บทนำ
ไม่มีความรักใดไม่เจ็บปวด...
เขาได้เรียนรู้ความจริงของคำนี้มาแล้วถึงสองครั้ง
ครั้งแรกจากการโดนคนชิดใกล้แย่งคนรักไป เป็นการทรยศแสนเจ็บปวดจนเขาไม่อาจสู้หน้าและมันยังทำลายสายสัมพันธ์จนขาดสะบั้น ไม่อาจต่อติดได้อีกต่อไป
ส่วนครั้งที่สองความเจ็บปวดในรักนี้มาจากความตาย การสูญเสียคนที่รักไปตลอดกาล...
ความรักในครั้งที่สองนี้เจ็บปวดมากที่สุด ทรมานมากที่สุด ชนิดที่ครั้งแรกเทียบไม่ติด เพราะอย่างน้อยรักครั้งแรกของเขา คนรักก็ยังมีชีวิตอยู่ แต่ไม่ใช่สำหรับรักครั้งที่สอง คนที่เขารักปราศจากลมหายใจและสัญญาณแห่งการมีชีวิต...
การต่อสู้และเสียงอาวุธปะทะกันที่รายล้อมอยู่รอบตัวดูพร่าเลือนราวกับเป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกอื่น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขา สิ่งที่เห็นชัดที่สุดมีเพียงร่างที่อยู่ในอ้อมกอดนี้เท่านั้น
เส้นผมสีดำขลับ เรือนร่างสูงในชุดสมตำแหน่งบัดนี้ขาดวิ่นเผยให้บาดแผลฉกรรจ์ ดวงหน้าหล่อเหลาที่ทำให้เขาหวั่นไหวทุกครั้งที่มองซีดขาว เปลือกตาปิดสนิทไม่มีวันลืมขึ้นมาอีก เขาจำได้ว่ามันเป็นนัยน์ตาสีม่วงน้ำงามเพียงใด ริมฝีปากที่มีถ้อยคำห่วงใยระคนหวานกลับเงียบหาย สิ่งที่เป็นตัวตนของคนที่เขารักได้จางหายไปทีละอย่าง รวมถึงความอบอุ่นที่เคยมอบให้เขาหลายต่อหลายครั้งก็ถูกความเย็นคืบคลานทีละน้อย
เขาไม่อยากยอมรับ... ไม่อาจทำใจให้เชื่อได้จริงๆ แม้จะมีสิ่งที่ยืนยันอยู่ตรงหน้าก็ตาม
"ลืมตาสิ..."
เสียงที่เปล่งออกมาไม่ต่างกับการกระซิบ ทว่ามันก็ดังมากพอให้คนที่อยู่ในอ้อมกอดนี้ได้ยิน
คนที่เขารักกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ไม่แม้แต่จะขยับตัว ร่างบางเริ่มตัวสั่น น้ำตานั้นหยดลงบนร่างในอ้อมแขนทีละหยด พร้อมกับเสียงพูดติดสะอื้นที่ดังกว่าครั้งแรก มันแผดดังไปทั่วลานต่อสู้นั้นด้วยความร้าวรานใจ
"ฮึก! ข้าบอกให้ตื่นไง เดเรค!"
