ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เส้นทางสู่....แพทย์ ^^

    ลำดับตอนที่ #10 : เพิ่มเติม....คำถามการสอบสัมภาษณ์แพทย์....^^

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 8.36K
      8
      2 พ.ย. 54

    เพิ่มเติม....การเตรียมสอบสัมภาษณ์^^

     

    สำหรับน้อง  zonx  ที่ถามว่าสอบสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษหรือเปล่า....?? ...อันนั้นก็ขึ้นอยู่กับโครงการที่ต้องสมัครสอบค่ะ ^^  อย่างพี่สอบโครงการ md02  ก็จะสัมภาษณ์เป็นภาษาไทยธรรมดาค่ะ  ส่วนโครงการ mdx เนี่ย  (เท่าที่พี่รู้มานะ)  เขาจะสัมภาษณ์เป็นภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษนั้นขึ้นอยู่กับอาจารย์ที่สอบสัมภาษณ์เราจ้า  (ก็คือพอตอนเราสอบสัมภาษณ์ก็จะมีคนหลายคนเนอะ....เขาก็จะแบ่งนักเรียนไปแต่ละห้องสัมภาษณ์ที่เตรียมไว้  ขึ้นอยู่กับโชคด้วยล่ะมั้งว่าจะเจอห้องที่อาจารย์ใจดี....หรืออาจารย์โหด O_O!)  แล้ว  mdx เนี่ยก็จะมีสอบความสามารถทางภาษาอังกฤษด้วย....รู้สึกว่าจะเป็นทดสอบ  reading  กับ  listening นะคะ......ถ้าอยากเจาะลึกลงในรายละเอียด  ก็ลองไปถามรุ่นพี่ที่เคยสอบๆกันมานะ ^-^

     

                ส่วนการเตรียมสอบสัมภาษณ์ของพี่ก็ไปหาตามเว็บต่างๆ  ที่เขาเคยสอบสัมภาษณ์แพทย์มาแล้วแล้วเอามาแบ่งปันกัน  หรือไม่ก็ถามจากรุ่นพี่จ้า  ตอนก่อนสอบสัมภาษณ์พี่ก็ลองดูมาคร่าวๆในเรื่องเกี่ยวกับคณะนั้นๆในมหาวิทยาลัยที่ตัวเองจะเข้าไว้บ้าง  เช่น

    -                   คณบดีชื่อ?

    -                   คณะนี้ตั้งมากี่ปีแล้ว?  แล้วเราเข้าจะเป็นรุ่นที่เท่าไหร่?

    -                   บลาๆๆๆ = =”

    ที่เหลือก็ไม่ค่อยได้ดูค่ะ.....เพราะจะจำเยอะกว่านี้ก็คงไม่ไหว....ถ้าเจอคำถามอื่นเข้ามาก็......ยิ้มสู้ละกันค่ะ ^^  .....แต่พอเอาเข้าจริงตอนมิ้นสอบสัมภาษณ์ก็ไม่มีคำถามพวกนี้โผล่มาสักคำถามเลยค่ะ  .....(โชคดีจริงๆ  ที่ไม่อ่านมามากกว่านี้ ^^)

     

    แล้วก็อ่านตัวอย่างคำถามว่าเขาชอบถามเราว่าอะไรบ้าง  เช่น

    -                   ทำไมอยากเป็นหมอ??(คำถามยอดฮิต)........ “ก็หนูอยากเป็นอะ”  ---->สงสัยอันนี้จะตกชัวร์  ข้อหากวนตีนอาจารย์ = =

    คำถามนี้มิ้นก็โดนนะ.....มิ้นก็เลยตอบไปว่า  ปัจจุบันมันมีโรคภัยเยอะ...ภัยพิบัติก็เยอะ  ถ้าเราไม่ได้เป็นหมอ  เราก็ได้แต่มองดูเฉยๆอย่างหดหู่ แต่ถ้าเราเป็นหมอ  เราก็จะสามารถไปช่วยเขาได้เลย ^^  (ตอบเหมือนนางงามเลยเนอะ ^^  ......อันนี้มิ้นตอบจากใจจริงนะ)  ส่วนเพื่อนมิ้นเขาก็บอกว่าตอนเราเด็กๆ  เป็นไข้เป็นหวัดก็ไปหาหมอ  ก็เลยประทับใจ

