ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Legend of Sun Knight พลิกตำนานเทพอัศวิน 1

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 6: เมื่ออยู่ข้างนอกจงพึ่งพามิตรสหาย!

    • อัปเดตล่าสุด 16 ก.ย. 53


     Rule 6 กฎข้อที่หกของเทพอัศวินครีอุส : เมื่ออยู่ข้างนอกจงพึ่งพามิตรสหาย! ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นร่างไร้วิญญาณก็ต้องผูกมิตรเอาไว้ให้ดี

     

    ครีอุสจะไม่เป็นอะไรใช่ไหม พลังฟื้นตัวของเขาแข็งแกร่งนี่นา...”

    เจ้าไม่เห็นสีหน้าเขาตอนล้มลงไปหรือยังไง นั่นมันสีหน้าของคนตายชัดๆ

    หยาบคาย ใครตายกันหา! ข้าคิดจะพลิกตัว แต่กลับรู้สึกว่าทั้งเนื้อทั้งตัวมันหนักไปหมด ช่างเถอะ นอนต่อดีกว่า

    พระสังฆราช ครีอุสจะเป็นอะไรไหมขอรับ เขาไม่ขยับมาสองวันแล้ว...”

    นี่ข้าไม่ได้ขยับมาสองวันแล้วเหรอ มิน่าล่ะ ถึงรู้สึกเจ็บๆ ที่ก้น ทำไมถึงไม่มีใครช่วยพลิกตัวให้ข้าบ้าง! ถ้าเกิดเนื้อมันกดทับจนเน่าขึ้นมาจะทำยังไง!

    หัวหน้าเทพอัศวินครีอุสเนื้อเน่า...รู้ถึงไหนอายถึงนั่น!

    ข้าลองพยายามขยับเขยื้อนตัว แต่เหมือนการขยับจะทำให้พละกำลังที่ยังไม่ฟื้นคืนหมดไป สุดท้ายข้าก็หลับต่อโดยที่ไม่ได้ยินเสียงพูดที่อยู่ข้างๆ อีก

     

    ทำไงดี ครีอุสหมดสติไปห้าวันแล้วนะ ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเขาจะอ่อนแอจนตาย...”

    ออกไป!”

    อะไรนะ

    ข้าบอกว่าออกไปให้หมด!”

    ต่อจากนั้นก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้น ทั้งเสียงตะคอก เสียงพูดคุย สรุปคือน่ารำคาญสุดๆ!

    มีคนป่วยหนักอยู่ในนี้นะ เงียบๆ กันหน่อยได้ไหม!

    ข้าพลิกตัวอย่างหงุดหงิด หันก้นให้เสียงเอะอะหนวกหู แล้วก็นอนต่ออย่างมีความสุข

    ครีอุส! ตื่นเดี๋ยวนี้!”

    ข้ามุดหัวลงแล้วหลับต่อ

    เกรเซียส ครีอุส! เจ้าตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ!”

    ข้าตัวแข็งด้วยความตกใจ...เกรเซียสงั้นเหรอ

    อ้า! ไม่ได้ยินคนเรียกชื่อจริงของตัวเองมาตั้งนานจนเกือบลืมไปแล้วว่าข้าชื่อเกรเซียส

    นับแต่ข้าดำรงตำแหน่งเทพอัศวินครีอุส ใครๆ ก็พากันเรียกข้าว่าครีอุส นามสกุลข้าเลยพลอยเปลี่ยนเป็นครีอุส หัวหน้าเทพอัศวินทั้งสิบสององค์ต่างมีชื่อจริงของตัวเองทั้งนั้น แต่ปกติไม่มีใครเรียกชื่อของพวกเรา

    จนข้าแทบจะลืมไปแล้วว่าหัวหน้าเทพอัศวินทั้งสิบสองมีชื่อจริงกันว่าอะไรบ้าง อย่างเช่นหัวหน้าเทพอัศวินเคเรสมีชื่อจริงว่าไอเม่ หรือไอ้เหม็น ข้าก็จำไม่ค่อยได้แล้ว

    เรียกชื่อข้าซะเต็มยศขนาดนี้ ท่าทาง แลนซ์ เทอร์มิส จะโกรธเข้าให้แล้ว ถ้าข้ายังไม่ยอมลุกขึ้นจากเตียง สงสัยจะได้หลับยาวไปตลอดกาลแน่

    ข้าฝืนใจเปิดเปลือกตาขึ้น แล้วใช้เสียงแหบแห้งพูดประโยคแรกของห้าวันที่หลับไป

    ให้ข้านอนอีกสักพักจะตายหรือไง

    “...หือ

    ในที่สุดใบหน้าเคร่งเครียดของเทอร์มิสก็หลุดเก๊ก มุมปากของเขายกขึ้นยิ้มแล้วส่ายหัว ทำสีหน้า ข้าเอือมกับเจ้าซะจริงๆ จากนั้นก็หยิบถ้วยยื่นมาให้ข้า ในถ้วยมีข้าวต้มปลาหอมฉุยใส่เครื่องเทศที่ข้าชอบ เครื่องเทศเต็มไปหมดเลย!

    โครก...

    ข้าเด้งตัวขึ้นจากเตียงเหมือนสายพิณที่ถูกดีด ยื่นมือออกไปรับถ้วยข้าวต้มด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความอยากจนน้ำลายเกือบจะไหลออกมา

    มือของข้าเกือบจะแตะขอบถ้วยอยู่แล้ว แต่เสี้ยววินาทีนั้นเทอร์มิสกลับดึงถ้วยออกไป

    แลนซ์ เทอร์มิส!” ข้าเรียกชื่อเต็มยศของเขาด้วยความโกรธ

    แลนซ์ยื่นถ้วยให้ข้าพร้อมกับพูดช้าๆ ค่อยๆ กิน ห้าวันมานี้เจ้าดื่มแต่น้ำหวาน เกิดปวดท้องขึ้นมาจะแย่

    ข้ารับถ้วยมาแล้วค่อยๆ กินทีละคำๆ อย่างมีความสุข

    จริงๆ เจ้าน่าจะกินของจืดๆ ไม่น่าใส่เครื่องเทศ แลนซ์มองถ้วยข้าวต้มแล้วขมวดคิ้ว จากนั้นก็พึมพำเบาจนแทบไม่ได้ยินเสียง แต่ถ้าไม่ใส่ เจ้าก็คงไม่ยอมกินข้าวต้มจืดๆ

    เทอร์มิสผู้รู้ใจข้า ใครจะไปกินข้าวต้มจืดๆ กันเล่า!

