ลำดับตอนที่ #8
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : ผู้ช่วย
-7-
ผู้ช่วย
\"แก้ม แก้ม ตื่นเถอะ พี่ว่าเราถึงแล้วล่ะ\" ไอรดาต้องกระพริบตาถี่ๆ อยู่สองสามทีถึงจะดึงตัวเองให้กลับมาสู่ความเป็นจริงได้ เธอยกมือลูบหน้าขับไล่ความฝันทิ้งไป ก่อนจะขานรับเสียงเรียกด้วยน้ำเสียงติดจะงัวเงีย
“คะ? ถึงแล้วเหรอคะ”
“อืม พี่ว่าคงหลังนี้แหละที่น้องคนนั้นบอกน่ะ แก้มจะอยู่ในรถ หรือจะตามลงไปด้วย แต่พี่ว่าแก้มลงไปกับพี่จะดีกว่า ...มันมืดน่ะ อยู่คนเดียวมันไม่ดี” ไอรดาพยักหน้ารับคำ รู้สึกใจชื้นที่ได้รับความเป็นห่วงเป็นใยจากชายตรงหน้า แม้จะอดคิดไม่ได้ว่า ความเป็นห่วงที่ตนได้รับนั้น ไม่ถึงเสี้ยวของความรู้สึกที่อีกฝ่ายให้พี่สาวตน
“นี่กี่โมงแล้วคะ พี่วิน” เธอถาม พลางกดนิ้วนวดลงที่หัวคิ้วตนเอง พยายามปลดความคิดที่เลวร้ายออกไปจากสมอง   
“ประมาณตีสาม”
ไอรดากวาดสายตาพร่ามัวสะลึมสะลือของเธอมองไปนอกรถโดยรอบ เธอเห็นที่ปัดน้ำฝนทำหน้าที่ของมันอย่างหนัก มันพยายามปัดฝนเม็ดใหญ่ที่ตกปะทะกระจกรถไม่หยุด แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้ทำให้เธอเห็นหนทางข้างหน้าได้ดีขึ้น ท้องฟ้ามืดสลัวยามค่ำคืนผนวกกับฝนห่าใหญ่นั้น ขับแสงไฟอ่อนๆ ของตะเกียงหน้าบ้านไม้หลังเก่านั้นให้เป็นเงาสีนวลจางๆ เสียงฟ้าร้องคำรามที่ดังสนั่นจนแทบทำให้เธอซุกตัวลงกับเบาะรถให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำให้เธอตระหนักได้เดี๋ยวนั้นเองว่า มันอาจจะเป็น ... พายุ
“พี่ไม่มีร่มนะ เอาไงดีล่ะ อืม แก้มรออยู่บนนี้แล้วกัน เดี๋ยวพี่จะไปคุยกับเค้าเอง”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวแก้มไปด้วยดีกว่า ใกล้แค่นี้เอง ไม่เปียกเท่าไหร่หรอก” เธอว่า พลางเปิดประตูรถออก แล้ววิ่งนำฝ่าสายฝนกระหน่ำตามทางเดินโรยกรวดแคบไปยังตัวบ้านไม้เก่าๆ ที่เปิดไฟไว้จนสว่าง
“แล้วนี่พี่วินรู้ได้ไงคะว่าเค้าอยู่บ้านหลังนี้ น้องคนนั้นเค้าบอกเมื่อไหร่กัน แก้มจำไม่เห็นได้เลย อีกอย่าง แก้มว่าบ้านแถวนี้มันก็เหมือนๆ กันทั้งนั้นเลยอ่ะ” เธอตะโกนแข่งกับเสียงฝนฟ้า ร้องถามอนาวินที่วิ่งตามมาจนขึ้นมาเคียงคู่
“พี่ไปถามอะไรน้องเค้าเพิ่มนิดหน่อยตอนแก้มเก็บของน่ะ เค้าว่าบ้านนายชัยญาติเค้าเป็นสวนมะพร้าว ตัวบ้านติดถนนใหญ่ มีทางเดินโรยกรวดไปข้างใน แล้วที่สำคัญ นั่นไง รูปปั้นช้าง” อนาวินชี้มือชี้ไม้ไปยังรูปทรงตะค่อมๆ ตรงหน้าบ้านไม้ เธอต้องหรี่ตามองอยู่ชั่วขณะหนึ่งท่ามกลางความมืด จึงเห็นเป็นงวงขึ้นมาเป็นเงาลางๆ อยู่หน้าตัวบ้านเก่าโย้ซึ่งรายล้อมไปด้วยดงมะพร้าวที่แข่งกันชูยอดใบไสว
บ้านเก่าหลังนั้น ถูกแบ่งเป็นสองชั้น ชั้นล่างเป็นใต้ถุน กับห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง ด้านหน้าเป็นทางขึ้นไปสู่ระเบียงชั้นบน เนื่องจากไม่มีรั้วรอบขอบชิดอะไร ทั้งสองจึงพากันถือวิสาสะ วิ่งไปหลบฝนที่ชายคาบ้าน
หญิงสาวห่อตัวอย่างหนาวเหน็บ ฝนเม็ดใหญ่ทำให้เสื้อผ้าเธอเปียกปอน ถึงแม้ว่าจะวิ่งฝ่าฝนมาเป็นระยะทางที่ไม่ไกลนักก็ตาม อนาวินมองเธอแล้วส่ายหน้า พลางบ่นงึมงำอยู่ในลำคอว่า “บอกแล้วก็ไม่ฟัง”
ไอรดาไม่ได้ต่อปากต่อคำอะไรกับคำบ่นนั้น แม้ว่าจะไม่ค่อยพอใจนัก เพราะมัวแต่รู้สึกดีใจที่เขาเอื้อน้ำใจถอดเสื้อโค้ดผ้าร่มของตนออก เหลือเพียงเสื้อยืดตัวบางไว้ แล้วคลุมมันลงบนตัวเธอ
“ญาติน้องเค้าท่าจะแปลกๆ เน๊อะ ทำช้างแหมะไว้หน้าบ้าน กลัวไม่รู้ว่าอยู่เกาะช้างรึไง” เธอกระชับเสื้อของเขาแนบตัวพลางลดเสียงลงเล็กน้อย เมื่อเอ่ยนินทาเจ้าของบ้าน
“ยังไงก็เถอะ ขอให้เค้าช่วยเราได้เป็นพอ” อนาวินกล่าว
“ดึกซะขนาดนี้แล้ว เค้าคงหลับอยู่แน่ๆ แค่ขอให้เค้าไม่ด่าที่เรามากวนเค้าดึกดื่นป่านนี้ก่อนดีกว่ามั้ย” ไอรดาพูดจบก็ยักไหล่น้อยๆ แล้วเดินตามอนาวินไป เมื่อเห็นว่าคำเตือนของตนไม่ได้ทำให้เขาละความพยายามที่จะขึ้นชายคาบ้านคนแปลกหน้าในเวลาดึกเช่นนี้
“แก้มว่า เค้าเสียเวลาตื่นมาแค่นิดเดียวแหละ ตื่นมาเพื่อไล่ตะเพิดเราออกจากบ้านนะ”
“แล้วเรามีทางเลือกด้วยเหรอไงล่ะ” อนาวินพูดพลางยกมือขึ้นจะเคาะประตู แต่ข้อนิ้วของชายหนุ่มยังไม่ทันได้จรดกับบานประตูนั้น ประตูก็เปิดออก ชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ยืนขมึงถึงขวางหน้าประตูอยู่ หนวดเคราบนใบหน้าของเขาปกปิดสันกรามและเหนือริมฝีปากจนมองไม่ออกว่าหน้าตาเค้าโครงของเขา ยามไร้สิ่งรุงรังนี้แล้วจะเป็นเช่นไร
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่น่าหวาดกลัว ทั้งอนาวินและไอรดารู้สึกราวกับว่า มีพลังบางอย่างที่ดูเป็นอันตรายแผ่มาจากผู้ชายคนนี้ ไอรดาสูดหายใจลึกเข้าปอด มองกล้ามเนื้อหน้าอกเหนือกางเกงชาวเลย์เก่าขาดนั้นอย่างหวั่นๆ ถ้าผู้ชายตัวโตคนนี้เลิกจะเป็นศัตรูกับเธอและอนาวินล่ะก็
ชีวิตนี้คงหาไม่แน่!
