ลำดับตอนที่ #9
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #9 : การเปลี่ยนไปของหัวใจที่ถูกซ่อนเร้น (เพิ่มเติม จนจบตอนจ้ะ)
-8-
รูปวาดรูปแล้วรูปเล่า ถูกร่างขึ้นคร่าวๆ ก่อนจะจุดแต้มด้วยสีน้ำสีจางหม่น พอๆ กับอารมณ์ของคนระบาย วาฤดีลงสีให้ภาพของเธออย่างเหม่อลอย จิตใจเธอไม่ได้อยู่กับมันแม้แต่น้อย หากแต่มันล่องลอยไปหาคนที่เธอวาดมันให้
หยักยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเธอ พร้อมๆ กับที่ท้องฟ้าเหนือภูเขาลูกสีเขียวสด ปรากฎแต้มสีชมพูจางๆ เป็นรูปหัวใจ จากหนึ่งดวง สองดวง และหยุดลงที่สามดวง
จากนั้น มือเธอก็เลื่อนลงมาใต้ภูเขา บนพื้นทรายเหนือทะเลสีครามเข้ม หัวใจดวงที่สี่ ถูกแต้มไว้ที่พื้นทรายนั่น เหมือนดังเป็นดวงดาวที่ตกจากฟ้า ทว่าเธอเพียงผู้เดียวที่รู้ดีว่า ทำไมดาวหัวใจดวงนี้จึงอยู่ที่นี่ ...หญิงสาวหรี่ตาลงเล็กน้อย เมื่อคิดถึงคำตอบ ...
เพราะมันมีค่าเพียงเท่านี้!
คำตอบของใจเธอ ทำให้มือที่ถือพู่กันอยู่เริ่มสั่นระริก ด้วยเธอเริ่มไม่มั่นใจว่า เธอควรตัดสินคุณค่าของมันที่ใด! และหัวใจดวงนั้น ควรหมายถึงใครกันแน่!
“ควรแล้วที่จะเป็นแบบนี้ ฉันไม่ควรร้องขออะไรอีก” เธอกล่าวกับตัวเอง พลางใช้นิ้วมือป้ายปาดหยาดน้ำตาที่หยดลงบนรูปวาด
...น้ำตาถูกปาดลบไป ... เหลือทิ้งเพียงรอยด่างจาง ใว้กับหัวใจบนพื้นทราย
ชายหญิงทั้งสองหลับไหลกันไปไม่ทันถึงชั่วโมง นายชัยก็ขับรถมาถึง ณ ลานกว้างแห่งหนึ่ง ลานนี้เป็นลานที่ชาวบ้านถางทางไว้สำหรับจอดรถเมื่อยามพานักท่องเที่ยวประเภทขาลุยขึ้นมาชมน้ำตก
ก่อนถึงลานกว้างไม่ถึง 10 เมตรดี มีรถโฟร์วิลคันสีดำสนิทจอดแทรกอยู่ในดงไม้รกครึ้ม หากแต่นายชัยไม่ทันสังเกตเห็นเพราะมัวแต่สนใจรถจิ๊บคันเก่าโทรมที่ปราดแล่นสวนออกมา ชายฉกรรจ์เพ่งมองคนขับรถจิ๊บคันนั้นอย่างแปลกใจขณะเลี้ยวรถเข้าจอดสู่ลานโล่งเตียน คิ้วเขาขมวดเขม็ง ขณะที่ สอดส่องสายตามองไปตามทางอาศัยแสงสลัวก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเต็มดวงจ้องดูรถคันนั้นไม่วางตา
“มันมาทำอะไรกันที่นี่...” นายชัยเผลอพึมพำออกมาเบาๆ ด้วยความตระหนก ชายหนุ่มที่เบาะข้างตัวเขากระพริบตาถี่ๆ ด้วยความง่วนงุน ก่อนจะลืมตาตื่นเต็มที่แล้วกล่าวถามว่า
“เมื่อกี้ว่าอะไรนะครับ”
“เอ้อ ..ไม่...ไม่มีอะไรหรอก” นายชัยกลืนคำตอบที่ตนคิดขึ้นมาได้ลงคอ
‘ไม่เกี่ยวอะไรกันหรอกน่า’ เขาคิดพลางดับเครื่องยนต์ลง ซึ่งนั่นทำให้ไอรดารู้สึกตัวตื่นขึ้น
“ถึงแล้วเหรอ” เสียงเธองัวเงียดังจากหลังรถ นายชัยตอบรับคำเธอโดยไม่เหลียวหลัง ซ้ำยังกล่าวยั่วโมโห เพื่อเฉไฉหัวข้อสนทนาให้พ้นจากเรื่องเดิมว่า
“ก็ถึงแล้วน่ะสิ ไม่งั้นจะจอดรถทำไม เมาขี้ตารึเอ็ง” คนเมาขี้ตาหลังรถ ขยี้ตาเบาๆ ก่อนจะต่อความอย่างคนที่ไม่เคยยอมใครว่า
“ก็นึกว่าไอ้แก่นี่มันจะอยากพักร้อนน่ะสิ รึไม่ก็อาจจะเกษียณอายุกะทันหัน”
“ปากเสียน่า แก้ม” อนาวินปราม
“ตาลุงนี่ หาเรื่องแก้มก่อนนะ” เธอว่า พลางเม้มปากด้วยความขัดเคืองใจ
“ไม่เอาน่ะ พี่ขอละกัน” น้ำเสียงชายหนุ่มเคร่งเครียด มือหยิบห่อปืนออกมาลูบคลำเบาๆ
ใช่ล่ะ เขามีปืน ... แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเคยยิงใครมาก่อน ...
“กลัวเหรอไอ้หนู ในห่อนั่นน่ะ อันตรายนะ เอ็งไม่เคยเล่นก็อย่าลองเลย”
“ผมจะใช้ก็ต่อเมื่อมันจำเป็นเท่านั้นแหละครับ”
“ทำหยั่งกะปืนยาวลุงมันไม่อันตรายนี่” ไอรดามองไปยังปืนยาวที่นอนสงบเหมือนรอการลั่นไกอยู่ข้างๆ ตัวเธออย่างเกรงๆ แต่แล้วก็ต้องรีบทำท่าทางขึงขังเพราะกลัวเสียหน้า เมื่อนายชัยหันมาคว้าลำกล้องปืนเหมือนมันเป็นเพียงหน้าไม้ท่อนหนึ่ง
“อันตราย แต่ข้าก็มีเรื่องจำเป็นต้องพึ่งมันมาหลายครั้งแล้วนี่ พอใช้ไปแล้วมันก็ชิน”
ไอรดาเบ้ปากใส่แผ่นหลังนายชัยที่พูดจบก็ก้าวพรวดลงจากรถ อย่างไม่เห็นดีด้วย แต่ก็ไม่ต่อปากต่อคำอีก ด้วยเธอไม่ปรารถนาจะรู้ว่า ‘เรื่องจำเป็น’ ที่นายชัยว่านั้นระดับไหน และบ่อยครั้งเพียงใด
เธอหยิบเสื้อกันฝนตัวหนายื่นให้อนาวิน ก่อนจะหยิบของตัวเองขึ้นมาใส่บ้าง แม้พวกเธอจะโชคดีอยู่บ้างที่ฝนไม่ตกกระหน่ำเหมือนกับเมื่อชั่วโมงที่แล้ว แต่บรรยากาศภายนอกก็ยังคงมีฝนพรำๆ นายชัยนำทางอนาวินและไอรดาไปยังทางเท้าเล็กๆ ทางด้านหนึ่ง พื้นดินเฉอะแฉะจากน้ำฝนเพิ่มความลำบากให้กับการเดินป่ายิ่งขึ้นไปอีก
ทั้งสามเดินทางโดยไม่ได้พูดจากันแม้แต่น้อย มีเพียงเสียงหอบหายใจ เสียงย่ำเท้าเบาๆ เท่านั้น ไอรดาเกือบต้องวิ่งเร็วๆ เพื่อที่จะตามชายทั้งสองที่จ้ำอ้าวนำหน้าให้ทัน แต่แล้วก็ต้องรีบเบรคตัวเองกึ่ก
“เอ๊า อยู่ดีๆ มาหยุดไมล่ะ เพิ่งรู้เหรอไง ว่าเดินหยั่งกะไล่ควายน่ะ” เธอบ่นปนหอบ เนื่องจากการเดินทางชันโดยไม่ได้หยุดมาเกือบครึ่งชั่วโมง
“มีรอยเท้าตรงนี้” อนาวินบอก พลางชี้นำสายตาเธอให้เพ่งลงบนพื้นดินแฉะๆ ซึ่งปรากฏรอยเท้าหนักใหญ่เป็นหลุมลึก ราวกับจงใจทำทิ้งไว้
“ดูรอยยังใหม่อยู่เลยนะ” หญิงสาวตั้งข้อสังเกต
“อาจจะเป็นของไอ้สองคนนั่น ที่ก้อยพูดถึงในจดหมายก็ได้นะ” อนาวินว่า
“คนร้ายน่ะรึ”
“ครับ” ชายหนุ่มหันไปตอบนายชัย แต่แล้วก็ได้รับการคาดคะเนที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง
“แต่อาจจะเป็นชาวบ้านแถวๆ นี้ก็ได้” นายชัยบอก
“อ้าว ไหนลุงเคยบอกว่า แถวนี้ไม่ค่อยมีใครขึ้นมาไง อีกอย่างมันมีแค่รอยเท้าของคนเดียวนะ เดินออกมาจากด้านนั้น..แต่...ทำไมจู่ๆ ถึงหายไปนะ” ไอรดาขัดขึ้น
“หาของป่ามั้ง” นายชัยตอบ ก่อนจะบอกอย่างไม่ใส่ใจว่า
“ไปต่อเหอะ ไม่มีอะไรหรอก”
อนาวินขมวดอย่างแปลกใจ ในการรวบรัดตัดสินใจแบบแปลกๆ ของผู้นำทางของเขา ชายหนุ่มหันไปมองหน้าไอรดาเพื่อถามหาความเห็น หากแต่หญิงสาวมัวแต่ก้มลงพินิจรอยเท้าบนผืนดินไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย
“มีอะไรเหรอ แก้ม”
“ฮึ้ม? ... เปล่า ไม่มีอะไร ... ดูเฉยๆ“ ไอรดาบอกเบาๆ ก่อนจะทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เดินตามหลังนายชัยไป ทิ้งให้อนาวินอยู่กับความสงสัยเพียงลำพัง
ชายหนุ่มก้มมองรอยเท้าบนพื้นอีกครั้ง รอยเท้านั้น เป็นรอยเท้าของผู้ชาย ที่ดูจากขนาดรอยเท้าแล้ว คงมีรูปร่างไม่สูงใหญ่นัก แต่ปัญหาที่เขารู้สึกก็คือ...
ชาวบ้านที่ไหนมันจะใส่รองเท้ามียี่ห้อมาเดินป่า!
ชายหนุ่มเหม่อมองรอยบางจางของตัวสลักสัญลักษณ์ทางการค้าบนพื้นแฉะอย่างครุ่นคิด แต่เมื่อคิดอะไรไม่ออกจริงๆ เสียแล้ว เขาก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า ... คงไม่มีอะไรหรอกน่ะ ก็แค่คนเกาะช้างจะเอาตังค์ซื้อรองเท้าแพงๆ มาเดินเขาเล่นบ้างจะเป็นไร!
   