    เทอร์มิสนั่งลงบนขอบเตียง ข้ากำลังกินข้าวต้มอยู่ แต่เขากลับหยิบเอกสารขึ้นมาทำงานต่อ เป็นคนที่ไม่ยอมให้เวลาสูญเปล่าจริงๆ

    ข้ากินจนหนำใจแล้ววางถ้วยลง ยกน้ำขึ้นมาดื่มทั้งขวด จึงพอดับความหิวกระหายของห้าวันที่ผ่านมาได้

    เทอร์มิสเห็นว่าข้ากินดื่มเรียบร้อยแล้วถึงวางเอกสารในมือลงแล้วเงยหน้าขึ้นมองข้า

    ต่อให้เขาไม่ได้พูดออกมา แต่ข้าก็รู้ดีว่าเขาต้องการให้ข้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้ฟัง ข้าจึงเริ่มเล่าตั้งแต่เรื่องที่ข้าไปหาพิ้งกี้

    ถึงเรื่องที่ข้ากับพิ้งกี้คบ...เฮ้ยๆ! คบอะไรที่ไหน แค่ ไปมาหาสู่ กันไม่ควรจะให้ใครรู้ แต่เทอร์มิสเป็นเพื่อนสนิทที่สุดของข้า ข้าไม่เคยปิดบังอะไรเขามาก่อน ดังนั้นเขาจึงรู้เรื่องของนักเวทสะกดวิญญาณที่มีชื่อว่าพิ้งกี้ด้วย

    พอฟังจบเทอร์มิสก็นั่งครุ่นคิด ส่วนข้าพยายามคลำตามข้างเตียง ยืดแขนจนสุดควานหาตามใต้เตียง...ข้าจำได้นะว่าเคยเอาเนื้อแห้งมาซ่อนไว้ หายไปไหนแล้ว อะฮ้า! เจอแล้ว!

    ข้าพยายามกัดเนื้อแห้งซึ่งชิ้นใหญ่กว่าหัวข้า แล้วเหลือบตามองสีหน้าของเทอร์มิส เขาทำหน้าเคร่งเครียดเป็นปกติเหมือนที่ข้าก็ยิ้มเป็นปกติ แต่ในห้องที่ปิดประตูเอาไว้ไม่มีใครเห็นข้างใน เราสองคนจะทำตัวบ้าบอยังไงก็ได้ เหมือนเมื่อกี้ที่ข้าก้มหัวก้นชี้ฟ้าควานหาเนื้อแห้งนั่นล่ะ

    เทอร์มิสเงยหน้าขึ้นมาด้วยความสงสัย พอเห็นข้ากำลังกัดเนื้อแห้ง สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปพร้อมกับคว้าเนื้อแห้งของข้าไปด้วย แล้วตวาดใส่ข้าว่า เจ้าอยากตายเหรอไง

    ข้าทำหน้าตาให้น่าสงสาร แต่ข้ายังหิวอยู่เลย...”

    เดี๋ยวสายๆ ข้าจะเอาข้าวต้มมาให้อีกชาม เทอร์มิสไม่ยอมท่าเดียว ถึงขนาดเอาเนื้อแห้งของข้าไปซุกไว้ในอกเสื้อ ไม่ยอมให้ข้ากิน

    ข้าตรวจสอบดาบที่เจ้าเอากลับมาด้วยแล้ว เทอร์มิสก็คือเทอร์มิส พูดอะไรมีแต่เนื้อ ไม่ต้องน้ำ

    ข้าพยายามใช้ความคิดแล้วถึงนึกออกว่าน่าจะเป็นดาบที่ข้าขโมยมาจากอัศวินที่ถูกข้าถีบคนนั้น จากกระท่อมในลานลงทัณฑ์

    หืม แล้วหาได้หรือยังว่าดาบเล่มนั้นเป็นของใคร

    บนปลายดาบมีตราดอกกล้วยไม้ สัญลักษณ์ประจำตระกูลกาแลนอยู่ คนที่สามารถสร้างบาดแผลบนไหล่ให้เจ้าจนเจ้าเลือกที่จะหนี อย่างน้อยก็น่าจะเป็นอัศวินชั้นสูง แล้วตระกูลกาแลนก็มีอัศวินชั้นสูงแค่สามคนเท่านั้น คือบุตรชายคนที่สามของเอิร์ลกาแลน กับอัศวินรับใช้อีกสองคน

    เป็นคนไหน ข้าไม่ลังเลที่จะถาม เพราะเชื่อในความสามารถของเทอร์มิส อาศัยแค่ดาบที่ข้าเอากลับมาด้วย เขาก็น่าจะหาความจริงได้เกือบทั้งหมด

    เทอร์มิสเงียบไปสักพักแล้วจึงพูดต่อ คนที่บุตรชายคนที่สามของเอิร์ลกาแลนรับใช้คือเจ้าชาย

    ข้าเองก็นิ่งไป แล้วถามด้วยความไม่อยากเชื่ออีกครั้ง แน่ใจเหรอว่าเป็นบุตรชายคนที่สามของเอิร์ลกาแลน

    ถึงข้าจะถามออกไปแบบนั้น แต่สิ่งที่ข้าอยากจะถามจริงๆ ก็คือเรื่องนี้เป็นฝีมือของเจ้าชายจริงๆ เหรอ

    การจะให้อัศวินคนหนึ่งที่ถือเอาศักดิ์ศรีเป็นเรื่องสำคัญลงมือฆาตกรรมได้ก็มีแต่คำสั่งของเจ้านายเท่านั้น ถ้าหากบุตรชายคนที่สามของเอิร์ลกาแลนเป็นอัศวินของเจ้าชาย ถ้าอย่างนั้นคนที่ลงมือกับอัศวินแห่งความตายก็จะเป็นใครอื่นไปไม่ได้...

