คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : Sexy dangerous! 8 100%
อานโซฮีลุกขึ้นมาจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ รีบพาตัวเองเดินตรงมายังโต๊ะที่อยู่ถัดเข้ามาประมาณสามถึงสี่โต๊ะ ก่อนจะหยุดนิ่ง ตาเรียวเล็กชะเง้อมองหาคนใบหน้าคมที่ส่งยิ้มให้เธอเมื่อสักครู่นี้
เขาหายไปไหนแล้ว ? หญิงสาวคิด ถอนหายใจยาวด้วยความผิดหวัง แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงของใครบางคนที่มากระซิบอยู่ข้างๆใบหู
“มองหาใครอยู่เหรอ”
ใจเต้นเร็วแทบไม่เป็นจังหวะ ก่อนที่เจ้าตัวจะค่อยๆหันหน้ามาเผชิญกับเจ้าของเสียง แล้วก็ต้องก้มหน้างุดลง เมื่อรู้ว่าเป็นคนที่เธอเองกำลังมองหาอยู่ นิ้วเรียวหนาเชยคางมนของหญิงสาวขึ้นมาสบตากับตัวเอง ยิ้มกริ่มของอีกฝ่ายทำเอาหัวใจที่เต้นแรงอยู่แล้วแทบจะกระเด็นออกมาด้านนอก
“คะ...คุณคิมยูบิน” เสียงที่เปล่งออกไปสั่นเครือเล็กน้อย ด้ายความเขินอาย จนคนฟังเองก็ต้องหัวเราะออกมาเบาๆ
“รู้จักฉันด้วยเหรอ”
“ก็...คุณออกจะดัง” คนแก้มกลมตอบออกมาตามความจริง เธอเองก็รู้จักคิมยูบินจากนิตยสารต่างๆ รวมทั้งพวกข่าวซุบซิบดาราทั้งหลาย และแอบชื่นชมมานานแล้ว พอได้มาเจอตัวจริงต้องยอมรับกับตัวเองเลยว่าคนหน้าคมตรงหน้านี้เป็นคนที่มีเสน่ห์น่าค้นหาเหลือเกิน ดูเป็นมิตรจนแทบจะไม่เหลือเค้าโครงของคนอารมณ์ร้อนอย่างที่มินซอนเยเพื่อนของเธอเคยเล่าให้ฟังเลยสักนิด
“นั่งด้วยกันก่อนสิ...ถ้าไม่รังเกียจ” ร่างโปร่งผายมือเป็นการเชื้อเชิญอีกฝ่าย ซ่อนยิ้มไว้ในใจเมื่อเห็นอีกฝ่ายนั่งลงไปตามคำเชิญ ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆทันที คนแก้มกลมถึงกับหน้าแดงขึ้นมาอีกรอบ
“จริงสิ! คุณชื่ออะไร”
“โซฮีค่ะ...อานโซฮี”
“มาที่นี่บ่อยเหรอ” เสียงนุ่มๆเอ่ยถามขึ้น พร้อมกับยื่นแก้วเครื่องดื่มที่เพิ่งชงเสร็จส่งไปให้ อานโซฮีรับมาถือไว้ก่อนจะยกขึ้นดื่มเพียงเล็กน้อย
“ก็ไม่บ่อยหรอกค่ะ พอดีวันนี้เพื่อนฉันชวนมา แล้วคุณล่ะคะมาที่นี่บ่อยรึเปล่า”
“ฉันก็มาเฉพาะเวลาที่มีปัญหาน่ะ” คนผิวเข้มพูดจบก็ทำสีหน้าเศร้าสลดลงไปได้เหมือนจริงสุดๆจนหญิงสาวอีกคนรู้สึกตกใจกับอาการแบบนี้
“แสดงว่าตอนนี้คุณมีปัญหาสิคะ?” อานโซฮีถามออกไปด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไปก็หน้าซีดลงไปถนัดตา เพราะเกรงว่าคำถามของตัวเองจะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของคิมยูบินมากเกินไปหรือเปล่า
“เอ่อ...ฉันขอโทษนะคะ...ฉันไม่ได้ตั้งใจจะละลาบละล้วงเรื่องของคุณเลย” คนหน้าซีดพูดออกไปด้วยความรู้สึกผิดที่มีอยู่เต็มอก
“ไม่หรอก...เพียงแต่คุณจะเต็มใจรับฟังปัญหาของคนที่เพิ่งจะรู้จักกันได้รึเปล่า” สีหน้าของคิมยูบินดูเศร้าลงไปอีก ทำให้คนฟังเองหายใจแทบไม่ทั่วท้อง
“เต็มใจสิคะ” อานโซฮีรีบตอบออกมา ทำให้คนที่นั่งก้มหน้าอยู่เมื่อครู่เงยหน้าขึ้นมาสบตาเธอ ยิ้มกริ่มให้ พร้อมกับเอื้อมมือมาแตะที่มือบางของเธอ เหมือนเป็นการของคุณ คนตาเล็กบอกไม่ถูกเลยว่าตอนนี้รู้สึกดีมากแค่ไหน รู้เพียงแค่ว่าอยากจะหยุดเวลาเอาไว้ อยากจะอยู่ตรงนี้ไปนานๆ มันอบอุ่นเหลือเกิน...
