ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    yuri WG**Sexy dangerous**

    ลำดับตอนที่ #10 : Sexy dangerous! 10

    • อัปเดตล่าสุด 20 ธ.ค. 52






          มินซอนเยแปรงผมสลวยอย่างกระแทกกระทั้นเต็มที  ดวงตาหวานขุ่นมัวด้วยอารมณ์อัดอั้นจนเจ้าตัวเก็บไม่อยู่  สุดท้ายเลยกระแทกแปรงลงบนโต๊ะเครื่องแป้งดังปัง  พร้อมกับจ้องเงาของตัวเองที่ปรากฏอยู่ในกระจก  แล้วกรีดร้องออกมาหวังจะระบายความอึดอัด
          คิมยูบิน! ฉันเกลียดแก เกลียดที่สุด   ทำไมทุกอย่างมันกลับกลายมาเป็นแบบนี้  ทำไมคนที่ต้องมานั่งฟูมฟายต้องเป็นฉัน  ทั้งที่จริงแล้วมันควรจะเป็นแกไม่ใช่เหรอ
          คิดถูกไหมหนอที่เอาตัวเข้ามาพัวพันกับเขา  ดูเหมือนมันจะสร้างผลเสียกับเธอมากกว่าจะได้แก้แค้นด้วยซ้ำ  เธอควรจะถอยดีหรือเปล่า หรือควรจะทำอย่างไรดี  ทำไมมันคิดไม่ออกเลยนะ

          ....แล้วเสียงหนึ่งก็ดังเข้ามาภายในหัว   ในเมื่อตัดสินใจแล้ว  คิดจะกลับไปตอนนี้มันคงไม่ทันแล้วล่ะ เธอเดินมาไกลเกินกว่าจะถอย  วันนี้แกย่ำยีฉันได้  แต่ต่อไปก็อย่าหวังเลย คิมยูบิน
              มินซอนเยคิดอย่างเคียดแค้น  สปริงตัวลุกขึ้นไปปิดสวิตซ์ไฟ  ทิ้งตัวลงนอนบนเตียงนอนนุ่ม  สอดกายลงใต้ผ้าห่มหนา  พร้อมกับเปลือกตาที่ปิดลงด้วยความเหนื่อยอ่อน
     




            หลายวันที่ผ่านมา  เกิดความวุ่นวายขึ้นภายในบริษัทจนทำให้คิมยูบินแทบจะไม่ได้พักผ่อน  ในเมื่อพ่อของเธอยังคงต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล  ตำแหน่งประธานบริษัทจึงว่าง  โปรเจ็คใหม่ที่รอเซ็นอนุมัติก็ต้องหยุดชะงัก  จนเธอเองต้องเรียกประชุมผู้จัดการแต่ละฝ่าย  เพื่อที่จะยุติปัญหา

    “มีใครอยากจะคัดค้านอะไรรึเปล่า”  หลังจากที่ปรึกษาหารือกันเสร็จ  ก็มาถึงบทสรุปของการประชุม  ผู้จัดการทุกฝ่ายต่างก็เห็นด้วยกับการตัดสินใจของเธอ  เว้นเพียงแต่ฝ่ายบัญชีเท่านั้น

    “คุณมีปัญหาอะไรอย่างนั้นเหรอคุณควอน”  คิมยูบินหันไปถามควอนโบอา  ผู้ที่ยกมือคัดค้านในการตัดสินใจครั้งนี้

    “มันดูเหมือนจงใจไปหน่อยรึเปล่าคะคุณคิม”  ใบหน้ายียวนทำให้คนมองแทบจะควบคุมตัวเองไม่ให้ลุกขึ้นฉีกคนตรงหน้าให้แหลกเป็นชิ้นๆไม่ได้  
          ควอนโบอาเป็นอย่างนี้เสมอ  ชอบหาเรื่องมาขัดบรรดาผู้บริหารทุกคนเท่าที่จะทำได้  แล้วเรื่องนี้ก็เช่นกัน  คิมยูบินเองก็พอเข้าในว่ามันเป็นเพราะความละโมบโลภมากไม่รู้จักพอของเจ้าตัวเองนั่นแหละ
    “จงใจยังไง”

