คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : Sexy dangerous! 13
วิสกี้แก้วแล้วแก้วเล่าถูกส่งมาให้ซอนมี มีเพียงแค่นี้เท่านั้นที่ช่วยย้อมใจอันบอบช้ำของเธอได้ แม้จะอยู่ในสถานที่ที่มีเสียงเพลงดังกระหึ่ม ผู้คนมากหน้าหลายตาต่างแวะเวียนเข้ามาทักทาย แต่ทำไมมันถึงได้เหงา แล้วก็ว้าเหว่ได้อย่างนี้นะ มัวแต่จมอยู่กับความคิดของตัวเองและเครื่องดื่มในมือจนไม่ทันได้สังเกตเห็นว่ามีใครอีกคนนั่งลงที่เก้าอี้ตัวข้างๆกัน
“ดื่มเยอะไปแล้วมั้ง” หญิงสาวที่ก้มซบอยู่บนพื้นโต๊ะเงยหน้าขึ้นมามองเจ้าของเสียง ก่อนจะเบือนหน้าหลบอีกฝ่าย
“หึ! จะตามมาเยาะเย้ยกันรึไง”
“ฉันยังไม่ได้พูดสักคำ...เธอนี่คิดมากจัง” ซอนมีหันมาค้อนขวับหลังจากที่ได้ยินประโยคเมื่อครู่ ปาร์คเยอึนก็ยังเป็นปาร์คเยอึนวันยันค่ำ จะมีสักครั้งไหมที่จะไม่ได้ยินคำพูดกวนประสาทจากคนๆนี้ ซอนมีกำลังจะยกแก้วขึ้นดื่มทำเสียงจิ๊จ๊ะ เมื่อคนข้างๆกลับแย่งแก้วในมือไปดื่มเองจนหมด
“จะแย่งฉันทำไม ไม่มีเงินหรือไง”
“ไปกันเถอะ อยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์หรอก เผลอๆเธอคงได้เป็นข่าวดังทีเดียว” ว่าแล้วก็ควักธนบัตรออกมาวางไว้บนโต๊ะปึกหนึ่ง แล้วลากอีกคนที่กำลังงุนงงอยู่ออกไปทันที
“นี่!! จะพาฉันไปไหน”
อากาศตอนกลางคืนภายในสวนสาธารณะยังคงเย็นสบาย ไม่หนาวจนเกินไป ผู้คนที่ไม่ค่อยพลุกพล่านเนื่องจากเป็นแถบชานเมือง ทำให้เกิดความสงบอย่างที่ปาร์คเยอึนต้องการได้เป็นอย่างดี ร่างสูงชำเลืองมองคนข้างๆ ที่เอาแต่นั่งถอนหายใจจนนับครั้งไม่ถ้วน ก็เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา
“บอกแล้วว่าที่นี่น่านั่งกว่าตั้งเยอะ”
“มาบ่อยรึไง”
“ถ้ามีเรื่องไม่สบายใจก็ควรจะหาที่เงียบๆเพื่อจะอยู่กับตัวเองไม่ใช่เหรอ”
“ปกติ...ถ้าฉันไม่สบายใจ สิ่งแรกสิ่งเดียวที่ฉันนึกถึงก็คือพี่ยูบิน...แต่ตอนนี้...” น้ำเสียงของร่างบางเริ่มกลับมาสั่นเครืออีกครั้ง น้ำตาที่แห้งไปแล้วค่อยๆกลับมาไหลอีกครั้ง จนอีกคนก็ไม่รู้จะปลอบยังไง
“นี่ อย่าร้องสิ เดี๋ยวคนอื่นไม่รู้ก็ได้คิดว่าฉันรังแกเธอพอดี” ยังไม่วายหลุดปากออกมาอีกแล้วกับประโยคกวนๆ
“ฮึก!...ฮึก!...ฉันไม่เหลือใครแล้ว” จบคำพูดเยอึนก็ต้องตกใจทำอะไรไม่ถูกเมื่อคนที่กำลังร้องไห้อยู่โผเข้ากอดอย่างแรง ร่างสูงเบี่ยงวงแขนขึ้นมาโอบรอบตัวอีกฝ่ายไว้ ให้ได้ซุกหน้าอยู่ภายใต้อก
“ใครบอกล่ะ อย่างน้อยในตอนนี้เธอก็ยังมีฉันนะ” หญิงสาวยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่อย่างนั้นจนเยอึนรู้สึกถึงความชื้น มือเรียวยกขึ้นมาลูบผมเบาๆเพื่อปลอบประโลม
“ฉันจะอยู่กับเธอเอง” คำพูดที่ฟังดูเหมือนเป็นสัญญา แล้วยังมีไออุ่นจากอ้อมกอดที่ได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิดในครั้งนี้ มันทำให้ซอนมีรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาอย่างประหลาด
