมยอนมีแค่คยองซูคนเดียวมาตั้งนานแล้วต่างหาก “จุนมยอน ช่วงนี้ได้รับงานบ้างไหม?”

    “เพิ่งรับไปเมื่อวันก่อนน่ะ หลังจากไม่ได้แตะงานนั้นมาเกือบหกเดือน”

     

    คิมจงแดเป็นอีกคนที่จุนมยอนสามารถบอกเล่าเรื่องทุกอย่างในชีวิตของตัวเองให้ฟังได้ นอกจากคยองซูแล้วก็มีจงแดนั่นล่ะที่มองข้ามเรื่องอาชีพของจุนมยอนไปได้ อาจเป็นเพราะจงแดก็มีชะตากรรมไม่ต่างจากจุนมยอนเช่นกัน พวกเขาทั้งสองต้องดิ้นรนหาเงินให้ตัวเองใช้เพราะไม่มีพ่อแม่คอยหาให้เหมือนเด็กคนอื่น และคนที่ชักนำจุนมยอนให้มาเป็นเด็กไซด์ไลน์แบบนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน.. จงแดเองล่ะที่เป็นคนบอกต่องานแบบนี้ให้

     

    “แล้วจงแดเป็นยังไงบ้าง? ตอนนี้จงแดได้รับงานบ้างหรือเปล่า?”

    “งานล่าสุดคือเมื่อเดือนที่แล้วน่ะ.. จริงๆ มีคนมาขอดูแลฉันด้วยนะ ฉันก็กำลังคิดอยู่เหมือนกันว่าจะตอบตกลงไปดีหรือเปล่า เพราะเอาเข้าจริงฉันไม่ได้อยากจะไปเป็นเด็กเสี่ยของใครทั้งนั้น ก็อย่างที่นายรู้ว่าถ้าตอบตกลงไปแล้วเราก็อาจจะหมดความเป็นอิสระในทันที”

    “เขาเป็นใครเหรอ? มีครอบครัวหรือยัง?”

    “ยังหรอก เราเคยเจอกันนอกเวลางานประมาณ 5-6 ครั้งแล้ว ฉันเองก็รู้สึกดีกับเขาเหมือนกันนะ เขาค่อนข้างสุภาพบุรุษแล้วก็ใจดีสุดๆ ไปเลยล่ะ”

    “หมายความว่าจงแดชอบเขาเหรอ?”

    “ก็” จงแดเงียบไปอีกครั้ง เขาเบนสายตาไปทางอื่นเพื่อถ่วงเวลาในการเรียบเรียงคำตอบของเขา “ก็คงใช่ แต่นายก็คงจะรู้ว่าคนแบบพวกเราคงไม่มีทางไปมีความสัมพันธ์ที่จริงจังกับพวกเขาได้ เข้าใจไหม.. เราต่างกัน ไม่มีใครชอบเด็กทำงานบริการแบบพวกเราหรอกนะ ถึงแม้ว่าบางทีงานของเราจะไม่มีเรื่องเซ็กส์เข้ามาเกี่ยวก็ตาม แต่แค่พวกเขาได้ยินคำว่างานบริการ.. แค่นี้พวกเขาก็พร้อมจะวิ่งหนีอยู่แล้ว อีกอย่างฉันพอจะรู้ว่าเขาไม่ได้ชอบฉันหรอก เขาก็แค่เสนอเงินมาเพื่อหวังอย่างอื่น เพราะงั้นฉันถึงได้คิดหนักอยู่นี่ไงล่ะ”

    “ก็จริง..” จุนมยอนหลุบตาลง เพราะตอนนี้เขาก็กำลังเผชิญสภาวะเดียวกับจงแดเช่นกัน ผู้ชายคนนั้นยังคงติดอยู่ในหัวมาจนถึงวันนี้ อันที่จริงจุนมยอนไม่เคยลบภาพของคริสได้เลย และทุกครั้งที่เขาคิดถึงชายคนนั้น.. จู่ๆ รอยยิ้มและความเขินอายก็กลับปรากฏขึ้น

     

    เขายังจำจูบบนลาดไหล่ที่คริสมอบให้ ก่อนร่างสูงจะออกไปทำงานได้.. ตอนนั้นตัวของจุนมยอนเต็มไปด้วยคิสมาร์กแล้ว และเขาเดินออกมาจากห้องนอนพร้อมกับผ้าห่มผืนใหญ่ซึ่งคลุมตัวอยู่ เขาเดินหาคริสไปทั่วห้องพักแห่งนั้น ก่อนจะเห็นว่าร่างสูงกำลังสวมรองเท้าอยู่หน้าประตู คริสกำลังจะออกไปทำงานและเขาบอกลาจุนมยอนด้วยการจูบลงบนไหล่มนก่อนจะบอกลาเด็กหนุ่ม แค่คิดถึงภาพนั้น.. ก็เขินจนไม่เป็นอันจะกินข้าวแล้ว

    แต่ก็อย่างที่จงแดบอก.. เขาไม่มีทางไปมีความสัมพันธ์จริงจังกับแขกเขาได้แน่นอน

     

    “อันที่จริงเราก็ว่าจะถามจงแดอยู่เหมือนกัน เราแค่อยากรู้ว่าจงแดเคยรู้สึกดีกับพวกเขาบ้างไหม? หมายถึง.. เคยหวั่นไหวบ้างหรือเปล่า?”

    “ก็คงจะมีแค่คนนี้ล่ะที่ฉันรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมาแบบจริงจัง ไม่รู้สิ.. มองหน้าทีไรต้องหลบตาหนีทุกที เขาทำให้ฉันต้านทานไม่อยู่”

    “ฮ่าๆ เขาคงจะหล่อน่าดูเลยสินะ”

    “ว่าแต่นายเถอะ ที่ถามแบบนี้ก็เพราะว่า.. ตอนนี้กำลังรู้สึกดีกับใครอยู่หรือเปล่า?”

    “เอ่อ..” คราวนี้เป็นจุนมยอนที่เบนสายตาไปทางอื่นเพื่อถ่วงเวลาหาคำตอบ แต่แน่นอนว่าจงแดสามารถจับผิดเพื่อนตัวเล็กได้ทันที เขาหัวเราะออกมาก่อนจะวางตะเกียบลงและใช้มือทั้งสองเท้าคางเพื่อรอคำตอบ “คือจริงๆ เรา.. เราเคยเจอกันก่อนหน้านี้ ก่อนที่เราจะได้มาเจอกันที่คลับ เขาวิ่งมาชนเราแล้วก็ทำกาแฟลวกมือเรา ตอนนั้นเขาใจดีมากๆ เลยนะ เขาพยายามจะพาเราไปโรงพยาบาลให้ได้ แต่เราเป็นคนขอไว้ว่าไม่อยากไป ก็เลยกลายเป็นว่าเขาต้องวิ่งไปร้านขายยาและทำแผลให้เราตรงป้ายรถเมล์จนเสร็จ”