    “ก็ดูสิ...พ่อเพิ่งเข้าโรงพยาบาลไป  วันนี้ก็มาสถาปนาตัวเองเป็นประธานบริษัทคนใหม่ซะแล้ว  แบบนี้ถ้าไม่เรียกว่าจงใจ  แล้วควรจะเรียกว่ายังไงดีล่ะ”  ประโยคยาวๆของควอนโบอาเรียกเสียงฮือฮาของเหล่าผู้บริหารในห้องประชุมนี้ได้มากที่เดียว  คิมยูบินได้แต่กัดฟันกรอดด้วยความโมโห  

         ร่างบางของมินซอนเยที่ได้สังเกตความผิดปกติของผู้จัดการฝ่ายบัญชีตั้งแต่เข้าประชุม  ก็เริ่มจับต้นชนปลาย  ประติดประต่อเรื่องราวต่างๆเป็นความคิดของตนเอง  ควอนโบอาคนนี้ต้องมีอะไรมากกว่าที่คิดแน่ๆ  และบางทีเธอเองอาจจะต้องพึ่งพาเขาเป็นแน่

    “ความคิดสกปรกแบบนี้มันก็มีแค่ในหัวของคุณเท่านั้นแหละคุณควอน  อย่าเที่ยวว่าแต่ใครต่อใครเค้า  และเรื่องตำแหน่งประธานก็เช่นกัน  มันเป็นสิทธิโดยชอบธรรมของฉัน ถ้าใครไม่พอใจก็เชิญออกไปซะ!”  คำประกาศกร้าวด้วยน้ำเสียงที่จริงจัง  ดังก้องกังวานไปทั่วทั้งห้องประชุมขนาดใหญ่  เรียกเสียงฮือฮาได้อีกระรอก  ก่อนที่ร่างสูงโปร่งของคิมยูบินจะเคลื่อนตัวออกจากห้องไปอย่างรวดเร็วราวกับพายุขนาดย่อม  

           หลังจากที่ทุกคนออกไปเรียบร้อยแล้ว  เหลือเพียงแค่ควอนโบอาเท่านั้นที่ยังยืนตัวสั่นอยู่ที่เดิม  มือเรียวกำเข้าหากันแน่นด้วยความโกรธ  ขว้างปาข้าวของภายในห้องประชุมจนหล่นกระจัดกระจาย
           พ่อมันก็พิการไปแล้ว  ยังทิ้งลูกเอาไว้ขัดขวางฉันอีก  แล้วอย่างนี้เมื่อไหร่กันเล่า  เมื่อไหร่ที่เธอจะได้ครอบครองบริษัทนี้เสียที   คิมยูบิน ฉันควรจะจัดการกับแกยังไงดีนะ

    “ครั้งที่แล้วฉันพลาดเองที่ไอ้คิมยูโซมันยังไม่ตาย  แต่มันจะไม่มีทางพลาดอีกเป็นครั้งที่สองแน่ยูบิน”  ควอนโบอาพึมพำกับตัวเอง  โดยไม่รู้เลยว่าหลังบานประตูหนาที่แง้มออกเล็กน้อยนั้น  มีร่างบางของใครบางคนยืนกระตุกยิ้มให้กับตัวเองอยู่









    “เธอหายไปไหนมา”  น้ำเสียงเรียบๆเอ่ยขึ้นหลังจากที่มินซอนเยวางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะทำงานขนาดใหญ่

    “ฉันก็มีธุระของฉันบ้างสิคะ”  คนฟังมองจ้องไปที่ดวงหน้าหวาน แล้วยิ้มออกมาบางๆ

    “รู้ใช่มั๊ยว่าต่อจากนี้  ที่ทำงานของเรา  หมายถึงเธอ...กับฉัน  จะอยู่ชั้นบน”