   
สวบ สวบ สวบ
เสียงฝีเท้าเสียดสีกับใบไม้ใบหญ้าดังแผ่วเบาลงเรื่อยๆ เจ้าของฝีเท้าทั้งสามเดินจากไปไกลแล้ว ชายหนุ่มผู้แอบซ่อนอยู่ในดงไม้ทั้งเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้า แต่เขาก็ไม่ปรารถนาจะให้เธอผู้นั้นหายไป ไม่สิ ต้องบอกว่า เขาจะยอมให้เธอหนีไปไม่ได้ตะหาก
รอยเท้าของหญิงสาวผู้นั้น คงถูกน้ำชะล้างไปด้วยฝนตกที่ตกหนักเมื่อคืนนี้ เขาไม่เข้าใจเลยว่าเธอสามารถตากฝนที่ตกหนักขนาดนั้น ออกจากราวป่าที่รกชันแห่งนี้ไปได้อย่างไร
...ต้องมีใครสักคนพาเธอออกไป
รึว่าเขาถูกหักหลัง?...
ชายหนุ่มครุ่นคิดอย่างหวาดหวั่น ....ประตูห้องไม่มีร่องรอยของการงัดแงะ หน้าต่างเพียงบานเดียวในห้องก็อยู่ในสภาพปกติ ห้องน้ำที่มีอยู่ในตัวก็มีเพียงร่องระบายอากาศ กว้างไม่ถึง 10 เซนต์ อยู่เบื้องบน แค่มือบางๆ ยังลอดออกไปลำบาก
แต่เธอกลับไม่อยู่ในห้องราวกับละเลือนหายไปกับสายลม!
เขาแทบเป็นบ้า เมื่อตอนที่เขาไปหาเธอยามเช้า เพื่อพาเธอเปลี่ยนที่หลบซ่อน เพราะเขาเพิ่งไปรู้ข่าวการมาของชายหญิงคู่นั้น แต่แล้วเขากลับพบว่า ในห้องนั้น เหลือเพียงกระดาษที่ถูกละเลงสีบ้าบอไม่กี่แผ่นที่เขาเพิ่งจัดหาให้เธอเมื่อวันก่อน กระจัดกระจายอยู่บนเตียงเก่าแคบ
ไร้วี่แววของเธอ ไร้วี่แววของการหลบหนี
ชายหนุ่มเสยผมที่เปียกชึ้นทั้งไอฝนและเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายด้วยความวิตกกังวล ออกจากการปรกศีรษะ แม้ว่าความไม่เคยชินทำให้เขาลื่นไถลอยู่บ่อยครั้ง นับตั้งแต่ออกจากบ้านร้างหลังนั้นมา แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขากังวลไปมากเท่ากับ การที่เขาเกือบถูกพบเห็นเมื่อครู่นี้
บัดนี้ คนทั้งสามเดินจากไปแล้ว  เขาไม่รู้ว่า คนกลุ่มนั้นสงสัยถึงการคงอยู่ของเขามากน้อยแค่ไหน ทว่าเพียงแค่เขานึกถึงดวงตารู้ทันที่ฉายวาบมาทางดงไม้ที่เขาแอบอยู่ของชายชาวบ้านแปลกหน้า เขาก็แทบแน่ใจว่า ชายผู้นั้นรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ เพียงแต่เขาไม่พูดออกมา
ชายหนุ่มเร่งรีบออกจากที่ซ่อน มุ่งตรงไปยังรถเช่าที่จอดซ่อนไว้จากสายตาคนทันที
แม้ว่าความจริงระยะทางระหว่างหน้าหาดไปจนถึงบ้านของชายตาบอดที่วาฤดีระบุมานั้นนั้นไม่ไกลมากนัก เพราะบ้านของนายบอดอยู่บริเวณเชิงเขาเท่านั้น แต่ทว่ามันก็เป็นเชิงเขาที่รถไม่สามารถตัดผ่านเข้าไปถึงได้ การเดินเท้าไปสู่บ้านหลังนั้น จึงยาวนานและยากลำบากพอสมควร โดยเฉพาะกับผู้ไม่ชำนาญการเดินป่าอย่างไอรดาและอนาวิน
ระหว่างทาง อนาวินส่ายหน้ากับตัวเองอยู่บ่อยครั้ง ความคิดของเขาทั้งพะวักพะวน ทั้งสับสนปนเปกันไป เพราะการที่เห็นรอยเท้านั้นทำให้อนาวินเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดยิ่งนัก
“ยิ่งฟังก็ยิ่งเหมือนหนังน้ำเน่าเลยนะ ถ้าจะให้ฉันเดาล่ะก็ คนร้ายมันอยู่รอบๆ ตัวเราเนี่ยแหละ”
อยู่ดีๆ ประโยคของนายชัยก็แล่นเข้ามาสู่สมองเขาเหมือนการเล่นซ้ำ ... เขาจำได้อย่างชัดเจนว่า น้ำเสียงของนายชัยครั้งนั้น ดูเป็นจริงเป็นจังเกินกว่าจะบอกได้ว่าเป็นเพียงการพูดล้อเล่นตามปกติ
คงไม่ใช่หรอกน่ะ อนาวินเฝ้ากล่อมตัวเอง นายชัยไม่น่าจะรู้จักเพื่อนเขานี่นะ...หรือว่านายชัยจะรู้อะไรมากกว่าที่เขาเห็น? ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกถึงความระแวงที่แล่นพล่านไปทั่วจิตใจของเขาเอง ...คงไม่ใช่หรอกน่ะ...ต้องไม่ใช่ เขาพยายามปฏิเสธความคิดของตัวเองอีกครั้งและอีกครั้ง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความระแวงนั้นลดลงไปได้เลย
“พี่วิน” ชายหนุ่มชะงักตัวกึ่กเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากหญิงสาวที่แทบจะต้องวิ่งตามเขา เพราะฝีเท้าที่ช้ากว่ามาก
“อะไร?” เขาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่แม้แต่เขาเองยังอดตกใจกับความดุดันของมันไม่ได้ เขารีบปรับน้ำเสียงตัวเอง ก่อนจะสูดหายใจลึกๆ แล้วพูดอีกครั้งว่า
“มีอะไรเหรอจ๊ะ แก้ม” ไอรดาหน้านิ่วกับท่าทีเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของชายหนุ่ม เธอพยายามสาวเท้ายาวๆ เพื่อให้ได้เดินคู่เคียงกันไปกับเขาอยู่นานแล้ว ซึ่งธรรมดานั่นก็ทำให้เธอปวดเมื่อยมากไปกว่าการเดินตามปกติ แต่ด้วยความที่เธอต้องการจะได้เดินข้างๆ เขา ได้พูดคุยกันบ้าง ได้เห็นรอยยิ้มของเขา หรือได้รับความเอื้ออาทรแม้แต่น้อยนิดที่เขาอาจจะยื่นมือมาให้เวลาที่เธอซวนเซ...
แต่เท่าที่ผ่านมา สิ่งเหล่านั้นไม่เกิดขึ้นจริงเลยแม้แต่น้อย ซ้ำร้ายอนาวินยังเร่งฝีเท้าขึ้นเรื่อยๆ แบบที่ดูแล้ว เขาเองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ แถมยังเอาแต่ส่ายหน้าไปมาอย่างเคร่งเครียด จนเธอนึกกลัวเลยต้องออกปากเรียก
“ไม่มีอะไรค่ะ คือ...แก้มแค่ปวดขา...นิดหน่อย” เธอกล่าวอุบอิบเสียงแผ่ว เพราะเกรงว่านายชัยที่เดินนำหน้าจะได้ยิน ทว่าเสียงเพียงแค่นั้น ก็ทำให้นายชัยหันขวับมายิ้มเผล่ พูดเยาะๆ ว่า
“ไหนบอกว่ายังเด็ก ไงๆ ก็เดินไหวอยู่แล้วไง เห๊อะ ไม่เท่าไหร่มาบ่นซะแล้ว” ไอรดาหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างเซ็งๆ เพราะไอ้ที่เธอเดินจ้ำมานั้น ห่างไกลจากคำว่าใกล้อยู่มากโข
“ก็ลุงแหละ ไหนบอกว่ามาทางนี้มันใกล้กว่าทางโน้นไง นี่อะไรไกลจะตาย แล้วงี้ทางโน้นไม่เดินจนตกเกาะไปเลยเหรอ” นายชัยหัวเราะหึๆ ในลำคอกับคำพูดค่อนขอดของไอรดา แต่ก็ยังใจดีบอกว่า
“หึ เหนื่อยก็พักซะหน่อย เดี๋ยวจะหาว่าโดนคนแก่รังแก”
“ถามจริงเหอะลุง อีกไกลมั้ยอ่ะ”
   
“ก็เท่าๆ กับที่เดินมาน่ะแหละ”
   
“ห๊า!” ไอรดาอุทาน รู้สึกราวกับว่าแข้งขาตนเองสั่นเทาจนยืนไม่อยู่ เธอจะทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรงโดยอัตโนมัติ
   
“ถ้าเหลือทางอีกไกล ผมว่าเรารีบๆ เดินไปต่อไม่ดีกว่าเหรอครับ นี่มันก็สายแล้วนะ”
“แต่แก้ม ...“ ไอรดาหน้าง้ำพยายามจะเถียง หากแต่เมื่อเห็นแววความเป็นห่วงเป็นใยที่อนาวินมีต่อพี่สาวก็รีบกล้ำกลืนคำพูดตัวเองไว้ เธอลุกขึ้นเชิดหน้าแล้วทำท่าจะออกเดินนำ
   
“เฮ้ย ข้าล้อเล่นน่า อีหนูนี่มันตลกดีนะ” นายชัยหัวเราะเฮฮาอย่างชอบใจพลางชี้มือชี้ไม้อธิบายว่า
   
“ที่จริงมันอีกนิดเดียวแหละ โน่นน่ะ เห็นยอดไม้ลิบๆ ด้านโน้นมั้ย ขึ้นไปถึงเนินตรงนั้นมองไปหน่อยก็เห็นตัวบ้านพอดี” นายชัยยักคิ้วหลิ่วตาล้อเลียนไอรดาอย่างพอใจยิ่งนัก เมื่อเห็นเธอหน้ามุ่ยหนักไปกว่าเก่ายามรู้ตัวว่าโดนหลอก หญิงสาวย้ำเท้าไปตามทางที่นายชัยชี้ เดินลิ่วๆ ไม่สนใจจะมองใครอีก และยิ่งไม่คิดสนใจจะรอใครอีก...ก็ในเมื่อคนๆ นั้นก็ไม่ใส่ใจเธอแล้วนี่!
   