“เข้ามาสิ” ชายร่างยักษ์กล่าว ในขณะที่ชายหญิงที่เป็นฝ่ายบุกรุกได้แต่ยืนอึ้ง
“ข้าชื่อชัย” อนาวินผ่อนลมหายใจออก เอื้อมมือไปเกาะกุมมือเย็นเฉียบของหญิงสาวที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลังเขา ก่อนจะจับจูงเดินเข้าไปภายในบ้าน ...เขารู้ว่าเธอกลัว เพราะเขาเองก็ต้องยอมรับเช่นกันว่าเขาก็ค่อนข้างกลัว
“เอ่อ พวกเรามาจากน้องที่ชื่อกัน ที่ทำงานอยู่รีสอร์ตทางฝั่งโน้นน่ะครับ ผมชื่อวิน แล้วนี่แก้ม”
“ข้ารู้” ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ส่งเสียงที่คล้ายกับคำรามขึ้นมาอีกครั้ง
“น้องเค้าโทรมาบอกเหรอคะ”
“ไม่จำเป็น ข้าแค่รู้” อนาวินกับไอรดาได้แต่หันมามองหน้ากัน กับคำตอบนั้น
“คุณรู้ทุกอย่าง?” อนาวินถามนำ เขาไม่ปรารถนาจะมาเผชิญกับคนทรงเจ้าหรือว่าพวกพ่อมดหมอผีอะไรทำนองนั้น และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เด็กประจำเคาเตอร์คงไม่แนะนำญาติแบบนั้นมาให้เขา
“ไอ้หนุ่ม เอ็งจะบ้าเหรอ ข้าจะรู้ทุกอย่างได้ยังไง”
“ก็..”
“พายุเข้าแบบเนี้ย โทรศัพท์แถวนี้มันใช้ได้ซะที่ไหน ไหนจะติดเขาด้านหลัง สัญญาณก็แย่ ข้ารู้เพราะข้าเดาเอาตะหาก มีแต่ไอ้พวกเดือดร้อนจากหาดของไอ้กันเท่านั้นแหละที่จะวิ่งโร่ฝ่าพายุกล้าดอดเข้าเขตุบ้านข้าดึกๆ ดื่นๆ แบบเนี้ย ถ้าเป็นไอ้พวกแถวเนี้ย มันกลัวโดนส่องตายกันทั้งนั้นแหละ” อนาวินชะงักกึก รู้สึกอย่างกับว่าหนีเสื้อปะจรเข้ หนีคนทรงเจ้าเจอเจ้าพ่อริมหาด
“ตกลง แล้วพวกเอ็งมาทำอะไรกันเนี่ย”
“คือ ... “ อนาวินจะกำลังจะอธิบายแต่ก็โดนตัดบทด้วยการฉุดลากลงนั่งที่พื้นไม้ชื้น
“มาๆ นั่งๆ เอากันสักเป๊ก รับรองหายหนาว” นายชัยชักชวนด้วยเสียงดัง อนาวินส่ายหน้าเล็กน้อยส่วนไอรดาได้แต่เบ้หน้า เพราะกลิ่นเหล้าดีกรีแรงฉุนกึ่กเข้าจมูก
“...แล้วไงล่ะ นี่หนีตามกันมาจากบ้านไหน” ชัยบอกต่ออย่างอารมณ์ดี มือก็หยิบแก้วมารินให้ แม้ว่าชายหญิงทั้งสองจะไม่ได้ตอบรับคำเชิญนั้น
“ไม่ได้หนีตามครับ คือ ผมมาตามหาคน” อนาวินตอบอึกอัก ไม่มั่นใจในสติสัมปชัญญะของหนุ่มฉกรรจ์ตรงหน้าแม้ว่าเขาจะไม่มีทีท่าว่าเมามายแม้แต่น้อย
“เอ๊า ไม่ได้หนีตามกันมาหรอกเหรอ แล้วตามหาใครล่ะ ในหมู่บ้านแถบนี้ ข้ารู้จักทั้งนั้นแหละ” นายชัยขมวดคิ้วมุ่น เมื่อเรื่องไม่ได้เป็นดั่งที่คิดไว้ มือก็วางแก้วเหล้าของตนลงด้วยความที่สนใจเรื่องราวจากปากของอนาวินมากกว่าเดิม
“เค้าบอกว่า เอ่อ บ้านตาบอดบนเชิงเขาสลักเพชร น่ะครับ”
“อ่อ ไอ้บอด ใครๆ ก็รู้จักทั้งนั้นแหละ แต่มันตายไปหลายเดือนแล้วนี่ ตั้งแต่ต้นปีโน่นแน่ะ”
“แล้วบ้านเค้า...เอ่อ ใครอยู่ล่ะคะ”
“ก็ร้างน่ะสิถามได้ อีหนูนี่ หน้าไม่น่าโง่นะ นี่ไอ้หนุ่ม ผู้หญิงน่ะเค้าไม่ดูแต่หน้านะ ต้องดูสมองด้วย แล้วหุ่นอ้อนแอ้นเงี้ย มันไม่เอางานหรอก”
“ก็บอกว่าไม่ได้หนีตามกันไงล่ะ” อนาวินกับไอรดาแทบประสานเสียงบอก
“ข้ารู้...ข้ารู้” อนาวินรู้สึกว่า คำว่าข้ารู้นี้เป็นคำที่ติดปากของนายชัยมากกว่าจะหมายความตามนั้นจริงๆ เขาไตร่ตรองเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า
“คือบ้านหลังนั้นอยู่ไหน คุณจะพอนำทางเราไปได้มั้ย” นายชัยหรี่ตามองมายังอนาวินด้วยสายตาที่ดูไม่ไว้วางใจ และจริงจังขึ้นผิดกับท่าทีเป็นกันเองในทีแรก
“จะไปทำไม”
“ก็บอกแล้วไง ว่าตามหาคน หน้าตาอย่างนี้ก็ไม่น่าโง่นี่” ไอรดากล่าวยียวน หากนายชัยกลับไม่มีท่าทีถือสา เขาเพียงปรายตามองเธออย่างเย็นชาทีหนึ่ง แล้วหันไปคาดคั้นถามอนาวินด้วยซุ่มเสียงที่ไม่ดีกว่าเดิมนัก
“ตามหาใคร แถวนั้นไม่มีใครเหยียบไปมานานแล้ว”
“พี่ฉันเอง หน้าตาเงี้ยเลย เคยเห็นบ้างมั้ย” ไอรดาว่า พลางหันซ้ายหันขวาให้นายชัยพิจารณา
“ไม่เคย แล้วข้าก็ไม่อยากไปแถวนั้นด้วย ถ้าอยากได้คนนำทางละก็ แถวนี้ไม่มีหรอก ไม่มีใครอยากขึ้นไปทั้งนั้น”
“ทำไมล่ะครับ”
“ไอ้บอดมันตายไม่ดี มันเฮี้ยน ไอ้หนุ่ม เอ็งรอให้มีสัญญาณโทรศัพท์แล้วลองโทรหาพี่สะใภ้แกมั้ยล่ะ เดินดุ่ยๆ ไปตามชายหาดน่ะ ฟลุคๆ มันก็มีคลื่นนา”
“แต่ผมอยากขึ้นไปเดี๋ยวนี้นี่ครับ เรื่องมัน ... เอ่อ ค่อนข้างคอขาดบาดตาย แล้วน้องคนนี้ก็..ติดต่อมือถือไม่ได้นะครับ” อนาวินทำเป็นไม่ใส่ใจ คำว่า ‘พี่สะใภ้’ พยายามออกปากพูดจาหว่านล้อมไม่ย่อท้อ
“อะไร ใครตายงั้นเหรอ อีกแล้วเหรอเนี่ย เฮ้อ”
“หมายความว่าไง แปลว่าบนนั้นมีคนตายบ่อยเหรอ” ไอรดาหน้าตื่น ก่อนจะมุ่ยลง เมื่อได้ยินคำตอบจากนายชัย
“ยุ่งอีกแล้ว ผู้ชายเค้าจะคุยกัน เอ็งยุ่งอะไรเนี่ย ข้าจะบอกให้เอาบุญ บนนั้นอ่ะนะ มีข่าวว่าคนขึ้นไปไม่ได้กลับ พวกนักท่องเที่ยวน่ะแหละตัวดี ไม่รู้มันไปเอาข่าวมาจากไหน ไอ้ตัวข้าน่ะไม่กลัวอะไรหร๊อก เรื่องแค่เนี้ย เด็กๆ” นายชัยคุยทับ
“เด็กๆแต่ก็ไม่กล้านำทางขึ้นไปใช่มั้ยล่ะ”
“เอ๊ะ อีนี่ พายุเข้าอย่างนี้ใครเค้าเข้าป่ากันบ้าง ถ้าไม่ใช่ผีไอ้บอดมาหักคอก็เจ้าป่าเจ้าเขาบันดาลให้หลงป่าตายกันพอดี”
“ผมไม่ได้ให้คุณนำทางเปล่าๆ นะครับ พวกผมมีค่าเหนื่อยให้แน่นอน”
“ไม่ไป”
“นะครับ”