                           

                            อันนี้มิ้นว่าตอบจากใจจริงจะดีที่สุด.....(พยายามสบตาท่านอาจารย์ที่สัมภาษณ์เราไว้ก็ดีนะคะ....เขาจะได้ไม่หาว่าเราโกหกเลยไม่กล้าสบตา ^^)  แต่ห้ามตอบว่าได้เงินเยอะเด็ดขาดนะคะ

                            เอ้อ.....แล้วถ้าเราตอบประมาณว่าอยากช่วยคนเนี่ย  เขาก็มักจะถามเราต่อค่ะว่าแล้วอาชีพอื่นช่วยคนไม่ได้หรอ??.....(อันนี้มิ้นก็เลยบอกว่าถ้าเราเป็นหมอก็จะช่วยคนได้มากกว่าค่ะ)

                           

    -                   คุณคิดว่าหมอต้องมีอะไรบ้าง???? ..... “ความสวยกับความหล่อค่ะ ^^  555+”----> อันนี้โดนข้อหาทำให้อาจารย์หมั่นไส้  เลยโดนปรับตก (ซะงั้น)

    ก็ตอบไปค่ะพวกคุณธรรมจริยธรรมต่างๆ....แล้วบางทีก็จะโดนถามกลับนะคะว่าเรามีอะไรบ้างน่ะที่พูดมานั่น....(อันนี้มิ้นโดน = =”)

               

    -                   แล้วถ้าคุณไม่ติดหมอ  คุณจะทำยังไง?

    อันนี้มิ้นว่าพยายามยืนยันจุดยืนของเราว่าเรามีความตั้งใจที่อยากจะเรียนแพทย์จริงๆ  ถึงเราจะไม่ติดรอบนี้  รอบหน้าก็ยังมีอีกเนอะ  ก็ตอบไปค่ะ  ว่ารอรอบรับตรง  รอบกสพท.  อะไรก็ว่าไป

    มิ้นเคยไปอ่านของพี่คนหนึ่งที่เขาโพสต์ไว้ในอินเตอร์เน็ต.....

     

    ถ้าสอบไม่ติดรอบนี้จะทำยังไง?”

     

    ก็จะยื่นคะแนนเอนท์ตรงค่ะ

    เขาถามกลับ

    แล้วถ้าเอนท์ตรงไม่ติดล่ะ

    ก็ยื่นเอนท์กลางค่ะ

    (อันด้านล่างนี้เป็นบทที่ฉันเตี๊ยมไว้ก่อนเข้าห้องสอบ)

    แล้วถ้าเอนท์กลางไม่ติด

    ก็จะเลือกเรียนสาขาที่ใกล้เคียงกันไปก่อนแล้วค่อยเอนท์ใหม่ปีหน้าค่ะ

    แล้วถ้าปีหน้าไม่ติด

    ก็จะหาแฟนเป็นหมอค่ะ” (เอิ้กกกกก)

     

                อันนี้มิ้นไปอ่านเจอในเว็บค่ะ.....ถูกใจที่พี่เขาเขียนว่าจะหาแฟนเป็นหมอเนี่ยแหละ  (ก๊ากกก)  ที่จริงอาจารย์ที่เขาสัมภาษณ์เขาเลิกถามตั้งแต่บอกว่าจะเอนท์กลางแล้วค่ะ.....สงสัยพี่เขาจะตอบคำถามจนเพลิน  (เอิ้กๆ)

     

    -                   บันไดที่คุณเดินขึ้นมาเมื่อกี้มีทั้งหมดกี่ขั้น?

    O_O!

    O[]o

    o[]O

    >[]<

    ----->  ถ้าจะถามอย่างนี้  ฆ่าตูเถอะ!!!