    “แล้วสุดท้ายเราก็มาบังเอิญเจอกันที่คลับ เราต้องทำงานให้เขา เพราะเพื่อนของเขาเป็นคนติดต่อเรามา บอกว่าอยากให้เราไปเป็นของขวัญวันเกิดให้เขาสักคืน”

    “แสดงว่านายชอบเขาตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอสินะ”

    “ใช่ แต่พอเขาได้รู้แล้วว่าจริงๆ เราทำงานอะไร.. เราก็ไม่กล้าที่จะเดินหน้าต่อ เพราะเรากลัวเขาจะรังเกียจน่ะ ก็อย่างที่จงแดเคยบอก.. ไม่มีใครอยากเอาคนแบบพวกเราเป็นแฟนจริงๆ จังๆ หรอกถ้าพวกเขาได้รู้ว่าเราทำงานแบบนี้”

    “ชักอยากจะรู้แล้วสิว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร? ใช่พวกคังแดเนียลหรือเปล่า? ได้ข่าวว่าพวกนั้นก็เพิ่งจะฉลองวันเกิดให้ฮวังมินฮยอนไป”

    “เปล่า เป็นเพื่อนของคุณจงอินน่ะ ไม่ใช่เด็กวัยรุ่นเหมือนพวกนั้นหรอก?”

    “เพื่อนของคุณจงอิน!?” จงแดร้องออกมาด้วยความตกใจ เขาอ้าปากค้างและพยายามนึกหาชื่อของคนในกลุ่มนี้ “ม.. ไม่ใช่.. ไม่ใช่คุณเลย์ใช่ไหม?”

    “ใช่ไหมจุนมยอน!?

    “ไม่ใช่สักหน่อย ทำไมต้องเสียงดังขนาดนั้นด้วยเล่า?” จุนมยอนขมวดคิ้ว ในขณะที่จงแดนั้นถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก “เขาชื่อคุณคริส คนที่เป็นเจ้าของบริษัทอุปกรณ์ไฟฟ้าในบ้านเราน่ะ เราว่าจงแดต้องรู้จัก”

    “คุณคริสน่ะเหรอ!?

    “จงแด.. อย่าเสียงดังสิ” จุนมยอนขมวดคิ้วแน่นกว่าเดิมพลางอ้อนขอ แต่คราวนี้ท่าทีของจงแดดูเป็นกังวลมากกว่ารู้สึกประหลาดใจ เขาเริ่มขมวดคิ้วตามจุนมยอนก่อนจะพูด

    “คุณคริสที่ตัวสูงๆ หน้าเข้มๆ เป็นลูกครึ่งจีนใช่ไหม?”

    “อื้อ”

    “นายเพิ่งไปทำงานให้เขามาเหรอ?”

    “ใช่”

    “ฉันได้ยินมาจากคนอื่นๆ ว่าหมอนี่โรคจิต ดูเหมือนคนวิปริต ชอบทำอะไรรุนแรงๆ เพื่อนฉันที่เคยรับงานกับเขาก็เคยพูดว่าให้ระวังชื่อนี้เอาไว้ให้ดี เพราะว่าเขาน่ะน่ากลัว.. ดูโรคจิตแปลกๆ”

    “แต่ตอนที่เราอยู่กับเขา คุณคริสเขาก็ปกตินะ ที่บอกว่าชอบทำตัวแปลกๆ นี่คือแปลกยังไงเหรอ?”

    “เพื่อนฉันบอกว่าเขาเป็นพวกซาดิสม์ ชอบใช้ความรุนแรงตอนที่มีอะไรกัน เขาเคยบีบคอเพื่อนฉันจนเป็นรอยมือแล้วก็ต้องเอาเสื้อมาปิดอยู่ตั้งหลายวัน”

    “งั้นเหรอ?”

    “ใช่ ตอนที่นายอยู่กับเขา.. เขาไม่ได้ทำอะไรนายเลยเหรอ?”

    “ก็ไม่นะ เขาก็เหมือนแขกคนอื่นทั่วๆ ไปเลย ไม่มีอะไรผิดปกติ ไม่บีบคอเราหรือจับตัวเราแรงๆ เลย”

    “จริงเหรอจุนมยอน? จะใช่คริสคนเดียวกันหรือเปล่าเนี่ย..

    “คริสเพื่อนคุณจงอินก็มีอยู่คนเดียวนี่”

    “ใช่ ฉันถึงได้สงสัยยังไงล่ะว่าทำไมเขาถึง.. แต่ช่างมันเถอะ นายไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว แล้วนี่นายจะเอายังไงต่อล่ะ? หมายถึงนายจะไม่เดินหน้าต่อแล้วใช่ไหม?”

    “ก็คงจะเป็นอย่างนั้นล่ะ เพราะว่าเราไม่มีทางรู้เลยว่าเราจะได้เจอกันตอนไหนอีก อีกอย่างคุณจงอินก็บอกว่าปกติคุณคริสไม่เที่ยวกลางคืน จะหาใครไปนอนด้วยแต่ละทีก็ต้องให้คุณจงอินหาให้”

    “ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเราไม่อยากให้คุณคริสมาเจอเราในสภาพแบบนั้นอีก เราแค่อยากเจอกันในสถานการณ์ปกติ ไม่มีเรื่องเซ็กส์เข้ามาเกี่ยว”

    “อ่า.. ฉันเข้าใจนายนะ แต่แบบนี้คงจะยากหน่อย เพราะอย่างที่นายบอกว่าเราไม่มีทางรู้เลยว่าเขาจะได้มาเจอเราอีกตอนไหน”

    “ใช่ บางทีนั่นอาจจะเป็นครั้งสุดท้ายของเรา”

     

    จุนมยอนดูดน้ำหวานจากหลอดก่อนจะเม้มปากเพื่อกลบความผิดหวังที่ปรากฏผ่านดวงตาสีน้ำตาลของเขา แค่คิดว่าถ้าหากคืนนั้นคือครั้งสุดท้ายที่จะได้เจอกัน.. จุนมยอนก็รู้สึกห่อเหี่ยวจนเผลอถอนหายใจออกมา ทำเอาจงแดแอบหัวเราะอยู่คนเดียวจนต้องคีบคิมบับมากินแก้อาการขบขันเหล้านั้น

     

    - - - - - - - - - - - - - - -

     

    “เอสเพรสโซ่ร้อนได้แล้วครับ ~

     

    เป็นเสียงของคยองซูเองที่กำลังขานชื่อและส่งแก้วเครื่องดื่มให้ลูกค้า เด็กหนุ่มส่งรอยยิ้มกลับไปให้ลูกค้าด้วยความสดใสไร้ความเหน็ดเหนื่อยแม้ว่าวันนี้ตนจะเรียนมาทั้งวันแล้วก็ตาม

    ขณะเดียวกัน จุนมยอนก็กำลังจัดตู้เบเกอรี่อยู่ทางขวามือ เขาค่อยๆ เรียงเค้กสตรอเบอร์รี่ ชูครีมและของหวานรับฤดูร้อนอย่างละเมียดละไม แน่นอนว่ามันขายดิบขายดีเพราะใครๆ ก็อยากลิ้มลองความหวานคลายร้อน จุนมยอนจึงต้องคอยเอาขนมพวกนี้มาเติมใส่ในตู้ตลอดเวลา เสร็จแล้วจึงปิดตู้และเดินเอาถาดไปเก็บก่อนจะขยับไปยืนข้างๆ คยองซู

     

    “วันนี้กินอะไรดีคยองซู?”

