คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : Sexy dangerous! 11 100%
รถยุโรปสีดำคันใหญ่ วิ่งด้วยความเร็วปกติไปตามถนนหลักใจกลางเมือง คนขับไม่ได้มีทีท่าว่าจะรีบเร่งแต่อย่างใด นิ้วเรียวเคาะอยู่กับพวงมาลัยของวงรถ เรื่องที่ได้รับรู้จากคำบอกเล่าของอานโซฮีที่เผลอหลุดปากออกมาบ้าง ยังคงวนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา
เรื่องที่ว่าพ่อของเธอคือตัวต้นเหตุที่ทำให้สาวหน้าหวานอย่างมินซอนเย ต้องกลายเป็นเด็กกำพร้าและเจ้าคิดเจ้าแค้นอย่างทุกวันนี้ เรื่องที่ว่าบริษัทที่ขึ้นชื่อว่าเป็นของเรา ที่จริงแล้วมันได้มาจากการคิดคดทรยศของผู้เป็นพ่อไม่ใช่จากน้ำพักน้ำแรงเหมือนที่เขาเคยบอกเล่าให้ฟัง
ยังคับคล้ายคับคาว่าเมื่อตอนที่เธอยังเด็ก คิมยูโซผู้เป็นพ่อยังเป็นเพียงพนักงานบริษัทกินเงินเดือนธรรมดาคนหนึ่ง บ้านของเธอไม่ได้ร่ำรวยแต่ถึงกระนั้นเงินเดือนของพ่อก็ยังพอเลี้ยงครอบครัวได้ จึงไม่ได้ลำบากอะไรนัก
หลังจากนั้นเพียงไม่นานชีวิตของเธอและแม่ ก็เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือเลยก็ว่าได้ มีทั้งรถทั้งบ้านใหม่ที่ใหญ่อย่างกับพระราชวัง มีคนคอยรับใช้เอาอกเอาใจสารพัด โดยที่พ่อบอกกับเธอเพียงแค่ว่าเจ้านายท่านใจดี เพราะพ่อทำงานได้ถูกใจเขาจึงตบรางวัลให้ ด้วยความที่ยังเด็กไม่ได้คิดหาเหตุผลอะไรมากมาย จึงเชื่อมาอย่างนั้น เมื่อโตขึ้นก็ไม่ได้เก็บมาใส่ใจจนกระทั่งถึงปัจจุบันนี้
ไม่อยากนึกเลยว่าในตอนนั้น ตอนที่ครอบครัวของเธอใช้ชีวิตกันอย่างสุขสบาย อีกสามคนพ่อแม่ลูกที่ไม่เคยลำบาก ต้องดิ้นรนกันขนาดไหนเพื่อให้มีชีวิตรอดไปวันๆ พ่อแม่ของมินซอนเยเสียชีวิตอย่างไรเธอก็ไม่รู้ และอานโซฮีเองก็ไม่ได้บอกเธอเช่นกัน แต่ที่แน่ๆมันก็คือผลพวงมาจากการกระทำของพ่อ
