ภาพที่ 13 หนทางสู่โลกเดิม คำสารภาพกลางแสงจันทร์
ห้องที่จัดเตรียมไว้ให้ราชาเอซุสหรูหราสมฐานะและใหญ่โตกว่าห้องที่นีโอพักอยู่หลายเท่า
เด็กหนุ่มมองข้าวของที่มีมูลค่ามหาศาลแล้วเดินตัวลีบตามเข้าไปข้างใน ทั้งผ้าปักดิ้นเงินดิ้นทอง แจกัน รูปภาพและของประดับ ตกแต่งไว้มากกว่าที่ห้องเขาเสียอีก
นางกำนัลเดินตามหลังนีโอเข้ามาในห้องคงได้รับการกำชับให้มาปรนนิบัติพัดวีราชาเอซุส จึงยิ้มแย้มผิดปกติและลามปามไปนั่งข้างๆ เสียด้วย
"ยกน้ำชามาให้ข้ากับนีโอก็พอแล้ว และรบกวนช่วยออกไปข้างนอกให้พวกเราสองพี่น้องได้คุยกันตามลำพังได้หรือไม่"
ราชาแห่งเผ่าบาจันเอ่ย นางกำนัลโดนพูดแบบนี้ใส่ถึงกับหน้าชา อิดเอื้อนจะทำตามคำสั่งนั้น
"แต่ว่า องค์ราชาเพคะ..."
เอซุสย้ำคำสั่ง คราวนี้ห้วนกว่าเดิม "ข้าบอกให้ออกไปไง"
"เพคะ..."
นางกำนัลตอบรับในทันทีเพราะกลัวว่าชายตรงหน้าจะโกรธ เธอออกไปด้วยสีหน้าที่ผิดหวังอย่างชัดเจน
นีโอนั่งอยู่บนเบาะฝั่งตรงข้ามที่เอซุสเอนหลังพิงร่างกับหมอนอิง หุ่นของราชาหนุ่มเย้ายวนใจ เต็มไปด้วยมัดกล้ามที่ไม่ว่าใครๆ ต่างก็หลงใหล พอเด็กหนุ่มก้มมองร่างตัวเองต้องแอบถอนหายใจ เขาตัวเล็กและเกือบจะบอบบางอย่างน่าสมเพช
เอซุสจิบน้ำชา เปิดบทสนทนา "ไม่ต้องทำตัวเกร็งขนาดนั้นหรอก ข้าไม่กลายร่างเป็นนกแล้วจิกลูกตาเจ้าหรอกน่า"
นีโอก้มหน้า "ข้ามิบังอาจหรอกพ่ะย่ะค่ะ เพราะพระองค์เป็นถึงราชา ส่วนข้าเป็น..."
"แต่ตอนนี้ฐานะเจ้าก็เกือบจะทัดเทียมกับข้าแล้วนี่นา เจ้าเป็นน้องชายบุญธรรมของข้านะ"เอซุสย้ำเตือนสถานะที่นีโอเป็นและประกาศออกไปต่อหน้าผู้คนมากมาย "ข้าไม่ชอบคำที่มีพิธีรีตอง เจ้าเองก็คงไม่ชอบการใช้ศัพท์ยากๆ หรอกใช่หรือไม่"
มันก็จริง พื้นฐานคำราชาศัพท์ของเขาอยู่ในระดับปานกลาง ไม่ถึงกับแย่มากมาย แต่การต้องใช้ศัพท์สูงเป็นสิ่งที่น่ารำคาญดังว่าและไม่สะดวกในการพูดด้วย
ในเมื่อราชาเอซุสอนุญาต เด็กหนุ่มจึงปรับเปลี่ยนคำพูดมาเป็นปกติ
"ทำไมท่านถึงทำเช่นนั้นล่ะครับ ทำไมถึงต้องให้ข้าเป็นน้องชายบุญธรรมด้วย"
"หากข้าไม่ประกาศไปว่าเจ้าเป็นน้องชายบุญธรรม เจ้าอาจโดนคนครหาเอาได้น่ะสิ" เอซุสกล่าว "อย่างไรเจ้าก็เป็นถึงว่าที่สนมจะสนิทกับชายหรือหญิงอื่นเกินควรมากไม่ได้ อีกอย่างข้าเห็นเจ้ากำลังลำบากจากการกลั่นแกล้งของสนมนารา ข้าเลยยื่นมือเข้าช่วยเท่านั้น"
"ท่านเห็นด้วยหรือนี่..."
