คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : {SF} น้องแจ้กับพี่อุ่น #1 - Kim Jaehwan/Ha Sungwoon
Title : น้องแจ้กับพี่อุ่น #1
Pairing : Kim Jaehwan/Ha Sungwoon
Genre : Romantic - Comedy
Rate : PG
Note : Feeling -------- อยากมองเธอในแง่ร้าย
01
พวกคุณรู้จักพี่อุ่นมั้ยครับ...?
ที่ตัวเล็กๆ ผิวขาวๆ ตัวผอมบางแต่ว่าแก้มกลมดิกเหมือนแว่นที่ใส่…
คนที่เป็นหัวหน้าชมรมคอรัสปี 4 แต่เวลาถูกห้อมล้อมด้วยรุ่นน้องทีก็ดูกลมกลืนกันเสียจนแยกไม่ออกว่าคนไหนพี่คนไหนน้อง…
คนที่ไม่ว่าคุณจะเดินสวนเจอเขากี่ครั้งที่ตึกคณะ คุณก็จะเห็นแต่รอยยิ้มหวานและได้ยินแต่เสียงหัวเราะสดใส หรือบางครั้งก็เป็นเสียงโวยวายงอแงที่ถูกเพื่อนหรือรุ่นน้องแกล้งด้วยความเอ็นดู
พี่อุ่นคนนั้นแหละครับ…
คนเดียวกันกับที่อยู่ๆ ก็มานั่งสารภาพรักผมอยู่ตอนนี้!?
เมา…. ผมว่าพี่มันเมาแน่ๆ….
“คือ… พี่ไม่รู้ว่าแจ้มีคนที่ชอบอยู่แล้วรึเปล่าอ่ะ แต่แบบ… ก็แค่อยากลองบอกดูเผื่อว่าแจ้ไม่ได้มีใคร…”
พี่อุ่นพูดด้วยเสียงอ้อแอ้ไม่ฉะฉานอย่างทุกทีพลางใช้มือข้างที่ไม่ได้ถือแก้วเหล้าเอาไว้ยกขึ้นเกาแถวลำคอและใบหูของตัวเองที่เป็นสีแดงจัดอย่างเก้ๆ กังๆ ไม่ต่างจากตัวคนฟังอย่างผมที่อ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูกแล้วในเวลานี้…
นี่มันอะไรกันวะเนี่ย??
“พี่อุ่นเมาป้ะเนี่ย…” ผมถามออกไปเมื่อไม่มั่นใจว่าสิ่งที่อีกฝ่ายพูดเป็นเรื่องจริง ยิ่งเมื่อมองใบหน้าที่แดงก่ำและนัยน์ตาเยิ้มของรุ่นพี่ตรงหน้าแล้วก็ยิ่งมั่นใจว่าเจ้าตัวคงดื่มไปหนักอยู่ไม่น้อยก่อนที่จะเดินเข้ามาหากัน แต่คนตรงหน้ากลับส่ายหน้าวือไม่ยอมรับ…
“ไม่เมาๆ… แค่กึ่มๆ เอง”
“หรือว่าปี 4 มีเล่นเกมลงโทษอะไรกันครับ...”
ลองทายดูใหม่อีกครั้ง อีกทั้งยืดตัวขึ้นชะเง้อมองไปทางโต๊ะของพวกพี่ปี 4 ที่เป็นแกนนำพารุ่นน้องชมรมคอรัสมาเลี้ยงเหล้าสังสรรค์กันในวันนี้ไปด้วย แต่กลายเป็นว่าพวกรุ่นพี่ที่โต๊ะนั้นสลายตัวกันไปแทบหมดแล้ว เหลืออยู่เพียงไม่กี่คนที่ก็ดูไม่ได้สนใจพวกเราสักนิด จึงไม่น่าจะใช่การลงโทษในวงเหล้าอย่างที่คิดเอาไว้
“พี่ไม่ได้ล้อเล่นนะ พี่พูดจริงๆ...” คนหน้าแดงก่ำทะลุกรอบแว่นยืนกรานคำเดิมแถมยู่ปากทำหน้างอแงใส่ที่ผมไม่ยอมเชื่อ ก่อนที่ดวงตาหวานเยิ้มจากฤทธิ์แอลกอฮอล์นั้นจะยกขึ้นหยีตามรอยยิ้มที่วาดขึ้นเต็มสองแก้ม แล้วเอ่ยทิ้งท้ายเอาไว้…
“แจ้ลองกลับไปคิดดูนะ...”