หากเขาไม่ได้มาอยู่ที่นี่ บางทีคงไม่ต้องมาลิ้มรสความเจ็บปวดที่เลวร้ายกว่าครั้งแรก แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่เคยเสียใจเลยที่ได้พบชายคนนี้
ข้ารักท่าน... เดเรค
คำพูดที่ไม่สามารถบอกได้อีกต่อไป ถูกกลบฝังไปพร้อมกับการลาจากคนที่เขารักชั่วนิรันดร์
ภาพที่ 1 เด็กหนุ่มท่ามกลางสายฝน ร้านคิวปิดแกลเลอรี่
ฝนตกกลางดึกในซอยแห่งหนึ่ง ทำให้พื้นถนนสีเทาเจิ่งนองไปด้วยน้ำ ไฟตามริมทางมอบความสว่างให้กับผู้ขับขี่และผู้สัญจรบนท้องถนนดูพร่าเลือนท่ามกลางสายฝนที่เทกระหน่ำ
บ้านและร้านค้าสองข้างทางปิดเงียบประหนึ่งซอยนั้นเป็นซอยร้าง ไร้วี่แววของยานพาหนะและผู้คนบนถนนสายนี้ แต่แล้วท่ามกลางสายฝนโปรยปราย ปรากฏร่างของเด็กหนุ่มผมสั้นสีดำในชุดสีเข้มที่กลมกลืนไปกับความมืดโดยรอบ เสื้อผ้าชุดนั้นเปียกแนบไปกับเรือนร่างแบบบาง รองเท้าผ้าใบสีขาวคู่สวยถูกย้อมเป็นสีน้ำตาลเพราะน้ำโคลนบนพื้นถนน
ผิวของเขาขาวซีดตัดกับแสงไฟข้างทางจนดูโดดเด่นราวกับเขามาจากอีกโลกหนึ่ง โครงหน้าจัดว่าธรรมดาแต่พอมองนานๆ กลับมีเสน่ห์แฝงเร้นบางอย่าง นัยน์ตากลมโตสีเดียวกับเรือนผมตอนนี้แดงก่ำราวกับผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก
เด็กหนุ่มยืนนิ่งอยู่กลางซอยตากฝนอยู่อย่างนั้นมานานนับชั่วโมงแล้ว ราวกับจิตใจของเขาล่องลอยไปอยู่ในที่ไกลแสนไกลจนร่างกายไม่สะทกสะท้านกับความหนาวเหน็บของสายฝน
เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีดำที่มีประกายแลบของสายฟ้าเป็นพักๆ ด้วยความนิ่งเฉย ใบหน้าใสดูบริสุทธิ์และเศร้าในคราวเดียวกัน ยามน้ำฝนพรมลงบนหน้าก็ราวกับว่าเด็กหนุ่มกำลังร้องไห้
เขาหนีออกมาจนได้... หัวใจที่เจ็บปวดนี้ไม่กล้าจะเผชิญหน้ากับความจริง เขาปิดหูปิดตาไม่อยากรับรู้และไม่อยากจะนึกถึงมันอีกแล้ว...
เปรี้ยง!
สายฟ้าฟาดลงพื้นที่ห่างไกล แสงสีขาวที่สว่างจ้าขึ้นไม่ทำให้เด็กหนุ่มสะดุ้งตกใจได้ เขาหลับตาปล่อยให้ความหนาวเย็นของสายฝนซึมซาบเข้าไปในผิวหนัง
บรืน...
ทันใดนั้นรถยนต์ยี่ห้อฮอนด้าสีขาวแล่นมาจอดตรงหน้าของเขา เด็กหนุ่มลืมตาปาดเส้นผมที่เปียกลงมาปรกหน้าออก มองรถคันดังกล่าวด้วยความสงสัย
กระจกรถเลื่อนลงเผยให้เห็นใบหน้าของหญิงสาวสวยเจ้าของเรือนผมยาวตรงสีดำขลับกับนัยน์ตากลมโตสีอำพันเป็นประกาย
ลูกครึ่งเหรอ? นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เด็กหนุ่มเห็นดวงตาสีแปลกขนาดนี้ เขาเคยเห็นคนที่มีตาสีฟ้าหรือสีเขียวมาก่อน แต่สีนี้เขาไม่เคยเห็น แถมมันยังทอแสงราวกับตาคู่นั้นคือบรรจุประกายของดวงดาวไว้
หญิงสาวแย้มยิ้มเป็นมิตร "มีอะไรให้ฉันช่วยไหม หลงทางอยู่เหรอ"
"เปล่าครับ ผมไม่ได้หลงทาง"
เขาจงใจมาที่นี่เองต่างหาก ถึงจะไม่รู้ว่ามาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง แต่ถ้ามันทำให้หนีห่างจากบ้านของเขาได้จะเป็นที่ไหนก็ได้ทั้งนั้น
"แต่อยู่อย่างนี้จะเป็นหวัดเอานะ หนุ่มน้อย ถ้าไม่รังเกียจฉันจะพาไปส่ง"
"ขอบคุณนะครับ"เด็กหนุ่มยิ้มให้อย่างเศร้าๆ "แต่ตอนนี้ผมยังไม่อยากกลับ จะขออยู่ที่นี่สักพัก"
หญิงสาวมองเขา นัยน์ตาสีอำพันดูวิบวับแปลกๆ เธอเปิดประตูรถให้พลางพูดว่า
"ถ้าไม่อยากกลับ งั้นมาหลบฝนที่ร้านของฉันก่อนก็ได้นะจ๊ะ"
"ร้านของคุณหรือครับ?"