"ทั้งเห็นและได้ยินทั้งหมดนั่นล่ะ"ชายผมแดงยกมือชี้ไปที่ตากับหูของตัวเอง "ข้าไม่ใช่มนุษย์ ฉะนั้นประสาทสัมผัสรับรู้จึงดีกว่าคนมากนัก"
"อย่างนั้นเองเหรอครับ"นีโอพยักหน้าเซื่องซึม "ข้าคิดว่าตัวเองทำตัวเองมากกว่า เพราะข้าคิดอยากจะเอาชนะนาราเลยยอมตกหลุมพราง... สุดท้ายตัวเองก็เดือดร้อน"
เขายังนึกโทษตัวเองไม่หายที่ประมาทนารามากไป ผลลัพธ์จึงออกมาเช่นนี้ หากไม่ได้เอซุสยื่นมือเข้าช่วย ไม่รู้ว่าผลที่ออกมาจะต่างจากนี้หรือเปล่า
"ที่เจ้ายอมรับคำท้านั้นก็เพราะเชื่อมั่นว่าตัวเองจะเอาชนะนางได้ไม่ใช่หรือ"ชายหนุ่มผมสีเพลิงหยิบขนมที่รูปร่างคล้ายคุกกี้ขึ้นมากัด "ข้าคิดว่าจุดนี้นับว่าน่าชื่นชมนะ"
"ท่านอย่ามายอข้าเลยครับ"
นีโอได้แต่เสตามองไปทางอื่นแล้วยกถ้วยชาขึ้นจิบ เอซุสหัวเราะน้อยๆ ชันตัวขึ้นนั่งตรง
"ข้าคิดจริงๆ นะเรื่องที่จะให้เจ้าเป็นน้องชายบุญธรรม หากเจ้าได้ตำแหน่งนี้มาอะไรๆ มันก็ง่ายขึ้น"
เด็กหนุ่มสบตากับอีกฝ่ายด้วยความฉงน "เพราะอะไรท่านต้องช่วยข้าด้วย ถ้าไม่นับตอนที่ข้าโดนทรายดูดที่ท่านช่วยไว้เพราะความมีน้ำใจล่ะก็ ที่แล้วมาทั้งเรื่องมีดสั้นกับตอนที่เกิดเหตุในตลาด ไหนจะครั้งนี้อีก ท่านทำไปทั้งหมดเพื่ออะไรกัน"
เอซุสนิ่งงัน ใบหน้าอันองอาจนั้นปรากฏความเศร้าสร้อยเจืออยู่ "นั่นเพราะเจ้าคล้ายกับคนผู้หนึ่ง..."
"ข้าคล้าย... ใครบางคนหรือ?"
คำตอบที่ได้รับทำให้นีโอเอียงคองง เพียงเพราะเขาหน้าตาเหมือนคนที่ราชาเอซุสรู้จัก อีกฝ่ายจึงคอยช่วยเหลือเขางั้นเหรอ เหตุผลมันอ่อนเกินไป ร่างบางคิดว่ามันน่าจะมีอะไรมากกว่านี้
เอซุสรู้ถึงความสงสัยของนีโอ จึงยิ้มบางแล้วเอื้อมมือมาแตะแขนของเด็กหนุ่มที่มีรอยสักของเผ่าวีร์ คลื่นบางอย่างแผ่ออกมาจากมือใหญ่กร้านนั้น นีโอรู้สึกว่าแขนของตัวเองร้อนผ่าว ยิ่งเผชิญสายตาที่ราวกับโดนทะลุทะลวงทุกสิ่ง ก็รู้สึกเหมือนโดนคนตรงหน้าอ่านใจและไม่อาจปิดบังซ่อนเร้นได้เมื่ออยู่ภายใต้สายตานี้
"อีกอย่างหนึ่ง... เจ้าน่ะไม่ใช่คนของโลกนี้ใช่ไหมล่ะ"
คำพูดของเอซุสทำให้นีโอตัวแข็งทื่อ คนคนนี้รู้ด้วยเหรอ จะว่าไปตอนที่พบกันครั้งแรกเขายังไม่มีรอยสักของเผ่าวีร์ ชายหนุ่มน่าจะพอเดาได้ว่าเขาไม่ใช่คนของเผ่าวีร์ตัวจริง แต่ไม่น่าจะรู้ว่ามาจากโลกอื่นนี่นา
"ทำไม... ถึงรู้ได้?"