มือเล็กๆ นั่นยื่นมาบีบกันเบาๆที่หัวเข่า พี่อุ่นกระดกแก้วเหล้าที่เหลือนิดหน่อยในมือขึ้นดื่มจนหมด ก่อนจะลุกขึ้นเดินโงนเงนกลับไปที่โต๊ะของตัวเอง ปล่อยผมทิ้งไว้ให้นั่งเหวอแดกกับคำพูดของพี่เขาอยู่เพียงคนเดียว…
คือทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก...
ใครก็ได้บอกผมทีว่านี่มันใช่เรื่องจริงหรอวะ….?!?
“ไม่จริงอ่ะ… กูว่ามึงแม่งเมาแล้วเห็นภาพหลอน”
ไอ้อ๋องโพล่งขึ้นมากลางวงเม้าท์ที่กำลังจับกลุ่มฟังผมเล่าเหตุการณ์ระทึกเมื่อคืนให้ฟังที่โต๊ะหินอ่อนใกล้ตึกเรียนรวมในเช้าวันนี้ ซึ่งคนอื่นที่เหลือต่างก็เห็นพ้องกับไอ้อ๋องพากันพยักหน้าหงึกหงัก
“เออ มึงฝันรึเปล่าวะ”
“อย่างพี่อุ่นอ่ะนะจะมาบอกชอบผู้ใหญ่บ้านอย่างแก…”
ทั้งไอ้แดนและเจ๊จีต่างพากันทับถมจนผมแทบจมลงไปกับพื้นหญ้าหน้าคณะ ซึ่งก็ไม่มีอะไรจะไปเถียง ในเมื่อที่พูดมานั่นล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องจริงทั้งนั้น
ก็อยากให้ลองนึกภาพตามกันดูนะครับ…
ไอ้แจ้ คิมหันต์ คนนี้เนี่ย...เป็นแค่เด็กปี 2 ธรรมดาๆ ที่มีฉายาให้เพื่อนล้อกันไปทั่วว่า ‘ผู้ใหญ่บ้าน’ เพราะดันหน้าตาและราศีเหมือนพ่อที่เป็นผู้ใหญ่บ้านหมู่ 4 ยังกับแกะ แล้วไหนจะชื่อ ‘แจ้’ ที่แม่ตั้งให้เพราะเป็นแฟนคลับพี่แจ้ ดนุพล นี่อีก…
ในขณะที่เด็กรุ่นผมคนอื่นแม่งโตมากับกามิกาเซ่...
ไอ้แจ้คนนี้ดันได้รับอิทธิพลความเท่มาแบบยุค 80
เชยสะบัดแม่งทั้งชื่อทั้งคาแร็คเตอร์…
สิ่งดีๆ สิ่งเดียวที่มีในชีวิตนี้เห็นจะเป็นสกิลการร้องเพลงเคล้าเสียงกีต้าร์ที่เพราะเหมือนกินตลับเทปพี่แจ้แทนข้าวมาตั้งแต่เกิดนี่แหละ ที่น่าจะพอเชิดหน้าชูตากันได้บ้าง…
แต่มันก็เท่านั้นอ่ะครับ…
มันไม่น่าจะมีความโดดเด่นอะไรไปเตะตาพี่อุ่นคนป๊อปของชมรมคอรัสที่เป็นที่รู้จักของคนแทบทั้งมหา’ลัยนี้ได้…
แล้วที่สำคัญน่ะนะ…
“ไม่ใช่ว่าพี่อุ่นกิ๊กอยู่กับพี่มิณทร์หรอวะ?”
