ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    yuri WG**Sexy dangerous**

    ลำดับตอนที่ #11 : Sexy dangerous! 11 100%

    • อัปเดตล่าสุด 5 ม.ค. 53









           รถยุโรปสีดำคันใหญ่ วิ่งด้วยความเร็วปกติไปตามถนนหลักใจกลางเมือง  คนขับไม่ได้มีทีท่าว่าจะรีบเร่งแต่อย่างใด  นิ้วเรียวเคาะอยู่กับพวงมาลัยของวงรถ  เรื่องที่ได้รับรู้จากคำบอกเล่าของอานโซฮีที่เผลอหลุดปากออกมาบ้าง  ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา  

         เรื่องที่ว่าพ่อของเธอคือตัวต้นเหตุที่ทำให้สาวหน้าหวานอย่างมินซอนเย ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าและเจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างทุกวันนี้  เรื่องที่ว่าบริษัทที่ขึ้นชื่อว่าเป็นของเรา ที่จริงแล้วมันได้มาจากการคิดคดทรยศของผู้เป็นพ่อไม่ใช่จากน้ำพักน้ำแรงเหมือนที่เขาเคยบอกเล่าให้ฟัง 

         ยังคับคล้ายคับคาว่าเมื่อตอนที่เธอยังเด็ก  คิมยูโซผู้เป็นพ่อยังเป็นเพียงพนักงานบริษัทกินเงินเดือนธรรมดาคนหนึ่ง  บ้านของเธอไม่ได้ร่ำรวยแต่ถึงกระนั้นเงินเดือนของพ่อก็ยังพอเลี้ยงครอบครัวได้  จึงไม่ได้ลำบากอะไรนัก

         หลังจากนั้นเพียงไม่นานชีวิตของเธอและแม่  ก็เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือเลยก็ว่าได้  มีทั้งรถทั้งบ้านใหม่ที่ใหญ่อย่างกับพระราชวัง  มีคนคอยรับใช้เอาอกเอาใจสารพัด  โดยที่พ่อบอกกับเธอเพียงแค่ว่าเจ้านายท่านใจดี  เพราะพ่อทำงานได้ถูกใจเขาจึงตบรางวัลให้  ด้วยความที่ยังเด็กไม่ได้คิดหาเหตุผลอะไรมากมาย  จึงเชื่อมาอย่างนั้น  เมื่อโตขึ้นก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้
          ไม่อยากนึกเลยว่าในตอนนั้น  ตอนที่ครอบครัวของเธอใช้ชีวิตกันอย่างสุขสบาย  อีกสามคนพ่อแม่ลูกที่ไม่เคยลำบาก  ต้องดิ้นรนกันขนาดไหนเพื่อให้มีชีวิตรอดไปวันๆ  พ่อแม่ของมินซอนเยเสียชีวิตอย่างไรเธอก็ไม่รู้  และอานโซฮีเองก็ไม่ได้บอกเธอเช่นกัน  แต่ที่แน่ๆมันก็คือผลพวงมาจากการกระทำของพ่อ

         ชีวิตของเด็กกำพร้ามันคงลำบากน่าดู  ไม่มีทั้งพ่อและแม่  ต้องใช้ชีวิตโดดเดี่ยวอ้างว้างถึงแม้จะมีมูลนิธิคอยอุปถัมภ์ก็เถอะ  มินซอนเยไม่ผิดที่เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น  เพราะถ้าเป็นตัวเธอเองก็คงจะทำแบบนี้ไม่ต่างกัน  แต่ก็ต้องยอมรับว่าเธอเก่งมากรู้ไหมมินซอนเย  เก่งมากที่สามารถเติบโตและผ่านมันมาได้จนถึงวันนี้

                  “  บาปกรรมน่ะมันมีจริง แล้วฉันก็ยังเชื่ออีกว่ามันกำลังตามพวกคุณทันแล้วด้วย”
         เสียงหวานที่ดังก้องอยู่ในหูซ้ำๆในตอนนี้  ประโยคเดิมๆที่ทำให้คิมยูบินต้องเอ่ยออกมากับตัวเองอย่างเลื่อนลอย
    “นั่นสินะ...แล้วฉันควรจะทำยังไงดี” 