    เทอร์มิสพยักหน้า อัศวินชั้นสูงที่เป็นข้ารับใช้ของเอิร์ลกาแลนอีกสองคน คนหนึ่งไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง อีกคนหนึ่งก็ออกลาดตระเวนอยู่ในเมืองทั้งวัน มีอัศวินที่ติดตามอีกกลุ่มหนึ่งเป็นพยานได้

    เจ้าชาย...จะทารุณคนคนหนึ่งจนถึงตายเชียวเหรอ ข้ารู้สึกแปลกๆ ยังไงๆ เจ้าชายก็ไม่น่าจะเป็นคนเลว ด้วยนิสัยที่อ่อนโยนนุ่มนวล เจ้าชายจะลงมือทำเรื่องอย่างนั้นได้ยังไง

    พอข้าพูดประโยคนั้นจบ ห้องทั้งห้องก็เข้าสู่ความเงียบ บรรยากาศเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ อาจจะเป็นเพราะคดีนี้ได้เข้าไปพัวพันกับเจ้าชาย ดังนั้นเรื่องราวจึงซับซ้อนยิ่งขึ้น ถ้าสืบสวนออกมาแล้วเจ้าชายผิดจริง เราจะต้องนำผู้สืบทอดบัลลังก์เพียงคนเดียวของแคว้นขึ้นสู่ลานประหารอย่างนั้นเหรอ

    ข้างนอกนั่น...” เทอร์มิสเปิดปากขึ้นอีกครั้ง แต่พูดได้แค่สองคำก็กลับไปนิ่งเหมือนเดิม

    ข้ามองหน้าเทอร์มิส รู้สึกว่าวันนี้เขาดูแปลกไป ปกติเวลาที่เราอยู่กันแค่สองคน เจ้าหมอนี่จะยิ้มแย้มทำตัวตามสบาย ถึงบางทีอาจจะยิ้มแข็งๆ ไปบ้างเพราะไม่ค่อยได้ยิ้ม พอจับคู่กับหน้าโหดๆ ของเขาเลยดูน่าหัวเราะก็ตาม

    แต่วันนี้เทอร์มิสดูเครียดกว่าปกติ รอยยิ้มในตอนแรกก็เหมือนเป็นรอยยิ้มหลอกๆ แบบเดียวกับที่ข้ายิ้มในชีวิตประจำวัน

    ข้ามองเขา เขาก็มองข้า บรรยากาศกดดันที่ไม่เคยมีมาก่อนโอบล้อมเราทั้งสองคนเอาไว้ ปกติดวงตาดำของเทอร์มิสจะมั่นคง แต่ตอนนี้มันกำลังสั่นไหวน้อยๆ ข้ารู้สึกถึงความลำบากใจของเขาจากคิ้วที่ขมวดแน่น

    เป็นอะไร...” ข้าขยี้ผมสีทองประกายของตัวเองพร้อมกับผลักเจ้าเทอร์มิส มีอะไรก็ว่ามาสิ ไม่ต้องมาปิดบังข้า ไม่งั้นข้าโกรธเจ้าจริงๆ ด้วย

    เทอร์มิสลังเลอยู่สักพัก แต่พอข้าพูดเด็ดขาดขึ้นมา เขาจึงได้แต่ถอนใจแล้วเล่าให้ฟัง ตอนนี้คนทั้งเมืองต่างพูดกันว่าเจ้าเป็นคนทรมานเทพอัศวินคนนั้นจนตาย

    ได้ยินเช่นนั้นข้าก็เงียบไปด้วยความตกใจ เทอร์มิสเล่าให้ฟังต่อ

    พระสังฆราชมีคำสั่งมาว่าไม่ต้องสืบหาความจริงแล้ว สิ่งที่ต้องทำตอนนี้คือทำยังไงก็ได้ที่จะป้ายความผิดให้กับอัศวินแห่งความตาย ให้มันยอมพูดว่ามันเป็นฆาตกร ส่วนเจ้าเป็นคนจับกุมมันมา แต่มันไม่ยอมรับผิด สุดท้ายจึงถูกข้าสำเร็จโทษ สำหรับเหตุผลที่มันมีความแค้นกับเจ้าก็เพราะเจ้าน่ะเองที่จับตัวมันมาได้

    ตอนที่เทอร์มิสพูดประโยคนี้ ท่าทางของข้าสงบนิ่งเหมือนกำลังฟังข้อเท็จจริงอยู่

    แต่เห็นๆ อยู่ว่ามันเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น!

    ตอนนี้ข้ารู้สึกโกรธจนแทบระเบิด ไม่รู้ว่าโกรธเพราะอัศวินแห่งความตายตนนั้นถูกใส่ร้าย หรือโกรธที่ข้าลากสังขารไปสืบคดีจนเกือบตาย แต่กลับพบว่าไม่ต้องสืบคดีอีกต่อไปแล้ว!

    ความโกรธของข้าเหมือนไฟที่กำลังโหมกระพือ เพียงพริบตาเดียวก็จะลามเหมือนไฟลามทุ่ง เผาทำลายตัวข้าอย่างร้ายกาจ แต่ที่น่าแปลกคือตอนนี้มือเท้าของข้ากลับรู้สึกเย็นเฉียบเหมือนน้ำแข็ง

    เจ้าใจเย็นก่อน เทอร์มิสรู้สึกถึงความผิดปกติ จึงตบไหล่ปลอบใจข้า

    ข้าปัดมือของเขาออก คราวนี้เราทั้งสองพากันนิ่งไป

    เขาชักมือกลับและยังนิ่งเงียบเหมือนเก่า แต่ข้าห้ามใจไม่ไหวถามเขาไปว่า เจ้าก็ไม่เชื่อใช่ไหมว่าข้าไม่ได้ฆ่าอัศวินแห่งความตายตนนั้น

    เทอร์มิสนิ่งไปก่อนเงยหน้าขึ้นมองข้า สักพักจึงยอมพูดออกมา ข้าเชื่อในหลักฐาน

    พอฟังประโยคนี้ข้าชักรู้สึกแย่ขึ้นมาจริงๆ แล้ว

    เทอร์มิสพยายามอธิบายให้เข้าใจ สถานการณ์ตอนนี้คือคนที่ฆ่าอัศวินแห่งความตายอาจจะเป็นเจ้าชาย แล้วให้อัศวินรับใช้เอาร่างไปทิ้งที่ลานลงทัณฑ์...”

    แต่ก็อาจจะเป็นฝีมือข้าอยู่ดี! ใช่ไหม!”