เออนั่นแหละ ไอ้อ๋องได้พูดในสิ่งที่ผมค้างคาใจออกมาแล้ว…
▷
“นั่นแงะ...เห็นมั้ยแก เค้าอยู่ด้วยกันอีกละ ดูๆๆ…”
เจ๊จีผู้ทำหน้าที่สอดส่องเร็วไวยิ่งกว่ายามรักษาความปลอดภัยของตึกคณะพยักเพยิดหน้าไปทางบุคคลสองคนที่กำลังเดินเคียงคู่กันเข้ามาในโรงอาหาร เรียกพวกเราที่กำลังนั่งกินข้าวให้หันไปมอง
ยังกับภาพจำลองมาจากหน้าปกนิยายคู่จิ้นที่อีเจ๊มันชอบนั่งอ่านในห้องเรียนรวม พี่อุ่นที่ตัวเล็กกว่าผู้ชายคนอื่นเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งดูเล็กลงไปถนัดตาเมื่อโดนพี่มิณทร์ที่สูง 180 กว่าโอบไหล่เอาไว้อยู่แบบนั้น
ซึ่งขนาดตัวเล็กๆ นั่นมันเป็นอะไรที่โคตรจะดูน่ารัก...
แต่ว่ามันไม่ใช่ประเด็น…
“กูว่านะ... ถ้าเมื่อคืนไอ้แจ้แม่งไม่ได้เมา ผู้ใหญ่บ้านของเราก็โดนเขาหลอกว่ะ…” ไอ้แดนเหล่ตามองคนในประเด็นสนทนาที่นั่งอยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักกำลังรอพี่มิณทร์เดินไปซื้อข้าวและน้ำมาให้ แล้วก้มหน้าลงมากระซิบกระซาบต่อ “พี่มิณทร์เทคแคร์ดีเว่อร์ซะขนาดนั้นมันไม่น่าใช่เพื่อนกันปกติป้ะวะ...”
หลังจากที่อีเจ๊เป็นผู้เริ่มเปิดประเด็น ทุกคนก็พร้อมใจกันวางมือจากจานข้าวตรงหน้ามาสุมหัวเริ่มนินทาเรื่องนี้ต่อจากเมื่อเช้าอีกครั้ง โดยผมก็ยังรับหน้าที่หลักเป็นการนั่งฟังพวกมันวิเคราะห์เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือนเดิม
“เออกูเห็นด้วย… ที่ชมรมชงเรื่องพี่มิณทร์กิ๊กกับพี่อุ่นกันโคตรบ่อยอ่ะ แล้วพี่มิณทร์แม่งไม่เคยปฏิเสธเลยด้วยนะ” ไอ้อ๋องซึ่งอยู่ชมรมฟันดาบเหมือนกันกับพี่มิณทร์เริ่มเม้าท์เรื่องวงในขึ้นมาบ้าง ตามด้วยเสียงหวีดโหยที่เต็มไปด้วยอินเนอร์บ้าผู้ชายของอีเจ๊
“แหมมมมม เป็นกู กูก็ไม่เอาเป็นเพื่อนป้ะวะ… ดีกรีระดับนั้นมันต้องเอาเป็นผัว!!”
ก็ถูกของอีเจ๊มัน… เพราะถ้าให้สาธยายสรรพคุณของพี่มิณทร์ออกมานั้น คิดว่ามีเวลาทั้งวันก็ไม่น่าจะสรรเสริญจบ… เอาเป็นว่าหน้าตาก็หล่อ พ่อก็รวย เรียนก็เก่ง เคยเป็นทั้งเดือนคณะ ทั้งเดือนมหาลัย จนสาวๆ ถึงกับพร้อมใจกันเรียกพี่เขาเป็น ‘ฝ่าบาท’ เพราะดีเกินมาตรฐานระดับสามัญชน
ซึ่งเออ… มีคนดีขนาดนั้นตามประกบตลอดเวลาก็ไม่น่าจะหลวมตัวมาชอบผมมั้ยอ่ะ…
คิดยังไงก็ไม่น่าจะเป็นไปได้...