“ขอบใจนะ...” ว่าแต่ทำไมหัวใจเธอถึงได้เต้นแรงนัก
หญิงสาวเดินสาวเท้าเข้ามาภายในคอนโดมิเนียมหรูซึ่งเป็นที่อยู่ของเธอในปัจจุบัน ผ่านเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยซึ่งกำลังนั่งดูโทรทัศน์จอเล็ก ร่างบางแทรกตัวเข้าไปในลิฟต์ทันที ก่อนจะกดตัวเลขชั้นเป้าหมายที่ต้องการ
เมื่อลิฟต์เปิดออกมินซอนเยก็เดินตรงรี่ไปยังห้องพักของตัวเอง หากต้องชะงักเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงความผิดปกติบางอย่างก่อนจะหันกลับไปมองยังช่องทางเดินที่เพิ่งจะเดินผ่านมาเมื่อสักครู่ มินซอนเยส่ายหน้าไปมาช้าๆหับตัวเอง เมื่อหันกลับไปก็พบเพียงแต่ความว่างเปล่าเท่านั้น สองเท้าก้าวต่อไปเรื่อยๆก่อนจะหยุดอยู่ที่หน้าห้อง แล้วหยิบการ์ดออกจากกระเป๋าใบเล็ก
ร่างบางสะดุ้งเฮือกเมื่อมีมือปริศนาปิดปากเธอเอาไว้ พร้อมกับเปิดประตูห้องของเธอเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“อื้อ! อื้อ!” มินซอนเยร้องประท้วงในขณะที่มือของใครบางคนยังคงปิดปากเธอเอาไว้แน่น ก่อนจะเหวี่ยงตัวเธอไปอีกทาง ไฟในห้องสว่างขึ้นพร้อมกันเสียงของมินซอนเยที่ร้องออกมาอย่างตกใจ
“คิมยูบิน!”
“หืม...เปลี่ยนอารมณ์เร็วดีนี่ เมื่อหัวค่ำยังเรียกยูบินคะยูบินขาอยู่เลย”
“ตามฉันมาทำไม” ถามเสียงห้วนๆ ให้อีกคนหัวเราะในลำคอ
“ทำไมพูดจาห่างเหินแบบนั้นล่ะ ฟังแล้วไม่น่ารักเลยนะ” คนผิวเข้มแสยะยิ้มออกมาชวนให้น่าสะอิดสะเอียนเป็นที่สุด มินซอนเยมองรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยนั้นขนลุกซู่ แล้วก็ต้องถอยหลังร่นไปเมื่อเห็นอีกฝ่ายค่อยๆก้าวเข้ามาหา สายตาที่สบกับอีกฝ่ายดูตื่นตระหนกจนคุมไม่อยู่
“ทำหน้าอย่างกับเห็นผีไปได้” มือเรียวเอื้อมไปฉุดมือของเจ้าของห้อง แล้วกระชากร่างบางอย่างไม่ถนอม ตากรุ้มกริ่มมองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า แล้วไล่ย้อนกลับมาที่หน้าอก วกกลับมาจ้องที่หน้าหวานของอีกฝ่าย นิ้วเรียวไล้วนที่ใบหน้าของซอนเย แล้วเชยคางของเธอขึ้น ใบหน้าคมของยูบินก้มลงมาใกล้ จนสัมผัสถึงลมหายใจอุ่นๆของกันและกัน
“จะ...จะทำอะไร
“คิดว่าฉันจะจูบเธอรึไง” เสียงทุ้มเอ่ยขึ้น น้ำเสียงแฝงด้วยแววสมเพชหน่อยๆ ให้อีกฝ่ายได้เงยหน้าขึ้นมามอง
“เธอทำบ้าอะไรลงไป! ถ้าคิดอยากจะแก้แค้นกันก็มาเล่นงานฉัน ซอนมีไม่เกี่ยว เธอรู้มั๊ยว่าเค้าเสียใจแค่ไหนเธอรู้บ้างมั๊ย!” เสียงดังจนเกือบจะกลายเป็นตะโกน มือเรียวเขย่าร่างของอีกคนอย่างแรงด้วยความเจ็บใจ จนหญิงสาวในอ้อมแขนนิ่วหน้า
“อะไรที่มันกระทบกับคุณ ฉันก็จะทำ...โอ๊ย! ฉันเจ็บนะ!” เสียงหวานแหวขึ้นแทบกรี๊ดเมื่ออีกคนกระชับมือแน่นเข้า
“เจ็บ!...เธอกล้าพูดคำนี้ออกมาได้ยังไง ผู้หญิงเลือดเย็นอย่างเธอมันเคยมีความรู้สึกด้วยเหรอ!” คิมยูบินพูดอย่างเหลืออด
“ปล่อยนะ!”