ทว่าหญิงสาวก็รู้ดีแก่ใจ ว่ามันเป็นเพียงอคติที่เกิดประเดี๋ยวประด๋าว และจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว...ก็เพราะเธอไม่เคยจะงอนพี่วินของเธอได้เกินครึ่งวัน!
   
“งั้นพวกเรารีบไปกันเถอะครับ” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงหาอาทรพี่สาวเธอนั้น เหมือนฟาดโบยหัวใจเธออีกครา หญิงสาวยิ่งรีบเร่งฝีเท้าเดินหนีโดยเร็ว
   
“โอ้ย” เสียงโอดโอยจากเบื้องหลังของเธอทำให้เธอต้องหันหน้าขวับ
   
ภาพที่เธอเห็นทำให้เธอโล่งใจ คนเจ็บไม่ใช่พี่วิน... แต่เป็นนายชัยที่กำลังก้มลงกุมข้อเท้าตัวเอง หน้าตาบูดเบี้ยวเหมือนเจ็บปวดอย่างหนัก
   
“เป็นไงบ้างครับ” อนาวินค้อมตัวลงถามด้วยความแปลกใจ ที่อยู่ๆ เพียงแค่นายชัยลุกขึ้นจากพื้นก็ทรุดตัวลงทันที
   
“ไม่เป็นไรๆ” นายชัยว่า ทำท่าฝืนตัวลุกขึ้น แต่แล้วก็ล้มลงไปอีก
   
“โธ่.. แก่แล้วก็เงี้ยแหละ เดินไม่ดีกระดูกกระเดี้ยวก็ไม่อำนวย” ไอรดาได้ทีใส่ใหญ่ แต่ก็ไม่วายเดินไปด้อมๆ มองๆ ดูด้วยความเป็นห่วง
   
“เป็นไรมากป่าวเนี่ย ลุง” เธอว่า
   
“เฮ๊อะ! เอ็งไม่ต้องมาเยาะข้าเลยอีหนู ขาข้ามันแพลงน่ะสิ”
   
“แต่ดูแล้วก็ไม่น่าจะเป็นไรมากนะครับ” อนาวินว่า ขณะก้มลงตรวจดูข้อเท้าของนายชัย ฝ่ายนายชัยนั้นหน้าเบ้ ผิดภาพลักษณ์ชายร่างบึกหน้าโหดปากจัด แบบที่เคยเป็นอยู่ เถียงไม่ผิดกับเด็กดื้อๆ คนหนึ่งกว่า
   
“ก็มันเจ็บนี่ ไม่เอาล่ะ ข้าเดินไม่ไหวแล้ว อีกหน่อยเดียวก็ถึงพวกเอ็งก็เดินๆ กันไปแล้วกัน”
   
“อ้าว ไหงทิ้งกันอย่างงี้ล่ะ” ไอรดาประท้วง
   
“ก็ข้าเดินไม่ไหวจริงๆ นี่หว่า พวกเอ็งเดินไปทำธุระกันให้เสร็จๆ แล้วก็เดินมารับข้าด้วยแล้วกัน”
   
“ไม่ใช่คิดจะชิ่งเงินหนีไปไหนล่ะสิ” หญิงสาวรีบดักคอ
   
“เรื่องอะไร ที่เหลือข้ายังไม่ได้เลย ข้าจะรออยู่ตรงนี้แหละ ขาก็เจ็บจะไปไหนได้ พวกเอ็งแหละอย่าหนีไปซะล่ะ อย่าลืมนะว่าต้องพึ่งรถข้า เพราะรถพวกเอ็งอ่ะจอดอยู่ตีนเขาโน่น”
   
“ตามใจแล้วกันครับ ว่าแต่ มันใกล้ถึงแล้วแน่นะ” อนาวินกล่าวอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก
   
“แน่สิ จะโกหกทำไม เนี่ยๆ เดินขึ้นๆ ไป แล้วหันซ้ายปุ๊บ ลิบๆ ตรงดงไม้ ก็เห็นชายคาบ้านไอ้บอดแน่ๆ”
   
อนาวินมองข้อเท้าของนายชัยอย่างชั่งใจ แล้วจึงตัดสินใจบอกว่า
   
“งั้นก็ได้...ไปกันต่อเถอะแก้ม” อนาวินหันมากล่าวกับไอรดาก่อนจะเดินนำออกไป
นายชัยชะเง้อมองจนเห็นว่าคนทั้งสองคนลับตาห่างไปไกลพอสมควรแล้ว เขาจึงปล่อยมือออกจากข้อเท้าตัวเอง จับปืนยาวของตนนิ่งเงียบ เพื่อคอยสดับเสียงแปลกปลอมในดงไม้ ชายฉกรรจ์ร่างหนาเผยอยิ้มที่มุมปากอย่างมีชัย ที่รับรู้ได้ถึงการดำรงอยู่ของบุคคลแปลกหน้า จากนั้น ถึงได้กล่าวเปิดโปงอย่างย่ามใจว่า
“ไอ้ที่ซ่อนอยู่ตรงนั้นน่ะ จะออกมาได้รึยังฮ๊ะ”
   
หลังต้นไม้ใหญ่เยื้องนายชัยไปไม่มากนัก เสียงลมหายใจหอบๆ แผ่วเบาของชายผู้หนึ่งเคยดังแว่วอยู่สม่ำเสมอชะงักงันด้วยความตกใจ เขาโผล่หน้าออกมาจากที่ซ่อน มือทั้งสองของเขายกขึ้นเสมอหัวเพื่อแสดงตัวว่าไม่มีอาวุธ
   
“ผมว่าแล้ว ว่าต้องปิดลุงไม่ได้”
แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าตกต้องใบหน้าของไอรดา เธอก้าวเดินเอื่อยๆ ตามหลังอนาวิน  พลางก้มหน้าลงมองต่ำติดพื้น อันเป็นกิริยาที่เธอมักทำไปโดยอัตโนมัติยามต้องการซ่อนความในใจบางอย่าง หูของเธอแว่วเสียงใบไม้ไหวอันอ่อนโยนสุขสงบ ที่ช่างขัดแย้งกับพายุร้ายในจิตใจของเธอโดยสิ้นเชิง
ช่วงเวลาแบบนี้ไม่ใช่เหรอที่เธอต้องการ...ช่วงเวลาแบบนี้ไม่ใช่เหรอที่เธอเฝ้าภาวนาให้มันย้อนกลับคืนมาอีกครั้ง ช่วงเวลาที่จะได้อยู่ตามลำพังกับผู้ชายที่เธอรัก ช่วงเวลาที่ไม่มีใครแทรกกลางระหว่างเธอและเขาได้อีก
   
เพียงเพราะช่วงเวลานี้ ทำให้เธอกลายเป็นอะไรไป!
   
“นั่นไง คงถึงแล้วแน่ๆ” เสียงอนาวินกระซิบบอกด้วยความตื่นเต้นดีใจ ดึงเธอให้หลุดออกมาจากความคิดอันหมกมุ่นของเธอเอง ไอรดาเงยหน้าขึ้นมามองตรงไปยังเบื้องหน้า ส่วนมุงหลังคาเกือบหลุดลุ่ยโผล่พ้นแมกไม้แสดงความรกร้างขาดการดูแล
   
หญิงสาวมองมันด้วยความผิดหวัง...ความฝันของเธอคงต้องหยุดลงเพียงเท่านี้ เธอแทบภาวนาให้...ไม่พบ...ไม่พบพี่สาวของเธอที่นั่น!
   
“ดีจังเลยนะคะ ถึงซะที” เธอบังคับตัวเองให้เปล่งเสียงตอบกลับไป แม้ว่ารู้ดีว่ามันคงแห้งแล้งไร้ความรู้สึก
   
   
บ้านของนายบอดเป็นบ้านกึ่งไม้กึ่งปูนชั้นเดียว ปูพื้นไม้ทั่วทั้งหลัง อนาวินเดินวนดูไกลๆ จากรอบๆ ด้าน อาศัยพุ่มไม้รายทางเป็นเกราะกำบัง แต่ความเงียบสงัดที่ปกคลุมโดยรอบ ไม่ได้บ่งบอกเลยว่ามีใครสักคนอยู่ในนั้น
   
“มันแปลกๆ อยู่นะ” ชายหนุ่มบ่นงึมงำ ขณะย่องเข้าไปยังบ้านหลังนั้น ส่วนหญิงสาวที่เดินตามเขาอยู่กลับเหยียดยิ้มอย่างยินดี
ไอรดานึกดีใจที่รั้วบ้านไม้เก่าโทรมส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด เมื่อตอนที่อนาวินผลักมันออก เพราะไม่เช่นนั้นเสียงหัวใจสั่นระรัวของเธอคงดังไปถึงเขา  และยิ่งไปกว่านั้น มีเสียงดังก็ดี เผื่อถ้าคนข้างในไม่รู้ความ จะได้รีบพาพี่สาวเธอหนีไป!
ไปให้ไกล...อย่าให้จับได้นั่นแหละดี!
   