“แล้วพี่มันจะมาหลอกกูทำไมวะ…” ผมถามเพื่อนทุกคนออกไปอย่างขอความเห็น แต่ก็ได้รับคำตอบกลับมาเป็นการมองหน้ากันแล้วส่ายหัวให้อย่างพร้อมเพรียง สุดท้ายก็เลยทำได้แค่เกาหัวตัวเองแรงๆ จนผมเผ้ายุ่งเหยิงเหมือนความคิดที่มีในสมอง…
คือถ้าถามว่าสนิทกับพี่อุ่นขนาดที่พี่มันจะแกล้งกันเล่นมั้ย ก็บอกได้เลยว่าค่อนข้างสนิทตามประสารุ่นพี่รุ่นน้องในชมรมที่เจอหน้ากันเกือบทุกวัน หยอกล้อเล่นกันมันก็มีเป็นธรรมดาอยู่แล้ว...
แต่ไอ้จู่ๆ เดินมานั่งเบียดกันแล้วพูดอะไรแบบเมื่อคืนนี่มันโคตรจะไม่ใช่เรื่องธรรมดาเลยโว้ย!!
แต่ก็นะ…
ถึงจะอยากลองคิดเข้าข้างตัวเองดูสักหน่อย แต่ภาพพี่อุ่นที่กำลังยิ้มหวานแล้วค่อยๆ ยื่นมือไปปัดผมให้พี่มิณทร์อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลตรงหน้านี่ก็ทำให้ไม่กล้าจะคิดไปไกลเลยจริงๆ...
“ช่างเหอะมึง กูจะคิดเอาเองว่าพี่เค้าเมาแล้วกัน เดี๋ยวอีกไม่กี่วันก็ลืมแล้วมั้ง...”
ผมพูดรวบรัดสรุปจบเอาเองเสร็จสรรพ เพราะรู้สึกว่าถึงจะพะวงกับเรื่องนี้ไปยังไงก็คงไม่ได้คำตอบ ไอ้ครั้นจะให้ทำใจกล้าไปถามพี่มันอีกรอบ ก็กลัวใจจะได้หอบเศษหน้ากลับมาแทนเพราะพี่มันเมาแล้วจำไม่ได้ หรือว่าหัวเราะชอบใจที่อำผมสำเร็จอะไรแบบนั้น ก็เลยขอทึกทักมันเอาเองแบบนี้เลยแล้วกัน
ที่เหลือก็แค่ต้องบอกตัวเองให้รีบๆ ลืมน้ำเสียงหวานๆ ปนออดอ้อน กับท่าทางเขินๆ ตอนบอกว่าชอบของพี่มันที่ยังอยู่ในหัวนี่ซะ…
ผมจะได้หยุดใจเต้นรัวเป็นจังหวะแซมบ้าตอนเห็นหน้าพี่อุ่นมันสักที!
▷
ไหนใครนะที่บอกว่าเดี๋ยวอีกไม่กี่วันก็ลืมแล้ว...
เออลืมจริงๆ ด้วยครับ...
แต่ที่ลืมไปอ่ะ.... คือลืมไปเลยว่าเคยมองพี่อุ่นเป็นแค่รุ่นพี่ผู้ชายธรรมดาคนนึงในชมรม
ทำไมอยู่ๆ ผมถึงมองว่าพี่มันน่ารักขนาดนี้ได้วะ!