    “อยากไปกินเนื้อย่างจัง แต่กว่าเราจะเลิกงานร้านเนื้อย่างก็คงปิดพอดี”

    “หรือไม่เราก็ต้องนั่งรถไฟที่ฮงแด ที่นั่นมีร้านที่เปิดยันดึก เราจะได้กินแบบสบายๆ ไม่ต้องรีบหรือกลัวว่าร้านจะปิดก่อน”

    “ถ้านายไม่เหนื่อยเกินไป เราไปที่นั่นก็ได้นะ”

    “แน่นอน ถ้างั้นเลิกงานแล้วไปด้วยกันนะ”

    “อื้อ”

     

    จุนมยอนและคยองซูทำงานพิเศษในร้านกาแฟแห่งเดียวกัน สมัยที่พวกเรียนอยู่ปี 1 พวกเขาพากันเดินหางานพิเศษไปตามถนนแห่งนี้จนเกือบสุดทาง กว่าจะเจอร้านที่รับพนักงานพาร์ทไทม์ก็เล่นเอาเหงื่อตกอยู่เหมือนกัน โชคดีที่ร้านนี้เพิ่งเปิดใหม่และต้องการพนักงานคอยบริการลูกค้า พวกเขาจึงได้เข้าทำงานนี้พร้อมกันและก็ทำมาจนถึงทุกวันนี้

    สำหรับจุนมยอนรายได้หลักของเขามาจากการทำงานในร้านกาแฟ ไม่ใช่การตกลงเป็นคู่นอนให้กับคนอื่น เขายอมรับว่างานไซด์ไลน์นั่นได้เงินเยอะมากก็จริง แต่เขาไม่ได้รับงานนั่นทุกวัน เขาทำก็ต่อเมื่อยามจำเป็นเท่านั้น เพราะงั้นรายได้หลักของจุนมยอนจึงมาจากการเป็นพนักงานในร้านกาแฟ และแน่นอนว่าที่นี่ไม่มีใครรู้เรื่องของเขานอกจากคยองซู เพราะถ้าขืนเปิดปากออกไป.. มีหวังคงถูกมองด้วยสายตาดูแคลนไม่ต่างจากตอนที่อยู่ในมหาวิทยาลัย

    ในชั้นปีของจุนมยอนนั้นมีเพื่อนร่วมชั้นแค่ 32 คนเท่านั้น คนพวกนั้นเกลียดจุนมยอนไปแล้ว 10 คนเพราะรู้ว่าเด็กหนุ่มทำงานแบบนี้ อีก 15 คนเลือกที่จะไม่คุยกับจุนมยอนเพราะเห็นว่าเขาหน้าตาดีกว่า พูดง่ายๆ ก็คือ 15 คนนี้หมั่นไส้จุนมยอนนั่นเอง อีก 5 คนเป็นพวกไม่สนใจเพื่อนในห้องเรียนและไม่เอากิจกรรม แน่นอนว่าพวกนั้นจึงไม่สนิทกับจุนมยอน อีก 1 คนเป็นเด็กเนิร์ดที่บางทีก็คุยรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง ส่วนอีก 1 คนที่เหลือก็คือคยองซู และแน่นอนว่าจุนมยอนรู้สึกผิดมาตลอดที่ทำให้คยองซูกลายเป็นคนไม่มีเพื่อนไปด้วยเพราะเด็กหนุ่มตาโตเลือกที่จะมาคบกับคนทำงานแปลกๆ แบบเขา

    แต่คยองซูไม่เคยสนใจสายตาและคำดูแคลนที่คนพวกนั้นส่งมาให้เขากับจุนมยอน เขายอมรับว่าครั้งแรกที่จุนมยอนสารภาพว่าตนเองรับงานแบบนี้ เขาเองก็ตกใจไม่น้อยเลย เพราะสำหรับคยองซูนั้นเรื่องไซด์ไลน์เป็นเรื่องไกลตัวมาก พอได้รับรู้ว่ามีคนใกล้ตัวทำงานแบบนี้ เด็กหนุ่มจึงตกใจแต่ก็เลือกที่จะเดินหน้าต่อ หลังจากนั้นเขาก็เริ่มเข้าใจเหตุผลของจุนมยอนและรับรู้ว่าจุนมยอนไม่ได้ยึดอาชีพนี้เป็นหลัก เขาก็แค่ทำตอนขัดสนจริงๆ ซึ่งถ้าหากคยองซูเกิดมารวยและมีเงินมากพอที่จะให้จุนมยอนยืม แน่นอนว่าเขาจะไม่ปล่อยให้จุนมยอนไปรับงานพวกนั้นอย่างเด็ดขาด

     

    “คยองซู มาหลังร้านหน่อยสิ.. ช่วยยกของพวกนี้ไปทีรถที” เสียงของผุ้จัดการร้านเดินมาเรียกโดคยองซูให้ไปช่วยงาน คยองซุจึงพยักหน้ารับแต่จุนมยอนก็ทำท่าจะเดินไปด้วย เจ้าของดวงตากลมโตจึงรีบหันกลับมาปรามทันที

    “นายอยู่ตรงนี้ล่ะ เฝ้าเค้าเตอร์เอาไว้เดี๋ยวฉันไปช่วยเข้าเอง”

    “อื้อ” จุนมยอนพยักหน้าและมองตามเพื่อนที่กำลังเดินหายไปทางหลังร้าน จุนมยอนเอนกายพิงกับบาร์เครื่องดื่มเพื่อรอรับลูกค้าคนใหม่ เขามองออกไปยังด้านนอกของร้าน พบว่าตะวันกำลังจะตกดินในอีกไม่กี่นาที เพราะนี่ก็เริ่มจะมืดแล้ว

     

    กริ๊ง..

     

    “ยินดีต้อนรับครับ”

     

    เมื่อเสียงกระดิ่งที่ประตูดัง นั่นหมายความว่ามีลูกค้ากำลังเข้ามาในร้าน ทำให้จุนมยอนขานต้อนรับโดยอัตโนมัติเพราะเขาทำแบบนี้ประจำมาตลอดปีกว่า เด็กหนุ่มเดินกลับยืนตรงเค้าเตอร์ กระทั่งสายตาเหลือบมาเห็นว่าคุณลูกค้าคนนี้เป็นใคร เขาถึงกับเผยรอยยิ้มกว้างออกมาอย่างควบคุมไม่ได้

     

    “คุณคริส”

    “เจอกันอีกแล้วนะ”

    “ครับ บังเอิญจังเลยแฮะ” จุนมยอนเผลอหลบตาชายตรงหน้า อาการต้านทานสายตาของคนที่เราชอบไม่ไหวมันเป็นแบบนี้นี่เอง เด็กหนุ่มพยายามควบคุมรอยยิ้มและอาการเห่อร้อนบนหน้าของเขาให้เป็นปกติโดยการเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “รับอะไรดีครับ? เครื่องดื่มหรือเบเกอรี่ หรือว่าจะรับทั้งสองอย่างเลย?”