         เสียงโทรศัพท์เครื่องหรูก็ดังขึ้นปลุกคนผิวเข้มให้ตื่นจากภวังค์ความคิดเมื่อสักครู่ได้เป็นอย่างดี  บนหน้าจอกว้างปรากฏชื่อซอนมีเป็นสายเรียกเข้า  ให้ตายเถอะ! ลืมไปเลยว่ามีนัดกับคนรัก
    “เอ่อ...ซอนมี”

    “พี่ยูบินลืมอีกแล้วใช่มั๊ยคะ”  เสียงใสที่ลอดผ่านลำโพงโทรศัพท์สั่นเครือเล็กน้อย  ทำให้ยูบินอดใจหายไม่ได้

    “พี่ขอโทษ  พี่ไม่ได้ตั้งใจ”

    “ขอโทษ  ไม่ได้ตั้งใจงั้นเหรอคะ  กี่ครั้งแล้วที่ฉันต้องฟังคำแก้ตัวพวกนี้  สองสามเดือนที่ผ่านมานี่พี่เป็นอะไรไปคะ  ทำไมถึงได้เปลี่ยนไปแบบนี้  ตั้งแต่เราคบกันมาพี่ไม่เคยผิดนัดฉันเลย  แล้วนี่อะไร! มันเกิดอะไรขึ้นคะ พี่ปล่อยให้ฉันนั่งรอตั้งสองชั่วโมงโดยไม่คิดจะโทรมาบอกเลย  พี่เป็นอะไรกันแน่พี่ยูบิน!”

    “ซอนมีพี่ไม่...ฮัลโหล...ฮัลโหล!”  ยูบินมองหน้าจอมือถือแล้วจิ๊ปากออกมาเสียงดังด้วยความหงุดหงิด  ขอโทษนะซอนมี 

         หลังจากที่ขับรถเข้ามาภายในตัวตึกของบริษัท  นี่ก็ปาเข้าไปสองทุ่มแล้ว  ป่านนี้ทุกคนคงจะกลับกันหมด  คิมยูบินที่คิดว่าจะกลับมาทำงานต่อให้เสร็จก็ได้แต่นั่งหลับตาพิงพนักเก้าอี้นุ่มราวกับต้องการพักผ่อน วันนี้ทั้งวันเจอแต่เรื่องน่าปวดหัว  นับตั้งแต่เริ่มปะทะคารมกับควอนโบอาตั้งแต่เช้าในห้องประชุม  จนกระทั่งเมื่อครู่ดาราสาวซึ่งเป็นคนรักของเธอเกิดอาการงอนขึ้นมาเนื่องจากเธอผิดนัด ไว้วันหลังก็แล้วกันนะซอนมีวันนี้พี่คงไม่มีแรงที่จะง้อเธอหรอก  ขอโทษจริงๆ

    ‘แก๊ก!’

         เสียงประตูห้องถูกเปิดออก  สาวผิวเข้มลืมตาขึ้นมามองผู้บุกรุก  แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อนั่นไม่ใช่ใครที่ไหน  แต่เป็นเลขาสุดสวยของเธอนั่นเอง  คนที่เข้ามาอยู่ในห้วงความคิดของเธอตลอดทั้งวัน
    “เธอ...ยังไม่กลับอีกเหรอ”

    “เปล่าค่ะ...พอดีฉันกลับมาเอาของ  เห็นไฟเปิดอยู่ก็เลยกะจะเข้ามาปิด  ไม่นึกว่าคุณจะยังอยู่ที่นี่”

    “อืม  ฉันกลับมาเคลียร์งานน่ะ” คิมยูบินมองหน้าอีกฝ่ายอยู่สักพักจึงเบนสายตาออกไปนอกตึกที่มีกระจกใสกั้นไว้  