นีโอถาม ตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ นัยน์ตาสีทองของราชาแห่งบาจันเรืองรองราวกับมีเปลวไฟวูบไหวอยู่ข้างใน
"เพราะออร่าของเจ้าแตกต่างจากคนของที่นี่นิดหน่อย"เอซุสตอบพลางถอยห่างจากนีโอ "ข้าคอยตามสังเกตเจ้าเกือบตลอด มีอะไรหลายอย่างที่เจ้ากระทำบ่งบอกชัดว่ามาจากที่อื่น ที่ข้าพูดมาถูกต้องใช่ไหม"
เด็กหนุ่มพยักหน้าเชื่องช้า ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะโกหกหรือปิดบังคนคนนี้ในเมื่อเอซุสมองเขาออกทะลุปรุโปร่ง
"ท่านพูดถูกต้องแล้ว ข้าไม่ใช่คนของโลกนี้แต่มาจากอีกโลกหนึ่ง ท่านอาจจะไม่เชื่อก็ได้แต่ข้าเข้ามาที่โลกนี้ผ่านทางภาพวาดโดยไม่ได้ตั้งใจ และเกือบจะตายคาทะเลทรายหากท่านไม่ได้มาช่วยข้าไว้"
นีโอเคยคิดอยู่ว่าถ้าไม่ได้เอซุสช่วยไว้ เขาคงไม่ได้มาเจอเดเรคและคงไม่ได้มาอยู่ตรงนี้ เขาจึงรู้สึกเป็นหนี้ชีวิตของเอซุส
"เจ้าคงลำบากมากสินะ"เอซุสกล่าวเสียงอ่อนลงด้วยความสงสารเด็กหนุ่ม
นีโอส่ายหน้า "แรกๆ อาจจะลำบากนิดหน่อย แต่เพราะมีทุกคนอยู่ ข้าจึงไม่เป็นไร"
ถ้าไม่มีพวกเดเรคคอยให้ความช่วยเหลือ เขาคงจะแย่จริงๆ อาจจะต้องเร่ร่อนหาทางกลับโลกเดิมอย่างไร้จุดหมายก็เป็นได้
นึกถึงเรื่องนี้เด็กหนุ่มก็ฉุกคิดบางอย่างได้ เอซุสเป็นราชาแห่งเผ่าบาจันที่มีอายุยาวนานนับพันปี อาจจะรู้ทางกลับโลกเดิมของเขาก็ได้!
"ท่านเอซุส ข้ามีเรื่องอยากจะถาม!"
จู่ๆ นีโอเปลี่ยนอารมณ์ฉับพลันโพล่งถามออกมา ชายหนุ่มจึงตกใจ
"มีอะไรอย่างนั้นเหรอ"
"ท่านพอจะทราบหนทางที่ข้าจะได้กลับโลกเดิมหรือไม่ ข้ามาอยู่ที่วังนี้เพื่อตามหาทางที่ว่า แต่ค้นหนังสือหรือถามคนอื่นๆ ก็ไม่พบคำตอบ ถ้าเป็นท่านเอซุสที่ข้ามผ่านกาลเวลา มีความรู้และประสบการณ์มากมายคงพอจะรู้บ้างใช่หรือไม่!?"
ถามออกไปแล้ว นีโอก็กลั้นใจรอคำตอบ ภาวนาว่าขอให้มีหนทางด้วยเถิด
เอซุสครุ่นคิดก่อนกล่าวว่า "เมื่อกาลก่อนเคยมีเส้นทางที่เชื่อมโลกนี้กับอีกโลกหนึ่ง แต่เพราะเส้นทางที่ไปมาอย่างอิสระนี่เอง ทำให้เกิดสงครามขึ้น ผลสุดท้ายเส้นทางนั้นก็ได้ปิดตัวลง ปัจจุบันเส้นทางเชื่อมต่อนั้นถูกตัดขาดโดยสมบูรณ์และสูญหายไปตามกาลเวลาแล้ว"
"ถ้าทางที่ว่าโดนปิดตายจริง แล้วทำไมข้าถึงข้ามฝั่งมาที่โลกแห่งนี้ได้ล่ะ"นีโอตั้งข้อสงสัย "ถ้าข้ามาที่แห่งนี้ได้แสดงว่าจะต้องมีทางอื่นอีกแน่ๆ"
เอซุสขมวดคิ้ว "อาจเป็นไปได้... ถึงอย่างนั้นข้าก็เดินทางไปมาแล้วทั่วทุกแห่ง ก็ยังไม่เคยเห็นทางอื่นที่ว่านั่นเลย มันคงจะอยู่ในที่ที่ข้าเองก็ไม่สามารถจะเห็นหรือพบมันได้"
"หมายความว่าแม้แต่ท่านก็ไม่รู้เหรอ..."