"ใช่จ้ะ มันเป็นร้านแกลลอรี่เล็กๆ ฉันอาศัยอยู่ที่นั่นกับสามีสองคน"
เขาเลิกคิ้วขึ้น หญิงสาวตรงหน้าแต่งงานแล้วหรือนี่ ดูยังสาวอยู่เลย คาดว่าน่าจะประมาณยี่สิบต้นๆ หรือที่จริงเธอคนนี้เป็นพวกหน้าเด็กกันนะ
นีโอเหลือบมองมือซ้ายของเธอโดยอัตโนมัติแล้วเห็นว่านิ้วนางข้างซ้ายมีแหวนแต่งงานสวมอยู่
"ไม่ดีกว่าครับ ผมไม่อยากรบกวน"
"หากมีเรื่องไม่สบายใจ การตากฝนก็ไม่ช่วยให้ดีขึ้นหรอกนะ ฉันเคยลองมาแล้ว"หญิงสาวขยิบตา "เวลาแบบนี้ควรจะหาอะไรมาผ่อนคลายมากกว่า อย่างชาหรือกาแฟดีๆ สักถ้วย หรือพูดคุยกับคนอื่นๆ ก็ช่วยให้หายเศร้าได้นะ"
หญิงสาวราวกับล่วงรู้ความในใจของเด็กหนุ่มจึงบอกด้วยความหวังดี เขาลังเล ไม่แน่ใจว่าควรทำอย่างไร ระหว่างที่คิดหญิงสาวจึงฉวยโอกาสตะกายข้ามเบาะฉุดตัวเขาเข้ามานั่งในรถ
"หวา!"
เด็กหนุ่มเซถลากับแรงดึงที่เกินคาดจนหัวทิ่มกับเบาะนั่ง เมื่อเขาขึ้นมาบนรถ หญิงสาวก็จัดแจงปิดประตูพร้อมกับคาดเข็มขัดให้เรียบร้อยชนิดที่เขาไม่ทันตั้งตัว
"ไม่นะ คือว่า..."
"คิกคิกคิก ที่นี้ก็ไปที่ร้านกันเถอะนะจ๊ะ"
เธอเมินเฉยคำปฏิเสธของเด็กหนุ่ม เร่งเครื่องยนต์ขับพาเขาเข้าไปในซอยลึกกว่าเดิมเสียแล้ว...
...................
หญิงสาวที่ลักพา(?)ตัวเขามามีนามว่ารินดา ร้านที่เธอบอกอยู่ห่างจากที่เด็กหนุ่มยืนตากฝนไปประมาณร้อยกว่าเมตร เป็นร้านแกลลอรี่เล็กๆ ที่ภายนอกเป็นกระจกใสแขวนภาพวาดงดงามไว้สี่ภาพและตกแต่งตัวร้านด้านนอกด้วยไม้ดอกไม้ประดับให้ดูสวยงาม
เหนือบานประตูทางเข้าบนสุดมีป้ายทำจากไม้ขัดมันและมีเทวดาตัวน้อยแย้มยิ้ม ตัวอักษรสีทองเขียนไว้ว่า “Cupid Gallery”
"กลับมาแล้วจ้า!"