“ไม่โว้ย พวกเอ็งนี่เซ้าซี้จริง ข้าจะกินเหล้า” อนาวินถอนใจอย่างเซ็งจัด ก่อนจะควักแบงค์พันออกมาหลายใบ จนอีกฝ่ายชักตาโต
“กินเหล้าได้หลายมื้อนะลุง” ไอรดากระเซ้า
“ข้ารู้ๆ” นายชัยพึมพำน้ำลายสอปาก
“ว่าไงครับ”
“ถ้าข้าชี้ทางเฉยๆ ได้เท่าไหร่”
“แบงค์ม่วงใบเดียวพอ แค่ชี้ทางเฉยๆ ผมว่าใครๆ ก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ” นายชัยขมวดคิ้วทันทีด้วยความไม่ได้ดั่งใจ เขายกแก้วเหล้าขึ้นมากระดกดั่งจะเรียกความมั่นใจ ก่อนจะเอ่ยตอบว่า
“ได้ ไปก็ไป”
อนาวินไม่ค่อยมั่นใจในผู้นำทางของเขานัก นายชัยจัดการหาเศษกระดาษเท่าที่อนาวินคิดว่าในบ้านซ่อมซ่อของเขามี มาวาดเป็นแผนที่ โดยแจกให้เขาเก็บไว้แผ่นหนึ่ง ส่วนตัวของนายชัยเองกลับวิ่งฝ่าฝนหายลับดงมะพร้าวตั้งแต่ชั่วโมงก่อน
“กลัวเปิดแน่บไปแล้วล่ะมั้ง” ไอรดาว่า
“เค้าบอกจะไปซื้อของมาเตรียมขึ้นเขา”
“เตรียมของ” ไอรดาส่งเสียงล้อเลียน กรอกตาไปมา ก่อนจะพูดต่อว่า “เตรียมเหล้ามากินมื้อหน้าน่ะสิ มีคนกรุงมาให้หลอกถึงที่แบบเนี้ย พี่วินน้า ทำไมไว้ใจคนง่ายอย่างนี้ก็ไม่รู้ เค้าขอตังค์ไปครึ่งนึงก่อนก็ให้ ไอ้ครึ่งนึงของพี่วินเนี่ยมัน 3 พันเลยนะ เห็นเงินเป็นเศษกระดาษไปได้ ...โอ้ย ไอ้ฝนบ้านี่ก็เหมือนกัน เมื่อไหร่จะหยุดเนี่ย”
ชายหนุ่มมองลอดไปนอกหน้าตาในบ้านไม้ของนายชัย ภายนอกมีเพียงฝนที่กระหน่ำโดยไม่มีที่ท่าจะซาลงแม้แต่น้อย และยิ่งกว่านั้น ไม่มีเงาของนายชัยเช่นกัน
“เราไปกันเถอะ”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ทั้งสองแกะแผนที่ของนายชัยที่วาดให้ไว้ ขับรถลุยโคลนสีลูกรังและพายุกรรโชกมาจนถึงถนนที่แคบลงทุกขณะ ด้านหน้ารถมีป้ายไม้ขนาดใหญ่ล้มครืนมาขวางทางเล็กๆ ทางหนึ่งไว้
“นี่ละมังคะ คงสุดทางรถแล้วล่ะ แต่ฝนตกขนาดนี้ เราจะเดินเข้าไปได้ยังไงกัน”
“เดี๋ยวพี่ลุยเข้าไปเอง” อนาวินกล่าวมุ่งมั่น สายตาตรึงเครียดของเขามองตรงไปหาทางพงเล็กๆ นั้น อย่างจดจ่อ
“พี่วิน ใช้สมองมั่งสิ ถ้าลื่นพรืดลงมานี่ไม่ต้องหวังจะไปช่วยพี่ก้อยเลยนะ แค่ชีวิตตัวเองก็เก็บไว้ไม่ได้แล้ว ไหลจะมืดแล้วหลงทางอีก แล้วถ้าเกิดไปถึงบ้านไอ้ผีบอดอะไรนั่น พี่วินเกิดหมดเรี่ยวหมดแรงยืนให้มันยิงโป้งๆ มันจะได้อะไรขึ้นมาฮ๊ะ” ไอรดาโวยวาย
“ก็พี่เป็นห่วง แก้มจะให้พี่ทำยังไง พี่ทนไม่ได้เลยจริงๆ แค่หลับตาพี่ก็รู้สึกอย่างกับว่าเห็นภาพก้อยโดนไอ้พวกนั้นมันทำร้าย มันทรมาน ป่านนี้ก้อยจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้” อนาวินระเบิดอารมณ์ปากคอสั่น เขายกมือใหญ่ของตนมาลูบไล้ใบหน้า ผิวหน้าขาวซีดและเหนื่อยอ่อนของเขากลืนหายไปกับความมืดในตัวรถ
“พี่วิน ใจเย็นๆ นะ แก้มก็เป็นห่วงพี่ก้อย แต่พี่ก้อยต้องไม่เป็นไร พี่ก้อยจะไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวเอ่ย พลางกำมือระริกไว้บนตัก ความปรารถนาที่จะเอื้อมมือไปปลอบประโลมเขามีมากมายเสียเหลือเกิน...แต่เธอก็รู้ดีว่า เธอไม่ควรทำอย่างนั้น
“รอหน่อยนะ พี่วินไม่ได้หลับมาทั้งคืนแล้ว งีบก่อนเถอะ เดี๋ยวถ้าฝนซาเมื่อไหร่แก้มจะปลุก ถึงตอนนั้น ฟ้าอาจจะสว่างกว่านี้ก็ได้”
“อืม” อนาวินฮึมฮัมในลำคอ ก่อนจะผล่อยหลับไปด้วยความเพลีย ไอรดาพยายามบังคับสายตาให้สนใจเพียงทางเล็กเบื้องหน้า จนกระทั่งเสียงลมหายใจของคนข้างตัวเริ่มสม่ำเสมอ จึงแอบหันมาทอดสายตามองเสี้ยวหน้าของเขายามหลับ เธอพยายามผ่อนลมหายใจให้เข้าออกผสานไปกับเขาช้าๆ และความรับความรู้สึกที่ได้หายใจพร้อมกับคนที่เธอรักอย่างเป็นสุข
เพียงชั่วครู่เดียวเธอก็เห็นแสงไฟสว่างจ้าจากเบื้องหลัง เสียงรถบีบแตรยาวแทรกมากับเสียงฝนซัดสาด ขัดความสงบสุขออกจากชีวิตเธอ อนาวินสะดุ้งตัวขึ้นจากการหลับใหล ถามเร็วๆ ว่า
“อะไรน่ะ แก้ม”
“รถค่ะ รถเวรที่ไหนก็ไม่รู้”
‘รถเวรที่ไหนก็ไม่รู้’ ของไอรดา เป็นรถกระบะสีมืดทึบที่มีล้อขนาดใหญ่มากที่สุดเท่าที่เธอเห็นมาคันหนึ่ง เธอเกือบจะแน่ใจเมื่อเห็นแรงปั่นของล้อทั้งสี่ ว่ารถคันนี้ใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่ดูมีสมรรถนะการในการตะลุยทางไต่เขาได้ดีกว่ารถเก๋งธรรมดาของอนาวินมากนัก รถคันนั้นมีสภาพกลางเก่ากลางใหม่ แต่พอบวกกับละไอฝนพร่างพรายล้อมรอบคันรถ รถคันนั้นก็ดูเก่าเกินจริงในสายตาของคนทั้งสองบนรถ
แสงไฟตัดหมอกของรถคันนั้นส่องสว่างกระทบหลังรถของสองชายหญิง จนคนทั้งคู่สายตาพร่ามองแทบไม่เห็นว่า คนที่กำลังก้าวลงจากรถคันนั้นคือใคร จนกระทั่งคนร่างหนาใหญ่ในเสื้อกันฝนสีส้มสดราวกับยืมมาจากตำรวจกลางสี่แยก วิ่งตรงมาข้างรถด้านคนขับ แล้วยกมือใหญ่ขึ้นรัวเคาะลงกับกระจกเร็วๆ ก่อนที่เจ้าของมือจะค้อมตัวลงมา อนาวินลดกระจกลงอย่างยินดี
“คุณน่ะเอง”
“เออน่ะสิ แล้วก็เลิกเรียกคุณเคินไรได้แล้ว เรียกข้าว่าชัยเฉยๆ ก็พอ ถ้าอยากนับญาติให้มันดูดีๆ หน่อย ก็ เรียกพี่ชัยก็ได้”
“ครับ พี่ชัย นี่พี่ตามมาได้ไงเนี่ย”
“ก็ไอ้แผนที่นั่น ข้าเขียนมาเองกับมือ พวกเอ็งแหละทะเล่อทะล่าอะไรมาถึงนี่ บอกให้รอหน่อยๆ ก็ไม่ได้รู้ความกันเล๊ย ลงๆ ไปขึ้นคันโน้น ข้าจะพาไปทางรถ”
“ทิ้งไว้งี้ไม่เป็นไรเหรอ” ไอรดาถามพลางหันรีหันขวาง ไม่ค่อยอยากลงจากรถเก๋งคันสวยไปขึ้นรถบิ๊กฟุตคันเก่านั้นนัก