    อันนี้มิ้นไปอ่านเจอในเว็บอีกเช่นกันค่ะ....เจอพวกเด็กศิริราชที่ไปสอบสัมภาษณ์มาเขาโพสต์ไว้  ถ้าเป็นมิ้นคงส่งรอยยิ้มแหะๆให้อาจารย์อย่างเดียวค่ะ ^^  ไม่งั้นเดามั่วซะเลย  (ในใจอยากตอบ..... “ไม่รู้เฟร้ยยย....ก็ตูขึ้นลิฟต์มานี่หว่า   =[]=”)   .....ไม่เข้าใจว่าจะถามเพื่อ????  =  =”  หรือบางทีอาจารย์คงอยากจะดูปฏิกิริยาเรามั้งว่าถ้าเราเจอแบบนี้เราจะมีวิธีตอบรับอาจารย์ยังไง

     

    -                   เอ้อ  มีอีกอัน  อันนี้ไม่ใช่คำถามค่ะ  รู้สึกว่าจะเป็นกระดาษที่เป็นภาพหมึกเปรอะๆเต็มไปหมด  แล้วให้เราลองดูว่าเป็นภาพอะไรค่ะ

     

    มีอยู่คนหนึ่ง....(ที่มิ้นไปอ่านตามเว็บมา) เขามองเป็นรูปอีกากระซวกไส้ =  =”(ไม่รู้มองอีท่าไหน)  เลยโดนปรับตกซะเลย....สงสัยอาจารย์คงคิดว่าไอ้นี่มันแอบโรคจิตแหงๆ.......  ทางที่ดีก็ตอบอะไรที่มันไม่ส่อไปในทางจิตๆก็จะปลอดภัยกว่าค่ะ 

     

     

                ข้างล่างนี้ก็จะเป็นบทความรุ่นพี่ที่เขาไปสอบสัมภาษณ์แพทย์ที่มิ้นไปอ่านเจอค่ะ(มิ้น ชอบนะ...พี่เขาเขียนตลกดี ^^)

     

     

    คุณคิดยังไงกับคนที่เป็นแฟนแล้วเดินจับมือกันไม่ค่อยสมควรค่ะ (คำตอบในใจ : อิจฉาค่ะ)

    คุณคิดว่า หมอเป็นอภิสิทธิ์ชนไหม?… ไม่ค่ะ หมอก็เป็นคนธรรมดา และเป็นผู้ให้บริการคนไข้เหมือนคนปกติ (คำตอบในใจ : โคตรเลยค่ะ)

    อาจจะมีถามถึงฐานะทางบ้าน ว่าเป็นยังไงบ้าง อะไรประมาณนี้ ซึ่งทั้งหมดก็เป็นข้อมูลที่เขาจะเอาไปสอบสัมภาษณ์ต่อไป เขียนกันมือหงึกเลยค่ะ แอบคิดในใจว่า เอาคำตอบเก่าตรูมาใช้ใหม่ไม่ได้เรอะ!!! (ขี้เกียจนี่นา)


    (พี่เขาสอบติดแพทย์ชนบทก่อนหน้านี้ค่ะ  แต่ตกสัมภาษณ์  พอสอบรอบใหม่ก็ติดอีก  (เทพจริงๆ) 


    หลังจากทำข้อเขียนเสร็จแล้ว เราก็จะไปพักผ่อนกันตามอัธยาศัย ซึ่งข้อเขียนมันเลท เลยเหลือเวลาพักอีกแค่ไม่กี่นาที ดังนั้นจึงไม่มีใครไปกินข้าวกัน แม่ฉันก็มานั่งให้กำลังใจ (เขารู้ว่าฉันเครียดมาก) ไม่นานก็เข้าไป เหมือนเดิม คือ เขาจะให้ไปนั่งรอในห้องๆหนึ่ง แล้วคุณจะไม่ได้กลับมาที่ห้องนั้นอีกเลย (ไม่รู้ทำไม)

    ฉันก็เข้าไปนั่ง สักพัก เขาก็มาเรียก ไปนั่งรอที่หน้าห้องสัมภาษณ์ อยากจะบอกว่า ตอนนั้น panic แ-ก มากมาก เหงื่อไหลไคลย้อย ใจเต้นแรง บีบรัด มือซีดขาว มีอาการแบบ sweatin’ heart tremblin’ และอะไรอีกหลายอย่างมากมาย และเมื่อมีหมอผู้หญิง สวยๆ ยื่นหน้าออกมาเรียก ฉันก็อยากจะส่งสัญญาณ SOS เหลือเกิน ว่า หมอหนูไม่ไหวแล้ว แต่ก็เดินเข้าไป