    “ค่ะ...งั้นฉันคงต้องขอตัวกลับ” พูดจบมินซอนเยก็หันหลังเดินกลับไปทันที

    “เดี๋ยว! เธอพอมีเวลาคุยกับฉันรึเปล่า”

         หลังจากที่ซอนเยกลับเข้ามาข้างใน  ห้องทั้งห้องก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ  คนที่ดูเหมือนมีเรื่องจะคุยกับเธอก็ยังคงมองออกไปนอกกระจกใสนั้นเหมือนเดิม  จนร่างบางรู้สึกอึกอัดและดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้

    “ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าจะเริ่มยังไงดี” คนพูดก้มลงมองนิ้วตัวเองที่สอดประสานกันก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อรวบรวมกำลังที่เหมือนจะไปทำหล่นหายไว้ที่ไหนสักแห่ง  เงยหน้าขึ้นสบประสานสายตากับอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก

    “เธอ...ช่วยเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฉันฟังหน่อยได้มั๊ย”

    “คุณหมายถึงเรื่องอะไรคะ”

    “ก็เรื่อง...” ยูบินพูดไม่ทันจบ  เสียงโทรศัพท์ของมินซอนเยก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะ จนทำให้ลืมคำพูดที่ต้องใช้เวลาคิดไตร่ตรองอยู่นาน  มินซอนเยขอตัวรับโทรศัพท์สักครู่จึงหันกลับมาบอกกับเธอ

    “ฉันคงต้องกลับแล้วจริงๆค่ะ”  คนฟังได้แต่พยักหน้าหงึกหงักโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ  ในเมื่อวันนี้เธอก็ยังไม่ได้เตรียมใจและพร้อมที่จะคุยเช่นกัน


          มินซอนเยยืนรอลิฟต์ด้วยความคิดหลากหลาย  ในหัวมีแต่เครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด  ยูบินดูแปลกไปมาก  สายตาคมเข้มคู่นั้นที่เคยแข็งกร้าวบัดนี้มีแต่ความกังวลเข้ามาแทนที่จนเธอสังเกตได้  แถมยังคุยกับเธอดีไม่ได้ใช้อารมณ์เหมือนทุกครั้ง  แล้วเรื่องอะไรกันเล่าที่เขาอยากจะคุย  ทำไมดูเหมือนมันจะเอ่ยออกมายากเย็นนัก






    ช่วงสายของวันต่อมา

    “จริงเหรอเธอ!”
    “จริงไม่จริงไม่รู้  ก็เค้าลือกันมาอย่างนี้”
    “ไม่น่าเชื่อนะว่าคนอย่างคุณคิมยูบินจะคิดฆ่าพ่อตัวเองได้”
    “นั่นสิ ฉันล่ะหลงปลื้มอยู่ตั้งนาน”
    “แหมเธอ...เรื่องเงินๆทองๆมันเข้าใครออกใครซะที่ไหน”

          เสียงซุบซิบนินทาของพนักงานในบริษัททำให้คิมยูบินที่กำลังเดินเข้ามาต้องหยุดชะงัก  สาวๆขาเม้าท์สามสี่คนที่ยังไม่ทันสังเกตเห็นเจ้านายสาวที่ตัวเองพูดถึง ก็ยังคุยกันถึงพริกถึงขิงเหมือนเดิม

    “อุ๊ย!”  หนึ่งในนั้นอุทานออกมาอย่างตกใจ หลังจากที่หันไปสบตากับหน่วยตาคมอย่างจัง  แล้วส่งสัญญาณให้พวกที่เหลือรับทราบ  ก่อนจะพากันหันมาโค้งให้ท่านประธานคนใหม่แล้วแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทางราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
     
          คนผิวเข้มยืนนิ่งมองปฏิกิริยาของบรรดาพนักงานกลุ่มเมื่อครู่  เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของสังคมที่ต้องมีการซุบซิบนินทากันบ้าง  แต่ทว่าเรื่องที่พากันพูดเมื่อกี้  เท่าที่จับใจความได้มันก็คือเรื่องของเธอ  แล้วใครกันเป็นคนปล่อยข่าวไม่มีมูลแบบนี้ออกมา  ใครกันล่ะที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเธอ  หรือว่าจะเป็นมินซอนเย 