หญิงสาวบีบมืออันสั่นระริกของเธอเข้าหากันด้วยความหวาดหวั่น บัดนี้ เธอเริ่มกลัวตัวเอง กลัวหัวใจตัวเอง กลัวกระทั่งความคิดของตัวเอง! หากว่าความรักเริ่มทำให้เธอกลายเป็นดั่งปีศาจร้าย เธอยังสมควรรักอยู่อีกหรือ...เธอยังสมควรได้รับความรักตอบกลับมาอยู่อีกหรือ
   
“แก้ม เป็นอะไรไป” หญิงสาวสะดุ้งเฮือกทั้งๆ ที่อนาวินกล่าวเพียงกระซิบ เธอช้อนตามองอนาวินอยู่เพียงครู่หนึ่งก็หลุบตาต่ำ
   
“ไม่ค่ะ ไม่ได้เป็นอะไร”
   
“แน่นะ แก้มหน้าซีดเชียว”
   
ไอรดาเหลือบตาขึ้นมองอนาวินอีกครั้ง นี่เธอไม่ได้เข้าข้างตัวเองจนเกินไปใช่ไหม...เสียงของพี่วินยังแสดงว่าห่วงใยเธออยู่
   
ในฐานะอะไรล่ะ...หญิงสาวเตือนตัวเองอยู่ในใจ ก่อนจะแก้ตัวไปว่า
   
“แก้มตื่นเต้นน่ะค่ะ” จบประโยค มือเย็นของเธอก็ได้รับการเกาะกุมและบีบกระชับเบาๆ อย่างให้กำลังใจ
   
“ไม่เป็นไรหรอก เราจะเจอก้อย ทุกอย่างใกล้จะจบลงแล้ว”
   
แก้มไม่ใช่คนดีขนาดนั้นหรอกค่ะ ...ไม่ใช่คนดีแบบนั้นอีกแล้ว!
หญิงสาวได้แต่ทุ่มเถียงอยู่ในใจ ขณะลดตาลงมองมือที่ถูกเกาะกุมไว้ อนาวินจูงมือเธอเดินเข้าไปภายในตัวบ้านของนายบอด ซึ่งเป็นบ้านไม่มีมีประตูเหมือนจะเชื้อเชิญบรรดาผู้บุกรุกอยู่ในที เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นที่มีอยู่ ได้แก่ โต๊ะไม้ เก้าอี้ตัวหนึ่งและตู้เก็บของเก่าๆ ใบหนึ่งถูกจัดชิดติดผนัง
“ทำไมไม่มีใครเลยล่ะ หรือว่าเรามาผิดบ้าน”
   
“แก้มว่าน่าจะหลังนี้นะคะ แถวนี้ไม่เห็นมีใครอุตริขึ้นมาสร้างบ้านซักคน คงมีแต่นายบอดนี่แหละ ไม่รู้ว่าใช้ชีวิตอยู่ได้ยังไง ตาก็บอด ทางขึ้นมาก็แสนจะลำบาก” หญิงสาววิจารณ์ขณะกวาดตาสำรวจโดยรอบ
   
แล้วสายตาของเธอก็หยุดลงที่ประตูบานหนึ่ง...มันเป็นประตูบานเดียวของบ้าน ที่ดูจะผิดแผกแปลกแยกจากส่วนอื่นๆ ของบ้านเกือบจะสิ้นเชิง
   
อนาวินปล่อยมือเธอแทบจะทันทีเมื่อเหลือบไปเห็นประตูบานเดียวกัน เขาเดินตรงไปยังมัน แล้วจึงเห็นว่ามันถูกสลักล็อคไว้ด้วยแม่กุญแจอันหนาใหญ่ ชายหนุ่มสบถขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ พลางทดลองเขย่าประตูไปมา
   
“ก้อย...ก้อย!” ชายหนุ่มร้องเรียก สองมือพยายามยื้อดึงบานประตูอย่างแรง ทว่าการโยกคลอนนั้นก็ไม่ได้ทำให้แม่กุญแจตัวใหญ่คลายสลักลงได้แม้แต่น้อย
   
“ก้อยอยู่ข้างในรึป่าว นี่ พี่วินเองนะ ก้อย..ก้อย!”
   
“พี่วิน..พี่วินใจเย็นก่อนสิ ถ้าพวกคนร้ายมันมาจะทำไงฮ๊ะ” ไอรดากล่าวละล่ำละลัก แต่พอลองมองซ้ายมองขวาก็ยังคงเห็นว่าบ้านแคบๆ นั้นเงียบสงบจนน่าประหลาดใจ
   
“มันไม่อยู่ แก้มก็เห็น พี่ว่าเรารีบหาอะไรมางัดห้องเถอะ”
   
“ไม่มีทางอ่ะ มันจะทิ้งไว้อย่างนี้ได้ยังไง เป็นไปไม่ได้หรอก มันต้องมีคนเฝ้าสิถึงจะถูก”
   
“คิดซะว่าเป็นโชคของเราก็แล้วกัน ที่มันทิ้งก้อยไว้คนเดียวแบบนี้น่ะ” ไอรดาได้ยินอย่างนั้น ก็เมินหน้าหนีไปอีกด้านหนึ่ง ก่อนจะต้องเม้มปากอย่างขัดเคืองยิ่งกว่าเก่า
   
“โชค 2 ชั้นซะด้วยนะน่ะ” ไอรดาแค่นเสียงบอก
   
“ฮื้ม? หมายความว่ายังไง”
   
“ก็มันทิ้งกุญแจไว้ให้พี่วินซะด้วยน่ะสิ” เธอว่า พลางพยักพเยิดให้อนาวินดูลูกกุญแจดอกหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะ เหมือนกับมีคนจงใจวางทิ้งไว้...
   
“แปลกจริง ทำไมมันถึงทำอะไรอย่างนี้นะ” อนาวินพูด หากแต่ก็ยังเดินไปหยิบกุญแจดอกนั้น ไอรดาคว้ามือเขาไว้ ก่อนจะบอกว่า
   
“มันจะเป็นกับดักรึป่าว” หญิงสาวคาดคะเน พลางส่ายหน้าไปมาปรามไม่ให้ชายหนุ่มไปหยิบกุญแจดอกนั้น หากแต่เขากลับปลดมือเธอออก เดินไปหยิบกุญแจโดยไม่ลังเลแล้วใช้มันเปิดประตูอย่างรวดเร็ว
   
ภายในห้องว่างเปล่า ... มีเตียงหลังเก่าวางขวางอยู่ระหว่างระยะทางไม่กี่ก้าวก่อนถึงหน้าต่างบานเล็กแคบ บนเตียงมีกระดาษวาดรูปวางกระจัดกระจายอยู่กับกองสีน้ำ อนาวินกวาดตามองอย่างตื่นตระหนก
   
ชายหนุ่มวิ่งรี่ไปยังประตูอีกบานที่อยู่ภายในห้องนั้น ก่อนจะพบว่ามันเป็นเพียงห้องน้ำที่ว่างเปล่าเช่นเดียวกัน
...นี่เขามาสายเกินไปใช่หรือไม่
   
อนาวินเหลียวกลับไปมองหน้าไอรดาด้วยความสิ้นหวัง และคาดว่าจะได้เห็นความรู้สึกเฉกเช่นเดียวกันกลับมา แต่ทว่าเธอกลับเหม่อมองมือตัวเองราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่สลักสำคัญยิ่ง!
   
“แก้ม..”
   
“คะ?” หญิงสาวขานรับเบาๆ เมื่อถูกเรียก เธอเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตฉายแววผิดหวัง
   
“เป็นอะไรไป”
   
“เปล่าค่ะ ...เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร” เธอปฏิเสธ ก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกทาง กิริยานั้นทำให้อนาวินร้อนรนขึ้นทันที
   
“เป็นอะไรก็บอกพี่สิ”
   
“เหนื่อยมังคะ วุ่นตั้งแต่เมื่อคืน พอมาถึงกลับไม่เจอใครเสียอีก” หญิงสาวแก้ตัวเสียงแผ่ว มือบางยกไล้ใบหน้าซีดเผือดเหมือนกับจะยืนยันว่าเหนื่อยล้าดังเช่นที่กล่าว
   