    “ทราบค่ะ” ตอบทั้งที่ยังไม่มองหน้าคนถาม

    “เข้าใจอะไรง่ายดีหนิ...เอาล่ะ  คราวนี้ฉันก็จะไปธุระของฉันบ้างเหมือนกัน”  พูดจบก็ส่งยิ้มหวานให้เลขาฯสาว  ลุกขึ้นจากเก้าอี้ตัวใหญ่  หยิบเสื้อสูทเข้ารูปสีดำราคาแพงขึ้นมาสวมทับเสื้อเชิ้ตสีขาว  แล้วก้าวออกไปจากห้องทำงานโดยไม่หันกลับมามองร่างบางที่กำลังสงสัยอะไรบางอย่าง

            ...รอยยิ้มของคิมยูบิน มันหมายความว่ายังไงกัน










         ภายในภัตตาคารสุดหรูบนชั้นสูงสุดของโรงแรมดัง  สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของกรุงโซลได้จนทั่ว  อาหารสไตล์อิตาเลียนหลายจานถูกเสิร์ฟลงบนโต๊ะตรงหน้าอานโซฮี  คนแก้มกลมมองกวาดสายตาไปยังจานอาหารที่วางอยู่  ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองคนผิวเข้มที่นั่งฝั่งตรงข้าม
    “สั่งมาเยอะขนาดนี้จะทานหมดเหรอคะ”

    “อาหารมื้อแรกกับคนน่ารักอย่างคุณ  ฉันว่าแค่นี้มันยังดูน้อยไปนะ”  คนฟังแทบจะอายจนม้วนเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย 

    “คุณนี่ปากหวานอย่างนี้กับทุกคนรึเปล่าคะ”

    “เฉพาะคนพิเศษต่างหากล่ะ”  พูดแล้วก็ส่งสายตาหวานเยิ้มไปให้โซฮี  คิมยูบินเป็นอย่างนี้เองสินะ ผู้หญิงหลายต่อหลายคนถึงได้หลงเขานัก 

    “ฉันชักจะอิจฉาคุณซอนมีแล้วสิ”

    “จะอิจฉาคนอื่นทำไมกัน ในเมื่อในตอนนี้ก็มีแค่เรา”

    “คุณนี่ก็พูดไปเรื่อย”

    “พี่ยูบิน เรียกพี่ยูบินสิคะโซฮี”  อานโซฮีเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายด้วยความคาดไม่ถึง  สรรพนามที่เขาให้เธอใช้  มันดูเหมือนกับว่าเราสนิทกันไปอีกขั้นแล้วใช่มั๊ย  ใจเต้นรัวจนแทบจะกระเด็นออกมาด้านนอกเมื่อมือเรียวของคิมยูบินเลื่อนมากุมอยู่ที่มือเล็กของเธอ  สัมผัสเล็กๆน้อยๆแค่นี้ทำให้เธอแทบจะลืมหายใจ  นี่ใช่ไหมที่เขาเรียกว่าความรัก  เธอกำลังรักคิมยูบินจริงๆใช่ไหมอานโซฮี  ทั้งๆที่เราเพิ่งเจอกันได้เพียงแค่สองครั้ง
    “ทานกันดีกว่านะ  เดี๋ยวมันเย็นจะไม่อร่อยเอา”  












          มินซอนเยนั่งรอหญิงสาวตัวเล็กที่เข้าไปรายงานเจ้านายอยู่หน้าห้องของผู้จัดการฝ่ายบัญชี  ซึ่งนี่ก็ดูจะเป็นโอกาสที่เหมาะที่สุดสำหรับเธอ  ในเมื่อคิมยูบินไม่อยู่  ก็ไม่ต้องมีใครคอยมานั่งจับผิดหรือจะต้องคอยรายงานความเคลื่อนไหวของตัวเองให้เขาฟังว่าแต่ละวันไปไหนมาไหนบ้าง  นึกแล้วมันน่ารำคาญจริงๆ
          บางทีการเข้าพบควอนโบอาครั้งนี้อาจจะเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเธอก็ได้  อย่างน้อยก็ดูเหมือนว่าเธอและควอนโบอามีจุดประสงค์บางอย่างที่คล้ายกัน บางครั้งอาจไม่ต้องลงมือเองให้เปลืองแรงด้วยซ้ำ หญิงสาวเปิดประตูเข้าไปหลังจากที่เลขาของควอนโบอาบอกกับเธอว่าเขาอนุญาต
    “เชิญนั่งสิ”    มินซอนเยนั่งลงตามคำเชิญ  สายตาปะทะกับเจ้าของห้องอย่างไม่หวั่น

    “เห็นเลขาฉันบอกว่าคุณมีธุระกับฉัน...”