    ข้าตะเบ็งเสียงแทรกคำพูดของเขา เทอร์มิสตกตะลึงไปสักพัก แต่ไม่ได้ปฏิเสธคำพูดของข้า ทำให้ข้ายิ่งรู้สึกโกรธจนควบคุมตัวเองไม่ได้

    ในเมื่อคนที่อัศวินแห่งความตายต้องการทำร้ายคือข้า เรื่องในกระท่อมที่ลานลงทัณฑ์ข้าเป็นคนเล่า ดาบเล่มนั้นข้าก็เป็นคนเอากลับมา ไม่แน่ว่าเรื่องนี้ข้าอาจจะเป็นคนวางแผนทั้งหมด เสร็จแล้วโยนความผิดให้เจ้าชายซะ พอเป็นแบบนั้นก็ไม่มีใครกล้าสืบต่อแล้วว่าเจ้าชายเป็นคนผิดจริงหรือเปล่า ใช่ไหมท่านเทอร์มิส

    ข้าพูดรวดเดียวจบ รู้สึกโกรธจนลมออกหู หน้าอกกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรงซึ่งไม่รู้ว่าเป็นเพราะข้าพูดจนเหนื่อย หรือเป็นเพราะไฟที่สุมอยู่ในอกข้ากำลังจะระเบิดออกมากันแน่

    เทอร์มิสเงียบไปนาน...นานมาก...สุดท้ายจึงยอมพูดออกมาว่า ก็เป็นไปได้

    เจ้าไปตายซะ!” ข้าตวาดอย่างหงุดหงิด

    จะต้องทำอะไรสักอย่าง ข้ากระโดดลุกออกจากเตียงไปเปิดตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อคลุมออกมา จากนั้นก็มองดาบเทพครีอุส ชั่งใจว่าจะนำของสิ่งนี้ไปด้วยดีไหม แต่สุดท้ายก็คิดว่าไม่เอาไปดีกว่า เพราะยังไงๆ ข้าก็ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะทำอะไร เพียงแค่ตอนนี้กำลังรู้สึกแย่มากๆ ก็เท่านั้น!

    ครีอุส เจ้าจะไปไหน ร่างกายของเจ้า...” เทอร์มิสผุดลุกขึ้น ท่าทางไม่เห็นด้วย

    จะไปถามพิ้งกี้ให้รู้เรื่อง!” ข้าตัดบทเทอร์มิส จากนั้นพาลใส่เขาต่อ ถ้าเจ้าต้องการก็เพิ่มข้อหาคบหากับนักเวทสะกดวิญญาณให้ข้าด้วยแล้วกัน

    เจ้า...!” เทอร์มิสหน้าตึงจนเกือบจะปริออก

    ซวยแล้ว! ข้าเริ่มไม่สบายใจซะแล้ว ไม่น่าพูดประโยคเมื่อกี้นี้ออกไปเลย เพราะมันทำให้เทอร์มิสโกรธขึ้นมาจริงๆ...เฮอะ! ข้าไม่สน เขาโกรธ แต่ข้าโกรธมากกว่า!

    ยังไงๆ ก็ต้องไปคุยกับพิ้งกี้ให้รู้เรื่องก่อน ใจข้าน่ะวิ่งไปที่กระท่อมของพิ้งกี้แล้ว พอคว้าเสื้อคลุมได้ก็ทำท่าจะออกจากห้อง แต่ก่อนหน้านั้นเพียงวินาทีเดียวก็นึกเรื่องสำคัญขึ้นมาได้ จึงหันไปบอกกับเทอร์มิสว่า นี่ ห้ามแพร่งพรายคำพูดของพระสังฆราชเด็ดขาด ข้าจะออกไปสืบหาความจริงเอง

    พอข้าพูดจบ เทอร์มิสก็นิ่งไปอีกจนทำให้ข้ารู้สึกตื่นๆ ปกติเพื่อนคนนี้จะรับปากข้าไม่ว่าเรื่องใดๆ ในทันที เช่นจัดการเรื่องทะเลาะเบาะแว้ง ช่วยข้าสืบคดี ลงโทษคนเพื่อความยุติธรรม แต่คราวนี้เขากลับเงียบ...ซวยจริงๆ ด้วย! ข้าไม่น่าทำให้เขาโกรธเลย

    โชคดีที่เทอร์มิสใจกว้างกว่าที่ข้าคิด เขาแค่กำลังใคร่ครวญ ข้าถ่วงเวลาได้มากที่สุดก็สามวัน

    ได้! สามวัน!”

    พอพูดจบข้าก็ดึงหมวกผ้าคลุมขึ้นมาคลุมหัว แล้วหมุนตัวเดินออกจากห้องไปทันที

     

    ขออมยิ้มรสสตรอเบอรี่ที่ใหญ่ที่สุด หวานที่สุด สีชมพูที่สุด!”

    ข้าโยนเงินหนึ่งเหรียญเงินแลกเปลี่ยนกับอมยิ้มที่ใหญ่กว่าหัวกลวงๆ ของข้าซะอีก ในชั่วพริบตาข้าก็รู้สึกเสียดายขึ้นมา เงินเก็บสะสมยามเกษียณของข้าหายไปแล้วอีกหนึ่งเหรียญเงิน!

    ข้าหยุดความเสียดายแล้วเดินหากระท่อมของพิ้งกี้ ไม่รู้หล่อนทำนายเอาไว้ก่อนว่าข้าจะมา หรือแค่ออกมาอาบแดดเฉยๆ สรุปคือเมื่อตอนที่ข้าไปถึง หล่อนก็ยืนพิงประตูมองอมยิ้มรสสตรอเบอรี่ในมือข้าจนน้ำลายไหลยืดเป็นทาง

    พอเข้ามาในกระท่อมได้ข้าก็ถือโอกาสยกอมยิ้มขึ้นสูงจนนักเวทสะกดวิญญาณที่เหมือนเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ต้องกระโดดคว้าอย่างตะกละ เมื่อทำยังไงก็คว้ามาไม่ได้ สุดท้ายหล่อนจึงทำปากยื่น แก้มป่อง ลงไปนั่งยองๆ กับพื้นแล้วมองข้าด้วยความไม่พอใจ

    อัศวินแห่งความตายกลับมาที่นี่อีกไหม ข้าถามพร้อมกับแกว่งอมยิ้มในมือ

    พิ้งกี้กลืนน้ำลายเอื๊อก มา

    ฮ่า! เรื่องค่อยๆ เปิดเผยขึ้นแล้ว

    มันยังฟังคำสั่งของเจ้าอยู่ไหม

    มันไม่เคยฟังคำสั่งของข้า ข้าสั่งให้มันกวาดพื้นกับเช็ดโต๊ะ มันกลับหายไปไม่สนใจข้าสักนิด พิ้งกี้บ่นปากยื่นปากยาว