“ถ้างั้นก็นั่งพักเสียก่อนก็ได้” อนาวินว่า พลางเก็บภาพวาดและหลอดสีราคาถูกที่กระจัดกระจายอยู่บนเตียงเพื่อให้ไอรดานั่งพัก
“ดูท่าพวกนี้ท่าจะรีบหนีไปนะ ไม่ได้จัดการเก็บอะไรซักอย่าง” ไอรดาพูดขึ้น เมื่อเหม่อมองอุปกรณ์วาดรูปที่ถูกอนาวินรวบไว้ยังปลายเตียง
“ป่านนี้ไม่รู้ไปถึงไหนแล้ว แต่...แต่พี่ไม่เข้าใจเลยว่ามันรู้ตัวได้ยังไง มันรู้ได้ยังไงว่าเรามาที่นี่ มันรู้! แล้วมันก็พาก้อยหนีไป!” ชายหนุ่มระเบิดความอัดอั้นออกมาเป็นคำพูด เขาทรุดตัวลงข้างเธอ ก่อนจะงอตัวซบหน้าลงกับสองมืออย่างอ่อนล้า
“พี่ก้อยไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่เป็นไรหรอก” ไอรดาพยายามเอ่ยถ้อยคำปลอบโยน ขณะขจัดความปรารถนาที่จะสัมผัสแผ่นหลังที่งองุ้มด้วยแรงกดแห่งความท้อใจนั้น ท่าทีอันแสนทรมานของเขาฉายซ้ำอยู่ในหัวใจเธอครั้งแล้วครั้งเล่า จนเธอเริ่มรู้สึกว่า ความจริงคนที่ควรจากไป คือ เธอ!
“พี่ก็....หวังไว้อย่างนั้น..ตะ..” อนาวินรีบหยุดประโยคของตนไว้ทันที เมื่อหูแว่วเสียงผิดปกติจากภายนอกห้อง
...อะ...แอด...
เสียงไม้ลั่นแม้จะเบาเพียงใด แต่มันก็ยังดังแทรกความเงียบสงบของตัวบ้านจนเหมือนก้องอยู่ในโสตประสาท เขาหันมามองหน้าไอรดาด้วยความตระหนก ความรู้สึกที่เคยผ่อนคลายเมื่อสักครู่ตื่นตัวขึ้นทันควัน เขาลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบที่สุด มือหยิบปืนขึ้นมาถือกระชับไว้กับมือ ย่องไปยังประตูห้อง
หนึ่งก้าว...สองก้าว....สามก้าว........
อีกเพียงก้าวเดียวเขาก็จะโผล่ตัวพ้นจากประตูห้อง ชายหนุ่มหยุดเท้าอยู่เพียงแค่นั้น เขาแอบตัวอยู่หลังประตู พลางส่งสัญญาณให้ไอรดาหาที่หลบซ่อน ก่อนจะหันไปสนใจกับผู้บุกรุกอีกครั้ง เมื่อเห็นหญิงสาวได้เลือกห้องน้ำเป็นแหล่งกำบังตัวเรียบร้อยแล้ว
ทว่ารอจนแล้วจนรอด ภายนอกก็ยังเงียบสนิทราวกับว่าเสียงเอียดอาดของไม้เมื่อสักครู่เป็นเพียงเสียงแว่วไปเท่านั้น ชายหนุ่มชะโงกหน้าออกไปดูความเป็นไปภายนอกอย่างใคร่รู้...และนั่นเป็นการตัดสินใจที่แย่ที่สุด นับตั้งแต่เช้า
ปั่ก!
ความรู้สึกของอนาวินดับวูบไปแทบจะทันทีที่ถูกของแข็งฟาดกระทบเข้าที่ท้ายทอยอย่างแรง...ความคิดสุดท้ายก่อนสิ้นสติ เขาเป็นห่วงไอรดาสุดใจ!
รูปวาดรูปแล้วรูปเล่า ถูกร่างขึ้นคร่าวๆ ก่อนจะจุดแต้มด้วยสีน้ำสีจางหม่น พอๆ กับอารมณ์ของคนระบาย วาฤดีลงสีให้ภาพของเธออย่างเหม่อลอย จิตใจเธอไม่ได้อยู่กับมันแม้แต่น้อย หากแต่มันล่องลอยไปหาคนที่เธอวาดมันให้
หยักยิ้มเล็กๆ ปรากฏขึ้นที่มุมปากของเธอ พร้อมๆ กับที่ท้องฟ้าเหนือภูเขาลูกสีเขียวสด ปรากฎแต้มสีชมพูจางๆ เป็นรูปหัวใจ จากหนึ่งดวง สองดวง และหยุดลงที่สามดวง
จากนั้น มือเธอก็เลื่อนลงมาใต้ภูเขา บนพื้นทรายเหนือทะเลสีครามเข้ม หัวใจดวงที่สี่ ถูกแต้มไว้ที่พื้นทรายนั่น เหมือนดังเป็นดวงดาวที่ตกจากฟ้า ทว่าเธอเพียงผู้เดียวที่รู้ดีว่า ทำไมดาวหัวใจดวงนี้จึงอยู่ที่นี่ ...หญิงสาวหรี่ตาลงเล็กน้อย เมื่อคิดถึงคำตอบ ...
เพราะมันมีค่าเพียงเท่านี้!
คำตอบของใจเธอ ทำให้มือที่ถือพู่กันอยู่เริ่มสั่นระริก ด้วยเธอเริ่มไม่มั่นใจว่า เธอควรตัดสินคุณค่าของมันที่ใด! และหัวใจดวงนั้น ควรหมายถึงใครกันแน่!
“ควรแล้วที่จะเป็นแบบนี้ ฉันไม่ควรร้องขออะไรอีก” เธอกล่าวกับตัวเอง พลางใช้นิ้วมือป้ายปาดหยาดน้ำตาที่หยดลงบนรูปวาด
...น้ำตาถูกปาดลบไป ... เหลือทิ้งเพียงรอยด่างจาง ใว้กับหัวใจบนพื้นทราย
ชายหญิงทั้งสองหลับไหลกันไปไม่ทันถึงชั่วโมง นายชัยก็ขับรถมาถึง ณ ลานกว้างแห่งหนึ่ง ลานนี้เป็นลานที่ชาวบ้านถางทางไว้สำหรับจอดรถเมื่อยามพานักท่องเที่ยวประเภทขาลุยขึ้นมาชมน้ำตก
ก่อนถึงลานกว้างไม่ถึง 10 เมตรดี มีรถโฟร์วิลคันสีดำสนิทจอดแทรกอยู่ในดงไม้รกครึ้ม หากแต่นายชัยไม่ทันสังเกตเห็นเพราะมัวแต่สนใจรถจิ๊บคันเก่าโทรมที่ปราดแล่นสวนออกมา ชายฉกรรจ์เพ่งมองคนขับรถจิ๊บคันนั้นอย่างแปลกใจขณะเลี้ยวรถเข้าจอดสู่ลานโล่งเตียน คิ้วเขาขมวดเขม็ง ขณะที่ สอดส่องสายตามองไปตามทางอาศัยแสงสลัวก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเต็มดวงจ้องดูรถคันนั้นไม่วางตา
“มันมาทำอะไรกันที่นี่...” นายชัยเผลอพึมพำออกมาเบาๆ ด้วยความตระหนก ชายหนุ่มที่เบาะข้างตัวเขากระพริบตาถี่ๆ ด้วยความง่วนงุน ก่อนจะลืมตาตื่นเต็มที่แล้วกล่าวถามว่า
“เมื่อกี้ว่าอะไรนะครับ”
“เอ้อ ..ไม่...ไม่มีอะไรหรอก” นายชัยกลืนคำตอบที่ตนคิดขึ้นมาได้ลงคอ
‘ไม่เกี่ยวอะไรกันหรอกน่า’ เขาคิดพลางดับเครื่องยนต์ลง ซึ่งนั่นทำให้ไอรดารู้สึกตัวตื่นขึ้น
“ถึงแล้วเหรอ” เสียงเธองัวเงียดังจากหลังรถ นายชัยตอบรับคำเธอโดยไม่เหลียวหลัง ซ้ำยังกล่าวยั่วโมโห เพื่อเฉไฉหัวข้อสนทนาให้พ้นจากเรื่องเดิมว่า
“ก็ถึงแล้วน่ะสิ ไม่งั้นจะจอดรถทำไม เมาขี้ตารึเอ็ง” คนเมาขี้ตาหลังรถ ขยี้ตาเบาๆ ก่อนจะต่อความอย่างคนที่ไม่เคยยอมใครว่า
“ก็นึกว่าไอ้แก่นี่มันจะอยากพักร้อนน่ะสิ รึไม่ก็อาจจะเกษียณอายุกะทันหัน”
“ปากเสียน่า แก้ม” อนาวินปราม
“ตาลุงนี่ หาเรื่องแก้มก่อนนะ” เธอว่า พลางเม้มปากด้วยความขัดเคืองใจ
“ไม่เอาน่ะ พี่ขอละกัน” น้ำเสียงชายหนุ่มเคร่งเครียด มือหยิบห่อปืนออกมาลูบคลำเบาๆ
ใช่ล่ะ เขามีปืน ... แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะเคยยิงใครมาก่อน ...
“กลัวเหรอไอ้หนู ในห่อนั่นน่ะ อันตรายนะ เอ็งไม่เคยเล่นก็อย่าลองเลย”
“ผมจะใช้ก็ต่อเมื่อมันจำเป็นเท่านั้นแหละครับ”
“ทำหยั่งกะปืนยาวลุงมันไม่อันตรายนี่” ไอรดามองไปยังปืนยาวที่นอนสงบเหมือนรอการลั่นไกอยู่ข้างๆ ตัวเธออย่างเกรงๆ แต่แล้วก็ต้องรีบทำท่าทางขึงขังเพราะกลัวเสียหน้า เมื่อนายชัยหันมาคว้าลำกล้องปืนเหมือนมันเป็นเพียงหน้าไม้ท่อนหนึ่ง
“อันตราย แต่ข้าก็มีเรื่องจำเป็นต้องพึ่งมันมาหลายครั้งแล้วนี่ พอใช้ไปแล้วมันก็ชิน”
ไอรดาเบ้ปากใส่แผ่นหลังนายชัยที่พูดจบก็ก้าวพรวดลงจากรถ อย่างไม่เห็นดีด้วย แต่ก็ไม่ต่อปากต่อคำอีก ด้วยเธอไม่ปรารถนาจะรู้ว่า ‘เรื่องจำเป็น’ ที่นายชัยว่านั้นระดับไหน และบ่อยครั้งเพียงใด
เธอหยิบเสื้อกันฝนตัวหนายื่นให้อนาวิน ก่อนจะหยิบของตัวเองขึ้นมาใส่บ้าง แม้พวกเธอจะโชคดีอยู่บ้างที่ฝนไม่ตกกระหน่ำเหมือนกับเมื่อชั่วโมงที่แล้ว แต่บรรยากาศภายนอกก็ยังคงมีฝนพรำๆ นายชัยนำทางอนาวินและไอรดาไปยังทางเท้าเล็กๆ ทางด้านหนึ่ง พื้นดินเฉอะแฉะจากน้ำฝนเพิ่มความลำบากให้กับการเดินป่ายิ่งขึ้นไปอีก
ทั้งสามเดินทางโดยไม่ได้พูดจากันแม้แต่น้อย มีเพียงเสียงหอบหายใจ เสียงย่ำเท้าเบาๆ เท่านั้น ไอรดาเกือบต้องวิ่งเร็วๆ เพื่อที่จะตามชายทั้งสองที่จ้ำอ้าวนำหน้าให้ทัน แต่แล้วก็ต้องรีบเบรคตัวเองกึ่ก
“เอ๊า อยู่ดีๆ มาหยุดไมล่ะ เพิ่งรู้เหรอไง ว่าเดินหยั่งกะไล่ควายน่ะ” เธอบ่นปนหอบ เนื่องจากการเดินทางชันโดยไม่ได้หยุดมาเกือบครึ่งชั่วโมง
“มีรอยเท้าตรงนี้” อนาวินบอก พลางชี้นำสายตาเธอให้เพ่งลงบนพื้นดินแฉะๆ ซึ่งปรากฏรอยเท้าหนักใหญ่เป็นหลุมลึก ราวกับจงใจทำทิ้งไว้
“ดูรอยยังใหม่อยู่เลยนะ” หญิงสาวตั้งข้อสังเกต
“อาจจะเป็นของไอ้สองคนนั่น ที่ก้อยพูดถึงในจดหมายก็ได้นะ” อนาวินว่า
“คนร้ายน่ะรึ”
“ครับ” ชายหนุ่มหันไปตอบนายชัย แต่แล้วก็ได้รับการคาดคะเนที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง
“แต่อาจจะเป็นชาวบ้านแถวๆ นี้ก็ได้” นายชัยบอก
“อ้าว ไหนลุงเคยบอกว่า แถวนี้ไม่ค่อยมีใครขึ้นมาไง อีกอย่างมันมีแค่รอยเท้าของคนเดียวนะ เดินออกมาจากด้านนั้น..แต่...ทำไมจู่ๆ ถึงหายไปนะ” ไอรดาขัดขึ้น
“หาของป่ามั้ง” นายชัยตอบ ก่อนจะบอกอย่างไม่ใส่ใจว่า
“ไปต่อเหอะ ไม่มีอะไรหรอก”
อนาวินขมวดอย่างแปลกใจ ในการรวบรัดตัดสินใจแบบแปลกๆ ของผู้นำทางของเขา ชายหนุ่มหันไปมองหน้าไอรดาเพื่อถามหาความเห็น หากแต่หญิงสาวมัวแต่ก้มลงพินิจรอยเท้าบนผืนดินไม่ได้สนใจเขาแม้แต่น้อย
“มีอะไรเหรอ แก้ม”
“ฮึ้ม? ... เปล่า ไม่มีอะไร ... ดูเฉยๆ“ ไอรดาบอกเบาๆ ก่อนจะทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้เดินตามหลังนายชัยไป ทิ้งให้อนาวินอยู่กับความสงสัยเพียงลำพัง
ชายหนุ่มก้มมองรอยเท้าบนพื้นอีกครั้ง รอยเท้านั้น เป็นรอยเท้าของผู้ชาย ที่ดูจากขนาดรอยเท้าแล้ว คงมีรูปร่างไม่สูงใหญ่นัก แต่ปัญหาที่เขารู้สึกก็คือ...
ชาวบ้านที่ไหนมันจะใส่รองเท้ามียี่ห้อมาเดินป่า!
ชายหนุ่มเหม่อมองรอยบางจางของตัวสลักสัญลักษณ์ทางการค้าบนพื้นแฉะอย่างครุ่นคิด แต่เมื่อคิดอะไรไม่ออกจริงๆ เสียแล้ว เขาก็ได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า ... คงไม่มีอะไรหรอกน่ะ ก็แค่คนเกาะช้างจะเอาตังค์ซื้อรองเท้าแพงๆ มาเดินเขาเล่นบ้างจะเป็นไร!
   