“ตอนนี้แม่ฉันอยู่ในโรงพยาบาล...เป็นตายเท่ากัน” คนพูดหยุดมองปฏิกิริยาของอีกฝ่าย แล้วพูดต่อ
“โรคหัวใจของแม่กำเริบ เพราะบังเอิญไปเห็นพ่อกับเลขาหน้าห้องกำลัง...” คิมยูบินแกล้งทำเป็นร้องไห้ พร้อมกับทุบกำปั้นลงไปบนโต๊ะอย่างแรง จนอีกฝ่ายอึ้งไป อานโซฮีเองได้แต่ภาวนาว่าเลขาคนที่คิมยูบินพูดถึงคงไม่ใช่มินซอนเย เพื่อนของเธอหรอกนะ
“แล้วผู้หญิงคนนั้นเค้า...”
“ตอนนี้ฉันย้ายเค้าให้มาทำงานกับฉันแทน...เค้าชื่อมินซอนเย”
“มินซอนเย...” คนแก้มกลมถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินชื่อนี้
“เฮ้อ!! จริงๆแล้วฉันก็ไม่รู้หรอกนะ ว่าที่เค้าทำไปเพราะต้องการอะไร...แต่ดูเหมือนเค้ามีเหตุผลบางอย่างที่อยากจะทำร้ายครอบครัวของฉัน”
คิมยูบินชำเลืองมองอีกฝ่ายหลังจากที่ได้พูดพาดพิงไปถึงเลขาสาวคนสวยไป หวังจะดูท่าทีของหญิงสาวตรงหน้า จะยอมรับออกมารึเปล่าว่าเป็นเพื่อนกับมินซอนเย และเธอจะมีทัศนคติอย่างไรกับการกระทำของผู้เป็นเพื่อน
“ฉันพล่ามอะไรให้คุณฟังก็ไม่รู้นะ เราเลิกพูดถึงมันดีกว่าเดี๋ยวคุณจะหมดสนุกเอา” ร่างโปร่งแกล้งทำเป็นแสดงความคิดเห็นออกมา
อานโซฮีเองก็ลำบากใจไม่น้อย เธอไม่อยากจะปิดบังความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับมินซอนเย เพราะอยากจะแสดงความบริสุทธิ์ใจกับฝ่ายตรงข้าม แต่จะให้ทำอย่างไรได้ในเมื่ออีกคนก็เป็นเพื่อนของตัวเอง ส่วนอีกคนก็ชั่งน่าสงสารเสียเหลือเกิน ไม่น่าเชื่อเลยว่าเพื่อนของเธอจะทำไปได้ขนาดนี้ ถึงกับจะฆ่าจะแกงกันเลยหรือไง
“เอ่อ...คุณยูบินคะ...คือ...ฉันมีเรื่องจะบอกคุณ”
“มีเรื่องอะไรเหรอคะ”
“เอ่อ...ความจริงแล้วฉัน...ฉันกับซอนเย...เป็นเพื่อนกันค่ะ” คำพูดที่ตะกุกตะกักของอานโซฮี สร้างรอยยิ้มคนผิวเข้มเล็กน้อยก่อนจะทำเป็นตกใจกับคำพูดของร่างบางตรงหน้า
“อะ...อะไรนะ...คุณเป็นเพื่อนกับมินซอนเยอย่างงั้นเหรอ” เมื่อเห็นสีหน้าของคิมยูบินในตอนนี้ คนตาเล็กถึงกับชาไปทั้งตัว
“แต่ฉันสัญญานะคะว่าฉันจะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ” อานโซฮีรีบกุลีกุจอบอกออกไปทันทีเพราะกลัวว่าคนที่ตัวเองชอบจะเกลียดเธอไปแล้ว
คิมยูบินกระตุกยิ้มเล็กน้อย ไม่คิดเลยว่าเรื่องมันจะง่ายดายขนาดนี้ อย่างน้อยในตอนนี้เธอก็สนิทสนมกับเป้าหมายขึ้นไปอีกขั้นแล้ว อานโซฮีคนนี้นี่แหละที่จะทำให้เธอได้รู้ทุกเรื่องที่อยากจะรู้เกี่ยวกับมินซอนเย