ร่างบางห่อเหี่ยว ความหวังในการหาทางกลับบ้านหดหาย ขนาดราชาเอซุสที่อายุเป็นพันปียังไม่รู้แล้วเขาจะยังมีหวังในการหาทางกลับได้อย่างไร
"ข้าไม่รู้'เส้นทาง'ที่จะให้เจ้ากลับโลกเดิม แต่ข้ารู้'วิธี'อื่นที่จะให้กลับโลกเดิมได้"
นีโอเงยหน้าพรวด "เรื่องนั้นจริงเหรอครับ!?"
"ข้าจะโกหกเจ้าให้ได้อะไรขึ้นมาล่ะ"
เอซุสยิ้มบาง เด็กหนุ่มที่รู้ตัวว่าถามอะไรงี่เง่าออกไปจึงหน้าแดงซ่าน ก่อนจะซักเสียงแผ่วว่า
"แล้ววิธีที่ว่ามันคืออะไรเหรอครับ"
"เจ้ารู้จักพวกของวิเศษมากแค่ไหน"
เด็กหนุ่มกะพริบตา "ถ้าเป็นของวิเศษล่ะก็... ข้าพอจะรู้ในระดับหนึ่งครับ"
อย่างไรเสียมันก็เป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่เขาสนใจอ่านมาก เพราะของวิเศษเหล่านั้นล้วนน่าอัศจรรย์ไปหมด
"เช่นนั้นเจ้ารู้จักตะเกียงวิเศษหรือไม่"
"ตะเกียงวิเศษ? ข้ารู้จักครับ"
นีโอตอบทันควัน ทำไมจะไม่รู้ขนาดที่โลกของเขาเจ้าสิ่งนี้ออกจะมีชื่อเสียงโด่งดัง ปรากฏตัวในนิทานด้วย ทันใดนั้นเขาก็ฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้
"นี่หรือว่าวิธีที่ว่าก็คือ..."
"ถ้าเจ้ารู้เรื่องตะเกียงวิเศษคงจะทราบความสามารถของมันใช่ไหม"เอซุสกล่าว "ตะเกียงที่ทำให้ผู้ครอบครองสมความปรารถนาในทุกประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็สามารถทำให้สมหวังได้โดยแลกกับสิ่งที่สำคัญที่สุด"
เด็กหนุ่มตาเบิกโพลง "ตะ... แต่ว่าถ้ามันทำให้ข้าได้กลับไปโลกเดิมจริง ข้าก็ต้องแลกอะไรบางอย่างที่สำคัญไม่ใช่เหรอครับ มันออกจะ..."
ถ้ามันเป็นของสำคัญจริงๆ คงทำใจสละมันได้ลำบาก...
"ใช่ พรที่ปรารถนากับของสำคัญเพียงหนึ่งเดียว เป็นสิ่งที่สมน้ำสมเนื้อ ถ้าเจ้าอยากจะกลับไปนี่เป็นอีกทางหนึ่งที่ง่ายดายยิ่งกว่าการหาเส้นทางที่เจ้าลอดผ่านมาเสียอีก"
นีโอขมวดคิ้วมุ่น "แล้วตะเกียงวิเศษนี่จะไม่หายากกว่าหรือครับ ได้ยินว่ามันหายสาบสูญมานานนับร้อยปีมาแล้ว"
"อันที่จริงแล้วตะเกียงวิเศษมันอยู่ใกล้ๆ นี่"
"หา?"
เด็กหนุ่มอ้าปากค้างเมื่อได้ยินคำตอบนั้น ก่อนจะละล่ำละลักพูดว่า
"ตะ... ตะเกียงวิเศษอยู่ใกล้ๆ นี้เหรอครับ!?"
"ข้าจับกลิ่นอายของมันได้ คงอยู่ที่ไหนสักแห่งใกล้ๆ นี่"เอซุสกล่าวเสียงราบเรียบ "ข้ามาที่นี่เพื่อตามหามันก่อนที่เผ่าคารีน่าจะได้มันไป"
"เผ่าคารีน่าต้องการตะเกียงวิเศษด้วย..."