    ให้อัศวินแห่งความตายกวาดพื้นกับเช็ดโต๊ะ...เอาเถอะ ขนาด เทพอัศวินครีอุส ยังซื้ออมยิ้มให้หล่อนเลย ถ้าจะให้อัศวินแห่งความตายช่วยกวาดพื้นก็ยังถือว่าไม่แปลกเท่าไหร่

    ใช่แล้ว! ครีอุส เจ้าอย่าไปยุ่งกับมันเชียวนะ ตอนนี้มันแข็งแกร่งมาก เจ้าเอาชนะมันไม่ได้หรอก

    ข้ามองพิ้งกี้ด้วยความแปลกใจ เจ้าผีดิบที่ดีแต่ก่อเรื่องบอกให้ข้าอย่าไปยุ่งกับอัศวินแห่งความตายงั้นเหรอ

    พิ้งกี้พูดงึมๆ งำๆ ถ้าเกิดเจ้าถูกอัศวินแห่งความตายสับเป็นชิ้นๆ ข้าก็จะปลุกเจ้าให้ฟื้นคืนชีพไม่ได้ อย่างนั้นข้าก็ไม่มีลูกศิษย์น่ะสิ

    พอพูดจบหล่อนก็ดึงหมวกผ้าคลุมของข้าออกแล้วมองอย่างคาดหวัง เมื่อไหร่เจ้าจะมาเป็นลูกศิษย์ข้าซะที

    รอให้ข้าตายก่อนแล้วค่อยว่ากัน

    ประโยคนี้ไม่ใช่ประโยคปฏิเสธ!

    เมื่อหลายปีก่อนตอนที่ข้ายังเด็กอยู่และไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ลุล่วง ข้ามักไปขอให้พิ้งกี้ช่วยเหลือ แต่หล่อนไม่ยอมช่วยข้าฟรีๆ อยู่แล้ว ข้าจึงต้องสัญญาว่าจะให้อมยิ้ม เสื้อผ้าสีชมพูหลายๆ ชุด ร่างไร้วิญญาณชายหญิงที่ยังครบถ้วนสมบูรณ์...ทำให้ข้าต้องใช้เวลาถึงสิบวันขุดสุสานหาศพที่สมบูรณ์ที่สุด

    สุดท้ายข้าไม่มีอะไรจะให้ จึงกัดฟัน ก็ได้! ถ้าอย่างนั้นก็เอา ร่างหลังความตายของข้าเป็นสิ่งตอบแทนแล้วกัน

    จากนั้นมาข้าก็ไม่กล้าขอร้องให้พิ้งกี้ช่วยอะไรอีกเลย เพราะกลัวว่าแม้แต่ ร่างวิญญาณก็ต้องให้ไปด้วย

    ความอาฆาตของอัศวินแห่งความตายตนนั้นคืออะไร ข้าชูอมยิ้มสูง หวังว่าอมยิ้มที่ข้าใช้เงินสะสมถึงหนึ่งเหรียญเงินซื้อมาจะทำให้พิ้งกี้ยอมบอกความจริง

    พิ้งกี้ใช้มือทั้งสองข้างจับแก้มเอาไว้ มองอมยิ้มอย่างไม่พอใจ ไม่รู้ มันไม่ยอมบอก

    แล้วใครเป็นคนฆ่ามัน

    พิ้งกี้มองข้าเหมือนไม่เข้าใจ ก่อนตอบด้วยความมั่นใจว่า ไม่ใช่เจ้าหรือไง

    ข้าไม่ได้ฆ่า!” ข้าชักจะกรุ่นขึ้นมาแล้ว

    อ้อ ไม่ใช่เจ้าเหรอ...” พิ้งกี้ลากหางเสียงยาว ตวัดสายตาไปทางอื่น เห็นชัดๆ ว่าไม่ได้เชื่อข้าเลยสักนิด

    ยัยบ้าเอ๊ย...ข้าโกรธจนกัดฟันกรอด แต่ก็ไม่กล้าใช้ฟันกัดพิ้งกี้จริงๆ หรอก เพราะข้าอาจจะตายเพราะอาหารเป็นพิษจากการกินเนื้อเน่าๆ ก็ได้!

    แต่ตอนนี้ข้ายังต้องพึ่งหล่อน จึงพยายามใช้ความสามารถในการยิ้ม ยิ้มขมขื่น ไร้เดียงสา และน่าสงสารที่สุด แบบที่ว่าถ้ามีผู้หญิงสิบคนมาเห็นเข้า เก้าในนั้นจะต้องเกิดความรู้สึกแบบสัญชาตญาณความเป็นแม่ จากนั้นก็จะค่อยๆ...เฮ้อ! หมายถึงจะต้องเห็นใจในความทุกข์ยากของข้าอย่างแน่นอน

    แต่ไม่เป็นอย่างที่คิด อยู่ๆ แววตาของพิ้งกี้ก็เป็นประกาย แล้วหล่อนก็วิ่งตรงเข้ามาหาข้าด้วยความดีใจเหมือนลูกไฟที่พุ่งเข้ามา จากนั้นยกแขนทั้งสองข้างขึ้นสูงเหมือนจะขอให้ข้าอุ้ม สุดท้าย...หล่อนก็คว้าอมยิ้มในมือของข้าไป

    ข้ามองมือที่ว่างเปล่าของตัวเองแล้วนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อกี้นี้ข้าลืมชูอมยิ้มขึ้น พิ้งกี้เห็นเป็นโอกาสที่จะแย่งอมยิ้มจากมือข้า ถึงได้วิ่งพุ่งตรงเข้ามาอย่างนั้น!