    ตอนเดินขาสั่น มือก็สั่น สั่นยิ่งกว่าคราวที่แล้วอีก ในใจคิดว่าว่า ฉันจะทำยังไงดี ฉันจะผ่านไหม ฉันจะยังไง โอ๊ยเครียด (เครียดๆ บล็อกนี้เครียดอย่างแรง) เดินเข้าไปด้านใน นั่งลงบนเก้าอี้ มีอาจารย์สามคน ผู้หญิงสวยๆคนหนึ่ง กับผู้ชายอ้วนๆอีกคนหนึ่ง (เป็นแพทเทิร์นเลยเนอะ) และอีกคนท่าทางติสท์ๆ หน่อย หน้าตาใจดีกันทั้งสามคนเลย

    เขาก็เริ่มถามว่า ชื่ออะไรเรียนที่ไหน เป็นยังไงบ้าง สอบเอนท์ยากไหม ฉันก็ตอบไปเรื่อยๆ และนี่คือคำถามที่เขาจะถามบ่อย

    ทำไมถึงอยากเป็นหมอ…… ชอบค่ะ ชอบอาชีพนี้ ประทับใจการทำงานของหมอ (โกหกหน้าตาย 555) ตอบไปประมาณนี้ หรือไม่ก็ บอกไปเลยอยากช่วยเหลือคนค่ะ (ไอ้โม้…)

    เอาประมาณเป็นว่า หนูไม่หวั่นแม้วันมามาก ไม่ใช่นะคือ ทำงานหนักแค่ไหนหนูก็ไม่หวั่น หนูชอบอาชีพนี้ ประทับใจคนโน้นคนนี้ เห็นคนไข้นั่งตาดำๆ หน้าซีดๆ แล้วก็สงสาร คิดว่าเรามีความรู้ ก็อยากช่วยเหลือ อะไรก็ตอบไป

    อีกคำถาม อันนี้สำคัญมากนะคุณ อย่าตอบให้เหมือนเพื่อนฉันนะ เขาจะถามว่า

    แล้วถ้าคุณเอนท์ไม่ติดหมอ คุณจะเลือกอะไร

    จงตอบอะไรก็ได้ที่มันเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สุขภาพ เช่น ทันตะฯ เภสัช หรืออะไรเทือกๆ นี้ อาจจะมีแบบหินๆหน่อย เขาถามว่า

    อยากช่วยคน แล้วทำไมไม่เรียนพยาบาล

    ฉันก็อึ้ง นึกไม่ออก ก็ตอบไปว่า

    คิดว่าอยากช่วยแบบนี้มากกว่าค่ะ

    ในใจคิดว่า ตรูไม่อยากเป็นพยาบาลเฟ๊ย! (อยากเป็นพยาบาลแล้วฉันจะมาสอบหมอทำไมแต่เรียนพยาบาลก็มีข้อดีนะ คือคุณมีสิทธิ์ได้เป็นแฟนหมอมากกว่าหมอด้วยกันเอง)

    คุณอย่าตอบว่า … ‘จะเรียนวิศวะเป็นอันขาดนะคุณ ไหนๆคุณก็อยากเรียนหมอ (ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร) แล้ว คุณก็ช่วยโกหกๆ ไปให้มันตลอดรอดฝั่งหน่อยนะค้า เพื่อนและรุ่นพี่ฉันตกกันมาหลายคนแล้วค่ะ ประเภทตอบวิศวะนี่ ออกมานั่งหน้าซีดเลย

    ตอนนั้น ที่สอบสัมภาษณ์หมอชนบท เขาก็ถามคำถามนี้ ฉันตอบไปว่า

    ก็จะยื่นคะแนนเอนท์ตรงค่ะ

    เขาถามกลับ

    แล้วถ้าเอนท์ตรงไม่ติดล่ะ

    ก็ยื่นเอนท์กลางค่ะ

    (อันด้านล่างนี้เป็นบทที่ฉันเตี๊ยมไว้ก่อนเข้าห้องสอบ)

    แล้วถ้าเอนท์กลางไม่ติด

    ก็จะเลือกเรียนสาขาที่ใกล้เคียงกันไปก่อนแล้วค่อยเอนท์ใหม่ปีหน้าค่ะ

    แล้วถ้าปีหน้าไม่ติด

    ก็จะหาแฟนเป็นหมอค่ะ” (เอิ้กกกกก)

    แต่ตอนสัมภาษณ์จริงๆ เขาหยุดแค่ เอนท์กลาง แล้วถามต่อว่า จะเป็นหมอให้ได้เลยใช่ไหม ฉันก็พยักหน้าอย่างมั่นใจ

    ใช่ค่ะ” …ก็หนูอยากเป็นนี่คะ

    อาจารย์ที่สอบสัมภาษณ์เอนท์ตรงเขาใจดีมากๆ เขาถามว่า

    เอ๊ะ แล้วหนูไม่ได้สมัครโครงการแพทย์ชนบทพิเศษหรือคะ?”