เผ่าคารีน่าที่ว่าสร้างความเดือดร้อนให้กับอีกสามเผ่าและทำสงครามกันมาช้านาน หากได้ครอบครองตะเกียงวิเศษไม่รู้ว่าสิ่งน่ากลัวอะไรจะเกิดขึ้นบ้าง
"ก่อนที่เผ่าคารีน่าจะได้มันไป ข้าจึงต้องเอามันมาให้ได้ก่อน ถ้าเป็นไปได้ข้าอยากจะทำลายมันทิ้งเสียด้วยซ้ำ ของแบบนี้ไม่สมควรจะถือกำเนิดขึ้น มันดึงดูดพวกชั่วช้าที่เต็มไปด้วยความโลภไม่สิ้นสุดมารวมกัน และหากมีใครที่จิตไม่บริสุทธิ์ได้ครอบครองคงทำให้โลกนี้ไม่สงบสุขอีกต่อไป"
นีโอเห็นด้วยสำหรับเรื่องนี้ แค่คิดว่ามันตกอยู่ในมือของคนชั่วก็หนาวแล้ว
"ที่แท้ท่านมาที่นี่เพื่อเรื่องนี้นี่เอง"
"ใช่ แล้วด้วยเหตุนี้ข้าจึงต้องการเจ้า นีโอ"
"ข้าเหรอครับ?"เขาทำหน้าเหรอหรา "ทำไมถึงต้องเป็นข้าล่ะ"
เอซุสเขยิบเข้ามาใกล้ ใบหน้านั้นโน้มลงมา ร่างบางใจเต้นแรงและเผลอกลั้นลมหายใจ
"ข้าไม่สามารถแตะต้องตะเกียงนั้นได้"เอซุสกล่าวพลางยิ้มขื่น "เพราะข้าเคยขอพรจากตะเกียงวิเศษมาแล้ว"
"ท่านเคยขอพรจากตะเกียงวิเศษงั้นเหรอ!"
"ใช่ พรหนึ่งแลกกับสิ่งที่สำคัญที่สุด ข้าเป็นผู้ใช้ตะเกียงคนแรกจึงรู้ว่าสิ่งที่ขอไปทดแทนด้วยอีกสิ่งหนึ่ง พอข้ารู้เรื่องนี้จึงเขียนบันทึกเอาไว้คนรุ่นหลังได้รู้ว่าตะเกียงวิเศษไม่ได้มอบพรให้ใครฟรีๆ โดยไม่มีค่าตอบแทน"
เอซุสกล่าวไป ใบหน้าก็ยิ่งเศร้าหมอง เด็กหนุ่มเห็นพลอยเศร้าตามไปด้วย
"ข้าถามได้ไหมว่าท่านเอซุสขอสิ่งใดไปแล้วเสียอะไรไป"
"ย่อมได้ ในตอนนั้นเกิดสงครามครั้งใหญ่เป็นผลมาจากการรุกรานของคนโลกอีกฝั่ง ข้าเผอิญได้ตะเกียงวิเศษมาครอบครองพอดี ต้องการยุติสงครามที่ยืดเยื้อที่รังแต่เพิ่มคนตายมากขึ้น จึงได้ขอพรให้ประตูที่เชื่อมต่อทั้งสองโลกปิดตัวลงตลอดกาล"
เอซุสทำหน้าขมขื่น นีโอรู้ทันทีว่าสิ่งที่แลกเปลี่ยนกับพรข้อนั้นต้องหนักหนามาก
"สิ่งที่ข้าต้องสละเพื่อแลกกับพรนั้นก็คือคนรักของข้าเอง..."
เด็กหนุ่มสะเทือนใจ "หมายความว่าคนรักของท่าน... ตายเหรอ"
เอซุสส่ายหน้า "ไม่เชิงอย่างนั้น"
"ถ้างั้นหมายความว่ายังไงครับ"
ก็บอกว่าสูญเสียคนรักไป ไม่ได้หมายถึงตายหรือไง?
"ตัวตนของคนรักข้าหายไปน่ะ"
"เอ๋?"