“ไม่เป็นไรหรอกมั้ง” อนาวินว่า หากแต่ไม่วายหันไปมองหน้านายชัยเชิงขอความเห็น ฝ่ายนั้นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างนักเลงโตตามสไตล์ว่า
“ใครจะเข็นมันลงไปได้ล่ะ ถ้ามีล่ะก็ ข้าออกหน้าเอง อีกอย่างที่เนี่ย ชาวบ้านไว้ใจได้ เกาะมันก็เล็กนิดเดียว”
พอนายชัยรับรองแข็งขัน อนาวินก็จัดการหยิบปืนออกจากลิ้นชักมาห่อไว้ด้วยเสื้อตัวบางเก่าจากเบาะหลัง ซึ่งการกระทำนั้นไม่พ้นจากสายตาที่จับจ้องจากนอกรถ หากแต่นายชัยรู้ว่า ตอนนี้ถามไปก็เปล่าประโยชน์ จึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ แล้วแกล้งทำเป็นไม่เห็น เขาสาวเท้าวิ่งนำไปยังรถกระบะคันเก่า
“มีทางรถแต่แรกก็ไม่บอก จะปล่อยให้ขับมาทางนี้ทำไมเนี่ย” ไอรดาบ่นงึม ขณะวิ่งฝ่าฝนมายังรถอีกคัน เนื้อตัวที่ยังไม่แห้งดีจากการลุยฝนครั้งที่แล้วเปียกชุ่มขึ้นมาอีกครั้ง พอเปิดประตูด้านหลังขึ้นรถได้ เธอก็เห็นเสื้อกันฝนอีกสองตัววางอยู่
“อ้าว แล้วนี่มีเสื้อกันฝนอีกทำไมไม่ถือเอาไปให้ล่ะ ลุงนี่ก็”
“ใครลุงเอ็ง บอกให้เรียกพี่ไงล่ะ นี่ๆ แล้วเปียกแค่เนี้ยไม่ตายหรอก รถข้าเปียกน้ำข้ายังไม่บ่น ทีพากันฝ่าฝนมาไม่ลืมหูลืมตายังทำได้”
“อ๊ะๆ ไม่ต้องมาอ้าปากจะเถียงเลยอีหนู ข้าหายไปนาน ก็ไปหาไอ้เนี่ยกะไอ้รถนี่มาให้เนี่ยแหละ เพราะถ้าไปทางรถด้านโน้นมันชัน รถพวกเอ็งเข็นไม่ขึ้นหรอก แล้วยังไง เดี๋ยวก็ต้องลงเดินอยู่ดี เดินน้อยกว่า แต่ก็ชันกว่านิดหน่อย เตือนไว้ก่อนแล้วกัน” นายชัยว่าพลางถอยรถพรืด แล้วหักโค้งอย่างชำนาญ รถกลางเก่ากลางใหม่คันนั้น ก็หันหัวสวนไปทางรถเข้าภายในเวลาไม่ถึงนาที
“ไม่ไหวเลยลุงเนี่ย” ไอรดาบ่นต่อโดยไม่คิดจริงจัง เพราะหวังจะกวนโมโหนายชัยเล่นแก้เบื่อเสียมากกว่า เนื่องจากเธอเป็นคนขี้เบื่อขนาดหนักอยู่แล้ว หน่ำซ้ำช่วงสามสี่วันนี้ เธอยิ่งไม่ได้ทำอะไรนอกจากตามหาตัวพี่สาว เดี๋ยวขึ้นรถ เดี๋ยวลงเรือ เดี๋ยวเดินตามหาเสียขาลากจนเหนื่อยอ่อน
ตอนที่ยังมีเอกบดินทร์อยู่ เธอก็ยังมีคนให้ลับฝีปากอยู่บ้าง แต่พอคู่อริสมัยเด็กของเธอชิ่งหนีกลับกรุงเทพไปแล้ว เธอก็ไม่ค่อยได้ออกวาดลวยลายอะไร โดยเฉพาะว่า อนาวินเองก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกับเธอนัก จะมีก็เพียงถามความเห็นเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวันเท่านั้น
นายชัยยิ้มพรายที่มุมปาก กึ่งขันกึ่งเอ็นดู พลางกล่าวเย้าตามประสาคนยังไม่สร่างเมาดีว่า
“ไอ้หนุ่ม ยัยหนูเนี่ยมันดื้อ เอ็งอย่าไปยอมมันนา เดี๋ยวพอแต่งกันไปแล้วมันจะขึ้นครอบหัว ไม่ยอมลงให้”
“ไม่ใช่ ก็บอกว่าไม่ใช่แฟนกันไงล่ะ” ไอรดาโวยวายหนัก หน้าแดงซ่านด้วยความอาย ในขณะที่อนาวินเพียงแต่หัวเราะฝืดขรึมอยู่ในลำคอ ก่อนจะโพล่งออกมาอย่างผิดเรื่องผิดเวลาอยู่บ้างว่า
“อีกนานมั้ย กว่าจะถึง”
“ไม่นานเท่าไหร่หรอก แล้วแต่ว่าตอนเดิน พวกเอ็งจะเดินกันอืดขนาดไหน”
“โอ้ย แรงเด็กๆ มันดีอยู่แล้ว ลุงแหละไหวเหรอ”
“เออ ข้าจะดูน้ำหน้าเอ็ง” นายชัยพูดกลั้วหัวเราะ แล้วก็ต้องเงียบเสียงลงเมื่อเห็นอนาวินไม่เล่นหัวด้วยแม้แต่น้อย เขากระแอมขึ้นมา แล้วจึงพูดต่อราวกับเมื่อครู่นี้ไม่ใช่เขาเองที่หัวเราะเสียลั่น
“ไหนๆ ข้าก็ต้องไปร่วมเป็นร่วมตายกับพวกเอ็งแล้ว ไม่คิดจะบอกกันหน่อยเหรอฮ๊ะ ว่าเกิดไรขึ้น พวกเอ็งถึงต้องปีนขึ้นไปบนนั้นให้ได้น่ะ” พอนายชัยเริ่มคิดอย่างเอาจริงเอาจังมากขึ้นก็ถามเป็นการเป็นงาน แต่ทั้งสองคนที่เหลือบนรถกลับนิ่งเงียบ
“ว่าไง” นายชัยถามย้ำ จนอนาวินถอนใจออกมาด้วยรู้ว่าอย่างไรเสียก็ต้องบอกให้ชายร่างใหญ่ผู้นี้รู้ไว้ ด้วยความที่ต้องร่วมเดินทางพึ่งพากันอีกนาน เรื่องราวต่างๆ นับตั้งแต่เขากลับมาจากเมืองนอกเมื่อไม่กี่วันก่อนจึงถูกถ่ายทอดออกมาจากปากคำชายหนุ่มช้าๆ ...
“อืม ฟังดูน่าสนุกดีนี่นะ” นายชัยหัวเราะหึๆ ในลำคอ หลังนั่งนิ่งฟังจนจบ อนาวินหันไปมองอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องขำด้วย แต่อีกฝ่ายก็ยังคงหัวเราะไม่หยุดอยู่นั่นเอง
“นี่ หัวเราะอะไรนักหนา มันเรื่องตลกตรงไหน” ไอรดาบ่นขึ้นมาจากเบาะหลัง
“ยิ่งฟังก็ยิ่งเหมือนหนังน้ำเน่าเลยนะ ถ้าจะให้ฉันเดาล่ะก็ ฆาตกรอยู่รอบๆ ตัวเราเนี่ยแหละ” ท้ายประโยค นายชัยทำเสียงเก๊กขรึมราวกับเป็นนักสืบผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ชายขี้เมาอย่างที่เป็นอยู่
“พูดอะไรไม่เห็นจะเข้าท่า” หญิงสาวงืมงำขึ้นอีกครา เธอพิงตัวลงกับเบาะ ก่อนจะเอ่ยห้วนๆ ต่อว่า “ถึงแล้วก็ปลุกด้วยแล้วกันนะ จะนอนล่ะ”
“อืม เอ็งก็หลับไปเถอ ะไอ้หนุ่ม” นายชัยบอก พลางขับรถตรงไปยังจุดหมาย ไม่เหลือเค้าความขี้เล่นอยู่บนใบหน้าอีกต่อไป
จริงหรือที่ว่า...คนรอบนอก สติแจ่มใส...
นายชัยกำลังครุ่นคิดถึงประโยคนี้อย่างหมกมุ่น หากสิ่งที่เขาคิด รายละเอียดที่เขาไม่มองข้าม ทำให้สามารถสรุปได้อย่างที่เขาคิดได้จริงๆ ละก็ เขาไม่รู้ว่าจะควรทำอย่างไรดี นายชัยผ่อนลมหายใจออกจากอก พยายามไม่ใส่ใจจะคิดต่อ
ก็ไม่ใช่เรื่องของเขานี่!