    ตอนนี้ไม่มีแม้แต่อมยิ้ม แล้วข้าจะขอให้พิ้งกี้ช่วยยังไงดี จะเอาร่างตัวเองเข้าแลกทั้งๆ ที่ยังไม่ตายก็ไม่ได้! ข้าลงไปนั่งกองกับพื้นด้วยความอ่อนล้า

    พิ้งกี้นั่งยองๆ เลียอมยิ้มอยู่ข้างๆ ข้า ยังดีที่หล่อนยังรู้จักเอื้อมมือมาปลอบใจข้าบ้าง อย่าเพิ่งท้อแท้ ครีอุส ถ้าเจ้าไม่ได้ทำจริงๆ ก็ออกไปหาฆาตกรตัวจริงซะสิ

    เจ้าพูดง่ายนี่ เหลือทนจริงๆ เรื่องนี้มันเกี่ยวพันถึงเจ้าชายด้วย จะให้ข้าเดินไปถามบุตรชายคนที่สามของเอิร์ลกาแลนว่า นี่! ตกลงเรื่องนี้เป็นฝีมือของเจ้าชายใช่ไหม อย่างนั้นเหรอ

    พิ้งกี้เอียงหน้าคิด ไม่อย่างนั้นเจ้าก็จับเขามา เดี๋ยวข้าช่วยถามให้ฟรีๆ เลย

    “...เจ้าว่าข้อหาที่ข้าทรมานคนจนตาย กับข้อหาไปมาหาสู่กับนักเวทสะกดวิญญาณ อย่างไหนโทษหนักกว่ากัน

    พิ้งกี้ทำสีหน้าด่าข้าว่า บัวใต้ตม แล้วส่ายหัวพูดกับข้าว่า เจ้าโง่! เจ้าปลอมตัวไปจับเขามาไม่ได้เหรอไง

    ได้ยินอย่างนี้ข้าค่อยปลื้มหน่อย ไม่ว่าใครก็ตามที่ตกมาอยู่ในกำมือของพิ้งกี้ล้วนต้องยอมพูดความจริงออกมาทั้งนั้น เท่ากับเบาแรงข้าแล้ว...

    ไม่สิ! บุตรชายคนที่สามของเอิร์ลกาแลนเป็นอัศวินชั้นสูงที่แข็งแกร่งมาก! ถึงข้าจะมีพลังเวทกับดาบเทพครีอุสที่สามารถเอาชนะเขาได้ แต่การเอาชนะกับการจับเป็นมันคนละเรื่องกัน!

    อีกอย่างคนของตระกูลกาแลนทั้งหมดต้องออกมาช่วยเขาแน่ ถึงตอนนั้นข้าจะตายยังไงยังไม่รู้เลย!

    เขาแข็งแกร่งเกินไป รอบตัวก็มีคนคุ้มกันมากมาย ข้าจับเขามาไม่ได้หรอก ข้าท้อยิ่งกว่าเดิมซะอีก

    ใครว่า เจ้าเป็นคนที่ข้าอยากให้เป็นลูกศิษย์เชียวนะ

    พิ้งกี้ทำปากยื่น จากนั้นจึงจับมือข้าลากลึกเข้าไปในกระท่อม ถึงเจ้าผีดิบตนนี้จะดูเหมือนเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง แต่แรงเยอะอย่างกับวัว ข้าจึงปล่อยให้หล่อนลากไปโดยที่ไม่ได้สลัดมือออก

    ฮือๆ! โดนเด็กผู้หญิงลากถูลู่ถูกังแบบนี้มันน่าอนาถจริงๆ!

    ปัง!

    หล่อนลากข้าเข้ามาในห้องแล้วลงกลอนประตู จากนั้นจึงปล่อยมือข้า ส่วนตัวเองวิ่งไปที่หีบใบใหญ่ด้านข้างแล้วรื้อของสารพัดออกมากองโต ศพรับใช้ ของหล่อนคอยตามเก็บของที่หล่อนรื้อออกมาอย่างรู้หน้าที่

    ข้ายืนมองพิ้งกี้รื้อของไปเรื่อยๆ จนกระทั่งกางเกงในลายดอกไม้ของเด็กผู้หญิงหล่นแหมะอยู่บนหัวของข้า ข้าถึงทนไม่ไหว เจ้ากำลังหาอะไรอยู่กันแน่

    นี่ไง!” พิ้งกี้ร้องเสียงดังด้วยความดีใจ จากนั้นก็หยิบตราขนาดเท่าฝ่ามือออกมาจากก้นหีบ

    ข้าจ้องตราที่พิ้งกี้ถือเดินเข้ามา หล่อนติดมันไว้บนหน้าอกของข้า ข้าก้มหน้ามอง มันเป็นตราสีดำที่มีลายมังกรสีเงินอยู่ตรงกลาง ลวดลายเรียบง่าย แต่พอนำมาประดับแล้วกลับดูงดงามน่ามอง

    แต่ในบ้านของพิ้งกี้ นอกจากอมยิ้มสตรอเบอรี่แล้วยังมีวัตถุอันตรายประเภทต่างๆ อยู่ด้วย ตั้งแต่วัตถุอันตราย วัตถุอันตรายมากๆ วัตถุอันตรายสุดๆ ไม่ว่าวัตถุอันตรายชนิดไหนบนโลกใบนี้หล่อนมีหมด เพราะฉะนั้นไม่มีทางเด็ดขาดที่เครื่องประดับที่หล่อนมีจะไม่อันตราย

    นี่คืออะไร ข้าถามตื่นๆ ทำไมต้องเอาตราที่ไม่รู้ว่าอันตรายแค่ไหนมาติดไว้บนอกข้าด้วย!

    โอ๊ย!”

    พิ้งกี้เอาเล็บมากรีดนิ้วข้า แล้วดึงมือข้ามาวางบนตรา ปล่อยให้เลือดหยดลงบนตรานั้น ทันใดนั้นตรามังกรก็เปล่งแสงสีเงินออกมา ข้าเข้าใจแล้ว นี่เป็นการแสดงว่าข้าคือเจ้านายของมัน

    พวกเครื่องรางเหล่านี้ส่วนใหญ่ต้องใช้เลือดหรือไม่ก็ขั้นตอนที่วุ่นวายมากกว่านั้น เช่นอาจจะต้องร่ายเวทเพิ่ม พอมันยอมรับเจ้านายของมันแล้ว ถึงจะยอมสำแดงอำนาจที่มันมีออกมา

    ยกตัวอย่างเช่นดาบเทพครีอุสจะต้องใช้เวทที่ซับซ้อนสุดๆ บวกกับเลือดจำนวนมากของข้า ถึงจะสามารถถ่ายโอนกรรมสิทธิ์จากท่านอาจารย์มาเป็นข้าได้ หลังจากนั้นก็จะมีแค่ข้าเพียงคนเดียวที่สามารถทำให้ดาบเทพครีอุสแสดงพลังที่แท้จริงของมันออกมา ถ้าคนอื่นมาใช้ มันจะเป็นเพียงดาบเหล็กธรรมดาๆ เท่านั้น

    จุดเด่นของวัตถุที่ต้องผ่านกระบวนการแสดงความเป็นเจ้าของก็คือ มันจะกลายเป็นของล้ำค่า กลายเป็นของหายาก และมีราคาสูงลิ่ว!