    “วันนี้อยากกินเค้กอร่อยๆ สักชิ้น เลือกให้หน่อยได้ไหม? ปกติฉันไม่ค่อยกินของหวานก็เลยไม่รู้ว่าควรจะกินอันไหนดี”

    “แล้วทำไมวันนี้ถึงอยากกินล่ะครับ? มีอะไรพิเศษหรือเปล่า?”

    “เปล่า ก็แค่.. อ่านเจอในอินเตอร์เน็ตว่าของหวานจะช่วยลดความเครียดได้”

    “เครียดงั้นเหรอครับ?”

    “อืม วันนี้ทำงานเยอะไปหน่อยน่ะ ก็เลย..

    “เข้าใจแล้ว ถ้างั้นรอสักครู่นะครับ ผมจะพยายามหาอันที่อร่อยที่สุดให้” จุนมยอนพูดและเดินหนีไปที่ตู้เบเกอรี่ทันทีโดยที่ไม่เห้นว่าคริสนั้นเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา “คุณชอบผลไม้หรือเปล่าครับ? หมายถึงสตรอเบอร์รี่ ส้ม อะไรแบบนี้”

    “สตรอเบอร์รี่ก็พอได้อยู่”

    “งั้นเอานี่แล้วกันนะครับ” จุนมยอนเปิดตู้ออกและหยิบเอาเบเกอรี่ซึ่งอัดแน่นไปด้วยครีมและสตรอเบอร์รี่ชิ้นใหญ่มาโชว์ให้คุณลูกค้าที่กำลังยืนรออยู่หน้าเค้าเตอร์ดู “จะรับกี่ชิ้นดีครับ?”

    “ขอสองเลยแล้วกัน มันดูน่ากินจนฉันคิดว่าชิ้นเดียวคงไม่พอ”

    “ฮ่ะๆ”

     

    จุนมยอนหัวเราะออกมา เขาเอาเจ้าเค้กสตรอเบอร์รี่นั่นไปห่อใส่กล่องลายน่ารักอย่างระมัดระวัง ก่อนจะนำมันมาส่งให้ชายร่างสูงในชุดสูทสีดำเหมือนที่เขาเคยเห็นจากสองครั้งก่อน กล่องลายน่ารักนั่นดูจะไม่เข้ากับคริสเท่าไหร่ยามที่เขาถือมันไว้ในมือ มันดูขัดกับลุคเจ้าของบริษัทผู้เกลียดงานสังคม จุนมยอนจัดการคิดเงินให้เรียบร้อย ส่งแบล็คการ์ดคืนให้กับคริสโดยไม่ลืมที่จะส่งรอยยิ้มกลับไปด้วย

     

    “ปกติทำงานประจำที่นี่เหรอ?”

    “ครับ ปกติผมทำงานที่นี่กับเพื่อน ส่วนงานนั้น.. นานๆ ทีจะรับครับ”

    “อ๋อ” คริสพยักหน้า เขาสอดส่องสายไปทั่วบริเวณร้าน พบว่าจุนมยอนคิดถูกแล้วที่มาทำงานในคาเฟ่ต์น่ารักๆ แบบนี้ มันดูปลอดภัยต่างจากไนต์คลับเป็นสิบเท่า แถมยูนิฟอร์มของพนักงานก็ดูจะเหมาะกับจุนมยอนมากกว่าเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวบางนั่นอีก “แล้ววันนี้นายรับงานหรือเปล่า?

    “ครับ?”

    “ถ้ารับ.. ฉันจะรออยู่ที่ลานน้ำพุ เลิกงานแล้วไปเจอกันที่นั่นก็แล้วกัน แต่ถ้าไม่รับก็ไม่เป็นไร” คริสพูดแค่นั้นก่อนจะเดินออกไปตรงนั้น ปล่อยให้จุนมยอนยืนค้างอยู่คนเดียวโดยที่ยังไม่ทันจะได้ตอบคำถามของคริส

     

    ตอนนี้ในหัวของเด็กหนุ่มเริ่มทำการประมวลผล มันมีแต่คำว่า ทำยังไงดีๆๆ วิ่งอยู่ในหัวเต็มไปหมด เพราะเขาเคยบอกกับตัวเองว่าเขาจะไม่รับงานพร่ำเพรื่อ จะไม่แตะงานนี้อีกถ้าหากไม่มีความจำเป็น ตอนนี้เขาก็ไม่ได้ขัดสนเรื่องเงินแต่อย่างใด เพราะเม็ดเงินที่จงอินเพิ่งโอนมาให้เมื่อเช้าก็นับว่ามากโขพอสมควร แต่ในเมื่อ.. จุนมยอนกลัวว่าจะไม่ได้เจอคริสอีกหากไม่ตอบตกลง เขากลัวโอกาสจะหลุดลอยและใครๆ ต่างก็พูดว่าเมื่อโอกาสมาถึงแล้วเราไม่ควรปล่อยให้หลุดไปจากมือ เช่นนั้นแล้วจุนมยอนจึงต้องตัดสินใจ

     

    “คยองซู วันนี้ไม่ไปกินปิ้งย่างแล้วได้ไหม?”

     

    - - - - - - - - - - - - - - -

     

    “อ๊ะ.. อ๊าคุณคริส.. อื้อ”

    “อา.. เค้กสตรอเบอร์รี่นี่.. ช่วยให้หายเครียดได้จริงๆ”

    “มันเลอะโซฟาไปหมดแล้วนะครับ เสียดายของออก.. อื้อ”

    “เป็นเพราะนายเอาแต่ดิ้นไปมานั่นล่ะ อา.. กระแทกลงมาจุนมยอน หรือจะให้ฉันเป็นคนกระแทกนายเอง”

    “ม.. ไม่เอา พอแล้ว ผมเหนื่อยแล้ว”

     

    ขณะนี้เป็นเวลาเกือบห้าทุ่มตรงแล้ว จุนมยอนยกเลิกนัดของคยองซูและเลื่อนมันไปเป็นพรุ่งนี้แทน กระทั่งเมื่อถึงเวลาเลิกงานปุ๊บ คนตัวเล็กก็รีบบอกลาเพื่อนกับผู้จัดการและวิ่งออกจากร้านปั๊บ ทำเอาคยองซูสงสัยนิดหน่อยว่าจุนมยอนนั้นจะรีบไปไหน แต่เพราะเพื่อนตัวขาววิ่งไปไกลแล้ว คยองซูจึงได้แต่เก็บคำถามของเขาเอาไว้ในใจ