“อยากให้ปล่อยเหรอ...ได้!” ว่าแล้วร่างระหงก็เซไปตามแรงเหวี่ยงของอีกฝ่ายจนล้มลงไปกองกับพื้น
“คุณมันบ้าไปแล้ว!” ร่างโปร่งจะก้าวฉับๆเข้าไปหาอีกฝ่าย นั่งลงตรงหน้าแล้วใช้มือเรียวบีบที่กระโดงคางของซอนเยอย่างแรง
“เธอ-ทำ-ให้-ฉันเป็นแบบนี้เอง” กระชับมือให้แน่นจนอีกฝ่ายแทบจะทนไม่ไหว มือบางของซอนเยที่ถูกปล่อยเป็นอิสระฟาดเข้าที่ใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างแรง คิมยูบินใช้นิ้วเรียวแตะที่มุมปากของตัวเองก่อนจะก้มลงไปมอง เลือดสีแดงสดติดกับปลายนิ้วมาด้วยเล็กน้อย สายตาคมมองตัวต้นเหตุอย่างอาฆาตแค้น แล้วเปลี่ยนเป็นแสยะยิ้มออกมาให้คนมองถึงกับกลัว
“เธอนี่เล่นไม่เลิกจริงๆเลยนะ...” เว้นจังหวะไปสักครู่จึงได้หัวเราะหึในลำคอแล้วเอ่ยต่อ
“ได้! ในเมื่อเธออยากจะเล่นเกมนี้ให้จบ...ฉันก็จะเล่นกับเธอ ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าใคร...จะเป็นฝ่ายชนะ” คิมยูบินลุกขึ้นยืนมองอีกฝ่าย แล้วเอ่ยต่อ
“อ่อ...แล้วอย่าคิดจะทำอะไรกับบริษัทฉันนะ เพราะฉันเองก็รักมันเท่าชีวิตเหมือนกัน ถ้าเกิดอะไรขึ้น...ฉันไม่ปล่อยเธอไว้แน่”
หลังจากที่พูดทิ้งท้ายจบร่างโปร่งก็ปึงปังออกไปจากห้องทันที เจ้าของห้องก้มลงไปมองข้อมือของตัวเองที่มีรอยแดงช้ำจากการกระทำของอีกคนเมื่อครู่ ภายในใจเต็มไปด้วยความความโกรธแค้นจนท่วมท้น
คฤหาสน์หลังใหญ่ตั้งอยู่ในอาณาบริเวณกว้าง ร่มไม้ประดับเขียวครึ้มเต็มไปหมด ภายในสวนปรากฏร่างของเจ้าของบ้านนั่งไขว่ห้างอยู่บนโต๊ะชุดสำหรับนั่งเล่น ในมือถือถ้วยกาแฟที่เจ้าตัวชอบดื่มเอาไว้ ตาคมเหม่อมองไกลออกไปอย่างไร้จุดหมาย ความเครียดฉายชัดขึ้นเต็มดวงหน้า บนโต๊ะสีขาวมีภาพถ่ายหลายใบกระจัดกระจายเต็มไปหมด
และแล้วสิ่งที่เธอสงสัยมาตลอดหลายวันที่ผ่านมาก็กระจ่างขึ้น หลังจากที่ให้คนสนิทรวบรวมรูปภาพพร้อมกับข้อมูลต่างๆที่บอกถึงความสัมพันธ์ของสองคนในรูปนั้น ป่านนี้มินซอนเยกับควอนโบอาไม่หัวเราะเยาะเธอแย่แล้วหรือไง ที่ร่วมมือกันปั่นหัวเธอได้ นึกดีใจที่วันนั้นเกิดเฉลียวใจในรอยยิ้มของทั้งคู่
“ที่แท้พวกเธอสองคนก็ร่วมมือกันเล่นงานฉัน” เอ่ยเสียงลอดไรฟันอย่างเจ็บใจ ก่อนจะก้มลงไปมองภาพถ่ายบนโต๊ะด้วยแววตาลุกโชนราวกับจะให้มันมอดไหม แล้วตัดสินใจโทรหาใครอีกคน
รถยุโรปคันหรูจอดเทียบกับลานจอดรถอย่างนุ่มนวล คิมยูบินก้าวออกมาจากรถด้วยชุดที่ดูสบาย กางเกงขายาวสีดำ กับเสื้อเชิ้ตลายทางสีขาวน้ำเงินที่พับขึ้นมาถึงข้อศอก ท่าทางการเดินที่ดูมั่นใจในตัวเองเรียกความสนใจให้กับชายหญิงในละแวกนั้นได้เป็นอย่างดี