    “ค่ะ  ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณ เป็นธุระส่วนตัวของเราสองคน”

    “ธุระของเราสองคน?  นี่คุณเพี้ยนไปรึเปล่า  เราสองคนยังไม่ทันได้รู้จักกันด้วยซ้ำ”

    “เราสองคนอาจจะไม่เคยรู้จักกัน  แต่ฉันเชื่อว่าเรามีจุดประสงค์บางอย่างที่เหมือนกัน”  คนฟังขมวดคิ้วมุ่น  จับต้นชนปลายไม่ถูก  ผู้หญิงคนนี้กำลังพูดถึงเรื่องอะไรกัน

    “คุณต้องการจะสื่ออะไร พูดออกมาเลยดีกว่า”

    “ฉันทราบมาว่าคุณต้องการจะกำจัดคิมยูบิน”  คนฟังเบิกตาโพล่งด้วยความมตกใจ  ตาคมวับวาวแต่ก็ไม่ได้ทำให้มินซอนเยรู้สึกกลัวเลยแม้แต่น้อย

    “เธอ!...”

    “ไม่ต้องตกใจหรอกค่ะ  ฉันบอกคุณไปแล้วว่าสิ่งที่เราต้องการน่ะมันเหมือนกัน ที่ฉันมาวันนี้ก็แค่อยากจะขอความร่วมมือจากคุณก็เท่านั้นเอง”  ถึงแม้ว่าควอนโบอาเองจะยังตกใจไม่น้อย  แต่ก็ต้องยอมให้คนสวยตรงหน้าพูดต่อ

    “ฉันอยากจะให้คุณทำตามแผนของฉัน  แล้วคุณก็จะได้ในสิ่งที่ต้องการ”  คนฟังหัวเราะหึ ในลำคอ

    “แล้วถ้าฉันบอกว่าไม่ล่ะ”  ควอนโบอาพูดเป็นการหยั่งเชิง

    “คุณไม่ได้มีทางเลือกมากมายขนาดนั้นหรอกค่ะ  ยังไงซะคุณก็ต้องทำตามที่ฉันบอก” 

    “ทำไมถึงคิดว่าฉันไม่มีทางเลือกล่ะคนสวย”

    “หน้าต่างมีหูประตูมีช่องค่ะคุณควอน”  พูดจบก็หยิบโทรศัพท์เครื่องเล็กของตัวเองขึ้นมา  ทำท่าราวกับกำลังพิจารณาเจ้ามือถือเครื่องนี้อย่างพิถีพิถัน

    “จะเป็นยังไงน้า...ถ้าโทรศัพท์เครื่องนี้ไปอยู่ในมือของตำรวจ”

    “เธอพูดอะไรของเธอ!”  ควอนโบอาเริ่มนั่งไม่ติด  ดวงตาสีเข้มส่อประกายความโกรธแวบแวบ  ทันทีที่มินซอนเยเปิดเสียงที่บันทึกเอาไว้  ก็แทบจะทำให้คนฟังล้มทั้งยืน

               “ครั้งที่แล้วฉันพลาดเองที่ไอ้คิมยูโซมันยังไม่ตาย  แต่มันจะไม่มีทางพลาดอีกเป็นครั้งที่สองแน่ยูบิน”      มินซอนเยแสยะยิ้มออกมาอย่างเปิดเผยเมื่อเห็นปฏิกิริยาของอีกฝ่าย  

    “คราวนี้รู้แล้วใช่มั๊ยว่าทำไมคุณต้องทำตามที่ฉันบอก”  โบอาปรายตามองคนพูดแล้วกัดฟันกรอด

    “แล้วฉันจะได้อะไรเป็นค่าตอบแทน”

    “บริษัทนี้ไงล่ะ  คุณต้องการไม่ใช่เหรอ”

    “แล้วเธอไม่ต้องการรึไง”