    ไม่ทันไรจุนมยอนก็วิ่งมาถึงลานน้ำพุใจกลางเมือง ซึ่ง ณ ตอนนั้นเป็นเวลาสี่ทุ่มเศษๆ แต่ก็ยังมีคนเดินพลุกพล่านราวกับพวกเขาไม่เคยหลับใหล ขณะเดียวกันเขาก็มองเห็นใครบางคนในชุดสูทนั่งอยู่บนขอบลานน้ำพุโดยมีกล่องเบเกอรี่วางอยู่ข้างๆ ตัว จุนมยอนจึงเดินเข้าไปหาชายคนนั้นก่อนที่เขาจะเงยหน้าขึ้นมาและส่งรอยยิ้มให้

    คริสพาจุนมยอนมาที่เพ้นท์เฮ้าส์ส่วนตัวของเขา อันซึ่งเป็นบ้านที่ตนใช้พักผ่อนมานานนับหลายปี เขาไม่เคยให้ใครมาเหยียบที่นี่นอกจากเลย์กับจงอินและซูฮยอก และแน่นอนว่าจุนมยอนคือคนแรกที่คริสพาเข้ามาก่อนจะพาคนตัวเล็กมาเล่นสนุกอยู่ในห้องรับแขกบนตึกสูงระฟ้า โดยมีเจ้าเค้กสตรอเบอร์รี่เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยในการเล่นสนุกครั้งนี้

    บนลำตัวของจุนมยอนถูกแต่งแต้มเอาไว้ด้วยครีมสีขาว บางทีก็เป็นจุดใหญ่ บางทีก็เป็นปื้นเพราะถูกร่างสูงใช้ลิ้นจัดการชิมรสไปแล้วเรียบร้อย และแน่นอนว่าเจ้าครีมพวกนี้เปรอะเปื้อนโซฟาของคริสไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

     

    “อะ.. อา.. อา จุนมยอน”

     

    คริสดันจุนมยอนจนหลังของเด็กน้อยติดโซฟา และทันใดนั้นจุนมยอนก็ได้สังเกตเห็นการกระทำบางอย่างที่ผิดแปลกไป และมันทำให้เขานึกถึงคำเตือนของจงแด เมื่อมือข้างหนึ่งของคริสย้ายขึ้นมาจับเข้าที่ลำคอขาวของจุนมยอนเอาไว้ ก่อนจะออกแรงกดราวกับไม่ต้องการให้จุนมยอนดิ้นหนีไปไหนได้อีก

    จุนมยอนไม่รู้ว่าคริสตั้งใจหรือกำลังเผลอไผลเพราะไม่มีสติ เนื่องจากร่างสูงกำลังตกอยู่ในห้องอารมณ์ เขาหลับตา สูดปากสูดคอ ส่งเสียงครางออกมายามใกล้ถึงสรวงสวรรค์ ขยับบั้นเอวระรัวจนจุนมยอนอดเก็บเสียงร้องนั้นไม่ไหว กระทั่งคนตัวสูงปล่อยของเหลวสีขาวออกมาเต็มอุปกรณ์ป้องกัน เขาจึงคลายมือซึ่งบีบลำคอของจุนมยอนออกราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเลื่อนไปชิมครีมที่ติดอยู่บนต้นแขนของจุนมยอนก่อนจะจูบริมฝีปากของคนตัวเล็กและต่อด้วยการซุกไซร้ลำคอ

     

    “พรุ่งนี้ทำอะไร?” ร่างสูงถามพลางถอนกายออกจากช่องทางซึ่งเปียกชื้นไปด้วยเจลหล่อลื่น

    “พรุ่งนี้เรียนแล้วก็ทำงานครับ”

    “นายทำงานทุกวันเลยเหรอ?”

    “แค่วันพุธถึงวันเสาร์ครับ นอกนั้นก็คือได้หยุดพักสองวัน” จุนมยอนตอบ ในขณะที่คริสเปลี่ยนตำแหน่งไปนั่งข้างๆ จุนมยอนแทน เขาโน้มตัวลงข้างหน้าและหยิบเค้กสตรอเบอร์รี่ที่เหลืออยู่อีกหนึ่งชิ้นขึ้นมา

    “จุนมยอน..

    “ครับ?”

    “ทำไมนายถึงต้องมาเป็นเด็กไซด์ไลน์ล่ะ ทั้งๆ ที่นายก็ทำงานอยู่ที่คาเฟ่ต์ไม่ใช่เหรอ?”

    “ขอโทษที่ถามนะ แต่ฉันก็แค่อยากจะรู้จักนายให้มากกว่านี้”

    “ไม่เป็นไรครับ” จุนมยอนส่ายหัว “ตอนนั้นผมเลือกเข้ามาทำก็เพราะว่าผมไม่มีเงิน ผมไม่มีครอบครัว ผมเข้ามาในโซลเพราะอยากเรียนต่อ แต่ไม่เคยประมาณตัวเองเลย ผมรู้ว่าตัวเองไม่มีเงินแต่ก็ยังดันทุรัง ก็เลยตัดสินใจมาทำงานนี้เพราะเห็นว่ามันได้เงินเยอะดีก็แค่นั้นเอง”

    “แล้วนายเข้ามาในวงการนี้ได้ยังไง? นายรู้จักมันด้วยตัวเองเหรอ?”

    “เพื่อนเป็นคนแนะนำครับ พอเพื่อนบอก.. พวกเราก็เลยลองโพสรูปลงบนอินเตอร์เน็ตก่อน ยังไม่ทันข้ามคืนก็มีคนติดต่อมา แล้วหลังจากนั้นผมก็รับงานไปหลายงานเพราะต้องรวบรวมเงินมาจ่ายค่าเทอม พอจ่ายค่าเทอมเสร็จผมก็ลบข้อมูลพวกนั้นทิ้ง แต่ว่าตอนนี้ก็ยังมีคนติดต่อเข้ามาเรื่อยๆ ผ่านทางเพื่อนผมน่ะครับ ผมก็จะรับบ้างเป็นบางทีถ้าหากผมร้อนเงิน แต่มันก็น้อยครั้งจริงๆ ครับ เพราะผมโตขึ้นแล้วก็รู้จักวางแผนเรื่องเงินแล้ว มันก็เลยไม่ค่อยขัดสนเหมือนแต่ก่อนแล้ว”

    “แล้ววันนั้นทำไมนายถึงตอบรับไอ้จงอินมันล่ะ?”

    “คุณจงอินเคยจ้างผมไปนั่งเล่นด้วยกันหลายครั้งครับ เขาจ่ายผมหนักทุกครั้งแม้ว่าเราจะไม่ได้มีอะไรกัน ผมก็เลยรู้สึกเกรงใจ พอวันนั้นที่คุณจงอินติดต่อมาผมก็เลยตัดสินใจรับเพราะไม่อยากให้คุณจงอินลำบากใจ”

    “แล้วไอ้จงอินมันได้บอกก่อนไหมว่านายต้องทำอะไรบ้าง?”

    “บอกครับ”

    “จงอินมันจ่ายให้นายไปเท่าไหร่?”

    “ก็เยอะครับ มากพอที่จะซื้อโทรศัพท์รุ่นท็อปๆ ได้อีกเครื่อง”

    “แล้วนายเคยคิดจะเลิกทำงานนี้บ้างไหม?”