ผู้ช่วย
\"แก้ม แก้ม ตื่นเถอะ พี่ว่าเราถึงแล้วล่ะ\" ไอรดาต้องกระพริบตาถี่ๆ อยู่สองสามทีถึงจะดึงตัวเองให้กลับมาสู่ความเป็นจริงได้ เธอยกมือลูบหน้าขับไล่ความฝันทิ้งไป ก่อนจะขานรับเสียงเรียกด้วยน้ำเสียงติดจะงัวเงีย
“คะ? ถึงแล้วเหรอคะ”
“อืม พี่ว่าคงหลังนี้แหละที่น้องคนนั้นบอกน่ะ แก้มจะอยู่ในรถ หรือจะตามลงไปด้วย แต่พี่ว่าแก้มลงไปกับพี่จะดีกว่า ...มันมืดน่ะ อยู่คนเดียวมันไม่ดี” ไอรดาพยักหน้ารับคำ รู้สึกใจชื้นที่ได้รับความเป็นห่วงเป็นใยจากชายตรงหน้า แม้จะอดคิดไม่ได้ว่า ความเป็นห่วงที่ตนได้รับนั้น ไม่ถึงเสี้ยวของความรู้สึกที่อีกฝ่ายให้พี่สาวตน
“นี่กี่โมงแล้วคะ พี่วิน” เธอถาม พลางกดนิ้วนวดลงที่หัวคิ้วตนเอง พยายามปลดความคิดที่เลวร้ายออกไปจากสมอง   
“ประมาณตีสาม”
ไอรดากวาดสายตาพร่ามัวสะลึมสะลือของเธอมองไปนอกรถโดยรอบ เธอเห็นที่ปัดน้ำฝนทำหน้าที่ของมันอย่างหนัก มันพยายามปัดฝนเม็ดใหญ่ที่ตกปะทะกระจกรถไม่หยุด แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ได้ทำให้เธอเห็นหนทางข้างหน้าได้ดีขึ้น ท้องฟ้ามืดสลัวยามค่ำคืนผนวกกับฝนห่าใหญ่นั้น ขับแสงไฟอ่อนๆ ของตะเกียงหน้าบ้านไม้หลังเก่านั้นให้เป็นเงาสีนวลจางๆ เสียงฟ้าร้องคำรามที่ดังสนั่นจนแทบทำให้เธอซุกตัวลงกับเบาะรถให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำให้เธอตระหนักได้เดี๋ยวนั้นเองว่า มันอาจจะเป็น ... พายุ
“พี่ไม่มีร่มนะ เอาไงดีล่ะ อืม แก้มรออยู่บนนี้แล้วกัน เดี๋ยวพี่จะไปคุยกับเค้าเอง”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวแก้มไปด้วยดีกว่า ใกล้แค่นี้เอง ไม่เปียกเท่าไหร่หรอก” เธอว่า พลางเปิดประตูรถออก แล้ววิ่งนำฝ่าสายฝนกระหน่ำตามทางเดินโรยกรวดแคบไปยังตัวบ้านไม้เก่าๆ ที่เปิดไฟไว้จนสว่าง
“แล้วนี่พี่วินรู้ได้ไงคะว่าเค้าอยู่บ้านหลังนี้ น้องคนนั้นเค้าบอกเมื่อไหร่กัน แก้มจำไม่เห็นได้เลย อีกอย่าง แก้มว่าบ้านแถวนี้มันก็เหมือนๆ กันทั้งนั้นเลยอ่ะ” เธอตะโกนแข่งกับเสียงฝนฟ้า ร้องถามอนาวินที่วิ่งตามมาจนขึ้นมาเคียงคู่
“พี่ไปถามอะไรน้องเค้าเพิ่มนิดหน่อยตอนแก้มเก็บของน่ะ เค้าว่าบ้านนายชัยญาติเค้าเป็นสวนมะพร้าว ตัวบ้านติดถนนใหญ่ มีทางเดินโรยกรวดไปข้างใน แล้วที่สำคัญ นั่นไง รูปปั้นช้าง” อนาวินชี้มือชี้ไม้ไปยังรูปทรงตะค่อมๆ ตรงหน้าบ้านไม้ เธอต้องหรี่ตามองอยู่ชั่วขณะหนึ่งท่ามกลางความมืด จึงเห็นเป็นงวงขึ้นมาเป็นเงาลางๆ อยู่หน้าตัวบ้านเก่าโย้ซึ่งรายล้อมไปด้วยดงมะพร้าวที่แข่งกันชูยอดใบไสว
บ้านเก่าหลังนั้น ถูกแบ่งเป็นสองชั้น ชั้นล่างเป็นใต้ถุน กับห้องเล็กๆ ห้องหนึ่ง ด้านหน้าเป็นทางขึ้นไปสู่ระเบียงชั้นบน เนื่องจากไม่มีรั้วรอบขอบชิดอะไร ทั้งสองจึงพากันถือวิสาสะ วิ่งไปหลบฝนที่ชายคาบ้าน
หญิงสาวห่อตัวอย่างหนาวเหน็บ ฝนเม็ดใหญ่ทำให้เสื้อผ้าเธอเปียกปอน ถึงแม้ว่าจะวิ่งฝ่าฝนมาเป็นระยะทางที่ไม่ไกลนักก็ตาม อนาวินมองเธอแล้วส่ายหน้า พลางบ่นงึมงำอยู่ในลำคอว่า “บอกแล้วก็ไม่ฟัง”
ไอรดาไม่ได้ต่อปากต่อคำอะไรกับคำบ่นนั้น แม้ว่าจะไม่ค่อยพอใจนัก เพราะมัวแต่รู้สึกดีใจที่เขาเอื้อน้ำใจถอดเสื้อโค้ดผ้าร่มของตนออก เหลือเพียงเสื้อยืดตัวบางไว้ แล้วคลุมมันลงบนตัวเธอ
“ญาติน้องเค้าท่าจะแปลกๆ เน๊อะ ทำช้างแหมะไว้หน้าบ้าน กลัวไม่รู้ว่าอยู่เกาะช้างรึไง” เธอกระชับเสื้อของเขาแนบตัวพลางลดเสียงลงเล็กน้อย เมื่อเอ่ยนินทาเจ้าของบ้าน
“ยังไงก็เถอะ ขอให้เค้าช่วยเราได้เป็นพอ” อนาวินกล่าว
“ดึกซะขนาดนี้แล้ว เค้าคงหลับอยู่แน่ๆ แค่ขอให้เค้าไม่ด่าที่เรามากวนเค้าดึกดื่นป่านนี้ก่อนดีกว่ามั้ย” ไอรดาพูดจบก็ยักไหล่น้อยๆ แล้วเดินตามอนาวินไป เมื่อเห็นว่าคำเตือนของตนไม่ได้ทำให้เขาละความพยายามที่จะขึ้นชายคาบ้านคนแปลกหน้าในเวลาดึกเช่นนี้
“แก้มว่า เค้าเสียเวลาตื่นมาแค่นิดเดียวแหละ ตื่นมาเพื่อไล่ตะเพิดเราออกจากบ้านนะ”
“แล้วเรามีทางเลือกด้วยเหรอไงล่ะ” อนาวินพูดพลางยกมือขึ้นจะเคาะประตู แต่ข้อนิ้วของชายหนุ่มยังไม่ทันได้จรดกับบานประตูนั้น ประตูก็เปิดออก ชายฉกรรจ์รูปร่างสูงใหญ่ยืนขมึงถึงขวางหน้าประตูอยู่ หนวดเคราบนใบหน้าของเขาปกปิดสันกรามและเหนือริมฝีปากจนมองไม่ออกว่าหน้าตาเค้าโครงของเขา ยามไร้สิ่งรุงรังนี้แล้วจะเป็นเช่นไร
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่น่าหวาดกลัว ทั้งอนาวินและไอรดารู้สึกราวกับว่า มีพลังบางอย่างที่ดูเป็นอันตรายแผ่มาจากผู้ชายคนนี้ ไอรดาสูดหายใจลึกเข้าปอด มองกล้ามเนื้อหน้าอกเหนือกางเกงชาวเลย์เก่าขาดนั้นอย่างหวั่นๆ ถ้าผู้ชายตัวโตคนนี้เลิกจะเป็นศัตรูกับเธอและอนาวินล่ะก็
ชีวิตนี้คงหาไม่แน่!