    ถึงจะมีเหรียญทองเต็มห้องสมบัติของตัวเองก็อาจจะหาซื้อไม่ได้ เพราะฉะนั้นการที่พิ้งกี้ให้ข้าโดยที่ไม่คิดค่างวดแบบนี้ ถ้าจะบอกว่าไม่คิดอะไรเลยก็คงจะเป็นการโกหก

    ข้าว่าพิ้งกี้น่าจะรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะเลือดของข้าเรียกได้ว่าแทบจะเป็นสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลก และยังเป็นสิ่งที่พวกศาสตร์มืดทั้งหลายหวาดกลัวที่สุดในโลกอีกด้วย

    เสร็จแล้ว!”

    พิ้งกี้ถอนใจเฮือกพร้อมกับชักมือตัวเองกลับไป แล้วตราในครอบครองของหล่อนก็กลายมาเป็นของข้า ข้าแกะตราออกจากอกเสื้อ ยกตราขึ้น ถามด้วยความแปลกใจ นี่คืออะไร

    แววตาของพิ้งกี้เหมือนกำลังรู้สึกสนุก จากนั้นก็เร่งข้ายิกๆ เจ้าพูดสิว่า อาภรณ์แห่งมังกร ในนามของผู้สืบทอดแห่งมังกร ข้าขอสั่งเจ้า จงฟื้นขึ้น ณ บัดนี้!’ ”

    ข้าไม่ค่อยไว้ใจเท่าไหร่ คาถาเชยๆ แบบนี้มาจากเทพองค์ไหนกันเนี่ย...

    แต่ข้าก็คิดว่าพิ้งกี้คงไม่แกล้งข้าหรอก เพราะถ้าจะทำก็ไม่เห็นต้องหาเรื่องให้มันยุ่งยากขนาดนี้ก็ได้ ข้าจึงยอมท่องตาม อาภรณ์แห่งมังกร ในนามของผู้สืบทอดแห่งมังกร ข้าขอสั่งเจ้า จงฟื้นขึ้น ณ บัดนี้!”

    ทันทีที่พูดจบตราก็สั่นอย่างรุนแรง จากนั้นก็ลอยขึ้นจากฝ่ามือของข้า เปล่งแสงสีเงินจ้าบาดตาจนข้าต้องหลับตาหนี รู้สึกแค่ว่าตรานั้นเข้ามาติดอยู่บนอกข้า แรงพอๆ กับถูกตบด้วยฝ่ามือ จากนั้นมันก็ขยายขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายคลุมไปทั่วแผงอก ลามไปถึงแผ่นหลังและแขนขา...

    เอาจริงๆ นะ ข้ากลัวแทบบ้า ใครจะไปรู้ว่าเจ้าตรานี่เป็นวัตถุอันตรายประเภททำลายล้างโลกหรือเปล่า แต่ก็เหมือนสายธนูที่ง้างแล้วนั่นแหละ จะทำอะไรได้อีกนอกจากยิงลูกธนูออกไป ตอนนี้ข้าถูกมันหุ้มไว้ทั้งตัว ทำอะไรไม่ได้แล้ว

    ข้าหลับตาแน่น อดทนอีกนิด เดี๋ยวมันก็ผ่านไป!

    โอ้ๆๆ! หุ่นของครีอุสไม่เลวเลยนะเนี่ย!” ข้าได้ยินเสียงตื่นเต้นของพิ้งกี้ดังอยู่ข้างๆ

    หา! หุ่นเหรอ หรือว่าตอนนี้ข้ากำลังโป๊อยู่!

    ข้ารีบลืมตา ก้มลงมองตัวเอง โชคดีที่ไม่มีสีเนื้อเปล่าๆ ปรากฏให้เห็น แต่เครื่องแต่งกายของข้าเปลี่ยนไปกลายเป็นชุดสีดำรัดรูป...มิน่าล่ะ พิ้งกี้ถึงบอกว่าหุ่นข้าไม่เลว

    ชุดสีดำรัดรูปตัวนี้มีเกราะเงินน้ำหนักเบาหุ้มอยู่อีกชั้นทั่วตัว ขนาดรองเท้าบูตที่ใส่อยู่ยังเป็นเกราะเงิน และถ้าดูชัดๆ เกราะนี้อยู่ในรูปของเกล็ดปลาที่เอามาต่อกัน ทำให้เคลื่อนไหวสะดวกกว่าเกราะทั่วไป

    สุดยอดไปเลย...” ข้าร้องชื่นชมอย่างอดไม่ได้ แต่ชมได้ครึ่งเดียวก็รู้สึกว่าเสียงของตัวเองเปลี่ยนไป มันไม่เชิงเปลี่ยนไปซะทีเดียว แค่อู้อี้เหมือนมีอะไรบางอย่างขวางทางเดินของเสียงไว้

    ข้ารู้สึกแปลกๆ เมื่อจับใบหน้าถึงได้รู้ว่าใบหน้าครึ่งหนึ่งของข้ามีเกราะเกล็ดปลาหุ้มอยู่

    ข้าเดินไปที่หน้ากระจกซึ่งมีอยู่บานเดียวด้วยความสงสัย พอสำรวจทั่วตัวจึงเห็นว่าเกล็ดปลาสีเงินบนใบหน้า ตามจุดสำคัญของร่างกาย และที่ขาส่องประกายวาววาม โดยรวมแล้วหล่อเท่อย่าบอกใคร ยิ่งเมื่อบวกกับเส้นผมสีดำแซมเงินประปรายก็หล่อขนาดที่ว่าผู้หญิงตั้งแต่แปดขวบถึงแปดสิบปีจะต้องกรี๊ดสลบด้วยความหลงใหล...เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน! ผมดำแซมเงินงั้นเหรอ!

    ข้าตัวแข็งทื่อทันที

    อ๊ากๆๆ! ผมข้าเปลี่ยนสีไปแล้ว ผมสีทองของข้า อ๊ากๆๆ! ข้าตกงานแน่ ข้าเป็นเทพอัศวินครีอุสไม่ได้อีกแล้ว ข้าไม่อยากไปเข้าเฝ้าองค์มหาเทพหลังจากตกงานหรอกนะ!”