    “คิดฮะ คิดมาตลอด หลังๆ มานี้ผมปฏิเสธหมดทุกงาน ไม่ว่าจะแค่ไปนั่งกินข้าว ไปดูหนัง ไปนั่งดื่ม หรือแม้แต่เข้าโรงแรมด้วยกัน ผมเหนื่อยแล้วผมก็ละอาย จนกระทั่งมาเจองานของคุณจงอินนี่ล่ะ”

    “คุณรังเกียจผมเหรอฮะ?”

    “เปล่า ฉันแค่อยากรู้จักนายอย่างที่บอกไป เพราะฉันก็ตกใจเหมือนกันตอนที่เห็นนายในคลับวันก่อน” คริสพูดก่อนจะหันไปมองเด็กน้อยที่กำลังมองเขาตาละห้อย ดวงตาของจุนมยอนคล้ายกับกำลังอ้อนวอน ไม่อยากให้คริสกลายมาเป็นอีกคนที่พลอยรังเกียจเขาเหมือนเพื่อนคนอื่นๆ ในคณะ “ต้องขอโทษด้วยนะที่วันนั้นฉันพูดจาไม่ดีกับนาย ฉันไม่ได้ตั้งใจ จู่ๆ มันก็พูดออกไปเอง”

    “ไม่เป็นไรครับ”

     

     

    ครืด.. ครืด..

    เสียงสั่นเตือนของโทรศัพท์ทำให้คริสและจุนมยอนหันไปมองหา ซึ่งดูเหมือนว่าจะเป็นโทรศัพท์ของคริสที่กำลังสั่นแจ้งเตือนจากสายเข้า ร่างสูงจึงเอื้อมไปหยิบสูทที่ตกอยู่บนพื้นก่อนจะหยิบเอาโทรศัพท์ออกมาดูชื่อคนโทรเข้า พบว่าเป็นซูฮยอกลูกน้องคนสนิทอีกตามเคย

     

    “ว่าไงซูฮยอก โทรมาดึกดื่นเชียว”

    “คุณคริสครับ คุณบล็อกเบอร์ของคุณผู้หญิงเหรอ? คุณผู้หญิงบอกผมว่าเธอโทรหาคุณไม่ติดก็เลยต้องติดต่อมาหาผมแทน เธอบอกว่าพรุ่งนี้จะเข้าไปพบคุณตอนบ่าย อยากให้คุณอยู่รอรับครับ”

    “บอกเธอไปว่าสัปดาห์นี้ฉันไม่รับแขก แล้วก็อย่าพยายามที่จะติดต่อฉันอีก ฉันกับเธอไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว”

    “แต่คุณคริสครับ.. ผมพูดแบบนั้นไม่ได้จริงๆ ผมคิดว่าคุณจะรับสายเธอสักหน่อยนะครับ”

    “นายไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉันนะซูฮยอก นายก็น่าจะรู้ว่าฉันไม่เคยคิดจะญาติดีกับผู้หญิงคนนั้น เพราะงั้นนี่คืออีกหนึ่งหน้าที่ของนายที่จะต้องกันเธอออกไปให้อยู่ห่างจากฉันมากที่สุด ถ้าแค่นี้นายทำไม่ได้ก็ไปลาออกซะ”

    “คุณคริส ใจเย็นๆ สิครับ ผมเองก็โดนคุณผู้หญิงขู่มาเหมือนกัน”

    “ฉันไม่สน นายจะหาว่าฉันงี่เง่าหรืออะไรก็ตาม แต่พรุ่งนี้ห้ามให้ฉันเห็นหรือได้ยินว่าผู้คนนั้นมาเหยียบที่บริษัทของฉันอีก เข้าใจไหม? ไม่อย่างนั้นนายก็ไปเซ็นต์ใบลาออกซะ หรือไม่ก็ฉันก็จะเขียนจดหมายลาออกให้นายเอง”

    “คุณคริสครับ เดี๋ยว

     

    คริสตัดสายของซูฮยอกทิ้งและปิดเครื่องมือสื่อสารของเขาทันที เขาหลับตาลงเพื่อข่มความไม่พอใจเอาไว้ แต่จุนมยอนนั้นกลับมองเห็นหางคิ้วซึ่งกระตุกขึ้น เด็กหนุ่มที่กำลังเม้มปากแน่นจึงไม่กล้าพูดจาอะไรออกไปเพราะกลัวจะไปทำให้ร่างสูงอารมณ์เสียหนักมากกว่าเดิม

    เค้กสตรอเบอร์รี่ชิ้นโตถูกหยิบขึ้นมากัด คริสหวังเป็นอย่างยิ่งว่ามันจะช่วยทำให้อารมณ์ขุ่นมัวของเขาจางลงไปได้

     

    “ทำไมพูดแรงขนาดนั้นล่ะครับ? น่าสงสารเขาออก..” จุนมยอนพูด แต่พอเจอสายตาดุๆ ของคริสหันกลับมามอง ร่างเล็กก็รีบงับปากและกลืนคำพูดทุกอย่างลงคอทันที เด็กหนุ่มมีทีท่าเลิกลักอย่างเห็นได้ชัด และนั่นทำให้คริสรู้ว่าเขาไม่ควรจะพาลมาอารมณ์เสียใส่คนอื่น

    “เรื่องปกติ หมอนั่นรู้ว่าฉันมักจะเป็นแบบนี้ถ้าฉันได้ยินชื่อของคนที่ฉันไม่พึงประสงค์จะได้ยิน”

    “แต่คุณก็ไม่น่าไปไล่เขาแบบนั้น เขาคงเสียใจน่าดู”

    “ซูฮยอกไม่ใช่เด็ก 5 ขวบนะ หมอนั่น 25 แล้ว อีกอย่างฉันพูดคำนี้มาเป็นร้อยครั้งแล้ว แต่ฉันก็ไม่เคยไล่เขาออกเลยสักครั้ง เขาคงชินกับคำขู่พวกนี้แล้วล่ะ”

    “เขาอดทนกับคุณมาแล้ว 100 ครั้ง แต่ไม่แน่ครั้งนี้เขาอาจจะไม่ทนอีกต่อไปแล้วก็ได้”

    “นี่นายจะงัดกับฉันให้ได้เลยใช่ไหมคิมจุนมยอน?”

    “เปล่าครับ ผมแค่ไม่อยากให้คุณพูดจาไม่ดีใส่คนอื่นแบบนี้ คนฟังเขาเสียใจนะครับ”

    ” คริสไม่ได้ตอบอะไรนอกจากถอนหายใจเบาๆ มันก็จริงอย่างที่จุนมยอนบอก ซูฮยอกอาจจะทนมานานแล้ว และครั้งนี้เขาอาจจะไม่ทนกับการต้องมารองรับอารมณ์แปรปรวนของคริส และคริสเองก็ไม่มีสิทธิ์ไปข่มขู่ซูฮยอกแบบนั้น มันช่างเป็นนิสัยอันเลวร้ายที่คริสแก้ไม่หายเสียที

    “ห้องน้ำไปทางไหนเหรอครับ? ผมจะไปอาบน้ำ ผมรู้สึกเหนอะตัวไปหมดแล้ว”

    “เดี๋ยวสิ..” เมื่อจุนมยอนทำท่าจะลุกขึ้น ร่างสูงก็รีบเอื้อมมือไปคว้าแขนเล็กเอาไว้ “ฉันยังกินไม่หมดเลย รอฉันก่อนสิ”

    “คุณจะไปอาบน้ำกับผมงั้นเหรอ?”