ชีวิตของเด็กกำพร้ามันคงลำบากน่าดู ไม่มีทั้งพ่อและแม่ ต้องใช้ชีวิตโดดเดี่ยวอ้างว้างถึงแม้จะมีมูลนิธิคอยอุปถัมภ์ก็เถอะ มินซอนเยไม่ผิดที่เป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้น เพราะถ้าเป็นตัวเธอเองก็คงจะทำแบบนี้ไม่ต่างกัน แต่ก็ต้องยอมรับว่าเธอเก่งมากรู้ไหมมินซอนเย เก่งมากที่สามารถเติบโตและผ่านมันมาได้จนถึงวันนี้
“ บาปกรรมน่ะมันมีจริง แล้วฉันก็ยังเชื่ออีกว่ามันกำลังตามพวกคุณทันแล้วด้วย”
เสียงหวานที่ดังก้องอยู่ในหูซ้ำๆในตอนนี้ ประโยคเดิมๆที่ทำให้คิมยูบินต้องเอ่ยออกมากับตัวเองอย่างเลื่อนลอย
“นั่นสินะ...แล้วฉันควรจะทำยังไงดี”
เสียงโทรศัพท์เครื่องหรูก็ดังขึ้นปลุกคนผิวเข้มให้ตื่นจากภวังค์ความคิดเมื่อสักครู่ได้เป็นอย่างดี บนหน้าจอกว้างปรากฏชื่อซอนมีเป็นสายเรียกเข้า ให้ตายเถอะ! ลืมไปเลยว่ามีนัดกับคนรัก
“เอ่อ...ซอนมี”
“พี่ยูบินลืมอีกแล้วใช่มั๊ยคะ” เสียงใสที่ลอดผ่านลำโพงโทรศัพท์สั่นเครือเล็กน้อย ทำให้ยูบินอดใจหายไม่ได้
“พี่ขอโทษ พี่ไม่ได้ตั้งใจ”
“ขอโทษ ไม่ได้ตั้งใจงั้นเหรอคะ กี่ครั้งแล้วที่ฉันต้องฟังคำแก้ตัวพวกนี้ สองสามเดือนที่ผ่านมานี่พี่เป็นอะไรไปคะ ทำไมถึงได้เปลี่ยนไปแบบนี้ ตั้งแต่เราคบกันมาพี่ไม่เคยผิดนัดฉันเลย แล้วนี่อะไร! มันเกิดอะไรขึ้นคะ พี่ปล่อยให้ฉันนั่งรอตั้งสองชั่วโมงโดยไม่คิดจะโทรมาบอกเลย พี่เป็นอะไรกันแน่พี่ยูบิน!”
“ซอนมีพี่ไม่...ฮัลโหล...ฮัลโหล!” ยูบินมองหน้าจอมือถือแล้วจิ๊ปากออกมาเสียงดังด้วยความหงุดหงิด ขอโทษนะซอนมี
หลังจากที่ขับรถเข้ามาภายในตัวตึกของบริษัท นี่ก็ปาเข้าไปสองทุ่มแล้ว ป่านนี้ทุกคนคงจะกลับกันหมด คิมยูบินที่คิดว่าจะกลับมาทำงานต่อให้เสร็จก็ได้แต่นั่งหลับตาพิงพนักเก้าอี้นุ่มราวกับต้องการพักผ่อน วันนี้ทั้งวันเจอแต่เรื่องน่าปวดหัว นับตั้งแต่เริ่มปะทะคารมกับควอนโบอาตั้งแต่เช้าในห้องประชุม จนกระทั่งเมื่อครู่ดาราสาวซึ่งเป็นคนรักของเธอเกิดอาการงอนขึ้นมาเนื่องจากเธอผิดนัด ไว้วันหลังก็แล้วกันนะซอนมีวันนี้พี่คงไม่มีแรงที่จะง้อเธอหรอก ขอโทษจริงๆ
‘แก๊ก!’