ยูบินเดินมาสักพักก็มาหยุดอยู่ที่หน้าห้องๆหนึ่ง พึมพำกับตัวเองเพื่อทบทวนหมายเลยห้อง สูดลมหายใจยาวๆเข้าปอดไปทีนึง แล้วจึงตัดสินใจเคาะประตูเพื่อเป็นสัญญาณให้คนด้านในได้รู้ ในเวลานี้ หมากตัวเดียวที่คิมยูบินเหลืออยู่ก็คือเจ้าของห้องตรงหน้า
“เข้ามาก่อนสิคะ” อานโซฮีเบี่ยงตัวหลบเปิดทางให้ยูบินได้เดินเข้าไปข้างใน ก่อนจะปิดประตูลง
“ห้องน่าอยู่ดีนะ” ตากกรุ้มกริ่มมองสำรวจภายในชั่วครูแล้วหันมาเอ่ยกับเจ้าของห้อง
“ตามสบายนะคะ ว่าแต่พี่ยูบินอยากดื่มอะไรรึเปล่า”
“ขอกาแฟสักแก้วละกัน” อานโซฮีตอบรับก่อนจะเดินเข้าไปในห้องครัว มือบางหยิบถ้วยกาแฟออกมาก่อนจะบรรจงชงกาแฟร้อนอย่างตั้งใจ กลิ่นหอมของมันลอยฟุ้งไปทั่วปริเวณ ก่อนที่โซฮีจะหันกลับมา มือเรียวก็โอบรอบตัวเธอเอาไว้ พลางสอดมือเข้าไปถือถ้วยกาแฟไว้เอง คิมยูบินจะรู้หรือเปล่านะว่าที่ทำอยู่ตอนนี้มันทำอีกคนแทบจะหายใจไม่ทั่วท้องแล้ว
“หอมจัง”
“อะ...อะไรหอมคะ” โซฮีถามอย่างเขินอาย
“ก็...ทั้งคนชง ทั้งกาแฟ” พูดเสร็จก็ผละออกจากอีกคน แล้วถือถ้วยกาแฟขึ้นมาจิบเล็กน้อย
“อื้ม...อร่อยจัง สงสัยว่าคราวหลังพี่คงต้องแวะมาดื่มกาแฟที่นี่บ่อยๆแล้วล่ะ” คนฟังก้มหน้างุดลง หลังจากที่ตาคมหันมาสบกับเธอ ทั้งสองเดินกลับมายังโซฟารับแขกสีขาว คนที่เงียบอยู่นานจึงได้เอ่ยปากพูดออกมา
“จริงสิคะ ฉันได้ยินมาว่าพี่ยูบินกับคุณซอนมี เอ่อ...”
“ใช่...พี่เลิกกับซอนมีแล้ว” น้ำเสียงที่ฟังดูเศร้าสร้อยบวกกับสายตาที่แปลเปลี่ยนเป็นหมองหม่นหลังจากที่พูดถึงเรื่องนี้ ทำให้โซฮีแทบจะทำอะไรไม่ถูก
“ขอโทษนะคะ ฉันไม่น่าพูดถึงมันเลย”
“พี่ไม่เป็นไร ว่าแต่...เธอรู้ได้ยังไงกันล่ะ” คิมยูบินทำท่าทีสงสัย แล้วนั่งรอฟังคำตอบ เมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มอึกอักก็พูดต่อ
“ซอนเยบอกมางั้นเหรอ” พอได้ยินชื่อของเพื่อนสนิท คนแก้มกลมก็เงยหน้าขึ้นมาสบตากับอีกฝ่าย ก่อนสายตาคมจะทำเป็นหลบต่ำลง
“...ค่ะ” ยูบินทำเป็นถอนหายใจออกมาแรงๆ แล้วขยับตัวเลื่อนไปพิงกับพนักโซฟา
“เพื่อนของเธอคงจะสะใจมากสินะที่ได้เห็นพี่เป็นแบบนี้” ยูบินส่ายหน้าไปมาช้าๆ แล้วยกมือเรียวขึ้นมาปิดหน้าเอาไว้ ราวกับกลุ้มใจหนักหนา
“พี่ยูบินอย่าคิดมากเลยนะ”
“พี่ทำแบบนั้นไม่ได้หรอกนะโซฮี พี่ยังมีพ่อแม่ต้องดูแล พวกท่านเองก็ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ด้วย ถ้าเกิดพี่เป็นอะไรขึ้นมา...”