   
สวบ สวบ สวบ
เสียงฝีเท้าเสียดสีกับใบไม้ใบหญ้าดังแผ่วเบาลงเรื่อยๆ เจ้าของฝีเท้าทั้งสามเดินจากไปไกลแล้ว ชายหนุ่มผู้แอบซ่อนอยู่ในดงไม้ทั้งเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้า แต่เขาก็ไม่ปรารถนาจะให้เธอผู้นั้นหายไป ไม่สิ ต้องบอกว่า เขาจะยอมให้เธอหนีไปไม่ได้ตะหาก
รอยเท้าของหญิงสาวผู้นั้น คงถูกน้ำชะล้างไปด้วยฝนตกที่ตกหนักเมื่อคืนนี้ เขาไม่เข้าใจเลยว่าเธอสามารถตากฝนที่ตกหนักขนาดนั้น ออกจากราวป่าที่รกชันแห่งนี้ไปได้อย่างไร
...ต้องมีใครสักคนพาเธอออกไป
รึว่าเขาถูกหักหลัง?...
ชายหนุ่มครุ่นคิดอย่างหวาดหวั่น ....ประตูห้องไม่มีร่องรอยของการงัดแงะ หน้าต่างเพียงบานเดียวในห้องก็อยู่ในสภาพปกติ ห้องน้ำที่มีอยู่ในตัวก็มีเพียงร่องระบายอากาศ กว้างไม่ถึง 10 เซนต์ อยู่เบื้องบน แค่มือบางๆ ยังลอดออกไปลำบาก
แต่เธอกลับไม่อยู่ในห้องราวกับละเลือนหายไปกับสายลม!
เขาแทบเป็นบ้า เมื่อตอนที่เขาไปหาเธอยามเช้า เพื่อพาเธอเปลี่ยนที่หลบซ่อน เพราะเขาเพิ่งไปรู้ข่าวการมาของชายหญิงคู่นั้น แต่แล้วเขากลับพบว่า ในห้องนั้น เหลือเพียงกระดาษที่ถูกละเลงสีบ้าบอไม่กี่แผ่นที่เขาเพิ่งจัดหาให้เธอเมื่อวันก่อน กระจัดกระจายอยู่บนเตียงเก่าแคบ
ไร้วี่แววของเธอ ไร้วี่แววของการหลบหนี
ชายหนุ่มเสยผมที่เปียกชึ้นทั้งไอฝนและเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายด้วยความวิตกกังวล ออกจากการปรกศีรษะ แม้ว่าความไม่เคยชินทำให้เขาลื่นไถลอยู่บ่อยครั้ง นับตั้งแต่ออกจากบ้านร้างหลังนั้นมา แต่นั่นไม่ได้ทำให้เขากังวลไปมากเท่ากับ การที่เขาเกือบถูกพบเห็นเมื่อครู่นี้
บัดนี้ คนทั้งสามเดินจากไปแล้ว  เขาไม่รู้ว่า คนกลุ่มนั้นสงสัยถึงการคงอยู่ของเขามากน้อยแค่ไหน ทว่าเพียงแค่เขานึกถึงดวงตารู้ทันที่ฉายวาบมาทางดงไม้ที่เขาแอบอยู่ของชายชาวบ้านแปลกหน้า เขาก็แทบแน่ใจว่า ชายผู้นั้นรู้ว่าเขาอยู่ที่นี่ เพียงแต่เขาไม่พูดออกมา
ชายหนุ่มเร่งรีบออกจากที่ซ่อน มุ่งตรงไปยังรถเช่าที่จอดซ่อนไว้จากสายตาคนทันที
แม้ว่าความจริงระยะทางระหว่างหน้าหาดไปจนถึงบ้านของชายตาบอดที่วาฤดีระบุมานั้นนั้นไม่ไกลมากนัก เพราะบ้านของนายบอดอยู่บริเวณเชิงเขาเท่านั้น แต่ทว่ามันก็เป็นเชิงเขาที่รถไม่สามารถตัดผ่านเข้าไปถึงได้ การเดินเท้าไปสู่บ้านหลังนั้น จึงยาวนานและยากลำบากพอสมควร โดยเฉพาะกับผู้ไม่ชำนาญการเดินป่าอย่างไอรดาและอนาวิน
ระหว่างทาง อนาวินส่ายหน้ากับตัวเองอยู่บ่อยครั้ง ความคิดของเขาทั้งพะวักพะวน ทั้งสับสนปนเปกันไป เพราะการที่เห็นรอยเท้านั้นทำให้อนาวินเกิดความรู้สึกแปลกประหลาดยิ่งนัก
“ยิ่งฟังก็ยิ่งเหมือนหนังน้ำเน่าเลยนะ ถ้าจะให้ฉันเดาล่ะก็ คนร้ายมันอยู่รอบๆ ตัวเราเนี่ยแหละ”
อยู่ดีๆ ประโยคของนายชัยก็แล่นเข้ามาสู่สมองเขาเหมือนการเล่นซ้ำ ... เขาจำได้อย่างชัดเจนว่า น้ำเสียงของนายชัยครั้งนั้น ดูเป็นจริงเป็นจังเกินกว่าจะบอกได้ว่าเป็นเพียงการพูดล้อเล่นตามปกติ
คงไม่ใช่หรอกน่ะ อนาวินเฝ้ากล่อมตัวเอง นายชัยไม่น่าจะรู้จักเพื่อนเขานี่นะ...หรือว่านายชัยจะรู้อะไรมากกว่าที่เขาเห็น? ชายหนุ่มเริ่มรู้สึกถึงความระแวงที่แล่นพล่านไปทั่วจิตใจของเขาเอง ...คงไม่ใช่หรอกน่ะ...ต้องไม่ใช่ เขาพยายามปฏิเสธความคิดของตัวเองอีกครั้งและอีกครั้ง แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ความระแวงนั้นลดลงไปได้เลย
“พี่วิน” ชายหนุ่มชะงักตัวกึ่กเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากหญิงสาวที่แทบจะต้องวิ่งตามเขา เพราะฝีเท้าที่ช้ากว่ามาก
“อะไร?” เขาตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่แม้แต่เขาเองยังอดตกใจกับความดุดันของมันไม่ได้ เขารีบปรับน้ำเสียงตัวเอง ก่อนจะสูดหายใจลึกๆ แล้วพูดอีกครั้งว่า
“มีอะไรเหรอจ๊ะ แก้ม” ไอรดาหน้านิ่วกับท่าทีเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาของชายหนุ่ม เธอพยายามสาวเท้ายาวๆ เพื่อให้ได้เดินคู่เคียงกันไปกับเขาอยู่นานแล้ว ซึ่งธรรมดานั่นก็ทำให้เธอปวดเมื่อยมากไปกว่าการเดินตามปกติ แต่ด้วยความที่เธอต้องการจะได้เดินข้างๆ เขา ได้พูดคุยกันบ้าง ได้เห็นรอยยิ้มของเขา หรือได้รับความเอื้ออาทรแม้แต่น้อยนิดที่เขาอาจจะยื่นมือมาให้เวลาที่เธอซวนเซ...
แต่เท่าที่ผ่านมา สิ่งเหล่านั้นไม่เกิดขึ้นจริงเลยแม้แต่น้อย ซ้ำร้ายอนาวินยังเร่งฝีเท้าขึ้นเรื่อยๆ แบบที่ดูแล้ว เขาเองก็ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ แถมยังเอาแต่ส่ายหน้าไปมาอย่างเคร่งเครียด จนเธอนึกกลัวเลยต้องออกปากเรียก
“ไม่มีอะไรค่ะ คือ...แก้มแค่ปวดขา...นิดหน่อย” เธอกล่าวอุบอิบเสียงแผ่ว เพราะเกรงว่านายชัยที่เดินนำหน้าจะได้ยิน ทว่าเสียงเพียงแค่นั้น ก็ทำให้นายชัยหันขวับมายิ้มเผล่ พูดเยาะๆ ว่า
“ไหนบอกว่ายังเด็ก ไงๆ ก็เดินไหวอยู่แล้วไง เห๊อะ ไม่เท่าไหร่มาบ่นซะแล้ว” ไอรดาหรี่ตามองอีกฝ่ายอย่างเซ็งๆ เพราะไอ้ที่เธอเดินจ้ำมานั้น ห่างไกลจากคำว่าใกล้อยู่มากโข
“ก็ลุงแหละ ไหนบอกว่ามาทางนี้มันใกล้กว่าทางโน้นไง นี่อะไรไกลจะตาย แล้วงี้ทางโน้นไม่เดินจนตกเกาะไปเลยเหรอ” นายชัยหัวเราะหึๆ ในลำคอกับคำพูดค่อนขอดของไอรดา แต่ก็ยังใจดีบอกว่า
“หึ เหนื่อยก็พักซะหน่อย เดี๋ยวจะหาว่าโดนคนแก่รังแก”
“ถามจริงเหอะลุง อีกไกลมั้ยอ่ะ”
   
“ก็เท่าๆ กับที่เดินมาน่ะแหละ”
   
“ห๊า!” ไอรดาอุทาน รู้สึกราวกับว่าแข้งขาตนเองสั่นเทาจนยืนไม่อยู่ เธอจะทรุดตัวลงนั่งอย่างอ่อนแรงโดยอัตโนมัติ
   
“ถ้าเหลือทางอีกไกล ผมว่าเรารีบๆ เดินไปต่อไม่ดีกว่าเหรอครับ นี่มันก็สายแล้วนะ”
“แต่แก้ม ...“ ไอรดาหน้าง้ำพยายามจะเถียง หากแต่เมื่อเห็นแววความเป็นห่วงเป็นใยที่อนาวินมีต่อพี่สาวก็รีบกล้ำกลืนคำพูดตัวเองไว้ เธอลุกขึ้นเชิดหน้าแล้วทำท่าจะออกเดินนำ
   
“เฮ้ย ข้าล้อเล่นน่า อีหนูนี่มันตลกดีนะ” นายชัยหัวเราะเฮฮาอย่างชอบใจพลางชี้มือชี้ไม้อธิบายว่า
   
“ที่จริงมันอีกนิดเดียวแหละ โน่นน่ะ เห็นยอดไม้ลิบๆ ด้านโน้นมั้ย ขึ้นไปถึงเนินตรงนั้นมองไปหน่อยก็เห็นตัวบ้านพอดี” นายชัยยักคิ้วหลิ่วตาล้อเลียนไอรดาอย่างพอใจยิ่งนัก เมื่อเห็นเธอหน้ามุ่ยหนักไปกว่าเก่ายามรู้ตัวว่าโดนหลอก หญิงสาวย้ำเท้าไปตามทางที่นายชัยชี้ เดินลิ่วๆ ไม่สนใจจะมองใครอีก และยิ่งไม่คิดสนใจจะรอใครอีก...ก็ในเมื่อคนๆ นั้นก็ไม่ใส่ใจเธอแล้วนี่!
   