เช้าวันต่อมา คิมยูบินรีบตื่นแต่เช้าตามปกติ เมื่อเสร็จภารกิจส่วนตัวแล้วร่างโปร่งก็เดินลงไปข้างล่าง อยากจะพบหน้าผู้เป็นพ่อ อยากจะถามเรื่องราวต่างๆที่ยังเป็นข้อข้องใจของเธออยู่ เมื่อลงมาถึงก็พบว่าแม่บ้านวัยกลางคนกำลังเก็บชามข้าวที่วางอยู่บนโต๊ะอาหาร
แปลกจริง...ทำไมวันนี้พ่อของเธอถึงได้ออกจากบ้านตั้งแต่เช้านะ หรือว่าที่บริษัทมีประชุมด่วน ถ้ามีจริงแล้วทำไมเธอถึงไม่รู้ล่ะ?
“คุณพ่อไปทำงานแล้วเหรอ?” เสียงห้าวเอ่ยถามคนที่กำลังก้มๆเงยๆอยู่ที่โต๊ะอาหาร
“ค่ะ...ออกไปได้สักพักแล้ว คุณหนูจะรับอาหารเช้ามั๊ยคะ”
“ไม่ล่ะ...แล้วได้บอกรึเปล่าว่ามีงานด่วน”
“ไม่นี่คะ”
“งั้นเหรอ ขอบใจมาก”
ขาทั้งสองก้าวนำร่างของตนเองออกไปหลังจากที่พูดจบ ยังไงวันนี้ก็ต้องรู้ให้ได้ว่าพ่อแม่ของเธอกับครอบครัวของมินซอนเยเกี่ยวข้องกันอย่างไร ร่างบางถึงได้เจ้าคิดเจ้าแค้นขนาดนี้ จะเอ่ยปากถามอานโซฮีก็คงเร็วไป กลัวว่าหญิงสาวจะหวาดระแวงไปเสียก่อน ที่ทำได้ตอนนี้ก็เพียงแค่เตรียมรับมือกับมินซอนเยซึ่งเธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าร่างบางจะมาไม้ไหนอีก
คิมยูบินในวันนี้สวมชุดสูทเข้ารูปสีดำ ซึ่งเป็นสีโปรดที่เธอมักจะใส่มาทำงานเป็นประจำ หญิงสาวเดินมาที่ห้องของประธานกรรมการหวังจะเจอคนที่อยากพบ หน้าห้องมีโต๊ะของหญิงวัยกลางคนซึ่งเพิ่งถูกย้ายให้มาเป็นเลขาฯจากคำสั่งของเธอเมื่อไม่นานมานี้
“สวัสดีค่ะคุณยูบิน” ละสายตาจากงานตรงหน้าทันทีเมื่อสังเกตเห็นว่าใครกำลังเดินตรงมา
“คุณพ่ออยู่ข้างในรึเปล่า”
“เปล่าค่ะ...ท่านประธานยังไม่เข้าบริษัทเลยนี่คะ”
“ยังไม่เข้ามา?” คำตอบของเลขาฯวัยกลางคนสร้างความแปลกใจให้คิมยูบินยิ่งนัก ก็ไหนคนที่บ้านบอกว่าพ่อของเธอออกจากบ้านมาแล้วไง ป่านนี้มันก็น่าจะมาถึงแล้ว หรือว่าจะแวะไปหาผู้หญิงที่ไหน
“ถ้าท่านมาถึง ดิฉันจะโทรไปเรียนให้ทราบนะคะ”
“ค่ะ...ขอบคุณมาก”
หลังจากที่คนผิวเข้มหันหลังเดินกลับได้เพียงไม่กี่ก้าว เสียงโทรศัพท์ภายในกระเป๋าก็ดังขึ้น มือเรียวถูกส่งลงไปควานหาสิ่งที่ต้องการ ก่อนจะหยิบมันขึ้นมาแล้วกดรับสายทันที
“คิมยูบินพูดค่ะ” เธอกรอกเสียงผ่านโทรศัพท์ลงไปอย่างสุภาพเมื่อเห็นว่าเป็นเบอร์แปลก แต่เมื่อได้ยินเสียงตอบรับจากปลายสาย มือเรียวก็ถึงกับสั่นระริก เบิกตาขึ้นกว้างด้วยความตกใจ
“ฉะ...ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
ติ๊ด ติ๊ด ติ๊ด ...