                          “มันดูเหมือนจงใจไปหน่อยรึเปล่าคะคุณคิม”  
                          “จงใจยังไง”
                          “ก็ดูสิ...พ่อเพิ่งเข้าโรงพยาบาลไป  วันนี้ก็มาสถาปนาตัวเองเป็นประธานบริษัทคนใหม่ซะแล้ว  แบบนี้ถ้าไม่เรียกว่าจงใจ  แล้วควรจะเรียกว่ายังไงดีล่ะ”  
     
          ประโยคการปะทะคารมระหว่างเธอกับใครอีกคนดังก้องเข้ามาในหู  ใบหน้าคมถึงกับกัดฟันกรอด
    "โบอา"

    “สวัสดีค่ะคุณควอน”  ซอนเยยิ้มแฉ่งให้กับเจ้าของห้องที่เธอเสียมารยาทเข้ามานั่งรอ

    “มาแต่เช้าเชี่ยวนะ”

    “แหม...ก็อยากจะเข้ามาทักทายเพื่อนร่วมหุ้นหน่อยไม่ได้หรือคะ”  ควอนโบอายิ้มออกมาหลังจากที่เสียงหวานพูดจบประโยค  แล้วก้มลงไปกระซิบข้างใบหูของคนที่นั่งอยู่

    “คุณนี่ใจร้อนจังนะคะ  ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแล้ว”

    “ก็เป็นเพราะเธอไม่ใช่เหรอที่ทำให้ฉันร้อน...ไปทั้งตัว” ควอนโบอายังคงคลอเคลียอยู่บริเวณใบหน้าหวาน  แล้วฉกริมฝีปากของตัวเองลงไปกับอีกฝ่ายอย่างไม่ให้ร่างบางตั้งตัว  ก่อนที่ใครอีกคนจะผลักออกอย่างสุดแรงเกิด
    “รางวัลเล็กๆน้อยๆก็ให้กันไม่ได้หรือไง”  

    “อย่าทำแบบนี้อีก  ฉันยังไม่อยากมีปัญหากับคุณ”  ควอนโบอาหน้าเสียไปเล็กน้อยไม่รู้จะทำอะไรได้ดีไปกว่าแบมือยักไหล่กับตัวเอง

    “เรื่องข่าวลือนั่น  ฝีมือคุณใช่มั๊ย”

    “แล้วมันจะเป็นใครล่ะ  ถ้าไม่ใช่เธอก็คงมีแค่ฉัน”  มินซอนเยกระตุกยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำตอบ

    “คุณนี่มันเลวจริงๆ”

    “โอ...ขอบใจนะที่รักที่เธอยังอุตส่าห์ชมฉัน  ป่านนี้คิมยูบินมันคงกระอักเลือดตายไปแล้วมั้ง หึ!”

    “เค้าคงรู้ว่าเป็นฝีมือคุณ  ก็เล่นไปพูดแบบนั้นในห้องประชุม”

    “แล้วไงล่ะ  ฉันไม่สนหรอกว่ามันจะรู้รึเปล่า  แต่ที่สนก็คือพวกผู้จัดการแก่ๆทั้งหลายนั่นต่างหากล่ะ  อยากรู้นักว่าจะมีสักกี่คนที่ยังอยู่ข้างมัน”

           มินซอนเยเปิดประตูบานใหญ่ของห้องประธานกรรมการเข้าไป  หลังจากที่ได้ยินคำบอกเล่าของเลขาจาง  ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขาของเธอหลังจากที่คิมยูบินได้เลื่อนขั้นเป็นประธาน

                “เข้าไปดูคุณคิมหน่อยเถอะค่ะ อารมณ์เสียมาตั้งแต่เช้า  ใครเข้าไปก็โดนไล่ตะเพิดออกมาตามๆกัน เข้าหน้าไม่ติดสักคน”