เสียงประตูห้องถูกเปิดออก สาวผิวเข้มลืมตาขึ้นมามองผู้บุกรุก แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อนั่นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นเลขาสุดสวยของเธอนั่นเอง คนที่เข้ามาอยู่ในห้วงความคิดของเธอตลอดทั้งวัน
“เธอ...ยังไม่กลับอีกเหรอ”
“เปล่าค่ะ...พอดีฉันกลับมาเอาของ เห็นไฟเปิดอยู่ก็เลยกะจะเข้ามาปิด ไม่นึกว่าคุณจะยังอยู่ที่นี่”
“อืม ฉันกลับมาเคลียร์งานน่ะ” คิมยูบินมองหน้าอีกฝ่ายอยู่สักพักจึงเบนสายตาออกไปนอกตึกที่มีกระจกใสกั้นไว้
“ค่ะ...งั้นฉันคงต้องขอตัวกลับ” พูดจบมินซอนเยก็หันหลังเดินกลับไปทันที
“เดี๋ยว! เธอพอมีเวลาคุยกับฉันรึเปล่า”
หลังจากที่ซอนเยกลับเข้ามาข้างใน ห้องทั้งห้องก็ถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ คนที่ดูเหมือนมีเรื่องจะคุยกับเธอก็ยังคงมองออกไปนอกกระจกใสนั้นเหมือนเดิม จนร่างบางรู้สึกอึกอัดและดูเหมือนอีกฝ่ายจะรู้
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าจะเริ่มยังไงดี” คนพูดก้มลงมองนิ้วตัวเองที่สอดประสานกันก่อนจะสูดหายใจเข้าลึกๆเพื่อรวบรวมกำลังที่เหมือนจะไปทำหล่นหายไว้ที่ไหนสักแห่ง เงยหน้าขึ้นสบประสานสายตากับอีกฝ่ายที่นั่งอยู่ไม่ไกลนัก
“เธอ...ช่วยเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นให้ฉันฟังหน่อยได้มั๊ย”
“คุณหมายถึงเรื่องอะไรคะ”
“ก็เรื่อง...” ยูบินพูดไม่ทันจบ เสียงโทรศัพท์ของมินซอนเยก็ดังขึ้นมาขัดจังหวะ จนทำให้ลืมคำพูดที่ต้องใช้เวลาคิดไตร่ตรองอยู่นาน มินซอนเยขอตัวรับโทรศัพท์สักครู่จึงหันกลับมาบอกกับเธอ
“ฉันคงต้องกลับแล้วจริงๆค่ะ” คนฟังได้แต่พยักหน้าหงึกหงักโดยไม่มีข้อโต้แย้งใดๆ ในเมื่อวันนี้เธอก็ยังไม่ได้เตรียมใจและพร้อมที่จะคุยเช่นกัน
มินซอนเยยืนรอลิฟต์ด้วยความคิดหลากหลาย ในหัวมีแต่เครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด ยูบินดูแปลกไปมาก สายตาคมเข้มคู่นั้นที่เคยแข็งกร้าวบัดนี้มีแต่ความกังวลเข้ามาแทนที่จนเธอสังเกตได้ แถมยังคุยกับเธอดีไม่ได้ใช้อารมณ์เหมือนทุกครั้ง แล้วเรื่องอะไรกันเล่าที่เขาอยากจะคุย ทำไมดูเหมือนมันจะเอ่ยออกมายากเย็นนัก
ช่วงสายของวันต่อมา
“จริงเหรอเธอ!”
“จริงไม่จริงไม่รู้ ก็เค้าลือกันมาอย่างนี้”
“ไม่น่าเชื่อนะว่าคนอย่างคุณคิมยูบินจะคิดฆ่าพ่อตัวเองได้”
“นั่นสิ ฉันล่ะหลงปลื้มอยู่ตั้งนาน”