“เข้ามาสิ” ชายร่างยักษ์กล่าว ในขณะที่ชายหญิงที่เป็นฝ่ายบุกรุกได้แต่ยืนอึ้ง
“ข้าชื่อชัย” อนาวินผ่อนลมหายใจออก เอื้อมมือไปเกาะกุมมือเย็นเฉียบของหญิงสาวที่ยืนเยื้องอยู่ด้านหลังเขา ก่อนจะจับจูงเดินเข้าไปภายในบ้าน ...เขารู้ว่าเธอกลัว เพราะเขาเองก็ต้องยอมรับเช่นกันว่าเขาก็ค่อนข้างกลัว
“เอ่อ พวกเรามาจากน้องที่ชื่อกัน ที่ทำงานอยู่รีสอร์ตทางฝั่งโน้นน่ะครับ ผมชื่อวิน แล้วนี่แก้ม”
“ข้ารู้” ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ส่งเสียงที่คล้ายกับคำรามขึ้นมาอีกครั้ง
“น้องเค้าโทรมาบอกเหรอคะ”
“ไม่จำเป็น ข้าแค่รู้” อนาวินกับไอรดาได้แต่หันมามองหน้ากัน กับคำตอบนั้น
“คุณรู้ทุกอย่าง?” อนาวินถามนำ เขาไม่ปรารถนาจะมาเผชิญกับคนทรงเจ้าหรือว่าพวกพ่อมดหมอผีอะไรทำนองนั้น และหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เด็กประจำเคาเตอร์คงไม่แนะนำญาติแบบนั้นมาให้เขา
“ไอ้หนุ่ม เอ็งจะบ้าเหรอ ข้าจะรู้ทุกอย่างได้ยังไง”
“ก็..”
“พายุเข้าแบบเนี้ย โทรศัพท์แถวนี้มันใช้ได้ซะที่ไหน ไหนจะติดเขาด้านหลัง สัญญาณก็แย่ ข้ารู้เพราะข้าเดาเอาตะหาก มีแต่ไอ้พวกเดือดร้อนจากหาดของไอ้กันเท่านั้นแหละที่จะวิ่งโร่ฝ่าพายุกล้าดอดเข้าเขตุบ้านข้าดึกๆ ดื่นๆ แบบเนี้ย ถ้าเป็นไอ้พวกแถวเนี้ย มันกลัวโดนส่องตายกันทั้งนั้นแหละ” อนาวินชะงักกึก รู้สึกอย่างกับว่าหนีเสื้อปะจรเข้ หนีคนทรงเจ้าเจอเจ้าพ่อริมหาด
“ตกลง แล้วพวกเอ็งมาทำอะไรกันเนี่ย”
“คือ ... “ อนาวินจะกำลังจะอธิบายแต่ก็โดนตัดบทด้วยการฉุดลากลงนั่งที่พื้นไม้ชื้น
“มาๆ นั่งๆ เอากันสักเป๊ก รับรองหายหนาว” นายชัยชักชวนด้วยเสียงดัง อนาวินส่ายหน้าเล็กน้อยส่วนไอรดาได้แต่เบ้หน้า เพราะกลิ่นเหล้าดีกรีแรงฉุนกึ่กเข้าจมูก
“...แล้วไงล่ะ นี่หนีตามกันมาจากบ้านไหน” ชัยบอกต่ออย่างอารมณ์ดี มือก็หยิบแก้วมารินให้ แม้ว่าชายหญิงทั้งสองจะไม่ได้ตอบรับคำเชิญนั้น
“ไม่ได้หนีตามครับ คือ ผมมาตามหาคน” อนาวินตอบอึกอัก ไม่มั่นใจในสติสัมปชัญญะของหนุ่มฉกรรจ์ตรงหน้าแม้ว่าเขาจะไม่มีทีท่าว่าเมามายแม้แต่น้อย
“เอ๊า ไม่ได้หนีตามกันมาหรอกเหรอ แล้วตามหาใครล่ะ ในหมู่บ้านแถบนี้ ข้ารู้จักทั้งนั้นแหละ” นายชัยขมวดคิ้วมุ่น เมื่อเรื่องไม่ได้เป็นดั่งที่คิดไว้ มือก็วางแก้วเหล้าของตนลงด้วยความที่สนใจเรื่องราวจากปากของอนาวินมากกว่าเดิม
“เค้าบอกว่า เอ่อ บ้านตาบอดบนเชิงเขาสลักเพชร น่ะครับ”
“อ่อ ไอ้บอด ใครๆ ก็รู้จักทั้งนั้นแหละ แต่มันตายไปหลายเดือนแล้วนี่ ตั้งแต่ต้นปีโน่นแน่ะ”
“แล้วบ้านเค้า...เอ่อ ใครอยู่ล่ะคะ”
“ก็ร้างน่ะสิถามได้ อีหนูนี่ หน้าไม่น่าโง่นะ นี่ไอ้หนุ่ม ผู้หญิงน่ะเค้าไม่ดูแต่หน้านะ ต้องดูสมองด้วย แล้วหุ่นอ้อนแอ้นเงี้ย มันไม่เอางานหรอก”
“ก็บอกว่าไม่ได้หนีตามกันไงล่ะ” อนาวินกับไอรดาแทบประสานเสียงบอก
“ข้ารู้...ข้ารู้” อนาวินรู้สึกว่า คำว่าข้ารู้นี้เป็นคำที่ติดปากของนายชัยมากกว่าจะหมายความตามนั้นจริงๆ เขาไตร่ตรองเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยอย่างระมัดระวังว่า
“คือบ้านหลังนั้นอยู่ไหน คุณจะพอนำทางเราไปได้มั้ย” นายชัยหรี่ตามองมายังอนาวินด้วยสายตาที่ดูไม่ไว้วางใจ และจริงจังขึ้นผิดกับท่าทีเป็นกันเองในทีแรก
“จะไปทำไม”
“ก็บอกแล้วไง ว่าตามหาคน หน้าตาอย่างนี้ก็ไม่น่าโง่นี่” ไอรดากล่าวยียวน หากนายชัยกลับไม่มีท่าทีถือสา เขาเพียงปรายตามองเธออย่างเย็นชาทีหนึ่ง แล้วหันไปคาดคั้นถามอนาวินด้วยซุ่มเสียงที่ไม่ดีกว่าเดิมนัก
“ตามหาใคร แถวนั้นไม่มีใครเหยียบไปมานานแล้ว”
“พี่ฉันเอง หน้าตาเงี้ยเลย เคยเห็นบ้างมั้ย” ไอรดาว่า พลางหันซ้ายหันขวาให้นายชัยพิจารณา
“ไม่เคย แล้วข้าก็ไม่อยากไปแถวนั้นด้วย ถ้าอยากได้คนนำทางละก็ แถวนี้ไม่มีหรอก ไม่มีใครอยากขึ้นไปทั้งนั้น”
“ทำไมล่ะครับ”
“ไอ้บอดมันตายไม่ดี มันเฮี้ยน ไอ้หนุ่ม เอ็งรอให้มีสัญญาณโทรศัพท์แล้วลองโทรหาพี่สะใภ้แกมั้ยล่ะ เดินดุ่ยๆ ไปตามชายหาดน่ะ ฟลุคๆ มันก็มีคลื่นนา”
“แต่ผมอยากขึ้นไปเดี๋ยวนี้นี่ครับ เรื่องมัน ... เอ่อ ค่อนข้างคอขาดบาดตาย แล้วน้องคนนี้ก็..ติดต่อมือถือไม่ได้นะครับ” อนาวินทำเป็นไม่ใส่ใจ คำว่า ‘พี่สะใภ้’ พยายามออกปากพูดจาหว่านล้อมไม่ย่อท้อ
“อะไร ใครตายงั้นเหรอ อีกแล้วเหรอเนี่ย เฮ้อ”
“หมายความว่าไง แปลว่าบนนั้นมีคนตายบ่อยเหรอ” ไอรดาหน้าตื่น ก่อนจะมุ่ยลง เมื่อได้ยินคำตอบจากนายชัย
“ยุ่งอีกแล้ว ผู้ชายเค้าจะคุยกัน เอ็งยุ่งอะไรเนี่ย ข้าจะบอกให้เอาบุญ บนนั้นอ่ะนะ มีข่าวว่าคนขึ้นไปไม่ได้กลับ พวกนักท่องเที่ยวน่ะแหละตัวดี ไม่รู้มันไปเอาข่าวมาจากไหน ไอ้ตัวข้าน่ะไม่กลัวอะไรหร๊อก เรื่องแค่เนี้ย เด็กๆ” นายชัยคุยทับ
“เด็กๆแต่ก็ไม่กล้านำทางขึ้นไปใช่มั้ยล่ะ”
“เอ๊ะ อีนี่ พายุเข้าอย่างนี้ใครเค้าเข้าป่ากันบ้าง ถ้าไม่ใช่ผีไอ้บอดมาหักคอก็เจ้าป่าเจ้าเขาบันดาลให้หลงป่าตายกันพอดี”
“ผมไม่ได้ให้คุณนำทางเปล่าๆ นะครับ พวกผมมีค่าเหนื่อยให้แน่นอน”
“ไม่ไป”
“นะครับ”