ทว่าหญิงสาวก็รู้ดีแก่ใจ ว่ามันเป็นเพียงอคติที่เกิดประเดี๋ยวประด๋าว และจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว...ก็เพราะเธอไม่เคยจะงอนพี่วินของเธอได้เกินครึ่งวัน!
   
“งั้นพวกเรารีบไปกันเถอะครับ” น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความห่วงหาอาทรพี่สาวเธอนั้น เหมือนฟาดโบยหัวใจเธออีกครา หญิงสาวยิ่งรีบเร่งฝีเท้าเดินหนีโดยเร็ว
   
“โอ้ย” เสียงโอดโอยจากเบื้องหลังของเธอทำให้เธอต้องหันหน้าขวับ
   
ภาพที่เธอเห็นทำให้เธอโล่งใจ คนเจ็บไม่ใช่พี่วิน... แต่เป็นนายชัยที่กำลังก้มลงกุมข้อเท้าตัวเอง หน้าตาบูดเบี้ยวเหมือนเจ็บปวดอย่างหนัก
   
“เป็นไงบ้างครับ” อนาวินค้อมตัวลงถามด้วยความแปลกใจ ที่อยู่ๆ เพียงแค่นายชัยลุกขึ้นจากพื้นก็ทรุดตัวลงทันที
   
“ไม่เป็นไรๆ” นายชัยว่า ทำท่าฝืนตัวลุกขึ้น แต่แล้วก็ล้มลงไปอีก
   
“โธ่.. แก่แล้วก็เงี้ยแหละ เดินไม่ดีกระดูกกระเดี้ยวก็ไม่อำนวย” ไอรดาได้ทีใส่ใหญ่ แต่ก็ไม่วายเดินไปด้อมๆ มองๆ ดูด้วยความเป็นห่วง
   
“เป็นไรมากป่าวเนี่ย ลุง” เธอว่า
   
“เฮ๊อะ! เอ็งไม่ต้องมาเยาะข้าเลยอีหนู ขาข้ามันแพลงน่ะสิ”
   
“แต่ดูแล้วก็ไม่น่าจะเป็นไรมากนะครับ” อนาวินว่า ขณะก้มลงตรวจดูข้อเท้าของนายชัย ฝ่ายนายชัยนั้นหน้าเบ้ ผิดภาพลักษณ์ชายร่างบึกหน้าโหดปากจัด แบบที่เคยเป็นอยู่ เถียงไม่ผิดกับเด็กดื้อๆ คนหนึ่งกว่า
   
“ก็มันเจ็บนี่ ไม่เอาล่ะ ข้าเดินไม่ไหวแล้ว อีกหน่อยเดียวก็ถึงพวกเอ็งก็เดินๆ กันไปแล้วกัน”
   
“อ้าว ไหงทิ้งกันอย่างงี้ล่ะ” ไอรดาประท้วง
   
“ก็ข้าเดินไม่ไหวจริงๆ นี่หว่า พวกเอ็งเดินไปทำธุระกันให้เสร็จๆ แล้วก็เดินมารับข้าด้วยแล้วกัน”
   
“ไม่ใช่คิดจะชิ่งเงินหนีไปไหนล่ะสิ” หญิงสาวรีบดักคอ
   
“เรื่องอะไร ที่เหลือข้ายังไม่ได้เลย ข้าจะรออยู่ตรงนี้แหละ ขาก็เจ็บจะไปไหนได้ พวกเอ็งแหละอย่าหนีไปซะล่ะ อย่าลืมนะว่าต้องพึ่งรถข้า เพราะรถพวกเอ็งอ่ะจอดอยู่ตีนเขาโน่น”
   
“ตามใจแล้วกันครับ ว่าแต่ มันใกล้ถึงแล้วแน่นะ” อนาวินกล่าวอย่างไม่ค่อยแน่ใจนัก
   
“แน่สิ จะโกหกทำไม เนี่ยๆ เดินขึ้นๆ ไป แล้วหันซ้ายปุ๊บ ลิบๆ ตรงดงไม้ ก็เห็นชายคาบ้านไอ้บอดแน่ๆ”
   
อนาวินมองข้อเท้าของนายชัยอย่างชั่งใจ แล้วจึงตัดสินใจบอกว่า
   
“งั้นก็ได้...ไปกันต่อเถอะแก้ม” อนาวินหันมากล่าวกับไอรดาก่อนจะเดินนำออกไป
นายชัยชะเง้อมองจนเห็นว่าคนทั้งสองคนลับตาห่างไปไกลพอสมควรแล้ว เขาจึงปล่อยมือออกจากข้อเท้าตัวเอง จับปืนยาวของตนนิ่งเงียบ เพื่อคอยสดับเสียงแปลกปลอมในดงไม้ ชายฉกรรจ์ร่างหนาเผยอยิ้มที่มุมปากอย่างมีชัย ที่รับรู้ได้ถึงการดำรงอยู่ของบุคคลแปลกหน้า จากนั้น ถึงได้กล่าวเปิดโปงอย่างย่ามใจว่า
“ไอ้ที่ซ่อนอยู่ตรงนั้นน่ะ จะออกมาได้รึยังฮ๊ะ”
   
หลังต้นไม้ใหญ่เยื้องนายชัยไปไม่มากนัก เสียงลมหายใจหอบๆ แผ่วเบาของชายผู้หนึ่งเคยดังแว่วอยู่สม่ำเสมอชะงักงันด้วยความตกใจ เขาโผล่หน้าออกมาจากที่ซ่อน มือทั้งสองของเขายกขึ้นเสมอหัวเพื่อแสดงตัวว่าไม่มีอาวุธ
   
“ผมว่าแล้ว ว่าต้องปิดลุงไม่ได้”
แสงแดดอ่อนๆ ยามเช้าตกต้องใบหน้าของไอรดา เธอก้าวเดินเอื่อยๆ ตามหลังอนาวิน  พลางก้มหน้าลงมองต่ำติดพื้น อันเป็นกิริยาที่เธอมักทำไปโดยอัตโนมัติยามต้องการซ่อนความในใจบางอย่าง หูของเธอแว่วเสียงใบไม้ไหวอันอ่อนโยนสุขสงบ ที่ช่างขัดแย้งกับพายุร้ายในจิตใจของเธอโดยสิ้นเชิง
ช่วงเวลาแบบนี้ไม่ใช่เหรอที่เธอต้องการ...ช่วงเวลาแบบนี้ไม่ใช่เหรอที่เธอเฝ้าภาวนาให้มันย้อนกลับคืนมาอีกครั้ง ช่วงเวลาที่จะได้อยู่ตามลำพังกับผู้ชายที่เธอรัก ช่วงเวลาที่ไม่มีใครแทรกกลางระหว่างเธอและเขาได้อีก
   
เพียงเพราะช่วงเวลานี้ ทำให้เธอกลายเป็นอะไรไป!
   
“นั่นไง คงถึงแล้วแน่ๆ” เสียงอนาวินกระซิบบอกด้วยความตื่นเต้นดีใจ ดึงเธอให้หลุดออกมาจากความคิดอันหมกมุ่นของเธอเอง ไอรดาเงยหน้าขึ้นมามองตรงไปยังเบื้องหน้า ส่วนมุงหลังคาเกือบหลุดลุ่ยโผล่พ้นแมกไม้แสดงความรกร้างขาดการดูแล
   
หญิงสาวมองมันด้วยความผิดหวัง...ความฝันของเธอคงต้องหยุดลงเพียงเท่านี้ เธอแทบภาวนาให้...ไม่พบ...ไม่พบพี่สาวของเธอที่นั่น!
   
“ดีจังเลยนะคะ ถึงซะที” เธอบังคับตัวเองให้เปล่งเสียงตอบกลับไป แม้ว่ารู้ดีว่ามันคงแห้งแล้งไร้ความรู้สึก
   
   
บ้านของนายบอดเป็นบ้านกึ่งไม้กึ่งปูนชั้นเดียว ปูพื้นไม้ทั่วทั้งหลัง อนาวินเดินวนดูไกลๆ จากรอบๆ ด้าน อาศัยพุ่มไม้รายทางเป็นเกราะกำบัง แต่ความเงียบสงัดที่ปกคลุมโดยรอบ ไม่ได้บ่งบอกเลยว่ามีใครสักคนอยู่ในนั้น
   
“มันแปลกๆ อยู่นะ” ชายหนุ่มบ่นงึมงำ ขณะย่องเข้าไปยังบ้านหลังนั้น ส่วนหญิงสาวที่เดินตามเขาอยู่กลับเหยียดยิ้มอย่างยินดี
ไอรดานึกดีใจที่รั้วบ้านไม้เก่าโทรมส่งเสียงเอี๊ยดอ๊าด เมื่อตอนที่อนาวินผลักมันออก เพราะไม่เช่นนั้นเสียงหัวใจสั่นระรัวของเธอคงดังไปถึงเขา  และยิ่งไปกว่านั้น มีเสียงดังก็ดี เผื่อถ้าคนข้างในไม่รู้ความ จะได้รีบพาพี่สาวเธอหนีไป!
ไปให้ไกล...อย่าให้จับได้นั่นแหละดี!
   