เธอเปิดประตูพร้อมกับตะโกนบอก สักพักก็มีชายวัยกลางคนในชุดผ้ากันเปื้อนสีเขียวอ่อนในมือถือตะหลิววิ่งออกมาต้อนรับ
"ยินดีต้อนรับกลับ รินดา แล้วเด็กนั่นใครกันน่ะ"
ชายคนนั้นสังเกตเห็นเด็กหนุ่มแปลกหน้าที่ยืนอยู่ข้างหลังหญิงสาวจึงถามขึ้น เด็กหนุ่มที่ง่วนกับการถอดรองเท้าอยู่จำต้องปล่อยรองเท้าลงกับพื้นกระเบื้องยกมือไหว้อีกฝ่ายอย่างมีมารยาท
"สวัสดีครับ ผมชื่อนีโอ"
"สวัสดี ฉันกรกฎ"ชายคนนั้นยกมือไหว้ตอบ มองเด็กหนุ่มอย่างพินิจพิจารณา "เธอไปเก็บคนมาอีกแล้วเหรอ"
คำถามนี้ออกจะแปลกไปหน่อยจนนีโอเลิกคิ้วขึ้น รินดาค้อนใส่สามีตัวเอง
"ฉันเห็นเด็กคนนี้ยืนตากฝนอยู่ข้างนอกก็เลยพามาหลบที่ร้านน่ะ นีโอน่ะพิเศษไม่เหมือนกับพวกก่อนหน้านี้ซะหน่อย"
นี่มันอะไรยังไงเนี่ย นีโอสับสนมึนงง ทำไมทั้งสองพูดราวกับว่าเขาเป็นหมาหรือแมวจรจัดที่ถูกเก็บมาเลี้ยงเลยล่ะ...
"งั้นเหรอ"กรกฎขมวดคิ้ว มองนีโอด้วยความสนใจ "เอาเถอะ ฉันว่าให้นีโอไปอาบน้ำดีกว่า เห็นสภาพเปียกๆ ของเขาแล้วฉันทนไม่ได้"
"มาทางนี้จ้ะ"
รินดาเดินนำนีโอผ่านโถงต้อนรับเข้าสู่ห้องจัดแสดงภาพวาดอันงดงามหลายร้อยภาพที่จัดเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ
เขามองภาพเหล่านั้นอย่างตะลึงจนกระทั่งผ่านประตูอีกบานเข้าสู่ส่วนที่อยู่อาศัย ห้องอาบน้ำขนาดกลางที่ใช้ฝักบัวอยู่ติดกับห้องน้ำและห้องครัว ฝั่งซ้ายมีบันไดขึ้นไปชั้นสองซึ่งคาดว่าคงเป็นห้องนอนของสองสามีภรรยา
"ถอดเสื้อผ้าใส่ตะกร้านี่นะ เดี๋ยวฉันเอาไปซักตาก"
รินดายื่นตะกร้าหวายใบเล็กๆ ส่งให้ เป็นจังหวะที่กรกฎเดินเข้ามาพอดี ในมือมีเสื้อผ้าอยู่ชุดหนึ่ง
"เอานี่ไปใส่ซะ มันอาจจะใหญ่ไปหน่อยแต่ฉันก็มีตัวที่เล็กสุดแค่นี้แหละ ใส่รอจนกว่าเสื้อผ้าเธอจะแห้งก็แล้วกัน"
"ขอบคุณครับ"
หลังจากอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ สองสามีภรรยาก็คะยั้นคะยอให้เขาทานข้าวด้วยกัน บนโต๊ะอาหารมีกับข้าวชวนน้ำลายสอเกินคาดคิด ทั้งแกงส้ม ปลาทูทอด และไข่ลูกเขย เสิร์ฟพร้อมข้าวหอมมะลิร้อนๆ