    “อืม ฉันจะอาบด้วย”

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    จุนมยอนกำลังสนุกสนานอยู่กับการอ่านเว็บตูนบนโทรศัพท์ ในขณะที่ลาดไหล่ของเขาถูกริมฝีปากหนาไล่จูบวนซ้ำไปมาจากด้านหลัง เด็กหนุ่มเอียงหัวนิดหน่อยเพื่อให้ร่างสูงจูบถนัดขึ้น แต่ดูเหมือนว่าจูบของคริสจะไม่สามารถดึงดูดความสนใจจากร่างเล็กได้

     

    “ในโทรศัพท์นั่นมีดีอะไรนักหนาเหรอ? นายถึงได้เอาแต่หัวเราะไปกับมัน”

    “ก็การ์ตูนเรื่องที่ผมชอบมันเพิ่งอัพนี่นา”

    “เอาไว้อ่านก่อนนอนก็ได้ไม่ใช่เหรอ?”

    “ไม่ได้ครับ ผมน่ะ.. หัวถึงหมอนทีไรก็หลับทันที แถมยังหลับเป็นตายด้วย”

    “หึ..” คริสส่งเสียงในลำคอ และสุดท้ายเขาก็ใช้มือเปียกๆ ของเขามาคว้าโทรศัพท์ออกจากมือของจุนมยอนและวางมันเอาไว้บนขอบอ่างทางด้านหลังของเขา “อยู่กับฉันก็ต้องห้ามสนใจสิ่งอื่นๆ นอกจากฉัน”

    “เผด็จการ”

    “แล้วชอบไหมล่ะ?”

    “ฮ่าๆ ถามอะไรแบบนั้นล่ะครับ” จุนมยอนหัวก่อนจะเอนกายพิงหลังไปกับอกแกร่งของคริส ปล่อยให้ร่างสูงใช้มือลูบไล้ต้นขาของเขาอยู่ใต้ผืนน้ำ ในขณะที่จุนมยอนนั้นคว้าเอาฟองสบู่มาเป่าเล่น “วันนี้คุณจะไปส่งผมที่หอพักใช่ไหม?”

    “มันดึกแล้ว นอนที่นี่ล่ะ”

    “นอนได้ด้วยเหรอครับ?”

    “อืม” คริสตอบออกมาสั้นๆ เขาก้มลงจูบขมับเด็กน้อยเบาๆ ก่อนจะกระซิบอะไรบางอย่างที่ทำให้จุนมยอนหลุดยิ้มออกมา “คืนนี้ฉันต้องการคนนอนกอด”

    “ว่าไงนะ?”

    “ฉันอยากได้คนนอนกอด”

    “อยากให้ผมนอนกอดคุณงั้นเหรอ? ถ้างั้นคุณก็ต้องขอร้องผมสิ ไม่ใช่มามัดมือชกกันดื้อๆ แบบนี้” จุนมยอนงอแง เขาดันตัวออกจากอ้อมกอดของคริส แล้วจึงเห็นว่าร่างสูงกำลังยิ้มบาง แต่สายตาของเขาช่างเจ้าเล่ห์เหลือเกิน

    “พูดสิครับ”

    “พูดอะไร?”

    “อ้อนผม”

    “ห๊ะ?”

    “บอกผมสิว่าคุณอยากให้ผมนอนกอด พูดแบบสุภาพๆ ไม่เอาแบบหยาบกระด้าง ห้วนๆ ไม่มีหางเสียงแบบที่คุณกำลังทำอยู่ตอนนี้”

    “ฉันพูดไม่เป็น” คริสยิ้มและเบนหน้าหนี แต่ก็ยังมิวายโดนจุนมยอนขยับเข้ามาใกล้พลางใช้มือยืดแก้มของเขาจนคริสร้องออกมา “อะๆ.. เจ็บนะ อย่าทำแบบนี้สิ”

    “ก็คุณปากแข็งอ่ะ ต้องยืดปากยืดแก้มให้มันอ่อนลงสักหน่อยจะได้พูดเพราะๆ เป็น”

    “เกี่ยวกันตรงไหนเนี่ย?”

    “พูดสิครับ แค่นี้เองนะ.. ทีผมยังปล่อยให้คุณเอาครีมมาละเลงตัวผมเลย” คำพูดของจุนมยอนทำให้คริสหลุดหัวเราะออกมาทันที เขาส่ายหัวพัลวันพลางเม้มปาก สายตาจ้องมองจุนมยอนอย่างเจ้าเล่ห์ เขาปล่อยให้จุนมยอนรออยู่เกือบนาทีแล้วจึงพูดออกมาสั้นๆ

    “นอนด้วยกันนะ”

    “ว่าไงนะ? ผมไม่ได้ยิน”

    “นอนด้วยกันนะ”

    “พูดดังๆ หน่อยสิ พูดด้วยความดัง 1 เดซิเบลแบบนั้นใครจะไปได้ยิน พูดให้มดฟังหรือไงฮะ? เฮ้ยยย!.. คุณคริส!” จุนมยอนยังบ่นไม่ทันขาดคำเขาก็ถูกแขนแกร่งคว้ากายเข้าไปหา ทำเอาน้ำในอ่างขนาดใหญ่กระเพื่อมสาดลงพื้นจนเปียกไปทั่วบริเวณ ขณะเดียวกันคริสก็ล็อกคอร่างเล็กเอาไว้ด้วยแขนสีคล้ำแดดของเข

    “นอนด้วยกันนะ” คริสกระซิบลงที่ข้างหูคนตัวเล็ก เด็กหนุ่มจึงย่นคอหนีเพราะลมหายใจร้อนที่เป่ารดลงมา บวกกับความเขินอายที่มีอยู่เป็นทุนเดิม

    “ก็.. ก็ได้ โอเค.. คืนนี้ผมจะนอนด้วย”

    “พอใจแล้วสินะ ทีนี้ก็นั่งเฉยๆ ได้แล้ว”

    “อื้อ” จุนมยอนพยักหน้า ตอนนี้เขากลายเป็นลูกแมวสุดเชื่องที่กำลังปล่อยให้คุณเจ้าของอาบน้ำให้อีกครั้ง เหนือผืนน้ำทุกอย่างดูปกติเสมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มีเพียงแค่ชายสองคนกอดกันอยู่ในอ่าง แต่ใต้ผืนน้ำนั้นแตกต่าง เพราะมือหนากำลังลูบวนไปตามหน้าท้องของจุนมยอน 


    สำหรับคริส นี่มันเหมือนราวกับเป็นความฝันที่แสนสวยงามจนทำให้เขาไม่อยากจะตื่น เขาไม่เคยได้กอดใครและรู้สึกดีแบบนี้กับใครมาก่อน มันเหมือนกับภาพยนตร์ตะวันตกที่ตัวเอกกอดคนรักของเขาเอาไว้ในอ่างอาบน้ำ ปล่อยให้คนรักของเขาเอนกาบพักพิง พวกเขาจับมือกันและเลิกสนใจโลกภายนอก เพราะเขาต้องการที่จะอยู่ในโลกส่วนตัวที่พวกเขาสร้างขึ้นมาเองกันแค่สองคน


    “ผมชอบให้คุณยิ้มแบบที่คุณยิ้มเมื่อกี้”

    “เหรอ?”