"ไม่ว่าจะการมีอยู่ของเขา ความทรงจำทุกอย่าง นอกจากข้าแล้ว ทุกคนที่เคยพบหรือรู้จักคนรักของข้าต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า 'คนรักของข้าคือใครกัน' ตัวตนหายไปจากโลกโดยสมบูรณ์"
นีโอขนลุกเกรียว นี่มันโศกเศร้ายิ่งกว่าการตาย อย่างน้อยคนที่ตายก็ยังมีชีวิตอยู่ในความทรงจำของคนที่รู้จัก แต่เมื่อหายไปก็เท่ากับว่าไม่เคยมีตัวตนอยู่ ไม่มีใครร่วมอาลัยอาวรณ์และคะนึงหา
ราชาแห่งเผ่าบาจันพูดเสียงเบาลง "พอได้ยินอย่างนั้น ข้าก็ไม่แน่ใจแล้วว่า คนรักของข้ามีตัวตนจริงๆ หรือเปล่า หรือที่จริงมันก็แค่ภาพลวงตาที่ข้าสร้างขึ้นมากันแน่"
"ท่านเอซุส..."
เอซุสกำจี้ห้อยคอไว้แน่น เขาเพิ่งสังเกตเห็นสร้อยคอที่ราชาแห่งเผ่าบาจันสวมใส่ มันเป็นสร้อยที่งดงามและอ่อนช้อย ชายหนุ่มท่าทางจะทะนุถนอมมันมาก
"เวลาผ่านไปสักพัก ข้าก็ครุ่นคิดและถามความรู้สึกของตัวเอง ข้าเชื่อว่าคนรักของข้ามีตัวตน ข้ายังจำรอยยิ้ม น้ำเสียง ท่าทาง รวมไปถึงสัมผัสทุกอย่างได้ นั่นไม่มีทางใช่ภาพลวงตาแน่นอน ดังนั้นต่อให้ทุกคนลืมเลือนไปจนหมด แต่ข้าก็จะไม่ลืมและไม่ยอมลืมเด็ดขาดจนกว่าข้าจะตายจากไป"
เอซุสพูดไป น้ำเสียงก็ฟังดูรวดร้าว ไม่ต้องพูดถึงสีหน้าที่แสดงออกตอนนี้ มันคือความเศร้าสุดพรรณนา...
นีโอร้องไห้ รู้สึกเจ็บปวดแทนราชาเอซุส อีกฝ่ายดูเหมือนไม่เป็นไร แต่จริงๆ ในใจนั้นต้องร้องไห้อยู่ตลอดแน่ๆ เขาสัมผัสได้ถึงความเศร้านั้นจึงกลายมาเป็นคนร้องไห้แทน
เอซุสยิ้มอย่างอ่อนโยน "เจ้าไม่จำเป็นต้องมาร้องไห้กับเรื่องของข้าหรอกนะ"
"แต่ว่า... มันน่าเศร้านี่ครับ ท่านเอซุสไม่สามารถจะพูดคุยเรื่องของคนรักคนนั้นให้ใครฟังได้เลย เพราะไม่มีใครรู้จักคนรักคนนั้นอีกแล้ว..."
มันช่างแสนทรมานที่ไม่สามารถแบ่งปันความหลังที่มีร่วมกันให้กับใครได้ จำต้องเก็บไว้และนึกถึงเพียงลำพัง
ชายหนุ่มยกมือขึ้นเกลี่ยตาทั้งสองข้างของนีโอ หยาดน้ำตาเหมือนกับอัญมณีใส แม้งดงามแต่ไม่สมควรประดับอยู่บนหน้าของเด็กหนุ่ม
"ขอบใจนะ นีโอ"เอซุสเอ่ยด้วยความรู้สึกตื้นตันจากใจจริง "ขอบใจที่เจ้าร้องไห้เพื่อข้า เพื่อคนรักของข้า ขอบใจจริงๆ"
นีโอไม่ได้พูดอะไร แต่ร่างของเขาถูกรวบเข้าไปในอ้อมแขนและได้รับอ้อมกอดอันอบอุ่นเนิ่นนาน...
......................
เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้วตอนที่นีโอขอตัวกลับห้อง พอเขาเดินออกมา ทหารที่เฝ้าประจำการตามทางเดินล้วนโค้งตัวทำความเคารพ
เด็กหนุ่มดีใจที่ตรงทางเดินนี้มีแสงจากคบไฟส่องแบบสลัวๆ พวกเขาจึงไม่เห็นหน้าที่ผ่านการร้องไห้มา นีโอรีบเดินกลับวังหลังก่อนที่ใครจะมาเห็นหน้าของเขาเข้า
เดินมาเรื่อยๆ จนมาถึงระเบียง ลมพัดผ่านตัวเขาวูบหนึ่ง แล้วก้อนเมฆที่ลอยบดบังพระจันทร์ก็เคลื่อนตัวออกไป แสงสว่างสีเงินทอลอดเข้ามาอีกครั้ง และนีโอก็เห็นใครคนหนึ่งยืนอยู่
เดเรคเท้าแขนอยู่ริมระเบียงเหม่อมองท้องฟ้าสีดำที่มีพระจันทร์เต็มดวงส่องสว่าง แสงสีเงินอาบร่างของเจ้าชายแห่งเผ่าชารุให้ดูงดงามดั่งรูปสลัก
นีโอกะพริบตา "เดเรค ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะครับ?"