“ไม่โว้ย พวกเอ็งนี่เซ้าซี้จริง ข้าจะกินเหล้า” อนาวินถอนใจอย่างเซ็งจัด ก่อนจะควักแบงค์พันออกมาหลายใบ จนอีกฝ่ายชักตาโต
“กินเหล้าได้หลายมื้อนะลุง” ไอรดากระเซ้า
“ข้ารู้ๆ” นายชัยพึมพำน้ำลายสอปาก
“ว่าไงครับ”
“ถ้าข้าชี้ทางเฉยๆ ได้เท่าไหร่”
“แบงค์ม่วงใบเดียวพอ แค่ชี้ทางเฉยๆ ผมว่าใครๆ ก็ทำได้ทั้งนั้นแหละ” นายชัยขมวดคิ้วทันทีด้วยความไม่ได้ดั่งใจ เขายกแก้วเหล้าขึ้นมากระดกดั่งจะเรียกความมั่นใจ ก่อนจะเอ่ยตอบว่า
“ได้ ไปก็ไป”
อนาวินไม่ค่อยมั่นใจในผู้นำทางของเขานัก นายชัยจัดการหาเศษกระดาษเท่าที่อนาวินคิดว่าในบ้านซ่อมซ่อของเขามี มาวาดเป็นแผนที่ โดยแจกให้เขาเก็บไว้แผ่นหนึ่ง ส่วนตัวของนายชัยเองกลับวิ่งฝ่าฝนหายลับดงมะพร้าวตั้งแต่ชั่วโมงก่อน
“กลัวเปิดแน่บไปแล้วล่ะมั้ง” ไอรดาว่า
“เค้าบอกจะไปซื้อของมาเตรียมขึ้นเขา”
“เตรียมของ” ไอรดาส่งเสียงล้อเลียน กรอกตาไปมา ก่อนจะพูดต่อว่า “เตรียมเหล้ามากินมื้อหน้าน่ะสิ มีคนกรุงมาให้หลอกถึงที่แบบเนี้ย พี่วินน้า ทำไมไว้ใจคนง่ายอย่างนี้ก็ไม่รู้ เค้าขอตังค์ไปครึ่งนึงก่อนก็ให้ ไอ้ครึ่งนึงของพี่วินเนี่ยมัน 3 พันเลยนะ เห็นเงินเป็นเศษกระดาษไปได้ ...โอ้ย ไอ้ฝนบ้านี่ก็เหมือนกัน เมื่อไหร่จะหยุดเนี่ย”
ชายหนุ่มมองลอดไปนอกหน้าตาในบ้านไม้ของนายชัย ภายนอกมีเพียงฝนที่กระหน่ำโดยไม่มีที่ท่าจะซาลงแม้แต่น้อย และยิ่งกว่านั้น ไม่มีเงาของนายชัยเช่นกัน
“เราไปกันเถอะ”
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ทั้งสองแกะแผนที่ของนายชัยที่วาดให้ไว้ ขับรถลุยโคลนสีลูกรังและพายุกรรโชกมาจนถึงถนนที่แคบลงทุกขณะ ด้านหน้ารถมีป้ายไม้ขนาดใหญ่ล้มครืนมาขวางทางเล็กๆ ทางหนึ่งไว้
“นี่ละมังคะ คงสุดทางรถแล้วล่ะ แต่ฝนตกขนาดนี้ เราจะเดินเข้าไปได้ยังไงกัน”
“เดี๋ยวพี่ลุยเข้าไปเอง” อนาวินกล่าวมุ่งมั่น สายตาตรึงเครียดของเขามองตรงไปหาทางพงเล็กๆ นั้น อย่างจดจ่อ
“พี่วิน ใช้สมองมั่งสิ ถ้าลื่นพรืดลงมานี่ไม่ต้องหวังจะไปช่วยพี่ก้อยเลยนะ แค่ชีวิตตัวเองก็เก็บไว้ไม่ได้แล้ว ไหลจะมืดแล้วหลงทางอีก แล้วถ้าเกิดไปถึงบ้านไอ้ผีบอดอะไรนั่น พี่วินเกิดหมดเรี่ยวหมดแรงยืนให้มันยิงโป้งๆ มันจะได้อะไรขึ้นมาฮ๊ะ” ไอรดาโวยวาย
“ก็พี่เป็นห่วง แก้มจะให้พี่ทำยังไง พี่ทนไม่ได้เลยจริงๆ แค่หลับตาพี่ก็รู้สึกอย่างกับว่าเห็นภาพก้อยโดนไอ้พวกนั้นมันทำร้าย มันทรมาน ป่านนี้ก้อยจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้” อนาวินระเบิดอารมณ์ปากคอสั่น เขายกมือใหญ่ของตนมาลูบไล้ใบหน้า ผิวหน้าขาวซีดและเหนื่อยอ่อนของเขากลืนหายไปกับความมืดในตัวรถ
“พี่วิน ใจเย็นๆ นะ แก้มก็เป็นห่วงพี่ก้อย แต่พี่ก้อยต้องไม่เป็นไร พี่ก้อยจะไม่เป็นไรค่ะ” หญิงสาวเอ่ย พลางกำมือระริกไว้บนตัก ความปรารถนาที่จะเอื้อมมือไปปลอบประโลมเขามีมากมายเสียเหลือเกิน...แต่เธอก็รู้ดีว่า เธอไม่ควรทำอย่างนั้น
“รอหน่อยนะ พี่วินไม่ได้หลับมาทั้งคืนแล้ว งีบก่อนเถอะ เดี๋ยวถ้าฝนซาเมื่อไหร่แก้มจะปลุก ถึงตอนนั้น ฟ้าอาจจะสว่างกว่านี้ก็ได้”
“อืม” อนาวินฮึมฮัมในลำคอ ก่อนจะผล่อยหลับไปด้วยความเพลีย ไอรดาพยายามบังคับสายตาให้สนใจเพียงทางเล็กเบื้องหน้า จนกระทั่งเสียงลมหายใจของคนข้างตัวเริ่มสม่ำเสมอ จึงแอบหันมาทอดสายตามองเสี้ยวหน้าของเขายามหลับ เธอพยายามผ่อนลมหายใจให้เข้าออกผสานไปกับเขาช้าๆ และความรับความรู้สึกที่ได้หายใจพร้อมกับคนที่เธอรักอย่างเป็นสุข
เพียงชั่วครู่เดียวเธอก็เห็นแสงไฟสว่างจ้าจากเบื้องหลัง เสียงรถบีบแตรยาวแทรกมากับเสียงฝนซัดสาด ขัดความสงบสุขออกจากชีวิตเธอ อนาวินสะดุ้งตัวขึ้นจากการหลับใหล ถามเร็วๆ ว่า
“อะไรน่ะ แก้ม”
“รถค่ะ รถเวรที่ไหนก็ไม่รู้”
‘รถเวรที่ไหนก็ไม่รู้’ ของไอรดา เป็นรถกระบะสีมืดทึบที่มีล้อขนาดใหญ่มากที่สุดเท่าที่เธอเห็นมาคันหนึ่ง เธอเกือบจะแน่ใจเมื่อเห็นแรงปั่นของล้อทั้งสี่ ว่ารถคันนี้ใช้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อที่ดูมีสมรรถนะการในการตะลุยทางไต่เขาได้ดีกว่ารถเก๋งธรรมดาของอนาวินมากนัก รถคันนั้นมีสภาพกลางเก่ากลางใหม่ แต่พอบวกกับละไอฝนพร่างพรายล้อมรอบคันรถ รถคันนั้นก็ดูเก่าเกินจริงในสายตาของคนทั้งสองบนรถ
แสงไฟตัดหมอกของรถคันนั้นส่องสว่างกระทบหลังรถของสองชายหญิง จนคนทั้งคู่สายตาพร่ามองแทบไม่เห็นว่า คนที่กำลังก้าวลงจากรถคันนั้นคือใคร จนกระทั่งคนร่างหนาใหญ่ในเสื้อกันฝนสีส้มสดราวกับยืมมาจากตำรวจกลางสี่แยก วิ่งตรงมาข้างรถด้านคนขับ แล้วยกมือใหญ่ขึ้นรัวเคาะลงกับกระจกเร็วๆ ก่อนที่เจ้าของมือจะค้อมตัวลงมา อนาวินลดกระจกลงอย่างยินดี
“คุณน่ะเอง”
“เออน่ะสิ แล้วก็เลิกเรียกคุณเคินไรได้แล้ว เรียกข้าว่าชัยเฉยๆ ก็พอ ถ้าอยากนับญาติให้มันดูดีๆ หน่อย ก็ เรียกพี่ชัยก็ได้”
“ครับ พี่ชัย นี่พี่ตามมาได้ไงเนี่ย”
“ก็ไอ้แผนที่นั่น ข้าเขียนมาเองกับมือ พวกเอ็งแหละทะเล่อทะล่าอะไรมาถึงนี่ บอกให้รอหน่อยๆ ก็ไม่ได้รู้ความกันเล๊ย ลงๆ ไปขึ้นคันโน้น ข้าจะพาไปทางรถ”
“ทิ้งไว้งี้ไม่เป็นไรเหรอ” ไอรดาถามพลางหันรีหันขวาง ไม่ค่อยอยากลงจากรถเก๋งคันสวยไปขึ้นรถบิ๊กฟุตคันเก่านั้นนัก