“ตามที่พี่แชร์ไปในกรุ๊ปเฟสนะครับ เดี๋ยวสิ้นเดือนนี้เราจะมีโชว์ในงานปิดกีฬามหา’ลัยกัน ทางส่วนกลางแจ้งมาว่ามีเวลาให้ 30 นาที พี่ก็เลยว่าจะแบ่งโชว์ออกเป็น 6 เพลง โชว์รวม 2 เพลงอันนี้เดี๋ยวพี่เลือกให้ ส่วนอีก 4 เพลงที่เหลือจะเปิดให้เสนอชื่อเพลงที่อยากร้องกันถึงวันศุกร์หน้า ลิสต์เพลงมาให้รองประธานได้เลยนะครับ หลังลงมติเลือกเพลงแล้วเดี๋ยวเราจะจัดคนร้องกันอีกที”
เสียงนุ่มหวานหูของพี่อุ่นพูดอธิบายงานให้บรรดาสมาชิกทั้งรุ่นน้องและเพื่อนร่วมรุ่นที่กระจายตัวกันอยู่ในบริเวณต่างๆ ของห้องฟัง ซึ่งหนึ่งในนั้นก็รวมผมที่นั่งหลบมุมฟังอยู่ด้านหลังห้องนี้ด้วย
ดูเหมือนว่าวันนี้พี่อุ่นจะไม่มีเรียน ร่างเล็กๆ นั้นถึงได้ใส่เพียงเสื้อยืดลายทางขนาดโอเวอไซส์ กับกางเกงยีนส์ขาสั้นฟอกสีที่มีรอยขาดเป็นริ้วๆ มามหา’ลัยแบบนี้…
คืออันที่จริงผมก็เห็นพี่อุ่นแต่งตัวแบบนี้มาตั้งหลายทีแล้ว
แต่ทำไมตอนนี้ถึงได้รู้สึกว่ามันดูน่ารักขึ้นมาก็ไม่รู้…
“วันนี้มีเรื่องจะแจ้งแค่นี้นะครับ ใครจะกลับก็กลับได้เลย หรือถ้าใครอยากใช้ห้องต่อก็มาบอกได้นะ…” พี่อุ่นพูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ก่อนเจ้าตัวจะฝากฝังให้พี่เสือผู้เป็นรองประธานอยู่ดูแลความเรียบร้อยของชมรมต่อ ได้ยินเสียงคุยกันแว่วๆ เหมือนว่าจะไปคุยงานอะไรสักอย่างกับกรรมการส่วนกลาง
ผมชะเง้อคอมองตามจนพี่มันเดินออกจากห้องไปนั่นแหละสติถึงได้กลับมาอยู่กับเนื้อกับตัวได้ นับตั้งแต่ผ่านเหตุการณ์คืนนั้นมาเป็นเวลากว่าหนึ่งสัปดาห์ จากที่บอกกับเพื่อนๆ และตัวเองเอาไว้ว่าจะไม่อะไรกับเรื่องที่พี่อุ่นมาสารภาพรักและทำเป็นลืมๆ มันไปซะ ดันกลับกลายเป็นว่ามันผิดเพี้ยนไปซะหมด
ซึ่งไอ้สิ่งที่เพี้ยนไปนี่ก็ไม่ใช่อะไร... ตัวไอ้แจ้เองนี่แหละ....