ชั่วแวบหนึ่งนีโอคิดเข้าข้างตัวเองว่าบางทีเดเรคอาจจะมารอเขาก็เป็นไปได้เหมือนกัน...
เดเรคหันมาช้าๆ "ข้ามารอเจ้า"
"รอข้า?"เด็กหนุ่มใจเต้นแวบหนึ่งที่คำตอบเป็นอย่างที่คิด "มีเรื่องอะไรหรือครับ"
ชายหนุ่มไม่ตอบแต่เดินเข้ามาใกล้ เมื่ออยู่ในระยะแค่เอื้อม สีหน้าของเดเรคพลันเปลี่ยนเป็นโกรธเคือง มือแตะบนใบหน้าของนีโอ
"นี่เจ้า... ร้องไห้เหรอ"
"เอ๊ะ เอ่อ..."
ร่างบางหลุบตา เขาร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรก็คิดอยู่ว่าสีหน้าคงจะดูไม่ดีนัก เป็นไปได้ก็ไม่อยากจะให้ใครจนกว่าจะถึงที่ห้องสักหน่อย เดเรคกลับสังเกตเห็นเข้าจนได้
"ราชาเอซุสรังแกเจ้า โดนทำร้ายหรือว่า..."
ยิ่งพูดน้ำเสียงของเดเรคก็ทวีความโกรธเกรี้ยวขึ้นเรื่อยๆ นีโอรีบยกมือห้ามไว้ กลัวว่าอีกฝ่ายคิดจะกระโจนเข้าไปในห้องราชาเอซุสและทำการต่อสู้เข้า
"ไม่ใช่นะ! ท่านเอซุสไม่ได้ทำอะไรข้าสักหน่อย ท่านแค่เล่าเรื่องของตัวเองให้ฟัง แล้วมันน่าเศร้ามากจนข้าต้องร้องไห้เท่านั้นเอง!"
"เจ้าพูดจริงเหรอ?"
"จริงสิ! ไม่เชื่อมองตาข้าก็ได้ ข้าพูดความจริงนะ!"
นีโอมองตรงเข้าไปในนัยน์ตาสีม่วงสวยนั้น ชายหนุ่มก็จ้องตอบคล้ายจะหาร่องรอยโกหกในแววตานั้นแต่ไม่พบความผิดปกติ เดเรคจึงคลายความโกรธลง
"ถ้าเป็นเช่นนั้นก็แล้วไป ข้านึกว่าราชาเอซุสทำร้ายเจ้าเสียอีก"
นีโอส่ายหน้า "ท่านเอซุสเป็นคนดี เขาคอยปกป้องข้าอยู่เสมอ ข้าเป็นหนี้ชีวิตของเขา หากท่านเอซุสไม่มาช่วยไว้ป่านนี้ข้าคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้"
"งั้นเหรอ..."
พูดเพียงเท่านั้นเดเรคก็เงียบไป เด็กหนุ่มเห็นร่างสูงนิ่งไปนานจึงเอ่ยขึ้น
"นี่ก็ดึกมากแล้ว พวกเรากลับห้องกันดีกว่าครับ"
ท่าทางอันอ่อนล้าของร่างบาง ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกผิด นีโอต้องฝืนตัวเองมากเกินไปเพื่อช่วยกันนาราออกจากเขา บางทีการที่ให้เด็กหนุ่มไปเผชิญหน้ากับคนร้ายกาจเช่นนั้นเป็นสิ่งที่เขาเห็นแก่ตัวเกินไปก็ได้
"นีโอ เจ้ารู้สึกเหนื่อยหรือไม่ที่ต้องเล่นเป็นสนมของข้าแบบนี้"เดเรคถามอย่างเป็นกังวล "ข้าทำให้เจ้าลำบากมากใช่หรือไม่"
"เดเรค ทำไมถึงพูดแบบนั้นล่ะครับ"นีโอตาเบิกโต "ข้าไม่ได้ลำบากอะไรสักนิด ข้าเสียอีกที่กังวลว่าตัวเองทำหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายไม่ดีพอ อย่างคราวนี้ถ้าไม่ได้ท่านเอซุสช่วยไว้ ตอนที่ข้าแข่งเต้นกับนาราแล้วพ่ายแพ้ ข้าอาจจะโดนคัดออกไปแล้วก็ได้"
"ไม่หรอก นั่นเจ้าทำดีที่สุดแล้ว"ชายหนุ่มกล่าว รั้งร่างนั้นเข้ามาในอ้อมแขน "ข้าเสียอีกที่ละอายใจที่ให้เจ้าต้องมาลำบากเพราะเรื่องของข้าแบบนี้"
"ข้ายินดีช่วยครับ เดเรค"นีโอเงยหน้าขึ้นสบตากับนัยน์ตาสีม่วงนั้น "เดเรคช่วยข้าไว้กลางทะเลทราย นั่นเป็นสิ่งที่ข้าไม่มีวันลืม และยังช่วยข้าอีกตั้งหลายอย่าง เรื่องแค่นี้ข้าทำเพื่อท่านได้"
"นีโอ..."