    “อืม”

    “งั้นก็อยู่ทำให้ฉันยิ้มแบบนี้ไปนานๆ สิ”

    “หา? อยู่ทำให้คุณยิ้มไปนานๆ เหรอ?” จุนมยอนหันไปทวนถามอีกหน และคำตอบที่ได้คือการที่คริสยักคิ้วให้ “อยู่ได้เหรอครับ?”

    “ได้”

    “จริงเหรอ?”

    “จริง”

    “แต่มีข้อแม้นะ”

    “ข้อแม้อะไรเหรอครับ?”

    “นายต้องหยุดรับงานทุกอย่าง เพราะต่อไปนี้ฉันจะเป็นคนดูแลนายเอง”

     

    - - - - - - - - - - - - - - -

     

     

    วันถัดมา

    รถยุโรปคันสีดำเคลื่อนไปบนท้องถนน แต่คราวนี้มันไม่ได้ตรงที่บริษัท W โดยตรงเหมือนวันก่อนๆ เพราะเส้นทางที่รถกำลังแล่นอยู่ในตอนนี้คือทางไปมหาวิทยาลัย K ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยของเด็กหนุ่มตัวขาว ผู้ที่กำลังนั่งอยู่เบาะหลังตรงริมหน้าต่าง

    ซูฮยอกมองเห็นเด็กของคุณคริสกำลังจับจ้องไปบนท้องถนน ในขณะที่เจ้านายของเขาเองกำลังยกแก้วกาแฟขึ้นมาดื่ม ซูฮยอกไม่รู้ที่มาที่ไปของเด็กคนนี้ แต่เขาคิดว่าเด็กหนุ่มคนนี้คงจะมีอะไรที่พิเศษว่าคนอื่นๆ เพราะไม่มีใครเคยได้มาเหยียบบ้านของคริสและได้นอนค้างคืนด้วยกันแบบนี้ ยิ่งไปกว่านั้นคือคริสพามาส่งถึงมหาวิทยาลัย นั่นนับว่าเป็นสิทธิพิเศษที่เหนือกว่าใครอื่นทั้งหมด

    ไม่ทันไรรถยุโรปคันสีดำก็จอดเทียบฟุตบาธของมหาวิยาลัย K เด็กหนุ่มจึงหันไปหาร่างสูงเจ้านายของซูฮยอกก่อนจะต้องบอกลา

     

    “ผมไปแล้วนะ”

    “เลิกเรียนแล้วโทรมาด้วยนะ ฉันจะรอ”

    “ครับ ขอบคุณที่มาส่ง ไว้ผมจะโทรหาแล้วกัน”

    “อืม” คริสพยักหน้าให้ มองดูจุนมยอนที่กำลังสะพายกระเป๋าเป้และกระชับเสื้อฮู้ดของเขา ก่อนที่เด็กน้อยจะทำอะไรบางอย่างที่ทำให้คริสแทบคุมความเขินอายของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่

     

    จุ๊บ..

     

    “ไปแล้วนะครับ” พูดจบก็รีบหนีความผิดจากการทิ้งบอมบ์ลูกใหญ่เอาไว้ จุนมยอนปิดประตูและวิ่งเข้ามหาวิทยาลัยไปทันที ปล่อยให้คริสนั่งหน้าแดงอยู่ในรถอชคนเดียวโดยมีซูฮยอกแอบสังเกตการณ์จากการมองผ่านกระจกหลัง เขาสาบานว่าเขาไม่เคยเห็นคริสเป็นแบบนี้มาก่อน ไม่เคยเห็นเจ้านายพยายามควบคุมรอยยิ้มโดยการเม้มปากและแกว่งแก้วกาแฟในมือไปมา และถึงแม้ว่าเขาจะพยายามอดกลั้นเอาไว้มากแค่ไหน แต่ดวงตาของเขานั้นแสดงออกมาอย่างชัดเจนว่ากำลังมีความสุขเหลือเกิน

    “ผมออกรถแล้วนะครับคุณคริส”

    “อืม” คริสพยักหน้า หลังจากนั้นรถยุโรปของเขาก็เคลื่อนตัวออกไปจากบริเวณมหาวิทยาลัย และเริ่มเข้าสู่เส้นทางที่จะนำพาพวกเขาไปยังบริษัท W “ซูฮยอก”

    “ครับ?”

    “เวลาอยู่ต่อหน้าจุนมยอน นายห้ามหลุดปากเรื่องคลินิกจิตเวชออกมาเด็ดขาด ฉันไม่อยากให้จุนมยอนรู้เรื่องนี้”

    “เข้าใจแล้วครับ”

     

     

     

    ตอนนี้สำหรับคริสแล้ว.. โจทย์ที่ยากกว่าบำบัดจิตใจให้หายเป็นปกติโดยไว คือการปิดบังอย่างไรไม่ให้จุนมยอนรับรู้ถึงความผิดปกติเหล่านี้

     

    - - - - - - - - - - - - - - -

     

     

     

    @mmangmoom : ตอนที่ 2 มาแล้วเจ้าค่ะ ล่อแหลมเหลือเกินค่ะคุณพี่ หลังจากอ่านตอนแรกกันมาแล้วมีใครไปฟังเพลง time lapse - Taeyeon บ้างมั้ยคะ? รู้สึกยังไงกันบ้างเอ่ย? เพราะใช่มั้ยล่ะคะ 55555555 อย่าลืมติดแท็ก #KHtimelapse กันนะคะ เรารออ่านอยู่น้าาา ฮือออ สำหรับตอนนี้คุณป๊ากับคุณม๊าก็ได้พัฒนาความสัมพันธ์ไปอย่างรวดเร็ว กราบในความไวนี้ 555555555555

     

    หากมีอะไรผิดพลาดต้องขออภัยด้วยนะคะ ส่วนคำผิดเราจะมาแก้พรุ่งนี้ค่ะ วันนี้มิไหวแล้ว อยากแก้แต่ไม่ไหวแล้วจริงๆ ง่วงมากๆ ก็เลยต้องเอามาลงก่อนแล้วเดี๋ยวพรุ่งนี้จะมาตามแก้ค่ะ

     

    ขอบคุณที่ตามอ่านกันนะคะ


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน
    นิยายแฟร์ 2024

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×