“เอาจริงๆ นะ คือนอกจากไม่ได้ผมยาวดัดปลาย พี่อุ่นนี่ก็เข้าข่ายสเป็คมึงป้ะวะ…”
นั่นคือคำพูดที่อยู่ๆ ไอ้แดนก็โพร่งขึ้นมาในคล้อยบ่ายของวันหนึ่ง ระหว่างที่พวกเราทั้ง 4 คนกำลังโดดเรียนวิชาบังคับมานอนเกลือกกลิ้งสิงตัวอยู่ที่มุมพักผ่อนในห้องสมุดของคณะ จนผมที่กำลังเคลิ้มๆ จะหลับในตอนนั้นถึงกับตาสว่าง…
“อยู่ๆ พูดเชี่ยไรของมึงเนี่ย…”
“เอ๊าหรือว่าไม่จริงวะ… กูเป็นเพื่อนกับมึงมาตั้งกี่ปีแล้วครับเชี่ยแจ้ แค่สเป็คมึงทำไมกูจะไม่รู้ มึงแม่งเล่นเขียนใส่เฟรนด์ชิปตั้งแต่ป.6 ยันม.6 ว่าชอบคนตัวเล็กๆ ขาวๆ ผมยาวดัดปลายประมาณไหล่ แก้มใสอมชมพู ดูน่าปกป้อง เรื่องนมไม่ต้องไม่ได้ซีเรียส...” ไอ้แดนร่ายคำขวัญสะใภ้ผู้ใหญ่หมู่ 4 มาแบบละเอียดยิบพร้อมมีไอ้อ๋องเป็นลูกคู่ จนเจ๊จีที่นั่งฟังอยู่ถึงกับหัวเราะก๊ากออกมาที่ผมกล้าเขียนอะไรขายขี้หน้าแบบนี้ให้เพื่อน
“เชี่ย… กูก็แค่เขียนเกรียนๆ ป้ะวะ” ผมเอาชีทเรียนฟาดต้นแขนพวกแม่งไปหนึ่งทีที่เอาเรื่องที่ควรจะลืมๆ ไปตั้งแต่สมัยมัธยมแบบนี้มาแฉให้เพื่อนที่เพิ่งมารู้จักกันตอนมหา’ลัยอย่างอีเจ๊ฟัง “เออ กูชอบแบบนั้นแล้วมันทำไม เกี่ยวไงกะพี่อุ่นวะ”
“ก็ที่วันก่อนมึงมาเล่าเรื่องพี่อุ่นให้ฟังไง กูนึกอยากเสือกขึ้นมาก็เลยเข้าไปส่องเฟสพี่เค้า พอมองดูดีๆ นี่มันสเป็คมึงเลยไม่ใช่หรอวะ” ไอ้แดนยื่นหน้าจอโทรศัพท์ที่เป็นรูปพี่อุ่นกับพี่ปี 4 ในคณะอีก 2 คนซึ่งน่าจะถ่ายกันตอนไปออกทริปภาควิชามาให้ดู พร้อมกับซูมให้เห็นคนที่พูดถึงชัดๆ “เนี่ย ตัวเล็กนิดเดียว หน้าตาก็จิ้มลิ้มจะตายชัก”
“นี่ถ้าเกิดที่พี่เค้าพูดกับมึงวันนั้นเป็นเรื่องจริงขึ้นมานะ หูยยยยย มึงคงฟิน”
ผมจ้องรูปในมือแล้วก็คิดตามคำพูดของไอ้แดนไปด้วย ปกติก็รู้อยู่แล้วว่าพี่อุ่นน่ะตัวโคตรเล็กจนเป็นประเด็นให้โดนแซ็วอยู่ประจำ เรื่องผิวพรรณนี่ก็ได้ยินพวกผู้หญิงบ่นว่าอิจฉาพี่มันอยู่บ่อยๆ ส่วนเรื่องหน้าตานี่จากที่แค่เคยรู้สึกว่าพี่มันเป็นคนหน้าตาดี แต่พอได้มาลองตั้งใจมองแบบชัดๆ แล้วก็เพิ่งจะมารู้สึกเอาตอนนี้นี่เอง
“แน่ะ… ทำหน้าแบบนี้ มึงกำลังคิดว่าพี่มันน่ารักอยู่อ่ะดิ…” ไอ้อ๋องพูดดักคอขึ้นมาเหมือนรู้ทัน ซึ่งผมก็ดันพยักหน้ากลับไปอย่างทึ่งๆ ที่ตัวเองผุดความคิดแบบนั้นขึ้นมาจริงๆ...