           ภายในห้องมีแฟ้มเอกสารกระจักกระจายอยู่ตามพื้น  พอมองขึ้นไปเรื่อยๆก็เจอกับเจ้าของห้อง  นั่งอยู่ในท่าเดิมกับที่เห็นเมื่อคืนเพียงแต่ตอนนี้ศีรษะของร่างโปร่งพิงอยู่กับไหล่ของตัวเอง  ใบหน้าซีดราวกับคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ
           เสี้ยวหนึ่งของความคิดที่วูบเข้ามาในหัวตอนนี้  รู้สึกสงสารคนตรงหน้าเหลือเกิน  ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกเหล่านี้มันก่อตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่  เธอไม่ควรจะใจอ่อนกับศัตรูนะมินซอนเย ได้แต่ท่องประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในใจ   แล้วอะไรบางอย่างก็ดลใจให้ร่างบางเอื้อมมือไปแตะสัมผัสกับหน้าผากของอีกฝ่ายหลังจากที่ลองเรียกอยู่สักพัก 

    “เธอ...” เสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมาแหบแห้งฟังดูเบาหวิว  ราวกับขาดน้ำมาหลายวัน  ทำให้มินซอนเยสะดุ้งเฮือก  รีบถอนมือออกมาทันที  ก่อนที่คิมยูบินจะขยับตัวนั่งในท่าปกติ

    “เมื่อคืนคุณกลับกี่โมง”

    “ตีสาม”

    “คุณตัวร้อน”

    “ช่างเถอะ มีธุระอะไรอีกรึเปล่า ฉันจะได้ทำงาน” 

    “เรื่องเมื่อคืน  เรายังคุยกันไม่จบ”

    “ฉันยังไม่มีอารมณ์จะคุยอะไรกับใครทั้งนั้น  ออกไปได้แล้ว”  นั่นไง! คิมยูบินตัวจริงกลับมาแล้ว ที่คุยกับเธอเมื่อคืนคงจะไม่ใช่คนที่นั่งอยู่ตรงหน้านี้สินะ ถึงได้พูดกับเธอดีนัก ซอนเยสูดหายใจเข้าไปให้ลึกที่สุดเพื่อสกัดกั้นอารมณ์โกรธที่กำลังจะก่อตัว  พร้อมกับความสงสารเมื่อครู่นี้ก็ได้เลือนหายไปเช่นกัน

    “ถึงยังไงคุณก็ควรจะทานยา”  จะมาทำเหมือนเป็นห่วงฉันให้มันได้อะไรกันมินซอนเย  ในเมื่อเธอเองก็ต้องการให้มันเป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือไง

    “เลิกเสแสร้งได้แล้วมินซอนเย!  ที่ฉันเป็นแบบนี้เธอก็ควรจะดีใจไม่ใช่เหรอ ถึงแม้มันจะไม่ใช่ฝีมือของเธอ  แต่มันก็สามารถปั่นหัวฉันได้ไม่เลวเลยทีเดียวล่ะ”  ด้วยความโมโหที่ยังคงคั่งค้างอยู่ทำให้คิมยูบินถึงกับระเบิดอารมณ์ระบายความในใจออกมา  จากนั้นก็มีเสียงเก้าอี้กระแทกโต๊ะตามมา  ก่อนที่เจ้าตัวคนพูดจะกระแทกส้นเท้าออกไปจากห้องทำงานไป

          มินซอนเยมองตามร่างนั้นไปจนลับสายตา  เขารู้แล้ว...เขารู้ว่าที่เธอเข้ามาที่นี่เพราะต้องการอะไร  ความถามที่ตามกันมาคือคิมยูบินรู้ได้อย่างไรกัน









    ______________________
    เอามาเพิ่มอีกห้าสิบ ครบร้อยแล้วตอนนี้  
    ยังไงคนแต่งก็ขอบคุณทุกคอมเม้นท์  และก็ผู้อ่านทุกคนนะคับที่ยังติดตาม

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×