“โธ่ ซอนเยเค้าไม่ใจร้ายใจดำถึงขั้นจะฆ่าจะแกงกันหรอกนะคะ”
“พี่รู้...เพื่อนเธอเค้าคงไม่ทำแบบนั้นแน่ ถ้าไม่มีใครอีกคนมาเกี่ยวข้อง”
“ใครอีกคน? หมายความว่ายังไงคะ”
“เธอเคยได้ยินเรื่องของควอนโบอาบ้างมั๊ย...พี่หมายถึง ซอนเยเคยพูดอะไรให้ฟังบ้างรึเปล่า เกี่ยวกับควอนโบอา”
อานโซฮีไม่รู้ว่าตัวเองทำหน้าอย่างไรในตอนนั้น หลุบตาลงต่ำไม่กล้าสบกับอีกฝ่าย ควอนโบอาอย่างนั้นเหรอ ทำไมจะไม่รู้ล่ะ ในเมื่อเพื่อนสนิทหนึ่งในสองคนที่มีอยู่เคนเอ่ยถึงอยู่บ่อยๆ ด้วยความที่สนิทสนมกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กมัธยม ความไว้ใจที่มีให้ต่อกันก็มีมาก เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับซอนเย อานโซฮีคนนี้ย่อมรู้แทบจะทุกเรื่อง เพราะอีกคนเองก็มีเพียงแค่เพื่อนเท่านั้นที่คอยรับฟังและให้คำปรึกษา แล้วความคิดก็วกกลับมาหาคิมยูบิน คนที่นั่งอยู่ตรงหน้านี้เล่าไม่น่าสงสารหรือไง ถ้าเกิดสองคนนั่นเค้าคิดจะทำอะไรขึ้นมา คนที่เหลือตัวคนเดียวอย่างคิมยูบินจะทำอย่างไร ไม่อยากจะทำลายความไว้วางใจที่เพื่อนมีให้ ได้แต่ก้มหน้าอึกอักอยู่อย่างนั้น จนยูบินที่นั่งสังเกตอาการของอีกคนอยู่พูดขึ้น
“พี่เข้าใจ...ก็ซอนเยน่ะเค้าเป็นเพื่อนเธอนี่นา จะให้พูดอะไรมากมันก็คงไม่ดี จริงไหม?” ยูบินพูดเสียงเบาราวกับพึมพำอยู่กับตัวเอง ทำให้โซฮีต้องรีบปฏิเสธพัลวัน
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะพี่ยูบิน คือ...”
“ไม่เป็นไรโซฮี พี่เองก็ไม่อยากให้เธอลำบากใจ อีกอย่างพี่ไม่อยากให้เธอมองพี่ว่าที่เข้ามาในชีวิตเธอเพราะต้องการผลประโยชน์ไม่ใช่เพราะความจริงใจ”
“ฉันไม่เคยคิดแบบนั้นเลยนะคะ” โซฮีเลื่อนมือของตัวเองไปกุมมือเรียวของยูบินเอาไว้เพื่อยืนยันในคำพูดของตัวเอง พรางถอนหายในออกมาเบาๆ ก่อนจะเอ่ยคำพูดที่ทำให้อีกคนแสยะยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ เพราะกลัวจะเป็นพิรุธให้อีกฝ่ายเห็น
“...จริงๆแล้วซอนเยเองก็ไม่ได้บอกฉันทุกเรื่องหรอกนะคะ” คนผิวเข้มเงยหน้าขึ้นมาประสานสายตากับคนพูด รอให้อีกฝ่ายเอ่ยต่อโดยที่ไม่ได้ถามอะไร
“เรื่องของควอนโบอา ฉันก็พอรู้มาบ้าง...พวกเค้ากำลังร่วมมือกัน” ร่างบางเอ่ยอย่างไม่มองหน้าคนฟังที่ตอนนี้ตาคมกำลังลุกวาวเป็นประกายด้วยความรู้สึกบางอย่าง เมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบไป คนที่นั่งฟังอยู่เมื่อครู่ก็เอ่ยถามเอง
“สองคนนั่นจะทำอะไรอย่างนั้นเหรอโซฮี”
____________________________________________________
ตอนที่แล้วเห็นสงสารบินนี่กันจังเลยแหะ
ตอนนี้ว่าไงเอ่ย??
ความคิดเห็น