เสียงเครื่องช่วยหายใจดังขึ้นเป็นระยะ พร้อมกับกลิ่นยาที่แรงจนน่าเวียนหัวบ่งบอกได้ดีว่าสถานที่แห่งนี้คือโรงพยาบาล คิมยูโซนอนหมดสติอยู่ภายในห้องไอซียู ร่างกายมีสายระโยงรยางค์ติดเต็มไปหมด ซึ่งคนที่ยืนอยู่ข้างเตียงเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าไอ้สายพวกนี้มันมีหน้าที่ทำอะไรกันบ้าง
คิมยูบินบึ่งรถออกมาจากบริษัททันที เมื่อเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลแห่งนี้โทรศัพท์ไปแจ้งข่าวกับเธอ ถึงแม้เธอจะยังโกรธที่พ่อของเธอเป็นต้นเหตุทำให้ผู้เป็นแม่ต้องกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา แต่ถึงยังไงเธอก็ยังเป็นรักและเป็นห่วงเขาเสมอ สายเลือดเดียวกันมันตัดกันไม่ขาดจริงๆ
พยาบาลสาวในชุดสีฟ้าเข้ามาบอกกับเธอว่าหมดเวลาเยี่ยมแล้ว ร่างโปร่งพยักหน้าเป็นการบอกว่ารับรู้ แล้วหันกลับมามองร่างไร้สติของผู้เป็นพ่ออีกครั้ง ก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
ทันทีที่ก้าวออกมาก็พบว่ามีชายร่างสูงสองคน ซึ่งดูจากเครื่องแบบแล้วก็คงจะเป็นนายตำรวจ ยืนรอเธออยู่หน้าห้อง
“คุณเป็นญาติของคุณคิมยูโซใช่มั๊ยครับ” ชายหนุ่มคนที่ดูอ่อนวัยกว่าชายอีกคนเอ่ยถาม
“ค่ะ...” น้ำเสียงที่ฟังดูเหนื่อยอ่อนตอบออกมา
“ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ไปตรวจสอบที่เกิดเหตุนะครับ คิดว่ามันไม่น่าจะเป็นอุบัติเหตุธรรมดา เพราะเราพบว่าสายเบรกถูกตัดจนขาด แล้วพยานที่เห็นเหตุการณ์ก็บอกว่าก่อนรถจะพลิกคว่ำ มีมอเตอร์ไซค์ไม่ทราบป้ายทะเบียนขับปาดหน้ารถของคุณคิมยูโซครับ” นายตำรวจได้เล่าสมมติฐานคร่าวๆให้กับคิมยูบินฟัง จนทำให้ร่างโปร่งที่ยืนฟังอยู่กำมือแน่นด้วยความโกรธแค้น
“ฆาตกรรมงั้นเหรอ!” คนผิวเข้มพึมพำออกมาพร้อมกับกัดฟันกรอด
“ครับ ไม่ทราบว่าคนเจ็บมีศัตรูที่ไหนรึเปล่าครับ”
“...” นิ่งเงียบราวกับกำลังคิดอะไรบางอย่าง
“ยังไงก็เชิญคุณไปให้ปากคำที่โรงพักด้วยนะครับ”
“มินซอนเย...” หลังจากที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเดินจากไปแล้ว ชื่อแรกที่ร่างโปร่งนึกถึงก็คือชื่อของเลขาฯส่วนตัวเธอนั่นเอง จะเป็นใครอีกล่ะถ้าไม่ใช่ผู้หญิงคนนี้...
ไรท์เตอร์เพิ่งปิดเทอมไปครับ ก่อนหน้านี้ยุ่งมากมาย
เมื่อวานนี้เอง เด๋วจะเร่งอัพให้นะครับ
ปล ขอบคุณทุกคอมเม้นเด้อ
ความคิดเห็น