    ชายหนุ่มหล่อลากดินที่ทำให้ผู้หญิงอายุตั้งแต่แปดขวบจนถึงแปดสิบปีต้องกรี๊ดสลบด้วยความหลงใหลในกระจกกำลังเอามือกุมหน้า กรีดร้องเสียงหลง

    หนวกหูน่า พิ้งกี้ได้แต่ยืนเลียอมยิ้มอยู่ข้างๆ

     

    การแปลงร่างแต่ละครั้งต้องใช้เลือดสามร้อยกรัมหยดลงบนตรา แปลงร่างครั้งนึงจะอยู่ได้สามชั่วโมง ถ้าอยากต่อเวลาอีกชั่วโมงจะต้องเพิ่มเลือดอีกครั้งละสองร้อยกรัม แต่บอกไว้เลยว่าเจ้าแปลงร่างได้อย่างมากห้าชั่วโมงเท่านั้น ไม่อย่างนั้นเจ้าจะถูกดูดเลือดจนหมดตัว

    ทำไมเหมือนกับว่าต้องใช้เลือดเพื่อแลกเปลี่ยนให้มันทำงานให้...

    การแปลงร่างแต่ละครั้งจะต้องให้ห่างกันอย่างน้อยยี่สิบสี่ชั่วโมง

    แถมยังต้องให้เวลามันพักผ่อนอีก วันหนึ่งทำงานแค่ห้าชั่วโมง จะสบายไปหน่อยล่ะมั้ง

    หลังจากแปลงร่างพลังป้องกันจะเพิ่มขึ้น พลังโจมตีเพิ่มขึ้นหกเท่า พลังกระโดดสูงเพิ่มขึ้นห้าเท่า ความว่องไวเพิ่มขึ้นหนึ่งจุดสองเท่า

    มีแต่ตัวเลขยิบย่อยเต็มไปหมด ไม่เห็นจะต้องบอกละเอียดขนาดนั้นเลย บอกแค่ว่าพลังเพิ่มก็จบ

    พอแปลงร่างแล้วพลังของเจ้าน่าจะอยู่ที่...ประมาณศูนย์จุดแปดห้าของพลังของหัวหน้าเทพอัศวินเทอร์มิส

    ให้ตาย! ไม่ต้องย้ำได้ไหมว่าฝีมือการต่อสู้ของข้ามันแย่ขนาดไหน!

    แต่คนประหลาดที่มีพลังรักษาตัวเองสูงกว่าพวกอมนุษย์อย่างเจ้า ต่อให้ออกรบสามวันสามคืนก็ยังไหว เจ้าต้องชนะแน่!”

    “...เจ้าลืมไปแล้วหรือไงว่าไอ้ชุดนี้มันดูดเลือด อย่าว่าแต่สามวันสามคืนเลย แค่สองวันหนึ่งคืนข้าก็กลายเป็นศพแล้ว!”

    อ้อ จริงด้วย ข้าลืมไปเลย...ไม่เป็นไร! เดี๋ยวข้าจะสาธิตวิธีสะกดวิญญาณให้เจ้าดู คอยดูให้ดีนะ!”

    ไม่เอา! ข้าเป็นเทพอัศวินครีอุสนะ ถ้าเกิดมีคนรู้ว่าข้าสามารถร่ายมนตร์ดำได้ล่ะก็ ข้าต้องถูกจับมัดบนตะแลงแกงแล้วเผาทั้งเป็นแน่!

     

    ข้าทำเป็นแล้ว! สวรรค์! ข้าดูแค่ครั้งเดียวก็ร่ายเวทได้แล้ว โอ้ๆ! ข้าไม่เพียงมีพรสวรรค์ด้านนักบวชกับนักเวทเป็นเลิศเท่านั้น ข้ายังมีพรสวรรค์ด้านนักเวทสะกดวิญญาณเป็นเลิศอีกด้วย

    ครีอุส...ตอนที่เจ้าเลือกเป็นเทพอัศวิน เจ้าใช้วิธีโยนหินเสี่ยงทายหรือเปล่าเนี่ย หินก้อนนั้นมันต้องมีความแค้นกับเจ้าแน่ๆ

    อย่าถามอีกเลย ขอร้องล่ะ...ฮือๆ

    ข้าใช้เวลาฟังวิธีการใช้ อาภรณ์แห่งมังกร อยู่ในกระท่อมของพิ้งกี้ชั่วโมงกว่าๆ แล้วก็เผลอเรียนรู้วิธีสะกดวิญญาณไปด้วย...สวรรค์! ข้าจะต้องระวังให้มาก ไม่อย่างนั้นถ้าเผลอใช้ขึ้นมาล่ะก็ ข้าต้องลำบากแน่ๆ

    หลังจากนั้นพิ้งกี้ยิ่งสอนก็ยิ่งคึก ถึงขนาดคิดจะสอนศาสตร์มืดขั้นสูงให้ข้า ข้าวิ่งหนีออกจากกระท่อมของพิ้งกี้แทบไม่ทัน เพราะไม่อย่างนั้นข้าอาจจะกลายเป็นนักเวทสะกดวิญญาณโดยไม่รู้ตัวก็ได้

    ถ้าข้าสามารถหาตัวบุตรชายคนที่สามของเอิร์ลกาแลนพบภายในครึ่งชั่วโมง แล้วใช้เวลาอีกครึ่งชั่วโมงจับเขาไปที่ที่ไม่มีคน ต่อด้วยเวลาอีกครึ่งชั่วโมงใช้คาถาสะกดวิญญาณที่พิ้งกี้สอนข้ามาบังคับให้เขาสารภาพ ข้าอาจจะควบคุมให้ภารกิจของข้าเสร็จลงในเวลาสามชั่วโมง จะได้ไม่ต้องเสียเลือดให้กับเจ้าชุดดูดเลือดนี้อีก!

    สำหรับคนที่เสียเลือดมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ถือได้ว่าเป็นข่าวที่น่ายินดีจริงๆ

    ดังนั้นข้าจึงไม่รอช้า รีบออกตามหาบุตรชายคนที่สามของเอิร์ลกาแลนในทันที จากนั้นก็จะใช้กำปั้นกับมนตร์ดำบังคับให้เขาคายความจริงออกมาให้ได้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×