เชี่ย…. น่ารักจริงๆ ด้วย
และเพราะการจุดประกายชักนำของพวกมันในวันนั้น เลยทำให้นายคิมหันต์มองโลกไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป…
ตอนแรกคือแค่ใจเต้นเพราะตกใจที่อยู่ๆ ก็มีคนที่คาดไม่ถึงมาบอกรัก
แต่ตอนนี้แม่งหนักกว่าเก่า เพราะดันมองว่าเขาโคตรน่ารักเลยด้วยไง
สรุปคือ ยิ่งไม่อยากจะคิดเรื่องพี่อุ่นเท่าไหร่ ในหัวนี่ก็ยิ่งหมกมุ่นถึงแต่เรื่องของพี่มันเข้าไปทุกที…
“อ้าวแจ้… ยังไม่กลับหรอ…”
แล้วนี่คือถึงขนาดหูแว่วกันเลยหรอวะ...
ผมสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเรียกชื่อดังเข้ามาในหู พอรู้สึกตัวถึงได้รู้ว่าตัวเองนั่งเหม่อกอดกีตาร์โปร่งอยู่มุมห้องมานานจนไม่เหลือใครอยู่ในห้องชมรมแล้ว จะมีก็แค่ตัวผมและคนที่ส่งเสียงเรียกกันจากทางหน้าประตู…
“เห้ย พี่อุ่น…”
ผมทำเสียงตกใจเมื่อเงยหน้าขึ้นมาเห็นว่าใครเป็นคนเรียก คนตัวเล็กในชุดลำลองเดินเข้ามาในห้องด้วยรอยยิ้มปนขำเมื่อเห็นผมทำท่าทางเหรอหราใส่ เหมือนยังจับต้นชนปลายไม่ค่อยจะถูก “แล้วพี่เสือไปไหนแล้วอ่ะครับ…”
“อ้าว ก็เสือโทรมาบอกพี่เองว่ามีธุระจะรีบกลับ เลยฝากกุญแจห้องไว้กับน้องในชมรมแล้ว… ตกลงเสือไม่ได้บอกแจ้หรอ?” พี่อุ่นเลิกคิ้วมองผมงงๆ จนผมที่กำลังสับสนหันไปเห็นพวงกุญแจวางอยู่ข้างตัวนั่นแหละถึงได้ตอบพี่มันไปแบบเบลอๆ ให้ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักกลับมา “เออ… สงสัยพี่เสือมันบอกแล้วแต่ผมไม่ได้ฟังอ่ะพี่ มัวแต่เหม่ออยู่...”
“แจ้ไหวมั้ยเนี่ย… ไอ้เสือมันเสียงดังจะตาย ต้องเหม่อขนาดไหนถึงไม่ได้ยินเสียงมันพูดได้อ่ะ” พี่อุ่นมองหน้าผมแล้วหัวเราะร่า จนพวงแก้มขาวทั้งสองข้างขึ้นเลือดฝาดสีชมพูระเรื่อมาให้คนที่กำลังโดนล้อได้มองแล้วใจแกว่งเล่นๆ
แม่ง...น่ารักอีกละ…
“พอดีคิดอะไรเพลินๆ ไปหน่อยอ่ะพี่… แหะๆ งั้นเดี๋ย---” ผมเอ่ยตอบพลางเกาแก้มตัวเองแก้เก้อ รู้สึกว่าตัวเองโคตรเด๋อเลยที่มัวแต่เหม่อจนไร้สติขนาดนี้ แต่ยังไม่ทันได้เอ่ยขอตัวกลับหนีความอาย พื้นที่ว่างเปล่าด้านข้างกายก็ถูกแทนที่ตัวพี่อุ่นที่ทิ้งตัวลงมานั่งขัดสมาธิข้างๆ กันเสียก่อน