นีโอมองอาหารที่อยู่ตรงหน้าก็เกิดความรู้สึกหิวขึ้นทันที เพราะตั้งแต่เย็นล่วงมาถึงกลางคืนเขายังไม่ได้ทานอะไรเลย
เด็กหนุ่มตักข้าวเข้าปาก รับรู้ถึงรสชาติอร่อยจนน้ำตาแทบซึม นีโอกินไปเรื่อยๆ อย่างคนหิวโหยโดยมีรินดากับกรกฎที่นั่งกินด้วยกันชวนคุยไปด้วย
ความรู้สึกไม่สบายใจในทีแรกได้รับการปัดเป่าจากสามีภรรยาทั้งสองจนทำให้เขารู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาก เป็นอย่างที่รินดาพูดไว้ การตากฝนไม่ได้ช่วยอะไรแต่การได้พูดคุยกับคนอื่นต่างหากที่ทำให้รู้สึกดีขึ้น
ถึงกระนั้นนีโอก็ยังไม่อยากกลับบ้านอยู่ดี ถ้ากลับไปตอนนี้ เขาก็ไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไงหรือจัดการกับปัญหานั้นอย่างไรดี...
รินดาเหมือนจะอ่านความคิดของเด็กหนุ่มออกจึงชวนค้างคืนที่นี่ นีโอรู้สึกเกรงใจอีกฝ่ายมากที่ช่วยเหลือตนทุกอย่าง แต่เขาก็ไม่อยากปฏิเสธเพราะเมื่อกลับบ้านไม่ได้ เขาก็ไม่มีที่อื่นที่จะไป แถมฝนยังคงตกกระหน่ำตลอดไม่มีทีท่าว่าจะหยุด เขาไม่อยากออกไปตากฝนให้ตัวเปียกอีกแล้ว
"เรามีห้องนอนสำรองอยู่ห้องหนึ่ง นีโอใช้ห้องนั้นก็ได้นะ"กรกฎกล่าวอย่างมีน้ำใจ
"ขอบคุณครับ และต้องขอโทษด้วยนะครับที่รบกวน"
รินดาโบกมือ"รบกวนที่ไหนกันจ้ะ อย่าเกรงใจไปเลย เกิดเป็นคนก็ต้องช่วยเหลือกันสิ จริงไหม"
นีโอยิ้มรับ ตนโชคดีจริงๆ ที่มาเจอรินดาเข้า เธอเป็นคนดีที่หาได้ยากในสมัยนี้ คงไม่มีใครหรอกที่จะมาสนใจคนแปลกหน้ายืนตากฝน อีกทั้งยังเสนอตัวจะไปส่งหรือพามาหลบฝนที่บ้านอีก
คิดไปเขาก็แอบอิจฉากรกฏที่ได้ภรรยาดีๆ อย่างนี้ไปครอง
ไม่เหมือนกับเขาเลยสักนิด...
หวนนึกถึงทีไรก็รู้สึกเจ็บปวดใจขึ้นมาทุกที นีโอเลิกคิดเรื่องนี้และหันเหความสนใจไปที่ภาพวาดในห้องจัดแสดงแทน
"เอ่อ... จะว่าอะไรไหมครับ ถ้าผมจะเดินดูภาพพวกนั้น..."