“แหมเธอ...เรื่องเงินๆทองๆมันเข้าใครออกใครซะที่ไหน”
เสียงซุบซิบนินทาของพนักงานในบริษัททำให้คิมยูบินที่กำลังเดินเข้ามาต้องหยุดชะงัก สาวๆขาเม้าท์สามสี่คนที่ยังไม่ทันสังเกตเห็นเจ้านายสาวที่ตัวเองพูดถึง ก็ยังคุยกันถึงพริกถึงขิงเหมือนเดิม
“อุ๊ย!” หนึ่งในนั้นอุทานออกมาอย่างตกใจ หลังจากที่หันไปสบตากับหน่วยตาคมอย่างจัง แล้วส่งสัญญาณให้พวกที่เหลือรับทราบ ก่อนจะพากันหันมาโค้งให้ท่านประธานคนใหม่แล้วแยกย้ายกันไปคนละทิศคนละทางราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
คนผิวเข้มยืนนิ่งมองปฏิกิริยาของบรรดาพนักงานกลุ่มเมื่อครู่ เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของสังคมที่ต้องมีการซุบซิบนินทากันบ้าง แต่ทว่าเรื่องที่พากันพูดเมื่อกี้ เท่าที่จับใจความได้มันก็คือเรื่องของเธอ แล้วใครกันเป็นคนปล่อยข่าวไม่มีมูลแบบนี้ออกมา ใครกันล่ะที่ตั้งตัวเป็นศัตรูกับเธอ หรือว่าจะเป็นมินซอนเย
“มันดูเหมือนจงใจไปหน่อยรึเปล่าคะคุณคิม”
“จงใจยังไง”
“ก็ดูสิ...พ่อเพิ่งเข้าโรงพยาบาลไป วันนี้ก็มาสถาปนาตัวเองเป็นประธานบริษัทคนใหม่ซะแล้ว แบบนี้ถ้าไม่เรียกว่าจงใจ แล้วควรจะเรียกว่ายังไงดีล่ะ”
ประโยคการปะทะคารมระหว่างเธอกับใครอีกคนดังก้องเข้ามาในหู ใบหน้าคมถึงกับกัดฟันกรอด
"โบอา"
“สวัสดีค่ะคุณควอน” ซอนเยยิ้มแฉ่งให้กับเจ้าของห้องที่เธอเสียมารยาทเข้ามานั่งรอ
“มาแต่เช้าเชี่ยวนะ”
“แหม...ก็อยากจะเข้ามาทักทายเพื่อนร่วมหุ้นหน่อยไม่ได้หรือคะ” ควอนโบอายิ้มออกมาหลังจากที่เสียงหวานพูดจบประโยค แล้วก้มลงไปกระซิบข้างใบหูของคนที่นั่งอยู่
“คุณนี่ใจร้อนจังนะคะ ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกแล้ว”
“ก็เป็นเพราะเธอไม่ใช่เหรอที่ทำให้ฉันร้อน...ไปทั้งตัว” ควอนโบอายังคงคลอเคลียอยู่บริเวณใบหน้าหวาน แล้วฉกริมฝีปากของตัวเองลงไปกับอีกฝ่ายอย่างไม่ให้ร่างบางตั้งตัว ก่อนที่ใครอีกคนจะผลักออกอย่างสุดแรงเกิด
“รางวัลเล็กๆน้อยๆก็ให้กันไม่ได้หรือไง”
“อย่าทำแบบนี้อีก ฉันยังไม่อยากมีปัญหากับคุณ” ควอนโบอาหน้าเสียไปเล็กน้อยไม่รู้จะทำอะไรได้ดีไปกว่าแบมือยักไหล่กับตัวเอง
“เรื่องข่าวลือนั่น ฝีมือคุณใช่มั๊ย”
“แล้วมันจะเป็นใครล่ะ ถ้าไม่ใช่เธอก็คงมีแค่ฉัน” มินซอนเยกระตุกยิ้มออกมาเมื่อได้ยินคำตอบ
“คุณนี่มันเลวจริงๆ”
“โอ...ขอบใจนะที่รักที่เธอยังอุตส่าห์ชมฉัน ป่านนี้คิมยูบินมันคงกระอักเลือดตายไปแล้วมั้ง หึ!”