    “ฉันแค่ต้องการเห็นความหายนะของตระกูลคิมก็เท่านั้น ส่วนบริษัทนี่ถ้าทำสำเร็จ มันก็จะตกเป็นของคุณ”

    “ข้อเสนอน่าสนดีนี่  แล้วถ้าฉันต้องการอย่างอื่นด้วยล่ะ” ยิ้มกรุ้มกริ่มให้กับอีกฝ่าย  ตาคมมองไล่ต่ำลงไปเรื่อยๆราวกับอยากจะสำรวจเรือนร่างของมินซอนเยให้ทะลุปรุโปร่งทุกซอกทุกมุม
     
          มินซอนเยเห็นดังนั้น  จึงลุกจากเก้าอี้ด้านหน้า  เดินนวยนาดอ้อมโต๊ะทำงานตัวใหญ่ไปด้านหลังของควอนโบอา  ก่อนจะก้มลงกระซิบข้างใบหูอย่างยั่วยวน

    “อย่างอื่นมันก็ขึ้นอยู่กับผลงานของคุณแล้วล่ะ...คุณควอน”  ควอนโบอาหาโอกาสเหมาะ  ดึงแขนเสลาที่คล้องคอตัวเองอยู่ลงมา  ทำให้ร่างบางปลิวตามแรงดึงมานั่งลงบนตักของอีกฝ่ายไม่ยาก

    “พอดีว่าฉันใจร้อนน่ะ”  จมูกคมทำท่าจะซุกไซร้คนด้านบน หากแต่มีมือบางมาขวางเอาไว้

    “จะรีบไปไหนคะ  ฉันยังอยู่กับคุณอีกนาน ตราบใดที่ฉันยังไม่เห็นผลงานของคุณ  ฉันก็จะยังไม่ไปไหน”

    “ฉันรับรองว่าเธอจะไม่ผิดหวังแน่  แต่ตอนนี้...ฉันต้องการเธอจริงๆ”  พูดด้วยเสียงแหบพร่า  

    “แต่เรายังคุยกันไม่จบเลยนะคะ  ฉันยังไม่ได้บอกเลยว่าคุณต้องทำอะไรบ้าง”  เสียงหวานเอ่ยออกมา  มือบางผลักไหล่ของควอนโบอาออกให้ห่างจากตัวเองเล็กน้อย

    “เรื่องนั้นไว้ค่อยว่ากันก็ได้” จมูกโด่งถูกส่งลงไปหาลำคอขาวอีกรอบ  ยอมรับกับตัวเองว่าคนที่นั่งคร่อมอยู่บนตัวตอนนี้ช่างมีเสน่ห์ยั่วยวนเหลือเกิน  แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อมือบางผลักใบหน้าที่กำลังฝังอยู่บนซอกคออย่างหลงใหลออก

    “คุยเรื่องของเราให้จบก่อนดีกว่านะคะ”  สุดท้ายควอนโบอาจำต้องยอมแพ้ต่อร่างบาง  วันนี้ฉันจะปล่อยเธอไป  แต่คราวหน้าเธอจะต้องเป็นของฉัน  มินซอนเย

    “ไม่น่าเชื่อเลยจริงๆว่าคนอย่างคิมยูบินจะปล่อยเธอให้เหลือรอดมาได้” โบอาพูดเหมือนกำลังพึมพำอยู่กับตัวเองเสียมากกว่า  แต่ด้วยความที่ตัวแทบจะติดเป็นเนื้อเดียวกัน  ก็ทำให้มินซอนเยได้ยินถนัดเลยทีเดียว
          ร่างบางสปริงตัวลุกขึ้น ใบหน้าที่บึ้งตึง สร้างความงงงวยให้กับอีกคนยิ่งนัก  นี่เขาทำอะไรหรือพูดอะไรผิดไปรึเปล่า  ทำไมอยู่ดีๆสาวสวยตรงหน้าที่ดูร้อนแรงเหมือนไฟกำลังลุกโชน  กลับมอดดับลงไปเสียเฉยๆ

    “โอเค...งั้นเธอก็ว่าแผนของเธอมา”











    ต่อแบบงงๆ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×