ทันทีที่เห็นรอยยิ้มนั้น ในใจราวกับได้รับการปัดเป่าและเพิ่มพูนความรู้สึกบางอย่างเข้ามา
เดเรคโน้มหน้าเข้าไปตามความรู้สึกของตนเอง ก่อนที่ริมฝีปากของเขาจะแนบสนิทกับริมฝีปากแดงระเรื่อของนีโอ ให้สัมผัสที่อ่อนนุ่มและหวานล้ำ
"!"
ร่างบางนิ่งอึ้ง เมื่อเดเรคจูบเขาและเริ่มขบเม้มเรียวปาก ใจของเขาเต้นรัวเร็ว กับสัมผัสแสนวาบหวามนั้น ชายหนุ่มเพียงแค่ประกบริมฝีปากไม่ได้ทำการรุกล้ำอะไรมากกว่านี้แท้ๆ แต่นีโอรู้สึกเหมือนจะหมดเรี่ยวแรง ในหัวหมุนติ้วไปหมด เต็มไปด้วยคำถามสารพัน
เพราะอะไรเดเรคถึงได้จูบเขา นี่หรือว่า... เป็นไปไม่ได้...
ก่อนที่เขาจะตั้งสติ เดเรคก็เป็นฝ่ายถอนริมฝีปากออกมา นัยน์ตานั้นเป็นประกายร้อนแรงจนนีโอไม่กล้าสบตาตอบ แววตานั้นบ่งบอกทุกอย่างและเขาไม่อยากจะคิดถึงความเป็นไปได้นั้น มันต้องไม่ใช่แน่ๆ บางทีเดเรคคงแค่อารมณ์พาไป คนตรงหน้าไม่มีทางที่จะรู้สึกแบบเดียวกับที่เขาคิด
"ทำไม..."
เด็กหนุ่มไม่อยากจะถามเพราะกลัวคำตอบที่ได้รับ แต่ปากของเขากลับขยับออกไปเองเสียได้
เงียบไปครู่หนึ่ง ร่างสูงก็ตอบด้วยน้ำเสียงแหบพร่า
"บางที... ข้าอาจจะตกหลุมรักเจ้าแล้วล่ะมั้ง"
คำพูดของเดเรคทำให้หัวใจของนีโอกระตุก ภายในพลุ่งพล่านด้วยอารมณ์ที่ผสมปนเปกัน เขาไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
เมื่อกี้เดเรคบอกว่ารักเขางั้นเหรอ เรื่องนั้นมันไม่มีทาง...
เด็กหนุ่มเม้มปาก "เดเรค อย่าล้อข้าเล่น..."
"ข้าไม่ได้ล้อเล่น"เดเรคยืนยันหนักแน่น เสียงนั้นกังวานท่ามกลางความเงียบ ยากจะบอกว่าฟังผิด "ข้ารักเจ้า นีโอ"
นีโอที่ได้ยินประโยคนั้นชัดเจนนิ่งเงียบอยู่เป็นนานดุจห้วงเวลาได้ถูกแช่แข็ง
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
น้องเขยหรอ ไม่ใช่น้องสะใภ้หรอ??
สู้ๆนะคะ รออ่านต่ออย่างใจจดใจจ่อเลยค่ะ
ตัวอักษรโอเคแล้วค่ะ เราไม่อยากเพ่งอ่านอ่ะนะ