นีโอขออนุญาตก่อนเพราะคิดว่ามันคงไร้มารยาทถ้าเดินเพ่นพ่านไปทั่ว สำรวจนู่นนี่ตามอำเภอใจ
"ได้สิจ้ะ เดิมทีห้องจัดแสดงภาพวาดก็มีไว้ให้คนชมอยู่แล้วนี่นา"
"ขอบคุณครับ"
เมื่อได้รับคำอนุญาตอย่างเป็นทางการ นีโอก็เดินชมภาพวาดเหล่านั้นทันที พินิจดูใกล้ๆ เขาก็ยิ่งรู้สึกประทับใจมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่การจัดองค์ประกอบภาพก็ดูธรรมดาไม่รู้ว่าทำไมกลับมีเสน่ห์จนไม่อาจจะละสายตาได้
ไม่ว่าจะเป็นพี่ชายกับน้องชายที่เล่นโหนชิงช้าด้วยใบหน้าเบิกบาน, พ่อแม่ที่เดินจูงมือลูกสีหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความอบอุ่น, ปู่ที่กางหนังสือเล่านิทานห้อมล้อมด้วยหลานๆ, ภาพผู้หญิงในชุดนักเรียนนั่งจับกลุ่มพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน, ภาพผู้ชายอาบน้ำให้กับสุนัข หรือภาพงานวิวาห์อันแสนโรแมนติกของคู่บ่าวสาว
ทุกสีสันมีความละเอียดลออ นุ่มนวลและอบอุ่น แม้ดูธรรมดาแต่ก็เข้าถึงได้ง่าย ขนาดนีโอที่ไม่เคยสนใจงานศิลปะกลับต้องหลงใหลในภาพวาดเหล่านั้น พินิจพิจารณาอย่างไม่วางตา
เดินชมภาพไปเรื่อยๆ กระทั่งมาหยุดอยู่ที่ภาพหนึ่งซึ่งมีบรรยากาศแตกต่างจากภาพอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด มันไม่ได้ให้ความรู้สึกสดใส อบอุ่นหรืออ่อนโยนอย่างภาพที่แล้วๆ มา แถมยังประดับให้ดูโดดเด่นกว่าภาพอื่น ยิ่งทำให้เห็นชัดถึงอารมณ์ของภาพที่สื่อออกมา
สง่างาม น่าเกรงขามและโดดเดี่ยว...
ภาพนั้นมีเพียงชายหนุ่มผู้มีใบหน้าคมเข้มชวนมองยืนอยู่ลำพังในทะเลทรายอันร้อนระอุ นัยน์ตาสีม่วงเจิดจรัสคู่นั้นจ้องตรงมาอย่างเปิดเผย
ทั้งที่รู้ว่ามันเป็นแค่ภาพวาดทำไมเขาถึงรู้สึกว่าชายผู้นี้เป็นมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อและลมหายใจกันนะ
"ภาพนี้มันยอดจริงๆ..."
นีโอชื่นชม มือของเขายื่นไปแตะหน้าของชายหนุ่มในภาพวาด ลูบไล้มาตามเส้นสายแห่งสีสันจนถึงเอว เสื้อผ้าที่ชายคนนั้นสวมใส่อย่างมิดชิดไม่สามารถปกปิดเรือนร่างอันแข็งแรงบึกบึนได้
ยิ่งมองก็ยิ่งไม่อาจละสายตาจนนีโอเดินเข้าไปชิดภาพนั้นโดยไม่รู้ตัว
มือของเขาที่สัมผัสกับภาพวาดค่อยๆ ร้อนผ่าวราวกับสัมผัสถึงอุณหภูมิร้อนของทะเลทรายได้จริงๆ
เขาเดินเข้ามาใกล้ขึ้น... ใกล้ขึ้น... จนนัยน์ตาสีดำมองสบกับนัยน์ตาสีม่วงในระยะประชิด เด็กหนุ่มรู้สึกถึงแรงดึงดูดจากภาพตรงหน้ากำลังดึงร่างของเขาเข้าไป
ทันใดนั้นนีโอก็เห็นภาพหมุนวน สีสันและตัวภาพบิดเบี้ยวไปชวนให้ตาลายจนเขาต้องกะพริบตา กว่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง ร่างของนีโอก็ถูกดูดหายเข้าไปในภาพวาดนั้นแล้ว
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
เกริ่นทีแรกนั้นคืออันใด? ไม่นะ ! อย่าจบดราม่าเน้อ! ขอแฮปปี้เอ็นดิ้ง*/''''"",=#":$
น่าสนใจจังเลยยยยย //กดตอนต่อไป