“คิดไรอ่ะ... ถามได้ป่าว” พี่อุ่นเอียงคอมาถามด้วยรอยยิ้มหวาน พร้อมกับยื่นลูกอมกลิ่นมิ้นท์มาให้ น้ำเสียงสดใสนั้นไม่ได้ดูละลาบละล้วงอะไร เหมือนแค่ต้องการจะหาเรื่องชวนคุยทั่วๆ ไปเสียมากกว่า
“เรื่องเพลงที่จะใช้โชว์ปิดกีฬาเฟรชชี่น่ะพี่”
ผมโกหกตอบไป เพราะใครมันจะไปกล้าบอกความจริงได้ล่ะว่ามัวแต่คิดเรื่องพี่อยู่นั่นแหละครับ ในเมื่อแค่มานั่งข้างๆ กันแบบนี้ก็หายใจติดขัดจะแย่แล้ว…
“โห รีบคิดจัง หมดเขตตั้งวันศุกร์หน้า” ปากกระจับสีชมพูอ้าขึ้นด้วยความประหลาดใจจนแก้มกลมยกขึ้นให้เห็นแนวฟันบนโผล่มาคล้ายกับพวกสัตว์ตัวเล็กๆ… ก่อนดวงตาหวานนั้นจะเหลือบขึ้นบนเหมือนใช้ความคิดนิดหนึ่งแล้วพูดต่อ
“อืม… แล้วแจ้ได้คำตอบรึยังอ่ะ”
“ยังเลยพี่ เพลงที่อยากร้องมีเยอะเกิน”
ผมหัวเราะกลบเกลื่อนตอบไป แม้ว่าในใจตอนนี้จะเต้นตึกตักไม่ยอมหยุด กำลังคิดว่าถ้าไม่รีบขอตัวกลับในเร็วๆ นี้ เห็นทีว่าคงจะได้บ้าตายเพราะความน่ารักของอีกคนขึ้นมาแน่ๆ...
แต่ดูท่าว่าไอ้แจ้จะคิดผิด...
“ไม่ใช่...พี่ไม่ได้หมายถึงเรื่องเพลง”
“อ้าว...”
“พี่หมายถึงเรื่องที่พี่จะขอจีบแจ้ต่างหาก”
“....”
เพราะที่ทำให้มันตายสนิทตอนนี้ไม่ใช่แค่ความน่ารักเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเพราะมือเรียวที่ยื่นมาหยิกแก้มกันด้วยรอยยิ้มหวานนี่ต่างหาก…
ขอมองพี่มันในแง่ร้ายหน่อยได้มั้ย...
ให้หัวใจได้หยุดพักบ้างเหอะ
▷TBC◁
อธิบายเพิ่มเติม
แจ้ : แจฮวาน | พี่อุ่น : พี่ซองอุน | อ๋อง : ซองอู | แดน : แดเนียล | เจ๊จี : จีซอง | พี่มิณทร์ : มินฮยอน | พี่เสือ : ดงโฮ
talk 2 : ตอนแรกคิดว่ามันจะสั้นๆ ตอนเดียวจบ แต่สรุปว่าเขียนๆ ไป มันยิ่งไม่จบอ่ะค่ะ 555555 (หัวเราะแห้ง)
เนื้อเรื่องมันมีรายละเอียดที่อยากจะเขียนเยอะกว่าที่คิด เลยกลายเป็นฟิคจะมีมากกว่า 1 ตอนค่ะ แง้
อย่างตอนแรกนี้ ก็อยากจะให้เห็นถึงความทะเลาะกับตัวเองของน้องแจ้ แบบจากที่ไม่เคยมองพี่อุ่นมากกว่ารุ่นพี่ในคณะ/ชมรมเลย
แต่อยู่ๆ ความคิดก็มาเปลี่ยนไปเฉย 55555 แล้วสรุปว่าเรื่องพี่มิณทร์นี่มันยังไง เอาเป็นว่ามาดูกันต่อไปนะคะ 55555
ขอมาแค่นี้ก่อนนะคะ เพราะนี่พล็อตแล่นมาแบบสดมากค่ะ คิดได้แล้วเขียนเลย
ความคิดเห็น