    เราก็ตีหน้าเศร้า อยากจะร้อง ถามทำไมเนี่ย

    สอบค่ะ แต่ไม่ผ่านค่ะ

    อาจารย์ผู้หญิงสวยๆก็ทำหน้าเห็นใจ

    แล้วหนูรู้ไหมคะ ว่าทำไมหนูถึงไม่ผ่าน

    ไม่ทราบค่ะ” …เพราะหนูสวยเกินไป แน่ แน่!

    เขาคงเห็นว่าหนูไม่เหมาะกับหมอชนบทมั้งคะ

    อาจารย์ผู้ชายอ้วนๆ เสริม

    หนูอาจเหมาะกับทำงานโรงพยาบาลในเมือง

    โอ๊ยแบบนี้รักตายเลย 555

    อาจารย์อีกคนที่ท่าทางติสท์ๆ ก็ใจดี เขาถามว่า แล้วพ่อแม่ส่งเราเรียนไหวหรือเปล่าน่ะ ทางบ้านเป็นยังไงบ้าง แล้วรู้ไหม ถ้ามีปัญหาต้องไปปรึกษาใคร ฉันก็สั่นหน้า บอกว่าไม่รู้ เขาก็เลยบอกว่า

    นี่ถ้าเป็นนักศึกษาแล้วนะ เธอจะมี ผู้ปกครอง เพิ่มมาอีกหลายคนเลย จะมีพี่เพิ่มมาอีก ห้าหกคน แต่เธออย่าไปหวังอะไรกับพี่พวกนี้มากนะ

    บางคนเขาก็เอาตัวไม่รอดเหมือนกันอาจารย์ผู้หญิงเสริม

    ก็นั่งหัวเราะกันไป อาจารย์ก็พูดเพิ่มเติม

    เดี๋ยวจะเขียนแนบให้แล้วกันนะคะ ว่าอาจต้องขอทุนการศึกษา แล้ว ถ้ามีปัญหา ก็ปรึกษาอาจารย์ที่ปรึกษา นะ หรือไม่ก็ขึ้นไปที่ตึก…”

    แบบนี้คือมั่นใจได้แล้วใช่ไหม?…ฮ่าๆ ตัวลอยไปเลย

    นั่งคุยกันอีกสักพัก อาจารย์ก็ถามว่า มีอะไรจะถามไหมที่จริง ฉันก็ไม่มีอะไรจะถาม แต่ก็ เวลามันเหลือ อาจารย์บอกถามได้นะ เราก็เลยนั่งคุยกันเรื่อง Neuro อีกนิดหน่อย ว่าเรื่องเครื่องมือพวกการตรวจ MRI หรือ fMRI แล้วก็ amygdala กับพวก Limbic System

    ก็ว่าไป… (แต่คราวนี้เก็บ Mapping The Mind ฝังดินไว้ข้างบ้านเลย)

    รอบนี้ผ่านสมใจ แต่ปั้ดโธ่คนหล่อที่มองไว้นะ ดันตกสัมภาษณ์ ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น หัวใจสลาย

    ม่ายยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย…. ไปด้วย ฉานไปด้วยยยยยยยยยยย

    ฮ่าๆๆๆๆ

    ตัวเรานี่ช่างเพ้อเสียจริง ที่จริงแล้วเป็นคนหลงตัวเองมากๆเลยล่ะค่ะ ^_^ (ก็หนูสวยนี่นา)

     

     

    ^

    ^

    ^  อันนี้มิ้นอ่านไปอมยิ้มไปค่ะ ^^ 

    ถ้ามิ้นนึกคำถามอะไรได้อีก  เดี๋ยวจะมาเล่าต่อค่ะ ^[]^ 

     

            สุดท้ายนี้ก็....

    “สู้ๆนะคะ  ว่าที่นักศึกษาแพทย์ทุกคน ^^”

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×