หญิงสาวบีบมืออันสั่นระริกของเธอเข้าหากันด้วยความหวาดหวั่น บัดนี้ เธอเริ่มกลัวตัวเอง กลัวหัวใจตัวเอง กลัวกระทั่งความคิดของตัวเอง! หากว่าความรักเริ่มทำให้เธอกลายเป็นดั่งปีศาจร้าย เธอยังสมควรรักอยู่อีกหรือ...เธอยังสมควรได้รับความรักตอบกลับมาอยู่อีกหรือ
   
“แก้ม เป็นอะไรไป” หญิงสาวสะดุ้งเฮือกทั้งๆ ที่อนาวินกล่าวเพียงกระซิบ เธอช้อนตามองอนาวินอยู่เพียงครู่หนึ่งก็หลุบตาต่ำ
   
“ไม่ค่ะ ไม่ได้เป็นอะไร”
   
“แน่นะ แก้มหน้าซีดเชียว”
   
ไอรดาเหลือบตาขึ้นมองอนาวินอีกครั้ง นี่เธอไม่ได้เข้าข้างตัวเองจนเกินไปใช่ไหม...เสียงของพี่วินยังแสดงว่าห่วงใยเธออยู่
   
ในฐานะอะไรล่ะ...หญิงสาวเตือนตัวเองอยู่ในใจ ก่อนจะแก้ตัวไปว่า
   
“แก้มตื่นเต้นน่ะค่ะ” จบประโยค มือเย็นของเธอก็ได้รับการเกาะกุมและบีบกระชับเบาๆ อย่างให้กำลังใจ
   
“ไม่เป็นไรหรอก เราจะเจอก้อย ทุกอย่างใกล้จะจบลงแล้ว”
   
แก้มไม่ใช่คนดีขนาดนั้นหรอกค่ะ ...ไม่ใช่คนดีแบบนั้นอีกแล้ว!
หญิงสาวได้แต่ทุ่มเถียงอยู่ในใจ ขณะลดตาลงมองมือที่ถูกเกาะกุมไว้ อนาวินจูงมือเธอเดินเข้าไปภายในตัวบ้านของนายบอด ซึ่งเป็นบ้านไม่มีมีประตูเหมือนจะเชื้อเชิญบรรดาผู้บุกรุกอยู่ในที เฟอร์นิเจอร์น้อยชิ้นที่มีอยู่ ได้แก่ โต๊ะไม้ เก้าอี้ตัวหนึ่งและตู้เก็บของเก่าๆ ใบหนึ่งถูกจัดชิดติดผนัง
“ทำไมไม่มีใครเลยล่ะ หรือว่าเรามาผิดบ้าน”
   
“แก้มว่าน่าจะหลังนี้นะคะ แถวนี้ไม่เห็นมีใครอุตริขึ้นมาสร้างบ้านซักคน คงมีแต่นายบอดนี่แหละ ไม่รู้ว่าใช้ชีวิตอยู่ได้ยังไง ตาก็บอด ทางขึ้นมาก็แสนจะลำบาก” หญิงสาววิจารณ์ขณะกวาดตาสำรวจโดยรอบ
   
แล้วสายตาของเธอก็หยุดลงที่ประตูบานหนึ่ง...มันเป็นประตูบานเดียวของบ้าน ที่ดูจะผิดแผกแปลกแยกจากส่วนอื่นๆ ของบ้านเกือบจะสิ้นเชิง
   
อนาวินปล่อยมือเธอแทบจะทันทีเมื่อเหลือบไปเห็นประตูบานเดียวกัน เขาเดินตรงไปยังมัน แล้วจึงเห็นว่ามันถูกสลักล็อคไว้ด้วยแม่กุญแจอันหนาใหญ่ ชายหนุ่มสบถขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ พลางทดลองเขย่าประตูไปมา
   
“ก้อย...ก้อย!” ชายหนุ่มร้องเรียก สองมือพยายามยื้อดึงบานประตูอย่างแรง ทว่าการโยกคลอนนั้นก็ไม่ได้ทำให้แม่กุญแจตัวใหญ่คลายสลักลงได้แม้แต่น้อย
   
“ก้อยอยู่ข้างในรึป่าว นี่ พี่วินเองนะ ก้อย..ก้อย!”
   
“พี่วิน..พี่วินใจเย็นก่อนสิ ถ้าพวกคนร้ายมันมาจะทำไงฮ๊ะ” ไอรดากล่าวละล่ำละลัก แต่พอลองมองซ้ายมองขวาก็ยังคงเห็นว่าบ้านแคบๆ นั้นเงียบสงบจนน่าประหลาดใจ
   
“มันไม่อยู่ แก้มก็เห็น พี่ว่าเรารีบหาอะไรมางัดห้องเถอะ”
   
“ไม่มีทางอ่ะ มันจะทิ้งไว้อย่างนี้ได้ยังไง เป็นไปไม่ได้หรอก มันต้องมีคนเฝ้าสิถึงจะถูก”
   
“คิดซะว่าเป็นโชคของเราก็แล้วกัน ที่มันทิ้งก้อยไว้คนเดียวแบบนี้น่ะ” ไอรดาได้ยินอย่างนั้น ก็เมินหน้าหนีไปอีกด้านหนึ่ง ก่อนจะต้องเม้มปากอย่างขัดเคืองยิ่งกว่าเก่า
   
“โชค 2 ชั้นซะด้วยนะน่ะ” ไอรดาแค่นเสียงบอก
   
“ฮื้ม? หมายความว่ายังไง”
   
“ก็มันทิ้งกุญแจไว้ให้พี่วินซะด้วยน่ะสิ” เธอว่า พลางพยักพเยิดให้อนาวินดูลูกกุญแจดอกหนึ่งที่อยู่บนโต๊ะ เหมือนกับมีคนจงใจวางทิ้งไว้...
   
“แปลกจริง ทำไมมันถึงทำอะไรอย่างนี้นะ” อนาวินพูด หากแต่ก็ยังเดินไปหยิบกุญแจดอกนั้น ไอรดาคว้ามือเขาไว้ ก่อนจะบอกว่า
   
“มันจะเป็นกับดักรึป่าว” หญิงสาวคาดคะเน พลางส่ายหน้าไปมาปรามไม่ให้ชายหนุ่มไปหยิบกุญแจดอกนั้น หากแต่เขากลับปลดมือเธอออก เดินไปหยิบกุญแจโดยไม่ลังเลแล้วใช้มันเปิดประตูอย่างรวดเร็ว
   
ภายในห้องว่างเปล่า ... มีเตียงหลังเก่าวางขวางอยู่ระหว่างระยะทางไม่กี่ก้าวก่อนถึงหน้าต่างบานเล็กแคบ บนเตียงมีกระดาษวาดรูปวางกระจัดกระจายอยู่กับกองสีน้ำ อนาวินกวาดตามองอย่างตื่นตระหนก
   
ชายหนุ่มวิ่งรี่ไปยังประตูอีกบานที่อยู่ภายในห้องนั้น ก่อนจะพบว่ามันเป็นเพียงห้องน้ำที่ว่างเปล่าเช่นเดียวกัน
...นี่เขามาสายเกินไปใช่หรือไม่
   
อนาวินเหลียวกลับไปมองหน้าไอรดาด้วยความสิ้นหวัง และคาดว่าจะได้เห็นความรู้สึกเฉกเช่นเดียวกันกลับมา แต่ทว่าเธอกลับเหม่อมองมือตัวเองราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่สลักสำคัญยิ่ง!
   
“แก้ม..”
   
“คะ?” หญิงสาวขานรับเบาๆ เมื่อถูกเรียก เธอเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตฉายแววผิดหวัง
   
“เป็นอะไรไป”
   
“เปล่าค่ะ ...เปล่า ไม่ได้เป็นอะไร” เธอปฏิเสธ ก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกทาง กิริยานั้นทำให้อนาวินร้อนรนขึ้นทันที
   
“เป็นอะไรก็บอกพี่สิ”
   
“เหนื่อยมังคะ วุ่นตั้งแต่เมื่อคืน พอมาถึงกลับไม่เจอใครเสียอีก” หญิงสาวแก้ตัวเสียงแผ่ว มือบางยกไล้ใบหน้าซีดเผือดเหมือนกับจะยืนยันว่าเหนื่อยล้าดังเช่นที่กล่าว
   
“ถ้างั้นก็นั่งพักเสียก่อนก็ได้” อนาวินว่า พลางเก็บภาพวาดและหลอดสีราคาถูกที่กระจัดกระจายอยู่บนเตียงเพื่อให้ไอรดานั่งพัก
“ดูท่าพวกนี้ท่าจะรีบหนีไปนะ ไม่ได้จัดการเก็บอะไรซักอย่าง” ไอรดาพูดขึ้น เมื่อเหม่อมองอุปกรณ์วาดรูปที่ถูกอนาวินรวบไว้ยังปลายเตียง
“ป่านนี้ไม่รู้ไปถึงไหนแล้ว แต่...แต่พี่ไม่เข้าใจเลยว่ามันรู้ตัวได้ยังไง มันรู้ได้ยังไงว่าเรามาที่นี่ มันรู้! แล้วมันก็พาก้อยหนีไป!” ชายหนุ่มระเบิดความอัดอั้นออกมาเป็นคำพูด เขาทรุดตัวลงข้างเธอ ก่อนจะงอตัวซบหน้าลงกับสองมืออย่างอ่อนล้า
“พี่ก้อยไม่เป็นไรหรอกค่ะ ไม่เป็นไรหรอก” ไอรดาพยายามเอ่ยถ้อยคำปลอบโยน ขณะขจัดความปรารถนาที่จะสัมผัสแผ่นหลังที่งองุ้มด้วยแรงกดแห่งความท้อใจนั้น ท่าทีอันแสนทรมานของเขาฉายซ้ำอยู่ในหัวใจเธอครั้งแล้วครั้งเล่า จนเธอเริ่มรู้สึกว่า ความจริงคนที่ควรจากไป คือ เธอ!
“พี่ก็....หวังไว้อย่างนั้น..ตะ..” อนาวินรีบหยุดประโยคของตนไว้ทันที เมื่อหูแว่วเสียงผิดปกติจากภายนอกห้อง
...อะ...แอด...
เสียงไม้ลั่นแม้จะเบาเพียงใด แต่มันก็ยังดังแทรกความเงียบสงบของตัวบ้านจนเหมือนก้องอยู่ในโสตประสาท เขาหันมามองหน้าไอรดาด้วยความตระหนก ความรู้สึกที่เคยผ่อนคลายเมื่อสักครู่ตื่นตัวขึ้นทันควัน เขาลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบที่สุด มือหยิบปืนขึ้นมาถือกระชับไว้กับมือ ย่องไปยังประตูห้อง
หนึ่งก้าว...สองก้าว....สามก้าว........
อีกเพียงก้าวเดียวเขาก็จะโผล่ตัวพ้นจากประตูห้อง ชายหนุ่มหยุดเท้าอยู่เพียงแค่นั้น เขาแอบตัวอยู่หลังประตู พลางส่งสัญญาณให้ไอรดาหาที่หลบซ่อน ก่อนจะหันไปสนใจกับผู้บุกรุกอีกครั้ง เมื่อเห็นหญิงสาวได้เลือกห้องน้ำเป็นแหล่งกำบังตัวเรียบร้อยแล้ว
ทว่ารอจนแล้วจนรอด ภายนอกก็ยังเงียบสนิทราวกับว่าเสียงเอียดอาดของไม้เมื่อสักครู่เป็นเพียงเสียงแว่วไปเท่านั้น ชายหนุ่มชะโงกหน้าออกไปดูความเป็นไปภายนอกอย่างใคร่รู้...และนั่นเป็นการตัดสินใจที่แย่ที่สุด นับตั้งแต่เช้า
ปั่ก!
ความรู้สึกของอนาวินดับวูบไปแทบจะทันทีที่ถูกของแข็งฟาดกระทบเข้าที่ท้ายทอยอย่างแรง...ความคิดสุดท้ายก่อนสิ้นสติ เขาเป็นห่วงไอรดาสุดใจ!
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น