“ไม่เป็นไรหรอกมั้ง” อนาวินว่า หากแต่ไม่วายหันไปมองหน้านายชัยเชิงขอความเห็น ฝ่ายนั้นเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างนักเลงโตตามสไตล์ว่า
“ใครจะเข็นมันลงไปได้ล่ะ ถ้ามีล่ะก็ ข้าออกหน้าเอง อีกอย่างที่เนี่ย ชาวบ้านไว้ใจได้ เกาะมันก็เล็กนิดเดียว”
พอนายชัยรับรองแข็งขัน อนาวินก็จัดการหยิบปืนออกจากลิ้นชักมาห่อไว้ด้วยเสื้อตัวบางเก่าจากเบาะหลัง ซึ่งการกระทำนั้นไม่พ้นจากสายตาที่จับจ้องจากนอกรถ หากแต่นายชัยรู้ว่า ตอนนี้ถามไปก็เปล่าประโยชน์ จึงได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจ แล้วแกล้งทำเป็นไม่เห็น เขาสาวเท้าวิ่งนำไปยังรถกระบะคันเก่า
“มีทางรถแต่แรกก็ไม่บอก จะปล่อยให้ขับมาทางนี้ทำไมเนี่ย” ไอรดาบ่นงึม ขณะวิ่งฝ่าฝนมายังรถอีกคัน เนื้อตัวที่ยังไม่แห้งดีจากการลุยฝนครั้งที่แล้วเปียกชุ่มขึ้นมาอีกครั้ง พอเปิดประตูด้านหลังขึ้นรถได้ เธอก็เห็นเสื้อกันฝนอีกสองตัววางอยู่
“อ้าว แล้วนี่มีเสื้อกันฝนอีกทำไมไม่ถือเอาไปให้ล่ะ ลุงนี่ก็”
“ใครลุงเอ็ง บอกให้เรียกพี่ไงล่ะ นี่ๆ แล้วเปียกแค่เนี้ยไม่ตายหรอก รถข้าเปียกน้ำข้ายังไม่บ่น ทีพากันฝ่าฝนมาไม่ลืมหูลืมตายังทำได้”
“อ๊ะๆ ไม่ต้องมาอ้าปากจะเถียงเลยอีหนู ข้าหายไปนาน ก็ไปหาไอ้เนี่ยกะไอ้รถนี่มาให้เนี่ยแหละ เพราะถ้าไปทางรถด้านโน้นมันชัน รถพวกเอ็งเข็นไม่ขึ้นหรอก แล้วยังไง เดี๋ยวก็ต้องลงเดินอยู่ดี เดินน้อยกว่า แต่ก็ชันกว่านิดหน่อย เตือนไว้ก่อนแล้วกัน” นายชัยว่าพลางถอยรถพรืด แล้วหักโค้งอย่างชำนาญ รถกลางเก่ากลางใหม่คันนั้น ก็หันหัวสวนไปทางรถเข้าภายในเวลาไม่ถึงนาที
“ไม่ไหวเลยลุงเนี่ย” ไอรดาบ่นต่อโดยไม่คิดจริงจัง เพราะหวังจะกวนโมโหนายชัยเล่นแก้เบื่อเสียมากกว่า เนื่องจากเธอเป็นคนขี้เบื่อขนาดหนักอยู่แล้ว หน่ำซ้ำช่วงสามสี่วันนี้ เธอยิ่งไม่ได้ทำอะไรนอกจากตามหาตัวพี่สาว เดี๋ยวขึ้นรถ เดี๋ยวลงเรือ เดี๋ยวเดินตามหาเสียขาลากจนเหนื่อยอ่อน
ตอนที่ยังมีเอกบดินทร์อยู่ เธอก็ยังมีคนให้ลับฝีปากอยู่บ้าง แต่พอคู่อริสมัยเด็กของเธอชิ่งหนีกลับกรุงเทพไปแล้ว เธอก็ไม่ค่อยได้ออกวาดลวยลายอะไร โดยเฉพาะว่า อนาวินเองก็ไม่ได้พูดคุยอะไรกับเธอนัก จะมีก็เพียงถามความเห็นเล็กๆ น้อยๆ ในแต่ละวันเท่านั้น
นายชัยยิ้มพรายที่มุมปาก กึ่งขันกึ่งเอ็นดู พลางกล่าวเย้าตามประสาคนยังไม่สร่างเมาดีว่า
“ไอ้หนุ่ม ยัยหนูเนี่ยมันดื้อ เอ็งอย่าไปยอมมันนา เดี๋ยวพอแต่งกันไปแล้วมันจะขึ้นครอบหัว ไม่ยอมลงให้”
“ไม่ใช่ ก็บอกว่าไม่ใช่แฟนกันไงล่ะ” ไอรดาโวยวายหนัก หน้าแดงซ่านด้วยความอาย ในขณะที่อนาวินเพียงแต่หัวเราะฝืดขรึมอยู่ในลำคอ ก่อนจะโพล่งออกมาอย่างผิดเรื่องผิดเวลาอยู่บ้างว่า
“อีกนานมั้ย กว่าจะถึง”
“ไม่นานเท่าไหร่หรอก แล้วแต่ว่าตอนเดิน พวกเอ็งจะเดินกันอืดขนาดไหน”
“โอ้ย แรงเด็กๆ มันดีอยู่แล้ว ลุงแหละไหวเหรอ”
“เออ ข้าจะดูน้ำหน้าเอ็ง” นายชัยพูดกลั้วหัวเราะ แล้วก็ต้องเงียบเสียงลงเมื่อเห็นอนาวินไม่เล่นหัวด้วยแม้แต่น้อย เขากระแอมขึ้นมา แล้วจึงพูดต่อราวกับเมื่อครู่นี้ไม่ใช่เขาเองที่หัวเราะเสียลั่น
“ไหนๆ ข้าก็ต้องไปร่วมเป็นร่วมตายกับพวกเอ็งแล้ว ไม่คิดจะบอกกันหน่อยเหรอฮ๊ะ ว่าเกิดไรขึ้น พวกเอ็งถึงต้องปีนขึ้นไปบนนั้นให้ได้น่ะ” พอนายชัยเริ่มคิดอย่างเอาจริงเอาจังมากขึ้นก็ถามเป็นการเป็นงาน แต่ทั้งสองคนที่เหลือบนรถกลับนิ่งเงียบ
“ว่าไง” นายชัยถามย้ำ จนอนาวินถอนใจออกมาด้วยรู้ว่าอย่างไรเสียก็ต้องบอกให้ชายร่างใหญ่ผู้นี้รู้ไว้ ด้วยความที่ต้องร่วมเดินทางพึ่งพากันอีกนาน เรื่องราวต่างๆ นับตั้งแต่เขากลับมาจากเมืองนอกเมื่อไม่กี่วันก่อนจึงถูกถ่ายทอดออกมาจากปากคำชายหนุ่มช้าๆ ...
“อืม ฟังดูน่าสนุกดีนี่นะ” นายชัยหัวเราะหึๆ ในลำคอ หลังนั่งนิ่งฟังจนจบ อนาวินหันไปมองอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องขำด้วย แต่อีกฝ่ายก็ยังคงหัวเราะไม่หยุดอยู่นั่นเอง
“นี่ หัวเราะอะไรนักหนา มันเรื่องตลกตรงไหน” ไอรดาบ่นขึ้นมาจากเบาะหลัง
“ยิ่งฟังก็ยิ่งเหมือนหนังน้ำเน่าเลยนะ ถ้าจะให้ฉันเดาล่ะก็ ฆาตกรอยู่รอบๆ ตัวเราเนี่ยแหละ” ท้ายประโยค นายชัยทำเสียงเก๊กขรึมราวกับเป็นนักสืบผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่ชายขี้เมาอย่างที่เป็นอยู่
“พูดอะไรไม่เห็นจะเข้าท่า” หญิงสาวงืมงำขึ้นอีกครา เธอพิงตัวลงกับเบาะ ก่อนจะเอ่ยห้วนๆ ต่อว่า “ถึงแล้วก็ปลุกด้วยแล้วกันนะ จะนอนล่ะ”
“อืม เอ็งก็หลับไปเถอ ะไอ้หนุ่ม” นายชัยบอก พลางขับรถตรงไปยังจุดหมาย ไม่เหลือเค้าความขี้เล่นอยู่บนใบหน้าอีกต่อไป
จริงหรือที่ว่า...คนรอบนอก สติแจ่มใส...
นายชัยกำลังครุ่นคิดถึงประโยคนี้อย่างหมกมุ่น หากสิ่งที่เขาคิด รายละเอียดที่เขาไม่มองข้าม ทำให้สามารถสรุปได้อย่างที่เขาคิดได้จริงๆ ละก็ เขาไม่รู้ว่าจะควรทำอย่างไรดี นายชัยผ่อนลมหายใจออกจากอก พยายามไม่ใส่ใจจะคิดต่อ
ก็ไม่ใช่เรื่องของเขานี่!
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น