“เค้าคงรู้ว่าเป็นฝีมือคุณ ก็เล่นไปพูดแบบนั้นในห้องประชุม”
“แล้วไงล่ะ ฉันไม่สนหรอกว่ามันจะรู้รึเปล่า แต่ที่สนก็คือพวกผู้จัดการแก่ๆทั้งหลายนั่นต่างหากล่ะ อยากรู้นักว่าจะมีสักกี่คนที่ยังอยู่ข้างมัน”
มินซอนเยเปิดประตูบานใหญ่ของห้องประธานกรรมการเข้าไป หลังจากที่ได้ยินคำบอกเล่าของเลขาจาง ซึ่งมีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขาของเธอหลังจากที่คิมยูบินได้เลื่อนขั้นเป็นประธาน
“เข้าไปดูคุณคิมหน่อยเถอะค่ะ อารมณ์เสียมาตั้งแต่เช้า ใครเข้าไปก็โดนไล่ตะเพิดออกมาตามๆกัน เข้าหน้าไม่ติดสักคน”
ภายในห้องมีแฟ้มเอกสารกระจักกระจายอยู่ตามพื้น พอมองขึ้นไปเรื่อยๆก็เจอกับเจ้าของห้อง นั่งอยู่ในท่าเดิมกับที่เห็นเมื่อคืนเพียงแต่ตอนนี้ศีรษะของร่างโปร่งพิงอยู่กับไหล่ของตัวเอง ใบหน้าซีดราวกับคนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ
เสี้ยวหนึ่งของความคิดที่วูบเข้ามาในหัวตอนนี้ รู้สึกสงสารคนตรงหน้าเหลือเกิน ไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกเหล่านี้มันก่อตัวขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอไม่ควรจะใจอ่อนกับศัตรูนะมินซอนเย ได้แต่ท่องประโยคนี้ซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในใจ แล้วอะไรบางอย่างก็ดลใจให้ร่างบางเอื้อมมือไปแตะสัมผัสกับหน้าผากของอีกฝ่ายหลังจากที่ลองเรียกอยู่สักพัก
“เธอ...” เสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมาแหบแห้งฟังดูเบาหวิว ราวกับขาดน้ำมาหลายวัน ทำให้มินซอนเยสะดุ้งเฮือก รีบถอนมือออกมาทันที ก่อนที่คิมยูบินจะขยับตัวนั่งในท่าปกติ
“เมื่อคืนคุณกลับกี่โมง”
“ตีสาม”
“คุณตัวร้อน”
“ช่างเถอะ มีธุระอะไรอีกรึเปล่า ฉันจะได้ทำงาน”
“เรื่องเมื่อคืน เรายังคุยกันไม่จบ”
“ฉันยังไม่มีอารมณ์จะคุยอะไรกับใครทั้งนั้น ออกไปได้แล้ว” นั่นไง! คิมยูบินตัวจริงกลับมาแล้ว ที่คุยกับเธอเมื่อคืนคงจะไม่ใช่คนที่นั่งอยู่ตรงหน้านี้สินะ ถึงได้พูดกับเธอดีนัก ซอนเยสูดหายใจเข้าไปให้ลึกที่สุดเพื่อสกัดกั้นอารมณ์โกรธที่กำลังจะก่อตัว พร้อมกับความสงสารเมื่อครู่นี้ก็ได้เลือนหายไปเช่นกัน
“ถึงยังไงคุณก็ควรจะทานยา” จะมาทำเหมือนเป็นห่วงฉันให้มันได้อะไรกันมินซอนเย ในเมื่อเธอเองก็ต้องการให้มันเป็นแบบนี้ไม่ใช่หรือไง
“เลิกเสแสร้งได้แล้วมินซอนเย! ที่ฉันเป็นแบบนี้เธอก็ควรจะดีใจไม่ใช่เหรอ ถึงแม้มันจะไม่ใช่ฝีมือของเธอ แต่มันก็สามารถปั่นหัวฉันได้ไม่เลวเลยทีเดียวล่ะ” ด้วยความโมโหที่ยังคงคั่งค้างอยู่ทำให้คิมยูบินถึงกับระเบิดอารมณ์ระบายความในใจออกมา จากนั้นก็มีเสียงเก้าอี้กระแทกโต๊ะตามมา ก่อนที่เจ้าตัวคนพูดจะกระแทกส้นเท้าออกไปจากห้องทำงานไป
มินซอนเยมองตามร่างนั้นไปจนลับสายตา เขารู้แล้ว...เขารู้ว่าที่เธอเข้ามาที่นี่เพราะต้องการอะไร ความถามที่ตามกันมาคือคิมยูบินรู้ได้อย่างไรกัน
______________________
เอามาเพิ่มอีกห้าสิบ ครบร้อยแล้วตอนนี้
ยังไงคนแต่งก็ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ และก็ผู้อ่านทุกคนนะคับที่ยังติดตาม
ความคิดเห็น